หมอยาหวานใจท่านประธาน 268-297

 ตอนที่ 268 คุณก็อะลุ้มอล่วยหน่อย  


 


 


เหล่าเกาเข้าใจแล้ว เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะเป็นซีเหมินหลงเซี่ยว 


 


 


“แต่นายน้อยครับ ในเมื่อรู้ว่าเป็นเขา งั้นจะมาทำไม แบบนี้เขาจะ…” เหล่าเกายังพูดไม่จบ เฉวียนหมิงก็แทรกขึ้น 


 


 


เขามองเหล่าเกาด้วยสายตาปราม “ในแวดวงธุรกิจ ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ไหลย่ากรุ๊ปมีอิทธิพลไม่น้อย ต่อให้ไม่ได้ร่วมมือกัน ก็จำเป็นต้องมีข้อมูลทางตรงด้วย” 


 


 


ก่อนหน้านี้เพราะสภาพร่างกายไม่เอื้อ เขาจึงไม่ค่อยร่วมงานเลี้ยงลักษณะนี้ ส่วนใหญ่จะส่งคนอื่นไปร่วมงานแทน แต่ตอนนี้เขามาปรากฏตัวแล้ว จึงไม่อาจให้ใครมาเป็นตัวแทน 


 


 


ยังมีเหตุผลที่สำคัญอีกอย่างคือ หนานหลิวเฟิงและมั่วเฉินเซวียนก็อยู่ที่นี่ด้วย สองคนนี้หมายตาอีลั่วเสวี่ย ถ้าเขาไม่แข็งแกร่ง แสดงความสามารถของตัวเองให้เห็นบ้าง คนพวกนี้จะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนที่ตอแยด้วยไม่ได้ง่ายๆ  


 


 


“นายน้อยพูดถูก ผมคิดไม่รอบคอบ” เหล่าเการีบก้มหน้ารับผิด คนเราพออายุมากเข้า การป้องกันและวางกลยุทธ์ย่อมตามคนหนุ่มไม่ทัน 


 


 


“ไม่เป็นไรครับ ลุงเกาไปนั่งพักรอผมอีกด้านก็ได้” เหล่าเกาอายุมากแล้ว จะให้ยืนอยู่กับเขาตลอดเวลาก็ใช่ที่ สู้ให้เขาไปหาเพื่อนวัยเดียวกันพูดคุยดีกว่า 


 


 


เหล่าเกายิ้มอย่างตื้นตันใจ เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินไปอีกด้านหนึ่ง 


 


 


เหล่าเกาเพิ่งผละไปไม่นาน ก็มีเด็กสาวสองคนเดินเข้ามา ไม่ใช่ฟังฟังกับอ้ายเวยเวย แต่เป็นสองสาวที่มีทรวดทรงเผ็ดร้อน แต่งตัวเย้ายวนเผยเนินอก รูปร่างเพรียวบาง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ชายเห็นแล้วต้องเลือดลมพลุ่งพล่าน 


 


 


“นายน้อยเฉวียน เสื้อผ้าคอลเล็กชั่นใหม่ที่เคเอ็มคิวของพวกคุณออกเมื่อไม่นานนี้สวยมากค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่ทำให้เราได้เห็นเสื้อผ้าทันสมัยสวยๆ ดื่มด้วยกันสักแก้วสิคะ” 


 


 


หญิงสาวยิ้มหวาน ยกแกวไวน์แดงในมือขึ้น ไวน์แดงเจอกับแชมเปญสีส้มอ่อน สีสันสะดุดตา เหมือนตัวหญิงสาวคนนี้ 


 


 


เฉวียนหมิงเหลือบมองเธอ “ชมเกินไปแล้วครับ” แต่ไม่มีทีท่าว่าจะยกแก้วแชมเปญในมือชนแก้วกับเธอ ทำให้เธอรู้สึกกระอักกระอ่วน 


 


 


“แค่กๆ นายน้อยเฉวียน เชิญดื่มค่ะ” ดูเหมือนเธอจะตัดสินว่าต้องคุยอะไรกับเขาสักอย่าง เธอข่มความกระดากบนใบหน้าแล้วชูแก้วไวน์ 


 


 


“นายน้อยเฉวียน เราเชิญคุณดื่มค่ะ” เมื่อเห็นเฉวียนหมิงไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจ หญิงสาวหน้าตาน่ารักที่อยู่ข้างๆ จึงทำตามบ้าง คนอื่นไม่กล้า แต่พวกเธออยากจะลองดู บางทีเขาอาจไม่ใช่ผู้ชายที่เฉยชากับผู้หญิงอย่างที่ลือกันก็ได้ 


 


 


ฟังฟังยืนดูอยู่ห่างๆ เธอยิ้มหยัน “ดูสิ เดี๋ยวต้องจบไม่สวยแน่” 


 


 


เฉวียนหมิงชำเลืองมอง สายตาอยู่ที่หญิงสาวทั้งสอง “พวกคุณบอกว่าชุดใหม่ที่ผมเพิ่งออกสวย แต่พวกคุณกลับใส่ชุดที่ทำเลียนแบบมาเชิญผมดื่ม คิดว่าผมตาบอดเหรอ” 


 


 


พอเขาพูดเช่นนี้ สองสาวก็หน้าแดงทันที อย่าว่าไป ด้วยฐานะของพวกเธอ คิดจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ล่าสุดของเคเอ็มคิว คงมีเงินไม่พอ พวกเธอก็เลยหาคนตัดเลียนแบบออกมาได้เหมือนของจริงมากๆ ราวกับเป็นพิมพ์เดียวกันเลย 


 


 


“ที่แท้ยายไก่หลง[1]สองคนนี่ใส่ของก๊อปเหรอ ร้ายอะ ขนาดเรายังมองไม่ออกเลยนะ” ผู้หญิงบางคนได้ยินก็อดเยาะเย้ยไม่ได้ เสียงซุบซิบต่างๆ นานาดังเข้าหูสองคนนั้น 


 


 


ทั้งสองถือแก้วไวน์ค้าง จะไปก็ใช่ที่ จะอยู่ก็ไม่ดี อิหลักอิเหลื่อจนแทบอยากมุดดินหนี 


 


 


“นายน้อยเฉวียน เด็กสาวสองคนนี้ชื่นชอบสินค้าของคุณถึงได้ทำแบบนี้ ที่พวกเธอมีเงื่อนไขจำกัดก็ไม่ใช่เรื่องผิด คุณก็น่าจะอะลุ้มอล่วยหน่อย” ซีเหมินหลงเซี่ยวเดินนำคนกลุ่มหนึ่งมาแต่ไกล 


 


 


คนที่เดินมากับเขาไม่ใช่ใครอื่น เป็นหนานหลิวเฟิงและมั่วเฉินเซวียน นอกจากสองคนนี้แล้วยังมีนักธุรกิจใหญ่ของเมืองเอฟอีกสองสามคนด้วย 


 


 


 


 


 


[1] ไก่หลง หมายถึง ผู้หญิงที่เสแสร้งทำเป็นใสซื่อ ทำตัวดูดี หวังเข้ามาตีสนิทหลอกผู้ชาย 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 269 เธอไม่ชอบ 


 


 


ดูท่าซีเหมินหลงเซี่ยวจะทำความคุ้นเคยกับคนเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว ก็ถูก นี่เป็นยุคที่คำนึงถึงเรื่องเงินและภูมิหลังเป็นสำคัญ เขาเป็นถึงซีอีโอของไหลย่ากรุ๊ป สถานะอย่างเขา มีคนมากมายที่อยากมาเอาอกเอาใจก็ยังทำไม่ได้ 


 


 


ตอนนี้เขามาปรากฏตัวในงานเลี้ยง แน่นอนว่าต้องมีคนอยากเข้ามาประจบเอาใจ การที่คนเหล่านี้เป็นฝ่ายเข้ามาแสดงความเป็นมิตร จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร 


 


 


เฉวียนหมิงเหลือบมองหญิงสาวสองคนนั้น “งั้นคุณว่าแบบไหนถึงเป็นการอะลุ้มอล่วยล่ะ พยายามใช้ของปลอมมาตบตาผม เสร็จแล้วผมยังต้องขอบคุณด้วยเหรอ ที่พวกเธอสนับสนุนผม ผมย่อมยินดี แต่การสนับสนุนแบบนี้ ขอโทษด้วย ผมรับไม่ได้” 


 


 


การซื้อสินค้าลอกเลียนแบบย่อมส่งผลกระทบต่อเคเอ็มคิวของเขา ทั้งยังส่งผลมากด้วย พูดอย่างจริงจังก็คือ เฉวียนกรุ๊ปของเขาสามารถฟ้องร้องคนเหล่านี้ได้ ทั้งคนที่ปลอมสินค้าและคนที่ยินยอมให้มีการปลอมสินค้า 


 


 


“ฮ่าๆ นายน้อยเฉวียน วันนี้ทุกคนมาสังสรรค์กัน นี่ไม่ใช่เวลามาคุยเรื่องงาน คุณไม่ต้องจริงจังขนาดนี้ก็ได้” มั่วเฉินเซวียนยิ้มเจ้าเล่ห์ จากนั้นก็เหลือบมองสองสาวที่ยืนหน้าซีด เขาเบ้ปากแล้วว่า “ยังไม่ไปอีก จะรอให้นายน้อยเฉวียนเชิญเองหรือไง” 


 


 


ทั้งคู่รู้สึกเหมือนมีคนช่วยแก้สถานการณ์ให้ รีบผละจากไปทันทีจนลืมแม้แต่จะเอ่ยขอบคุณ ตรงดิ่งไปที่ประตู วันนี้พวกเธอไม่มีหน้าจะอยู่ในงานต่อแล้ว 


 


 


ฟังฟังและอ้ายเวยเวยยืนอยู่ห่างออกไป พอเห็นแบบนี้ ก็ยกมุมปากขึ้น ทำท่าเหมือนไม่ใช่ธุระอะไรของตน  


 


 


“เห็นหรือยังล่ะ ต่อให้ไม่มีเรื่องเสื้อผ้า คนอย่างนายน้อยเฉวียนก็ไม่ใช่คนที่ใครคิดจะเข้าใกล้ก็ทำได้ ถ้าไม่เชื่อ พวกเธอก็ลองดู”  


 


 


หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ อ้ายเวยเวย แววตาเปี่ยมด้วยความหลงใหลในตัวเฉวียนหมิง ท่าทางเย็นชาไม่สนใจแบบนี้ดูเหมือนจะถูกใจเธอ “ฉันก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดี ข้างตัวเขาไม่มีผู้หญิง แสดงว่าฉันยังมีโอกาส” 


 


 


ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงของหนานหลิวเฟิงครั้งก่อน ไม่อย่างนั้นจะต้องรู้ว่าอีลั่วเสวี่ยเป็นคนพิเศษของเฉวียนหมิง เสียดายที่ตอนนี้คนพวกนี้คิดว่าเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับเฉวียนหมิงเป็นแค่เรื่องที่ลือกันไปเกินจริง เรื่องไม่จริงอย่างไรก็เป็นเรื่องไม่จริงอยู่ดี 


 


 


อย่างข่าวที่ลือกันก่อนหน้านี้ว่าเฉวียนหมิงสองขาพิการและไร้สมรรถภาพทางเพศ ในเมื่อเป็นเรื่องไม่จริง ถ้าอย่างนั้นเรื่องอื่นก็คงไม่จริงด้วย คนส่วนใหญ่ก็ไม่เชื่อเรื่องนี้ 


 


 


“นายน้อยซีเหมิน นายน้อยมั่ว นายน้อยเฉวียน นายน้อยหนาน ยินดีที่ได้พบค่ะ” เนื่องจากซีเหมินหลงเซี่ยวเป็นเจ้าภาพจัดงานครั้งนี้ เธอจึงเอ่ยทักทายเขาก่อน นับว่าฉลาดทีเดียว 


 


 


หนานหลิวเฟิงรู้ว่าบริษัทที่ผู้หญิงคนนี้สังกัดอยู่ไม่ใช่บริษัทเล็กๆ จึงยิ้มรับอย่างมีมารยาท 


 


 


จากนั้นสายตาเธอก็มาอยู่ที่เฉวียนหมิง แต่ยังไม่กล้าบุ่มบ่ามเหมือนผู้หญิงสองคนก่อนหน้า 


 


 


“ขอบคุณสำหรับการเชื้อเชิญของคุณซีเหมินนะคะ ได้มาร่วมงานนี้ ฉันถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ขอดื่มให้คุณค่ะ” เธอชูแก้วขึ้น แน่นอนว่าคนอื่นๆ ย่อมชูแก้วตาม หลังจากชนแก้วกับซีเหมินหลงเซี่ยวแล้ว เธอจึงมองมาที่เฉวียนหมิง เขายกแก้วขึ้นจิบ สายตาไม่ได้มองมาที่เธอแม้แต่น้อย 


 


 


เธอนึกโมโห แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ได้คุยกับซีเหมินหลงเซี่ยวแล้ว ผู้ชายคนนี้ทั้งหล่อทั้งรวย เท่าที่รู้เขายังไม่มีแฟน นายหญิงน้อยของเฉวียนกรุ๊ปจะแน่สักแค่ไหนเชียว ไหลย่ากรุ๊ปต่างหากที่มีอิทธิพลใหญ่กว่า 


 


 


“จริงสิ นายน้อยเฉวียน ทำไมไม่เห็นเพื่อนหญิงของคุณเลย อีลั่วเสวี่ยล่ะ ทำไมไม่พาเธอมาด้วยกัน จะได้ทำความคุ้นเคยกัน” มั่วเฉินเซวียนเอ่ย แววตาหรี่ลง  


 


 


เขาคิดว่ามาที่นี่จะได้เจอแม่สาวคนเก่งคนนั้น แต่กลับผิดหวัง 


 


 


เฉวียนหมิงหลุบตาลงเล็กน้อย จากนั้นยิ้มมุมปาก แววตาอ่อนโยน “ผมชวนเธอแล้ว แต่เธอนัดเพื่อนไว้ก่อน อีกอย่างเธอไม่ชอบงานเลี้ยงแบบนี้ ก็เลยไม่มา” 


 


 


แววตาหนานหลิวเฟิงหม่นลง ไม่ชอบ มิน่า งานคราวก่อนเธอก็ไม่เห็นแก่หน้าฉันเลยสักนิด 


ตอนที่ 270 ทำให้ทุกคนฝันสลาย 


 


 


“เธอ? หรือจะเป็นแฟนของนายน้อยเฉวียนคะ” ผู้หญิงคนนี้มีท่าทีแปลกใจ เธอจ้องเฉวียนหมิงด้วยสายตาปรารถนา ดูไปแล้ว นี่เป็นใบหน้าที่ทำให้คนไม่อาจละสายตาได้เลย 


 


 


เสียดายที่ฐานะของเขาเทียบไม่ได้กับซีเหมินหลงเซี่ยว ไม่อย่างนั้นเธอก็อยากจะลองช่วงชิงดู 


 


 


แต่หารู้ไม่ว่าเธอเองยังไม่มีความสามารถแม้แต่จะเอาชนะใจมั่วเฉินเซวียนกับหนานหลิวเฟิงด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฉวียนหมิงกับซีเหมินหลงเซี่ยว หลงตัวเองเกินไปแล้ว 


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าเฉวียนหมิงชัดเจนยิ่งขึ้น แววตายิ่งอ่อนโยน ราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้ “เธอเป็นภรรยาผมครับ” 


 


 


ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ซีเหมินหลงเซี่ยวก็แปลกใจ “ได้ข่าวว่าคุณแต่งงานแล้ว ผมยังคิดว่าสื่อปล่อยข่าวลือ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องจริง ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนไหนที่เข้าตาคุณ ผมอยากรู้จริงๆ” 


 


 


เฉวียนหมิง คนอื่นแต่งงานเพื่อหาพันธมิตร แต่คุณกลับหาจุดอ่อนให้ตัวเอง ผู้หญิงคนนั้นจะกลายเป็นจุดอ่อนของคุณ จุ๊ๆๆ เป็นผู้หญิงแบบไหนกันนะ ถึงทำให้เฉวียนหมิงหวั่นไหวได้ เขาประหลาดใจจริงๆ 


 


 


หนานหลิวเฟิงได้ยินก็กำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว เจ็บใจนัก! เธอควรเป็นของฉันต่างหาก เพราะเฉวียนหมิง ไอ้หมอนี่ชิงลงมือก่อน เข้ามาขัดขาฉัน ไม่อย่างนั้นวันนี้คนที่จะได้ยืดอกต้องเป็นฉันถึงจะถูก 


 


 


“นายน้อยหนานก็แปลกใจใช่ไหมครับ ทำหน้าแปลกๆ” แววตาของซีเหมินหลงเซี่ยววูบไหว คล้ายมองไม่ออกว่าหนานหลิวเฟิงกำลังคิดอะไร 


 


 


“แค่กๆ เรารู้มานานแล้วครับ” น้ำเสียงหนานหลิวเฟิงราบเรียบ แต่ไม่ว่าใครก็ฟังออกว่ากำลังกัดฟันพูด เขาไม่อาจทำใจได้ ยังคงเคียดแค้นไม่ยอมแพ้ 


 


 


เฉวียนหมิงเหลือบมองหนานหลิวเฟิงแวบหนึ่ง ไม่มีการเอ่ยเตือน ไม่มีการยิ้มหยัน แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้หนานหลิวเฟิงรู้สึกว่าเฉวียนหมิงกำลังหัวเราะเยาะเขาอยู่ การยิ้มเยาะโดยไม่แสดงสีหน้าท่าทีออกมา ยิ่งทำให้เขาไม่สบอารมณ์ 


 


 


มั่วเฉินเซวียนกลอกตา “เอาละๆ คุณเป็นคนที่มีครอบครัวแล้ว ก็อย่าข่มคนโสดอย่างผมเลย การอวดภรรยาไม่ใช่วิสัยของคุณเลย นายน้อยเฉวียน” 


 


 


ผู้หญิงคนนั้นเก่งไม่เบาจริงๆ สามารถทำให้เฉวียนหมิงเป็นห่วงเป็นใย แถมยังภาคภูมิใจด้วย 


 


 


“ได้ภรรยาแบบนี้ ชีวิตนี้ผมก็พอใจแล้ว” พอใจ ไม่สิ นี่ยังไม่พอ ยังต้องหาทางทำให้ร่างกายตัวเองดีขึ้นด้วย เขาไม่อาจยอมรับได้ถ้าต้องจากไปโดยทิ้งให้อีลั่วเสวี่ยไว้คนเดียวไร้ที่พึ่งบนโลกนี้ 


 


 


น้ำเสียงเฉวียนหมิงไม่ดังไม่เบา แต่คนรอบข้างไม่น้อยได้ยินชัด พอคำพูดนี้แพร่ออกไป หญิงสาวหลายคนในงานก็พากันทอดถอนใจ 


 


 


“คุณพระช่วย ไม่คิดเลยว่าเฉวียนหมิงจะเป็นคนที่ลุ่มหลงในความรักแบบนี้ รู้อย่างนี้ฉันน่าจะหาวิธีให้ได้แต่งกับเขาตั้งแต่ทีแรก เขาจะต้องเอาอกเอาใจจนยกฉันขึ้นฟ้าแน่ๆ น่าอิจฉาจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงคนไหนที่โชคดี” 


 


 


ที่จริงสำหรับผู้หญิงแล้ว ความคาดหวังก็ไม่ได้สูงเกินไปนัก แค่มีสามีที่รักเธอ ภูมิใจในตัวเธอ เท่านี้ก็เพียงพอ มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่อยากให้สามีพูดถึงเธอด้วยสีหน้าท่าทีกระตือรือร้นแบบนี้เวลาอยู่ข้างนอก 


 


 


การได้แต่งงานเพราะความรักคงเป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุดในชีวิตผู้หญิงคนหนึ่ง 


 


 


“จุ๊ๆ นายน้อยเฉวียน คุณไม่ต้องพูดแล้ว ดูสิสาวๆ ในงานถูกคุณทำให้หัวใจสลายกันหมด” ซีเหมินหลงเซี่ยวเลิกคิ้ว ภรรยาของเฉวียนหมิงดูเหมือนจะชื่ออีลั่วเสวี่ย ลูกสาวบุญธรรมที่ไม่มีใครรู้จักของบริษัทเล็กๆ ที่ปิดตัวไปแล้ว เธอมีดีอะไรกันนะ 


 


 


ยิ่งเฉวียนหมิงยกย่องเธอ เขาก็ยิ่งอยากรู้ โดยเฉพาะข้างตัวเขายังมีอีกสองคนที่พอเอ่ยถึงผู้หญิงคนนี้ สีหน้าท่าทีของพวกเขาก็เปลี่ยนไป 


 


 


ผู้หญิงคนหนึ่งถึงกับสามารถทำให้ผู้ทรงอิทธิพลในเมืองเอฟและเมืองเย่าเฉิงเฝ้าฝันถึง เขาอยากเจอผู้หญิงคนนี้จริงๆ  


 


 


“จริงครับ แต่ในงานเลี้ยงวันนี้ยังมีหนุ่มโสดสาวโสดดีๆ อีกเยอะแยะ ถ้าถูกใจใคร จะลองดูก็ได้นะครับ” มั่วเฉินเซวียนพูดยิ้มๆ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 271 ธุรกิจใหญ่ 


 


 


ที่เขาพูดแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล บรรดาสาวๆ ที่ใจไม่ยอมแพ้แต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่มองเฉวียนหมิงพลางทอดถอนใจด้วยความเสียดาย 


 


 


“จริงสิ คุณซีเหมิน ดูเหมือนคุณจะยังไม่ได้ประกาศประเด็นหลักของงานวันนี้เลยนะครับ” เห็นเวลาผ่านไปไม่น้อยแล้ว จึงมีคนเอ่ยเตือนซีเหมินหลงเซี่ยว 


 


 


พวกเขาได้ข่าวว่ามีบริษัทระดับสูงแห่งหนึ่งจะมาเปิดที่เมืองเอฟของพวกเขา ทั้งยังต้องการผู้ร่วมธุรกิจด้วย ด้วยมูลค่าและขนาดที่น่าพอใจ จึงมาร่วมงานนี้เพื่อสืบความจริง 


 


 


นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมทั้งที่ในบัตรเชิญไม่ระบุชื่อผู้เชิญ แต่พวกเขาก็ยังมา เพียงแค่สามารถเช่าสถานที่จัดงานได้ ไม่มีทางทำให้คนเหล่านี้กระตือรือร้นมาร่วมงานมากขนาดนี้แน่ 


 


 


ซีเหมินหลงเซี่ยวดื่มไวน์ในแก้วจนหมด แล้ววางแก้วลงบนถาดของบริกรที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้แสงไฟรอบๆ พลันสลัวลง ขณะที่แสงไฟหลักส่องมายังตัวเขา พร้อมกับมีคนยื่นไมโครโฟนมาให้ 


 


 


เฉวียนหมิงแววตาเคร่งขรึม ในที่สุดก็ได้เวลาเข้าเรื่องสำคัญซะที อยากรู้นักว่าซีเหมินหลงเซี่ยวมีจุดประสงค์อะไร 


 


 


“คืออย่างนี้ครับ เดิมผมจะเดินทางกลับประเทศ แต่เผอิญมีเพื่อนคนหนึ่งมาเมืองเอฟ ผมเลยถือโอกาสแวะมาเยี่ยมเพื่อน คิดไม่ถึงว่าตอนที่เดินเล่นอยู่ข้างนอกพบว่าหินหยกในเขตเมืองนี้เนื้อดีมาก แต่ด้านการซื้อขายกลับไปได้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่  


 


 


ดังนั้นผมก็เลยเกิดความคิดที่นับว่ากล้ามากอย่างหนึ่ง คือจะใช้หินหยกเป็นแนวทางออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่เดือนพฤศจิกาของไหลย่ากรุ๊ป ขณะเดียวกันหลังจากหารือกับทีมจัดการระดับสูงของเราแล้ว ก็พบว่าที่นี่เหมาะที่จะตั้งร้านใหม่ของเรา” 


 


 


“ตั้งร้านเพื่อเป็นหน้าร้านของไหลย่ากรุ๊ป?” หน้าร้านที่กล่าวถึงนี้ต่างจากร้านสัญลักษณ์ที่ใช้สื่อสารแบรนด์ ซึ่งเทียบเท่ากับจุดจำหน่ายสินค้า แต่หน้าร้านนี้จะเป็นเหมือนบริษัทสาขา ไหลย่ากรุ๊ปถึงกับมาเปิดสาขาที่นี่เชียว! 


 


 


คำตอบนี้ราวกับดอกไม้ไฟที่สว่างโรจน์ในความคิดของทุกคน แต่ละคนอดหายใจเร็วด้วยความตื่นเต้นไม่ได้ 


 


 


คนสมัยนี้ ไม่ว่าชายหญิงคนสูงอายุหรือเด็ก มากน้อยก็ต้องมีเรื่องการบำรุงดูแลผิวเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่รักสวยรักงาม ยิ่งหลงใหลเรื่องเครื่องสำอางที่ช่วยถนอมผิวพรรณ และยินดีที่จะจ่าย 


 


 


ทันทีที่ไหลย่ากรุ๊ปเปิดสาขาที่นี่ ถึงตอนนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะมีผลิตภัณฑ์ทุกอย่างครบถ้วนที่สุด ทั้งยังหาซื้อได้ทันทีที่ออกวางตลาด แบบนี้จะต้องส่งผลต่อเศรษฐกิจเมืองเอฟแน่ๆ 


 


 


ถ้าพวกเขาสามารถถือหุ้นของไหลย่ากรุ๊ปละก็ เงินปันผลย่อมสูงแน่นอน 


 


 


มิน่าในบัตรเชิญจึงบอกว่าจะมีการหารือทางธุรกิจขนาดใหญ่ที่นี่ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้เอง เป็นธุรกิจที่ใหญ่จริงๆ 


 


 


ดวงตาเฉวียนหมิงทอประกายวูบ เขาไม่พูดอะไร หินหยก? ทำไมถึงเป็นหยก ดูเหมือนหยกจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องแบรนด์ของไหลย่ากรุ๊ปเลย หรือจะเป็นการยกตัวอย่างเบิกทางของเขา ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น หินหยกของเมืองเอฟก็นับว่ามีชื่อเสียงจริง  


 


 


“ถูกต้องครับ นี่คือสาขาของไหลย่ากรุ๊ป ก่อนหน้านี้สาขาที่เมืองตี้ตู ผมมองว่าทำกำไรได้ไม่เลวเลย ขณะที่เมืองเอฟอยู่ห่างจากเมืองตี้ตูไม่น้อย เป็นการตอบสนองความต้องการสินค้าภายใต้แบรนด์ไหลย่ากรุ๊ปของเมืองรอบๆ ได้พอดี เราจะทำกำไรเพิ่มขึ้นได้ 


 


 


ดังนั้นวันนี้ผมจึงตัดสินใจนำหุ้นหกสิบเปอร์เซ็นต์ออกประมูล ถือเป็นการตอบแทนความช่วยเหลือที่ทุกท่านจะมอบให้แก่ไหลย่ากรุ๊ปในอนาคต เสียดายที่การตัดสินใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับผมคนเดียว สิทธิ์ในการถือหุ้นเหล่านี้ทุกท่านต้องจ่ายเพื่อให้ได้มา” 


 


 


หกสิบเปอร์เซ็นต์ เท่ากับไหลย่ากรุ๊ปถือครองไว้สี่สิบเปอร์เซ็นต์ หลังจากหุ้นหกสิบเปอร์เซ็นต์ถูกแบ่งขายออกไป พวกเขายังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดอยู่ดี เห็นชัดว่าคนอย่างซีเหมินหลงเซี่ยวไม่เคยทำอะไรที่ตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ 


 


 


มั่วเฉินเซวียนหายใจเร็วขึ้น ต้องหาทางคว้าหุ้นเหล่านี้ให้ได้มากเข้าไว้ ไหลย่ากรุ๊ป ใครๆ ก็อยากเป็นหุ้นส่วนด้วย ที่ฉันไม่ยังรีบไปจากเมืองเอฟเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดจริงๆ 


ตอนที่ 272 ทำไมยุ่งยากอย่างนี้


 


 


ถึงตอนนั้นสถานะของฉันในเมืองเอฟจะมั่งคงขึ้น ไม่ว่าเฉวียนหมิงหรือหนานกรุ๊ปก็จะไม่ใช่คู่ต่อสู้อีกต่อไป ผู้หญิงคนนั้นก็จะไม่กล้าอวดดีแบบนี้อีก


 


 


ในความคิดของมั่วเฉินเซวียน ที่อีลั่วเสวี่ยกล้าเหิมเกริมเช่นนี้ สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะมีเฉวียนหมิงคอยหนุนหลัง


 


 


ซีเหมินหลงเซี่ยวกวาดตามอง พอใจกับสีหน้าของทุกคน เห็นชัดว่าไหลย่ากรุ๊ปของเขามีพลังดึงดูดสูง


 


 


คนที่ติดตามอยู่ข้างตัวซีเหมินหลงเซี่ยวตลอด น่าจะเป็นเลขาฯของเขา พอได้ยินก็ถึงกับผงะ ท่านประธานเสียสติไปแล้วเหรอ เพื่อหยกชิ้นเดียวถึงกับยอมลงทุนขนาดนี้


 


 


แต่ต่อหน้าคนมากมายในที่นี้ เขาไม่กล้าแสดงออกมากเกินไป ประกอบกับตัวเขาเองก็ไม่สามารถตัดสินใจ จึงได้แต่นิ่งเงียบ


 


 


คนเป็นผู้นำ ตัดสินใจอะไรก็คงต้องคิดทางถอยไว้ดีแล้ว


 


 


“ในเมื่อนายน้อยซีเหมินเสนอโอกาสที่ดีแบบนี้ ผมคิดว่าถึงตอนนั้นเศรษฐกิจเมืองเอฟจะได้แรงหนุนที่ดีมาก ไม่ทราบว่านายน้อยซีเหมินจะแบ่งหุ้นจำนวนนี้ยังไงครับ”


 


 


หุ้นหกสิบเปอร์เซ็นต์ ไม่รู้ว่าจะแบ่งออกมาเท่าไหร่ แล้วใครบ้างจะโชคดี


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาของซีเหมินหลงเซี่ยวดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น ปากที่เม้มแน่นเผยอขึ้นเล็กน้อย


 


 


“เรื่องนี้ฝ่ายบริหารระดับสูงของเราจะตัดสินใจเร็วๆ นี้ ส่วนเรื่องทำเลที่ตั้งสาขาและเรื่องอื่นๆ ยังหารือกันไม่เรียบร้อย ดังนั้นผมจึงยังให้คำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ว่าจะแบ่งหุ้นยังไง มูลค่าเท่าไหร่


 


 


แต่ทุกท่านอย่าเข้าใจผิดว่านี่เป็นการให้ทุกท่านเซ็นเช็คเปล่านะครับ คืนนี้ผมจะใช้วิธีประมูลเลือกผู้ถือหุ้นยี่สิบท่านที่เสนอราคาสูงสุด”


 


 


หลังจากนั้นยี่สิบคนนี้จะออกเงินเท่าใด ก็ดูที่ศักยภาพตามจริงของพวกเขา ราคาประมูลในคืนนี้ไม่ใช่เงินที่พวกเขาต้องจ่ายในตอนนั้น


 


 


ทุกคนมองหน้ากันเมื่อได้ฟัง วิธีการแปลกๆ แบบนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกฉงน


 


 


แต่ในเมื่อสามารถใช้เงินซื้อความเป็นหุ้นส่วนหนึ่งในยี่สิบคนได้ เมื่อถึงเวลาที่หารือเรื่องการจ่ายเงินก็ย่อมต้องทุ่มเต็มที่เพื่อให้ได้มา


 


 


เฉวียนหมิงฟังซีเหมินหลงเซี่ยวพูดจบก็ยกมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว คนคนนี้สามารถเอาเช็คเปล่ามาให้คนเซ็นชื่อได้


 


 


แต่ชื่อเสียงของไหลย่ากรุ๊ปไม่ใช่จะเอามาล้อเล่นตามอำเภอใจได้ ในเมื่อเป็นเรื่องที่ออกมาจากปากซีเหมินหลงเซี่ยวเอง การตั้งร้านสาขาจึงไม่อาจเลี่ยงได้ เพียงแต่เขาไม่เข้าใจวิธีการเช่นนี้ของอีกฝ่าย


 


 


อีกอย่าง ต่อให้จะเปิดร้าน โดยเฉพาะร้านของบริษัทข้ามชาติ ไม่ใช่พูดว่าจะเปิดก็เปิดได้เลย ยังต้องผ่านการอนุมัติจากทางการอีก


 


 


“เรื่องนี้ไม่น่าห่วง ในเมื่อนายน้อยซีเหมินเอ่ยปากแล้ว เรายังจะกลัวว่าเป็นเรื่องหลอกลวงอีกเหรอ ส่วนเรื่องประมูล รอไว้งานเลี้ยงคราวหน้าค่อยตัดสินใจน่าจะดีกว่า”


 


 


ไม่ว่าเมื่อไร เงินก็คือตัวตัดสินว่าใครจะได้เป็นหุ้นส่วน


 


 


“พูดถูก วันนี้นายน้อยซีเหมินเพิ่งมาถึงเมืองของเรา อย่าพูดเรื่องธุรกิจเลย เรามาสังสรรค์ผ่อนคลาย ทำความรู้จักกันเถอะ”


 


 


ที่จริงคนเหล่านี้ล้วนเป็นจิ้งจอกเฒ่ากันทั้งนั้น เวลานี้ถ้าเผยไพ่ของตัวเองให้คู่ต่อสู้เห็น ดีไม่ดีพอถึงเวลาหารือเรื่องการแบ่งสัดส่วนหุ้นที่แน่ชัดอาจพลาดท่าให้ฝ่ายตรงข้ามได้


 


 


ความคิดของทุกคนคือรั้งทัพรอจังหวะก่อน หรือก็คือถ้าไม่เห็นกระต่ายก็อย่าเพิ่งปล่อยเหยี่ยวออกไป


 


 


แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่ซีเหมินหลงเซี่ยวหวังไว้ เขายิ้มพลางกวาดตามองทุกคน


 


 


“ทุกท่านให้ความเชื่อมั่นในตัวผมแบบนี้ ทำให้ผมปลื้มใจมาก ผมขอรับรองไว้ที่นี่ ไหลย่ากรุ๊ปของเราจะไม่ทำให้ทุกท่านผิดหวังครับ”


 


 


การตั้งร้านของไหลย่ากรุ๊ปที่นี่ไม่ใช่เพื่อแหวนหยกเท่านั้น แต่เขายังตัดสินใจที่จะเป็นเสือซ่อนมังกรเร้นที่นี่ ทั้งที่นี่ก็อยู่ไม่ไกลจากประเทศซีกั๋วด้วย


 


 


 


 


ตอนที่ 273 ที่แท้เป็นคนเดียวกัน


 


 


ดังนั้นการจะสร้างอาณาจักรธุรกิจของเขาที่เมืองเอฟจึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ บางครั้งการที่ตัวเองมีอิทธิพลยิ่งใหญ่อยู่นอกประเทศ ก็เป็นผลดีต่อฐานะของเขาภายในประเทศ ไม่มีผลเสียอะไร


 


 


“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ขอให้ทุกท่านสนุกกันให้เต็มที่ ผมขอดื่มให้ทุกท่านครับ” ซีเหมินหลงเซี่ยวชูแก้วไวน์ มีรอยยิ้มที่มุมปาก ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสง่างาม


 


 


รู้อยู่แล้วว่าบรรดาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ไม่มีทางรับข้อเสนอง่ายๆ ทุกคนต้องรอดูแผนงานที่เป็นรูปธรรมก่อนจึงค่อยตัดสินใจเรื่องการร่วมหุ้น แต่อย่างนี้ก็ดี จะได้มีเวลาคิดทบทวนให้ดีว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไง


 


 


“ดื่ม!” ทุกคนชูแก้ว ดื่มให้ซีเหมินหลงเซี่ยว บรรดาสาวโสดซึ่งเดิมหลงใหลได้ปลื้มในตัวเฉวียนหมิง ตอนนี้พากันจ้องไปที่ซีเหมินหลงเซี่ยวตาเป็นมันราวกับเห็นเพชรพลอยที่เปล่งประกายวิบวับ อยากได้มาครอบครอง


 


 


เรื่องที่สาวๆ เบนสายตาไปจากเฉวียนหมิงไม่ได้ทำให้เจ้าตัวรู้สึกเสียดายเลย ถึงขั้นทำให้เขาหายใจคล่องขึ้นด้วยซ้ำ


 


 


“นายน้อยเฉวียน ผมขอดื่มให้คุณ” หนานหลิวเฟิงยกมุมปาก แววตาไม่บ่งบอกอารมณ์


 


 


เรื่องที่เฉวียนหมิงกลับมาเป็นปกติแล้ว ทำให้เขานึกนับถือผู้ชายคนนี้ที่อดทนถึงขนาดแกล้งพิการมาได้นานขนาดนี้ จนทำให้เฉวียนกรุ๊ปมีเวลาฟื้นตัว ราวกับพยัคฆ์ร้ายหมอบซุ่มอยู่


 


 


เมื่อเผชิญกับท่าทีค้นหาและยั่วยุที่เหมือนจะจงใจก็ไม่เชิงของหนานหลิวเฟิง เฉวียนหมิงไม่ได้เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย แววตาและสีหน้าไม่แสดงความรู้สึก เพียงยกแก้วชนกับเขา


 


 


ในงานคึกคักยิ่งขึ้น ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม วันนี้ได้รู้ข่าวใหญ่อย่างนี้ กลับไปต้องเตรียมตัวให้ดี


 


 


ถ้าสามารถเป็นหุ้นส่วนของไหลย่ากรุ๊ป ถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะสอดมือเข้าไปในร้านจำหน่ายตามเมืองรอบๆ และทำกำไรได้มหาศาล


 


 


เนื่องจากสถานะพิเศษของซีเหมินหลงเซี่ยว เขาจึงเดินไปเชิญคนในงานดื่มอย่างชาญฉลาด มือถือเขาดังขึ้น หลังจากเปิดดู แววตาก็อึมครึมทันที


 


 


“ทุกท่านครับ ผมต้องขอตัวก่อน” เขาบีบมือถือในมือ พยายามข่มใจไม่ให้มองไปทางเฉวียนหมิง


 


 


คนในงานยิ้มให้ “นายน้อยซีเหมินเกรงใจไปแล้ว เชิญตามสบายครับ” เขาเป็นเทพแห่งความมั่งคั่งของพวกตนในอนาคต จะล่วงเกินไม่ได้เด็ดขาด


 


 


ในห้องขนาดใหญ่ภายในสถานที่จัดเลี้ยง มีโซฟาหนังแท้สีดำตัวใหญ่ ซีเหมินหลงเซี่ยวกับเลขาฯซึ่งทำหน้าที่บอดี้การ์ดด้วยเข้าไปในห้อง จากนั้นก็ล็อกประตู เขานั่งลงบนโซฟาแล้วเปิดดูมือถือ


 


 


ยิ่งสายตาเลื่อนลงไป แววตาก็ยิ่งแปลกไป


 


 


“ภรรยาที่เฉวียนหมิงแต่งงานเงียบๆ ชื่ออีลั่วเสวี่ยเหรอ”


 


 


เลขาฯกลอกตาแล้วพยักหน้า “ใช่ครับ ชื่อนี้แหละ แต่ก่อนหน้านี้เราไม่ได้เจาะจงว่าต้องตรวจสอบอย่างละเอียด จึงไม่มีรูปของเธอ นายครับ ทำไมถึงสงสัยเธอหรือครับ”


 


 


หรือเจ้านายจะมีนิสัยแปลกที่ชอบเมียชาวบ้าน เลขาฯคิดแล้วถึงกับเสียวสันหลังวาบ โลกของคนร่ำรวยนี่เข้าใจยากจริงๆ


 


 


แน่นอนว่าซีเหมินหลงเซี่ยวไม่รู้ว่าเลขาฯคิดอะไรอยู่ “อีลั่วเสวี่ยคนนี้ วันนี้ผมได้เจอเธอ” บังเอิญจริงๆ คนเดียวกันเหรอ คาดไม่ถึงเลย


 


 


คิดถึงตอนที่เจออีลั่วเสวี่ยในร้านหยก ดูเหมือนเธอก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น แต่เฉวียนหมิงถึงขนาดพูดชื่นชมเธอ ทั้งยังชมต่อหน้าคนอื่น ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน


 


 


“เคยเจอ? เจ้านายหมายความว่าเราเคยเจออีลั่วเสวี่ยภรรยาของเฉวียนหมิงเหรอครับ คงไม่หรอกครับ” มาที่นี่นานขนาดนี้ ดูเหมือนจะยังไม่เจอคนในแวดวงไฮโซของเมืองเอฟเลย


 


 


วันนี้เฉวียนหมิงก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าเขาไม่ได้พาภรรยามาด้วย


ตอนที่ 274 บ้านเฟยเฟย


 


 


แล้วพวกเราไปเห็นคนที่เหมือนภรรยาของเฉวียนหมิงที่ไหนกันแน่


 


 


ซีเหมินหลงเซี่ยวปิดมือถือ รอยยิ้มผุดที่มุมปาก “ลืมแล้วเหรอ ตอนที่อยู่ในร้านเครื่องหยก เราเจอผู้หญิงสามคน”


 


 


“ผู้หญิงสามคน?” เขานึกออกทันที เป็นหนึ่งในหญิงสาวสามคนนั้น บังเอิญจริงๆ


 


 


จากข้อมูลคร่าวๆ ที่เขารู้เกี่ยวกับสามคนนั้นสอดคล้องกับข้อมูลของอีลั่วเสวี่ยภรรยาของเฉวียนหมิง ภาพถ่ายสองภาพทับซ้อนกัน ในที่สุดเขาก็นึกออกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร


 


 


“เจ้านายความจำดีจริงๆ! แต่ผู้หญิงแบบนั้น คู่ควรที่เจ้านายจะต้องสงสัยด้วยเหรอครับ” หรือเจ้านายคิดจะเล่นงานเฉวียนหมิงผ่านผู้หญิงคนนี้


 


 


ซีเหมินหลงเซี่ยวหยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจากกล่องบนโต๊ะ จุดสูบช้าๆ จากนั้นก็พ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นวง บุหรี่ที่คีบไว้ระหว่างนิ้วติดไฟวูบ


 


 


“บางทีเธออาจไม่ธรรมดาอย่างที่คุณเห็น” สัญชาตญาณบอกเขาว่าผู้หญิงคนนี้ต้องมีอะไรที่เหนือกว่าคนทั่วไป เพียงแต่เขายังหาไม่พบเท่านั้น


 


 


“งั้นเจ้านายก็คงสงสัยว่าหมอปีศาจอาจเกี่ยวข้องกับเฉวียนหมิงใช่ไหมครับ” นั่นก็ไม่ถูกอีก ถ้าเกี่ยวข้องกับเขา คงไม่ทำแหวนหยกที่ร้านเครื่องหยกเล็กๆ นั่น


 


 


ข้อมูลพวกเขายังบอกว่าเจ้าของร้านชื่อหลิ่วเฟยอวิ๋น เป็นร้านที่บริหารโดยลูกชายของนายกเทศมนตรีเมืองเอฟเพิ่งกลับจากเรียนต่อต่างประเทศ


 


 


“ผมไม่ได้พูดอย่างนั้น หมอปีศาจเป็นคู่ปรับที่รับมือยากคนหนึ่ง ไม่มีทางยอมให้เราคาดเดาฐานะได้ง่ายๆ หรอก อีกอย่างในเมื่อเธอเป็นคนมีความสามารถ เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะดูไม่ออก แต่เท่าที่เห็น ผู้หญิงสามคนนั้นเป็นคนธรรมดา”


 


 


ซีเหมินหลงเซี่ยวย่อมไม่รู้ว่า ไม่ว่าจะมีแหวนหยกหรือลูกบอลเงินอยู่ด้วยหรือไม่ การที่อีลั่วเสวี่ยจะซ่อนเร้นพลังทิพย์ในตัวเธอนั้นเป็นเรื่องง่ายมาก อีกทั้งเมื่ออยู่ข้างนอกเธอมักเก็บซ่อนพลังเอาไว้


 


 


ตอนนี้เมื่อรู้ว่าซีเหมินหลงเซี่ยวเริ่มสืบหาแหวนหยก เธอยิ่งต้องระวังตัวมากขึ้น


 


 


“งั้นก็น่าจะเป็นคนที่ชื่อเหอเย่ว์ ภูมิหลังครอบครัวเธอไม่ธรรมดา มีศักยภาพที่จะฝึกเธอได้ตั้งแต่เด็ก อีกอย่างหลังจากจบม.ปลายแล้ว เราก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอเลย” ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ เธอปรากฏตัวขึ้นในช่วงที่หมอปีศาจประมูลแหวนหยกได้พอดี


 


 


ผู้หญิงคนนั้นน่าสงสัยที่สุด ถ้าต้องการสืบค้นข้อมูลที่มีประโยชน์ คงต้องใช้ความพยายามไม่น้อย


 


 


แววตาซีเหมินหลงเซี่ยวหม่นลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น “งั้นเน้นสืบที่คนชื่อเหอเย่ว์ก่อนค่อยว่าอีกที” ที่จริงเขาเองก็ไม่ได้คาดหวังมากนัก ในเมื่อหมอปีศาจสามารถสังหารลูกน้องเขามากมายอย่างนั้น เรื่องง่ายๆ อย่างการปิดบังอำพรางความเคลื่อนไหวยิ่งไม่ต้องพูดถึง


 


 


“ครับ นาย”


 


 


“เอาละ เราออกไปกันเถอะ พวกข้างนอกนั่นยังต้องอีกพักใหญ่กว่าจะกลับกัน” น้ำเสียงซีเหมินหลงเซี่ยวเจือแววรำคาญเล็กน้อย แต่ก็ยังลุกออกไป


 


 


อีกด้านหนึ่ง อีลั่วเสวี่ยกับเพื่อนมาถึงบ้านหลิ่วเฟยซวงแล้ว


 


 


หลิ่วเฟยซวงขับรถมาจอดในลานบ้านซึ่งมีลักษณะแบบเรือนสี่ประสาน[1]


 


 


“ถึงแล้ว” หลิ่วเฟยซวงลงจากรถ ยืนเท้าสะเอว แววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม


 


 


หน้าประตูรวมทั้งสองข้างกำแพงมีต้นไม้ร่มครึ้ม ประตูใหญ่สีชาดขนาบด้วยสิงโตสัมฤทธิ์สีทองอร่ามสองตัว ข้างประตูด้านหนึ่งมีเลขที่บ้าน จัดเป็นสถานที่ขึ้นชื่อที่ผสานรวมระหว่างความทันสมัยกับความโบราณ


 


 


“ดูเหมือนพี่ฉันจะยังไม่กลับ เสวียเสวี่ย เราช่วยกันขนของเข้าบ้านกันเถอะ ไม่งั้นเดี๋ยวแม่ฉันต้องวิ่งออกมาช่วยแน่ๆ” หลิ่วเฟยซวงว่าพลางเปิดท้ายรถ ถือถุงใบใหญ่สองใบเดินเข้าไป ท่าทางเหมือนหญิงแกร่งไม่มีผิด


 


 


 


 


[1] เรือนสี่ประสาน หรือ “ซื่อเหอย่วน” เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมโบราณของจีน เป็นหมู่เรือนสี่ด้านที่สร้างล้อมลานสี่เหลี่ยมตรงกลาง


 


 


 


 


ตอนที่ 275 เท่ากับเอากุญแจบ้านให้พวกเรา


 


 


“หึ เรื่องแบบต้องให้สาวจอมพลังอย่างฉันทำ” เหอเย่ว์แย่งของหนักไปจากมือหลิ่วเฟยซวง ทั้งยังหิ้วของที่เอาไปได้อย่างอื่นอีก เธอเป็นคนที่ดูแข็งแรงที่สุดในสามสาวนี้ ย่อมต้องเป็นเธอที่ทำ


 


 


ปกติอยู่ในกองทหาร เวลาฝึกภาคสนามทั้งแบกเป้ ทั้งวิ่งโดยผูกถุงทรายติดกับเท้า ยังทำได้สบายมาก เรื่องแค่นี้ขี้ปะติ๋ว


 


 


หลิ่วเฟยซวงชะงัก แล้วยิ้มทันที “ฉันก็ลืมไปว่าเสี่ยวเย่ว์ร้ายกาจแค่ไหน ได้ งานที่ต้องออกแรง ก็รบกวนเธอแล้วกัน ฉันช่วยเสวียเสวี่ยเอง” พูดจบก็หิ้วถุงที่เบาหน่อย


 


 


มุมปากเหอเย่ว์กระตุกเล็กน้อย ในนี้คนที่เก็บความลับมากที่สุดคือเธอ แต่เรื่องนี้ถ้าอีลั่วเสวี่ยไม่พูด เสี่ยวเย่ว์ย่อมไม่ปากมาก


 


 


“ไปเถอะๆ ฉันเปิดประตูให้” หลิ่วเฟยซวงว่าพลางวิ่งนำไปข้างหน้า เปิดช่องเล็กๆ บนประตูเหล็ก แล้วก็เห็นว่ามีเครื่องสแกนใบหน้าเธอ


 


 


มีเสียงดังครืด ประตูเหล็กทรงโบราณเปิดออกอัตโนมัติ ดูแล้วบ้านหลิ่วเฟยซวงคงติดตั้งอุปกรณ์อัจฉริยะที่จำแนกลักษณะคนได้ คนแปลกหน้า ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ้าน ก็จะเข้าไปไม่ได้


 


 


คิดดูแล้วก็จริง พ่อของหลิ่วเฟยซวงเป็นใคร เป็นถึงข้าราชการ อีกอย่างโลกที่ดูเหมือนสงบนี้ ความจริงกลับเต็มไปด้วยคลื่นลม จะไม่ให้มีอะไรที่รับรองความปลอดภัยของชีวิตได้อย่างไร


 


 


“ถึงกับมีเครื่องสแกนใบหน้า เฟยเฟย ถ้าเครื่องนี้ตรวจจับว่าเป็นคนแปลกหน้า จะเป็นยังไงเหรอ” เหอเย่ว์สีหน้าอยากรู้อยากเห็น ในกองทหารยังใช้เครื่องสแกนลายนิ้วมืออยู่เลย ดูเหมือนข้างนอกจะใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่ามาก


 


 


หลิ่วเฟยซวงยันประตูไว้ ให้สองสาวเดินเข้าไปก่อน ได้ยินเหอเย่ว์ถามจึงอธิบาย “ครั้งแรกจะเตือนดีๆ ก่อน ให้ขออนุญาตจากเจ้าบ้าน พอครั้งที่สองถ้าเตือนแล้วไม่ฟัง ก็จะแจ้งตำรวจข้อหาบุกรุกเคหสถานของผู้อื่น และถ้าพยายามทำลายระบบสแกน จะเป็นยังไง ฉันเองก็ไม่รู้ พวกเธออยากลองดูไหมล่ะ”


 


 


มุมปากอีลั่วเสวี่ยกระตุกเล็กน้อย ไม่ต้องลองเธอก็รู้ว่าผลที่เกิดขึ้นย่อมไม่ดีแน่


 


 


เหอเย่ว์ได้ยินดวงตาก็ทอประกาย “ว้า เฟยเฟย ต่อไปถ้าจะมาบ้านเธอคงต้องบอกล่วงหน้าสินะ ไม่งั้นก่อนเข้าไปก็ต้องโทร.บอกก่อน”


 


 


“ไม่เป็นไร เรื่องนี้ง่ายมาก รอเดี๋ยวนะ ฉันจะจัดการให้ระบบจดจำใบหน้าพวกเธอ ถึงตอนนั้นก็มาได้เลย” หลิ่วเฟยซวงพูดโดยไม่ลังเล


 


 


อีลั่วเสวี่ยเลิกคิ้ว “ฟังเธอพูดอย่างงี้ ก็เท่ากับเอากุญแจบ้านเธอให้พวกเรานะสิ เธอไว้ใจเราสองคนขนาดนั้นเชียว?”


 


 


“แหงสิ ก็พวกเธอเป็นเพื่อนซี้ฉันนี่นา” คำพูดนี้ของหลิ่วเฟยซวงทำให้เหอเย่ว์กับอีลั่วเสวี่ยจดจำไว้ในใจ ขณะเดียวกันยังส่งผลกระทบต่อตัวเธออย่างใหญ่หลวงในวันหน้าด้วย


 


 


ระหว่างที่คุยกันก็เดินเข้ามาในบริเวณลานบ้านแล้ว ลานบ้านกว้างใหญ่เปิดโล่ง เต็มไปด้วยดอกไม้กำลังบาน ยังมีต้นไผ่แซม จัดแต่งอย่างสวยงาม ตามทางเดินมีเสาโคมไฟทำจากหินทรงสี่เหลี่ยมสีเหลืองซีดดูเรียบง่าย ทำให้เผลอคิดไปว่าหลงเข้ามาฉากถ่ายทำละคร


 


 


ในลานบ้านมีต้นกุ้ยกำลังออกดอกบานสะพรั่ง ลมพัดกลิ่นหอมเย็นเข้มข้นโชยเข้าจมูกอีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์


 


 


สองสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ โดยไม่รู้ตัว อยู่ในบ้านสวยเงียบสงบแบบนี้ ช่วยในการบำเพ็ญเพียรและเสริมสุขภาพได้


 


 


“บ้านแบบนี้สมัยนี้หายากมาก” เหอเย่ว์อดทอดถอนใจไม่ได้


 


 


“ใช่เลย ตอนนั้นพ่อฉันมาที่นี่ บังเอิญมีคนจะขายที่นี่เพื่อสร้างบ้านใหม่ พ่อแม่ฉันเลยซื้อไว้ ไม่งั้นพวกเธอคงไม่ได้เห็นบ้านโบราณแบบนี้แล้ว”


 


 


เดินราวสิบกว่านาทีก็มาถึงหน้าตึกทันสมัย แสงไฟสว่างทำให้ตึกเล็กที่อยู่ท่ามกลางสนามหญ้าเขียวดูโดดเด่นเป็นพิเศษ


 


 


สนามหญ้ารอบตึกวางโต๊ะกลมเรซินสีขาวสองสามตัวอย่างเป็นระเบียบ ดูสบายตา ทำให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับความร่ำรวยและรู้จักตกแต่งบ้านของเจ้าของ


ตอนที่ 276 เฟยเฟยพูดถึงเธอบ่อยๆ


 


 


“ตอนหลังพ่อฉันก็ดัดแปลงนิดหน่อย จนเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ” หลิ่วเฟยซวงว่าพลางเดินตรงไป


 


 


สุดลานบ้านเป็นบ้านสองชั้น แต่ตกแต่งสวยงามเป็นพิเศษ ดูเหมือนคนในบ้านจะได้ยินเสียงหลิ่วเฟยซวงแล้ว ประตูบ้านเปิดออกทันที


 


 


ตอนนี้เอง ผู้หญิงในชุดกี่เพ้าค่อนข้างเข้ารูปอยู่ตรงหน้าอีลั่วเสวี่ย ผมของเธอม้วนเป็นลอนเล็กน้อย หวีรวบไว้ด้านหลังศีรษะอย่างเรียบร้อย เธออายุราวสี่สิบปี ชุดกี่เพ้าเป็นลวดลายพู่กันจีนภาพต้นไผ่ กิริยาท่วงท่าสง่างาม


 


 


เมื่ออีลั่วเสวี่ยเดินเข้าไปใกล้ จึงพบว่าผู้หญิงในชุดกี่เพ้าเรียบๆ นี้กลมกลืนกับทิวทัศน์รอบด้านจริงๆ ราวกับบรรยากาศโดยรอบดูมีชีวิตชีวาขึ้นเมื่อมีเธอ เหมือนต้นไม้ที่เพิ่งแทงยอดท่ามกลางฝนพรำในฤดูใบไม้ผลิ เป็นสีสันที่เติมแต่งให้งดงามยิ่งขึ้น


 


 


เธอรู้แล้วว่าทำไมเวลาที่หลิ่วเฟยซวงนิ่งสงบจึงเป็นหญิงสาวที่ดูสบายๆ คงจะได้รับอิทธิพลจากผู้หญิงตรงหน้านี่เอง


 


 


“เฟยเฟย ของน่ะเราต้องหิ้วเองสิ ทำไมปล่อยให้เพื่อนทำอย่างนั้นล่ะ”ผู้หญิงคนนั้นก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม สายตาอ่อนโยนมองมาที่อีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์ เป็นการทักทายอย่างไร้สุ้มเสียง


 


 


“ไม่เป็นไรค่ะ เราเดินเข้ามาแล้วก็หิ้วมาเลย” อีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์พูด พลางรีบเดินเข้าไป


 


 


หลิ่วเฟยซวงเชิดคางอย่างภูมิใจ “แม่ขา หนูพาเพื่อนมาหาแม่แล้ว นี่อีลั่วเสวี่ยที่หนูพูดถึง แล้วก็นี่เหอเย่ว์ เพิ่งรู้จักกันไม่นาน เราเข้ากันได้ดีมาก ตอนนี้สนิทกันแล้ว”


 


 


แม่ของหลิ่วเฟยซวงพยักหน้าอย่างพอใจ เจอหน้าครั้งแรก นับว่าน่าประทับใจทีเดียว


 


 


“อีลั่วเสวี่ย ฉันจำได้ เฟยเฟย พูดถึงเธอบ่อยๆ แต่ระยะนี้พูดถึงเสี่ยวเย่ว์บ่อยที่สุด มา รีบเข้ามาเถอะ พ่อ รีบออกมาช่วยขนของหน่อย”


 


 


เพิ่งจะพูดจบ ก็มีชายค่อนข้างท้วมใส่ผ้ากันเปื้อนเดินออกมาจากในบ้าน


 


 


“มาแล้วๆ เฟยเฟย พี่ชายลูกล่ะ ทำไมไม่ช่วยสาวๆ ยกของ เดี๋ยวพ่อจะสั่งสอนให้หนัก โทร.หาก็ไม่รับสาย”


 


 


หลิ่วเฉิงบ่นพลางรับของจากมืออีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์ แล้วรีบยกเข้าไปวางในบ้าน จากนั้นจึงกลับมาช่วยลูกสาวตัวเอง


 


 


“พี่ติดธุระค่ะ ต้องรีบไปที่โกดัง อาจกลับช้าหน่อย ลืมมือถือไว้ในห้องทำงานด้วย หนูเอากลับมาให้แล้ว” หลิ่วเฟยซวงนวดฝ่ามือ พูดพลางยิ้มร่า


 


 


“อ้อเหรอ ก็ยังว่าอยู่ว่าทำไมไอ้หนูนี่ถึงไม่รับโทรศัพท์!” ตอนนี้หลิ่วเฉิงกับคุณนายคนสวยจึงคลายความกังวลลง


 


 


ถึงลูก ๆจะโตแล้ว แต่พอคนเป็นพ่อแม่ไม่ได้รับข่าวคราวว่าลูกสบายดี ย่อมอดห่วงไม่ได้เป็นธรรมดา


 


 


“งั้นก็ช่างเขาเถอะ วันนี้อาเข้าครัวเอง พวกเธอรอเดี๋ยวนะ ดื่มชาดอกกุ้ยของอาหญิง นั่งพักกันก่อน” หลิ่วเฉิงเอ่ยกลั้วหัวเราะ แล้วกลับเข้าไปในครัว


 


 


ที่จริงอีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์ตาแหลมมองเห็นก่อนแล้วว่าอาหารถูกเตรียมไว้เรียบร้อย เหลือแค่เอามาทำก็กินได้เลย หลิ่วเฟยซวงคงจะโทร.บอกล่วงหน้าเอาไว้


 


 


วันนี้เป็นวันศุกร์ ปกติหลิ่วเฉิงน่าจะยังไม่เลิกงาน จะต้องลางานมาแน่ๆ


 


 


สองสาวรู้สึกตื้นตันใจ ทั้งรู้สึกเกรงใจด้วย


 


 


“ลั่วเสวี่ยกับเสี่ยวเย่ว์ใช่ไหมจ๊ะ มานั่งนี่สิ อาจะชงชาดอกกุ้ยให้” คุณนายคนสวยพูด แล้วเดินไปทางด้านหนึ่ง ยกกาน้ำร้อนที่น้ำเดือดแล้วเดินกลับมา


 


 


หลิ่วเฟยซวงนั่งอย่างสบายบนโซฟา “ชาดอกกุ้ยที่แม่ฉันชง ขนาดฉันยังไม่แน่ว่าจะมีลาภปากด้วยซ้ำ”


 


 


 


 


ตอนที่ 277 เธอรู้เรื่องชา


 


 


“นี่เป็นดอกกุ้ยของปีนี้ ก่อนหน้าไม่นานดอกกุ้ยบานไปรอบหนึ่ง อาศัยตอนอากาศดีๆ เก็บมาตากแดด นี่วันนี้เพิ่งเก็บมาใหม่ๆ เลย พวกเธอลองชิมดู”


 


 


คุณนายคนสวยว่าพลางใช้ช้อนตักดอกกุ้ยแห้งใส่ลงในถ้วยชา ค่อยๆ รินน้ำร้อนลงไป ดอกกุ้ยในถ้วยหมุนวน น้ำในถ้วยเปลี่ยนสีทันที


 


 


กลิ่นดอกกุ้ยหอมฟุ้ง พอได้กลิ่น ทั้งอีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์ก็รู้สึกเคลิบเคลิ้มทันที


 


 


“คุณอาคะ ถ้าเดาไม่ผิด หนูรู้สึกว่าในชาดอกกุ้ยมีดอกบัวด้วยใช่ไหมคะ” เธอได้กลิ่นหอมของดินที่ช่วยตัดกลิ่นหอมแรงของดอกกุ้ยให้จางลง และเสริมให้รสหอมหวานยิ่งขึ้น


 


 


ดวงตาคุณนายคนสวยทอประกายทันทีที่ได้ยินอีลั่วเสวี่ยพูด “คิดไม่ถึงว่าคนรุ่นเธอจะเข้าใจเรื่องชาด้วย ไม่ง่ายเลยจริงๆ เธอพูดถูกแล้ว ฉันผสมดอกบัวแห้งที่เก็บตอนเพิ่งบานลงไปด้วย”


 


 


หลิ่วเฟยซวงมองเธอด้วยสีหน้าชื่นชม “เสวียเสวี่ย คิดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นพวกงำประกาย รู้อะไรเยอะจัง” เธออยู่กับเฉวียนหมิงจนฉลาดขึ้นมากจริงๆ ไม่เพียงผลการเรียนจะดีขึ้นมาก ยังเลิกมองโลกในแง่ร้ายแล้ว รู้จักแยกแยะผิดถูกชัดเจน


 


 


“พอรู้นิดหน่อยค่ะ ขายหน้าคุณอาแล้ว” อีลั่วเสวี่ยยิ้ม แล้วรีบหยิบถ้วยชาขึ้นเป่าให้เย็นลง จากนั้นจึงจิบเล็กน้อย


 


 


โลกนี้คนที่รู้จักชงชาและหมักเหล้ามีน้อยจริงๆ ตัวเธอเป็นคนที่ยังยึดติดอยู่กับโลกในอดีต จึงไม่ชอบเครื่องดื่มสมัยใหม่รวมทั้งเบียร์


 


 


“จะเกรงใจทำไมกัน ถ้าชอบ เดี๋ยวอาเก็บดอกกุ้ยข้างนอกมาทำชาให้พวกเธอเอากลับไปบ้าง เด็กผู้หญิงต้องรู้จักดูแลสุขภาพถึงจะดี แต่ยายเฟยเฟยนี่ไม่ฟังฉันเลย ชอบหาว่าฉันสุขภาพไม่ดีคิดฟุ้งซ่าน”


 


 


ความจริงแล้วที่พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่มาตลอด ไม่ย้ายไปอยู่ในเมืองใหญ่ สาเหตุข้อหนึ่งเพราะร่างกายเธอต้องการพักฟื้นอย่างสงบ ด้วยเหตุนี้ในบริเวณบ้านจึงปลูกต้นไม้มากมาย อยู่ที่นี่ไม่ได้ย้ายไปไหนมาหลายสิบปีแล้ว


 


 


“แม่ก็ ไม่ใช่ทุกคนจะชอบใช้ชีวิตอย่างแม่นะ” หลิ่วเฟยซวงกระอักกระอ่วน เธอรู้สึกว่าจังหวะชีวิตแบบแม่เชื่องช้าเกินไป บางครั้งกลับมาบ้านยังคิดว่าตัวเองย้อนมาอยู่อีกยุคหนึ่งด้วยซ้ำ


 


 


แต่ข้อดีก็คือสภาพแวดล้อมที่นี่ร่มรื่น ไม่ว่าอารมณ์เสียมาแค่ไหน ก็ไม่ถึงกับย่ำแย่


 


 


“ไม่หรอก ฉันกลับชอบชีวิตแบบนี้ของคุณอา ความชอบและความปรารถนาของแต่ละคนยากที่จะเป็นอย่างเถายวนหมิง[1] ที่ ‘มองผ่านกอเบญจมาศลอดรั้วไผ่ไปทางตะวันออก เห็นเขาทางใต้’ ”


 


 


ดวงตาคุณนายคนสวยเป็นประกายทันที “ดูสิ ที่ลั่วเสวี่ยคิดตรงกับที่ฉันอยากพูดเลย บางครั้งยังสงสัยว่าเฟยเฟยเป็นลูกสาวฉันหรือเปล่า ไม่เคยเข้าใจเลยว่าแม่อย่างฉันคิดอะไร”


 


 


หลิ่วเฟยซวงเบ้ปาก “แม่ มีแม่ที่ไหนเสือกไสไล่สงลูกสาวตัวเอง หึ”


 


 


อีลั่วเสวี่ยกลอกตา แล้วพูดต่อ “การใช้ชีวิตเรียบง่ายมีความสุขแบบนี้ นอกจากจะต้องแสวงหาและยืนหยัดแล้ว ยังต้องปกป้องรักษาไว้ด้วย คุณอาโชคดีมากที่มีคนช่วยยืนหยัดอีกครึ่งหนึ่ง ยังมีเฟยเฟย ถือว่ามีชีวิตสมบูรณ์พร้อมแล้วค่ะ”


 


 


พอเธอพูดจบ คุณนายคนสวยก็เหลือบมองไปทางห้องครัวโดยไม่รู้ตัว “ลั่วเสวี่ยไม่แค่เข้าใจเรื่องชา ยังวิเคราะห์ความคิดจิตใจของคนได้ดีมากด้วยนะ แต่ไม่รู้ว่าเธอเจอคนที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยหรือยัง”


 


 


“หนู…”


 


 


“แม่ ผมกลับมาแล้ว” ตอนนี้เอง ก็มีเสียงดังมาจากนอกประตู สายตาหลิ่วเฟยอวิ๋นมองมาที่อีลั่วเสวี่ย ขณะเข้ามาในบ้าน


 


 


“มีแขกอยู่ เบาๆ หน่อยสิลูก” คุณนายคนสวยถลึงตาใส่หลิ่วเฟยอวิ๋น รอยยิ้มอ่อนโยนฉายบนใบหน้า


 


 


 


 


[1] เถายวนหมิง (ค.ศ. 365-427) กวีสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก ผู้บรรยายถึงดินแดนที่เรียกว่า “เถาฮวาหยวน” ในบทกวี ‘เถาฮวาหยวน’ (ธารดอกท้อ) กล่าวถึงชาวประมงคนหนึ่งที่หลงเข้าไปพบธารดอกท้ออันสวยงามสงบสุข ธารดอกท้อหรือเถาฮวาหยวนนี้จึงเปรียบได้กับโลกในอุดมคติ


ตอนที่ 278 ทำแบบนี้จะดีเหรอ 


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นกำลังเปลี่ยนรองเท้า มือข้างหนึ่งถือเสื้อ อีกข้างยันประตู ผิวขาว มุมปากยกขึ้นน้อยๆ เข้ากับใบหน้าหล่อเหลา ดูสง่างามจนยากอธิบาย โดยเฉพาะเวลานี้เมื่อแสงจากสนามด้านนอกสาดกระทบบนตัวเขา 


 


 


ขณะที่คุยกัน คุณนายคนสวยก็กวาดสายตามาทางอีลั่วเสวี่ย ลูกชายเธอหล่อเหลาขนาดนี้ เธอไม่เชื่อว่าใจของหญิงสาวจะไม่หวั่นไหว แต่น่าเสียดายที่ไม่เห็นท่าทีอะไรเลยบนใบหน้าและดวงตาของอีลั่วเสวี่ย 


 


 


อีลั่วเสวี่ยดึงสายตากลับมา ดื่มชาดอกกุ้ยเงียบๆ กลับเป็นเหอเย่ว์ซึ่งนั่งข้างๆ ที่ชำเลืองมองเขาหลายครั้ง 


 


 


ลูกชายฉันก็ใช่ว่าจะใช้การไม่ได้นี่นะ อย่างน้อยก็ทำให้เด็กสาวคนนี้สนใจได้ แต่เสียดายที่ไม่ใช่คนที่คาดหวังไว้ แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อเป็นเพื่อนของเฟยเฟย ก็ยังมีโอกาส 


 


 


ไม่ง่ายเลยกว่าจะเจอเด็กสาวที่ถูกใจอย่างนี้ ถ้าไม่คว้ามาเป็นลูกสะใภ้ให้ได้คงเสียดายแย่  


 


 


ถ้าอีลั่วเสวี่ยรู้ว่าคุณนายคนสวยคิดอะไรอยู่ในใจ ก็จะเข้าใจว่าทำไมหลิ่วเฟยซวงถึงได้กระตือรือร้นที่จะหาสะใภ้ให้พี่ชาย 


 


 


“พี่ มาช้าจัง เรากลับกันมาพักใหญ่แล้วนะ” หลิ่วเฟยซวงเบ้ปาก ดวงตาใสซื่อราวกับเด็ก เธอคงสนิทพี่ชายคนนี้มาก 


 


 


สมัยนี้มีพี่ชายกับน้องสาวที่สนิทกันแบบนี้น้อยมากแล้ว 


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นเลิกคิ้ว “อ้อ ขอโทษที พอดีตรงกับเวลาเลิกงานน่ะ รถเลยติดนิดหน่อย พี่ไม่ได้ตั้งใจนะ จริงสิ เฟยเฟย พี่ลืมมือถือไว้ที่ห้องทำงาน เธอเอากลับมาให้พี่หรือเปล่า”  


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นแขวนเน็กไทและเสื้อโค้ตที่ราวแขวนเสื้อข้างประตู แล้วพับแขนเสื้อพลางเดินเข้ามา 


 


 


อีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์คิดว่าเขาจะนั่งพัก แต่เขากลับเดินตรงไปทางห้องครัว 


 


 


“เอากลับมาให้แล้ว จริงด้วยพี่ ฉันอยากกินไข่เจียวฝีมือพี่” หลิ่วเฟยซวงกอดหมอนอิง พิงศีรษะกับโซฟา ทำหน้าใสซื่อเหมือนแมวที่รอให้ป้อนอาหาร 


 


 


“ได้ๆๆ เจ้าหญิงบ้านเราพูดอะไรถือเป็นคำขาด” จากนั้นหลิ่วเฟยอวิ๋นก็หยิบไข่ไก่ออกมา แล้วลงมือทำ 


 


 


เวลานี้อีลั่วเสวี่ยจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กสาวอย่างหลิ่วเฟยซวงจึงไม่ประสีประสาเรื่องการใช้ชีวิต ในบ้านมีพ่อแม่คอยเอาใจ แถมยังมีพี่ชายคอยดูแลตั้งแต่เล็ก ใช้ชีวิตเหมือนเจ้าหญิง ก็ไม่น่าแปลกใจ 


 


 


ยังดีที่คุณนายคนสวยเป็นคนฉลาด ทำให้หลิ่วเฟยซวงแม้จะเย่อหยิ่งบ้าง แต่ก็ไม่ทำอะไรเอาแต่ใจตัวเองอย่างไร้เหตุผล 


 


 


สังเกตเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของอีลั่วเสวี่ยกับเหอเย่ว์ หลิ่วเฟยซวงจึงรีบอธิบาย “พวกเธอไม่ต้องมองฉันแบบนี้เลยนะ บ้านฉันเป็นประชาธิปไตย ทุกคนเสมอภาค พ่อทำกับข้าว ส่วนเรื่องเก็บล้างทำความสะอาดกับซักผ้าเป็นหน้าที่แม่ ส่วนเราตอนนี้ยังไม่ทำอะไร เพราะต้องออมแรงไว้จัดการกับเรื่องที่เหลือ” 


 


 


“ทำแบบนี้จะดีเหรอ” เหอเย่ว์เริ่มรู้สึกนั่งไม่เป็นสุข ในกองทัพ เรื่องของตัวเองต้องลงมือทำเอง จะให้คนอื่นทำแทนไม่ได้เด็ดขาด ตอนนี้ไม่ได้อยู่ร้านอาหาร เธอรู้สึกไม่เคยชิน  


 


 


“เสี่ยวเย่ว์พูดถูก เราพักพอแล้ว ที่เหลือให้เราทำเถอะ คุณอาทำงานมาเหนื่อยๆ จริงไหมเฟยเฟย เธอเองก็ควรหัดทำบ้างนะ” 


 


 


หลิ่วเฟยซวงได้ยินก็ชี้จมูกตัวเองทันที “ฉัน? ก่อนนี้ฉันเตรียมหาแฟนที่ทำกับข้าวเป็น อย่างเก่งฉันก็รับหน้าที่กินกับเก็บล้าง” 


 


 


อย่าว่าไป ถ้าเป็นเรื่องอนามัยแล้ว หลิ่วเฟยซวงทำได้ดีทีเดียว 


 


 


“แม่ว่าที่ลั่วเสวี่ยกับเสี่ยวเย่ว์พูดก็มีเหตุผลนะ เฟยเฟย ลูกควรลองทำบ้างนะ” คุณนายคนสวยยิ้ม พลางจิบชาด้วยท่าทางชวนมอง  


 


 


 


 


 


ตอนที่ 279 ไม่กลัวฉันทำไฟไหม้ครัว  


 


 


แม่ตัวเองถึงกับออกปาก ขืนปฏิเสธอีกคงไม่ดี 


 


 


“ไปก็ไป งั้นทำด้วยกัน ถ้าพวกเธอไม่กลัวฉันทำไฟไหม้ครัวละก็!” ทำก็ทำสิ ใครกลัวกัน ถ้าพวกเธอไม่ได้ลองชิมสิ่งที่เรียกว่าฝีมือระดับพระกาฬ ฉันก็ไม่ชื่อหลิ่วเฟยซวงแล้ว 


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นกับหลิ่วเฉิงซึ่งอยู่ในครัวได้ยินเข้าถึงกับสั่นสะท้าน รีบยืนขวางประตูไว้ 


 


 


“แค่กๆ ในครัวมีแต่กลิ่นควัน ไม่ดีต่อผิวสาวๆ อย่างพวกเธอ เฟยเฟย พาเพื่อนลูกไปนั่งเล่นในห้องหรือไปเดินเล่นดูดาวที่สนามก็ได้ อีกเดี๋ยวกับข้าวก็เสร็จแล้ว” 


 


 


หลิ่วเฉิงเหงื่อผุดเต็มหน้า ไม่รู้เพราะทำครัวอยู่ก็เลยร้อนหรือเปล่า 


 


 


“ใช่แล้ว เฟยเฟย ครัวบ้านเราไม่ใหญ่ เข้ามาหลายคนจะไม่มีที่ให้เดิน ครั้งนี้ให้พวกเราผู้ชายรับผิดชอบเอง” สวรรค์ แม่คิดยังไงของแม่ จะให้เธอทำ ให้เราเอาชีวิตไปเสี่ยงหรือไง ฉันไม่อยากท้องเสียจนพรุ่งนี้ต้องนั่งประชุมผ่านมือถืออยู่ในห้องน้ำหรอกนะ 


 


 


หลิ่วเฟยซวงผายมืออย่างจนใจ หันมามองอีลั่วเสวี่ยกับเหอเย่ว์ “เห็นไหม เสด็จพี่กับเสด็จพ่อไม่อนุญาต จะโทษองค์หญิงอย่างฉันไม่ได้นะ” 


 


 


เธอถูกตามใจจนเป็นอย่างนี้ นอกจากความรักของพ่อแม่และพี่ชายแล้ว ก็เป็นสาเหตุนี้แหละที่ทุกคนไม่อยากให้เธอเข้าครัว อืม อย่างมากถ้าเหนื่อยจริงๆ ก็ให้เธอช่วยล้างจานชามเท่านั้น 


 


 


และแน่นอนว่ายังต้องเตรียมจานชามสำรองไว้ด้วย  


 


 


“งั้นต้องโทษเสด็จแม่อย่างฉันใช่ไหม” คุณนายคนสวยที่ห้องรับแขกยิ้ม เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับลูกสาว 


 


 


อีลั่วเสวี่ยเห็นแล้วก็อดนึกอิจฉาไม่ได้ ครอบครัวรักใคร่กลมเกลียวคงเป็นแบบนี้นี่เอง 


 


 


หลิ่วเฟยซวงแลบลิ้น “ลูกมิกล้า แค่พูดไปอย่างนั้นเอง” 


 


 


“เอาละๆ ในเมื่อพวกคุณบอกว่าคนหนึ่งเป็นฮ่องเต้คนหนึ่งเป็นองค์ชาย แล้วจะให้พวกคุณทำครัวได้ยังไง ให้เราทำเถอะค่ะ” 


 


 


เห็นอีลั่วเสวี่ยพูดเช่นนี้ แล้วดูกับข้าวหลายอย่างที่ทำเสร็จเรียบร้อย อยู่ในกล่องเก็บความร้อน หลิ่วเฉิงจึงสบตากับลูกชายแล้วพยักหน้า ถอดผ้ากันเปื้อนออก 


 


 


“ได้ งั้นยกครัวให้พวกเธอ ทำกับข้าวง่ายๆ อีกอย่างสองอย่างก็กินกันได้แล้ว เรามีกันไม่กี่คน กินกันไม่มากหรอก” 


 


 


“ไม่มีปัญหาค่ะ” อีลั่วเสวี่ยยิ้ม รับผ้ากันเปื้อนมาจากหลิ่วเฟยอวิ๋น แล้วเดินเข้าไปในครัว 


 


 


หลิ่วเฟยซวงมองเธอกับเหอเย่ว์จัดแจงอาหารในครัว ก็รู้สึกคันไม้คันมือ “เสวียเสวี่ย ฉันพอจะทำอะไรได้บ้าง ให้ฉันเป็นลูกมือนะ” 


 


 


อีลั่วเสวี่ยเหลือบมองหลิ่วเฟยซวง พลางเลิกคิ้ว “เธอแน่ใจนะ?” 


 


 


“แน่ใจสิ เดี๋ยวพวกเธอยกอาหารออกไป จะให้ฉันไม่มีผลงานอะไรเลยได้ไง” หลิ่วเฟยซวงท่าทางเหมือนกลัวเสียหน้า ต้องทำอะไรบ้าง 


 


 


“อืม…งั้นเธอลวกผักสักชามแล้วกัน ง่ายมาก ล้างผักให้สะอาด เด็ดเป็นใบๆ แล้วใส่ลงในน้ำเดือดต้มสักห้านาทีก็พอ”  


 


 


ดวงตาหลิ่วเฟยซวงเจิดจ้าขึ้นมาทันที เธอชูนิ้วหัวแม่มือให้อีลั่วเสวี่ย “ว้าว เสวียเสวี่ยสุดยอดเลย นี่ง่ายกว่าต้มบะหมี่ต้มไข่ด้วยซ้ำ” ง่ายราวกับเสก 


 


 


“นั่นมันแน่อยู่แล้ว ยังดีกว่าเธอผัดข้าวผัดไข่ ถ้าไม่มีเปลือกไข่ติดมาด้วยก็ผัดจนข้าวไหม้” หลิ่วเฟยอวิ๋นพูด ต่อให้ต้มผักจนเปื่อยก็ยังกินได้ อย่างมากก็แค่รสชาติไม่ได้เรื่อง  


 


 


“หึ! ต้องโทษที่พี่โง่เอง ถ้าพี่ฉลาดอย่างเสวียเสวี่ย ฉันกลายเป็นเชฟดังไปแล้ว!” สีหน้าหลิ่วเฟยซวงหยิ่งผยอง เด็ดผักทีละใบใส่ลงไปในอ่างน้ำ 


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นสีหน้าไม่พอใจ “เชฟดัง ถ้าเธอเป็นเชฟดัง พี่ก็เป็นเชฟระดับวังหลวงแล้ว” 


ตอนที่ 280 มีเพื่อนอย่างพวกเธอ


 


 


“ไปไกลๆ เลย ฉันชักสงสัยแล้วนะว่าพี่ไม่ใช่พี่ฉัน” หลิ่วเฟยซวงทำท่าคร้านจะพูดกับเขา รอให้ฉันแสดงฝีมือก่อนเถอะ จากนั้นก็หันไปล้างผักอย่างตั้งอกตั้งใจ


 


 


เหอเย่ว์ยิ้มอย่างจนใจ สองพี่น้องเถียงกันทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่น ที่แท้ครอบครัวที่มีกันหลายคนก็ให้ความรู้สึกอย่างนี้เอง ส่วนเธออยู่ข้างนอกหลายปีไม่ได้กลับบ้าน พ่อแม่คงคิดถึงลูกสาวมาก


 


 


“เป็นอะไรไป” อีลั่วเสวี่ยเห็นเหอเย่ว์ใจลอย จึงถามด้วยความเป็นห่วง


 


 


“เปล่า ลั่วเสวี่ย เฟยเฟย ก่อนฉันกลับไป ถ้าพวกเธอมีเวลา ไปเที่ยวที่บ้านฉันบ้างได้ไหม” พ่อแม่เห็นลูกพาเพื่อนมาเที่ยวบ้านน่าจะดีใจมาก


 


 


อีกอย่างเธอก็อยากให้ที่บ้านครึกครื้นสักหน่อย ให้พ่อกับแม่เห็นว่าเธอมาที่นี่ไม่นานก็มีเพื่อนดีๆ แล้ว แบบนี้จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเธอเป็นสาวห้าว ไม่มีความเป็นผู้หญิง


 


 


ดวงตาอีลั่วเสวี่ยเป็นประกาย หันไปสบตากับหลิ่วเฟยซวง แล้วยิ้ม “ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”


 


 


“อืมๆ!” เหอเย่ว์พยักหน้าแรงๆ พลางยิ้มหวาน ใบหน้าด้านข้างของเธอตกอยู่ในสายตาหลิ่วเฟยอวิ๋นพอดี เป็นธรรมดาที่เขาจะเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยแฝงความรู้สึกผิดเมื่อครู่ของเธอ


 


 


คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวที่ดูไม่แคร์อะไรคนนี้จะมีด้านที่อ่อนโยนด้วย ที่จริงเธอก็เหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ภายใต้เปลือกแข็งก็มีอารมณ์ที่อ่อนโยน


 


 


อีลั่วเสวี่ยกับเหอเย่ว์ช่วยกันทำกับข้าวอีกสองสามอย่าง มีเต้าหู้ผัดพริกเสฉวน เนื้อเส้นผัดพริกหวาน…ทั้งหมดสี่อย่าง รวมกับผักต้มของหลิ่วเฟยซวง กับอาหารที่หลิ่วเฉิงทำไว้ก่อนหน้านี้ จึงมีอาหารเต็มโต๊ะ


 


 


เนื่องจากหลิ่วเฉิงทำเตรียมไว้ล่วงหน้า จึงมีทั้งอาหารจานหลักและจานรอง ดูน่ากินมาก


 


 


“กินข้าวๆ พ่อ แม่ พี่ ลองชิมผักต้มของหนูก่อน” หลิ่วเฟยซวงจ้องพวกเขาด้วยแววตาคาดหวัง


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นและพ่อแม่หยิบตะเกียบ คีบผักต้มขึ้นมาชิมชิ้นหนึ่งด้วยท่าทางร่วมมือกันดีมาก อืม ถึงจะสุกไปหน่อย แต่ยังดีที่ไม่ถึงกับเละเป็นโจ๊ก พอกินได้ ใช่แล้ว นี่น่าจะเป็นอาหารอย่างที่สองที่เฟยเฟยทำแล้วกินได้


 


 


“ไม่เลวนี่ เมนูของเฟยเฟยเพิ่มขึ้นมาเป็นอย่างที่สองแล้ว ชื่อผักต้ม!” หลิ่วเฉิงพูดพลางหัวเราะ


 


 


เมนูของเฟยเฟย หมายถึงอาหารที่หลิ่วเฟยซวงทำเป็นใช่ไหม “อาหารอย่างที่สอง งั้นอย่างแรกเป็นอะไรเหรอคะ” อีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์อยากรู้


 


 


“แค่กๆ เรื่องนี้…เรื่องนี้ กินก่อนเถอะ เสวียเสวี่ย เสี่ยวเย่ว์ พวกเธอชิมนี่สิ” หลิ่วเฟยซวงกระแอมเล็กน้อยด้วยความเขิน แล้วคีบเนื้อใส่ในชามพวกเธอ พร้อมกับส่งสายตาห้ามไม่ให้พ่อพูดออกมา


 


 


“ไม่ต้องอายหรอกน่า ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ แค่กๆ เฟยอวิ๋น ลูกบอกทุกคนสิ” หลิ่วเฉิงซึ่งรักภรรยาและลูกสาวสุดชีวิตส่งไม้ต่อให้ลูกชาย แสดงออกว่ารักลูกสาวมากกว่าลูกชายอย่างชัดเจน


 


 


มุมปากหลิ่วเฟยอวิ๋นกระตุก เขารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอีหรอบนี้


 


 


“อาหารอย่างแรกคือพวกอาหารเช้า ไข่ต้ม ขนมปัง และนม” ก็ยังเป็นการต้ม ถึงยังไงก็ไม่ทำเสียง่ายๆ


 


 


“พี่นะ ฉันตัดขาดกับพี่แล้ว!” หลิ่วเฟยซวงอายจนกลายเป็นโกรธ โมโหจนอยากชกคน


 


 


อีลั่วเสวี่ยกับเหอเย่ว์หัวเราะจนหลิ่วเฟยซวงพลอยหัวเราะไปด้วย “ทุกคนนิสัยไม่ดี เอาแต่ล้อฉัน” ทำกับข้าวไม่เป็นไม่ใช่ความผิดสักหน่อย หึ


 


 


“เถอะน่า เธอบอกว่าจะตัดขาดก็ตัดขาดได้เหรอ เราลูกพ่อแม่เดียวกัน เลือดในตัวก็เหมือนกัน ทำพูดดีไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก”


 


 


คุณนายคนสวยและหลิ่วเฉิงยิ้มหน้าบ้าน “พวกลูกมีเพื่อนแบบนี้แม่ก็สบายใจแล้ว”


 


 


 


 


ตอนที่ 281 เตือนด้วยความหวังดี


 


 


เนื่องจากทั้งคู่ไม่ได้เข้มงวดกับลูกๆ จนเกินไป คนหนึ่งหลังจบมัธยมปลายก็ไปเรียนต่อต่างประเทศ อีกคนก็นิสัยเหมือนเด็กผู้ชาย การเลือกคบเพื่อนก็สูงมาก พวกเขาจึงกังวลว่าลูกๆ จะไม่มีเพื่อน


 


 


แต่ตอนนี้ดีแล้ว ลูกทั้งสองไม่เพียงมีเพื่อน ดูเหมือนเพื่อนยังเป็นเด็กดีด้วย ในฐานะพ่อแม่ย่อมหายห่วงเป็นธรรมดา


 


 


“คุณอาเกรงใจเกินไปแล้วค่ะ” อีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์ยิ้ม เอ่ยอย่างถ่อมตัว ที่จริงถ้าคบกับหลิ่วเฟยซวงนานเข้า จะเห็นข้อดีของเธอ แต่เรื่องของมิตรภาพก็ต้องดูคนด้วย


 


 


สองคนใจคอเดียวกัน คุยด้วยแล้วเข้ากันได้ เข้าอกเข้าใจกัน ไม่มัวคิดเล็กคิดน้อย มิตรภาพจึงจะค่อยๆ แน่นแฟ้น แต่ถ้าตรงกันข้าม ความสัมพันธ์ก็จะไม่ยืดยาว เดี๋ยวก็ห่างกันไปเอง


 


 


“เอาละ อย่ามัวแต่ห่วงคุย กินข้าวๆ ไม่งั้นจะเย็นซะหมด” หลิ่วเฉิงเห็นพวกสาวๆ เอาแต่คุยกัน จึงเอ่ยเตือน


 


 


หลิ่วเฟยซวงพยักหน้า แล้วคีบผักใส่ชามคุณนายคนสวย “แม่ กินผักจะได้ช่วยย่อย ลองชิมดูค่ะ” นับจากนี้ครอบครัวหลิ่วเฟยอวิ๋นต้องกินผักต้มต่อเนื่องหนึ่งสัปดาห์


 


 


มื้อค่ำผ่านไปท่ามกลางเสียงพูดคุยหัวเราะ เนื่องจากอาหารแต่ละจานมีปริมาณไม่มาก ทุกคนจึงช่วยกันกินจนหมด ไม่ทิ้งให้เสียของ อาหารใช่ว่าต้องมากจนกินไม่หมดจึงจะถือว่าหรูหรา


 


 


หลังจากล้างจานชามแล้ว คุณนายคนสวยกับหลิ่วเฉิงปอกผลไม้ใส่จานรอพวกอีลั่วเสวี่ยไว้แล้ว


 


 


“เกรงใจจริงๆ พวกเธอเป็นแขก กลับให้พวกเธอทำงานบ้าน” คุณนายคนสวยมองสองสาวด้วยแววตาขอโทษ


 


 


“มีอะไรต้องเกรงใจคะ ถ้าเราสองคนมากินอย่างเดียว กินเสร็จก็กลับไป แบบนั้นต่างหากที่ไม่มีมารยาท อีกอย่างนี่เป็นแค่งานเล็กน้อย ถือว่าเป็นการออกกำลังหลังอาหาร คุณอาอย่ากังวลเลยค่ะ”


 


 


“หนูลั่วเสวี่ย ช่างรู้จักพูดจริงๆ เอาละ ต่อไปพวกเธอถือว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองนะ ทุกคนทำตัวตามสบาย มา นั่งลงกินผลไม้กัน”


 


 


จากนั้นทุกคนก็ร่วมวงกินผลไม้


 


 


“จริงสิพี่ วันนี้พอพี่ออกไป มีคนมาที่ร้านเรา บอกว่าอยากร่วมมือกับร้านหยกของเรา นี่นามบัตรเขา” หลิ่วเฟยซวงนึกขึ้นได้ กินผลไม้ในมือ เช็ดมือ แล้ววิ่งไปหยิบนามบัตรมา


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นรับนามบัตรมาดู “ซีเหมินหลงเซี่ยว ไหลย่ากรุ๊ป…ซีเหมินหลงเซี่ยว? เฟยเฟย ใครให้นามบัตรนี้มา เล่าให้ฟังอีกทีซิ”


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นทำท่าเหมือนตัวเองดูผิด ยังตั้งใจกะพริบตาแล้วดูใหม่อีกครั้ง ดูจากนามบัตรที่เรียบหรูก็พอรู้ฐานะที่ไม่ธรรมดาของอีกฝ่าย


 


 


“คนที่ให้นามบัตรบอกว่าอยากร่วมงานกับพี่ เขาชื่อซีเหมินหลงเซี่ยว” หลิ่วเฟยซวงแค่ดูนามบัตร ไม่ได้คิดอะไรมาก


 


 


ดวงตาหลิ่วเฉิงเป็นประกายวูบไหว เขาหยิบนามบัตรจากมือลูกชายมา ไหลย่ากรุ๊ปเป็นบริษัทข้ามชาติไม่ใช่เหรอ เน้นเรื่องผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอาง เห็นโฆษณาในทีวีบ่อยๆ


 


 


“นี่เป็นนามบัตรที่ซีเหมินหลงเซี่ยวให้มา บอกว่าอยากร่วมมือกับร้านหยกของเราครับ” หลิ่วเฟยอวิ๋นท่าทางตื่นเต้น เขาเคยอยู่ต่างประเทศ ย่อมรู้ดีว่าบริษัทนี้มีอิทธิพลมากขนาดไหน แต่ทำไมอยู่ๆ ก็อยากร่วมมือกับเรา แถมยังมาหาถึงที่ด้วย


 


 


แต่ดูแล้ว ก็ไม่น่าจะมีใครกล้าแอบอ้างตัวเป็นซีเหมินหลงเซี่ยวแน่ๆ


 


 


“ใช่ค่ะ ตอนนั้นเสวียเสวี่ยกับเสี่ยวเย่ว์ก็อยู่ด้วย พวกเธอเป็นพยานได้ ซีเหมินหลงเซี่ยวคนนั้นอยากร่วมมือด้วย จริงด้วยพี่ ดูท่าทางเขาจะสนใจแหวนหยกที่พี่ให้เรามาก”


ตอนที่ 280 มีเพื่อนอย่างพวกเธอ


 


 


“ไปไกลๆ เลย ฉันชักสงสัยแล้วนะว่าพี่ไม่ใช่พี่ฉัน” หลิ่วเฟยซวงทำท่าคร้านจะพูดกับเขา รอให้ฉันแสดงฝีมือก่อนเถอะ จากนั้นก็หันไปล้างผักอย่างตั้งอกตั้งใจ


 


 


เหอเย่ว์ยิ้มอย่างจนใจ สองพี่น้องเถียงกันทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่น ที่แท้ครอบครัวที่มีกันหลายคนก็ให้ความรู้สึกอย่างนี้เอง ส่วนเธออยู่ข้างนอกหลายปีไม่ได้กลับบ้าน พ่อแม่คงคิดถึงลูกสาวมาก


 


 


“เป็นอะไรไป” อีลั่วเสวี่ยเห็นเหอเย่ว์ใจลอย จึงถามด้วยความเป็นห่วง


 


 


“เปล่า ลั่วเสวี่ย เฟยเฟย ก่อนฉันกลับไป ถ้าพวกเธอมีเวลา ไปเที่ยวที่บ้านฉันบ้างได้ไหม” พ่อแม่เห็นลูกพาเพื่อนมาเที่ยวบ้านน่าจะดีใจมาก


 


 


อีกอย่างเธอก็อยากให้ที่บ้านครึกครื้นสักหน่อย ให้พ่อกับแม่เห็นว่าเธอมาที่นี่ไม่นานก็มีเพื่อนดีๆ แล้ว แบบนี้จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเธอเป็นสาวห้าว ไม่มีความเป็นผู้หญิง


 


 


ดวงตาอีลั่วเสวี่ยเป็นประกาย หันไปสบตากับหลิ่วเฟยซวง แล้วยิ้ม “ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”


 


 


“อืมๆ!” เหอเย่ว์พยักหน้าแรงๆ พลางยิ้มหวาน ใบหน้าด้านข้างของเธอตกอยู่ในสายตาหลิ่วเฟยอวิ๋นพอดี เป็นธรรมดาที่เขาจะเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยแฝงความรู้สึกผิดเมื่อครู่ของเธอ


 


 


คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวที่ดูไม่แคร์อะไรคนนี้จะมีด้านที่อ่อนโยนด้วย ที่จริงเธอก็เหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ภายใต้เปลือกแข็งก็มีอารมณ์ที่อ่อนโยน


 


 


อีลั่วเสวี่ยกับเหอเย่ว์ช่วยกันทำกับข้าวอีกสองสามอย่าง มีเต้าหู้ผัดพริกเสฉวน เนื้อเส้นผัดพริกหวาน…ทั้งหมดสี่อย่าง รวมกับผักต้มของหลิ่วเฟยซวง กับอาหารที่หลิ่วเฉิงทำไว้ก่อนหน้านี้ จึงมีอาหารเต็มโต๊ะ


 


 


เนื่องจากหลิ่วเฉิงทำเตรียมไว้ล่วงหน้า จึงมีทั้งอาหารจานหลักและจานรอง ดูน่ากินมาก


 


 


“กินข้าวๆ พ่อ แม่ พี่ ลองชิมผักต้มของหนูก่อน” หลิ่วเฟยซวงจ้องพวกเขาด้วยแววตาคาดหวัง


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นและพ่อแม่หยิบตะเกียบ คีบผักต้มขึ้นมาชิมชิ้นหนึ่งด้วยท่าทางร่วมมือกันดีมาก อืม ถึงจะสุกไปหน่อย แต่ยังดีที่ไม่ถึงกับเละเป็นโจ๊ก พอกินได้ ใช่แล้ว นี่น่าจะเป็นอาหารอย่างที่สองที่เฟยเฟยทำแล้วกินได้


 


 


“ไม่เลวนี่ เมนูของเฟยเฟยเพิ่มขึ้นมาเป็นอย่างที่สองแล้ว ชื่อผักต้ม!” หลิ่วเฉิงพูดพลางหัวเราะ


 


 


เมนูของเฟยเฟย หมายถึงอาหารที่หลิ่วเฟยซวงทำเป็นใช่ไหม “อาหารอย่างที่สอง งั้นอย่างแรกเป็นอะไรเหรอคะ” อีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์อยากรู้


 


 


“แค่กๆ เรื่องนี้…เรื่องนี้ กินก่อนเถอะ เสวียเสวี่ย เสี่ยวเย่ว์ พวกเธอชิมนี่สิ” หลิ่วเฟยซวงกระแอมเล็กน้อยด้วยความเขิน แล้วคีบเนื้อใส่ในชามพวกเธอ พร้อมกับส่งสายตาห้ามไม่ให้พ่อพูดออกมา


 


 


“ไม่ต้องอายหรอกน่า ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ แค่กๆ เฟยอวิ๋น ลูกบอกทุกคนสิ” หลิ่วเฉิงซึ่งรักภรรยาและลูกสาวสุดชีวิตส่งไม้ต่อให้ลูกชาย แสดงออกว่ารักลูกสาวมากกว่าลูกชายอย่างชัดเจน


 


 


มุมปากหลิ่วเฟยอวิ๋นกระตุก เขารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอีหรอบนี้


 


 


“อาหารอย่างแรกคือพวกอาหารเช้า ไข่ต้ม ขนมปัง และนม” ก็ยังเป็นการต้ม ถึงยังไงก็ไม่ทำเสียง่ายๆ


 


 


“พี่นะ ฉันตัดขาดกับพี่แล้ว!” หลิ่วเฟยซวงอายจนกลายเป็นโกรธ โมโหจนอยากชกคน


 


 


อีลั่วเสวี่ยกับเหอเย่ว์หัวเราะจนหลิ่วเฟยซวงพลอยหัวเราะไปด้วย “ทุกคนนิสัยไม่ดี เอาแต่ล้อฉัน” ทำกับข้าวไม่เป็นไม่ใช่ความผิดสักหน่อย หึ


 


 


“เถอะน่า เธอบอกว่าจะตัดขาดก็ตัดขาดได้เหรอ เราลูกพ่อแม่เดียวกัน เลือดในตัวก็เหมือนกัน ทำพูดดีไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก”


 


 


คุณนายคนสวยและหลิ่วเฉิงยิ้มหน้าบ้าน “พวกลูกมีเพื่อนแบบนี้แม่ก็สบายใจแล้ว”


 


 


 


 


ตอนที่ 281 เตือนด้วยความหวังดี


 


 


เนื่องจากทั้งคู่ไม่ได้เข้มงวดกับลูกๆ จนเกินไป คนหนึ่งหลังจบมัธยมปลายก็ไปเรียนต่อต่างประเทศ อีกคนก็นิสัยเหมือนเด็กผู้ชาย การเลือกคบเพื่อนก็สูงมาก พวกเขาจึงกังวลว่าลูกๆ จะไม่มีเพื่อน


 


 


แต่ตอนนี้ดีแล้ว ลูกทั้งสองไม่เพียงมีเพื่อน ดูเหมือนเพื่อนยังเป็นเด็กดีด้วย ในฐานะพ่อแม่ย่อมหายห่วงเป็นธรรมดา


 


 


“คุณอาเกรงใจเกินไปแล้วค่ะ” อีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์ยิ้ม เอ่ยอย่างถ่อมตัว ที่จริงถ้าคบกับหลิ่วเฟยซวงนานเข้า จะเห็นข้อดีของเธอ แต่เรื่องของมิตรภาพก็ต้องดูคนด้วย


 


 


สองคนใจคอเดียวกัน คุยด้วยแล้วเข้ากันได้ เข้าอกเข้าใจกัน ไม่มัวคิดเล็กคิดน้อย มิตรภาพจึงจะค่อยๆ แน่นแฟ้น แต่ถ้าตรงกันข้าม ความสัมพันธ์ก็จะไม่ยืดยาว เดี๋ยวก็ห่างกันไปเอง


 


 


“เอาละ อย่ามัวแต่ห่วงคุย กินข้าวๆ ไม่งั้นจะเย็นซะหมด” หลิ่วเฉิงเห็นพวกสาวๆ เอาแต่คุยกัน จึงเอ่ยเตือน


 


 


หลิ่วเฟยซวงพยักหน้า แล้วคีบผักใส่ชามคุณนายคนสวย “แม่ กินผักจะได้ช่วยย่อย ลองชิมดูค่ะ” นับจากนี้ครอบครัวหลิ่วเฟยอวิ๋นต้องกินผักต้มต่อเนื่องหนึ่งสัปดาห์


 


 


มื้อค่ำผ่านไปท่ามกลางเสียงพูดคุยหัวเราะ เนื่องจากอาหารแต่ละจานมีปริมาณไม่มาก ทุกคนจึงช่วยกันกินจนหมด ไม่ทิ้งให้เสียของ อาหารใช่ว่าต้องมากจนกินไม่หมดจึงจะถือว่าหรูหรา


 


 


หลังจากล้างจานชามแล้ว คุณนายคนสวยกับหลิ่วเฉิงปอกผลไม้ใส่จานรอพวกอีลั่วเสวี่ยไว้แล้ว


 


 


“เกรงใจจริงๆ พวกเธอเป็นแขก กลับให้พวกเธอทำงานบ้าน” คุณนายคนสวยมองสองสาวด้วยแววตาขอโทษ


 


 


“มีอะไรต้องเกรงใจคะ ถ้าเราสองคนมากินอย่างเดียว กินเสร็จก็กลับไป แบบนั้นต่างหากที่ไม่มีมารยาท อีกอย่างนี่เป็นแค่งานเล็กน้อย ถือว่าเป็นการออกกำลังหลังอาหาร คุณอาอย่ากังวลเลยค่ะ”


 


 


“หนูลั่วเสวี่ย ช่างรู้จักพูดจริงๆ เอาละ ต่อไปพวกเธอถือว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองนะ ทุกคนทำตัวตามสบาย มา นั่งลงกินผลไม้กัน”


 


 


จากนั้นทุกคนก็ร่วมวงกินผลไม้


 


 


“จริงสิพี่ วันนี้พอพี่ออกไป มีคนมาที่ร้านเรา บอกว่าอยากร่วมมือกับร้านหยกของเรา นี่นามบัตรเขา” หลิ่วเฟยซวงนึกขึ้นได้ กินผลไม้ในมือ เช็ดมือ แล้ววิ่งไปหยิบนามบัตรมา


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นรับนามบัตรมาดู “ซีเหมินหลงเซี่ยว ไหลย่ากรุ๊ป…ซีเหมินหลงเซี่ยว? เฟยเฟย ใครให้นามบัตรนี้มา เล่าให้ฟังอีกทีซิ”


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นทำท่าเหมือนตัวเองดูผิด ยังตั้งใจกะพริบตาแล้วดูใหม่อีกครั้ง ดูจากนามบัตรที่เรียบหรูก็พอรู้ฐานะที่ไม่ธรรมดาของอีกฝ่าย


 


 


“คนที่ให้นามบัตรบอกว่าอยากร่วมงานกับพี่ เขาชื่อซีเหมินหลงเซี่ยว” หลิ่วเฟยซวงแค่ดูนามบัตร ไม่ได้คิดอะไรมาก


 


 


ดวงตาหลิ่วเฉิงเป็นประกายวูบไหว เขาหยิบนามบัตรจากมือลูกชายมา ไหลย่ากรุ๊ปเป็นบริษัทข้ามชาติไม่ใช่เหรอ เน้นเรื่องผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอาง เห็นโฆษณาในทีวีบ่อยๆ


 


 


“นี่เป็นนามบัตรที่ซีเหมินหลงเซี่ยวให้มา บอกว่าอยากร่วมมือกับร้านหยกของเราครับ” หลิ่วเฟยอวิ๋นท่าทางตื่นเต้น เขาเคยอยู่ต่างประเทศ ย่อมรู้ดีว่าบริษัทนี้มีอิทธิพลมากขนาดไหน แต่ทำไมอยู่ๆ ก็อยากร่วมมือกับเรา แถมยังมาหาถึงที่ด้วย


 


 


แต่ดูแล้ว ก็ไม่น่าจะมีใครกล้าแอบอ้างตัวเป็นซีเหมินหลงเซี่ยวแน่ๆ


 


 


“ใช่ค่ะ ตอนนั้นเสวียเสวี่ยกับเสี่ยวเย่ว์ก็อยู่ด้วย พวกเธอเป็นพยานได้ ซีเหมินหลงเซี่ยวคนนั้นอยากร่วมมือด้วย จริงด้วยพี่ ดูท่าทางเขาจะสนใจแหวนหยกที่พี่ให้เรามาก”


ตอนที่ 282 ไม่มีอะไรสำคัญกว่าคนในครอบครัว


 


 


หลิ่วเฟยซวงพูดพลางชูแหวนหยกในมือ แหวนหยกยิ่งส่องประกายใต้แสงไฟ ไม่เสียทีที่หลิ่วเฟยอวิ๋นเลือกหินหยกที่ดีที่สุดมาทำ


 


 


“เอ๋ แหวนหยกนี่สวยจัง พวกเธอสามคนมีกันหมดเลย” ถึงตอนนี้คุณนายคนสวยจึงสังเกตเห็น แล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้ แต่สีแบบนี้เหมาะสำหรับเด็กสาว สำหรับคนมีอายุอย่างเธอกำไลหยกเขียวหรือจี้หยกจะเหมาะกว่า


 


 


“ใช่ค่ะ นี่เป็นของตัวแทนของพวกเราสามพี่น้องค่ะ” หลิ่วเฟยซวงรีบอธิบายด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ เสวี่ยฟังเฟยไปแล้ว ก็ได้เหอเย่ว์ที่ดีกว่ามาแทน


 


 


คุณนายคนสวยยิ้ม “มีความหมายดี ลูกต้องรักษาไว้ให้ดีนะ” จากนั้นก็เหลือบมองหลิ่วเฉิงที่กำลังครุ่นคิด


 


 


“คุณคะ เฟยอวิ๋นด้วย ซีเหมินหลงเซี่ยวคนนี้มีปัญหาอะไรเหรอ” เนื่องจากเธอเป็นคนไม่แต่งหน้า ที่ใช้ก็มีเพียงผงสีชาดและผงชิงไต้สำหรับเขียนคิ้วที่พบเห็นได้ไม่บ่อย ของเหล่านี้เธอสามารถใช้ดอกกุหลาบหรืออย่างอื่นที่หาได้ในสวนทำใช้เองได้ ดังนั้นจึงไม่รู้จักพวกเครื่องสำอางผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในท้องตลาด ย่อมไม่รู้ว่าซีเหมินหลงเซี่ยวเป็นใครเป็นธรรมดา


 


 


“ไม่มีปัญหาหรอกครับ เขาเป็นซีอีโอของไหลย่ากรุ๊ป เป็นกลุ่มบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่มาก มี ผลกำไรมหาศาล” หลิ่วเฟยอวิ๋นอธิบาย


 


 


แต่พวกเขาจะบุกตลาดเครื่องหยก ทำไมไม่เคยได้ยินข่าวนี้มาก่อน ถ้าจะทำ ก็น่าจะเล็งไปที่การค้าเพชรพลอยมากกว่า ทำไมถึงมาที่เมืองเอฟซึ่งไม่ใหญ่ไม่เล็กแบบนี้


 


 


“กำไรมหาศาล แต่ก็ต้องดูว่ามีปัญญาจะกลืนเข้าไปได้ไหม” ดวงตาหลิ่วเฉิงเป็นประกายวูบไหว เขาโยนนามบัตรลงบนโต๊ะรับแขก ความรู้สึกแปลกใจเมื่อครู่หายไปแล้ว


 


 


ตอนนี้หลิ่วเฟยอวิ๋นเองก็สงบลงไม่น้อย แต่ในใจยังคงตื่นเต้น ซีเหมินหลงเซี่ยวให้นามบัตรนี้ด้วยตัวเอง นี่ไม่ใช่เรื่องที่ใครก็จะได้รับเกียรติแบบนี้ นามบัตรนี้เท่ากับโอกาส ไม่ใช่จะให้กันตามใจชอบ


 


 


“หนูว่าที่คุณอาพูดมีเหตุผลมาก ซีเหมินหลงเซี่ยวคนนี้ที่ผ่านมาเราเคยเห็นทางทีวีและนิตยสาร เรารู้ดีถึงพลังการประชาสัมพันธ์ของเขา แต่เบื้องหลังของความสวยงามเป็นยังไงเราก็ไม่รู้ค่ะ”


 


 


สีหน้าเหอเย่ว์ดูจริงจัง ใจเธอไม่อยากให้หลิ่วเฟยอวิ๋นไปเกี่ยวข้องกับเขา ทันทีที่ประเทศซีกั๋วกำหนดตัวผู้สืบทอดบัลลังก์แล้ว ถ้าไม่ใช่ซีเหมินหลงเซี่ยวละก็ ธุรกิจของเขาต้องถูกเล่นงานแน่นอน


 


 


ถึงตอนนั้น ซีเหมินหลงเซี่ยวย่อมเป็นห่วงแค่บริษัทที่อยู่ในประเทศเท่านั้น ส่วนภายนอกคงถูกคนอื่นฮุบไป ถ้าต้องเสี่ยงร่วมมือกับเขา สู้ค่อยๆ ทำธุรกิจ เติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า


 


 


เงียบไปครู่หนึ่ง อีลั่วเสวี่ยจึงแสดงความเห็นของตนบ้าง “เสี่ยวเย่ว์พูดถูกค่ะ ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของไหลย่ากับร้านเครื่องหยกของเราห่างกันมากเกินไป ทำให้รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ง่ายๆ อย่างที่เห็นค่ะ”


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นคิดทบทวน ที่จริงเขาใจเย็นลงแล้ว เขามองแหวนหยกบนนิ้วของหญิงสาวทั้งสาม หรือจะเป็นเพราะแหวนนี้ ตอนนั้นที่ซื้อดีไซน์แหวนต้นแบบมา เคยมีคนบอกว่าเป็นดีไซน์เลียนแบบแหวนโบราณอายุพันปีวงหนึ่ง เพราะสาเหตุนี้ซีเหมินหลงเซี่ยวจึงมาหาถึงที่ร้านใช่หรือเปล่า สมองหลิ่วเฟยอวิ๋นคิดอย่างรวดเร็ว แล้วก็เริ่มเข้าใจขึ้นมา


 


 


เขามองทุกคนพลางยิ้มๆ “ทุกคนวางใจเถอะ ผมไม่ทำอะไรวู่วามแน่”


 


 


“งั้นก็ดีแล้ว พ่อไว้ใจลูก ที่จริงพ่อกับแม่ไม่ได้ต้องการให้ลูกเป็นเศรษฐีพันล้าน ยืนอยู่ระดับสูงสุดของสังคมชั้นสูงอะไร ขอแค่ลูกๆ มีกินมีใช้ไม่เดือดร้อน ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็พอแล้ว” หลิ่วเฉิงอบรมลูกชาย


 


 


“พ่อ แม่ ผมเข้าใจดีครับ” หลิ่วเฟยอวิ๋นตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


 


เหมือนคำที่ว่า คนมามีเจตนาไม่ดี คนมีเจตนาดีไม่มา ซีอีโอของไหลย่ากรุ๊ปมาปรากฏตัวที่นี่ ลดตัวมาคุยธุรกิจกับเขา ดูแล้วคงไม่ใช่ธุรกิจธรรมดาแน่นอน


 


 


 


 


ตอนที่ 283 ราคาไม่น้อยใช่ไหม


 


 


“ลูกเข้าใจก็ดีแล้ว เงินน่ะค่อยๆ หาก็ได้ เป็นคนต้องมีหลักการอยู่บนความเป็นจริง สั่งสมความสามารถถึงระดับหนึ่งก็จะรุ่งขึ้นได้ อย่าคิดกินคำเดียวก็อ้วนทันที จะส่งผลต่อความอยากอาหาร ทำให้ต่อไปก็ไม่กล้ากินอะไรอีก”


 


 


สุดท้ายพอเป็นโรคกระเพาะอาหาร จะกินอะไรก็ต้องเลือก ย่อมส่งผลเสียต่อการเติบโตของตัวเอง


 


 


“พอเถอะๆ บอกคุณแล้วไงว่าอย่าเอาพวกทฤษฎีในราชการมาคุยที่บ้าน แถมยังจะอบรมลูกเรื่องธุรกิจอีก” คุณนายคนสวยไม่พอใจ ในความคิดเธอ บ้านเป็นสถานที่พักผ่อน ถ้าถกเรื่องพวกนี้ ก็จะไม่เหลือพื้นที่ให้ได้ผ่อนคลายแล้ว


 


 


หลิ่วเฉิงกับลูกชายทำท่าหงอ เงียบไปทันทีเมื่อถูกดุ


 


 


“ไม่พูดแล้วๆ ลูกชาย พ่อพูดแค่นี้แหละ ที่เหลือลูกก็ดูเอาแล้วกัน สรุปคือคิดให้รอบคอบก่อนทำ” เมื่อเห็นภรรยามีท่าทางไม่พอใจ หลิ่วเฉิงจึงรีบสรุปสั้นๆ


 


 


ถึงตรงนี้อีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์เงยหน้าดูนาฬิกาแขวนผนังในห้องนั่งเล่น สองทุ่มครึ่งแล้ว ทั้งสองหันไปพยักหน้าให้กัน จากนั้นเหอเยว์ก็หยิบของอย่างหนึ่งออกมาจากถุงข้างโซฟา


 


 


“คุณอา คุณอาหญิงคะ นี่สำหรับคุณอาทั้งสองค่ะ ได้ยินว่าอาทิตย์ก่อนเป็นวันครบรอบวันแต่งงานของคุณอาทั้งสอง เรามอบของขวัญไม่ทัน ต้องขอโทษด้วยค่ะ คิดว่าตอนนี้มอบให้คงยังไม่สายนะคะ”


 


 


ของขวัญที่เหอเย่ว์มอบให้เป็นชุดกี่เพ้าเย็บด้วยมือกับผ้าคลุมไหล่ปักลาย ขนาดตัวให้หลิ่วเฟยซวงเอาชุดของแม่เธอมาวัด ส่วนของขวัญที่ให้หลิ่วเฉิงเป็นชุดน้ำชากับใบชา


 


 


“พวกเด็กๆ นี่เกรงใจเกินไปแล้ว” อีกฝ่ายบอกว่ามอบให้เป็นของขวัญครบรอบวันแต่งงาน หลิ่วเฉิงและภรรยาจึงรับไว้ด้วยความดีใจ เปิดดูทันที ต่างพอใจกับของขวัญมาก


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นมองเหอเย่ว์ด้วยความประทับใจ เธอมีความใส่ใจจริงๆ คงตั้งใจสืบดูแล้วว่าพ่อกับแม่ชอบอะไร


 


 


‘โอ้โห แม่คุณ คราวนี้ของขวัญของคุณก็จะไม่ค่อยมีความหมายแล้วสิ’ ตอนนี้ลูกบอลเงินที่เงียบมาตลอดอดล้อเลียนไม่ได้ ที่จริงมันเป็นห่วงว่าของขวัญของเธอจะถูกพวกเขาปฏิเสธ


 


 


อีลั่วเสวี่ยไม่ตอบ หยิบกล่องใบหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ เปิดออก เผยให้เห็นหยกม่วงแกะสลัก


 


 


“หยกม่วงนี้ หนูซื้อมาจากเพื่อนคนหนึ่งค่ะ ได้ยินว่าถ้าตั้งไว้ในบ้านจะช่วยหล่อเลี้ยงไอทิพย์ในบริเวณนั้น และใช้เป็นของประดับได้ด้วย หนูไม่รู้ว่าจะให้ของขวัญอะไรแก่คุณอาทั้งสองดี แต่หยกนี้สามารถเอามาตั้งประดับได้ หวังว่าคุณอาทั้งสองจะชอบค่ะ”


 


 


คุณนายคนสวยพอเห็นหยกม่วงแกะสลัก ดวงตาก็เป็นประกายทันที “ชอบจ้ะ หนุ่มสาวอย่างพวกเธอนี่ตั้งใจเลือกของกันจริงๆ อาไม่รู้จะขอบใจพวกเธอยังไงดี”


 


 


“เฟยเฟย ช่วยแม่เอาชุดไปเก็บในห้องหน่อย เฟยอวิ๋น หาที่วางหยกนี่ด้วย อย่าทำแตกหักนะ”


 


 


พอให้ลูกสองคนออกไปแล้ว คุณนายคนสวยก็ขยับเข้ามาใกล้ “พวกเธอสองคน คนหนึ่งยังเป็นนักศึกษา อีกคนเป็นทหาร ไม่ควรเสียเงินเสียทองมากมายขนาดนี้ เดี๋ยวนี้ของที่เป็นงานฝีมือราคาแพงมาก ยังมีลั่วเสวี่ยอีก หยกม่วงแกะสลักของเธอ ราคาไม่น้อยใช่ไหม”


 


 


หยกม่วงแกะสลักนี้ดูแล้วเป็นของเก่าแก่ทั้งยังฝีมือดีมาก ราคาทั่วไปคงซื้อไม่ได้แน่ ส่วนชุดกี่เพ้าก็เป็นงานเย็บด้วยมือทีละฝีเข็ม ไหนจะยังมีงานปักอีก


 


 


เหอเย่ว์กับอีลั่วเสวี่ยสบตากัน จากนั้นก็กุมมือคุณนายคนสวย “นี่ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ก็อย่างที่คุณอาผู้ชายบอกเมื่อกี้ เงินทองเป็นของหาได้ เราอายุยังน้อย มีเวลาถมไป อาหญิงไม่ต้องพูดแล้วค่ะ”


 


 


“ลั่วเสวี่ยพูดถูก ถ้าอาหญิงยังพูดอีก แสดงว่าไม่ชอบของขวัญที่เรามอบให้นะคะ”


 


 


“ไม่ๆๆ ไม่ได้หมายความอย่างนั้นหรอกจ้ะ” เห็นอีลั่วเสวี่ยกับเหอเย่ว์ที่มีความคิดแปลกๆ พูดแบบนี้ คุณนายคนสวยก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีก


 


 


หลิ่วเฉิงมองทั้งสองด้วยความพอใจ จากนั้นก็หันไปมองภรรยา “ของพวกนี้เป็นน้ำใจของเด็กๆ คุณก็ไม่ต้องพูดแล้ว”


ตอนที่ 284 ไม่ค้างที่นี่เหรอ


 


 


สิ่งสำคัญที่สุดคือน้ำใจ ทั้งเขาดูแล้ว เด็กสาวสองคนนี้ไม่ได้มีท่าทีลำบากใจ แสดงว่าพวกเธอมีกำลังที่จะซื้อหาของขวัญเหล่านี้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้น ต่อให้พวกเธอจะพูดอย่างไร พวกเขาก็ไม่รับไว้แน่นอน


 


 


ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ สำหรับพวกเขาแล้วหน้าตาไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่เด็กสาวทั้งสองมาเที่ยวบ้านและเป็นเพื่อนที่ดีของลูกสาวตัวเอง ได้รู้ว่าชีวิตวันหน้าของลูกสาวจะมีเพื่อนแบบพวกเธอ คนเป็นพ่อแม่ย่อมสบายใจ


 


 


ถึงอย่างไรต่อไปพอลูกๆ โต ก็ต้องมีชีวิตของตัวเอง


 


 


คุณนายคนสวยซึ่งก็คือหลี่เนี่ยนชิงพูดพลางหัวเราะเบาๆ “อาผู้ชายพูดอย่างนี้แล้ว ถ้าฉันยังพูดอะไรอีก เท่ากับเห็นพวกเธอเป็นคนนอก ยังไงก็ต้องขอบใจพวกเธอนะ ต่อไปเฟยเฟยมีเรื่องอะไร ต้องฝากให้พวกเธอช่วยดูแลด้วย ยายหนูถูกเราตามใจจนเคยตัว ไม่รู้ความอะไรเลย”


 


 


“แม่อะ พูดเบาๆ หน่อยไม่ได้เหรอ หนูอยู่ไกลขนาดนี้ยังได้ยินเลยนะ” หลิ่วเฟยซวงซึ่งอยู่ไม่ไกลนักเบ้ปาก แต่ใบหน้ามีรอยยิ้ม เดินมายืนเบียดข้างหลี่เนี่ยนชิง


 


 


“ได้ยินแล้วจะทำไม ที่แม่พูดเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น ลูกปฏิเสธก็ไม่มีประโยชน์ สองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของลูก ยังจะกลัวว่าเพื่อนจะเอาไปพูดเหรอ” หลี่เนี่ยนชิงพูดหยอกล้อ


 


 


หลิ่วเฟยซวงเบ้ปาก “ไม่ใช่ปัญหานี้สักหน่อย แค่รู้สึกว่าหนูไม่มีข้อดีสักนิด เฮ้อ แม่นะแม่ พูดข้อดีของหนูหน่อยไม่ได้หรือไง”


 


 


“ข้อดี แม่ ผมว่าเจ้าหญิงน้อยบ้านเรามีข้อดีก็คือซื่อบื้อ ทุกคนเห็นด้วยไหมครับ” หลิ่วเฟยอวิ๋นวางหยกม่วงแกะสลักไว้ในจุดที่สะดุดตาในห้องนั่งเล่น กำลังใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาด พอได้ยินจึงหันมาพูดเสริม


 


 


หลิ่วเฉิงและภรรยาสบตากัน แล้วพยักหน้า “ว่าอย่างนั้นก็ได้ ซื่อบื้อได้น่ารักไง”


 


 


หลิ่วเฟยซวงไม่พอใจ “หนูคงไม่ใช่ลูกแท้ๆ แน่ ดูทุกคนสิ วันนี้ถือโอกาสรุมรังแกหนูใช่ไหม นิสัยไม่ดี”


 


 


ทั้งครอบครัวสี่คนพ่อแม่ลูกพูดจาหยอกล้อกัน ทำให้บรรยากาศอบอุ่นเป็นพิเศษ อีลั่วเสวี่ยกับเหอเย่ว์อดนึกอิจฉาไม่ได้


 


 


“เธอพูดอย่างนี้ไม่ถูกนะ ฉันกับเสี่ยวเย่ว์ไม่ได้รังแกเธอสักหน่อย จริงไหมเสี่ยวเย่ว์” อีลั่วเสวี่ยยิ้ม


 


 


เหอเย่ว์นั่งอยู่ข้างๆ พยักหน้าทันที “จริงด้วย เฟยเฟย เราสองคนอยู่ข้างเธอนะ ไม่พูดโจมตีเธอเด็ดขาด…”


 


 


“พวกเธอดีจริงๆ!” หลิ่วเฟยซวงหันมากอดเหอเย่ว์เต็มรักด้วยความตื่นเต้นดีใจ


 


 


เหอเย่ว์โผล่หน้าออกมา กลอกตาใส่ พลางพูดว่า “ฉันแค่พูดเงียบๆ ในใจ เธอไม่ได้ยินหรอก”


 


 


“…” แบบนี้มันต่างกันตรงไหน เท่ากับโรยเกลือบนแผลชัดๆ


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นได้ยินก็เห็นพ้องทันที “วิธีนี้เข้าท่า”


 


 


ทุกคนพูดคุยหัวเราะกันอย่างนี้เกือบครึ่งชั่วโมง พอเห็นว่าใกล้จะสามทุ่มแล้ว เหอเย่ว์จึงสบตากับอีลั่วเสวี่ย แล้วขอตัวลากลับ


 


 


“คุณอา อาหญิง เฟยเฟย ดึกแล้ว เราคงต้องกลับกันแล้วค่ะ”


 


 


“กลับ พวกเธอไม่นอนที่นี่เหรอ” หลิ่วเฟยซวงประหลาดใจ เธอเตรียมจะไปจัดเตียงให้ คืนนี้จะได้คุยกันเต็มที่


 


 


อีลั่วเสวี่ยส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก ฉันยังมีเรื่องต้องทำนิดหน่อย พรุ่งนี้เช้าถ้าเธออยากไปเที่ยวไหน โทร.มาได้เลย” เธอไม่คุ้นกับการนอนค้างบ้านคนอื่น โดยเฉพาะถ้าอีกฝ่ายอาศัยอยู่กับคนในครอบครัว


 


 


แต่บ้านสกุลเฉวียนนั้นไม่เหมือนกัน ตอนนั้นเธอไม่มีทางเลือก ทั้งฐานะของเธอคือภรรยาตามกฎหมายของเฉวียนหมิง อาจเพราะใจยอมรับโดยไม่รู้ตัว เธอจึงอาศัยในคฤหาสน์หลังนั้นโดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวง ไม่เหมือนกับตอนนี้


 


 


“ลั่วเสวี่ยพูดถูก เฟยเฟย พรุ่งนี้เราไปช้อปปิ้งกันก็ได้ แต่คืนนี้ฉันต้องกลับจริงๆ พ่อแม่ฉันอยู่บ้านกันตามลำพังคงจะเหงา”


 


 


 


 


ตอนที่ 285 เฟยอวิ๋นไปส่งพวกเธอสิ


 


 


คืนนี้ได้เห็นครอบครัวของหลิ่วเฟยซวงรักใคร่กลมเกลียวกันอย่างมีความสุข ในใจเหอเย่ว์คิดถึงพ่อกับแม่ เธอไปเป็นทหารหลายปี พ่อแม่คงคิดถึงเธอมาก


 


 


เวลานี้เธอกลับมา ใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่ก็นับว่าไม่น้อย แต่ตอนนี้ดูแล้วกลับไม่พอ เธอต้องกลับบ้าน ใช้โอกาสนี้อยู่กับพวกท่านให้มากหน่อย ไปสัมผัสชีวิตมหาวิทยาลัยมากพอแล้ว


 


 


“พรุ่งนี้เธอค่อย…” หลิ่วเฟยซวงจะบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่ก็ได้ แต่ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกหลี่เนี่ยนชิงขัดขึ้น


 


 


“เสี่ยวเย่ว์กตัญญูอย่างนี้ อาภูมิใจแทนพ่อแม่เธอจริงๆ ไม่ต้องห่วงเฟยเฟยหรอกจ้ะ เฟยอวิ๋น ลูกไปส่งพวกเธอกลับนะ ต้องส่งให้ถึงบ้านเลย”


 


 


ถึงตอนนี้ดูเหมือนหลิ่วเฟยซวงจะเข้าใจอะไรแล้ว จึงแลบลิ้นออกมา ยังดีที่เธอไม่ได้พูดอะไร ไม่อย่างนั้นเพื่อนซี้อาจเคืองเอาได้


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นไปห้องครัวล้างมือแล้วเดินออกมา “วางใจได้ครับแม่ ผมจะส่งพวกเธอถึงบ้านทีละคนเลย” ว่าพลางเดินมาข้างตัวอีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์


 


 


“งั้นคุณอา อาหญิง เราไปก่อนนะคะ”


 


 


หลี่เนี่ยนชิงยิ้มพลางพยักหน้า “ขับรถระวังด้วย เฟยอวิ๋น ขับช้าหน่อยนะ ความปลอดภัยสำคัญที่สุด ถึงบ้านแล้วโทร.บอกด้วยนะจ๊ะ”


 


 


ลูกตัวเองออกไปข้างนอก เธอยังเป็นห่วง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกคนอื่น พวกเธอมาเป็นแขกที่บ้าน ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย


 


 


“โทร.มาหาฉันนะ ฉันจะรอโทรศัพท์จากพวกเธอว่าถึงบ้านปลอดภัยแล้วถึงจะเข้านอน” หลิ่วเฟยซวงรีบพูด แต่แววตายังละห้อย เธออยากให้อีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์ค้างด้วยจริงๆ


 


 


เฮ้อ ทำไมต้องกลับด้วยนะ แย่จริง


 


 


“ได้ เรารู้แล้ว” อีลั่วเสวี่ยกับเหอเย่ว์รับรอง ทั้งสองเดินไปที่ประตู หลิ่วเฟยซวงและพ่อแม่เดินตามมาส่ง เมื่อรถแล่นออกไป มองจากกระจกยังเห็นพวกเขายืนอยู่ที่หน้าประตู อีลั่วเสวี่ยเม้มปาก ยื่นมือออกไปโบกนอกหน้าต่าง พวกเขาจึงกลับเข้าบ้าน


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นเหลือบมองอีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์ผ่านกระจกมองหลัง ในรถมืดสลัว มองสีหน้าพวกเธอไม่ชัด แต่ดูเหมือนเขาจะมองเห็นดวงตาที่เจิดจ้าในความมืดคู่นั้นได้


 


 


“พวกคุณสองคนจะไปไหน ใครอยู่ใกล้ที่นี่กว่า” ได้ยินว่าอีลั่วเสวี่ยไม่ได้อยู่กับเฉวียนหมิงแล้ว ไม่รู้ว่าเธอพักที่ไหน น้องสาวเคยพูดถึง แต่เขาไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนแน่ๆ


 


 


ส่วนเหอเย่ว์นั้น เขารู้จักบ้านเธอ แต่ตามมารยาทก็ต้องถามด้วย


 


 


“ฉันอยู่ใกล้กว่า ส่งฉันก่อนค่ะ” อีลั่วเสวี่ยกลอกตา เหอเย่ว์ได้ยินแต่ไม่พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้า


 


 


“งั้นส่งลั่วเสวี่ยก่อน”


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นรู้สึกเสียดายแต่ยังคงยิ้มพลางพยักหน้า “ไม่มีปัญหา แต่ผมไม่รู้ว่าคุณพักที่ไหน ลั่วเสวี่ย” ถ้ารู้ว่าเธออยู่ไหน ต่อไปจะตามหาเธอก็มีโอกาสมากขึ้น


 


 


“คฤหาสน์ชานเมือง ถนน XX” นี่เป็นบ้านเก่าของตระกูลอวิ๋น เป็นที่ตั้งคฤหาสน์สกุลอวิ๋น


 


 


“คฤหาสน์ชานเมือง ถนน XX? ลั่วเสวี่ยคุณอยู่ที่นั่นเหรอ” บ้านที่นั่นดูเหมือนจะไม่ขายให้คนนอก เหมือนจะเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล มีคนคอยเฝ้า หลิ่วเฟยอวิ๋นนึกสงสัย แต่เห็นท่าทางอีลั่วเสวี่ยไม่อยากพูดถึง เขาจึงไม่ถามต่อ


 


 


ทั้งสามคนในรถไม่พูดคุยกัน บรรยากาศจึงอึดอัดเล็กน้อย ส่วนอีลั่วเสวี่ยนั่งหลับตา ท่าทางเหมือนจะเพลีย


 


 


อีลั่วเสวี่ยรู้ว่าหลิ่วเฟยอวิ๋นคิดอย่างไร เพราะเหตุนี้เธอจึงต้องแสดงท่าทีชัดเจนกับเขา ให้เขารู้ว่าตัวเธอไม่รู้สึกอะไรกับเขา


 


 


เวลานี้ในใจเธอคิดเพียงจะลองเปิดช่องเล็กๆ ให้เฉวียนหมิง แต่จะไม่ให้ใครอื่นเข้ามาเด็ดขาด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นหนานหลิวเฟิงหรือหลิ่วเฟยอวิ๋น ก็ต้องไม่ให้ความหวังใดๆ กับพวกเขา


 


 


 


 


ตอนที่ 285 เฟยอวิ๋นไปส่งพวกเธอสิ


 


 


 


 


คืนนี้ได้เห็นครอบครัวของหลิ่วเฟยซวงรักใคร่กลมเกลียวกันอย่างมีความสุข ในใจเหอเย่ว์คิดถึงพ่อกับแม่ เธอไปเป็นทหารหลายปี พ่อแม่คงคิดถึงเธอมาก


 


 


เวลานี้เธอกลับมา ใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่ก็นับว่าไม่น้อย แต่ตอนนี้ดูแล้วกลับไม่พอ เธอต้องกลับบ้าน ใช้โอกาสนี้อยู่กับพวกท่านให้มากหน่อย ไปสัมผัสชีวิตมหาวิทยาลัยมากพอแล้ว


 


 


“พรุ่งนี้เธอค่อย…” หลิ่วเฟยซวงจะบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่ก็ได้ แต่ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกหลี่เนี่ยนชิงขัดขึ้น


 


 


“เสี่ยวเย่ว์กตัญญูอย่างนี้ อาภูมิใจแทนพ่อแม่เธอจริงๆ ไม่ต้องห่วงเฟยเฟยหรอกจ้ะ เฟยอวิ๋น ลูกไปส่งพวกเธอกลับนะ ต้องส่งให้ถึงบ้านเลย”


 


 


ถึงตอนนี้ดูเหมือนหลิ่วเฟยซวงจะเข้าใจอะไรแล้ว จึงแลบลิ้นออกมา ยังดีที่เธอไม่ได้พูดอะไร ไม่อย่างนั้นเพื่อนซี้อาจเคืองเอาได้


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นไปห้องครัวล้างมือแล้วเดินออกมา “วางใจได้ครับแม่ ผมจะส่งพวกเธอถึงบ้านทีละคนเลย” ว่าพลางเดินมาข้างตัวอีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์


 


 


“งั้นคุณอา อาหญิง เราไปก่อนนะคะ”


 


 


หลี่เนี่ยนชิงยิ้มพลางพยักหน้า “ขับรถระวังด้วย เฟยอวิ๋น ขับช้าหน่อยนะ ความปลอดภัยสำคัญที่สุด ถึงบ้านแล้วโทร.บอกด้วยนะจ๊ะ”


 


 


ลูกตัวเองออกไปข้างนอก เธอยังเป็นห่วง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกคนอื่น พวกเธอมาเป็นแขกที่บ้าน ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย


 


 


“โทร.มาหาฉันนะ ฉันจะรอโทรศัพท์จากพวกเธอว่าถึงบ้านปลอดภัยแล้วถึงจะเข้านอน” หลิ่วเฟยซวงรีบพูด แต่แววตายังละห้อย เธออยากให้อีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์ค้างด้วยจริงๆ


 


 


เฮ้อ ทำไมต้องกลับด้วยนะ แย่จริง


 


 


“ได้ เรารู้แล้ว” อีลั่วเสวี่ยกับเหอเย่ว์รับรอง ทั้งสองเดินไปที่ประตู หลิ่วเฟยซวงและพ่อแม่เดินตามมาส่ง เมื่อรถแล่นออกไป มองจากกระจกยังเห็นพวกเขายืนอยู่ที่หน้าประตู อีลั่วเสวี่ยเม้มปาก ยื่นมือออกไปโบกนอกหน้าต่าง พวกเขาจึงกลับเข้าบ้าน


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นเหลือบมองอีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์ผ่านกระจกมองหลัง ในรถมืดสลัว มองสีหน้าพวกเธอไม่ชัด แต่ดูเหมือนเขาจะมองเห็นดวงตาที่เจิดจ้าในความมืดคู่นั้นได้


 


 


“พวกคุณสองคนจะไปไหน ใครอยู่ใกล้ที่นี่กว่า” ได้ยินว่าอีลั่วเสวี่ยไม่ได้อยู่กับเฉวียนหมิงแล้ว ไม่รู้ว่าเธอพักที่ไหน น้องสาวเคยพูดถึง แต่เขาไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนแน่ๆ


 


 


ส่วนเหอเย่ว์นั้น เขารู้จักบ้านเธอ แต่ตามมารยาทก็ต้องถามด้วย


 


 


“ฉันอยู่ใกล้กว่า ส่งฉันก่อนค่ะ” อีลั่วเสวี่ยกลอกตา เหอเย่ว์ได้ยินแต่ไม่พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้า


 


 


“งั้นส่งลั่วเสวี่ยก่อน”


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นรู้สึกเสียดายแต่ยังคงยิ้มพลางพยักหน้า “ไม่มีปัญหา แต่ผมไม่รู้ว่าคุณพักที่ไหน ลั่วเสวี่ย” ถ้ารู้ว่าเธออยู่ไหน ต่อไปจะตามหาเธอก็มีโอกาสมากขึ้น


 


 


“คฤหาสน์ชานเมือง ถนน XX” นี่เป็นบ้านเก่าของตระกูลอวิ๋น เป็นที่ตั้งคฤหาสน์สกุลอวิ๋น


 


 


“คฤหาสน์ชานเมือง ถนน XX? ลั่วเสวี่ยคุณอยู่ที่นั่นเหรอ” บ้านที่นั่นดูเหมือนจะไม่ขายให้คนนอก เหมือนจะเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล มีคนคอยเฝ้า หลิ่วเฟยอวิ๋นนึกสงสัย แต่เห็นท่าทางอีลั่วเสวี่ยไม่อยากพูดถึง เขาจึงไม่ถามต่อ


 


 


ทั้งสามคนในรถไม่พูดคุยกัน บรรยากาศจึงอึดอัดเล็กน้อย ส่วนอีลั่วเสวี่ยนั่งหลับตา ท่าทางเหมือนจะเพลีย


 


 


อีลั่วเสวี่ยรู้ว่าหลิ่วเฟยอวิ๋นคิดอย่างไร เพราะเหตุนี้เธอจึงต้องแสดงท่าทีชัดเจนกับเขา ให้เขารู้ว่าตัวเธอไม่รู้สึกอะไรกับเขา


 


 


เวลานี้ในใจเธอคิดเพียงจะลองเปิดช่องเล็กๆ ให้เฉวียนหมิง แต่จะไม่ให้ใครอื่นเข้ามาเด็ดขาด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นหนานหลิวเฟิงหรือหลิ่วเฟยอวิ๋น ก็ต้องไม่ให้ความหวังใดๆ กับพวกเขา


ตอนที่ 286 พ่อเธอให้


 


 


“ในรถอึดอัดไปไหม อยากเปิดหน้าต่างไหม” หลิ่วเฟยอวิ๋นเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ที่จริงเขาแค่อยากทำลายความเงียบเท่านั้น เงียบแบบนี้ทำให้เขาคิดฟุ้งซ่าน


 


 


ดวงตาเหอเย่ว์เป็นประกาย รับว่าอืมคำหนึ่ง เขาจึงเปิดหน้าต่างข้างอีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์เล็กน้อย ลมเย็นพัดเข้ามา ทำให้ความคิดของทั้งสามคนปลอดโปร่งขึ้น


 


 


“ถนน XX ที่นี่ใช่ไหม” หลิ่วเฟยอวิ๋นเลี้ยวเข้ามาในถนนกว้างสายหนึ่ง คงเพราะแถบนี้ไม่ใช่ถนนที่พลุกพล่าน จึงมีรถผ่านไปมาไม่มาก


 


 


สองข้างทางมีอาคารพาณิชย์ และเป็นเขตที่พักอาศัย ที่นี่ก็คือถนน XX ที่อีลั่วเสวี่ยบอก หรือว่าเธอกลับมาพักที่บ้านสกุลอีแล้ว


 


 


อีลั่วเสวี่ยลืมตา รอยยิ้มผุดขึ้นช้าๆ “ไม่ใช่แถวนี้ค่ะ เป็นคฤหาสน์ตรงสุดถนน ขับตรงไปเลย ยังต้องขับต่ออีกหลายนาทีค่ะ” ถ้าบอกว่าคฤหาสน์ตั้งอยู่บนถนน XX ความจริงแล้วควรจะพูดว่าอยู่ในแถบสวนสาธารณะจะถูกต้องกว่า


 


 


เมื่อหลิ่วเฟยอวิ๋นจอดรถ เขาก็รู้สึกแปลกใจ “ลั่วเสวี่ย คุณพักที่นี่เหรอ” รอบๆ ไม่มีบ้านเรือน เขาจึงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


 


 


ราคาที่ดินที่นี่ยังสูงกว่าแถบคฤหาสน์ของเฉวียนหมิงในเมืองเอฟเสียอีก ภูเขาทั้งลูกเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล รอบๆ ล้อมกำแพงสูง ห่างออกมาเล็กน้อยยังมีรั้วไฟฟ้า แม้แต่ขโมยก็ไม่กล้ามายุ่มย่าม


 


 


“ใช่ ตอนนี้ที่นี่เป็นบ้านฉัน วันหลังถ้าพวกคุณจะมาหาฉันก็มาที่นี่ได้เลย” อีลั่วเสวี่ยยิ้ม เธอเปิดประตูรถ หิ้วกระเป๋าลงจากรถไป แล้วปิดประตูเบาๆ


 


 


“อ้อ” หลิ่วเฟยอวิ๋นพยักหน้าด้วยความแปลกใจ ในหัวคิดว่าเธอมีความเกี่ยวข้องกับคฤหาสน์หลังนี้อย่างไร ก่อนหน้านี้ยุ่งอยู่กับธุรกิจจนไม่มีเวลาถามข่าวคราวของเธอ ฟังจากที่น้องสาวเล่าเท่านั้น


 


 


ดวงตาเหอเย่ว์วาวโรจน์ “ลั่วเสวี่ย เมื่อไหร่เธอจะพาเราเข้าไปเยี่ยมชมหน่อยล่ะ” ได้ยินพ่อบอกว่าคฤหาสน์ประจำตระกูลของแม่ทัพอวิ๋นสวยเป็นเอกลักษณ์มาก คิดแล้วน่าจะจริง


 


 


“ได้สิ ดูว่าเมื่อไหร่พวกเธอมีเวลาว่าง” อีลั่วเสวี่ยยิ้มแล้วโบกมือลา จากนั้นก็เดินเข้าไปในคฤหาสน์


 


 


พวกเขาเห็นยามโค้งให้อีลั่วเสวี่ย และให้เธอเข้าไป


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นถอนสายตากลับมา “ไปเถอะ ผมไปส่งคุณ” เขาแน่ใจว่าคฤหาสน์หลังนี้ไม่ใช่ของสกุลเฉวียน เฉวียนหมิงไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ แต่เธอเข้าไปอยู่ที่นี่ได้อย่างไร


 


 


เหอเย่ว์เหมือนจะดูออกว่าหลิ่วเฟยอวิ๋นแปลกใจ เธอขยับปากจะพูด สุดท้ายก็พูดออกมา “คุณคงแปลกใจว่าทำไมลั่วเสวี่ยถึงอยู่ที่นี่ใช่ไหม”


 


 


“คุณรู้เหรอ” พอหลิ่วเฟยอวิ๋นพูดออกไป จึงรู้ตัวว่าแสดงอาการตื่นเต้นมากเกินไป ออกจะเสียกิริยา จึงรีบปรับสีหน้าท่าทีให้เป็นปกติ ปิดบังความตื่นเต้นในใจ


 


 


น่าเสียดายที่เหอเย่ว์สังเกตเห็นหมดแล้ว ในใจอดสะท้านด้วยความขมขื่นไมได้ หนานหลิวเฟิงปักใจอยู่กับลั่วเสวี่ยไม่ยอมลืม หลิ่วเฟยอวิ๋นก็เหมือนกัน


 


 


เธอไม่อิจฉา เพราะเธอเห็นข้อดีของอีลั่วเสวี่ย แต่ลั่วเสวี่ยมีเฉวียนหมิงอยู่แล้ว หรือคนพวกนี้มองไม่ออก


 


 


“เหอเย่ว์ คุณรู้เหรอว่าทำไมลั่วเสวี่ยถึงอยู่ที่นี่” หลิ่วเฟยอวิ๋นเห็นเหอเย่ว์ไม่พูด จึงชะลอรถลงเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม


 


 


ได้ยินเสียงหลิ่วเฟยอวิ๋น เหอเย่ว์จึงหลุดจากอาการใจลอย “อ้อ รู้สิ ตอนนี้เธอเป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังนั้นครึ่งหนึ่ง เท่าที่ฉันรู้ น่าจะได้หลักฐานรับรองเร็วๆ นี้แหละ”


 


 


อวิ๋นเว่ยรักและเอ็นดูเธอมาก เขาคงเตรียมเรื่องเหล่านี้ไว้แล้ว แต่เพราะอีลั่วเสวี่ยเป็นคนที่นิสัยดึงดัน เขาจึงยังไม่เอาออกมาแสดงเท่านั้น เธอได้ยินพ่อพูดถึงแม่ทัพคนนี้มาตั้งแต่เล็ก จนตอนหลังเธอก็กลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ของครูฝึกคนนี้


 


 


“เพราะอะไร” ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เขาไม่เข้าใจ


 


 


เหอเย่ว์ตอบโดยไม่ต้องคิด “เพราะคฤหาสน์หลังนี้เป็นของพ่อบุญธรรมของเธอ เขารักพี่ลั่วเสวี่ยมาก แน่นอนว่ายอมยกสิ่งที่ดีที่สุดให้เธอ”


 


 


 


 


ตอนที่ 287 เด็กสาวนั่นไม่เลว


 


 


“พ่อบุญธรรม? พ่ออุปถัมภ์ ลั่วเสวี่ยมีพ่อบุญธรรมตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมผมไม่รู้ ผมจำได้ว่าเธอมีพ่อแม่บุญธรรม แต่เสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเด็ก” หลิ่วเฟยอวิ๋นมุ่นคิ้วอย่างงุนงง


 


 


ในใจเกิดความรู้สึกรับไม่ได้ แต่ก็คอยบอกกับตัวเองว่าอีลั่วเสวี่ยไม่ใช่คนแบบนั้น


 


 


แน่นอนว่าเหอเย่ว์ไม่ได้คิดมากอย่างนั้น ในเมื่อหลิ่วเฟยอวิ๋นอยากรู้ เธอย่อมอธิบาย “สักสองเดือนก่อนน่ะ พ่อบุญธรรมของเธอเป็นเพื่อนเก่าแก่ของครอบครัวเฟิงฉี่ ไม่มีลูก ภรรยาตายนานแล้ว บอกว่ารู้สึกถูกชะตากับพี่ลั่วเสวี่ย ก็เลยรับมาเป็นลูกสาวบุญธรรม เธอเองก็ไม่ปฏิเสธ”


 


 


“คุณหมายถึงเฟิงฉี่ของหลิงเป่าถัง สกุลเฟิงเหรอ” เขารู้จักร้านเก่าแก่นี้ มีชื่อเสียงด้านการแพทย์แผนจีนมาก คนในวงสังคมชั้นสูงมารับการรักษาและดูแลสุขภาพกับหมอที่นี่


 


 


ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาใช้การแพทย์แผนจีนร่วมกับการแพทย์แผนตะวันตก ผลการรักษาดีมาก เป็นที่ชื่นชมของผู้คนไม่น้อย


 


 


“เมืองเอฟยังมีสกุลเฟิงอื่นด้วยเหรอ” เหอเย่ว์ยิ้มที่มุมปาก แววตาเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม ดูงดงามเป็นพิเศษราวกับดอกถานฮวาที่บานยามราตรี


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นเข้าใจแล้ว “ที่แท้ก็อย่างนี้เอง แล้วทำไมคุณถึงเรียกเธอว่าพี่” เหอเย่ว์น่าจะอายุมากกว่าลั่วเสวี่ยเล็กน้อย แต่ทำไมฟังแล้วถึงไม่รู้สึกขัดหูนะ แปลกจริง


 


 


“เพราะฉันนับถือเธอมาก แต่เธอไม่ให้ฉันเรียกว่าพี่ บอกว่าเรียกแล้วแก่” เพราะอยู่ๆ พูดเรื่องนี้กับหลิ่วเฟยอวิ๋น จึงนึกขึ้นได้ว่าพ่อเคยกำชับไม่ให้พูดถึงฐานะคุณหนูใหญ่และความสามารถของเธอ เหอเย่ว์จึงบอกว่าตัวเองยอมรับเธอเป็นพี่สาว


 


 


“เท่านี้เองเหรอ” หลิ่วเฟยอวิ๋นไม่ค่อยเชื่อนัก รู้สึกว่าเหอเย่ว์ปิดบังอะไรเขาอยู่


 


 


เหอเย่ว์กลอกตา “อ้อ มีอีก เฉวียนหมิงกับครอบครัวพ่อบุญธรรมของพี่ลั่วเสวี่ยมีสัญญาหมั้นหมายกัน ได้ยินว่าพ่อบุญธรรมของเธอพอใจกับเรื่องนี้มาก” ที่พูดได้ก็มีแค่นี้แล้ว


 


 


ในฐานะคนของกองทัพภาคสิบสอง เธอไม่สามารถเอ่ยถึงฐานะและอิทธิพลของอวิ๋นเว่ยมากเกินไป เพราะถ้าหลิ่วเฟยอวิ๋นเผลอพูดออกไป เกรงว่าอาจทำให้ตัวเขาเองและอีลั่วเสวี่ยเดือดร้อนได้


 


 


คนทั่วไปไม่สามารถตรวจสอบฐานะคนของกองทัพภาคสิบสองได้ ต่อให้เป็นแค่นายทหารเล็กๆ คนหนึ่ง แต่ความจริงมีอิทธิพลมากกว่านายทหารทั่วไปมาก


 


 


“อ้อ งั้นเหรอ” ที่แท้ยังมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอย่างนี้ หรือว่านี่เป็นวาสนา เธอรับพ่อบุญธรรม แต่คิดไม่ถึงว่าสองครอบครัวเคยมีการหมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่เล็ก ตอนนี้ก็ยิ่งดูมีเหตุผลมากขึ้น


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นไม่พูดอะไรอีก เขาเหยียบคันเร่ง รถพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว


 


 


“อืม…” เหอเย่ว์เองก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน ปล่อยให้หลิ่วเฟยอวิ๋นขับรถพาเธอไปส่งบ้าน


 


 


อีกด้านหนึ่ง ทางหลิ่วเฟยซวงกับพ่อแม่เธอ พอเข้ามาในบ้าน พ่อกับแม่ก็รั้งตัวลูกสาวไว้


 


 


“พ่อ แม่ จะทำอะไรคะ” หลิ่วเฟยซวงทำตาโต ทำไมต้องใช้สายตามองหนูอย่างกับจะสอบสวนคนร้ายด้วย หรือว่าวันนี้พ่อกับแม่แกล้งทำเป็นชอบเสวียเสวี่ยกับเสี่ยเย่ว์ แต่ความจริงไม่พอใจ ไม่หรอกน่า สองคนนั่นก็ทำตัวดีออก


 


 


เพื่อนที่ฉันชอบ พ่อกับแม่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเกลียดอยู่แล้ว


 


 


หลี่เนี่ยนชิงยิ้มอ่อนโยน มือข้างหนึ่งดึงลูกสาวไว้ “เฟยเฟย คิดไม่ถึงว่าลั่วเสวี่ยที่ลูกพูดถึงตลอดจะเป็นเด็กดีรู้ความอย่างนี้ ลูกน่าจะพามาให้เรารู้จักนานแล้ว”


 


 


“หนูก็อยากพามาค่ะ แต่ก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสเลย ตอนหลังก็มีแต่เรื่องติดขัดอยู่เรื่อย” เมื่อก่อนพออีลั่วเสวี่ยว่างก็ต้องไปทำงานพิเศษ เธอไม่อาจให้เพื่อนหยุดงานเพื่อมาเที่ยวเล่น ต่อให้ชวน อีกฝ่ายก็คงไม่ตกลงแน่


 


 


ต่อมาเธอไม่ต้องทำงานแล้ว แต่ไม่รู้ว่ายุ่งอะไรอยู่ หรือเพราะเฉวียนหมิงพาตัวเธอไป ช่วงปิดเทอมก็เจอกันไม่กี่ครั้ง จนเวลาผ่านมาถึงเดี๋ยวนี้


ตอนที่ 288 ลูกต้องคว้าโอกาสให้ดี


 


 


หลิ่วเฉิงเลิกคิ้ว มองลูกสาวด้วยสีหน้าสงสัย “ลูกสาว ทำไมพ่อรู้สึกว่าลูกตั้งใจไม่มากพอล่ะ ก่อนหน้านี้บอกว่าจะแนะนำเพื่อนให้พี่ชาย แต่ไม่เคยเห็นลูกทำจริงจังเลย จริงสิ คนที่ชื่อลั่วเสวี่ยรู้จักเฟยอวิ๋นใช่ไหม พวกเขาสองคนเป็นยังไงบ้าง” วันนี้เห็นลูกชายมองเด็กสาวคนนั้นแทบจะตลอดเวลา เขาในฐานะพ่อก็สังเกตเห็น


 


 


แววตาแบบนั้นเห็นชัดว่ารู้สึกชอบพอ แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่สนใจ ควรให้ลูกสาวพาเธอมาเที่ยวบ่อยๆ ได้มาเจอพ่อแม่อย่างพวกเขาที่เปิดใจกว้างเข้าหาง่าย สำหรับเด็กสาวแล้วต้องชอบแน่ เดี๋ยวนี้ในสังคมมีแต่ข่าวที่ลูกสะใภ้เข้ากับพ่อแม่สามีไม่ได้ แต่ถ้ามาอยู่บ้านพวกเขา จะไม่มีเรื่องทำนองนี้แน่


 


 


อีกอย่างเด็กสาวคนนั้น ยิ่งดูก็ยิ่งน่าชื่นชม มีกิริยามารยาท ดูออกทันทีว่าเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย


 


 


เด็กว่านอนสอนง่าย? ถ้าลูกบอลเงินได้ยินคำนี้ คงขำกลิ้งแน่ ถ้าอีลั่วเสวี่ยเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย คนมากมายทั่วโลกก็เป็นเด็กว่านอนสอนง่ายแล้ว เพราะเธอนี่แหละที่วางยาพิษเล่นงานคนถึงตายรวดเดียวหลายสิบคน ทั้งยังตรวจไม่เจอพิษด้วย นี่ไม่ใช่วิธีการของเด็กว่านอนสอนง่ายแน่นอน


 


 


สู้บอกว่าเธอเป็นเด็กปีศาจน่าจะมีเหตุผลกว่า ถึงอย่างไรฉายาหมอปีศาจก็ไม่ใช่ว่าใครจะทำตัวให้สมชื่อได้


 


 


พอพูดถึงเรื่องนี้หลิ่วเฟยซวงก็ถอนหายใจ “อย่าพูดเลยค่ะ ไม่มีประโยชน์หรอก ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจพี่สักนิด”


 


 


“ไม่ต้องรีบร้อน เรื่องความรักค่อยๆ บ่มเพาะได้ เธอคงยังไม่เห็นข้อดีของพี่ชายลูก หรือไม่ก็อาจเพราะเฟยอวิ๋นไม่ได้แสดงท่าทีให้เห็น”


 


 


ไม่น่าใช่ เจ้าลูกชายอยู่เมืองนอกหลายปี ตามหลักน่าจะเป็นคนที่เปิดเผยจึงจะถูก


 


 


หลิ่วเฟยซวงถอนหายใจหนักๆ “ถ้าให้พูดชัดๆ หนูคงอธิบายตอนนี้ได้ยาก เสวียเสวี่ยเธอ…อ๊ะ เธอโทร.มาแล้ว” ขณะที่กำลังจะบอกว่าเธอแต่งงานแล้ว แถมดูเหมือนความสัมพันธ์กับสามีจะไปกันได้ไม่เลวด้วย มือถือข้างตัวก็ดังขึ้น พอเห็นว่าเป็นอีลั่วเสวี่ยโทร.มาจึงไม่ได้พูดต่อ


 


 


“ฮัลโหล เสวียเสวี่ย ถึงบ้านแล้วเหรอ”


 


 


อีลั่วเสวี่ยซึ่งอยู่อีกด้านกำลังเดินไปตามแสงไฟถนนตรงไปที่คฤหาสน์ รู้สึกอบอุ่นใจเมื่อได้ยินหลิ่วเฟยซวงถามด้วยความห่วงใย “วางใจเถอะ ฉันกลับมาถึงแล้ว ดึกแล้ว เธอรีบไปนอนซะ เท่านี้นะ ฉันจะหยิบกุญแจไขประตู” จากนั้นทั้งคู่ก็กล่าวลากันแล้ววางสาย


 


 


‘แม่คุณ อารมณ์ดีจริงนะ ก็แค่อาหารมื้อเดียว’ ทุกครั้งที่เฉวียนหมิงพาเธอไปกินอาหารนอกบ้าน ก็พาเธอกลับมาส่งไม่ใช่เหรอ แต่ไม่เห็นเธอจะอารมณ์ดีขนาดนี้ หรือว่าเธอชอบผู้หญิง


 


 


‘ไปให้พ้นๆ นายนะสิที่ชอบผู้หญิง ที่เธอเอาใจใส่กับที่เฉวียนหมิงเอาใจใส่มันเหมือนกัน ระหว่างเราเป็นมิตรภาพ มีความรู้สึกเหมือนญาติสนิท ช่างเหอะ พูดมากไป นายก็ไม่เข้าใจมิตรภาพระหว่างเด็กสาวหรอก’


 


 


ฉันจะพูดมากกับหุ่นยนต์ อ้อ ลูกบอลเครื่องกลตัวนี้ไปทำไม เปลืองน้ำลายเปล่าๆ ถ้าอยากรู้ ดูเองก็จะเข้าใจ ชอบอ้างดีนักว่าเป็นเป็นร้านค้าอัจฉริยะชั้นสูง มีวิธีคิดที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง


 


 


“พ่อ แม่ ไม่คุยแล้วนะ รายละเอียดเดี๋ยวพี่กลับมา พ่อกับแม่ลองถามเขาดูก็จะเข้าใจเอง จะมีโอกาสไหมหนูไม่รู้หรอกค่ะ” แต่ก่อนยังคิดว่าการที่เป็นเพื่อนสนิทกับอีลั่วเสวี่ยแล้วจะช่วยได้


 


 


ตอนนี้ดูแล้ว เรื่องของความรักไม่ใช่เรื่องที่ปัจจัยภายนอกจะเข้าไปแทรกแซงได้ ต่อให้ส่งผลได้ชั่วคราว แต่สุดท้ายก็ยังกลับไปที่เดิม


 


 


ไม่อย่างนั้นทำไมก่อนที่พี่ชายจะกลับมา อีลั่วเสวี่ยถึงแต่งงานกับเฉวียนหมิงแบบสายฟ้าแลบ จากนั้นก็ค่อยๆ เริ่มพัฒนาความรู้สึกต่อกัน ไม่ช้าไม่เร็ว ก็ในช่วงนี้เอง


 


 


เธอได้แต่ทอดถอนใจ บางทีสวรรค์คงลิขิตไว้แล้ว อีกอย่างที่เฉวียนหมิงดีต่อเธอก็ไม่เหมือนแสดงละคร ส่วนพี่ฉัน เฮ้อ เทคแคร์เสวียเสวี่ยสู้เฉวียนหมิงไม่ได้


 


 


 


 


ตอนที่ 289 ฉันพูดอะไรผิดเหรอ


 


 


“นี่ ลูก พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง พูดให้ชัดๆ ซิ” หลี่เนี่ยนชิงร้อนใจ เหมือนถูกใครสะกิดให้รู้สึกคันยิบๆ นึกอยากรู้ขึ้นมา


 


 


หลิ่วเฟยซวงโบกมือ กลับไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำ


 


 


หลิ่วเฉิงสบตากับภรรยา แล้วผายมือพลางถอนหายใจอย่างจนปัญญา จากนั้นก็ไปเปิดโทรทัศน์ดู ขณะที่คอยเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวนอกบ้าน


 


 


ทั้งสองมีท่าทีเหมือนจะรอให้หลิ่วเฟยอวิ๋นกลับมาเพื่อถามให้กระจ่าง สองสามีภรรยารู้สึกประทับใจในตัวอีลั่วเสวี่ย ทั้งคู่ไม่เร่งรัดให้ลูกๆ รีบแต่งงานมีครอบครัว แค่หวังว่าบ้านตนจะครึกครื้นขึ้น มีบรรยากาศใหม่ๆ


 


 


ขณะเดียวกันทั้งสองก็มีความคาดหวังต่ออนาคต แต่อย่างไรหนุ่มสาวคบกันก็ต้องใช้เวลาค่อยๆ บ่มเพาะความรัก ก็เหมือนการบ่มเหล้า ต้องค่อยเป็นค่อยไป ความรักในวันหน้าจึงจะมั่นคง


 


 


แม้สายตาของทั้งคู่จะอยู่ที่โทรทัศน์ แต่ไม่ได้ดูละครเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ตอนที่หลิ่วเฟยซวงอาบน้ำเสร็จออกมา ทั้งสองก็ยังไม่รู้ตัว


 


 


“นึกแล้วเชียวว่าแม่ต้องชอบเด็กสาวแบบเสวียเสวี่ย เฮ้อ…” แต่ตอนนี้พูดอะไรก็สายไปแล้ว ก่อนหน้านี้เธอได้ยินอีลั่วเสวี่ยพูดเสมอว่าวันหน้ายังมีโอกาส


 


 


คิดไม่ถึงว่าโอกาสจะผ่านไปแล้ว หรืออาจพูดได้ว่าต่อให้ก่อนหน้านี้เธอมาเป็นแขกที่บ้าน มารู้จักกับพี่ชาย ก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้มากนัก อย่างมากก็แค่เธอกับเฉวียนหมิงไม่ได้แต่งงานกันเท่านั้น


 


 


การดูแลเอาใจใส่และความเป็นสุภาพบุรุษของเฉวียนหมิง ทั้งคนที่มีนิสัยแข็งกร้าวอย่างเขายังมีอีลั่วเสวี่ยเพียงคนเดียว ไม่เคยมีผู้หญิงอื่นอยู่ในสายตา เวลาเขาเอาใจอีลั่วเสวี่ยขึ้นมา เธอเองยังนึกอิจฉา


 


 


หลังจากหลิ่วเฟยซวงกลับเข้าห้องตัวเองไม่นาน ก็ได้ยินเสียงหลิ่วเฟยอวิ๋นกลับมา


 


 


“พ่อ แม่ ดึกแล้วยังไม่นอนอีกเหรอครับ ทีวีไว้ดูกลางวันเถอะ ดูกลางคืนเสียสายตาหมด” หลิ่วเฟยอวิ๋นว่าพลางถือเสื้อเดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าไร้รอยยิ้ม


 


 


คำพูดของเหอเย่ว์วนเวียนอยู่ในใจ มีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับอีลั่วเสวี่ยและเฉวียนหมิง ตอนนี้ช่องว่างระหว่างเขากับเธอห่างกันมากขึ้นทุกที เขารู้สึกล้มเหลวและไร้กำลังอยู่ลึกๆ ในใจ


 


 


“ลูกชาย นั่งก่อน พ่อกับแม่มีเรื่องจะคุยด้วย” เพราะหลี่เนี่ยนชิงเงยหน้าขึ้นย้อนแสง จึงเห็นสีหน้าลูกชายไม่ชัดเจน ทั้งในใจยังมีความคิดบางอย่างอยู่ด้วย


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นได้ยินก็นั่งลง ยิ้มบางๆ ไม่ว่าอยู่ข้างนอกจะเหนื่อยแค่ไหน อ่อนล้ายากจะรับอย่างไร เขาก็ไม่อยากให้คนในครอบครัวเห็น ปกติเขาทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวข้างนอก พ่อแม่ก็เป็นห่วงอยู่แล้ว พอกลับมาจึงไม่อยากให้ทั้งสองกังวลใจ


 


 


“เรื่องอะไรครับ”


 


 


“อะแฮ่ม วันนี้แม่กับพ่อดูเพื่อนสองคนที่น้องสาวลูกพามาบ้าน รู้สึกประทับใจแม่หนูลั่วเสวี่ยเป็นพิเศษ พ่อของลูกยังสังเกตเห็นว่าดูเหมือนลูกจะชอบเธอด้วย ลูกแม่ แม่สนับสนุนลูกนะ ต้องคว้าโอกาสให้ดีๆ ล่ะ”


 


 


แม่หนูเหอเย่ว์ดูเหมือนจะชอบลูกชายตน แต่เธอประทับใจอีลั่วเสวี่ยมากกว่า ถ้าได้อยู่ด้วยกัน คงมีเรื่องคุยกันไม่หวาดไม่ไหว


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นได้ยินก็อึ้งไป ในความแปลกใจยังมีความตื่นเต้นด้วย คิดไม่ถึงว่าพ่อแม่ยังไม่ทันถามเรื่องของเธอ ก็เชียร์ให้จีบเธอซะแล้ว เห็นชัดว่าชื่นชมบุคลิกของเธอ


 


 


ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงดีใจมาก แต่เวลานี้เขากลับไม่รู้สึกดีใจ


 


 


“พ่อครับ แม่ครับ เรื่องนี้ผมจัดการเองครับ ที่พ่อกับแม่พูด ผมเข้าใจดี ผมขอตัวไปพักผ่อนก่อน พ่อกับแม่ก็อย่านอนดึกนะครับ” หลิ่วเฟยอวิ๋นพูดจบก็ลุกขึ้น กลับไปที่ห้องตัวเองไม่ออกมาอีก


 


 


หลี่เนี่ยนชิงกะพริบตา ใบหน้าที่ได้รับการบำรุงดูแลอย่างดีเศร้าไปทันที “คุณคะ ลูกไม่พอใจอะไรเหรอ หรือฉันพูดอะไรผิด หรือว่าฉันพูดชื่อลั่วเสวี่ยเป็นเสี่ยวเย่ว์” คิดแล้วก็อดสงสัยไม่ได้


ตอนที่ 290 เธอนึกเสียใจ


 


 


หลิ่วเฉิงเองก็งง “ผมคิดว่าเราก็ไม่ได้พูดอะไรผิดนะ หรือลูกยังไม่คิดจะรีบมีครอบครัว ผมได้ยินมาว่าลูกที่ถูกพ่อแม่เร่งรัดให้แต่งงาน มักมีอารมณ์แปลกๆ หรือว่าเราใจร้อนเกินไป ยังไงเฟยอวิ๋นก็อายุยังน้อย”


 


 


ความคิดของหนุ่มสาวแตกต่างจากพ่อแม่เมื่อก่อน หนุ่มสาวสมัยนี้ส่วนใหญ่แต่งงานช้า ขณะที่พ่อแม่ล้วนอยากให้ลูกสร้างฐานะมีครอบครัวแต่เนิ่นๆ พวกตนจะได้วางใจ


 


 


ยังมีพ่อแม่อีกประเภทหนึ่งที่อยากอุ้มหลานไวๆ หวังอยากจะให้ลูกตัวเองมีครอบครัวเหลือเกิน ทั้งยังพูดความคาดหวังของตัวเองออกมา พอนานเข้า ลูกก็เลยรู้สึกต่อต้าน


 


 


หลี่เนี่ยนชิงคิดดู “อย่างนั้นเหรอคะ” ไม่รู้ทำไม เธอจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่พอคิดทบทวนดู ก็คิดไม่ออกว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป


 


 


เธอคงไม่ถึงกับเลอะเลือนจนพูดสลับระหว่างชื่ออีลั่วเสวี่ยกับเหอเย่ว์ ต่อให้พูดผิดก็แค่เผลอไป อธิบายให้ชัดเจนก็สิ้นเรื่อง


 


 


“ถ้าไม่ใช่อย่างนี้แล้วจะเป็นอะไร ช่างเถอะๆ เราไปนอนดีกว่า เรื่องของลูกๆ เราอย่ายื่นมือเข้าไปยุ่งมากเกินไป” อย่าเห็นว่าหลิ่วเฉิงเป็นคนซื่อๆ แต่หลายๆ เรื่อง เขาเป็นคนเข้าใจอะไรชัดเจนมาก


 


 


อาจเพราะที่เราพูดถึงแม่หนูคนนั้น เลยทำให้ลูกชายคิดอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจขึ้นมา แสดงว่าลูกชายสนใจเธออยู่ แต่ฝ่ายนั้นอาจไม่ได้ชอบเขา


 


 


เหมือนคำที่ว่าเซียงหวังหมายตา แต่เทพธิดาไม่มีใจ ฝ่ายนั้นจึงได้แต่ทุกข์ใจ


 


 


ในฐานะพ่อแม่ ถ้าอยากทำเพื่อลูกในเรื่องความรัก ก็มีบทบาทเพียงแค่ช่วยส่งเสริม ไม่อาจครอบงำ ทั้งเรื่องของความรู้สึกก็ไม่ใช่เรื่องที่พ่อแม่จะบังคับควบคุมได้


 


 


หลี่เนี่ยนชิงถอนหายใจ หันไปมองห้องลูกชาย ลูกชายเป็นอะไรไป ขนาดไฟในห้องก็ไม่เปิด หรือว่าจะมีอะไรตอนออกไป


 


 


“เมื่อกี้ตอนออกไปก็ยังดีๆ ทำไมพอกลับมาถึงดูแปลกๆ”


 


 


“คุณก็ช่างสังเกตจริง แต่คืนนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยถามลูกก็ได้ เราไปนอนเถอะ” อยู่ต่อก็ไม่มีประโยชน์ ลูกชายไม่ออกมาล้างหน้าล้างตาด้วยซ้ำ


 


 


สุดท้ายสองสามีภรรยาก็กลับเข้าห้องด้วยความสงสัยเต็มอก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น หลิ่วเฟยอวิ๋นก็อยู่แต่ในห้อง ไม่ออกมา


 


 


หลิ่วเฟยซวงค่อยๆ เปิดประตูออกมาแอบดูความเคลื่อนไหว สุดท้ายก็ถอยกลับเข้าไป ปิดประตูเบาๆ “เฮ้อ…บางทีตอนแรกฉันไม่น่าพูดถึงเสวียเสวี่ยกับพี่ตลอดเลย”


 


 


พี่น้องคู่นี้นอกจากพูดคุยเรื่องทั่วไปแล้ว เรื่องที่พูดถึงมากที่สุดก็คืออีลั่วเสวี่ย เธอมักจะพูดเสมอว่าอยากให้พี่ชายรีบกลับจากต่างประเทศ เพื่อตามจีบผู้หญิงที่ดีอย่างอีลั่วเสวี่ย ให้มาเป็นพี่สะใภ้เธอ


 


 


ตอนนี้เขากลับมาแล้ว แต่ผลไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง พี่ชายเกิดชอบอีลั่วเสวี่ยแล้ว แต่ในหัวใจอีกฝ่ายกลับมีคนอื่น ถึงตอนนี้หลิ่วเฟยซวงจึงนึกเสียใจ บางทีก่อนหน้านี้เธอไม่น่าปากมากเลย ไม่อย่างนั้นก็จะไม่เกิดเรื่องในวันนี้


 


 


“เฮ้อ กลุ้มใจจริงๆ สงสัยคืนนี้คงนอนไม่หลับแน่” หลิ่วเฟยซวงขยี้ผมตัวเองด้วยความหงุดหงิด แล้วทิ้งตัวนอนลงบนเตียง คว้าหมอนมากอดไว้ พลางพลิกตัวไปมา


 


 


อีกด้านทางหลิ่วเฟยอวิ๋น


 


 


เขานั่งหลังพิงประตู ควันบุหรี่ลอยวนอยู่ในความมืด บุหรี่ที่คีบในมือส่องแสงวูบ เวลาที่คนหงุดหงิด มักจะอยากสูบบุหรี่ ราวกับว่ากลิ่นบุหรี่ที่ฉุนแสบจมูกจะทำให้จิตใจด้านชาได้


 


 


เธอกับเฉวียนหมิงมีวาสนากัน ครอบครัวพ่อบุญธรรมของเธอมีการหมั้นหมายไว้กับครอบครัวของเฉวียนหมิง เวลานี้พวกเขายิ่งใกล้ชิดกันขึ้นไปอีก ความคิดเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวเขา


 


 


นึกถึงครั้งนั้นที่อีลั่วเสวี่ยเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่ เขามักคิดว่าเธอคงจะถูกครอบครัวเฉวียนหมิงข่มเหงรังแก เวลานี้ดูแล้ว เขาคงคิดมากเกินไป ตอนนี้ทั้งคู่ถือว่าเป็นคู่ที่เหมาะสม


 


 


 


 


ตอนที่ 291 ช่วยแนะนำให้รู้จักด้วย


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นคิดว่าถ้าพยายามให้มากก็จะมอบความสุขให้เธอได้ เป็นที่พักพิงอันอบอุ่นคอยป้องกันคลื่นลมให้เธอ แต่เวลานี้ด้วยศักยภาพที่ตัวเขามีอยู่ดูเหมือนจะไม่สามารถทำได้ หรืออาจพูดได้ว่าที่จริงเธอไม่จำเป็นต้องให้เขาปกป้องเลย


 


 


เพราะไม่ว่าอย่างไรเฉวียนหมิงก็ดีต่อเธอมาก คิดถึงตรงนี้ ในหัวหลิ่วเฟยอวิ๋นก็ผุดภาพที่ดูสูงศักดิ์ของเฉวียนหมิงขณะอยู่ที่โต๊ะอาหาร แต่สองมือยื่นออกไปหยิบกุ้งมาแกะเปลือกให้อีลั่วเสวี่ยด้วยท่าทางสง่างาม


 


 


ประธานเฉวียนกรุ๊ปสามารถทำเรื่องแบบนี้ให้ผู้หญิงคนหนึ่งต่อหน้าคนอื่นๆ เห็นได้ว่าความรักที่เขามีต่อเธอมาจากใจจริง ทั้งตอนงานวันเกิดหนานหลิวเฟิง เธอประสานมือกับเฉวียนหมิง รวมทั้งการเต้นรำที่น่าดึงดูดใจนั่น ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงไม่สามารถทำได้ ยิ่งไม่อาจสอดประสานกันได้ดีขนาดนี้


 


 


ขณะที่ทุกคนกำลังทำอะไรแบบเดียวกัน พวกเขาสองคนกลับทำสิ่งที่โดดเด่นเป็นเอกเทศ ไม่สนใจผลที่ตามมา เขาต้องการเพียงอยู่กับเธอ คิดดูแล้ว หลิ่วเฟยอวิ๋นก็รู้สึกว่าความรักของเขาช่างว่างเปล่าไร้กำลัง


 


 


เทียบกับสิ่งที่เฉวียนหมิงทำให้ลั่วเสวี่ยแล้ว ตัวเขาไม่เพียงไม่มีแม้แต่โอกาสจะลงมือทำ แต่จะทำได้ดีเท่าเฉวียนหมิงหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ด้วยซ้ำ


 


 


“จะยอมแพ้เหรอ” ยี่สิบกว่าปี เป็นครั้งแรกที่เขาหวั่นไหวกับคนที่ไม่เคยพบหน้า เห็นแค่รูปถ่ายเท่านั้น เขาจะยอมแพ้จริงๆ หรือ เขาเชื่อเรื่องรักแรกพบ ทั้งยังมั่นใจตัวเองว่ามีความสามารถเพียงพอเมื่อเทียบกับเทพบุตรหนานหลิวเฟิงของเธอ


 


 


แต่มาตอนนี้เขาพบว่า คนที่เรียกว่าเทพบุตรนั้น สำหรับเธอแล้วไม่มีความสำคัญอะไรเลยสักนิด แต่กลับเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างเฉวียนหมิงซึ่งเขาไม่อาจอยู่เหนือกว่าได้


 


 


“แต่ฉันไม่อยากยอมแพ้” ใช่ ฉันต้องพยายามให้มากขึ้น ก่อนที่เธอจะเปิดเผยกับเฉวียนหมิง ไม่แน่ว่าเธออาจจะจำใจต้องอยู่กับเฉวียนหมิงก็ได้


 


 


เรื่องก่อนหน้านี้เขาสืบรู้หมดแล้ว ยังรู้จากน้องสาวของตัวเองด้วย ที่เธอแต่งงานลับๆ กับเฉวียนหมิง เป็นเพราะตอนนั้นเฉวียนหมิงใช้ร้านสาขาของบริษัทอีหว่านเป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยน เธอจึงยอมตกลง


 


 


ต้องเป็นเฉวียนหมิงที่ไม่ยอมหย่าแน่ๆ ใช่ เป็นอย่างนั้นแน่ๆ ฉันจะท้อไม่ได้ หลิ่วเฟยอวิ๋นดับบุหรี่ สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปิดประตู เดินออกไปล้างหน้า บังคับตัวเองให้พักผ่อน


 


 


ฉันต้องพยายามให้มากขึ้นในทุกๆ ด้าน เพื่อที่วันหน้าเมื่อเธอต้องการ ฉันจะปรากฏตัวออกไป ให้เธอเห็นว่าฉันมีศักยภาพพอที่จะปกป้องเธอ


 


 


คืนนี้ ในใจแต่ละคนในครอบครัวสกุลหลิ่วมีความคิดต่างกันไป แต่ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวอีลั่วเสวี่ย ขณะที่เจ้าตัวกลับไม่รู้อะไรทั้งสิ้น หรือบางทีต่อให้รู้ เธอก็คงทำเป็นไม่รู้


 


 


“ลูกชายออกมาแล้ว ฉันจะไปดูหน่อย” หลี่เนี่ยนชิงปิดไฟเตรียมเข้านอนแล้ว พอได้ยินเสียงก็ลุกพรวดขึ้นนั่ง เลิกผ้าห่มเตรียมจะออกจากห้อง แต่ถูกหลิ่วเฉิงรั้งไว้


 


 


“ดึกมากแล้ว ให้ลูกมีพื้นที่ส่วนตัวของเขาเถอะ ลูกโตแล้ว เราจะคอยห่วงแทนลูกทุกเรื่องไม่ได้”


 


 


หลี่เนี่ยนชิงได้ยินก็ชะงัก แล้วเอนตัวลงนอนบนเตียง


 


 


ทางด้านเฉวียนหมิง งานเลี้ยงในโรงแรมยังดำเนินต่อไปอย่างครึกครื้น


 


 


สุดท้ายทุกคนก็ดื่มจนเริ่มครึ้ม เครื่องดื่มมึนเมายังคงกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกของคนได้ ทั้งงานมีแต่เสียงชนแก้วกัน ใบหน้าแต่ละคนยิ้มแย้มและเริ่มมึนเล็กน้อย


 


 


ในสถานที่แบบนี้จะดื่มกันแค่พอครึ้มๆ ไม่ดื่มจนเมามาย


 


 


หลังจากอ่านข้อมูลเกี่ยวกับอีลั่วเสวี่ยและเพื่อนๆ ของเธอแล้ว ซีเหมินหลงเซี่ยวก็ยิ้มมุมปากอย่างสื่อความหมายลึกซึ้ง เขาออกจากห้อง กลับเข้ามาในงาน เดินตรงไปหาเฉวียนหมิง


 


 


“คุณมาได้จังหวะพอดี พรุ่งนี้ผมยังมีงานต้องจัดการที่บริษัท เตรียมจะกลับแล้ว ลาเลยนะครับ” เฉวียนหมิงเห็นซีเหมินหลงเซี่ยวเดินมา จึงเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบเป็นปกติ


 


 


ซีเหมินหลงเซี่ยวพยักหน้า “ถ้าอย่างงั้นผมไม่รั้งคุณอยู่ต่อแล้ว แต่เมื่อครู่ในงาน ได้ยินว่าคุณกับภรรยารักกันมาก แถมเธอยังช่วยงานบริษัทคุณไม่น้อย เป็นผู้หญิงเก่งคนหนึ่ง เมื่อไหร่จะแนะนำให้ผมรู้จักบ้าง เราจะได้ทำความรู้จักกันไว้”



ตอนที่ 292 อีลั่วเสวี่ยแปลกใจ


 


 


แววตาเฉวียนหมิงอึมครึม อดตื่นตัวขึ้นมาไม่ได้ ทำไมหมอนี่เกิดสนใจอาเสวี่ยขึ้นมา เขาคิดจะทำอะไร


 


 


“อย่าทำท่าตั้งการ์ดอย่างนั้นสิครับ ผมกับคุณก็ถือว่าเป็นเพื่อนกัน เจอภรรยาของเพื่อนบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าผมจำไม่ผิด เธอเหมือนคนที่ผมเจอวันนี้มาก”


 


 


“คุณเคยเจออาเสวี่ย?” เฉวียนหมิงอดถามไม่ได้ เมื่อไหร่กัน วันนี้หลังจากหมดชั่วโมงเรียน เธอก็ไปเที่ยวบ้านหลิ่วเฟยซวงไม่ใช่เหรอ ซีเหมินหลงเซี่ยวมีโอกาสไปเจอเธอได้ยังไง


 


 


หรือผู้ชายคนนี้ฉวยโอกาสตรวจสอบเธอตอนที่ฉันไม่รู้


 


 


ซีเหมินหลงเซี่ยวเลิกคิ้ว จิบไวน์แดงด้วยสีหน้าใสซื่อ “ขอผมนึกก่อนนะ ดูเหมือนจะเป็นที่ร้านเครื่องหยกแห่งหนึ่ง เพื่อนผู้หญิงที่อยู่ด้วยดูเหมือนจะชื่อหลิ่วเฟยซวง ผมผ่านร้านหยกร้านนี้ แล้วก็เจอเธอตอนเข้าไปดูหยก”


 


 


ร้านเครื่องหยก นั่นเป็นร้านเครื่องหยกของหลิ่วเฟยอวิ๋นไม่ใช่เหรอ หลิ่วเฟยซวงพาเธอไปที่นั่น ก็ไม่แปลก เฉวียนหมิงคิดแล้วจึงคลายความกังวลลงเล็กน้อย


 


 


“งั้นก็คงได้เจอกันแล้ว ดังนั้นเรื่องแนะนำ ผมว่าคงไม่จำเป็น ต้องขอบคุณนายน้อยซีเหมินสำหรับการรับรองคืนนี้ ขอลาครับ” เฉวียนหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบราวกับแสงจันทร์


 


 


เขาไม่รอให้ซีเหมินหลงเซี่ยวพูดอะไร ก็หันหลังผละจากไป เหล่าเกาคอยมองอยู่อีกด้าน รีบวางแก้วในมือแล้วเดินตามไป


 


 


หนานหลิวเฟิงกับมั่วเฉินเซวียนเห็นเฉวียนหมิงกลับไปก่อน เดิมที่กลัวว่าซีเหมินหลงเซี่ยวกับเขาจะสานสัมพันธ์กัน พอเห็นแบบนี้ความคิดที่จะชิงตัดหน้าก็หมดไป


 


 


“ทำไมต้องร้อนรนเพราะผู้หญิงคนเดียว นี่ไม่ใช่นิสัยของเฉวียนหมิง” ยิ่งเป็นแบบนี้ ซีเหมินหลงเซี่ยวก็ยิ่งแปลกใจ อีลั่วเสวี่ยมีเสน่ห์ดึงดูดอะไร ถึงทำให้เฉวียนหมิงหลงเธอขนาดนี้


 


 


ซีเหมินหลงเซี่ยวหัวเราะเบาๆ หยิบแก้วไวน์เดินเข้าไปในกลุ่มคน หนานหลิวเฟิงและมั่วเฉินเซวียนเห็นเช่นนั้นก็เดินไปทางเขา


 


 


เฉวียนหมิงไม่รู้ว่างานเลี้ยงเป็นอย่างไรหลังจากนั้น ทั้งเขาเองก็ไม่สนใจ พอออกจากโรงแรมก็โทร.หาอีลั่วเสวี่ยทันที


 


 


อีลั่วเสวี่ยซึ่งอาบน้ำแปรงฟันแล้ว เตรียมจะบำเพ็ญเพียร สะดุ้งเพราะเสียงมือถือ “ดึกป่านนี้ ใครยังโทร.มาอีกนะ” เห็นทีคราวหน้าถ้าจะบำเพ็ญเพียรคงต้องปิดมือถือก่อน


 


 


ไม่อย่างนั้นถ้าเธอกำลังบำเพ็ญเพียรถึงช่วงสำคัญ แล้วมือถือเกิดดังขึ้นมา จะส่งผลกระทบต่อตัวเธอได้ ขั้นเบาอาจทำให้การบำเพ็ญเพียรสะดุดลง พลังย้อนกลับมาทำให้อวัยวะภายในบาดเจ็บ ขั้นหนักอาจทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกจนเป็นอันตรายได้


 


 


“เฉวียนหมิง ดึกแล้วโทร.หาฉันมีอะไรเหรอคะ” น้ำเสียงอีลั่วเสวี่ยไม่พอใจ มีแฟนที่ติดแจอย่างนี้ จะทำยังไงดี ถ้าปล่อยให้รอสายคงร้อนใจมาก


 


 


“คุณอยู่ไหน” ที่ปลายสาย เฉวียนหมิงไม่ได้โกรธที่อีลั่วเสวี่ยมีน้ำเสียงไม่พอใจ แต่กลับกระวนกระวาย


 


 


อีลั่วเสวี่ยกะพริบตา ตอบโดยไม่ต้องคิด “ก็ต้องอยู่บ้านสิ ทำไมเหรอคะ”


 


 


“คุณกลับบ้านแล้ว?” จริงสิ เธอบอกว่าวันนี้ไปเป็นแขกบ้านหลิ่วเฟยซวง ถ้าไม่ค้างคืน ตอนนี้ก็กลับถึงบ้านเตรียมเข้านอนแล้ว


 


 


“ไม่งั้นจะให้อยู่ไหนล่ะ คุณเป็นอะไรไป ทำไมถามแปลกๆ” ความรู้สึกบอกเธอว่าเฉวียนหมิงมีอะไรผิดปกติ


 


 


เฉวียนหมิงได้ยินก็ถอนหายใจเบาๆ มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มสวย ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น “คุณไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” คิดว่าซีเหมินหลงเซี่ยวนั่นจะทำอะไรเธอ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว


 


 


คนคนนี้รับมือยากกว่าคนอย่างมั่วเฉินเซวียน ไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู ไม่เหมือนกับมั่วเฉินเซวียน ซึ่งถือว่าเป็นศัตรูอย่างสมบูรณ์ ถ้าจำเป็นจริงๆ อาจพอร่วมมือกันชั่วคราวได้


 


 


“ไม่เป็นไรอะไรเหรอคะ ฉันจะเป็นอะไรได้ คุณพูดแปลกๆ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ พูดครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ทำให้คนไม่สบายใจนะ” อีลั่วเสวี่ยเดา หรือว่าเขาไม่ได้พาเพื่อนหญิงไปร่วมงานเลยถูกล้อ


 


 


 


 


ตอนที่ 293 ไม่ว่าใครก็ทำร้ายคุณไม่ได้


 


 


ต่อให้เป็นอย่างนั้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องกระวนกระวายแบบนี้นี่นา เขาไม่ใช่คนที่จะอึดอัดเพราะสายตาคนอื่นจนวางตัวไม่ถูก


 


 


เฉวียนหมิงขยับปาก สิ่งที่อยากพูดกลับพูดไม่ออก เขาอยากถามว่าวันนี้เธอเจอซีเหมินหลงเซี่ยวใช่หรือเปล่า ฝ่ายนั้นแสดงท่าทีเป็นศัตรูกับเธอหรือเปล่า ขณะเดียวกันก็อยากให้เธออยู่ห่างจากบุคคลอันตรายคนนี้


 


 


แต่ถ้าพูดแบบนั้นออกไปจริงๆ เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนใจแคบไปหน่อย บางทีอาจไม่มีอะไรก็ได้ แค่ซีเหมินหลงเซี่ยวตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับฉัน แล้วตรวจพบเกี่ยวกับเธอเข้าเท่านั้นเอง


 


 


“เอ๋? สัญญาณหาย?” ผ่านไปนาน เฉวียนหมิงก็ยังไม่ตอบ อีลั่วเสวี่ยพูดฮัลโหล แล้วสายก็หลุด จึงโทร.กลับไป


 


 


ทางด้านเฉวียนหมิง พอสายหลุดไป เขาคิดดูก็เห็นว่าไม่ถามเธอดีกว่า นึกไม่ถึงว่าวินาทีถัดมามือถือจะดังขึ้น


 


 


เขารับสายทันที “อาเสวี่ย”


 


 


“คุณอยู่ไหนคะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า” พอคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฉวียนหมิง เธอก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที มีคนบอกว่า มีบางคนที่ถูกจับตัวเรียกค่าไถ่หรือเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ พอมีโอกาสก็จะโทร.หาคนในครอบครัว หรือว่าจะเกิดเรื่องกับเฉวียนหมิง


 


 


เฉวียนหมิงคิดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นห่วงเขาขนาดนี้ ในใจรู้สึกอบอุ่น มุมปากยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว “ผมไม่เป็นไร แค่คิดถึงคุณเลยโทร.มา จะถามว่าคุณกลับบ้านหรือเปล่า”


 


 


อีลั่วเสวี่ยมองมือถือด้วยสีหน้าประหลาด อีกมือลูบแก้มตัวเอง ให้ตายสิ หน้าแดงแล้ว อีลั่วเสวี่ย เธอนี่มันไม่เอาไหนจริงๆ


 


 


“แค่กๆ เท่านี้เหรอคะ คุณไม่เป็นไรแน่นะ” เพื่อความไม่ประมาท อีลั่วเสวี่ยยังถามย้ำให้แน่ใจอีกครั้ง วันนี้เฉวียนหมิงดูแปลกๆ เหมือนกลัวว่าจะเกิดเรื่องกับฉัน แต่ฉันไปบ้านหลิ่วเฟยซวงจะเกิดอะไรกับฉันได้


 


 


“ผมไม่เป็นไร คุณกลับบ้านปลอดภัยผมก็สบายใจ ดึกแล้ว คุณรีบพักผ่อนเถอะ อดนอนจะไม่ดีต่อสุขภาพ” เฉวียนหมิงตัดสินใจว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กับเธอ เอาไว้คราวหน้าถ้าบังเอิญเจอกัน ค่อยแนะนำ


 


 


ด้วยฝีมือของคนอย่างซีเหมินหลงเซี่ยว เขาย่อมหาโอกาสมาพบปะทำความรู้จักแน่ ที่เขาต้องทำคือปกป้องเธอให้ดี ส่วนเรื่องอื่นๆ เขาไม่สนใจ


 


 


“ฉันรู้แล้วค่ะ คุณก็เหมือนกันนะ รีบกลับไปพักผ่อนให้ดี คุณคงดื่มไปไม่น้อยละสิ กลับไปดื่มน้ำโซดาเล็กน้อยก่อนนอน ถ้ารู้สึกไม่สบาย ต้องบอกให้ลุงเการู้ ให้เขาโทร.ตามคุณหมอหมิงมาตรวจนะคะ”


 


 


สภาพร่างกายของเฉวียนหมิงไม่อาจได้รับการกระตุ้นอย่างตอนที่ตกทะเลอีก ถ้าเกิดขึ้นอีกครั้งสองครั้ง จะยิ่งเร่งให้อาการป่วยของเขาแย่ลง ทั้งยังทำให้ฤทธิ์ของโอสถทิพย์สั้นลงด้วย


 


 


“ฟังคุณทุกอย่างเลย อาเสวี่ย ไม่คุยแล้ว ผมใกล้ถึงบ้านแล้ว ราตรีสวัสดิ์นะ”


 


 


“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” อีลั่วเสวี่ยวางสาย เธอรู้สึกเหมือนเสียงของเฉวียนหมิงดังอยู่ข้างหู สมจริงราวกับเสียงคลื่นแม่เหล็กดังก้องในหูอยู่นาน


 


 


ทันใดนั้นก็มีลำแสงเข้มข้นส่องวาบบนใบหน้าเธอ เธอปล่อยหมัดออกไปตามสัญชาตญาณ ลูกบอลเงินปลิวหวือออกไปทันที


 


 


‘ไม่อยากมีชีวิตแล้วใช่ไหม’


 


 


ลูกบอลเงินลอยกลับมาอย่างทุลักทุเล ‘ทำไมจะไม่อยากล่ะ ผมแค่เห็นคุณยิ้มหน้าบานแบบที่ไม่ค่อยได้เห็น เลยอยากบันทึกภาพไว้เท่านั้นเอง’


 


 


‘โรคจิต ขืนยังจะถ่ายรูปฉัน เชื่อไหมว่าฉันทุบนายให้แบนแต๊ดแต๋ได้’ คิดไม่ถึงว่าฉิวฉิวจะชอบอะไรบ้าบอแบบนี้ ถ่ายรูปคน คิดออกมาได้นะ


 


 


อย่าว่าไป มันไม่ใช่แค่ถ่ายรูป ยังแบ่งปันให้เพื่อนดูด้วย แต่อีลั่วเสวี่ยไม่รู้เรื่องนี้


 


 


‘เจ้านาย ผมผิดไปแล้ว อย่าโมโหเลยนะ โมโหแล้วหน้าเ**่ยว ผมไม่กวนแล้ว คุณรีบพักผ่อนเถอะ’ จากนั้นก็แวบหายออกไปทางหน้าต่าง เผ่นไปไกล


 


 


อีลั่วเสวี่ยกลอกตาใส่ แล้วเอนหลังนอนลงบนเตียงนุ่ม ตาจ้องโคมไฟแขวนเพดานที่เห็นลางๆ ในความมืด ราวกับจะมองเห็นเฉวียนหมิงอยู่บนนั้น




ตอนที่ 294 เป้าหมายของอีลั่วเสวี่ย 


 


 


เธอพบว่าหัวใจตัวเองหวั่นไหว เพราะความอ่อนโยนที่เข้มข้นรุนแรง และการเอาใจใส่ที่มีต่อเธอของเขา 


 


 


ความจริงแล้วเขาไม่เลวเลย ที่สำคัญที่สุดคือเขาใจเดียวต่อเธอเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะรักอีลั่วเสวี่ยในอดีตหรือตัวเธอในเวลานี้ ตอนนี้เธอก็คือเธอ อย่างนั้นเธอก็ขอมีความสุขกับความอ่อนโยนนี้อย่างเห็นแก่ตัวแล้วกัน 


 


 


เวลานี้ใบหน้าเธอหลอมรวมกับใบหน้าของตัวเธอในชาติก่อนแล้ว ถ้าเฉวียนหมิงละเอียดพอ และยังคงชอบเธอในเวลานี้ เธอก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก 


 


 


เรื่องสำคัญสุดตอนนี้คือคิดหาวิธีรักษาเฉวียนหมิงให้หายป่วย ฉันไม่อยากให้คนรักของหมอปีศาจอย่างฉันต้องป่วยตาย แค่กๆ ถึงจะยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ถ้าเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมาซะก่อน แล้วจะสานต่อความสัมพันธ์ยังไงล่ะ  


 


 


อีลั่วเสวี่ยหาเหตุผลที่เหมาะสมให้ตัวเอง เหตุผลที่จะอยู่ร่วมกับเฉวียนหมิง ว่ากันตามตรง คนที่ไม่เกรงกลัวอะไรอย่างเธอกลับไม่มีความมั่นใจในเรื่องความรัก 


 


 


แต่ว่าความรักนั้น ไม่ใช่ใครก็จะรักเป็น คนที่ไม่รู้จักความรักก็ต้องคลำทางเอาเองจึงจะเข้าใจ  


 


 


ไม่ง่ายเลยกว่าจะสงบใจลงได้ เธอจึงเริ่มนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญเพียร ถ้าไม่ยกระดับความแข็งแกร่งของตัวเอง ไม่พยายามหาเงิน คงไม่สามารถเอาหญ้าทิพย์จากลูกบอลเงินมาหลอมยาได้ 


 


 


เงื่อนไขเบื้องต้นของทั้งหมดนี้อยู่ที่เธอต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น และต้องทำให้ไฟทิพย์ยกระดับขึ้นตามไปด้วย ถึงตอนนั้นจึงจะหลอมยาได้ ด้วยพลังที่เธอมีตอนนี้ แม้จะอยากหลอมโอสถทิพย์ก็ยังทำไม่ได้ 


 


 


แต่ก็ยังสามารถหลอมยาบำรุงร่างกายให้เฉวียนหมิงได้ เห็นทีต้องหาโอกาสไปที่หลิงเป่าถังสักครั้ง เพื่อปรึกษาเรื่องนี้กับหมิงเยี่ย 


 


 


อีลั่วเสวี่ยวางเป้าหมายต่อไปของตัวเองแล้ว จึงหลับตาลง ค่อยๆ เข้าสู่สภาวะบำเพ็ญเพียร 


 


 


คืนนี้ ดวงดาว ดวงจันทร์ และหมู่เมฆประกอบกันเป็นภาพที่พิเศษ ในความมืดมีแสงสว่าง ในแสงสว่างมีความเชื่อมโยง ไม่รู้ว่าเป็นลางบ่งบอกอะไร 


 


 


ดวงจันทร์คล้อยต่ำ ดวงตะวันลอยสูง เมื่อแสงแรกอรุณสาดเข้ามาในห้อง หลิ่วเฟยซวงซึ่งนอนหลับไม่สนิทก็ตื่นขึ้นมาเพราะแสงรำไร  


 


 


“อ๊ะ…เมื่อคืนลืมปิดม่านเหรอ เฮ้อ” จากนั้นก็ทึ้งผมด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะลุกขึ้นไปดึงม่าน เตรียมนอนต่อ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสุดสัปดาห์ ไม่มีเรียน 


 


 


แต่แล้วกลับได้ยินเสียงบางอย่าง ดูเหมือนมีใครทำอะไรกินอยู่ในครัว ดวงตาหลิ่วเฟยซวงเจิดจ้า รู้ทันทีว่าเป็นใคร…พี่ชายเธอเอง 


 


 


เธอปัดผมไปสองข้าง เปิดประตูวิ่งออกไป หลิ่วเฟยอวิ๋นยกมื้อเช้าออกมาจากครัวพอดี พอเห็นสารรูปของน้องสาวก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง  


 


 


“เฮ้ย เธอเองเหรอ เฟยเฟย แอบไปทำอะไรมา ทำไมสภาพดูไม่จืดอย่างงั้น อย่างกับผีแน่ะ” หลิ่วเฟยอวิ๋นส่ายหน้าอย่างจนใจ วางอาหารเช้าลงบนโต๊ะ 


 


 


“ฉันนึกว่าเธอจะนอนต่อ เลยไม่ได้ทำเผื่อ แต่วันนี้ทำค่อนข้างเยอะ กินด้วยกันไหม” เขาว่าพลางรินนมใส่แก้ว 


 


 


หลิ่วเฟยซวงเบะปาก แล้ววิ่งเข้าไปกอดหลิ่วเฟยอวิ๋นจากด้านหลัง “พี่ ขอโทษนะ” เวลาที่เธอรู้สึกผิดหรือเศร้า ก็จะเรียกหลิ่วเฟยอวิ๋นว่าพี่ ส่วนเวลาอื่นๆ ที่เรียกเขาว่าพี่ แทบจะไม่เคยใช้น้ำเสียงเคร่งเครียดแบบนี้ 


 


 


“ขอโทษ? ขอโทษเรื่องอะไร ตัวร้อนหรือเปล่า เมื่อคืนอากาศเย็นนิดหน่อย หรือนอนถีบผ้าห่มหลุด” หลิ่วเฟยอวิ๋นพูดพลางดึงมือน้องสาวออก แล้วหันกลับมายกมือแตะหน้าผากน้องสาว 


 


 


หลิ่วเฟยซวงไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี “พี่ ฉันไม่ได้ป่วยนะ ฉันขอโทษพี่จริงๆ” 


 


 


“ขอโทษ ขอโทษเรื่องอะไร หรือเธอเอาบัตรพี่ไปรูดซื้อเสื้อผ้า” หลิ่วเฟยอวิ๋นเลิกคิ้ว ทำสีหน้าเหมือนรู้ทัน 


 


 


คิดดูแล้ว หลิ่วเฟยซวงเคยทำเรื่องทำนองนี้หลายครั้ง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่คิดอย่างนี้เป็นเรื่องแรก 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 295 พี่ เป็นความผิดฉันเอง 


 


 


“ไม่ใช่เรื่องนี้ พี่ก็รู้ว่าฉันอยากพูดอะไร ฉันหมายถึงเสวียเสวี่ย ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อก่อนฉันคอยเป่าหูพี่ ยังรับปากว่าจะช่วยพี่ให้ได้ ก็คงไม่เป็นอย่างตอนนี้” 


 


 


เมื่อก่อนเธอกลัวว่าถ้าพี่ชายไม่ชอบอีลั่วเสวี่ย เธอคงเสียดายแย่ แต่ตอนนี้เขาเกิดชอบเพื่อนเธอแล้ว แต่ทั้งคู่กลับไม่มีทางเป็นไปได้ เธอจึงรู้สึกผิดมาก คิดแล้วนัยน์ตาก็เริ่มพร่ามัวด้วยน้ำตา 


 


 


พี่ชายดีกับฉันมาก แต่ฉันกลับทำอะไรลงไป ก่อเรื่องวุ่นแท้ๆ 


 


 


“เรื่องนี้เองเหรอ ไม่มีอะไรต้องขอโทษเลย นี่เป็นเรื่องของพี่เอง อย่าคิดฟุ้งซ่าน แล้วพี่ก็ไม่โทษเธอด้วย” ต้องขอบใจเธอด้วยซ้ำ ที่ทำให้พี่มีโอกาสได้เจอเด็กสาวที่ดีอย่างนี้ 


 


 


ต่อให้วันหน้าจะไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันก็ตาม แต่ก็ทำให้เขารู้ว่าตัวเองชอบผู้หญิงที่เรียบง่ายและจิตใจดีงามใสบริสุทธิ์ แล้วเขาจะโทษคนอื่นได้อย่างไร 


 


 


“ไม่โทษฉันจริงๆ เหรอ ทั้งหมดเป็นเพราะฉันไม่ดีเอง” พอหลิ่วเฟยซวงได้ยิน น้ำตาก็รื้นขึ้นทันที เสียงเริ่มสะอื้น 


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นลูบศีรษะน้องสาวอย่างจนปัญญาและเอาใจ “จริงสิ พี่เคยโกหกเธอเหรอ มา กินมื้อเช้ากัน กินเสร็จแล้วกลับไปนอนต่อ ทุกอย่างก็จะดีเอง เรื่องของเราต่อจากนี้ก็ปล่อยให้เป็นไป เธอไม่ต้องคอยกดดัน ควรจะทำยังไงก็ทำไป” 


 


 


ช่างเป็นน้องสาวที่ซื่อบื้อจริงๆ เลย เรื่องอย่างนี้ยังมาโทษตัวเอง ต้องโทษเขาด้วยที่ไม่ทันคิดว่าสภาพของตัวเองจะทำให้น้องสาวที่ไร้เดียงสาพลอยคิดมากไปด้วย คิดแล้วเขาก็นึกเสียใจ 


 


 


ว่ากันว่าฝาแฝดมีใจสื่อถึงกัน หากคนหนึ่งไม่สบายใจ อีกคนก็จะพลอยไม่สบายใจไปด้วย 


 


 


“ไม่กินหรอก กินอิ่มเดี๋ยวนอนไม่หลับ” หลิ่วเฟยซวงยิ้มออกแล้ว จิตใจสดใสขึ้นราวกับรุ้งกินน้ำหลังฝน  


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นทำสีหน้าจนใจ “ก็ได้ งั้นเธอก็ไปนอนซะ อย่าคิดมากรู้ไหม ขืนเป็นแบบนี้ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะโทษว่าพี่รังแกเธอ” ตอนเด็กๆ ถ้าน้องสาวร้องไห้ เขามักถูกลงโทษเสมอ 


 


 


พอคิดถึงตรงนี้หลิ่วเฟยซวงก็ยิ้มออกมา “พี่ยังไม่หายแค้นอีกเหรอ นั่นมันเรื่องสมัยเด็กนะ” 


 


 


“จะลืมได้ไง พ่อตีเจ็บจะตาย” แม่ของทั้งสองเป็นคนชอบใช้เหตุผล ส่วนพ่อ อย่าเห็นว่าเป็นคนอ่อนโยนซื่อตรง เวลาเข้มงวดขึ้นมาก็ดุเอาการ 


 


 


“อะไรกัน ตื่นมาก็ได้ยินคนว่าพ่อแต่เช้า อยากจะคิดบัญชีกับพ่อหรือไง” หลิ่วเฉิงหาวหวอด เดินออกมาจากห้อง มองไปยังลูกชายและลูกสาว 


 


 


ลูกสองคนนี้ พูดปลอบกันแต่เช้า ถ้ายังปลอบกันไม่จบ เขาคงกลั้นไม่ไหว อยากไปห้องน้ำเต็มที 


 


 


“พ่อ ต่อให้ผมกินหัวใจหมีดีเสือก็ไม่กล้าทำอะไรพ่อหรอก” อย่างมากก็แอบบ่นในใจ เรื่องนี้เขารู้ดี สมัยเด็กดูแล้วเหมือนพ่อทำโทษรุนแรง แต่ที่จริงก็แค่ออกท่าออกทางให้น่ากลัวไปอย่างนั้น ไม่เจ็บเลยสักนิด 


 


 


แค่ทำท่าขู่หลิ่วเฟยซวงว่าจะตีพี่ชาย เธอจะได้เลิกร้องไห้งอแง 


 


 


“หึ ยังไงลูกก็ไม่กล้าหรอก” หลิ่วเฉิงแค่นเสียงอย่างวางโต แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป 


 


 


สองพี่น้องพากันยิ้ม คนหนึ่งกลับไปนอนต่อ อีกคนกินมื้อเช้าแล้วเตรียมจะออกจากบ้าน 


 


 


เมื่อคืนที่โต๊ะอาหาร เขาได้ยินน้องสาวบอกว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันวางจำหน่ายแหวนหยก วันนี้เขาต้องไปที่ร้านเพื่อเตรียมงานและประชาสัมพันธ์สักหน่อย 


 


 


“พ่อครับ แม่ครับ ผมจะไปข้างนอก มื้อเที่ยงไม่ต้องรอผม คืนนี้ก็อาจกลับดึกหน่อย” หลิ่วเฟยอวิ๋นวางจานไว้ในอ่างล้างจาน ล้างมือเช็ดปาก หยิบเสื้อสูทและกระเป๋าเอกสาร ออกจากบ้านไป 


 


 


“เดินทางดีๆ นะ อย่าขับรถเร็วนักล่ะ” หลี่เนี่ยนชิงเดินออกมาพลางกำชับ มองส่งลูกชายจากไป 



ตอนที่ 296 นายครับ มีแขกมาขอพบ 


 


 


หลิ่วเฉิงล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเดินออกมา “ตอนนี้วางใจได้แล้วใช่ไหม ลูกชายโตรู้ความแล้ว ตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้แล้ว” 


 


 


“ใช่ ลูกชายโตแล้ว หมายความว่าเราแก่แล้ว” หลี่เนี่ยนชิงเอ่ยเสียงเรียบ เดี๋ยวนี้เธอพบว่าบางเรื่องก็ตามไม่ทันความคิดหนุ่มสาวสมัยนี้ และไม่เข้าใจวิธีคิดของพวกเขา 


 


 


“จะเป็นไปได้ยังไง เมียจ๋า ในใจผมคุณเป็นสาวตลอดไป” หลิ่วเฉิงพูดจบก็ทำตาปิ๊งปั๊งใส่ภรรยา ให้ความรู้สึกราวกับคู่สามีแก่กับภรรยาสาวจริงๆ 


 


 


หลี่เนี่ยนชิงเอือมระอา แต่เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่เลวเลย วันเวลาทำให้ความรักของสองคนราบเรียบไร้รสชาติไปบ้าง ผ่านไปหลายสิบปีแล้ว จึงยากที่จะคงความรู้สึกเหมือนตอนที่รักกันใหม่ๆ 


 


 


“นายครับ มีแขกมาขอพบครับ” หลิ่วเฟยอวิ๋นจอดรถเสร็จ เพิ่งจะเดินเข้ามาในร้าน ผู้จัดการร้านก็รีบเดินเข้ามาหา แจ้งเขาว่ามีแขกรอพบอยู่ 


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นหยุดเดิน รู้สึกแปลกใจ “แขก? แขกที่ไหน” เขาจำได้ว่าไม่ได้นัดใครไว้ อีกอย่างใครจะมาหาเขาตั้งแต่เช้าขนาดนี้  


 


 


ชั่วขณะนั้น ผู้จัดการก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ดูเหมือนกำลังนึกชื่อแขกที่มาพบ “อ้อ ใช่แล้ว เขามาที่ร้านเราเมื่อวาน ก่อนกลับยังให้นามบัตรกับรองประธานไว้ ผมคิดว่าเขามาเพราะแหวนหยกสินค้าใหม่ของเราครับ” 


 


 


นามบัตร แหวนหยก? คนที่เมื่อวานเฟยเฟยพูดถึงสินะ 


 


 


“ซีเหมินหลงเซี่ยว” 


 


 


ผู้จัดการได้ยินก็พยักหน้าทันที “ใช่ ใช่ครับ ชื่อนี้แหละ เพราะไม่รู้จัก ผมเลยไม่กล้าพาเขาไปที่ห้องทำงานของเจ้านาย ให้เขารอที่ห้องแพนทรีครับ” 


 


 


“ตามผมไปดูหน่อย ช่างเถอะ ผมจะไปที่ห้องทำงาน คุณพาเขาไปที่ห้องทำงานผมแล้วกัน” เขาถือกระเป๋าเอกสาร แล้วจัดเน็กไทให้เข้าที่ จากนั้นจึงเดินจากไปเงียบๆ 


 


 


“ครับ” ผู้จัดการมองตามหลิ่วเฟยอวิ๋นที่เดินขึ้นชั้นบน แล้วจึงเดินไปยังห้องแพนทรี ซึ่งจัดไว้สำหรับเป็นห้องดื่มชารับรองแขก  


 


 


พอเขาผลักประตูเข้าไป ซีเหมินหลงเซี่ยวซึ่งอยู่ในห้องก็เงยหน้าขึ้นยิ้มด้วยท่าทีสุภาพ 


 


 


“คุณซีเหมินครับ เจ้านายของเราขอเชิญ เชิญตามผมมาเลยครับ” พูดจบก็เปิดประตู ผายมือเป็นการเชื้อเชิญ 


 


 


ซีเหมินหลงเซี่ยวพยักหน้า เดินออกไปพร้อมกับบอดี้การ์ดตามหลัง 


 


 


“เจ้านายอยู่ในห้องครับ” ผู้จัดการเคาะประตู เปิดประตูให้ซีเหมินหลงเซี่ยว แล้วจากไป 


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน พอเห็นซีเหมินหลงเซี่ยวก็ยิ้มให้ พลางเดินมาหา 


 


 


“คุณซีเหมินมาเยือนร้านเล็กๆ ของเรา นับว่าเป็นเกียรติของร้านเรามาก เชิญนั่งครับ ดื่มอะไรหน่อยไหมครับ” 


 


 


ซีเหมินหลงเซี่ยวเม้มปากยิ้ม “กาแฟครับ น้ำตาลสามก้อน” หลังจากนั่งลง บอดี้การ์ดมายืนอยู่ข้างหลังเขา ท่าทางเคร่งขรึมน่าเกรงขาม 


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นพยักหน้า กดโทรศัพท์บนโต๊ะ “กาแฟหนึ่ง ชาหนึ่ง กาแฟใส่น้ำตาลสามก้อน ส่งขึ้นมา”  


 


 


“มาพบแต่เช้า คงไม่รบกวนการทำงานของประธานหลิ่วนะครับ”  


 


 


รบกวน? ถึงจะรบกวนก็มาแล้วไม่ใช่เหรอ หลิ่วเฟยอวิ๋นคิดในใจ แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า “ไม่หรอกครับ คุณซีเหมินกังวลเกินไปแล้ว จริงสิครับ เมื่อวานเผอิญผมมีธุระออกไปก่อน ไม่ได้อยู่ต้อนรับคุณซีเหมินด้วยตัวเอง ต้องขอโทษจริงๆ ถ้าน้องสาวผมต้อนรับบกพร่อง ผมต้องขอโทษแทนเธอด้วย หวังว่าคุณซีเหมินคงไม่ถือสานะครับ” 


 


 


พอซีเหมินหลงเซี่ยวได้ฟัง สีหน้าก็อ่อนโยนลง ดวงตาลึกล้ำทอประกายออกมา “ไม่หรอกครับ น้องสาวประธานหลิ่ว อายุยังน้อยแต่รับมือได้ด้วยตัวเอง แม้แต่ผมก็ยังชื่นชมเลยครับ” 


 


 


“ถ้าเฟยเฟยได้ยินคุณชมเธอ คงจะตัวลอยแน่” หลิ่วเฟยอวิ๋นไม่พูดเข้าเรื่อง เพียงแค่หัวเราะ ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่น้องสาวบอกเขาเมื่อคืนว่าผู้ชายตรงหน้าอยากร่วมธุรกิจกับตน 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 297 ถึงกับปฏิเสธความร่วมมือ 


 


 


แววตาซีเหมินหลงเซี่ยวดูลึกล้ำยิ่งขึ้น สุดท้ายก็อดพูดไม่ได้ 


 


 


“ประธานหลิ่ว เมื่อวานน้องสาวคุณไม่ได้พูดถึงจุดประสงค์ที่ผมมาที่นี่หรือครับ” ไอ้หนูนี่มีแผนอะไรในใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าฉันเป็นใคร แต่ไม่ยอมพูดถึงเรื่องเมื่อวาน 


 


 


หรือจะนั่งเฉยเพื่อยกราคา รอให้ฉันเอ่ยปาก เป็นคนมีหัวธุรกิจจริงๆ มิน่าเพิ่งกลับจากต่างประเทศไม่ถึงครึ่งปีก็บริหารจนร้านหยกนี้เป็นรูปเป็นร่าง 


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นตบศีรษะตัวเอง “ต้องขอโทษด้วยครับคุณซีเหมิน เมื่อคืนผมมีธุระกลับดึกมาก แถมยังดื่มเล็กน้อย เลยยังมึนๆ นึกไม่ออกไปชั่วขณะ แต่ผมแปลกใจว่าทำไมคุณซีเหมินถึงอยากร่วมมือกับร้านเครื่องหยกเล็กๆ อย่างเราครับ” 


 


 


นี่คงเป็นเรื่องที่เขาอยากถามสินะ ซีเหมินหลงเซี่ยวยิ้ม 


 


 


“ขอบอกตามตรง ผมเห็นสินค้าใหม่ของคุณแล้ว รู้สึกว่าน่าจะทำตลาดได้ดี จึงอยากร่วมมือด้วย ไหลย่ากรุ๊ปมีผลิตภัณฑ์มากมาย ถ้าสามารถเพิ่มเครื่องหยกเข้าไปอีกอย่าง ก็ถือเป็นการเพิ่มโอกาสมากขึ้นสำหรับไหลย่ากรุ๊ป” 


 


 


น้ำเสียงซีเหมินหลงเซี่ยวเนิบช้า ทำให้เขาดูน่าเชื่อถือเพราะเป็นการตอบที่ผ่านการใคร่ครวญมาแล้ว  


 


 


พูดตามจริง ในใจหลิ่วเฟยอวิ๋นรู้สึกตื่นเต้น เมื่อวานตอนที่น้องสาวบอกให้เขารู้ เขารู้สึกเหมือนกับชนะรางวัล วันนี้ได้เจอซีเหมินหลงเซี่ยวด้วยตัวเอง ก็เหมือนกับได้เห็นรางวัลอยู่ตรงหน้า 


 


 


แต่เขาไม่ลืมคำพูดของอีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์รวมทั้งพ่อกับแม่ด้วย โลกนี้ไม่มีลาภลอย หลายปีมานี้แนวสินค้าของไหลย่ากรุ๊ปไม่ได้ครอบคลุมกว้างขนาดนี้ เขาจึงอดสงสัยเจตนาของอีกฝ่ายไม่ได้ 


 


 


คนทั่วไปถ้าเจอเรื่องแบบนี้ อาจรอไม่ไหวจนรีบตัดสินใจทันที แต่เขายังคงนิ่ง เขารู้ศักยภาพของตัวเองดี มีกำลังแค่ไหนก็ควรยืนสูงเท่านั้น  


 


 


“ถ้าอย่างนั้น ความต้องการของคุณซีเหมินคือซื้อร้านเครื่องหยกของเรา หรือว่า…” ซีเหมินหลงเซี่ยวสังเกตเห็นแววตาที่ตื่นเต้นของหลิ่วเฟยอวิ๋น ทำให้เขายิ่งมั่นใจ 


 


 


“ถือครองสิทธิ์นะเหรอ ไม่ๆๆ ผมอยากร่วมมือกับประธานหลิ่ว ก็คือซื้อหุ้นในบริษัทนี้ ทำให้แบรนด์นี้มีมูลค่าสูงสุด คุณยังคงเป็นผู้บริหารร้านต่อไป ส่วนบริษัทเราก็จะลองเปิดร้านเครื่องหยก ถ้าเติบโตได้ดีก็จะขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้น แต่ถ้าโอกาสยังไม่อำนวย ก็อยู่อย่างนี้ระยะหนึ่งก่อน ระหว่างนี้ถ้าเกิดความสูญเสีย ไหลย่าของเราจะแบกรับหกสิบเปอร์เซ็นต์” 


 


 


นี่เท่ากับว่าหลิ่วเฟยอวิ๋นเพียงแค่บริหารร้านต่อไปก็สามารถได้ผลกำไร โดยไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องต้นทุนและการขาดทุนเลย เหมือนลาภลอยจริงๆ 


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นฟังแล้วรู้สึกสะท้านสันหลังวาบ แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ความคิดเขาก็ยิ่งกระจ่างชัด  


 


 


เวลานี้ผู้จัดการยกชาและกาแฟขึ้นมาพอดี “คุณซีเหมิน กาแฟของคุณครับ” จากนั้นก็ออกไป 


 


 


“ต้องบอกว่าข้อเสนอนี้ดึงดูดใจมาก แต่คุณซีเหมินควรเข้าใจว่า ในฐานะลูกผู้ชาย ทุกคนย่อมอยากมีกิจการเป็นของตัวเอง ดังนั้นข้อเสนอนี้ คุณคงต้องผิดหวังแล้วครับ” 


 


 


คำพูดของเขาทำให้ซีเหมินหลงเซี่ยวประหลาดใจ ยิ่งนึกไม่ถึงว่าเขาจะปฏิเสธความร่วมมือ หรือว่าเงื่อนไขที่เสนอไปยังดึงดูดใจไม่พอ 


 


 


“ถ้างั้นเอาอย่างนี้ ไหลย่ากรุ๊ปของเราจะร่วมหุ้น ผู้ถือหุ้นใหญ่สุดยังเป็นคุณ ตัวแทนทางกฎหมายก็ย่อมเป็นคุณ เราแบกรับความเสียหายเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์” เงื่อนไขนี้ ถ้าเป็นคนอื่นได้ยินอาจตกใจจนหัวใจวายได้ 


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นส่ายหน้า “นี่เป็นกิจการแรกของผม ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน ผมอยากลองเองทั้งหมด ส่วนความร่วมมือกับคุณซีเหมินนั้น ผมหวังว่าจะเป็นไปได้ในอนาคต” 


 


 


ซีเหมินหลงเซี่ยวเห็นเช่นนี้ก็เข้าใจความหมายของหลิ่วเฟยอวิ๋น เขาตัดสินใจปฏิเสธเงื่อนไขนี้ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม