เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย 268-275

 ตอนที่ 268 คำถาม  



จิ้นหยวนไม่ต้องการให้คุณพ่อคุณแม่รู้เรื่องนี้ ก่อนหมดสติเขาจึงกำชับพ่อบ้านเป็นพิเศษ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ข่าวของเขาก็รั่วออกไปจนไป จิ้นหยวนไม่โทษพ่อบ้านแล้วจะให้ไปโทษใคร?


 


 


เฉียวซือมู่รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลย แต่เธอก็ไม่มีโอกาสได้แก้ต่างให้พ่อบ้าน เพราะจิ้นหยวนไม่เอ่ยถึงพ่อบ้านเลยด้วยซ้ำ จึงทำให้เธอเอ่ยลำบาก


 


 


หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน จิ้นหยวนสามารถขยับตัวได้แล้ว และหลินจื้อเฉิงก็มาเยี่ยมเขาพร้อมข่าวสำคัญ


 


 


หลินจื้อเฉิงเดินหน้าตาเคร่งเครียดเข้ามาในห้อง เขาทักทายพี่ใหญ่ จิ้นหยวนตอบเพียงอืมเบาๆ แต่พอเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเขาจึงเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น?”


 


 


หลินจื้อเฉิงใช้มือถูหน้าตัวเอง หน้านิ่วคิ้วขมวด “หร่วนเซียงเซียงหายตัวไปแล้วครับ”


 


 


“หายตัวไปแล้ว?” จิ้นหยวนเงยหน้าขึ้น “หมายความว่ายังไง?”


 


 


เฉียวซือมู่ที่อยู่อีกทางหูผึ่งทันที หร่วนเซียงเซียงหายตัวไป แล้วทำไมพวกเขาต้องทำหน้าแตกตื่นขนาดนั้นด้วย?


 


 


ช่วงที่ผ่านมาเธอมัวแต่ดูแลจิ้นหยวน จึงไม่รู้ว่าระหว่างจิ้นหยวนกับหร่วนเซียงเซียงแตกหักกันแล้ว พอได้ยินคำพูดของหลินจื้อเฉิงจึงรู้สึกแปลกใจมาก


 


 


หลินจื้อเฉิงเล่าไปตามจริง คืนที่เกิดเรื่อง คนร้ายที่แทงจิ้นหยวนถูกบอดี้การ์ดที่อยู่ชั้นล่างจับตัวเอาไว้ได้ทันที หลังจากถูกเค้นถามอย่างหนักจึงยอมคายชื่อหร่วนเซียงเซียงออกมา หลินจื้อเฉิงรู้เรื่องแล้วจัดการสั่งสอนหร่วนเซียงอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นโยนเธอกลับบ้านตระกูลหร่วน เขาเปิดโปงเรื่องชั่วที่เธอทำเอาไว้ให้หร่วนจิงเทียนรู้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหร่วนจิงเทียนโกรธมากขนาดไหน


 


 


ตระกูลหร่วนเป็นครอบครัวหัวโบราณ ดูได้จากพฤติกรรมที่ผ่านมาของพวกเขาก็รู้แล้ว คราวนี้หลินจื้อเฉิงจึงมั่นใจมากว่าหร่วนเซียงเซียงคงถูกทำโทษอย่างหนักแน่ เธอก่อเรื่องใหญ่มากขนาดนี้ หร่วนจิงเทียนไม่มีทางปล่อยเธอเอาไว้แน่


 


 


เป็นไปตามคาด หร่วนจิงเทียนรีบเข้าไปขอโทษตระกูลจิ้นถึงที่บ้านทันที ไม่กี่วันให้หลังหร่วนจิงเทียนแจ้งข่าวว่าหร่วนเซียงเซียงไม่สบาย นอกจากเรื่องแท้งลูกแล้ว เธอยังป่วยเป็นโรคซึมเศร้าด้วย จำเป็นต้องรักษาตัวและอยู่แต่ในบ้านเท่านั้น


 


 


แน่นอนว่านี่เป็นข่าวที่แจ้งให้คนภายนอกรู้ ส่วนเรื่องจริงจะเป็นอย่างไรนั้น คงมีแต่คนตระกูลหร่วนเท่านั้นที่รู้


 


 


จิ้นหยวนรู้ข่าวนี้ทันทีที่เขาฟื้น เขาไม่ได้พูดอะไร หลินจื้อเฉิงเสียอีกที่รู้สึกไม่พอใจมาก บ่นงึมงำว่าเสียเปรียบให้เธอแล้ว


 


 


แต่มาวันนี้กลับแย่กว่านั้น เพราะเธอหายตัวไปเลย


 


 


จิ้นหยวนชักหัวคิ้วชนกันแน่น “เช็คดูหรือยังว่าเป็นข่าวจริงหรือข่าวลวง?” เขาหมายความว่าหร่วนจิงเทียนอาจจะกลัวเขาแก้แค้น ก็เลยส่งหร่วนเซียงเซียงไปอยู่ที่อื่น แล้วประกาศให้คนนอกรู้ว่าเธอหายตัวไปแล้ว


 


 


หลินจื้อเฉิงส่ายศีรษะ “ผมส่งคนไปเช็คตั้งหลายคน ทุกคนได้รับการยืนยันจากหร่วนจิงเทียนเองเลยครับ ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นเรื่องจริงนะครับ”


 


 


จิ้นหยวนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ “สั่งคนให้ออกตามหาให้ทั่ว จะต้องควานหาตัวเธอออกมาให้ได้”


 


 


หลินจื้อเฉิงพยักหน้ารับคำสั่ง ไม่แปลกใจสักนิดที่เขาตัดสินใจแบบนี้ “ครับ ผมส่งคนออกตามหาแล้ว เดี๋ยวผมส่งคนออกไปเพิ่มครับ”


 


 


หร่วนเซียงเซียงไม่มีค่ามากพอที่พวกเขาจะให้ความสำคัญ เธอก็เป็นแค่คุณหนูที่ถูกตามใจจนเสียคน ต่อให้เธอแค้นใจมากแค่ไหนก็ตาม คนอย่างเธอคงทำอะไรไม่ได้มากนัก แต่จิ้นหยวนเป็นคนรอบคอบมาก เขาไม่ยอมปล่อยให้เกิดความเสี่ยงแม้เพียงเศษเสี้ยวหรอก


 


 


หลินจื้อเฉิงที่รู้จักนิสัยเขาดีรับคำสั่งทันที เตรียมตัวเพิ่มกำลังคนออกค้นหาหร่วนเซียงเซียง


 


 


หลังจากหลินจื้อเฉิงกลับไปแล้ว เฉียวซือมู่จึงมีโอกาสถามคำถามที่เก็บอยู่ในใจออกมา “ช่วงที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ?”


 


 


 


 


ตอนที่ 269 ใครทำ?


 


 


 


 


จิ้นหยวนยิ้มๆ “เรื่องอื่นไม่สำคัญหรอก แต่ว่า… คุณต้องแต่งงานกับผมแล้วล่ะ ดีใจไหม?”


 


 


“พูดอะไรเนี่ย ยังไม่รีบเล่ามาอีก” เฉียวซืออิงแอบคลอเคลียอยู่ข้างกายเขา น้ำเสียงออดอ้อน


 


 


จิ้นหยวนเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เธอฟัง เรื่องราวที่ได้ฟังทำให้เธอทั้งตกใจ ทั้งปลงอนิจจัง บางทีก็เบิกตาโตด้วยความตื่นตะลึง


 


 


เขาบีบจมูกเธอเบาๆ “ขืนคุณยังอ้าปากอยู่แบบนี้ เดี๋ยวผมก็จูบหรอก”


 


 


เธอตั้งสติแล้วตวัดสายตามองเขา “เจ็บหนักขนาดนี้ยังจะลามกอีก เชื่อเขาเลย”


 


 


เธอรีบนั่งตัวตรงทันทีเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง “ถ้างั้น ที่คุณแต่งงานกับเธอก็เพื่อคุณพ่อของคุณอย่างนั้นเหรอคะ?”


 


 


“ก็ใช่นะสิ อย่าบอกนะว่าคุณคิดว่าผมชอบเธอจริงๆ”


 


 


“ใครจะไปรู้ล่ะคะ? ถ้าคุณไม่พูดฉันก็คิดว่า…” เธอพูดถึงตรงนี้แล้วสีหน้าเศร้าลง นึกถึงช่วงเวลาที่เธอต้องเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส


 


 


จิ้นหยวนสีหน้าไม่ดีเช่นเดียวกัน “ตอนนั้นผมแค่ต้องการให้คุณพ่อสบายใจถึงได้รับปากแต่งงานกับเธอ ตอนแรกผมแค่จะหลอกคุณไปต่างประเทศ หลังงานแต่งงานก็จะไปรับคุณกลับทันที แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนแอบส่งข่าวให้คุณ”


 


 


เธอมองเขาด้วยความไม่พอใจ “อะไรคือแอบส่งข่าว คุณหลอกฉันได้ แต่ฉันรู้ข่าวไม่ได้อย่างนั้นเหรอคะ? ไม่รู้เหมือนกันว่าใครกันนะที่ใจดีส่งข่าวให้ฉันรู้ ไม่งั้นฉันคงกลายเป็นยัยโง่ที่ถูกคุณหลอกไปแล้ว”


 


 


“คุณเองก็ไม่รู้เหมือนกันเหรอว่าใครเป็นคนส่งรูปให้คุณ?” จู่ๆ เขาก็เอ่ยถาม


 


 


เธอพยักหน้ายอมรับตามจริง “มันเป็นเบอร์โทรที่ฉันไม่รู้จัก ฉันไม่รู้เหมือนกันค่ะ”


 


 


เธอเห็นสีหน้าเขาแปลกๆ เหมือนกับว่าทั้งโมโหทั้งเซ็ง จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “เป็นอะไรไปคะ? คนคนนั้นสำคัญมากขนาดนั้นเลยเหรอคะ? วันงานมีแขกตั้งเยอะแยะ มีคนแอบถ่ายแล้วส่งรูปให้ฉันก็ไม่เห็นแปลกนี่นา”


 


 


เขาเอ่ยอย่างฝืดฝืน “คุณพูดถูก น่าจะมีคนแอบถ่ายนั่นแหละ”


 


 


เรื่องนี้เก็บงำอยู่ในใจเขามานาน คำถามนั้นก็คือ ใครเป็นคนส่งรูปถ่ายให้เธอกันแน่ งานวันนั้นแทบจะไม่มีแขกมาร่วมงานเลย นอกจากเขากับหร่วนเซียงเซียงแล้ว ก็มีแต่คุณพ่อคุณแม่และพี่น้องของเขาเท่านั้น เพราะฉะนั้น คนที่ส่งรูปถ่ายให้เธอจะต้องเป็นคนในนั้นแน่


 


 


แต่ว่า ต่อให้เขาสืบเท่าไหร่ก็ไม่พบเสียทีว่าเป็นฝีมือใคร จนถึงตอนนี้คนคนนั้นยังคงเป็นปริศนาอยู่


 


 


วันนี้เขาถือโอกาสถามเฉียวซือมู่ แต่เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นฝีมือใคร


 


 


เขาหรี่ตาแคบ แอบคิดบางอย่างในใจ จากนั้นเก็บมันเอาไว้ในใจ


 


 


เฉียวซือมู่ไม่รู้ว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง จึงเอ่ยถาม “ทำไมคะ? เรื่องนี้สำคัญมากเลยเหรอคะ?”


 


 


เขาส่ายศีรษะ ตัดสินใจไม่บอกเรื่องที่ตัวเองสงสัยให้เธอรู้ “เปล่า แค่ถามดูน่ะ”


 


 


เอ่ยจบแล้วโอบกอดเธอเบาๆ พลางหอมแก้เธอฟอดใหญ่ “ที่ผ่านมาลำบากคุณแล้วนะ คุณแม่เป็นห่วงผมมาก ก็เลยเข้มงวดกับคุณมากไปหน่อย คุณอย่าถือสาเลยนะ”


 


 


เธอฟังแล้วถึงได้รู้ว่าที่แท้เขารู้มาตลอดว่าคุณแม่ของเขาใจร้ายกับเธอ เขาแค่ไม่ได้พูดมันออกมาก็เท่านั้น เธอมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ฉันไม่เอามาใส่ใจหรอกค่ะ ฉันรู้ว่าท่านเป็นห่วงคุณมาก ถ้าเปลี่ยนเป็นฉัน คุณแม่ฉันจะต้องด่าคุณจนเละเป็นโจ๊กแน่ เพราะฉะนั้น ถือว่าคุณป้าปรานีมากแล้วล่ะค่ะ”


 


 


เขากระชับวงแขนแน่นขึ้น รู้ว่าเธอตั้งใจพูดให้เขาสบายใจ จึงเอ่ยอย่างซึ้งใจ “ขอบคุณนะ ผมจะไม่ทำให้คุณต้องลำบากเด็ดขาด”


 


 


เธอชายตามองเขาแวบหนึ่ง “ไม่ลำบากหรอกค่ะ เราไม่ได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว คงไม่ค่อยได้เจอกันหรอกค่ะ ถึงท่านจะไม่พอใจก็คงทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ”


ตอนที่ 270 แผลเป็น


 


 


 


 


“ก็จริง” จิ้นหยวนกระชับวงแขนกอดเธอแน่น เห็นได้ชัดว่าเขายังมีความในใจอื่นอีก


 


 


เธอมองเขาด้วยความสงสัย ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม “หร่วนเซียงเซียงใจกล้าถึงขั้นกล้าคบชู้เลยเหรอคะ?”


 


 


จิ้นหยวนยิ้มเย็น แม้เขาจะไม่เคยคิดว่าหร่วนเซียงเซียงเป็นภรรยาของตัวเอง แต่ยามได้ยินเรื่องแบบนี้เขาเองก็รู้สึกทั้งขยะแขยงและสะอิดสะเอียน สีหน้าเขาในยามนี้จึงดูแย่มาก “เขาเป็นแฟนเก่าของเธอน่ะ”


 


 


“แฟนเก่า?” เธออุทานด้วยความตกใจ หร่วนเซียงเซียงหลงรักจิ้นหยวนจนหัวปักหัวปำไม่ใช่เหรอ? แล้วมีแฟนเก่าโผล่มาได้อย่างไร?


 


 


เขามองเธอแวบหนึ่ง สายตาเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นสายตาแห่งรักแทน เขาคลอเคลียพลางลูบผมยาวสลวยของเธอ “คุณนี่ไร้เดียงสาจริงๆ คุณคิดว่าที่เธอต้องแต่งงานกับผมให้ได้ เป็นเพราะรักผมจริงๆ อย่างนั้นเหรอ?”


 


 


“อ้าว ไม่ใช่เหรอคะ?” เฉียวซือมู่เบิกตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ


 


 


หร่วนเซียงเซียงไม่ได้รักจิ้นหยวน? แล้วเธอยอมลงทุนลงแรงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้แต่งงานกับเขาเพื่ออะไร?


 


 


“บางส่วนอาจจะเป็นเพราะผม แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะความคิดของพ่อเธอต่างหาก ตระกูลหร่วนย่ำแย่ลงทุกวัน ลูกชายคนเดียวก็ไม่ได้เรื่อง หร่วนจิงเทียนน่าจะถูกตาต้องใจสมบัติของผม ก็เลยอยากให้ลูกสาวได้แต่งงานกับผม พอเธอมีลูกก็เท่ากับเป็นการแบ่งสมบัติของผมให้ตระกูลหร่วนด้วย ส่วนไอ้ขยะนั่นก็จะได้มีคนดูแลด้วย แบบนี้ก็เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว แล้วหร่วนเซียงเซียงก็ดันชอบผมเข้าจริงๆ พอเป็นแบบนี้ ก็เลยกลายเป็นว่าต้องแต่งงานกับผมคนเดียวเท่านั้น แต่ความจริง… เฮอะ เธอมีแฟนอยู่แล้ว พวกเขาคงเห็นว่าผมเป็นแค่ไอ้หน้าโง่ล่ะมั้ง”


 


 


 นานทีปีหนจิ้นหยวนถึงจะพูดจายืดยาวขนาดนี้ เฉียวซือมู่ฟังจนตาแทบถลนออกมา เธอเอ่ยตะกุกตะกัก “คุณ… คุณจะบอกว่าที่เธอแต่งงานกับคุณก็เพราะเงินเหรอคะ?”


 


 


เขามองเธอแวบหนึ่ง “แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ?”


 


 


น้ำเสียงเขาไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เธอฟังแล้วไม่กล้าถามอะไรอีก


 


 


สำหรับผู้ชายคนหนึ่งแล้ว เรื่องแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่หยามศักดิ์ศรีเขามาก ภรรยาตัวเองแต่งงานด้วยเพราะสมบัติ ไม่ใช่เพราะความรัก แล้วยังสวมเขาให้เขาอีก แถมยังจะยัดเยียดลูกชู้ให้เขาอีกต่างหาก ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันมากเพียงพอที่จะทำให้ชายคนหนึ่งอับอายขายหน้า แต่ตอนนี้เขาเพียงแค่พูดมันออกมาด้วยความไม่พอใจเท่านั้น ซึ่งน้อยคนนักที่จะทำได้แบบนี้


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงไม่กล้าถามอะไรเขาอีก ได้แต่ยิ้มขอโทษเขา “ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงบ้าง? ยังเจ็บหน้าอกอยู่หรือเปล่าคะ?”


 


 


จิ้นหยวนให้ความร่วมมือในการเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นอย่างดี “ไม่เจ็บแล้ว พรุ่งนี้เรากลับบ้านกันนะ”


 


 


“ได้ไงกันคะ” เธอตกใจ “แผลคุณยังไม่ได้ตัดไหมด้วยซ้ำ จะกลับบ้านได้ยังไงคะ คุณอยากตายนักหรือไง?”


 


 


จิ้นหยวนยักไหล่ อยากจะบอกเหลือเกินว่าเมื่อก่อนเขาบาดเจ็บหนักกว่านี้ยังผ่านไปได้เลย นี่แค่แผลเล็กนิดเดียวเอง แต่พอเห็นใบหน้าซีดเผือดของเธอแล้วก็ต้องกลืนคำพูดพวกนั้นกลับลงคอ อย่าทำให้เธอตกใจจะดีกว่า…


 


 


หลังจากนั้นจิ้นหยวนก็ต้องใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างเบื่อหน่าย เฉียวซือมู่คอยพะวักพะวนอยู่ตลอดเวลา แม้จิ้นหยวนจะฟื้นแล้ว และช่วยลดภาระเธอไปไม่น้อย เช่นเรื่องเช็ดตัว นวดตัว เป็นต้น ตอนนี้เธอไม่ต้องทำเรื่องพวกนั้นแล้ว อย่างมากก็แค่ช่วยพยุงเขาไปเข้าห้องน้ำ กระนั้น เธอยังคงเป็นห่วงเป็นกังวลเขาอยู่ตลอดเวลา นั่นเป็นเพราะว่า คนไข้อย่างจิ้นหยวนไม่ยอมทำตัวเป็นคนไข้ที่ดีนะสิ


 


 


 


 


ตอนที่ 271 แก้เบื่อ


 


 


 


 


ทั้งๆ ที่คุณหมอกำชับหนักหนาว่าร่างกายเขายังไม่หายดี ต้องพักผ่อนให้มาก ห้ามเครียด และห้ามออกกำลังกายหักโหม แล้วดูสิว่าเขาทำอะไร? เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอเผลอ เขาเป็นต้องหยิบโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นมาเช็คอีเมล์และสั่งงานตลอด จนบางครั้งเธอรู้สึกว่าคนแข็งแรงปกติยังสู้เขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ


 


 


ขืนเขายังทำตัวแบบนี้อยู่อีกแล้วจะได้พักผ่อนได้อย่างไร ดังนั้น เขาจึงถูกเฉียวซือมู่ว่ากล่าวตักเตือนทุกครั้ง แต่อีตาคนต้นเรื่องกลับทำตัวให้เธอต้องเป็นห่วงอยู่เรื่อย เขาเอาแต่รับปากครับผมลูกเดียว แต่เธอเผลอทีไร เขาก็ทำตัวเหมือนเดิมทุกที พอถูกจับได้ก็แก้ตัวน้ำขุ่นๆ ทำเอาเธอโมโหแทบตาย


 


 


ในที่สุดเธอก็ฉลาดเสียที เธอริบโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คของเขาจนเกลี้ยงเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม เขาจึงได้แต่มองเธอตาละห้อย


 


 


แต่ผ่านไปเพียงแค่วันเดียว เขาก็พบเรื่องสนุกเรื่องใหม่แทน นั่นก็คือคอยแทะโลมเธอทุกครั้งที่มีโอกาส เขาจะเอนตัวอยู่บนเตียง คอยจับมือเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อย และในที่สุดเธอก็จะถูกเขาเกาะแกะจนหนีไปไหนไม่ได้


 


 


ระหว่างนั้นยังถูกพี่โจวที่เป็นพยาบาลพิเศษเห็นเข้าโดยบังเอิญตั้งสองครั้ง เฉียวซือมู่เห็นสีหน้ายิ้มๆ ของเธอแล้วอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี แต่จิ้นหยวนกลับมองเธอหน้าใสซื่อ “คุณเป็นเมียจ๋าของผม เราจู๋จี๋กันก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน”


 


 


“แต่นี่มันในห้องคนไข้นะคะ คุณยังป่วยหนักอยู่ เราจะทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ” เธอเอ่ยจริงจัง แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เธอถูกเขาจับตัวเอาไว้บนเตียง สองหนุ่มสาวนั่งอิงแอบแนบชิดกัน จึงทำให้คำพูดเธอไร้น้ำหนักสิ้นดี


 


 


จิ้นหยวนหัวเราะเบาๆ ฝังศีรษะลงบนหน้าอกเธอด้วยความร้อนแรง เอ่ยเสียงอู้อี้ “ใครใช้ให้คุณยึดมือถือผมไปล่ะ ไม่มีอะไรให้เล่น ก็ต้องเล่นคุณแก้เบื่อสิ”


 


 


เธอได้ยินแล้วไม่สบอารมณ์ เธอจิกผมเขาอย่างแรงเพื่อดึงให้เขาเงยหน้าขึ้น ไม่ให้เขานัวเนียเธออีก “กรุณาทำความเข้าใจใหม่ด้วยนะคะ ฉันไม่ใช่ของเล่นของคุณ เล่นเลิ่นอะไรกัน?”


 


 


จิ้นหยวนสำนึกผิดทันที “ครับ ผมผิดไปแล้ว น่าจะพูดว่าจู่จี๋กับเมียจ๋าก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน ก็ตอนนี้มันน่าเบื่อนี่นา”


 


 


คำพูดเขายังไม่คงฟังไม่รื่นหูอยู่ดี เธอถอนหายใจ รู้สึกว่าร่างกายเขาแข็งแรงกว่าคนปกติทั่วไปจริงๆ คนปกติทั่วไปหากได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้คงต้องนอนรักษาตัวอยู่บนเตียงอย่างน้อยครึ่งเดือน แล้วดูเขาสิ ฟื้นได้สองวันก็ลุกออกจากเตียงแล้ว พอวันที่สามก็อาบน้ำเองแล้ว ตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น แต่สีหน้าเขาเลือดฝาด เดินเหินคล่องแคล่ง หากไม่ใช่เพราะบนอกเขายังมีรอยแผลอยู่ล่ะก็ เธอคงคิดว่าจิ้นหยวนต้องแอบเปลี่ยนตัวปลอมมาแน่


 


 


มิน่าเล่า เขาถึงได้บ่นว่าเบื่ออยู่ตลอดเวลา บังคับให้คนปกติคนหนึ่งเอาแต่กินแล้วก็นนอนนานๆ แบบนี้ใครจะไปทนไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนบ้างานอย่างจิ้นหยวนด้วยแล้ว


 


 


เมื่อคิดได้ดังนี้เธอจึงรู้สึกว่าตัวเองบังคับจิตใจเขามากเกินไป เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้างั้นคุณก็ดูหนังสิคะ…”


 


 


จิ้นหยวนปฏิเสธทันทีโดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่วินาทีเดียว “ไม่เอา ให้ดูหนังผมดูคุณดีกว่า คุณสวยกว่าผู้หญิงในหนังตั้งเยอะ”


 


 


โอเค เธอยอมรับก็ได้ว่าคำพูดนี้ทำให้เธอดีใจมาก แต่มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่เขาจะใช้เล้าโลมเธออยู่แบบนี้…


 


 


เธอสูญเสียพลังงานเยอะมากกว่าจะทำให้เขาผละออกจากตัวเธอได้ แต่ขณะที่เธอกำลังจะลงจากเตียงนั้น จิ้นหยวนก็โถมเข้ามาทับตัวเธอไว้อย่างไม่ยอมแพ้ สองหนุ่มสาวนัวเนียกันอยู่บนเตียงอีก


 


 


ความจริงเธอไม่ได้อ่อนแอมากขนาดนั้น แต่จิ้นหยวนยังบาดเจ็บอยู่ เธอกลัวว่าจะถูกแผลเขาเข้า จึงไม่กล้าใช้แรงมากนัก ทำให้จิ้นหยวนได้คืบจะเอาศอก และเธอก็ต้องยอมเขาอย่างไม่มีทางเลือก


ตอนที่ 272 เห็นเข้าอย่างจัง 


 


 


           ขณะที่ทั้งสองกำลังนัวเนียกันร้อนเป็นไฟอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีคนเคาะประตูห้อง เสียงพี่โจวดังขึ้น “คุณจิ้นคะ มีคนมาเยี่ยมค่ะ” น้ำเสียงเธอฟังดูร้อนรนมาก 


 


 


           “มีคนมา?” ความคิดนี้แวบขึ้นในสมองเธอย่างรวดเร็ว จิ้นหยวนชะงักกายเล็กน้อย ยังไม่ทันจะได้ตั้งสติก็ได้ยินเสียงพี่โจวดังขึ้นอีก “คุณนายคะ รบกวนรอสักครู่นะคะ ดูเหมือนคุณจิ้นกำลัง…” 


 


 


           “อะไรนะ? แล้วเฉียวซือมู่ล่ะ?” เสียงฉินเพ่ยหรงดังขึ้นตามคาด 


 


 


           พี่โจวพูดไม่ออก เธออยู่กับพวกเขาตั้งหลายวันแล้ว รู้ว่าพวกเขาสองคนรักกันและใกล้ชิดกันมากแค่ไหน เธอจึงรู้ว่าตอนนี้พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ หลายวันที่ผ่านมา เธอรู้สึกดีกับเฉียวซือมู่มาก เพราะเฉียวซือมู่เป็นคนอัธยาศัยดี แถมยังเป็นคนขยันมากด้วย ไม่เคยชักสีหน้าใส่พยาบาลพิเศษอย่างเธอแม้แต่ครั้งเดียว และยังให้เกียรติเธอมากด้วย เธอรู้ดีว่าฉินเพ่ยหรงมีอคติกับเฉียวซือมู่มาก ถ้าเกิดฉินเพ่ยหรงเข้าไปเห็นภาพสองคนนั้นเข้า ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เธอลังเลเล็กน้อย ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรก็เห็นฉินเพ่ยหรงสีหน้าเคร่งเครียด เปิดประตูเข้าไปทันที 


 


 


           มันเป็นความผิดพลาดของเฉียวซือมู่เองที่ลืมล็อกประตูห้อง ชั่ววินาทีนั้น ทั้งสองยังไม่ทันลุกออกจากเตียง ฉินเพ่ยหรงจึงเห็นภาพสองหนุ่มสาวกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนเตียงเข้าอย่างจัง 


 


 


           เฉียวซือมู่ใบหน้าร้อนผะผ่าว จ้องจิ้นหยวนตาเขียวปั๊ด แม้พวกเขาจะไม่ได้ทำอะไรเกินเลย แต่สภาพของทั้งสองในยามนี้ ต่อให้ใครมาเห็นเข้าก็ต้องจินตนาการไปไกลทั้งนั้น ที่สำคัญ คนที่มาเห็นเข้าดันเป็นฉินเพ่ยหรงเสียด้วย ตอนนี้เธอจึงรู้สึกแย่มาก 


 


 


           ส่วนจิ้นหยวนนั้นยังไม่รู้ตัวอีกว่าตอนนี้สถานการณ์ย่ำแย่มากขนาดไหน สำหรับเขาแล้ว คุณแม่รักเขามาก ส่วนเฉียวซือมู่นั้นเป็นผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด เขาคิดว่าผู้หญิงทั้งสองคนที่เขารักจะต้องเข้ากันได้ดีมากแน่ แม้เขาจะรู้ว่าคุณแม่มีอคติกับเฉียวซือมู่อยู่บ้าง แต่นั่นเป็นเพราะท่านเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของเขาเท่านั้น เขาจึงไม่ได้ใส่ใจนักที่คุณแม่เข้ามาเห็นภาพแบบนี้เข้า เขาเพียงยักไหล่อย่างสบายอารมณ์ “คุณแม่ มาแล้วเหรอครับ ทำไมไม่โทรมาบอกก่อนล่ะครับ?” 


 


 


           ฉินเพ่ยหรงหน้าดำคร่ำเครียด ตวัดสายตามองเฉียวซือมู่แวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมจะไม่โทร แม่โทรตั้งหลายครั้งแต่ลูกไม่รับสายเอง แม่ก็นึกว่าเกิดอะไรขึ้นเสียอีก ที่แท้ก็กำลังมั่วกันอยู่นี่เอง!” 


 


 


           เธอว่าแล้วว่าผู้หญิงคนนี้ต้องไม่ใช่คนดีแน่ อาหยวนน่าสงสารอะไรอย่างนี้ แผลยังไม่หายดีเธอก็ยั่วสวาทเขาแล้ว นี่คิดจะทำให้เขาตายหรืออย่างไร เฮอะ ฝันไปเถอะ ฉันยังยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้นะ 


 


 


           โถ ลูกชายที่น่าสงสาร ไม่รู้ว่าไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้ ผู้หญิงแต่ละคนที่ได้เจอถึงได้เลวร้ายแบบนี้ 


 


 


           เฉียวซือมู่ได้ยินแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเป็นคนริบโทรศัพท์มือถือของเขาไปแล้วเก็บมันเอาไว้ในลิ้นชัก หลังจากนั้นทั้งสองก็ลืมเรื่องโทรศัพท์มือถือไปเสียสนิท มีสายเรียกเข้าก็ไม่รู้เรื่อง เธอรู้สึกผิดเล็กน้อย รีบจัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อย จากนั้นเอ่ยอย่างจริงจัง “ขอโทษค่ะคุณป้า เป็นความผิดของหนูเอง หนูเอาโทรศัพท์เขาไปแล้วลืมเอาออกมา เป็นความผิดของหนูเองค่ะ” 


 


 


           เฉียวซือมู่เอ่ยพลางเปิดลิ้นชักออก เห็นหน้าจอโทรศัพท์มือถือของจิ้นหยวนปรากฎสายที่ไม่ได้รับหลายสาย 


 


 


           ฉินเพ่ยหรงทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ “เป็นฝีมือเธอจริงๆ ด้วย ทำไม ตั้งใจไม่อยากให้ฉันมาใช่ไหม? คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะร้ายแบบนี้” 


 


 


           “หนูไม่ได้…” เฉียวซือมู่ร้อนรน อยากจะอธิบายแต่กลับถูกจิ้นหยวนเอ่ยแทรกขึ้นดื้อๆ เขาเอ่ยกับฉินเพ่ยหรงอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “คุณแม่ครับ ผมเป็นคนเก็บโทรศัพท์ในลิ้นชักเอง หมอบอกว่าผมต้องพักผ่อนมากๆ ห้ามอะไรมารบกวนผม ผมถึงทำแบบนั้นเองครับ” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 273 น้อยใจ 


 


 


           ฉินเพ่ยหรงมองเขาอย่างไม่เชื่อ “ไม่ต้องแก้ตัวแทนเลย คิดว่าแม่ไม่รู้หรือไง? นี่ลูกเห็นแม่แก่จนเลอะเทอะไปแล้วใช่ไหม? ตอนนี้แผลยังไม่หายดีลูกยังทำแบบนี้อีก ถึงจะมีคนยั่วก็เถอะ แต่ลูกก็ต้องระวังตัวให้ดีสิ ร่ายกายเป็นของลูกนะ เกิดแผลฉีกขึ้นมาจะทำยังไง?” 


 


 


           จิ้นหยวนหัวเราะ “ผมไม่เป็นไร เกือบหายดีแล้วครับ ผมว่าจะออกจากโรงพยาบาลแล้วล่ะครับ” 


 


 


           เขาไม่ใส่ใจคำพูดของฉินเพ่ยหรงสักนิด เฉียวซือมู่เสียอีกที่ฟังแล้วรู้สึกผิดแทน ฟังจากน้ำเสียงของฉินเพ่ยหรงแล้ว ดูเหมือนว่าฉินเพ่ยหรงจะโทษว่าเป็นความผิดของเธออีกแล้ว ทั้งๆ ที่เมื่อกี้จิ้นหยวนเป็นคนเริ่มก่อนแท้ๆ … 


 


 


           จิ้นหยวนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น และไม่ใส่ใจคำพูดของฉินเพ่ยหรงด้วย เฉียวซือมู่เป็นคนคิดมากมากกว่า จึงรู้สึกน้อยใจนิดๆ แต่จิ้นหยวนไม่ทันสังเกต ยังคงยิ้มให้ฉินเพ่ยหรง “คุณพ่อน่าจะยังไม่รู้เรื่องของผมใช่ไหมครับ คุณแม่อย่าบอกคุณพ่อนะครับ” 


 


 


           ฉินเพ่ยหรงไม่สบอารมณ์ “นั่นมันก็แน่อยู่แล้ว ลูกคิดว่าแม่ไม่มีสมองหรือไง?” 


 


 


           ฉินเพ่ยหรงครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเดินไปนั่งลงข้างเตียง ตวัดสายตามองเฉียวซือมู่แวบหนึ่ง “ฉันอยากกินเค้กร้านเชียนเว่ย เธอช่วยออกไปซื้อให้ฉันหน่อยสิ” 


 


 


           เฉียวซือมู่ชะงักเล็กน้อย รีบรับปากทันที เธอรู้ดีว่าฉินเพ่ยหรงไม่อยากให้เธออยู่ที่นี่ จึงหาทางไล่เธอไปที่อื่น 


 


 


           แม้เธอจะรู้ดีแก่ใจแต่ก็ต้องทำตามคำสั่งแต่โดยดี ใครใช้ให้เธอเป็นคุณแม่ของจิ้นหยวนล่ะ 


 


 


           ขณะที่เธอกำลังออกจากห้องนั้น พลันได้ยินเสียงฉินเพ่ยหรงกำลังพูดกับจิ้นหยวนลางๆ “อาหยวน ฟังแม่นะ…” 


 


 


           เธอปิดประตูลง ทำให้ไม่ได้ยินเสียงคุยกันอีก พวกเขากำลังคุยอะไรกันอยู่นะ? 


 


 


           เธอหันกลับไปมองด้วยความอยากรู้ แต่ก็ต้องขำการกระทำของตัวเอง จะกลัวอะไร จิ้นหยวนรักเธอมากขนาดนั้น เขาไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ เพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของคุณแม่เขาหรอก เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด 


 


 


           พอคิดแบบนี้แล้วจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก รีบเดินไปซื้อขนมเค้กอย่างอารมณ์ดี 


 


 


           ในห้องคนไข้ ฉินเพ่ยหรงกำลังพูดเตือนจิ้นหยวนปากเปียกปากแฉะด้วยความหวังดี “อาหยวน ใช่ว่าแม่อยากจะพูดมาก เมื่อก่อนลูกไม่ชอบหร่วนเซียงเซียงแม่ก็พอจะเข้าใจ ถือว่าพ่อกับแม่ดูคนผิดไปที่ไม่รู้ว่าเธอร้ายมากขนาดนั้น แต่ตอนนี้ลูกเป็นคนเลือกผู้หญิงแซ่เฉียวคนนั้นเอง ทำไมลูกถึงไปเลือกผู้หญิงพรรค์นั้นล่ะลูก?” 


 


 


           จิ้นหยวนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความไม่พอใจ “คุณแม่พูดอะไรกันครับ ทำไมต้องเรียกเธอว่าผู้หญิงพรรค์นั้นด้วยล่ะครับ เธอเป็นคนดีมาก เมื่อก่อนคณแม่ก็ชอบเธอมากไม่ใช่เหรอครับ?” 


 


 


           ฉินเพ่ยหรงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เมื่อก่อนก็เป็นเรื่องของเมื่อก่อน แม่คิดว่าลูกแค่คบเธอเล่นๆ เท่านั้น ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้แม่คิดว่าลูกไม่เหมือนเดิม ลูกถึงขั้นยอมรับคมมีดแทนเธอ ไหนลูกบอกแม่ซิ ลูกอยากจะแต่งงานกับเธอใช่ไหม?” 


 


 


           จิ้นหยวนพยักหน้ายอมรับ “ครับ ผมรักเธอ อยากแต่งงานกับเธอ ไม่ได้เหรอครับ? มู่มู่เป็นผู้หญิงที่ดีมาก ตอนนี้คุณแม่ยังมีอคติกับเธออยู่ แต่อยู่ๆ ไปคุณแม่จะรู้เองว่าเธอดียังไง” 


 


 


           ฉินเพ่ยหรงเอ่ยอย่างเหลืออด “ความรักทำให้โลกกลายเป็นสีชมพู ในสายตาลูกเธอก็ดีหมดทุกอย่างนั่นแหละ แต่แม่ว่าไม่ดี ลูกดูซิ แม่นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ตั้งครึ่งค่อนวันแล้ว เธอไม่ทักแม่สักคำ แต่ก็ช่างเถอะ แต่นี่แม้แต่น้ำชาก็ไม่รินให้แม่สักถ้วย ไหนลูกบอกซิว่าถ้าลูกแต่งงานกับเธอเข้าบ้านเป็นสะใภ้ของเรา ต่อไปพ่อกับแม่แก่แล้วยังหวังให้เธอดูแลได้อีกเหรอ?” 


 


 


           จิ้นหยวนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “คุณแม่ นั่นมันเป็นเรื่องที่ไกลมากเลยนะครับ นี่แม่คิดไปไกลขนาดนั้นเลยเหรอ? ไม่คิดไกลเกินไปหน่อยเหรอครับ” 


 


 


           “ทำไมจะคิดไม่ได้? ลูกโตขนาดนี้แล้ว พ่อกับแม่ก็แก่มากแล้ว คิดว่าพวกเรายังมีเวลาอยู่กับลูกได้อีกกี่ปีกันเชียว” 


ตอนที่ 274 เกลี้ยกล่อม 


 


 


           เขาฟังแล้วมองไปยังศีรษะของฉินเพ่ยหรง เห็นเส้นผมสีดอกเลาของเธอแล้วหัวใจอ่อนยวบทันที แต่เขายังคงยืนยันที่จะอยู่เคียงข้างเฉียวซือมู่ “คุณแม่อย่าพูดแบบนั้นสิครับ เอาเป็นว่า ผมรับปากคุณแม่ ต่อไปคุณพ่อคุณแม่แก่แล้ว ผมกับเธอจะต้องดูแลคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างดีอย่างแน่นอน ถ้าเราสองคนทำไม่ได้ เราก็จะหาคนรับใช้ที่ดีที่สุดมาช่วยดูแลคุณพ่อคุณแม่เอง แบบนี้ดีไหมครับ?” 


 


 


           เขาคิดว่าพูดแบบนี้แล้วเธอจะดีใจ แต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะหน้าเปลี่ยนสีทันที “ที่แท้ลูกก็คิดแบบนี้นี่เอง ไม่ทันไรก็คิดจะส่งเราให้คนใช้ดูแลแล้วอย่างนั้นเหรอ? แล้วลูกคิดจะส่งพวกเราไปอยู่บ้านพักคนชราด้วยหรือเปล่า ที่แท้ลูกมันอกตัญญู ไม่ยอมแม้แต่จะดูแลพวกเรา แม่… แม่ล่ะอยากจะบ้าตาย…” 


 


 


           เธอพูดพรั่งพรูออกมาจนอกกระเพื่อมด้วยความโมโห 


 


 


           ในสายตาผู้สูงอายุชาวจีน มีแต่คนแก่ไร้ที่พึ่งเท่านั้นที่จะไปอยู่ในบ้านพักคนชรา ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้นมากที่สุด พอได้ยินลูกชายพูดแบบนี้เธอจึงโมโหแทบบ้าตาย 


 


 


           จิ้นหยวนงงเป็นไก่ตาแตก เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ผมไม่ได้พูดสักคำว่าจะให้คุณแม่ไปอยู่บ้านพักคนชรานะครับ เราจะดูแลคุณแม่ให้ดีที่สุด…” 


 


 


           “สายไปแล้ว” เธอต่อว่าเขาด้วยความโกรธจัด “ใครสอนให้ลูกพูดแบบนี้? ผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม? แม่จะบอกอะไรให้นะ แม่ไม่ชอบเธอ ไม่ว่าลูกจะพูดยังไงแม่ก็ไม่ยอมให้ลูกแต่งเธอเข้าบ้านเด็ดขาด ไม่ทันไรก็ให้ลูกรับคมมีดแทนแล้ว แล้วยังไม่อยากดูแลคนแก่อีก? แม่ไม่เอาลูกสะใภ้แบบนี้เด็ดขาด!” 


 


 


           ฉินเพ่ยหรงอาละวาดเสร็จแล้วสะบัดตัวเดินออกจากห้องทันที จิ้นหยวนไม่คิดเลยว่าคุยกันอยู่ดีๆ จะกลายเป็นแบบนี้ไปได้ เขาพยายามเรียกเธอเอาไว้แต่ก็ไร้ผล 


 


 


           ตรงประตูห้อง เสียงฝีเท้าของฉินเพ่ยหรงหยุดชะงักชั่วครู่ จากนั้นเสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้งพร้อมๆ กับเสียงปิดประตูดังปังใหญ่ ดูเหมือนว่าเธอจะโกรธมากจริงๆ 


 


 


           จนถึงตอนนี้จิ้นหยวนยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาไม่ได้พูดอะไรผิดนี่นา แล้วทำไมคุณแม่ต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟมากขนาดนั้นด้วย? 


 


 


           ทันใดนั้น ประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง เขานึกว่าคุณแม่กลับมาอีก จึงเงยหน้าขึ้นมอง “คุณแม่ฟังผมก่อน…” แต่คนที่ยืนอยู่ตรงประตูกลับกลายเป็นเฉียวซือมู่ที่ถือถุงพลาสติกในมือแทน เขาจึงหบปากทันที 


 


 


           เขาอยากจะพูดอะไรสักหน่อย แต่พอเห็นสีหน้าไม่สู้ดีนักของเธอจึงนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้คุณแม่หยุดอยู่ตรงประตูชั่วครู่ จึงเอ่ยถามหยั่งเชิง “คุณกลับมาถึงนานหรือยัง?” 


 


 


           สภาพจิตใจของเฉียวซือมู่สับสนปนเป น้ำเสียงฟังดูไม่ดีนัก “สักครู่แล้วค่ะ” 


 


 


           ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าเธอได้ยินบทสนทนาทั้งหมดแล้วนะสิ 


 


 


           เขานึกถึงคำพูดของคุณแม่แล้วทอดถอนใจ กวักมือเรียกเฉียวซือมู่ “มานี่มา” 


 


 


           เฉียวซือมู่กัดริมฝีปาก เดินเข้าไปในห้องแล้วนั่งลงข้างเขา จิ้นหยวนนอนเอนกายอยู่บนเตียง ยื่นแขนออกไปรั้งเธอเข้าไปกอด “คุณโกรธเหรอ?” 


 


 


           เฉียวซือมู่ชะงัก “เปล่าค่ะ” เธอตอบสั้นๆ แต่น้ำเสียงฟังดูฝืดฝืน 


 


 


           จิ้นหยวนกระชับแขนกอดเธอแน่นขึ้น “คุณแม่อายุมากแล้ว ก็เลยใจร้อนไปหน่อย คุณอย่าเอามาใส่ใจเลยนะ นานไปเดี๋ยวท่านก็รู้เองว่าคุณดียังไง” 


 


 


           เฉียวซือมู่เม้มริมฝีปากไม่พูด เธอรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าฉินเพ่ยหรงไม่ได้อยากกินขนมเค้กจริงๆ แต่ต้องการกันเธอออกไปต่างหาก แต่เธอก็ยอมออกไปซื้อขนมเค้กมาให้แต่โดยดี พอกลับมาถึงก็เห็นพี่โจวทำไม้ทำมือให้เธอแอบฟัง และนั่นทำให้เธอได้ยินคำพูดของฉินเพ่ยหรงที่ว่าเธอไม่ใช่คนดี และไม่มีทางยอมให้จิ้นหยวนแต่งเธอเข้าตระกูลจิ้นเด็ดขาด 


 


 


           คำพูดนั้นเป็นการดูถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีเธอมาก เธอไม่ได้ทำผิดอะไร แล้วฉินเพ่ยหรงมีสิทธิ์อะไรมาว่าเธอแบบนี้ แม้เธอจะไม่เคยคิดที่จะแต่งงานกับจิ้นหยวน แต่คำพูดพวกนั้นก็มากเพียงพอที่จะทำให้เธอโกรธแล้ว 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 275  คุณพูดอะไรก็ถูกทั้งนั้น  


 


 


           เฉียวซือมู่รู้ว่าฉินเพ่ยหรงไม่ชอบตัวเอง แต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะมีอคติกับตัวเองมากขนาดนี้ มันทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยหน่ายมาก ฉินเพ่ยหรงมีอคติกับเธอมากขนาดนี้ ต่อให้จิ้นหยวนชอบเธอมากแค่ไหนก็ตาม ต่อไปเธอคงอยู่อย่างไม่สงบสุขแน่ 


 


 


           จิ้นหยวนกลับยังคงคิดในแง่ดี “คุณแม่ผมก็เป็นแบบนี้แหละ อีกหน่อยก็ดีขึ้นเอง คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ” 


 


 


           เธอชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งโดยไม่พูดอะไร 


 


 


           เธอไม่มีทางมองโลกในแง่ดีเช่นเขาแน่ แต่ก็ไม่กล้าทำลายความเชื่อมั่นของเขาเหมือนกัน 


 


 


           จิ้นหยวนเห็นเธอเงียบไปจึงคิดว่าเธอเห็นด้วยแล้ว จึงเอ่ยปลอบเธอ “เถอะน่า อย่าโกรธเลยนะ ผมขอโทษคุณแทนคุณแม่โอเคไหม?” 


 


 


           เอ่ยพลางยื่นหน้าเข้าใกล้เธอ “เอาเลย ผมยอมคุณทุกอย่าง คุณอยากจะย่ำยีผมยังไงก็ได้ ผมรับรองว่าจะไม่ขัดขืนคุณเลย” 


 


 


           คำพูดและน้ำเสียงน่าสงสารของเขาทำให้เฉียวซือมู่หัวเราะพรืดออกมา “ใครอยากจะย่ำยีคุณกัน หน้าไม่อายที่สุด” 


 


 


           เธอไม่ใช่เขานี่ เอะอะก็แทะโลมตลอด 


 


 


           ในที่สุดเขาก็เห็นรอยยิ้มของเธอเสียที เขาขโมยหอมแก้มเธออย่างห้ามใจไม่ไหว เธอขึงตาใส่เขา “อีกแล้ว คุณเป็นคนป่วยนะ อย่าทำแบบนี้ได้ไหมคะ?” 


 


 


           “คนป่วยแล้วยังไง? คนป่วยก็มีสิทธิ์ได้รับการปลอบใจเหมือนกันนะ” จิ้นหยวนยังคงมีหลักการของตัวเองเหมือนเดิม เธอได้แต่กรอกตาเซ็งๆ “ค่า คุณพูดอะไรก็ถูกทั้งนั้นแหละค่า” 


 


 


           ถึงกระนั้นก็เถอะ จิ้นหยวนยังคงกดเธอไว้ใต้ร่างไม่ปล่อย หาความสุขเล็กๆ น้อยๆ จากเธอจนเต็มอิ่ม ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่เขาทำตามใจต้องการไม่ได้ ได้หาความสุขเล็กๆ น้อยๆ พอแก้กระหายก็ยังดี… 


 


 


           ตอนที่เธอกลิ้งลงจากเตียงพร้อมใบหน้าแดงก่ำก็หลังจากผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วโมงนั่นแหละ เธอจ้องเขาตาเขียวปั๊ด จิ้นหยวนยิ้มร้ายๆ อย่างพอใจเหมือนแมวที่แอบขโมยกินปลาย่างสำเร็จไม่มีผิด 


 


 


           เธอสะบัดแขนที่ปวดเมื่อยไปหมดของตัวเองแล้ววิ่งพุ่งเข้าไปล้างมือในห้องน้ำ หลังจากล้างมือไปหลายรอบจึงเดินออกมา “จากการกระทำชั่วร้ายของคุณ ฉันขอประกาศว่าวันนี้คุณไม่ต้องกินข้าวเย็น คอยดูฉันกินไปก็แล้วกัน” 


 


 


           ยามแรกจิ้นหยวนไม่แยแสสักนิด แต่พออาหารเย็นถูกนำมาเสิร์ฟแล้วเขาเห็นว่าเธอไม่ยอมป้อนอาหารให้เขาจริงตามที่ลั่นวาจาเอาไว้ จึงเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยถาม “นี่คุณจะปล่อยให้ผู้ชายของตัวเองอดตายจริงเหรอ?” 


 


 


           เฉียวซือมู่ครางเสียงฮือย่างเย็นชา “ไม่ให้กิน ฉันว่าคุณอารมณ์ร้อนมากเกินไป ควรจะใจเย็นลงหน่อยนะ” 


 


 


           จิ้นหยวนมองเธอเซ็งๆ ค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นนั่ง แววตาแฝงรอยยิ้มร้าย 


 


 


           คราวนี้เฉียวซือมู่ไม่ยอมอ่อนข้อให้เขาอีก เห็นเขาขยับกายจึงรีบหยกถาดอาหารไปวางอีกทางพลางเอ่ยเตือน “ไม่ให้ก็คือไม่ให้ ต่อให้คุณแย่งฉันก็ไม่ให้” 


 


 


           “ไม่ให้จริงเหรอ?” เขากระเถิบเข้าไปใกล้เธอ เอ่ยเสียงเบาหวิวข้างหูเธอ 


 


 


           เธอขึงตาใส่เขา หมุนตัวหันไปทางอื่น เธอไม่อยากเห็นหน้าผู้ชายหน้าไม่อายคนนี้แล้ว 


 


 


           จิ้นหยวนหัวเราะร่าเสียงดัง เธอกระวนกระวายใจ “นี่คุณอยากตายหรือไง ระวังแผลด้วยสิ” 


 


 


           จิ้นหยวนก้มลงมองหน้าอกตนแล้วเอ่ยอย่างไม่แยแส “จะกลัวอะไร น่าจะตัดไหมได้แล้ว” 


 


 


           “ตัดได้หรือเปล่าต้องให้หมอเป็นคนบอก คุณจะไปรู้ได้ยังไงไม่ทราบ?” เธอกรอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย 


 


 


           จู่ๆ เขาก็เอี้ยวตัวกอดเธอเอาไว้ พร้อมหอมแก้มเธอฟอดใหญ่ “คุณนี่น่ารักจริงๆ เลย” 


 


 


           เธอถูกเขากอดเอาไว้แน่น เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองทำตัวเหมือนเด็กๆ จึงหน้าแดงซ่านด้วยความอาย เธอใช้กำปั้นเล็กๆ ทุบลงบนหลังเขาเบาๆ เป็นการระบายความอารมณ์พอเป็นพิธี 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม