สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด 27-33

 บทที่ 27 ภาพที่หายไปเอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

เขาที่จิตใจว้าวุ่นกำลังวิ่งหนีอย่างแตกตื่นในซอยเล็กๆ ตรงมุมถนน เพราะมีชายชุดสูทรองเท้าหนังสองคนไล่ตามเขาอยู่ด้านหลัง


เขามีสีหน้ากระวนกระวาย ตรงกันข้ามกับความเร็วของเขา เขาต้องพยุงขาขวาของตนเองเพื่อเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง


แต่บนต้นขาขวาของเขา กลับพันด้วยผ้าสีขาวผืนหนึ่ง แน่นอนว่ากำลังเลือดออกด้วย


เลือดสีแดงสดกับแดงเข้มเหมือนหมึกสีแดงละลายน้ำที่ค่อยๆ ไหลซึมออกมา ทำให้เกิดริ้วลายบนผ้าพันแผล


เขาเดินช้า จึงต้องอาศัยถนนในเมืองอันวุ่นวายมาช่วยสลัดการไล่ล่าของอีกฝ่าย เขาเริ่มค่อยๆ รู้สึกกลัวว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็จะหลงทางเสียแล้ว


“ขอโทษครับ”


ดูเหมือนว่าจะชนกับใครเข้า เขาไม่ทันมองให้ละเอียด หลังจากมองไปแวบหนึ่ง ก็รีบร้อนเดินเข้าไปในซอยอีกซอยหนึ่งทันที


เขากลับไม่รู้ว่า หลังจากเขาชนกับคนนั้นเข้า ของบางอย่างก็ร่วงลงมาจากในเสื้อของเขาแล้ว มันเป็นสีหลอดหนึ่ง



ลั่วชิวไม่ต้องลงมือเก็บเอง เพียงแค่เขาทอดสายตามองลงไปบนของสิ่งนี้ คุณสาวใช้ก็เก็บขึ้นมาให้เขาแล้ว


ตอนที่ลั่วชิวยังไม่ทันได้ดูให้ละเอียด ก็มีชายชุดสูทสองคนวิ่งโผล่ออกมาจากในซอยเมื่อครู่


อืม ชุดสูทรัดรูป มองแวบเดียว ลักษณะคล้ายคนมีฝีมือ


ชายพวกนั้นมีกันสองคน หนึ่งในนั้นมองหลอดสีที่อยู่ในมือของเจ้าของร้านลั่ว แล้วถามด้วยภาษาอังกฤษทันทีว่า “ทั้งสองท่าน เห็นชายคนหนึ่งวิ่งผ่านไปหรือเปล่าครับ ขาของเขาได้รับบาดเจ็บ น่าจะจำได้ง่ายมาก”


ใบหน้าคล้ายชาวตะวันออก…ชายหนุ่มสลับใช้ภาษาที่เข้าใจได้ง่าย


เจ้าของร้านลั่วก็ยื่นนิ้วชี้ออกไปยังทิศทางตรงกันข้าม…ตรงกันข้ามกับซอยที่ชายผู้นั้นหนีไปอย่างลนลาน


ชายที่ถามมองไปแวบหนึ่ง พยักหน้าเล็กน้อย แล้วรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปในซอยนั้นอย่างรวดเร็ว


แต่เพื่อนที่มาด้วยกันกลับล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาจากด้านในเสื้อสูท ยัดธนบัตรสองใบใส่ไปในมือของลั่วชิว หลังจากพูดคำว่าขอบคุณอย่างรวดเร็วแล้ว ก็รีบตามไป


“…นี่ฉันหาเงินได้เหรอ?” ลั่วชิวมองสาวใช้ของตนเองอย่างไม่อยากเชื่อ


โยวเย่พยักหน้า ยิ้มน้อยๆ พลางพูดว่า “ใช่ค่ะ นายท่านหาเงินได้แล้ว”


ลั่วชิวยิ้มน้อยๆ พลางส่ายหน้า แต่กลับมองหลอดสีในมือด้วยความสนใจยิ่งกว่า…มีคนเคยใช้มันแล้ว ตรงปลายหลอดม้วนขึ้นมาจนถึงตรงกลางหลอดแล้ว


สีเหลืองเลม่อน




เวร่ากำลังเคี้ยวหมากฝรั่ง เธอเดินวนรอบพิพิธภัณฑ์ที่รูปวาดถูกขโมยไปแห่งนี้รอบหนึ่งแล้ว วันนี้พิพิธภัณฑ์ปิดทำการชั่วคราว และบริเวณรอบๆ ก็ล้อมไปด้วยเทปสีเหลือง


“ทางเข้ามีตำรวจเฝ้ายามอยู่…วิคก้า นายเห็นสถานการณ์ในพิพิธภัณฑ์ไหม?” เวร่ากดไปที่หูของตนเอง สิ่งเล็กๆ ที่ยัดอยู่ในหูนี้ก็คือสิ่งที่เธอใช้ติดต่อกับวิคก้าที่ปฏิบัติการอยู่ในรถตู้อาร์วีคันหนึ่ง


ขณะเดียวกันนั้น ในรถตู้อาร์วีที่จอดอยู่อีกด้านของพิพิธภัณฑ์ วิคก้าก็กำลังจ้องมองหน้าจอทั้งสอง พลางกัดขนมปังปิ้ง สองมือกำลังพิมพ์รัวไปบนแป้นพิมพ์ พูดราวกับยุ่งมือพัลวันว่า “ราชินี เวร่าที่เคารพ คุณคิดว่าตอนนี้ผมแค่ถอดรหัสคอมพิวเตอร์ของนักเรียน ม.ปลายที่ดูหน้าเว็บ******คร่าวๆ เหรอครับ?”


“งั้นฉันเข้าไปดูหน่อยก็แล้วกัน” เวร่าผิวปากไปทีหนึ่ง


วิคก้าตกใจจนขนมปังปิ้งร่วงจากปาก รีบพูดแย้งทันที “ยังไม่รู้สถานการณ์ด้านในแน่ชัด ตำรวจพวกนั้นน่าจะยังเดินเพ่นพ่านอยู่ คุณทำแบบนี้จะถูกมองว่า…เอาเถอะ คุณเป็นราชินีที่หัวดื้อที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมาเลย!”


ปิดการติดต่อไปชั่วคราว วิคก้าได้แต่ถอนหายใจ เขาจำต้องทุ่มเททำภารกิจในมืออย่างสุดความสามารถกว่าเดิม


สำหรับเวร่านั้น เธอมีหลายวิธีที่จะปะปนเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ได้ แต่เห็นได้ชัดว่าเธอเลือกใช้วิธีผ่านเข้าออกได้ราบรื่นที่สุด


ในฐานะนักมายากลคนหนึ่ง เธอจะเอาการ์ดพนักงานจากพนักงานที่แอบวิ่งออกมาสูบบุหรี่ ก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร


แน่นอนว่า ก่อนหน้านั้น คุณนักมายากลสาวเท่ได้เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งสวมแว่นตากรอบดำดูงุ่มง่าม และทรงผมด้วย


ก็แบบนี้แหละ นักมายากลสุดเท่รูดการ์ดผ่านเข้าไปอย่างสง่างามต่อหน้าตำรวจที่เฝ้าหน้าประตู


เห็นได้ชัดว่าจุดที่ของหายยังมีตำรวจนายหนึ่งคอยเฝ้าดูอยู่ เพียงแต่มองไม่เห็นหัวหน้าตำรวจหรืออะไรแบบนั้น ตรงนี้น่าจะเป็นพวกที่ซักถามคำให้การพวกนั้น


เวร่าเดินผ่านเข้ามาอย่างง่ายดาย เพียงไม่นาน ดวงตาเหยี่ยวก็จดจำจุดที่ถูกขโมยภาพ แม้กระทั่งการวางหมากคนเฝ้าแต่ละจุดของที่นี่ไว้ในสมองหมดแล้ว


เธอเริ่มวาดภาพโครงสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ในหัวเธอ


ทันใดนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเธอ…และตะโกนเรียกเธอ “คุณ เดี๋ยวก่อนครับ”


ตอนที่วิ่งก็เผยให้เห็นซองปืนแนบอยู่ใต้เสื้อคลุมรางๆ เวร่าอึ้งไป เท้าที่ก้าวอยู่ด้านหลังลากถอยหลังไปนิดหนึ่ง แต่กลับดึงดูดสายตาของชายคนนี้ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”


ชายหนุ่มกลับถามว่า “ห้องน้ำอยู่ทางไหนครับ…อ๋อ เหมือนผมจะปวดท้องหน่อยๆ ครับ”


“ทางนั้นค่ะ” เวร่าชี้ไปส่งๆ


“ขอบคุณครับ!” ชายหนุ่มรีบพยักหน้าเล็กน้อย “ผมชื่อเยียร์เกอร์ครับ…จริงสิ คุณไม่สวมแว่นจะดูสวยขึ้นนะครับ”


เวร่าหรี่ตามองเยียร์เกอร์ที่รีบร้อนไปหาห้องน้ำที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงนั้นจริงหรือเปล่า ตอนที่กำลังคิดว่าจะหลบไปแบบนี้ เธอกลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น


เธอหลบอยู่ด้านหลังเสา เห็นชายวัยกลางคนพุงใหญ่คนหนึ่งวิ่งผ่านไปด้วยสีหน้าร้อนรน ทั้งยังหันกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า…ราวกับกลัวจะมีคนเห็นเขาเข้า


เวร่ามีแววตาเปลี่ยนไปทันที แล้วเดินตามไปเงียบๆ


“…อืม เมื่อกี้ผมเพิ่งให้ปากคำกับตำรวจเสร็จ…อืม ทุกอย่างโอเค… ผมจะดำเนินการให้เร็วที่สุด”


เธอได้ยินเพียงการพูดตอบฝ่ายเดียวแบบนี้ เธอผู้ไม่เชื่อหรือไว้ใจอะไรง่ายๆ ก็แอบใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพชายคนนี้เอาไว้


แล้วถึงได้ลอบออกมาจากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เธอถอดเสื้อนอกและแว่นตาออกตรงริมถนน หลังจากโยนส่งๆ ลงถังขยะแล้ว ก็กลับไปในรถตู้อาร์วี


เวลานี้วิคก้าถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็พูดด้วยน้ำเสียงตำหนิว่า “ผมคงไม่หวังว่าจะเห็นคุณกลับมาแบบสบายใจแบบนี้หรอกนะ เพราะผมพอใจจะให้คุณได้ลิ้มรสความลำบากเสียมากกว่า”


เวร่าหยิบเบียร์จากตู้เย็นมาขวดหนึ่งแล้วงัดเปิดออก เธอเดินมาข้างๆ วิคก้า ยื่นมือออกไปค้ำโต๊ะ แล้วพูดอย่างรวดเร็วว่า “ภาพนี้…มันหายไปเอง”


“คุณจะบอกว่ามีนักมายากลเปลี่ยนเอาไปแล้วเหรอ?” วิคก้ากลอกตาถาม


เวร่าเปิดโทรศัพท์มือถือแล้วบอกว่า “ช่วยฉันตรวจสอบหน่อย หมอนี่เป็นใคร มีสถานะอะไร…อีกอย่าง ครั้งหน้าตอนซื้ออุปกรณ์ปลอมตัวมา ช่วยซื้อแว่นอันที่มันดีๆ หน่อยได้ไหม?”


วิคก้า…วิคก้ากะพริบตา สีหน้าตะลึงไม่อยากเชื่อ




เขายื่นหัวออกมาสำรวจอย่างวิตกกังวล ก่อนหันกลับไปมองทางที่ตนเองเดินผ่านมาอย่างระมัดระวัง ตอนนี้เห็นเพียงคนเดินถนนสองสามคน


ดูเหมือนว่าไม่มีคนตามมาแล้ว


เขาถึงได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตัวพิงกำแพงไถลนั่งลง ด้วยออกแรงอย่างหักโหมทำให้ริมฝีปากเขาซีดลงเล็กน้อย และแห้งผากด้วย อีกทั้งแผลที่ต้นขาก็ทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปอย่างเลี่ยงไม่ได้


“ดื่มน้ำหน่อยไหม?”


ในตอนนี้เองก็มีขวดน้ำดื่มโผล่มาตรงหน้าเขา


ชายที่ซวยมากคนนี้เงยหน้าขึ้นมาอัตโนมัติ สิ่งที่เห็นก็คือชายหญิงคู่หนึ่ง…หนึ่งในนั้น ดูเหมือนจะเป็นคนหนุ่มคนนั้นที่เขาเพิ่งชนไปเมื่อครู่นี้


“คุณ พวกคุณเป็นใคร?” เขาทั้งสงสัยและตื่นตระหนก สองมือชายหนุ่มยึดผนังเอาไว้ พยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นมา


“นี่เป็นของที่คุณทำตกไว้เมื่อกี้ครับ” ลั่วชิวแบมือ ก็เห็นหลอดสีเหลืองเลม่อนหลอดนั้นในมือเขา


ชายคนนี้อึ้งไป เขาหยิบหลอดสีกลับมาจากมือลั่วชิวอย่างรวดเร็ว แล้วยัดเข้าไปในเสื้อตนเอง ดูเหมือนว่าเขาจะผ่อนคลายขึ้นมาหน่อยแล้ว เขามองดูน้ำดื่มขวดนั้น แล้วเผลอกลืนน้ำลายลงคอ


เขารีบเปิดขวดน้ำอย่างรีบร้อน หลังจากกรอกเข้าปากไปหลายอึกแล้ว ถึงได้เช็ดปากแบบลวกๆ เขาเผยให้เห็นท่าทางไม่เข้าใจ “มีคนไล่ตามผมมา…พวกเขาไม่ได้ถามทางพวกคุณเหรอ?”


เขาจำระยะห่างของตัวเองกับอีกฝ่ายระหว่างการไล่ตามได้ ดังนั้นหลังจากตัวเขาได้ชนกับใครคนหนึ่งเข้า ต่อมาอีกฝ่ายจะต้องได้เจอกับชายหญิงคู่นี้แน่นอน


“อืม ผมอาจจะเล่นพิเรนทร์เล็กๆ น้อยๆ ไปน่ะครับ”


ชายหนุ่มอึ้งไป เขาถามอย่างสงสัยว่า “ทำไมคุณต้องช่วยผม?”


เจ้าของร้านลั่วพูดเบาๆ ว่า “คุณลืมไปแล้วเหรอครับ? เราเคยพบกันมาก่อน”


“เมื่อก่อน?” ชายหนุ่มมีสีหน้างุนงง


เจ้าของร้านลั่วบอกว่า “หลายวันก่อน ตอนที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ คุณบอกผมเองไม่ใช่เหรอครับ เรื่องราวเกี่ยวกับภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ”


นี่ก็คือคนบ้าคนนั้นที่เคยพบกันที่พิพิธภัณฑ์แกลเลอรี


บทที่ 28 เงินมากมาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“คุณไม่กินเหรอ?”


เห็นเจ้านี่สั่งแค่น้ำเปล่ามาดื่มแก้วเดียว ยูริเลยหยุดใช้มีดและส้อมในมือ ก่อนเงยหน้าถาม


ยูริมีหนวดเคราขึ้นดกหนา แถมเอาแต่กินอย่างตะกละตลอด ดังนั้นภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูแย่มากอยู่แล้วยิ่งดูมันเยิ้มสกปรกมากขึ้นอีก


ลั่วชิวส่ายหน้า แล้วเขาก็ยื่นมือชี้ไปที่คางของตัวเอง ยูรินิ่งอึ้งไป แล้วจึงยื่นมือไปแตะหนวดเคราที่เหมือนผมลอนนั่น ก่อนหยิบเส้นบะหมี่ออกมาเส้นหนึ่ง


แต่เขาไม่ได้รังเกียจแถมเอาเส้นบะหมี่ใส่เข้าปากไปเฉย หลังจากนั้นก็กินอย่างมูมมามต่อ


หลังจากผ่านไปนาน ยูริถึงได้เรออิ่มอย่างพอใจ และไม่ได้สนใจว่าสถานที่ที่เขาอยู่ตอนนี้คือห้องอาหารที่เงียบเชียบแห่งหนึ่ง “ทำไมถึงช่วยผม? แถมยังเลี้ยงข้าวผมอีก? เพียงเพราะเราเคยพบหน้ากันครั้งหนึ่ง และผมก็จำอะไรไม่ได้เลยน่ะเหรอ?”


หลังจากลั่วชิวดื่มน้ำไปอึกหนึ่งก็พูดว่า “วันนั้น คุณยูริบอกว่า เขารักผู้หญิงคนนี้ เอ่อ…หมายถึงผู้หญิงในภาพวาดที่ทั่วโลกยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่นอน ผมแปลกใจว่าทำไมคุณยูริถึงได้ดูมั่นใจขนาดนั้นน่ะครับ”


ยูริอึ้งไป


ในระหว่างที่กำลังกินอย่างตะกละตะกลาม เขาก็คิดถึงความเป็นไปได้มากมาย แต่เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้เรื่องเดียว


ยูริใช้ผ้าเช็ดปากเช็ดไปที่ปากของตนเองแบบลวกๆ หลังจากนั้นถึงได้ดื่มเหล้าวอดก้าก่อนอาหารไปอึกหนึ่ง แล้วเอนตัวไปข้างหน้าชิดขอบโต๊ะ เพื่อลดระยะห่างระหว่างเขากับลั่วชิว


ยูริยื่นนิ้วทั้งสองออกมา ชี้ไปที่ดวงตาทั้งสองข้างของตนเอง แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ถ้าผมบอกว่าแค่แวบเดียวดวงตาคู่นี้ของผมมองออก คุณจะเชื่อไหมล่ะ?”


เขาเลิกตากว้าง บริเวณรอบๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดจำนวนมาก


“ทำไมจะไม่เชื่อล่ะครับ?” ลั่วชิวพูดไปส่งๆ “ถ้าผมเชื่อ นั่นก็หมายความว่าคุณยูริเป็นปรมาจารย์ด้านการวิจารณ์งานศิลปะคนหนึ่งเลยไม่ใช่เหรอครับ? ได้รู้จักปรมาจารย์ด้านการวิจารณ์งานศิลปะสักคนก็เป็นเรื่องน่ายินดีนี่ครับ ส่วนที่ว่า…”


ลั่วชิวส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “…ถึงแม้จะถูกหลอก สำหรับผมแล้วไม่มีอะไรเสียหายหรอกครับ”


ยูริอ้าปากเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา หัวเราะคิกคักราวกับรู้สึกสนุก คาดไม่ถึงอะไรแบบนั้น


“ปรมาจารย์ๆ” พูดซ้ำๆ ราวกับจะล้อเลียน “ใช่ ไม่ผิดหรอก ผมเป็นปรมาจารย์ แต่ไม่ใช่ปรมาจารย์ด้านการวิจารณ์งานศิลปะ แต่เป็น ปรมาจารย์ด้านการวาดภาพคนหนึ่ง ฮ่าๆ!”


ลั่วชิวจิบน้ำดื่มไปอีกรอบ “คุณยูริเคยมีผลงานไหมครับ?”


ยูริรินเหล้าดื่มเองแก้วแล้วแก้วเล่า ไม่รู้ว่าสายตาเขาเริ่มทอดมองต่ำราวกับเมาหัวราน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่ “ผลงาน? แน่นอน เยอะเลยแหละ…ที่เต็มท้องถนนทั้งหมดนั่นก็ใช่…ที่ใช้เช็ดก้นในห้องน้ำทั้งหมดนั่นก็ใช่…”


“คุณยูริเคยได้ยินที่พูดว่าลองทำเพียงผิวเผินก็เลิกไหมครับ?” ลั่วชิวพูดไปแล้วก็หันไปขอน้ำอุ่นกับบริกรแก้วหนึ่ง ก่อนเลื่อนไปวางตรงหน้ายูริ


แต่เห็นได้ชัดว่ายูริสนใจวอดก้าใกล้หมดขวดนี้มากกว่า จึงรู้สึกเฉยๆ กับน้ำอุ่นแก้วนี้ “ตอนที่ดื่มเหล้าได้ทำไมไม่ดื่มล่ะ? พอเดินออกจากห้องอาหารนี้แล้ว ยังไงพวกเราก็ไม่ได้เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว คุณแค่อยากรู้ว่าผมเป็นคนยังไงก็เท่านั้น เพราะงั้นถึงได้อยู่ที่นี่กับผม เลี้ยงข้าวผม…คงจะอยากรู้เรื่องราวของผม ไม่ใช่เหรอ?”


ลั่วชิวตอบว่า “ก็คิดแบบนั้นจริงๆ แหละครับ…อืม ช่วงนี้เหมือนจะสนใจแต่เรื่องแบบนี้”


ยูริหัวเราะเหยียดหยาม มองพิจารณาอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงมองสาวสวยที่อยู่ข้างๆ คนนั้นแวบหนึ่ง แล้วพูดพึมพำเบาๆ ว่า “คนมีเงินอย่างคุณเนี่ย สิ่งที่ชื่นชอบมากที่สุดคือการนั่งอยู่ในที่อุ่นๆ ฟังเรื่องราวหดหู่จับใจ ได้รู้สึกถึงความหนาวเหน็บชวนทอดถอนใจในหน้าหนาวอยู่หน้าเตาผิง ให้จิตใจที่เปี่ยมด้วยความสงสารได้รู้สึกอิ่มเอมหรอกเหรอ…”


ลั่วชิวไม่ได้คิดจะอธิบายอะไรจึงพูดขึ้นทันทีว่า “คุณยูริ อยากพักผ่อนไหมครับ? ชั้นบนของที่นี่น่าจะให้พักได้”


ตอนนี้ยูริก็เหมือนหนุ่มขี้เมาคนหนึ่งไปแล้ว มือของเขากุมศีรษะตนเองไว้ มองบริกรที่อยู่แถวข้างๆ ห่างออกไปไม่ไกล แล้วเขาก็กวักมือเรียกทันที


บริกรคนนั้นอึ้งไป จากนั้นก็เดินมาพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนพูดอย่างสุภาพว่า “คุณผู้ชายมีอะไรให้รับใช้ครับ?”


ยูริพูดขึ้นทันที “คุณเต้นเป็นไหม? ถอดเสื้อผ้าให้หมดแล้วไปเต้นตรงนั้น”


บริกรหนุ่มคนนี้ชะงักไป แต่ยังคงพูดอย่างสุภาพว่า “คุณผู้ชายครับ ผมคิดว่าคุณคงจะเมาแล้ว… คุณมีอะไรให้ช่วยไหมครับ?”


ตอนนี้ยูริกลับหัวเราะพลางส่ายหัว แล้วเขาก็เอียงหัวหันไปมองทางลั่วชิว เขาดีดนิ้วอยู่หลายครั้ง แล้วพูดขึ้นทันทีว่า “คุณมีธนบัตรติดตัวอยู่เท่าไร?”


อันที่จริงลั่วชิวอยากรู้เหลือเกินว่าชายที่ดูราวกับคนเร่ร่อนคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่ เขาจึงส่งซิกสายตาไปทางคุณสาวใช้


คุณสาวใช้จึงหยิบธนบัตรรูเบิลมูลค่าสูงใหม่เอี่ยมปึกหนึ่งจากกระเป๋าถือขนาดเล็ก แล้วไปวางตรงหน้ายูริ โดยไม่ปริปากสักคำ


ยูริผิวปากแล้วชูธนบัตรเป็นฟ่อนราวกับก้อนอิฐนี้ขึ้นมา พลางกรีดนิ้วไปที่ธนบัตร จากนั้นเขาถึงได้ยันโต๊ะลุกขึ้นยืนแล้วจ้องมองบริกรคนนี้ “ถอดเสื้อผ้าออกแล้วมาเต้นตรงนี้ เงินพวกนี้ก็จะเป็นของนายทั้งหมด”


บริกรมองธนบัตรปึกหนึ่งที่ยัดมาในมือเขา ก่อนมีสีหน้านิ่งอึ้งไปทันที



“ฮ่าๆๆๆๆ!!! ฮ่าๆๆๆๆ!!! ฮ่าๆๆ…แค่กๆ…ฮ่าๆ…พอแล้วๆ นายออกไปเถอะ!”


ยูริหัวเราะลั่น มือข้างหนึ่งถือขวดเหล้า มือข้างหนึ่งจับแก้วไว้ มองบริกรที่กำลังก้มหน้ารีบเก็บเสื้อผ้าบนพื้นคนนี้


หลังจากบริกรถอดชุดทั้งหมดออกในร้านอาหาร เหลือเพียงถุงเท้าคู่หนึ่ง กางเกงในตัวหนึ่ง และหูกระต่ายไปแล้ว เขาก็รีบคว้าเสื้อผ้าวิ่งออกไปทันที


แล้วยูริก็นั่งลงไปใหม่อีกครั้ง “เห็นแล้วหรือยัง? มีเงินเป็นเรื่องที่ดีมากเลยจริงๆ ก็เหมือนตอนที่คุณบอกให้ผมเข้าไปพักในโรงแรมนี้เมื่อกี้นั่นแหละ เห็นได้ชัดว่า ก่อนหน้านี้บริกรคนนี้ดูถูกผม…แต่ว่า เมื่อกี้นี้คุณเห็นไหมว่าเขาทำอะไรลงไป? ขอเพียงแค่มีเงิน ไม่สนว่าเป็นของผมหรือของคุณ เขาก็ถอดเสื้อผ้าเต้นได้เลย”


แล้วเขาก็เรอกลิ่นเหล้าออกมา “สำหรับคนทั่วไปแล้ว หาเงินหนึ่งปียังไม่ได้เท่าธนบัตรปึกนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่คุณกลับหยิบออกมาโดยไม่ลังเลสักนิด ผมยัดเงินใส่มือบริกรนั่นคุณก็ไม่สะทกสะท้าน เพียงเพราะคุณอยากลองดูว่าต่อไปจะเกิดเรื่องสนุกๆ อะไรก็เท่านั้นเอง ของที่คนยอมทิ้งศักดิ์ศรีเพื่อแลกมันมา แต่สำหรับคุณแล้วคงเป็นเพียงเครื่องมือใช้ทำเรื่องสนุกๆ เท่านั้น”


เจ้าของร้านลั่วดื่มน้ำเป็นครั้งที่สามอย่างไม่ใส่ใจ “คุณยูริอยากจะบอกอะไรเหรอครับ?”


“ในเมื่อคุณชอบดูเรื่องสนุกๆ แบบนี้ แล้วทำไมไม่เอาเงินให้ผมเยอะๆ ล่ะ?”


“อย่างที่คุณยูริบอก สำหรับผมแล้ว เงินไม่ได้มีความหมายเลยจริงๆ” ลั่วชิวพยักหน้าพูดว่า “ดังนั้นที่คุณบอกว่าผมใช้มันเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งก็ถือว่าไม่ผิด…แต่เมื่อกี้ผมอยากรู้มากถึงได้ให้เงินคุณไป แล้วคุณก็ให้ผมได้ดูเรื่องสนุกอยู่บ้าง แต่แบบเมื่อกี้มันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น…”


ลั่วชิวมองยูริ แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “คุณยูริคิดว่า ถ้าผมให้เงินก้อนใหญ่กับคุณ แล้วคุณจะให้ผมดูอะไรอีกบ้างล่ะครับ?”


ยูริหัวเราะลั่วแล้วพูดว่า “นั่นสินะ จะให้ดูอะไรบ้าง?”


ดูเหมือนว่าเขากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก เขาเลยส่ายหัวไปมาอีกครั้ง “เอ่อ…อื้ม! อืม…ผมขอคิดดูก่อน…ใช่แล้ว คุณน่าจะได้เห็นผมใช้ชีวิตเสพสุข ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยหาเลี้ยงชีพอีกต่อไป ดูที่พักหรูหราระดับแนวหน้าที่ผมเวียนเข้าออกประจำ ดูสาวงามที่อยู่ข้างกายผม ดูผมใช้ชีวิตอย่างที่คนทั่วไปใฝ่ฝันถึง…”


ยูริเมาเรอเอิ๊กอ๊าก ดูแทบจะใกล้หลับไปแล้ว “แบบนี้พอไหม…”


“แต่ผมไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลยครับ” ลั่วชิวส่ายหน้า


“อ๋อ…งั้นเหรอ…” ยูริแหงนคอขึ้น แล้วกางขาทั้งสองข้างออก นั่งด้วยท่าทางไม่สุภาพอย่างที่สุด


“แต่ว่าคุณซื้อความร่ำรวยมหาศาลจากพวกเราได้ครับ”


“ซื้อเหรอ?”


“ฟังไม่ผิดหรอกครับ บางคนจนตรอกยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อเงิน ทำงานที่มีความเสี่ยงสูง จนถึงกับติดโรคเพราะสาเหตุนี้ ทำให้สุขภาพทรุดโทรมเร็วและอายุสั้น…และมีบางคนยอมละทิ้งศักดิ์ศรีเพื่อเงินได้ บางคนก็แตกคอกับญาติพี่น้องได้เพื่อเงิน คุณยูริไม่คิดเหรอครับว่าขณะที่คนพวกนี้ได้รับเงินทองมากมายมหาศาล พวกเขาก็ได้สูญเสียสิ่งสำคัญของพวกเขาไปด้วยเหมือนกัน? หรือบางทีอาจแลกมาด้วยอายุขัยของตัวเอง”


ยูริชี้นิ้วไปที่ลั่วชิว เขายิ้มแล้วพูดว่า “คุณจะบอกว่า ผมเอาของพรรค์นี้ไปแลกกับคุณได้งั้นเหรอ? งั้นก็เยี่ยมจริงๆ …เยี่ยม…”


ปึง!


แต่ยูริยังไม่ทันพูดจบ ก็หลับปุ๋ยหัวกระแทกไปบนโต๊ะอาหารทันที


คำพูดทั้งหมดของเขาเมื่อครู่ เป็นแค่คำพูดเหลวไหลเพราะเมาเหล้าเท่านั้นเอง บางทีหลังจากที่เขาสร่างเมาแล้วก็จะลืมไปเองล่ะมั้ง


ฟี้!


บทที่ 29 เหตุการณ์โกลาหล

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตื่นมาด้วยสภาพปวดหัวแทบระเบิด น่าจะเป็นเรื่องปกติของคนที่เคยชินกับการดื่มวอดก้า


ยูริตื่นขึ้นมาแล้ว เขาพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ เขามองฝ้าเพดานที่ตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามเงียบๆ


เจอคนแปลกๆ ซะแล้ว


ยูริพูดกับตัวเองแบบนี้ ในขณะเดียวกันเขาก็คิดจะอาบน้ำให้สะใจสักรอบ อาการแฮงก์จะได้ดีขึ้นบ้าง


แต่พอยูรินั่งลงข้างเตียง เขากลับเห็นการ์ดดำใบหนึ่งวางอยู่บนขอบหน้าต่าง จึงยื่นมือไปหยิบการ์ดใบนี้โดยอัตโนมัติ


วินาทีที่นิ้วแตะโดนมัน ภาพเหตุการณ์บางอย่างก็ไหลเข้าสู่สมองทันที…เขาจำเรื่องก่อนเมาหลับไปได้แล้ว


ยูริจึงลุกขึ้นยืน แล้วรีบเดินไปที่ข้างหน้าต่างทันที พอผลักหน้าต่างออก เขาก็รีบโยนการ์ดสีดำในมือใบนี้ทิ้งไปทันที


เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องทำแบบนี้ อาจเพราะวู่วามไปหน่อย แต่เขากลับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าการกระทำวู่วามนี้จะทำให้เขาสบายใจได้บ้าง


พออาบน้ำเสร็จ หลังจากที่ยูริกินอาหารเช้าที่เกือบจะกลายเป็นอาหารกลางวันที่ห้องโถงของโรงแรมแล้ว เขาก็มองไปรอบๆ ฉับพลันเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปที่ไหนดี เหมือนกับตอนที่เขาเพิ่งมาถึงเมืองนี้ครั้งแรก


แต่ที่ไม่เหมือนกับครั้งนั้นคือในความสับสนยังแฝงไว้ด้วยความตื่นเต้น แต่ตอนนี้ความตื่นเต้นก็ได้หายไปแล้ว กลายเป็นความทุกข์เข้ามาแทนที่


“ควรไปจากที่นี่ดีไหม…” ยูริกำลังถามตัวเองเบาๆ


แต่แป๊บเดียวเขาก็ได้คำตอบ ‘ไม่!’


ยูริสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลับตัวเดินเข้าไปในโรงแรมแห่งนี้ เขาจมดิ่งสู่ห้วงความคิด ขณะนั่งจ้องนาฬิกาเรือนใหญ่บนผนังในล็อบบี้ของโรงแรม


แต่หลังจากเข็มนาทีเดินไปครึ่งรอบแล้ว ยูริก็กัดฟันไปขอยืมโทรศัพท์จากพนักงานในล็อบบี้และต่อสายโทรศัพท์


ยูริพยายามทำให้ตัวเองดูสุขุมและมั่นใจอย่างสุดความสามารถ…พนักงานต้อนรับที่เคาน์เตอร์ไม่ได้สังเกตเขาเลย แค่ก้มหน้าทำงาน ยูริถึงได้หันตัวมาแกล้งทำเป็นมองทางเข้าโรงแรมไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานก็มีคนรับสาย


“ผมเอง…พวกคุณไม่คิดว่าผมจะหนีออกมาได้ล่ะสิ…จริงๆ ก็ไม่เท่าไรหรอก คุณเยฟิม สถานการณ์ของผมตอนนี้พูดได้ว่าย่ำแย่…ฮ่าๆ เพราะแบบนี้แหละ ผมถึงต้องให้พวกคุณจ่ายค่าตอบแทนที่ผมควรได้รับ…เพื่ออะไรน่ะเหรอ? ใช่ เหมือนอย่างที่คุณพูดไว้เปี๊ยบเลย คนที่ระหกระเหินอย่างผมนี่ คุณเยฟิมจะต้องคิดแน่ๆ ว่าผมจะฟันฝ่าคลื่นลมออกไปไม่ได้…หรือคุณเยฟิมคิดว่าถ้าผมไม่มีของบางอย่างในมือแล้วผมจะโทรหาคุณเฉยๆ งั้นเหรอ?”


ตอนที่ปลายสายโทรศัพท์เงียบไป บนใบหน้าของยูริก็เผยให้เห็นรอยยิ้มเย็นชา “ง่ายมากครับ ผมต้องการค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ คืนนี้ตอนสองทุ่มที่สถานีรถไฟใต้ดินลูก้าบูโลญ…ให้แอนนามาคุยกับผมด้วยตัวเอง”


พูดจบ ยูริก็วางสายไปด้วยความเด็ดขาด




นี่เป็นไพ่โป๊กเกอร์ใบที่ยี่สิบเจ็ดแล้ว พวกมันร่อนจากนิ้วมือของเวร่าไปไกลกว่าสามเมตร แล้วปักเรียงกันอยู่บนคานไม้


อย่าเข้าใจผิด ความจริงแล้วนี่เป็นไพ่โป๊กเกอร์ที่ทำจากโลหะ ถ้าหากเป็นแค่ไพ่กระดาษธรรมดาๆ…คิดว่าเป็น ‘เทพเจ้าแห่งการพนัน’ เหรอ?


“เช็กข้อมูลของเจ้านั่นได้แล้ว” ตอนนี้วิคก้าออกจากห้องมาพร้อมกับถือเอกสารที่ปรินต์ออกมา


ขณะที่ปาไพ่ใบที่ยี่สิบแปด เวร่าก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “ลองพูดให้ฟังหน่อย”


“ชื่อของเจ้านี่คือยาคอฟ เป็นหัวหน้าแกลเลอรีศิลปะ ทำงานมาได้สิบสามปีแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนมาจากเบลารุส อืม…แต่งงานแล้ว มีลูกชายหนึ่งหญิงหนึ่ง” วิคก้าพูดอย่างเรียบง่าย “นอกจากนี้เขายังสมัครบัญชีผู้ใช้ในเว็บพนันออนไลน์ไว้สามเจ้า…อืม จำนวนเดิมพันของเจ้านี่ค่อนข้างสูง แต่ส่วนใหญ่แล้วเขามักจะแพ้มากกว่าชนะ ดูแล้วรายรับของหัวหน้าแกลเลอรีคนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ”


เวร่ากางขาเพื่อหมุนเก้าอี้หมุนที่นั่งอยู่ ให้หันไปอยู่ตรงข้ามวิคก้า ไพ่โป๊กเกอร์โลหะใบที่ยี่สิบเก้าก็บินร่อนผ่านหน้าผากของวิคก้าไปตามกัน ชายที่ค่อนข้างผอมคนนี้จึงตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก “เจ้าหมอนี่น่าสงสัย”


“คุณคิดว่ายาคอฟเป็นคนขโมยภาพนี้ออกมาเหรอ?” วิคก้ากำลังใช้แฟ้มเอกสารในมือบังที่ด้านหน้าของตัวเอง แล้วเดินไปด้านข้างของเวร่าอย่างระแวดระวัง เห็นเธอไม่ได้ร่อนไพ่ต่อแล้วถึงได้ถอนหายใจนั่งลง


เวร่าปล่อยให้เก้าอี้หมุนต่อเนื่อง “แพ้เยอะชนะน้อย สถานะทางการเงินน่าจะต้องลำบากแน่ๆ แต่ก็ยังคงเดิมพันได้อย่างต่อเนื่อง นี่ก็พิสูจน์แล้วว่ามีทรัพย์สินในบ้านไม่น้อยเลย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าแค่เงินเดือนของหัวหน้าแกลเลอรีศิลปะไม่น่าพอ”


“เขามีรายได้พิเศษ…” วิคก้าพูดเร็วๆ ว่า “ใช้อำนาจของตัวเอง ขโมยภาพที่มีชื่อเสียงพวกนี้ออกมาจากแกลเลอรีศิลปะ จากนั้นก็รีดเงิน!”


พอวิคก้าตบหัวของตัวเองปุ๊บ ก็ชี้เวร่าแล้วพูดว่า “เพื่อไม่ให้เรื่องของตัวเองถูกเปิดเผย ก็เลยโยนความผิดมาให้คุณ!”


เวร่ามองตาค้อน เธอผลักมือของวิคก้าออกไป แล้วพูดแก้ตัวว่า “คนที่ถูกโยนความผิดมาให้เป็น F&C!ไม่ใช่ฉัน!”


“เอาเถอะ…งั้นคุณคิดจะทำยังไง?”


เวร่าคิดไปสักพัก “ฉันแค่รู้สึกแปลกๆ ว่าเขาทำให้ภาพนี้หายไปเองได้ยังไงกัน”


วิคก้า “…”


คุณควรห่วงเรื่องจะล้างมลทินจากเรื่องนี้ยังไงไม่ใช่เหรอ!??


เวร่าลุกยืนขึ้นแล้วใส่เสื้อคลุมทันที


วิคก้ารีบขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “สองวันก่อนหัวหน้าแก๊งมาเฟียแก๊งหนึ่งจัดการแข่งมวยผิดกฎหมายขึ้นที่นี่ ไม่รู้ว่าถูกใครจับตัวไป แล้วเปิดโปงเบื้องหลังที่เกี่ยวพันไปถึงคนจำนวนไม่น้อยด้วย ภาพมีชื่อเสียงระดับโลกของที่นี่ก็มาถูกขโมยไปอีก ผมคิดว่าตำรวจต้องเริ่มตื่นตัวกันแล้วแน่ๆ คุณอย่าทำเรื่องส่งเดชจะดีกว่า”


“ในเมื่อภาพถูก F&C ขโมยไป งั้นก็ควรจะอยู่ในมือของ F&C ถึงจะถูกไม่ใช่เหรอ?” เวร่ายิ้มแล้วพูดอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “ฉันจะไปดูบ้านเจ้าหมอนี่หน่อย นายสแตนบายเตรียมช่วยฉันตลอดเวลาด้วยล่ะ”


ไม่ได้ฟังคำเตือนกันบ้างเลย!


“แล้วเรื่องมาพักผ่อนที่มอสโกล่ะ?” วิคก้าบ่นพึมพำ


ปัง เธอปิดประตูไปแล้ว




ครืน!!


บนชานชาลา ลมแรงพัดมาตามที่รถไฟใต้ดินเข้าเทียบชานชาลา พอรถไฟใต้ดินหยุดลง คนบนชานชาลาก็แออัดทันที


แอนนาเป็นผู้หญิงที่สวยงามตามแบบฉบับดั้งเดิมของผู้หญิงรัสเซีย เธอมักจะสะพายกระเป๋าสายสะพายยาวๆ ใบเล็กๆ เรียบง่ายติดตัวอยู่เสมอ เธอนั่งรอจนกระทั่งคนลงจากขบวนมาเกือบหมดแล้ว เธอถึงได้ยืนขึ้นแล้วเดินไปที่ประตูทางเข้า


รอยยิ้มของเธอสวยหยาดเยิ้ม ตอนเดินเหมือนนางแบบที่เดินอยู่บนแคทวอล์ก ผสมผสานมุมมองสไตล์ความงามในอดีตกับยุคปัจจุบันไว้ด้วยกัน เพียงแป๊บเดียวก็ดึงดูดสายตาของผู้ชายไว้ได้จำนวนมาก


เธอมองไปรอบๆ ฝูงชน เหมือนกำลังหาใครบางคน


“หยุด ไม่ต้องหันมา” ทันใดนั้น แอนนาก็ได้ยินเสียงจากด้านหลังของเธอ


เสียงนั้นพูดต่อไปว่า “ตอนนี้ค่อยๆ หันมาทางด้านรางรถไฟช้าๆ จำไว้ว่าอย่าหันตัวมา”


เธอรู้สึกว่ามีอะไรจิ้มเบาๆ อยู่ที่ข้างหลังเธอ


แม้ว่าแอนนาจะมองไม่เห็น แต่เธอยังคงเผยรอยยิ้ม พร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า “ยูริ ใจเย็นหน่อย…ฉันดีใจมากที่คุณบอกคุณเยฟิมว่าให้ฉันเป็นคนมาคุย ดีใจมากจริงๆ ที่ได้พบคุณอีกครั้ง”


ยูริแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “จริงเหรอ? น่าดีใจกว่าตอนที่คุณคลานอยู่บนตัวไอ้งั่งเยฟิมนั่นอีกเหรอ?”


แอนนาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ยูริ คุณน่าจะรู้ความลำบากของฉัน…ฉันก็ไม่ได้อยากหลอกคุณเลยจริงๆ”


“เอาล่ะคุณแอนนา ผมไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว จะไม่ยอมทิ้งความตั้งใจของตัวเองแล้วมานั่งสิ้นหวังด้วยเรื่องเล็กๆ แบบนี้หรอก ความโกรธของผมมันหมดไปนานแล้ว” ยูริพูดอย่างเฉยเมยว่า “ผมไม่สนว่าคุณจะเคยรู้สึกดีๆ กับผมบ้างหรือเปล่า เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญเลย ผมแค่ต้องการเงิน เข้าใจไหม?”


แอนนาพูดขึ้นทันที “ได้ยินมาว่าในมือคุณมีของบางอย่าง มันคืออะไรกันแน่?”


“คุณคิดว่าผมจะบอกคุณเหรอ? ” ยูริหัวเราะเยาะ


แอนนาพยักหน้าเล็กน้อย “โอเค ในเมื่อคุณตรงไปตรงมาแบบนี้ ทางฉันก็จะตรงไปตรงมาด้วยแล้วกัน…คุณอยากได้เท่าไรกันแน่? อีกอย่าง คุณไม่คิดหรือว่าถ้าให้พวกเราได้เห็นของ แม้จะเป็นเพียงแค่บางส่วน ก็จะทำให้คุณมีอำนาจต่อรองเพิ่มมากขึ้น แล้วคุณก็ได้กลายเป็นต่อน่ะ? ถ้าไม่มีการพิสูจน์ พวกเราก็จะไม่ให้คุณต่อรองอะไรง่ายดายแบบนี้เหมือนกัน”


ระหว่างที่แอนนาพูดอยู่ เธอก็ค่อยๆ ลดแขนตัวเองลงช้าๆ แล้วเปิดกระจกในตลับเครื่องสำอางอันเล็กๆ ในมือออกช้าๆ แล้วขยับส่องไปทางด้านหลัง


“สิบล้านยูโร”


“ไม่มีปัญหา แต่อย่างน้อยคุณต้องให้พวกเราเห็นบางส่วนของสิ่งนั้นก่อน” แอนนาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย


ยูริสบถแล้วพูดว่า “คุณคิดว่าผมจะให้พวกคุณดูเหรอ? เรื่องนี้พวกคุณไม่มีสิทธิ์ต่อรอง พวกคุณทำได้แค่เลือกว่าจะจ่ายหรือไม่จ่ายเท่านั้น!”


“ยูริ” แอนนาร้องลั่นทันที แล้วหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับยูริ


“ผมบอกไม่ให้คุณหันมาไง! หรือว่าคุณไม่กลัวตายเหรอ?” ยูริเบิกตากว้างแต่ไม่สามารถอำพรางความตื่นตระหนกในดวงตาได้


แอนนายิ้มเล็กน้อย เธอกำลังมองดูชุดที่ยูริคลุมไว้บนแขน ก่อนยื่นมือออกมาจับแขนของยูริ แล้วแหวกเสื้อตัวนี้ออก


การเคลื่อนไหวของเธอรวดเร็วมาก


“นิ้วมือยิงลูกกระสุนได้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”


“เฮอะ!” ยูริสบถเสียงเย็นชา แล้วก็พูดหนักแน่นว่า “ถึงคุณจับได้แล้วจะยังไงล่ะ? คุณคิดว่าของสำคัญแบบนี้ผมจะพกไว้ติดตัวเหรอ? จะบอกอะไรให้นะ ถ้าผมไม่ได้กลับไปอย่างปลอดภัย พรุ่งนี้ทั้งมอสโกจะต้องรู้เรื่องของพวกคุณ!”


“อย่าตื่นตกใจไป” แอนนาเม้มปากแล้วยิ้ม เข้าไปหายูริใกล้ๆ อีกหนึ่งก้าว


“อย่าเข้ามา!” ยูริถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยอัตโนมัติ


แอนนายังคงเดินเข้าไป ยูริเลยต้องเดินถอยหลังทีละก้าวทีละก้าว จนเข้าไปใกล้กำแพง ตอนนี้ไม่มีทางให้ถอยหนีอีกแล้ว เขาจึงคิดหนักที่จะหนีไปจากที่นี่


แต่มือของเขากลับถูกแอนนาจับไว้อย่างรวดเร็ว ผู้หญิงคนนี้เคลื่อนไหวเร็วมาก แป๊บเดียวก็จูบเข้าที่ริมฝีปากของเขา


จูบที่เร่าร้อนดั่งไฟเผา เขาเคยลิ้มรสมันมาแล้ว คืนแบบนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าล้วนแต่ทำให้เขาหลงอยู่ในความสวยพร่างพรายนี้


แต่ไม่นานเขาก็ได้สติ!


ความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นทีละนิดๆ จนเกินกว่าเขาจะทนไหว ทำให้ลูกตาของเขาเบิกกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว


ในมือแอนนามีปืนสั้นขนาดกะทัดรัดสีเงินแวววาว วินาทีที่รถไฟใต้ดินเข้าสู่ชานชาลา เสียงปืนก็ดังขึ้นหลายนัด ท่ามกลางเสียงเบรกของรถไฟใต้ดินที่ดังแสบแก้วหู


มีเพียงชุดที่ยูริคว้าอยู่ก่อนหน้านั้นคั่นกลางไว้


สองหรือสามนัด?


เมื่อแอนนาถอนจุมพิตออกไป ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เธอใช้มือมาปิดบังไว้ แอนนาเขย่งปลายเท้าขึ้นมา พูดเบาๆ ที่ข้างหูของยูริราวกับเสียงกระซิบของคู่รักว่า “ยูริที่รัก บางทีคุณอาจไม่รู้ว่าฉันเข้าใจคุณ และมากกว่าที่คุณเข้าใจตัวเองเสียอีก ฉันจำแววตาและการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของคุณได้ทั้งหมด…ดังนั้นการเจรจาจึงไม่ใช่เรื่องที่ผู้ชายดีๆ คนหนึ่งควรจะทำ”


“แอนนา…”


ยูริรู้สึกว่าเรี่ยวแรงในตัวกำลังหายไปอย่างรวดเร็ว


“ฉันจะคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่กับคุณ” แอนนาพูดเหมือนเป็นภรรยาของเขา ก่อนเข้าไปซุกในอกยูริ แล้วพูดว่า “ลาก่อน”


เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วกลับตัวเดินเข้าไปในรถไฟใต้ดินที่กำลังจะออกตัว



ไม่ควรอยู่ที่นี่เลย…ควรจะไปจากที่นี่ถึงจะถูก


เขากำลังเสียใจอยู่อย่างนี้


ร่างกายของยูริไถลลงไปตามกำแพงช้าๆ ถึงขนาดจะอ้าปากพูดก็ไม่มีแรง เมื่อเขาทรุดนั่งลงมาบนพื้นทั้งตัว บนกำแพงก็มีรอยเลือดสีแดงสดอยู่จุดหนึ่ง


ในที่สุดผู้คนก็ค้นพบว่าตรงนี้มีผู้ชายบาดเจ็บอยู่คนหนึ่ง จึงเริ่มโกลาหลขึ้นมาอย่างหนัก มีคนเดินมาเช็กดู และก็มีคนรีบเรียกรถพยาบาล


ยูริรู้สึกแค่ว่าเสียงนั้นกำลังอยู่ไกลตัวเองออกไป ภาพในตาก็เริ่มทับซ้อนและเลือนราง


เหมือนเขาคว้าอะไรได้ ตอนที่ตัวล้มลงไปบนพื้นแล้ว เขาพบการ์ดสีดำสนิทใบหนึ่งในมือ…เป็นการ์ดใบนั้นที่เขาโยนทิ้งไปหรอกเหรอ?


ยูริไม่รู้


แต่เขาได้ยินเสียง


“คุณลูกค้า คุณต้องการอะไรไหมครับ?”


บทที่ 30 วิชาล้มเหลว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนกลางคืน


ด้านในของวิหารซึ่งมีโดมคล้ายรูปหัวหอมหลายโดมฉาบด้วยสีสันหลากหลายราวกับป้อมปราการ เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวไม่สามารถเยี่ยมชมได้


อนาโตลี่สวดภาวนาวันนี้เรียบร้อยแล้ว ตอนที่เขาหันกลับมาถึงได้เห็นพระสังฆราชปีเตอร์ที่สวมชุดคลุมสีขาว


อนาโตลี่รีบเดินมาข้างๆ พระสังฆราชปีเตอร์ พูดอย่างเคารพว่า “พระสังฆราช ท่านมาหาผมหรือครับ?”


“อนาโตลี่ คุณตามผมมาหน่อย” พระสังฆราชปีเตอร์พูดด้วยเสียงอ่อนโยน


อนาโตลี่พยักหน้าทันทีโดยไม่ลังเล แล้วเดินตามหลังพระสังฆราชไปติดๆ เขาพบว่าที่ที่ตนเองจะไปนั้น เหมือนจะเป็นสถานที่ที่ปกติห้ามเข้า


อีกอย่าง เขารู้สึกได้ถึงพลังจากพระเจ้าที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ บาทหลวงที่ผ่านการฝึกตนอย่างเคร่งครัด และมีความศรัทธาในจิตใจอย่างสุดซึ้งเท่านั้น ถึงจะสัมผัสถึงสิ่งนี้ได้


ส่วนถ้าคิดจะใช้นั้นก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งกว่า อนาโตลี่อยู่ในกลุ่มหัวกะทิของนิกายออร์โธดอกซ์ในยุคสมัยนี้ หลังจากจบจากสำนักฝึกบาทหลวงมา ก็ถูกส่งมาฝึกงานเป็นผู้ช่วยบาทหลวงอยู่ในโบสถ์แห่งนี้


ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นสังฆานุกร*อย่างเป็นทางการตามมุมมองที่โลกภายนอกมองเกี่ยวกับนิกายออร์โธดอกซ์ และมีคุณสมบัติของบาทหลวงด้วยเช่นกัน แต่ในองค์กรศาสนาจริงๆ นั้นเขากลับเป็นแค่ผู้ที่เพิ่งก้าวเข้ามาใหม่เท่านั้น


“พระสังฆราชปีเตอร์ครับ ที่นี่คือ…” อนาโตลี่อดไม่ได้ที่จะแสดงความสงสัยของตนออกมา


แต่พระสังฆราชที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ได้พูดอะไร แล้วผลักประตูบานหนึ่งตรงสุดทางเดินออก ที่นี่เหมือนจะเป็นโบสถ์เล็กๆ เช่นกัน


อนาโตลี่พบว่า ตอนนี้ตรงหน้ารูปปั้นพระเจ้ามีคนคนหนึ่งยืนอยู่ และยังสวมชุดบาทหลวงเช่นกัน


พระสังฆราชปีเตอร์มองอนาโตลี่ แล้วพูดเบาๆ ว่า “เข้าไปเถอะ ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้น แต่ก็ต้องเคารพยำเกรงอยู่ในใจด้วย”


อนาโตลี่มองเห็นสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อยบนใบหน้าของพระสังฆราชผู้นี้ ทำให้เขาอดฉงนสนเท่ห์ในใจไม่ได้ แต่เขาก็ได้แต่ทำตามที่พระสังฆราชบอก


ตอนที่เขาเดินเข้าไปในโบสถ์เล็กๆ ภายในมหาวิหารนี้ อนาโตลี่ก็พบว่าพระสังฆราชปิดประตูทางออกเสียแล้ว อีกทั้งพระสังฆราชไม่ได้ตามเข้ามาด้วย


อนาโตลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วจึงเดินมาด้านหลังบาทหลวงผู้นี้


ในชั่วพริบตานั้นเอง เขารู้สึกได้ถึงพลังจากพระเจ้าที่มหาศาลบนตัวของอีกฝ่าย…สำหรับเขาแล้ว นี่เหมือนมหาสมุทรลึกก็ไม่ปาน


พระเมตตาของพระเจ้าดุจมหาสมุทร


ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ คำพูดนี้ถึงได้โผล่ขึ้นมาในหัวของอนาโตลี่ จนถึงกับทำให้เขาก้มศีรษะลงตามสัญชาตญาณ แล้วเขาก็ลืมเรื่องที่จะพูดไปหมดสิ้น


“เงยหน้าขึ้นเถอะ”


ในที่สุด บาทหลวงประหลาดคนนี้ก็หันกลับมา อนาโตลี่เงยหน้าขึ้นพร้อมกับแสดงสีหน้าประหลาดใจ


เขาเคยเห็นบาทหลวงคนนี้มาก่อน คนนี้คือผู้ช่วยพิธีกรรมธรรมดาสุดๆ ซึ่งมีหน้าที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวนอกวิหารนี้


ทำไมเขาถึงได้…


“คุณก็คืออนาโตลี่? ได้ยินปีเตอร์บอกว่า คุณเป็นสังฆานุกรอายุน้อยที่สุดที่เรียนจบจากสำนักฝึกบาทหลวงเมื่อไม่กี่ปีมานี้”


“ใช่ครับ” อนาโตลี่ไม่กล้าทำอะไรผิดพลาด เขาพยักหน้าเล็กน้อย แต่เห็นได้ชัดว่าเขามีสติแน่วแน่เป็นพิเศษ และไม่ได้ลุกลี้ลุกลนเพราะพลังอันมหาศาลจากพระเจ้าในตัวของอีกฝ่าย


“ผมชื่อซัลลิแวน”


“สวัสดีครับ คุณซัลลิแวน”


ซัลลิแวนยิ้มน้อยๆ มีความชื่นชมซ่อนอยู่ในแววตาของเขา เหมือนว่าค่อนข้างพอใจในตัวอนาโตลี่ทีเดียว แต่เขากลับพูดขึ้นทันทีว่า “สองวันก่อน คุณรู้สึกถึงอะไรบ้างไหม?”


อนาโตลี่พยักหน้าเล็กน้อย “มีกระแสความเลื่อมใสศรัทธาที่บริสุทธิ์มากๆ ครับ แต่ก็หายไปรวดเร็วมาก ผมก็ไม่เคยรู้สึกถึงดวงจิตที่บริสุทธิ์แบบนี้มาก่อนเลย”


ซัลลิแวนพูดขึ้นทันที “คุณรู้ไหม นั่นหมายความว่าอะไร?”


อนาโตลี่ส่ายหน้า


ซัลลิแวนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นั่นหมายความว่าในอนาคตดวงจิตที่ปรากฏขึ้นมากะทันหันดวงนี้จะกลายเป็นนักบุญสถิตบนสวรรค์”


อนาโตลี่อึ้งไป เขาเผยให้เห็นสีหน้าประหลาดใจอย่างยิ่ง ในที่สุดความสงบนิ่งบนใบหน้าก็จางหายไปไม่น้อย…เขารู้ว่านักบุญบนสวรรค์หมายถึงอะไร


ตอนนี้ซัลลิแวนพูดต่อไปอีกว่า “คุณรู้บ้างหรือไม่ ว่าเดิมทีคุณต้องมารับหน้าที่คอยเฝ้าตามดูดวงจิตนี้?”


อนาโตลี่อ้าปากค้าง เขาเผลอขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจว่ารับผิดชอบเฝ้าดูที่ท่านพูดถึงหมายความว่ายังไงกันแน่ครับ”


“หลับตาลง” ซัลลิแวนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ผมจะช่วยให้คุณจำเรื่องที่ลืมไปทั้งหมดเอง”


อนาโตลี่ไม่ได้ทำตามในทันที เขามองบาทหลวงธรรมดาๆ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบต้อนรับนักท่องเที่ยวผู้นี้… ผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง เขาถึงได้ค่อยๆ หลับตาลง


สิ่งที่ผมลืม? เขายังคงฉงนสนเท่ห์อยู่


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาก็อยากรู้จริงๆ


ซัลลิแวนยื่นฝ่ามือออกมา นิ้วมือแตะไปบนหน้าผากอนาโตลี่ ขณะเดียวกันเขาก็หลับตาลง ที่ตัวของเขาก็เริ่มเปล่งแสงละมุนออกมา


สีขาวอ่อนๆ และสงบ


“พระองค์ผู้สถิต…”


เขาเริ่มพูดภาษาโบราณบางอย่างออกมา อนาโตลี่พบว่า ภาษาโบราณแบบนี้ เขาเองก็เคยศึกษาในช่วงเวลาว่างที่สำนักฝึกบาทหลวง แต่เขาไม่สามารถแปลได้ทั้งหมด ขนาดคำพูดต่อมาของซัลลิแวน เขาก็ยังไม่เข้าใจเลย


เขารู้สึกได้ถึงพลังจากพระเจ้าซึ่งเหมือนกับกระแสน้ำไหล ค่อยๆ รินไหลเขามาในร่างเขา มากมายยิ่งกว่าเดิม เหมือนว่ามันกำลังรวมเข้ากับพลังจากพระเจ้าในตัวเขา


ภาพเลือนรางบางอย่างค่อยๆ ปรากฏขึ้นในหัวอนาโตลี่ทีละนิด


เขามองเห็นไม่ค่อยชัดเจน…แต่เหมือนมีใครพูดอะไรอยู่ข้างๆ หู เขาก็ได้แต่มองใบหน้าครึ่งเดียวที่เลือนรางนี้ขยับริมฝีปาก แต่ทว่ากลับไม่มีเสียงอะไร ทันใดนั้นเอง อนาโตลี่ก็ลืมตาขึ้น เขารู้สึกปวดหัวจี๊ดไปหมด


ตัวเขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว มองคุณซัลลิแวนคนนี้อย่างเสียไม่ได้ สิ่งที่เขามองเห็นมีแค่แววตาฉงนไม่แน่ใจของอีกฝ่าย


อนาโตลี่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะจำอะไรได้มากขึ้นเลย ขนาดภาพที่เพิ่งปรากฏในหัวตอนนี้ก็จางหายไปช้าๆ


“ท่านครับ ผมยังนึกอะไรไม่ออกเลยครับ” อนาโตลี่พูดช้าๆ…แน่นอนว่าแววตาเขาก็มีความสงสัยอยู่ด้วยเช่นกัน


พระเมตตาของพระเจ้าดุจมหาสมุทรที่คนคนนี้แสดงออกมาให้เห็น…เป็นแค่ภาพลวงตาเหรอ?


นี่มันน่าอึดอัดมากเลยนะ


“ผมรู้”


ซัลลิแวนพยักหน้าเล็กน้อยช้าๆ แล้วก็หันกลับไปช้าๆ เช่นกัน จากนั้นก็เงยหน้ามองรูปปั้นพระเจ้าที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่ได้พูดอะไร แต่อนาโตลี่กลับรู้สึกถึงพระเมตตาของพระเจ้าดุจมหาสมุทรจากตัวซัลลิแวนเช่นเดิม


แต่จริงๆ แล้วเขา…อายมากจริงๆ


แต่ขณะเดียวกันก็…หวาดกลัว




“หลบหน่อย! หลบหน่อย! หลบหน่อย!”


ตอนนี้พวกบุรุษพยาบาลในเครื่องแบบกำลังยกเปลหามแหวกฝูงคนมาอย่างรีบร้อน และพูดตะโกนเสียงดังว่า “ผู้บาดเจ็บอยู่ที่ไหน?”


แต่ตอนที่พวกเขามาถึงแล้ว สิ่งที่เห็นมีเพียงแค่รอยเลือดที่ยังติดบนผนัง แต่ตัวคนไม่อยู่แล้ว “ผู้บาดเจ็บล่ะ? ไม่ใช่ว่ามีคนโดนยิงได้รับบาดเจ็บเหรอ?”


“เมื่อกี้ยังมีคนอยู่เลย แต่…แต่แป๊บเดียวก็ไม่เห็นแล้ว”


หัวหน้าที่เข้าเวรรถพยาบาลขมวดคิ้วแล้วก็พูดอย่างโมโหทันที “คุณบอกผมมาสิ คนที่ถูกยิงล้มไปแล้ว เลือดไหลเยอะขนาดนี้หายตัวไปต่อหน้าพวกคุณในชั่วพริบตาได้ หรือว่าเขาเป็นนักมายากลที่ใช้วิชาล่องหนหายตัวได้หรือไง?”


“แต่ว่า…”


“พอได้แล้ว! นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน! เมื่อกี้ใครเรียกรถพยาบาลกันแน่!!”


สรุปแล้ว ด้านหน้าสถานีดูเหมือนว่าจะชุลมุนยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้เสียอีก


*สังฆานุกร นั้นในศาสนาคริสต์คือผู้ที่เตรียมตัวสู่การเป็นนักบวช (บาทหลวง)


บทที่ 31 ตระกูลผู้ดีตกอับ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เวร่าออกไปตอนบ่าย แต่เธอก็กลับมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ช่วงรอกินข้าวเย็น


วิคก้าที่คุ้นเคยกับเธอย่อมรู้ว่าเป็นเพราะว่าเวร่าไม่ได้อะไรกลับมาเลย


“ในบ้านยาคอฟไม่มีอะไรเลย ภรรยาเป็นแม่บ้านตามแบบฉบับ ห้องนอนลูกชายซ่อนกัญชาเอาไว้ ลูกสาวเป็นคนชอบออกงานปาร์ตี้ แต่รูปร่างอ้วนฉุจนกู่ไม่กลับเลย” เวร่าถอนหายใจแล้วพูดว่า “เป็นครอบครัวชนชั้นกลางตามแบบฉบับมากๆ”


“จริงเหรอ? แต่ว่าทางผมกลับได้ข้อมูลมาแล้ว” วิคก้ายักไหล่พูด


เวร่านั่งลงสบายๆ เธอกระดกขาขึ้น มือทั้งสองยกขึ้นพาดพนักพิงโซฟา ด้วยท่าทางที่กำลังรอฟังข่าวดีจากอีกฝ่าย


วิคก้าที่เห็นภาพนี้จนชินตาก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “หรือจะพูดให้ถูก น่าจะได้ความคืบหน้าจากฝั่งคุณมากกว่า”


“พูดให้ตรงประเด็นหน่อยได้ไหม?” เวร่าพูดอย่างรำคาญนิดหน่อย


วิคก้าทำได้แค่พูดว่า “มีจดหมายเชิญส่งไปที่อีเมลส่วนตัวของคุณ เวลาและสถานที่ระบุไว้แน่ชัด…อีกสามวัน จะมีงานประมูลภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ครับ”


“อีเมลส่วนตัวของฉัน? เมล์ไหน?” เวร่าขมวดคิ้วถาม


วิคก้ายักไหล่แล้วตอบว่า “ยังจะมีเมลไหนล่ะ? ก็ต้องเป็น ‘เวร่า ท็อคทาโคนอฟ’ ไงล่ะ”


เวร่าเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นทันที “ชื่อคนที่ส่งจดหมายเชิญเป็นใคร?”


วิคก้าพูดสีหน้าจริงจังว่า “F&C”


แต่เวร่ากลับพูดอย่างเฉยเมยว่า “ฉันจำไม่เห็นได้ว่าแจกอีเมลส่วนตัวให้คนอื่นด้วย?”


วิคก้าได้แต่พูดติดตลกว่า “องค์หญิงเวร่าที่รักพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ลืมไปหรือเปล่าว่าทำไมตัวเองถึงออกจากบ้านมา? ถึงแม้ว่าพระองค์ยังไม่ได้รับมอบหมายให้ไปปฏิบัติหน้าที่…แต่ว่าพวกผู้มีอิทธิพลหลายคนเป็นห่วงชีวิตในอนาคตของพระองค์มากๆ! พระองค์ไม่รู้หรือว่าทุกวันอีเมลส่วนตัวของพระองค์มีจดหมายรักส่งมาจากทั่วโลกตั้งเท่าไร? พวกนี้ผมล้วนแต่…”


วิคก้าชี้ที่ตัวเองแล้วพูดว่า “หาเวลามาตอบให้คุณทุกวัน”


เวร่าหรี่ตายิ้มแล้วพูดขึ้นในทันทีว่า “คนที่ส่งจดหมายรักพวกนั้นหล่อไหม?”


วิคก้าพยักหน้าต่อเนื่องแล้วพูดว่า “ก็ใช้ได้ มีหลายคนที่เรียกได้ว่าเพอร์เฟกต์เลย”


เวร่าหรี่ตาเดินไปทางวิคก้าด้วยรอยยิ้มสวยงามบนใบหน้า แต่ในความเห็นของวิคก้าแล้วกลับเหมือนแม่เสือดาว เขาได้แต่กลืนน้ำลายแล้วพูดว่า “ผมไม่เคยทำอะไรทั้งนั้นแหละ…จริงๆ…อย่างมากก็ขอรูปเพิ่มนิดหน่อย…”


นิ้วของเวร่าวาดเป็นวงกลมบอกให้เขาหันมาทางเธอ


วิคก้าอึ้งชะงักไป และลางสังหรณ์บอกเขาว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น…แต่ประสบการณ์บอกเขาว่าถ้าหากไม่ทำตามก็จะมีเรื่องไม่ดียิ่งกว่ารอเขาอยู่ เขาเลยทำได้แค่หันตัวไป


เวร่ายิ้มเยาะ มือหนึ่งหยิบรีโมตทีวีข้างๆ ขึ้นมา แล้วยัดเข้าไปใน…ของวิคก้าอย่างแรง


“โอ้!! เบาหน่อย…โอ้!!”


“พอใจไหม?” เวร่ากระซิบข้างหูวิคก้าเบาๆ


ตอนนี้วิคก้าหนีบขาทั้งสองข้างเอาไว้ด้วยสีหน้าไม่สู้ดี พลางพูดอมทุกข์ว่า “ไม่ได้ใช้มานานมากแล้ว…โอ้ เบาๆ หน่อย…”


“พรุ่งนี้ไปเตรียมชุดราตรีมาให้ฉัน ฉันจะไปร่วมงานประมูลนี้” เวร่าคลายมือออก จากนั้นก็หมุนตัววิคก้า แล้วกดร่างของวิคก้าแนบเก้าอี้ไปสุดแรง


เธอพูดพร้อมๆ กับเสียงร้องเจ็บปวดของวิคก้าว่า “เข้าใจแล้วใช่ไหม?”


“เข้า…เข้าใจแล้ว…”


เวร่าตบๆ มือ แล้วก็กลับเข้ามาในห้องอย่างสง่าผ่าเผย วิคก้าจับเก้าอี้พยุงตัวลุกขึ้นมา เขาค่อยๆ ดึงรีโมตออกมาด้วยสีหน้าประหลาดๆ สุดท้ายก็แสดงสีหน้าพอใจสุดๆ


เขาถอนหายใจ รู้สึก…รู้สึกว่าก็ไม่แย่เกินไป


ดังนั้นเขาจึงจ้องรีโมตที่ตกอยู่บนพื้นเหมือนกำลังคิดบางอย่าง…




อายุหกสิบปีโดยประมาณ แต่งตัวดี ทุกอากัปกิริยาก็ได้มาตรฐานตามแบบฉบับหนังสือเรียน


ถุงมือสีขาว นาฬิกาพ็อกเก็ตที่โผล่ออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ


ตอนที่ยูริตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็มองเห็นคนแก่ผมขาวทั่วหัวคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ เขา แต่เห็นได้ชัดว่ายังกระปรี้กระเปร่าอยู่


นี่เป็นห้องที่หรูหรากว่าห้องชุดในโรงแรมที่เขาฟื้นขึ้นมาครั้งที่แล้วหลายสิบเท่า


“ผม…ผมควรจะอยู่ที่สถานีรถไฟใต้ดินนี่” ยูริลังเล เขานั่งลง พยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ของตัวเอง


เขาเผลอคลำที่ท้องของตัวเองเล็กน้อย เขาพบว่าบนร่างกายของเขาไม่มีรอยแผลอะไรเลย แม้กระทั่งตรงขาที่บาดเจ็บไปก่อนหน้านี้ ก็เห็นชัดๆ ว่าไม่ได้เป็นอะไร


“ผมเตรียมน้ำร้อนไว้ให้ท่านยูริเรียบร้อยแล้วครับ” ชายชราพูดพร้อมรอยยิ้ม


“ผม…ผมไม่ได้ฝันไป?” ยูริอ้าปากค้าง เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองทำตัวให้คนแก่แบบนี้เคารพได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ “ที่นี่…ที่นี่ที่ไหน? แล้วคุณเป็นใคร?”


“เอดการ์ โปรดเรียกผมว่าเอดการ์” บนใบหน้าของชายชรามีรอยยิ้มสุขุม “ที่นี่คือคฤหาสน์คาเชีย เป็นคฤหาสน์ของท่าน ท่านครับ รีบอาบน้ำเถอะครับ เพราะถ้าให้แขกรอท่าน สำหรับชนชั้นสูงแล้วคงไม่ค่อยสุภาพนัก”


“คฤ…คฤหาสน์ของผม? ชน…ชนชั้นสูง?”



ห้องน้ำกว้างขวาง ขนาดเท่ากับห้องรับแขกขนาดแปดสิบตารางเมตรห้องหนึ่งเลยทีเดียว แล้วยังเชื่อมต่อกับห้องแต่งตัวที่มีชุดสวยหรูและราคาแพงมากกว่ายี่สิบชุด


เนกไทแต่ละเส้น นาฬิกาข้อมือแต่ละเรือน เข็มขัดหนัง หมวก…รองเท้า


ยูริล้างหน้าบ้วนปากออกมาแบบงงๆ แล้วก็มีผู้หญิงหน้าตาสวยคนหนึ่งโกนหนวดให้เขา


ยูริรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังมัวเมาอยู่ในห้วงความฝัน มองออกไปจากหน้าต่างห้องน้ำเห็นแค่เพียงสนามหญ้าที่สร้างไว้อย่างเรียบง่ายตรงมุมเล็กๆ ของคฤหาสน์นี้!


เขาถึงกับมองไม่เห็นรั้วล้อมรอบ


เขาไม่อยากเชื่อว่าคนที่อยู่ในกระจกก็คือตัวเอง


หลังหนวดเครารกรุงรังถูกโกนออกแล้ว ผมเผ้ายุ่งเหยิงก็ถูกจัดระเบียบจนเรียบเงา หลังจากจับแมตช์กับชุดหรูแล้ว เขาก็ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย


ที่ปลายระเบียงทางเดิน เอดการ์ยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องห้องหนึ่งแล้ว เมื่อยูริที่ยังคงทำหน้าสับสนเดินมาถึง เอดการ์จึงเปิดประตูให้เขา


เสี้ยววินาทีที่เปิดประตู ยูริก็ร้องตกใจจนเสียงหลง “พวกคุณนั่นเอง!”



“นั่งสิครับ”


ลั่วชิวดื่มชาแดงพร้อมเหลือบมองยูริที่กำลังเดินมาแวบหนึ่ง ก่อนยิ้มแล้ววางแก้วชาในมือลง จากนั้นคุณสาวใช้ก็เทชาแดงลงไปในแก้วชาทันที


แม้ว่าคนรับใช้ที่อยู่ในคฤหาสน์นี้จะมีเพียงพอ แต่คุณสาวใช้ก็ยังคงยืนกรานจะดูแลเจ้านายของเธอด้วยตัวเอง


“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”


ยูริขมวดคิ้วแล้วนั่งลง เขาพบว่าเอดการ์ไม่ได้ตามเข้ามาด้วย แต่กลับปิดประตูเรียบร้อยหลังจากเขาเดินเข้ามาแล้ว


“คุณยูริลืมไปแล้วเหรอ?” ลั่วชิวถามขึ้นทันที “สิ่งที่คุณต้องการจากพวกเรา”


ยูริอึ้งไป ความปวดแสบปวดร้อนปรากฏขึ้นมาในสมองของเขาทันที ทำให้เขาจำต้องกำผมโดยอัตโนมัติ ฉับพลันนั้นสีหน้าของเขาก็เหมือนจะซีดไปเล็กน้อย


ตอนที่ความสงสัยในแววตาของเขาหายไปแล้ว เขาถึงเริ่มนึกอะไรออก แล้วมองวัยรุ่นชาวตะวันออกคนนี้อย่างตกตะลึง


ไม่…จะพูดให้ถูกคือวัยรุ่นที่ลึกลับคนนี้ต่างหาก!


“ผม…คาดไม่ถึงว่าผมจะพูดแบบนั้นออกมา…”


เขานึกคำพูดที่ตัวเองเคยพูดไว้ออกแล้ว แต่เขากลับไม่ได้พูดมันออกมาอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเรื่องเหลือเชื่อจะกลายเป็นความจริงแล้ว


ยูริจำต้องเชื่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้


สิ่งยืนยันที่สังเกตได้โดยตรงอีกทั้งน่าเชื่อถือมากที่สุด ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เขาพบเห็นในคฤหาสน์นี้ แต่เป็นเรื่องที่เขาควรตายไปแล้ว แต่กลับยังมีชีวิตอยู่ดี


ลั่วชิวพูดขึ้นทันที “พวกเราเชื่อว่าคำพูดก่อนตายของคนหนึ่งจะเป็นความจริงเสียส่วนใหญ่ คุณยูริ เราทำสัญญาสำเร็จแล้ว ภายในหนึ่งเดือนข้างหน้า คุณจะไม่ใช่แค่ผู้ครอบครองคฤหาสน์หลังนี้ แต่ยังเป็นผู้สืบทอดของตระกูลดีคาปี้ สถานะคือ…”


เจ้าของร้านลั่วยิ้มเล็กน้อย “ดีคาปี้ ตระกูลสูงศักดิ์ของพระเจ้าซาร์ที่ลี้ภัยไปต่างประเทศตอนการปฏิวัติเดือนตุลาคม* ยูริผู้ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในโมรอคโคตอนนี้?”


ลั่วชิวมองสีหน้าคาดไม่ถึงของยูริ ก่อนดีดนิ้วหนึ่งที


คุณสาวใช้จึงหยิบของออกมาจากในกล่องใบหนึ่ง วางเอาไว้บนโต๊ะแล้วดันมาไว้ด้านหน้ายูริ “คุณยูริ นี่คือตราประทับและตราแสดงยศของตระกูลดีคาปี้…นี่คือสิ่งของที่แสดงฐานะของคุณได้”


“ผม…ผมเป็นเชื้อสายของตระกูลสูงศักดิ์…ตระกูลสูงศักดิ์…”


ยูริคิดว่าตัวเองเริ่มมึนงงไปหมดแล้ว


*การปฏิวัติเดือนตุลาคม หรือชื่ออย่างเป็นทางการในเอกสารสมัยโซเวียตว่า การปฏิวัติสังคมนิยมแห่งเดือนตุลาคมอันยิ่งใหญ่ และเรียกโดยทั่วไปว่า ตุลาคมแดง, การลุกฮือเดือนตุลาคม หรือ การปฏิวัติบอลเชวิก เป็นการยึดอำนาจรัฐ ซึ่งมีความสำคัญส่วนหนึ่งของการปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917


บทที่ 32 ของปลอมสวมรอยของจริง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ยูริก็เรียกเอดการ์มาถามว่ารู้จักแขกสองคนนั้นที่เขาเพิ่งพบหรือเปล่า


แต่ว่าเอดการ์กลับมีสีหน้างุนงง และถามว่า “ท่านครับ เมื่อสักครู่นี้มีแขกมาด้วยหรือครับ? ทำไมผมจำไม่ได้เลย?”


ลืมแล้ว


จำอะไรไม่ได้เลย…ไม่เพียงแต่เอดการ์เท่านั้น ขนาดสาวใช้คนสวยที่เพิ่งโกนหนวดให้เขาเมื่อครู่ หรือแม้กระทั่งบอดี้การ์ดรูปร่างกำยำที่รับหน้าที่เป็นคนขับรถในคฤหาสน์แห่งนี้ต่างก็บอกว่าไม่มีใครมาเลย


ยูรินั่งเหม่อลอยในห้องหนังสือ ถึงแม้ว่าเป็นห้องหนังสือ แต่ที่นี่ก็ตกแต่งอย่างกับพระราชวัง


ข้างกายเขามีตราประทับที่ว่ากันว่ามีอำนาจใช้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของผู้สืบทอดได้ รวมทั้งทรัพย์สินของตระกูลอีกสิบห้าเปอร์เซ็นต์


“เอดการ์…ทรัพย์สินส่วนตัวของผมมีเท่าไร?” ยูริรีบถามทันที


“ท่านครับ ทรัพย์สินส่วนตัวของท่านมีเกือบสี่พันหนึ่งร้อยล้านยูโรครับ”


“ของตระกูล…ของตระกูลล่ะ?”


“เรื่องนี้เกรงว่าจะต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งเพื่อตรวจเช็กใหม่ ถึงจะระบุตัวเลขที่แน่ชัดได้ครับ” เอดการ์ พูดด้วยความเคารพ “ท่านครับ ตลาดต่างประเทศแปรปรวนมาตลอด ตัวเลขสถิติที่แน่นอนน่าจะทำได้เรียบร้อยดีในช่วงงานเลี้ยงที่จัดขึ้นในคฤหาสน์ช่วงปลายปี แต่ตัวเลขเมื่อปีที่แล้วคือเจ็ดหมื่นห้าร้อยสี่สิบล้านยูโรครับ”


สิบห้าเปอร์เซ็นต์…เจ็ดร้อยห้าสิบสี่ล้าน…ยูโร…


ยูริถึงกับใช้สองมือลูบใบหน้าให้ตัวเองสงบใจลงหน่อย แต่เอดการ์ก็พยายามทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ พูดว่า “ท่านครับ ท่านไม่สบายหรือเปล่าครับ? ต้องเรียกหมอมาไหมครับ?”


จริงสิ ในคฤหาสน์แห่งนี้ยังมีหมอส่วนตัวด้วยนี่


“ไม่ต้องหรอก ผมอยากอยู่คนเดียวสักพัก คุณออกไปก่อนเถอะ” ยูริรวบรวมสติพูดออกมา


เอดการ์พยักหน้า สองมือของเขาแนบอยู่ข้างลำตัว โค้งคำนับเล็กน้อย แล้วเดินออกไปจากห้องหนังสือ


ยูริกุมขมับตนเองอย่างลืมตัว เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ แหงนหน้ามองเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งเพดาน…เฟอร์นิเจอร์ประดับเพดานแบบนี้คาดว่าคงต้องใช้เงินเดือนที่เขาเคยทำงานที่พิพิธภัณฑ์ถึงแปดปี สิบปีหรือมากกว่านั้นถึงจะซื้อมาได้ล่ะมั้ง?


แต่ว่า


“มีเวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น…”


ยูริหลับตาลงช้าๆ เพราะเขารู้ว่าเขาใช้เกือบทุกสิ่งทุกอย่างของตนเองแลกกับชีวิตสุดหรูหราในหนึ่งเดือนนี้




ในตึกใหญ่ แอนนารอให้ตัวเลขบนแผงปุ่มกดลิฟต์เลื่อนไปถึงตัวเลขของชั้นที่เธอต้องการ


ติ้ง!


เธอเดินออกมาจากลิฟต์ ด้านหน้าประตูลิฟต์มีชายสองคนยืนเฝ้าอยู่ที่นี่ และพวกเขากำลังใช้เครื่องสแกนตรวจจับโลหะสแกนด้านหน้าและด้านหลังตัวเธอด้วยความชำนาญอย่างที่สุด


แต่ดูเหมือนว่าเธอไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก “ฉันต้องทำแบบนี้ทุกครั้งเลยเหรอ?”


“คุณแอนนาครับ คุณน่าจะรู้ว่านอกจากคนในครอบครัวนายท่านแล้ว ไม่ว่าใครก็ต้องผ่านขั้นตอนนี้กันทั้งหมด” ชายหนึ่งในนั้นพูดแบ่งรับแบ่งสู้


ตอนนี้เองชายอีกคนหนึ่งกลับพูดอย่างเฉยเมยว่า “เรียบร้อยแล้วครับคุณแอนนา คุณเยฟิมรอคุณอยู่ด้านในแล้วครับ”


แอนนาหัวเราะเบาๆ พูดหยอกล้อว่า “ยังดีนะ ตอนที่ฉันกับเจ้านายพวกแกมีอะไรกัน พวกแกไม่ได้คอยมองดูอยู่ข้างๆ ไม่อย่างนั้นฉันคิดว่าต่อให้เจ้านายของแกแข็งแรงราวกับหมีสีน้ำตาล ฉันก็คงไปไม่ถึงจุดสุดยอดเหมือนกัน”


พวกเขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน


แล้วพวกเขาก็เดินกลับไปประจำตำแหน่งซ้ายขวาราวกับรูปปั้นหน้าลิฟต์


แอนนาก็เลิกมอง แล้วเดินเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำแห่งนี้ ผนังในที่แห่งนี้แทบจะเป็นกระจกมุมมองร้อยแปดสิบองศา และระดับความสูงของตึกใหญ่โตนี้ก็มากพอ ทำให้มองเห็นวิวได้ไกลมาก


“กลับมาแล้วเหรอ”


ตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนรูปร่างล่ำสันคนหนึ่ง…อันที่จริงน่าจะเรียกว่ากล้ามเนื้อเป็นมัดมากกว่ากำลังเดินลงมาจากตรงบันไดเวียนที่พาไปสู่ชั้นบนของห้อง


“เรื่องนั้นจัดการเรียบร้อยแล้ว?” เขาพูดต่อ


แอนนาเหน็บผมที่หลังหูพร้อมรอยยิ้มสวยหยาดเยิ้ม ทันใดนั้นเธอก็ค่อยๆ ใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าอกของตนเอง …แล้วเลื่อนนิ้วต่ำลงไปช้าๆ แตะตรงนั้นที ตรงนี้ที “ตรงนี้ ตรงนี้…แล้วยังมีตรงนี้ สามนัด”


เยฟิมแค่มองอย่างไม่ใส่ใจแวบหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์ข้างๆ แล้วพูดขึ้นทันทีว่า “ตอนแรกเจ้าหมอนั่นบอกราคาเท่าไร?”


“สิบล้านยูโรค่ะ”


เยฟิมฟังแล้วก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร เหมือนเคยได้ยินมาแล้ว


เขาหยิบแก้วออกมาสองใบ เปิดขวดเหล้า หลังจากรินเหล้าสองแก้วแล้วถึงได้เดินไปตรงหน้าแอนนา แล้วยื่นให้เธอแก้วหนึ่ง “คุณน่าจะไว้อาลัยให้เขาสักหน่อยนะ คุณแอนนา”


แอนนายิ้มน้อยๆ แล้วชนแก้วกับเยฟิมเบาๆ “ไม่ใช่พวกเราหรอกเหรอคะ?”


“ยูริตายไปแบบนี้น่าเสียดายจริงๆ” เยฟิมยักไหล่พูด “แต่เสียดายก็ส่วนเสียดาย ยังไงผมก็ไม่ชอบคนหัวดื้อเหมือนกัน มานี่สิ ผมจะให้คุณดูอะไรหน่อย”


พูดแล้ว เยฟิมก็เดินไปที่มุมหนึ่งของห้อง เป็นมุมที่อยู่ชิดผนังกระจก


ตรงนั้นมีที่วางรูปอันหนึ่ง ด้านบนมีผ้าสีขาวคลุมอยู่ ดูเหมือนแอนนาจะรู้แล้วว่าของสิ่งนี้คืออะไร แววตาพลันเป็นประกายวิบวับ


“ลองเปิดดูสิ”


เยฟิมเดินไปข้างๆ โซฟา


ส่วนแอนนาเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วเปิดผ้าสีขาวบนชั้นวางออก ภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’


แววตาของแอนนาทอประกายหลงใหล เธอยื่นนิ้วมือลูบไล้ไปบนกรอบภาพวาด “งดงามเหลือเกิน…นี่คือสุภาพสตรีนิรนาม…ของพิพิธภัณฑ์”


“ไม่”


คาดไม่ถึงว่าเยฟิมกลับพูดอย่างเฉยเมยว่า “นี่เป็นภาพที่ยูริวาด”


แอนนาอึ้งไป เธอขมวดคิ้วอย่างเสียไม่ได้ หันขวับกลับมามองจระเข้ยักษ์แห่งมอสโกคนนี้ “ยูริ?”


เยฟิมนี่ถึงได้หัวเราะเบาๆ “เพราะงั้นผมถึงบอกว่า เสียดายที่ยูริตายยังไงล่ะ”


แอนนายังคงขมวดคิ้วอยู่ ราวกับว่าคิดอะไรบางอย่างได้ เลยพูดอย่างลืมตัวว่า “งานประมูลมะรืนนี้ คุณคงไม่ได้คิดจะประมูลขายภาพปลอมนี้หรอกนะ?”


“ใครว่าเป็นภาพปลอม?” เยฟิมพูดช้าๆ “ในเมื่อภาพถูก F&C ขโมยไปจากพิพิธภัณฑ์แล้ว ถ้า F&C เอาออกมาประมูลขาย อย่างนั้นมันก็เป็นของจริง”


“ฉันรู้แล้วว่าคุณเสียดายอะไร”


แอนนายิ้มหวานชวนหลงใหลแล้วเดินไปตรงหน้าเยฟิม เธอถอดรองเท้าส้นสูงของตนเองออก สุดท้ายก็นั่งคร่อมบนตัวเยฟิม “เดิมทีคุณน่าจะได้ครอบครองภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ มากมายถึงจะถูก จริงๆ แล้วฉันไม่น่าส่งยูริไปพบพระเจ้าแบบนี้เลย…เพราะเขาวาดได้จริงๆ”


ตอนแรกเธอนึกว่าเยฟิมจะซื้อภาพจริงที่ถูกขโมยมาขายต่อที่งานประมูล แล้วค่อยขายภาพปลอมที่ยูริวาดขึ้นให้กับพวกเศรษฐีใหม่ที่ไม่รู้เรื่องธุรกิจ เพื่อหาเงินมาเพิ่มอีกสักก้อน


กลับคิดไม่ถึง ยูริทำของปลอมสวมรอยของจริง ทำออกมาได้แทบจะสมบูรณ์แบบ


ขนาดเมื่อครู่นี้ ถ้าเยฟิมไม่ได้พูดออกมาจากปากเอง ที่จริง…ที่จริงเธอก็ถูกต้มไปแล้วเหมือนกัน


ในเมื่อหลอกเธอได้ ก็ย่อมหลอกนักสะสมส่วนใหญ่ได้เหมือนกัน…ไม่สิ ทั้งหมดเลยต่างหาก ไม่ใช่แค่ส่วนใหญ่สักหน่อย


“ขอโทษจริงๆ นะคะ” แววตาแอนนาเปลี่ยนไป เธอก้มหน้าแต่ยังคงยิ้มหวานหยาดเยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันคิดว่าฉันน่าจะชดเชยให้คุณอย่างเต็มที่สักหน่อย”


แต่เยฟิมกลับพูดว่า “ไม่ต้องหรอก งานประมูลมะรืนนี้ คุณช่วยผมเชิญคนให้ประมูลอย่างเต็มที่ก็พอแล้ว ผมมีนัดกินข้าว เดี๋ยวจะต้องไปแล้ว”




“ปล่อยผม! ปล่อยผม! ปล่อยผม! พวกคุณรู้ไหมว่าผมเป็นใคร? พวกคุณกล้าขังผมไว้ที่นี่เหรอ? ผมจะพบประธานาธิบดีของพวกคุณ! ปล่อยผมออกไป!”


ด้านในสถานีตำรวจ มีคนกำลังตะโกนลั่นอยู่


นักสืบหนุ่มเยียร์เกอร์เหน็ดเหนื่อยกับเรื่องที่พิพิธภัณฑ์แกลเลอรีมาครึ่งวันเพิ่งจะได้กลับมา เขาขมวดคิ้วถามเพื่อนร่วมงานอย่างเสียไม่ได้ว่า “แล้วเจ้าหมอนี่มันเรื่องอะไรกัน?”


“ไม่มีใครรู้ครับ เจ้าหมอนี้ขโมยของในร้านสะดวกซื้อเลยถูกจับครับ…บอกว่าอะไรนะ ตัวเองเป็นลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ เป็นทายาทตระกูลดัง แล้วยังจะไปพบท่านประธานาธิบดีของเราอีก…งั้นผมก็คงเป็นลูกหลานซีซาร์*แล้วล่ะ! ฮ่าๆ!”


เยียร์เกอร์ยักไหล่ไม่สนใจ แล้วเดินตรงเข้าไปในห้องทำงานจ่าวิคเตอร์


*ซีซาร์ หมายถึงจูเลียส ซีซาร์ รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ในตระกูลขุนนางเก่าแก่


บทที่ 33 งานเต้นรำหน้ากาก

โดย

Ink Stone_Fantasy

นักสืบหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้าไปในออฟฟิศจ่าวิคเตอร์ แต่กลับมองเห็นจ่าคนนี้กำลังเก็บของบนโต๊ะ ท่าทางเหมือนกำลังคิดจะออกไปข้างนอก


“เยียร์เกอร์เหรอ พอดีเลยมากับผมสักหน่อย”วิคเตอร์พูดตรงๆ ว่า “ไปเจอคนคนหนึ่ง”


“ตอนนี้เหรอครับ?” เยียร์เกอร์อึ้งไปแล้วก็พูดถามตรงๆ “ไปหาใครครับ?”


“พอไปถึงแล้วคุณก็จะรู้เอง…แค่จำไว้ว่าอย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมก็พอ”



ถึงแม้จะพูดแบบนี้ก็เถอะ แต่จะทำตัวกระต่ายตื่นตูมได้จริงๆ เหรอ…หลังคาดเดาสถานะของคนที่อยู่ตรงหน้านี้ เยียร์เกอร์ก็อดคิดเล็กคิดน้อยไม่ได้


‘ไม่มีความมืดที่มืดตลอดกาลและไม่มีความสว่างที่สว่างตลอดกาล ส่วนกลยุทธ์การใช้ความรุนแรงเป็นของคนเถื่อน’ นี่เป็นเรื่องสุดท้ายที่ครูฝึกแนะนำเขาตอนที่เยียร์เกอร์จบการศึกษาจากโรงเรียนมา


และจ่าวิคเตอร์ในตอนนี้ก็กำลังพิสูจน์ความจริงของคำพูดนี้ด้วยตัวเขาเอง


โบโลดอฟ…ที่อยู่นอกวงการการเมืองนี้ แต่กลับมีอิทธิพลในวงการการเมือง และทำการค้าผิดกฎหมาย เขาเป็นคนที่อาจจะเป็นผู้กุมอำนาจทางการเมืองในอีกสิบปีข้างหน้า แต่กลับเป็นคนที่อ่อนน้อมอย่างประหลาด


เยียร์เกอร์ฟังเขาคุยกับจ่าวิคเตอร์ ระหว่างพวกเขาเหมือนรู้จักกันมานานและสนิทสนมกันด้วย เขากำลังแอบคิดว่าจ่าวิคเตอร์แอบคบหากับโบโลดอฟคนนี้มานานเท่าไรแล้ว


“งานประมูล?”


“อืม” โบโลดอฟอายุเกือบจะห้าสิบปี แต่ยังคงรักษารูปร่างได้ดีมาก เขาพยักหน้าพูดว่า “ตามที่ผมรู้มา นักสะสมจำนวนไม่น้อยได้รับจดหมายเชิญนี้กันทั้งนั้น…อืม คุณก็รู้ใช่ไหมว่านักสะสมที่ผมพูดถึงคือกลุ่มไหน”


วิคเตอร์เลิกคิ้วขึ้น สายตาจับจ้องอยู่แค่คนตรงหน้านี้เท่านั้น เขาพูดเสียงหนักแน่นเล็กน้อยว่า “คุณก็คิดจะเข้าร่วมประมูลเหรอ?”


โบโลดอฟส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าผมก็ชอบการสะสมเพียงอย่างเดียว แต่สำหรับภาพนี้…ผมคิดว่า ไม่มีนักสะสมภาพชื่อดังคนไหนปฏิเสธหรอก เพียงแต่น่าเสียดาย ถ้าหากภาพนี้ไปตั้งที่งานประมูลบนดินได้ ไม่ว่าจะพูดอะไรผมก็จะไปให้ได้สักครั้ง แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว”


วิคเตอร์พยักหน้าเล็กน้อย เขาเข้าใจดีว่าเจ้านี่มีแผนการในอนาคตและมีความทะเยอทะยาน ด้วยเป้าหมายที่ยาวไกลแบบนั้น คนที่มุ่งมั่นในเป้าหมายอย่างสุดโต่ง จะปล่อยวางบางอย่างที่ตัวเองสนใจได้คงไม่ง่ายเลยจริงๆ


“จดหมายเชิญเป็นการแบ่งแยกสถานะ” โบโลดอฟพูดอย่างเฉยเมยว่า “ดังนั้นผมเลยทำได้แค่บอกคุณเรื่องนี้ แต่เอาจดหมายเชิญให้คุณไม่ได้…ส่วนคุณจะเข้าไปได้หรือไม่นั้น ก็ต้องดูความสามารถของตัวคุณเองแล้ว”


“ผมเข้าใจ” วิคเตอร์พยักหน้า


ถึงแม้ว่าเจ้านี่คิดอยากจะล้างความผิดให้หมด แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยอมให้ตัวเองไปล่วงเกินคนที่ได้รับจดหมายเชิญคนอื่นๆ


“พวกคุณออกไปทางประตูหลังแล้วกัน ระวังด้วยล่ะ” โบโลดอฟยิ้มแล้วพูดว่า “ผมนัดข้าราชการหลายคนมากินข้าว พวกเขาน่าจะใกล้มาถึงแล้ว”


หลังจากวิคเตอร์พาเยียร์เกอร์ออกไป เลขาของโบโลดอฟถึงได้เดินเข้ามาพูดว่า “ท่านครับ…ท่านบอกเรื่องพวกนี้กับจ่าวิคเตอร์ จะไม่มีปัญหาหรือครับ?”


“มีปัญหาอะไร?” โบโลดอฟพูดอย่างเฉยเมยว่า “กวาดล้างสิ่งชั่วร้าย ไม่ใช่เรื่องที่พลเมืองดีพึงกระทำเหรอ? หรือว่าพรุ่งนี้ทั่วทั้งมอสโกจะรู้ว่าวิคเตอร์มาบ้านผม…คนที่อยู่เหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ก็มีแค่สี่คน?”


“ไม่…ไม่ครับ”


เขารู้ว่าที่เจ้านายพูดนั้นแฝงนัยเอาไว้


“แม้ว่าทักษะการขโมยของ F&C จะเป็นที่หนึ่งในโลก…” แต่ตอนนี้โบโลดอฟกลับหรี่ตาพูดว่า “แต่หมอนี่มีความสามารถอะไร ถึงส่งจดหมายเชิญให้คนได้มากมายขนาดนี้?”


เขาหัวเราะฮา แล้วเดินไปทางประตู เตรียมไปต้อนรับข้าราชการที่กำลังจะมาถึง เขาพูดเหมือนพึมพำกับตัวเองว่า “หวังว่าวิคเตอร์จะมีเซอร์ไพรส์สักอย่างให้ผมนะ”




ชีวิตเฉกเช่นพระราชา…ยูริไม่เคยได้ลิ้มรสชีวิตแบบนี้มาก่อน ถึงแม้ในหัวเขาจะมีจินตนาการไร้ที่สิ้นสุด แต่สุดท้ายแล้วเขาก็คิดได้แค่คำนี้เท่านั้น


บางทีคงเป็นเพราะสาเหตุที่เขาขาดความรู้ในการใช้ชีวิตหรูหราแบบนี้มากเกินไป สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงทำเรื่องไร้สาระ และลุ่มหลงในชีวิตร่ำรวยที่กลายเป็นจริงของตัวเอง


“วันนี้คุณยูริมีอะไรแปลกไปหรือเปล่า?”


พ่อบ้านเอดการ์จัดการเลือกสาวใช้แสนสวยไว้ในคฤหาสน์แห่งนี้ไม่น้อยเลย แน่นอนว่าพวกเธอที่ทั้งสาวและสวยย่อมต้องมีความเพ้อฝันอยากเป็นซินเดอเรลล่า หวังว่าจะทำให้ผู้สืบทอดของตระกูลดีคาปี้หลงรักเข้าสักวัน


แม้ว่าจะเป็นการเจ้าชู้ชั่วคราว หรือได้เพียงวันเดียวก็ตาม


สาวใช้อีกคนหนึ่งที่ถูกถาม กำลังเช็ดหน้าต่างกระจกห้องรับแขกอยู่ จึงมองแล้วพูดแบบลดเสียงว่า “ตอนที่ฉันเพิ่งผ่านห้องของคุณยูริไป ได้ยินเสียงร้องครางเลยแอบดูอยู่พักหนึ่ง นีน่าและ วิเวียนถอดเสื้อออกหมดเลย…”


“แต่ไหนแต่ไรคุณยูริก็ไม่เคยชายตามองพวกเราเลยนี่?”


“สวรรค์เท่านั้นที่รู้…” สาวใช้ที่เช็ดกระจกคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ยังไงฉันก็ไม่เคยเห็นคุณยูริทำแบบนี้…อืม เหลวไหล บางทีเขาคงจะถูกอะไรยั่วยุ รู้ไหม? เขาให้คนเทไวน์แดงลงอ่างอาบน้ำจนเต็มเพื่ออาบไวน์แดงแหละ”


ทันใดนั้นเสียงกระแอมเบาๆ ก็ดังขึ้น


พอสาวใช้ทั้งสองหันไปเห็นคุณเอดการ์ ก็รีบหยุดสนทนา ต่างพากันทำงานของตนเองให้เรียบร้อย


เอดการ์มองอยู่แป๊บหนึ่ง ถึงได้หมุนตัวจากไปแบบไร้อารมณ์ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็มาเคาะประตูห้องของเจ้าของคฤหาสน์นี้


ตอนที่ประตูห้องเปิดออก เอดการ์ก็มองเห็นยูริใส่เพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียว


เขาถือแก้วไวน์เอาไว้ บนหน้ามีสีแดงระเรื่อจากฤทธิ์เหล้า เอดการ์เอียงตัวเล็กน้อยเลยเห็นว่าบนเตียงมีสาวใช้ที่เขาคุ้นเคยสองคนกำลังเอาผ้าห่มคลุมตัวไว้ แล้วโผล่แค่หัวออกมา


ตอนนี้ยูริเหมือนกับชายขี้เหล้า เขาพิงอยู่ตรงประตูแล้วพูดว่า “เอดการ์ มาหาผมมีเรื่องอะไรเหรอ? จะดื่มเป็นเพื่อนผมสักสองแก้วไหม?”


“ท่านครับ รบกวนไปห้องหนังสือสักครู่ได้ไหมครับ? ผมมีบางอย่างอยากให้ท่านดูครับ”


ยูริพูดแบบไม่ใส่ใจว่า “อ้อ…เอดการ์ ชีวิตเหนื่อยมากพอแล้ว ทำไมไม่เสพสุขตอนยังมีโอกาสล่ะ? มีเรื่องอะไร ไว้ค่อยว่ากันตอนกลางคืน…อ้อ พรุ่งนี้แล้วกัน”


“ท่านครับ มีจดหมายเชิญฉบับหนึ่งส่งมาให้ท่าน” เอดการ์เข้าใกล้อีกนิด ก่อนพูดเบาๆ ข้างหูของยูริ “เป็นการประมูลภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ครับ”


สีหน้ายูริเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับเหม่อลอยไปสักพักหนึ่ง เขากระดกไวน์เข้าปากตัวเองอย่างเผลอไผลทันที หลังจากดื่มไปอึกหนึ่งแล้วถึงได้มองแก้วไวน์ใบนี้…แล้วยัดเข้าไปในมือของเอดการ์


“พวกเธอรอฉันอยู่ที่นี่” ยูริหันกลับไปมองภายในห้องของตัวเอง พลางพูดกับสาวสวยทั้งสองคน พูดจบยูริก็เดินออกจากห้องไปเลย


เอดการ์ส่ายหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้องทันที เขาหยิบเสื้อผ้าบนพื้น แล้วมองสาวใช้บนเตียงทั้งสองคนนั้น พร้อมกับพูดว่า “กลับไปทำงานตามหน้าที่ ออกไปจากห้องนี้เดี๋ยวนี้”


เขาถึงได้รีบถือชุดเดินตามออกจากห้องไป




ณ คืนวันงานประมูล


สำหรับโลกภายนอกแล้ว นี่เป็นเพียงงานเต้นรำงานหนึ่งเท่านั้น…งานเต้นรำหน้ากาก สำหรับพนักงานของโรงแรมแล้ว ไม่ว่าสาระสำคัญของงานเต้นรำนี้เป็นอะไรก็ล้วนไม่สำคัญ พวกเขาแค่ต้องการทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด


ตอนนี้มีรถหรูเข้ามายังลานจอดรถของโรงแรมมากมาย จริงๆ เมืองใหญ่ที่มีคนหลากเชื้อชาตินี้ย่อมมีคนรวยที่ไม่เปิดเผยตัวแฝงตัวอยู่จำนวนมาก


ลำพังแค่รถสปอร์ตที่จอดในลานจอดรถ ก็แทบจะจัดงานรวมมิตรรถสปอร์ตได้เลยล่ะมั้ง?


นี่ยังไม่ได้รวมพวกรถลีมูซีนที่เห็นได้ยาก พูดกันตามเหตุผล เรื่องนี้สำหรับพนักงานโรงแรมแล้วคงจะนึกไม่ถึงอยู่บ้าง ด้วยโรงแรมนี้ก็เพิ่งจะได้ระดับสี่ดาวไปเท่านั้นเอง


“คนนั้นน่าจะเป็น…มิวฟัส มาอยู่ในโอกาสแบบนี้ได้ อีกอย่างคนขาพิการก็มีไม่เยอะ ดูลักษณะแล้วคงจะเป็นเขาแหละ”


วิคก้าเอาแค่ที่ปิดตาสีดำมาใส่ไว้แบบง่ายๆ และสวมใส่ชุดสูทที่ไม่ค่อยพอดีตัวสักเท่าไร พูดวิเคราะห์ฉอดๆ อยู่ข้างเวร่าไม่หยุด


วันนี้เวร่าแต่งตัวด้วยชุดกระโปรงยาวสายเดี่ยวสีดำ เข้าชุดกับเครื่องประดับทรงกุหลาบขดบนตัว พร้อมด้วยหน้ากากขนหงส์สีดำแบบครึ่งหน้า เธอยกชายกระโปรงขึ้นมาเล็กน้อยแบบไม่ค่อยจะพอใจ แล้วจึงเร่งฝีเท้าของตัวเอง


แต่ทว่าตอนนี้รถลีมูซีนหรูหราสีทองทั้งคันดันขับเข้ามาช้าๆ


ตอนที่รถหยุดลง ก็เห็นผู้ชายสวมชุดสูทสีขาวคนหนึ่งเปิดประตูรถเดินลงมา ไม่มีคู่ควงมาด้วย ข้างๆ มีแค่คนแก่หนึ่งคนเดินตาม แน่นอนว่า เขาก็ใส่หน้ากากเรียบง่ายเช่นกัน


ผู้ชายเงยหน้ามองโรงแรมนี้แวบหนึ่ง แล้วจัดเสื้อสูทด้านหน้าตัวเอง ก่อนเดินผ่านข้างตัวเวร่ากับวิคก้าไป


“คาดไม่ถึงว่าตานี่จะพกตราประจำตระกูลติดตัวไว้ด้วย…เหมือนเคยเห็นตราประจำตระกูลแบบนี้ที่ไหนนะ?” วิคก้าพูดพลางใช้ความคิด


“ตระกูลดีคาปี้” เวร่าพูดช้าๆ “ตระกูลชั้นสูงโบราณที่เร่ร่อนอยู่นอกประเทศ”


“ฟื้นตัวได้ก็เพราะตอนหลังลักลอบนำเข้าปืน…”


“เข้าไปเถอะ” เวร่าขัดจังหวะวิคก้า “ฉันอยากดูบรรยากาศรอบๆ งานก่อนสักหน่อย”



ชั้นบนโรงแรม แอนนากำลังมองตรงลานจอดรถแล้วฉีกยิ้มกว้าง ที่นี่ไม่ใช่ธุรกิจของเยฟิม เป็นเพียงโรงแรมของนักธุรกิจเล็กๆ ที่ปลื้มใจกับเงินร่วมหุ้นก้อนใหญ่เท่านั้นเอง


แอนนาทาลิปสติกสีแดงเข้มตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เม้มปากของเธอเองเบาๆ แล้วก็หยิบหน้ากากโคลัมบินาสีทองที่วางไว้ข้างๆ ขึ้นมาสวมเบาๆ


จากนั้นเธอก็ออกจากห้องไป



“คุณครับ คุณผู้หญิง ถึงแล้วครับ”


คนขับมองกระจกมองหลังแล้วพูดขึ้น เขาก็แค่คนขับรถแท็กซี่ ไม่ได้สนใจไปสอบถามเรื่องของลูกค้าให้มากมาย


แต่ว่าหลังขับรถเข้ามาที่ลานจอดรถนี้ แล้วได้เห็นรถหรูมากมายที่นี่ คนขับก็อดเกิดความคิดบางอย่างขึ้นไม่ได้…คนสองคนนี้ คงจะเป็นพวกยอมควักเนื้อเพื่อรักษาหน้าล่ะมั้ง?


ค่าเช่ารถคิดเป็นแบบรายชั่วโมง


“ขอบคุณครับ”


เขาได้ยินผู้ชายใส่หน้ากากตัวตลกแปลกๆ ที่นั่งอยู่ด้านหลังพูดอย่างสุภาพ แล้วเปิดประตูรถออกไปก่อน พร้อมกับหันตัวกลับมายื่นมือให้คู่เต้นรำสาวของตัวเอง


เขาประคองผู้หญิงออกมาจากเบาะด้านหลัง


ผู้หญิงที่สวมชุดราตรีสีฟ้าของท้องฟ้า หลังจากลงรถแล้วก็คล้องแขนผู้ชายที่ค้อมตัวลงมา ก่อนเดินเข้าไปในโรงแรมโดยไม่ได้ดึงดูดความสนใจของใครเลยสักคน



ในฮอลล์งานเลี้ยง จ่าวิคเตอร์และนักสืบเยียร์เกอร์กำลังเอามือรองถาดเอาไว้ มองแขกคนแล้วคนเล่าเดินเข้ามา…ความจริงหน่วยสืบสวนหนุ่มยืนมานานมากแล้ว


ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเมื่อยขานิดหน่อยเสียแล้ว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม