ลิขิตฟ้าชะตารัก 267-274

 ตอนที่ 267 เฆี่ยนตี 


 


 


 


 


 


“เหตุใดกัน ไปคนเดียวเจ้าก็กลัวหรือ” เมื่อได้ยินดังนั้น จวินอู๋เหินก็ยิ้มเสียหน้าบาน “เด็กสาวต้องเดินทางไกลไปยังสถานที่เช่นนั้นเพียงลำพังแน่นอนว่าต้องกลัวเป็นธรรมดา เห็นแก่เจ้าที่มาขอร้องข้าเช่นนี้ อีกทั้งข้าเองก็กำลังว่างอยู่พอดี ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน” 


 


 


อวี้อาเหราปรายตามองอย่างเหยียดๆ “ตกลงเจ้าจะไปหรือไม่ไป” 


 


 


“ตกลง อาศัยช่วงที่เสด็จพ่อของข้ายังไม่กลับมา ข้าก็จะไปพบหลิงอ๋องกับเจ้า” หลังจากที่จวินอู๋เหินหัวเราะแล้ว ก็ไม่ได้ชักช้าให้เสียเวลาอีก สำรวมอารมณ์แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ วันนี้เขาก็ยังคงสวมเสื้อตัวยาวลายดอกไห่ถางสีขาวในพื้นสีน้ำเงินเช่นเดิม ท่วงท่ายังคงเยาว์วัยและหล่อเหล่า อาภรณ์ชุดนี้ก็ยิ่งขับให้เขาดูโดดเด่นมากขึ้น เพียงแต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขานั้นทำให้คนที่พบเห็นอยากจะต่อยเข้าสักหมัด 


 


 


เมื่อเห็นนางเอาแต่จ้องมองเขานิ่งเช่นนี้ จวินอู๋เหินก็หุบรอยยิ้มบนใบหน้าไปเสียสิ้น “เจ้ามองข้าทำไมกัน” 


 


 


“เจ้านี่ก็หน้าตาดีนะ” อวี้อาเหราตอบอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก แต่เมื่อเห็นเขาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความพึงพอใจแล้ว นางก็รีบเปลี่ยนท่าทีเสียเดี๋ยวนั้น “แต่ข้าก็คงตาบอดแล้วกระมัง” 


 


 


“เจ้านี่นะ…” จวินอู๋เหินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก 


 


 


ทั้งสองพูดคุยหัวเราะกันไปจนกระทั่งถึงจวนหลิงอ๋อง 


 


 


จวนหนานหยางอ๋องอยู่อีกหนึ่งถนนถัดจากจวนหลิงอ๋องเท่านั้น ระยะทางนับว่าใกล้กันนัก โชคดีที่ตอนนี้หลิงอ๋องเพิ่งจะกลับมาหลังจากเข้าเฝ้ายามเช้า ดังนั้นอวี้อาเหราจึงพาจวินอู๋เหินเข้ามาพบหลิงอ๋องที่ห้องหนังสือ ระหว่างที่กำลังเดินอยู่ก็หาข้ออ้างกันไปด้วย 


 


 


จวินอู๋เหินรบเร้าว่า “เจ้าว่าประเดี๋ยวพบหลิงอ๋องแล้ว ข้าควรกล่าวอย่างไรดี” 


 


 


“เจ้าก็บอกว่าจะพาข้าออกไปพักผ่อนหย่อนใจ ไปเที่ยวเล่นสักสองวันสิ” อวี้อาเหราเสนอขึ้นมาส่งๆ 


 


 


จวินอู๋เหินได้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจจนไม่กล้าเดินหน้าต่อ ใบหน้าที่มีรอยยิ้มขมขื่นหันไปบ่นกับนาง “หากข้าพูดตามที่เจ้าบอก เสด็จพ่อของเจ้าต้องสั่งโบยข้าแน่ ข้าไม่กล้าพาเจ้าออกไปข้างนอกส่งเดชหรอก” 


 


 


“พรืด” อวี้อาเหราหัวเราะ “น่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ” 


 


 


“น่ากลัวมากกว่านั้นอีก” จวินอู๋เหินทอดถอนใจราวกับยอมรับในชะตากรรม 


 


 


อวี้อาเหราเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้แล้ว ทันใดนั้นก็เกิดรู้สึกหนักใจขึ้นมาบ้าง “เจ้าดูกลัวเสด็จพ่อของข้ามากถึงเพียงนั้น หรือว่าเจ้าเคยทำเรื่องอะไรไว้กับข้าจริงๆ” 


 


 


“อย่าพูดเลย” จวินอู๋เหินลูบหน้าผาก เมื่อถูกบีบบังคับเช่นนี้จึงจำต้องเอ่ยปากพูดอย่างช่วยไม่ได้ “นั่นก็เป็นเรื่องสมัยเด็กๆ แล้ว ตอนนั้นข้ามีนิสัยซุกซนนัก วิ่งเล่นไปทั่ว หลังจากนั้นก็ได้แอบเข้ามาเล่นในจวนหลิงอ๋อง ในใจนึกคึกคะนองพาเจ้าออกไปเล่นข้างนอก ผลสุดท้ายก็ถูกหลิงอ๋องจับได้ แค่คิดถึงก็…” 


 


 


“สุดท้ายเล่าเป็นอย่างไร” ดวงตาของอวี้อาเหราวาบประกายด้วยความใคร่รู้ คิดไม่ถึงว่าตอนเด็กๆ จะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วย 


 


 


“ก็ถูกเสด็จพ่อของเจ้าไล่ด้วยไม้กวาดน่ะสิ” จวินอู๋เหินหัวเราะอย่างจนใจ 


 


 


ครั้งนั้นเขาถูกไล่ออกมาต่อหน้าคนตั้งมากมาย ตั้งแต่นั้นมาก็รู้สึกเสียหน้ายิ่งนัก หลิงอ๋องเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตในสงครามเข่นฆ่าศัตรูจนเคยชิน เมื่อเห็นว่าลูกสาวสุดที่รักของตัวเองเกือบจะถูกพาตัวไป จึงอดไม่ได้ที่จะตรงเข้ามาทุบตีเขา เรื่องราวในครั้งนั้นยังคงติดแน่นเป็นความเจ็บปวดในจิตใจ และเพราะทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ เมื่อเสด็จพ่อของเขารู้เข้า เขาจึงโดนเฆี่ยนตีเสียเกือบตาย เพราะว่าเขาทำให้คนทั้งจวนหนานหยางอ๋องต้องเสียหน้า นับตั้งแต่นั้นมา เมื่อเขาเห็นหลิงอ๋องก็ต้องหาเรื่องหลบหน้าตลอด 


 


 


อวี้อาเหราอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้ที่เจ้าชอบพูดว่าจะต้องโดนเสด็จพ่อของข้าโบยบ้างไล่ตีบ้าง ก็เพราะมีสาเหตุมาจากเรื่องนี้น่ะหรือ…” 


 


 


“อาเหรา หากเจ้ายังหัวเราะอีก ข้าไม่ไปแล้วนะ” จวินอู๋เหินขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถลึงตาจ้องมองนางนิ่ง 


 


 


น่าหัวเราะถึงเพียงนั้นเชียวหรือ 


 


 


ก็แน่นอนอยู่แล้วซี! 


 


 


เป็นถึงท่านอ๋องน้อยแต่กลับถูกขับไล่เหมือนหมูเหมือนหมาเช่นนี้ ไม่แปลกเลยที่หนานหยางอ๋องจะลงไม้ลงมือตีเขา จวินอู๋เหินในครั้นเยาว์วัยคงจะซนเหลือเกินจริงๆ คาดว่าตั้งแต่เล็กจนโตคงถูกตีมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วกระมัง 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 268 เจ้าคนสองหน้า 


 


 


 


 


 


อวี้อาเหราไม่เพียงแต่ไม่เก็บงำรอยยิ้ม ทว่านางกลับยิ้มกว้างเสียมากกว่าเดิม หันกลับไปหาเจาเอ๋อร์ แล้วถามว่า “เจ้าว่าตลกหรือไม่เล่า” 


 


 


“บ่าวไม่กล้าพูดหรอกเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์เห็นจวินอู๋เหินโกรธหน้าดำหน้าแดง ทันใดนั้นก็หุบยิ้มลง แม้ใบหน้าจะแดงเถือกไปเสียหมดแต่ก็ไม่กล้าที่จะหลุดหัวเราะออกมา เม้มปากแน่นจนแทบกลั้นไม่ไหว  


 


 


จวินอู๋เหินเห็นพวกนางสองนายบ่าวแอบหัวเราะเช่นนี้ ทันใดนั้นก็หมุนตัวเดินกลับในทันที 


 


 


“เจ้าจะไปไหน” อวี้อาเหราหุบยิ้มโดยพลัน ดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้ “เจ้าเป็นถึงท่านอ๋องน้อยเหตุใดถึงขี้น้อยใจเพียงนี้นะ อย่าใจร้ายกับผู้หญิงตัวเล็กๆ สิ” 


 


 


จวินอู๋เหินไม่ตอบคำ ทำเพียงย่นจมูกเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ อีกทั้งเตรียมที่จะหมุนกายกลับไปตามเดิม 


 


 


อวี้อาเหราจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดได้หรือยังว่าจะพูดกับเสด็จพ่ออย่างไร” 


 


 


จวินอู๋เหินก้มหน้าลงก่อนครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วจึงพยักหน้าลง “คิดได้แล้ว” 


 


 


“อะไรล่ะ” อวี้อาเหรายินดี 


 


 


“ไม่บอกเจ้าหรอก พอถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง” รอยยิ้มบนใบหน้าของจวินอู๋เหินเหตุใดถึงได้ดูเจ้าเล่ห์แสนกลยิ่งนักนะ 


 


 


แต่อวี้อาเหราก็ทำได้แต่เพียงเดินตามเขาเข้าไปยังห้องหนังสือด้วยสีหน้าสงสัยเท่านั้น 


 


 


หลังจากมาถึงห้องหนังสือแล้ว องครักษ์สองคนก็รีบเข้ามาคารวะ “ข้าน้อยคารวะคุณหนูรอง ท่านอ๋องน้อยจวิน” 


 


 


“ลุกขึ้นเถิด” อวี้อาเหราเยี่ยมหน้ามองเข้าไปด้านใน “เสด็จพ่อของข้าอยู่หรือไม่” 


 


 


“อยู่ขอรับ ท่านอ๋องเพิ่งกลับมาจากเข้าเฝ้ายามเช้า กำลังเช็ดกระบี่อยู่ด้านในขอรับ” องครักษ์ตอบ “ท่านจะให้ข้าน้อยเข้าไปรายงานก่อนหรือไม่” 


 


 


“ไม่…” อวี้อาเหราเหลือบสายตามองไปที่จวินอู๋เหินที่อยู่ข้างกาย แล้วเปลี่ยนใจ “ก็ได้ ไปเถิด” 


 


 


หลังจากที่องครักษ์เข้าไปรายงานแล้ว ถึงได้เชิญพวกเขาทั้งสองคนเข้าไปด้านใน  


 


 


หลังจากที่หลิงอ๋องได้ยินองครักษ์รายงาน ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเห็นคนสองคนเดินเข้ามา ทันใดนั้นใบหน้าก็กลายเป็นถมึงทึง สองตาคมดุจดังเหยี่ยว จ้องมองจนจวินอู๋เหินเสียจนขนลุก จากนั้นก็เคลื่อนย้ายสายตาจากร่างของเขา มองไปยังอวี้อาเหรา ใบหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นยิ้มแย้ม ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ 


 


 


“อาเหรา เหตุใดเจ้าถึงไม่อยู่ในห้องเพื่อรักษาร่างกายให้ดี คิดอย่างไรถึงได้มาหาพ่อที่นี่เล่า” 


 


 


“ทูลเสด็จพ่อ ได้ยินมาว่าเสด็จพ่อเพิ่งจะกลับจากเข้าเฝ้ายามเช้า เช่นนั้นจึงอยากจะมาเยี่ยมน่ะเพคะ” อวี้อาเหราก้าวเดินไปข้างหน้า ก่อนจะหยุดลงที่ข้างกายของหลิงอ๋อง แอบส่งสายตาให้จวินอู๋เหิน 


 


 


หลังจากได้รับสายตานั้นแล้ว จวินอู๋เหินก็ทำความเคารพหลิงอ๋อง “คารวะหลิงอ๋อง” 


 


 


“ลุกขึ้นเถิด” หลิงอ๋องปรายตามองมาที่เขา ใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “เหตุใดท่านอ๋องน้อยจวินถึงเสด็จมายังจวนของข้าได้ อีกทั้งยังมาพร้อมกับอาเหราเช่นนี้ มีธุระอะไรหรือไม่” 


 


 


น้ำเสียงของหลิงอ๋องนิ่งขรึมเป็นอย่างมาก จวินอู๋เหินนิ่งงันไป “อยากจะ…” 


 


 


เมื่อเห็นเขาทำท่าอึกๆ อักๆ อวี้อาเหราก็ไม่สบอารมณ์เสียยิ่งนัก จวินอู๋เหินผู้นี้ ยามที่อยู่ต่อหน้าผู้อื่นก็วางท่าเสียใหญ่โต เหตุใดพอมาอยู่ต่อหน้าหลิงอ๋องแล้วกลับทำท่าทีอึกๆ อักๆ ไม่กล้าพูดจา หรือว่าเป็นผลพวงมาจากเรื่องที่เคยถูกตีเมื่อตอนเล็กๆ หรือ 


 


 


“ว่าอย่างไรเล่า” หลิงอ๋องขมวดคิ้วแล้วไต่ถาม สีหน้าไม่เข้าใจ 


 


 


“คุณหนูรองอยากจะออกไปเที่ยวเล่น แต่เพราะกลัวว่าท่านอ๋องจะไม่อนุญาต จึงให้ข้ามาพูดกับท่านอ๋องแทน” คิดไม่ถึงว่าจวินอู๋เหินกลับจะพูดออกตามตรงเช่นนี้ หลังจากที่พูดจบแล้ว เขายังมองมายังอวี้อาเหราด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหมาย 


 


 


ทันใดนั้นนางก็เข้าใจทันทีว่าเหตุใดยามนั้นเขาถึงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เช่นนั้น ก็เป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง! 


 


 


เจ้าคนสองหน้า! ทั้งๆ ที่ให้เขามาเพื่อหาข้ออ้างให้นางออกไปแท้ๆ กลับกลายเป็นเล่นงานนางเสียได้ 


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น หลิงอ๋องก็หันมามองทางอวี้อาเหรา ใบหน้าฉายความไม่ยินดียิ่งนัก “อาเหรา เจ้าก็เอาแต่สร้างเรื่องสร้างราวจริงๆ ให้เจ้าพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายดีๆ ก็ไม่ชอบ อย่างไรเสียพ่อก็ไม่ยอม เจ้ารีบกลับไปพักได้แล้ว หากต้องการจะออกไปเที่ยวเล่น อีกสักครู่จะพาเจ้ากับอนุรองออกไปหย่อนใจเสียแล้วกัน” 



ตอนที่ 269 ช้าเร็วต้องถูกถอดถอน 


 


 


 


 


 


“เสด็จพ่อ ลูกอยากออกไปเที่ยวเล่นเพียงลำพัง ช่วงนี้เกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นมากมาย จนทำให้นอนไม่ค่อยหลับ ไม่แน่ว่าหากได้ออกไปข้างนอกบ้างก็คงจะดีขึ้นนะเพคะ” อวี้อาเหราวางแผนเกลี้ยกล่อม แต่หลังจากนั้นกลับถูกหลิงอ๋องปฏิเสธในทันที “ไม่ได้ ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไรพ่อก็ไม่อนุญาต” 


 


 


“เสด็จพ่อ…” อวี้อาเหรายังอยากที่จะพูดต่อ แต่เมื่อเหลือบสายตาไปเห็นสีหน้าที่ไม่ใคร่ยินดีของหลิงอ๋องแล้ว นางก็รีบปิดปากอย่างรู้งานทันที 


 


 


ครั้นแล้วหลิงอ๋องถึงได้เงยหน้าขึ้นมองไปยังจวินอู๋เหิน “อาเหราไม่รู้ความจนไปรบกวนท่านอ๋องน้อยเสียแล้ว แต่ว่าเรื่องที่ออกไปข้างนอกนั้นเป็นเรื่องใหญ่ เรารู้สึกไม่ค่อยสะดวกอยู่บ้าง ขอให้ท่านอ๋องน้อยกลับไปก่อนเถิด” 


 


 


จวินอู๋เหินมองหลิงอ๋องด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วทำได้แต่เพียงขอลา 


 


 


รอจนกระทั่งเขาเดินออกไปแล้ว หลิงอ๋องก็หันมาพูดกับบุตรสาวของตนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “อาเหรา เหตุใดเจ้าถึงไปอยู่กับเขาได้”  


 


 


อวี้อาเหราก้มหน้าลงไม่กล่าววาจา 


 


 


หลิงอ๋องทอดถอนใจออกมา “ท่านอ๋องน้อยจวินนั้นแต่ไรมามักจะก่อเรื่องราววุ่นวายอยู่เสมอ หนานหยางอ๋องจึงตีเขาหลายครั้งหลายครา แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่จำ ได้ยินมาว่าชอบไปเที่ยวเล่นที่หอวั่นฮวาเป็นประจำ ผู้ชายเช่นนี้พ่อก็ไม่ต้องการ หากเป็นคนอื่นเจ้าชอบใคร แน่นอนว่าพ่อจะช่วยคิดหาทางให้” 


 


 


“เสด็จพ่อ ท่านกล่าวอะไรเช่นนั้นเพคะ” อวี้อาเหราพละนหัวเราะร่วนในใจ ที่แท้หลิงอ๋องก็คิดว่านางชอบจวินอู๋เหินอย่างนั้นหรือ 


 


 


“หรือว่าไม่ใช่?” หลิงอ๋องเองก็สับสนขึ้นมา 


 


 


แน่นอนว่าอวี้อาเหราส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ใช่เขา ลูกก็ยังมีสายตายาวไกลนะเพคะ แม้ว่าจวินอู๋เหินจะเป็นคนมีน้ำใจมาก แต่ก็เป็นได้เพียงมิตรสหาย และไม่ได้เป็นดังเช่นที่เสด็จพ่อคิดเลยแม้แต่น้อย อีกอย่าง ตอนนี้ลูกยังเด็กนัก ไหนเลยจะคิดถึงเรื่องหมั้นหมายแต่งงาน” 


 


 


“เจ้าพูดจริงหรือ” หลิงอ๋องได้ยินนางยืนยันเช่นนั้น ก็ถึงได้วางใจ 


 


 


“ย่อมจริงแน่นอนเพคะ ลูกยังอยากที่จะอยู่ปรนนิบัติเสด็จพ่อไปอีกนาน” อวี้อาเหราป้อยอคำหวานให้หลิงอ๋องฟัง ทำให้เขารู้สึกยินดียิ่งนัก “ยังเป็นอาเหราที่ห่วงใยพ่อ แต่ว่าเจ้าเองก็อยู่ในช่วงวัยที่เหมาะสมแล้ว ภายในสองปีนี้ก็สมควรจะถึงเวลาออกเรือนแล้ว คงจะให้อยู่ข้างกายพ่อต่อไปไม่ได้ตลอดนะ” 


 


 


“เรื่องการแต่งงานของลูกนั้น แน่นอนว่าลูกจะจัดการตามแต่ใจของลูกเอง แต่เสด็จพ่อไม่ต้องกังวลนะ จวนหลิงอ๋องของพวกเรายังกลัวว่าธิดาจะแต่งไม่ออกอีกหรือเพคะ” 


 


 


“วาจานี้ก็ไม่ผิดนัก” หลิงอ๋องเห็นพ้องเป็นอย่างยิ่ง กล่าวพลางขมวดคิ้ว ”แต่เรื่องแต่งงานนั้นจะให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจเองก็คงไม่ได้ ฝ่าบาทยังไม่ได้ทรงถอดถอนเรื่องหมั้นหมายระหว่างเจ้าและองค์รัชทายาท ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นที่โปรดปรานจากฮ่องเต้ แต่ก็ยังมีไทเฮาคอยหนุนหลัง ไม่แน่ว่าอาจจะได้แต่งกับเจ้าในเร็ววันนี้ เมื่อถึงตอนนั้นพ่อก็คงไม่อาจที่จะ…” 


 


 


“เสด็จพ่ออย่าได้กังวลไปเลยเพคะ หากฝ่าบาทจะทรงให้ลูกแต่งจริงก็คงแต่งไปแล้ว มีความจำเป็นใดที่จะต้องถ่วงเวลามาจนถึงตอนนี้ด้วย” สายตาของอวี้อาเหราเต็มไปด้วยแววครุ่นคิด “รัชทายาทมีอุปนิสัยเสเพล ฝ่าบาทเองก็ทรงอดทนกับเขามานาน แต่เพราะได้รับแรงกดดันจากไทเฮาและขุนนางใหญ่บางคนจึงจำต้องยอมรับ เพียงแต่ลูกได้ยินมาว่า ในวันที่องค์ไทเฮาทรงประชวรนั้น ฝ่าบาทได้ทรงเขียนราชโองการถอดถอนรัชทายาทไว้แล้ว แต่คาดว่าเป็นเพราะองค์ไทเฮาอาจจะได้รับข่าวคราวมาก่อน ดังนั้นจึงทรงแกล้งประชวร ฝ่าบาทเห็นแก่พระพลานามัยของไทเฮา เช่นนั้นจึงไม่อาจเป็นลูกอกตัญญูประกาศราชโองการออกไปได้ แต่หากรัชทายาทยังเป็นเช่นนี้ต่อไป หากจะถูกถอดถอนก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายเพคะ” 


 


 


“ราชโองการถอดถอนรัชทายาท?” หลิงอ๋องตกใจเสียจนใบหน้าเปลี่ยนสี มองไปรอบๆ ตัวด้วยความระมัดระวัง “เรื่องนี้ไม่ควรพูดส่งเดช หากมีผู้ใดรู้เขาพวกเราจะ…แต่ว่าเจ้าไปรู้มาจากไหนกัน” 


 


 


“ได้ยินเซิ่นซื่อจื่อพูดขึ้นโดยบังเอิญเพคะ” อวี้อาเหราเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา 


 


 


หลิงอ๋องเงียบงันไป “เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 270 ฝีมือทางการแพทย์ 


 


 


 


 


 


“เดิมทีก็นึกสงสัยว่าไทเฮาก็ทรงดูแข็งแรงดี แต่เหตุใดจู่ๆ ก็ประชวรทันทีหลังจากที่รัชทายาททรงหนีออกไปจากวังตะวันออก” อวี้อาเหรานิ่งไปสักครู่หนึ่ง มองประเมินสายตาระแวงของหลิงอ๋องด้วยความละเอียด แล้วจึงพูดต่อว่า “ภายหลังเพิ่งจะได้ยินเซิ่นซื่อจื่อกล่าวถึงโดยบังเอิญ เมื่อคิดดูแล้วก็คงไม่ผิดจริงๆ ลูกเชื่อว่าเซิ่นซื่อจื่อก็ไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องจงใจหลอกพวกเราหรอกเพคะ” 


 


 


“ในเมื่อเซิ่นซื่อจื่อเป็นคนพูด อย่างไรก็คงไม่ใช่เรื่องเท็จแน่” หลิงอ๋องพยักหน้าลง 


 


 


“ใช่เพคะ เพราะอย่างนั้นลูกก็คิดว่าคงเป็นเพราะฮ่องเต้ทรงเขียนพระราชโองการถอดถอนขึ้นมาจริงๆ เพราะฉะนั้นไทเฮาจึงแสดงท่าทีอยู่ไม่สุขแล้วแสร้งประชวร ลูกเองก็เพิ่งรู้ตอนที่ช่วยเหลือหมอหลวงตรวจพระอาการ พระพลานามัยของไทเฮานั้นแข็งแรงยิ่ง หากไม่ใช่เพราะเซิ่นซื่อจื่อแสร้งกระแอมไอขึ้นมาเพื่อเตือน ลูกคงจะเผลอพูดความจริงออกไปเสียแล้ว” 


 


 


“เจ้าทำถูกแล้ว เรื่องของราชวงศ์นั้นเราเข้าไปยุ่งให้น้อยที่สุดจึงจะเป็นการดี” หลิงอ๋องชื่นชมในความสามารถของนาง จากนั้นจึงเลิกคิ้ว “แต่เหตุใดเจ้าถึงเพิ่งมาบอกพ่อตอนนี้” 


 


 


“หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้น เซิ่นซื่อจื่อก็ได้บอกลูกถึงเรื่องผลลัพธ์อันร้ายแรงของเรื่องนี้ ตอนนั้นจึงไม่กล้าทูลค่อเสด็จพ่อ ภายหลังเกิดเรื่องราวขึ้นมามากมาย ลูกจึงลืมไปแล้ว จนกระทั่งเมื่อครู่ที่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นถึงค่อยๆ จำขึ้นมาได้เพคะ” 


 


 


“ต่อไปหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจำต้องรีบบอกพ่อทันที เจ้าเป็นธิดาเอกของจวนเรา ทุกถ้อยคำทุกการกระทำล้วนแล้วแต่เป็นที่สนใจของคนทั้งใต้หล้า ไม่อาจเกิดเรื่องผิดพลาดได้ อีกทั้งเมื่อวานเจ้าก็ยังถูกลักพาตัวไปจากหน้าประตูวัง เจ้าต้องรอบคอบเสียหน่อย มิเช่นนั้นพ่อคงไม่ให้เจ้าออกไปที่ไหนอีกแล้ว” หลิงอ๋องพูดขึ้นด้วยท่าทีจริงจัง 


 


 


“เพคะ ลูกเข้าใจแล้ว เพียงแต่ว่า…” อวี้อาเหรายังคงไม่ยอม 


 


 


“เรื่องออกไปเที่ยวเล่นหย่อยใจเจ้าไม่ต้องพูดแล้ว” หลิงอ๋องตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องนี้ มองนางด้วยความไม่แน่ใจ “ว่าแต่เจ้าไปเรียนวิชาการแพทย์มาตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดพ่ออยู่กับเจ้ามาตั้งแต่เล็กจนโตถึงไม่เคยรู้มาก่อน?” 


 


 


“ลูกเป็นวิชาแพทย์เสียที่ไหนกันเพคะ” อวี้อาเหราหัวเราะน้อยๆ แล้วตอบกลับว่า “เพียงแต่หมอหลวงเหล่านั้นยกยอความสามารถของลูกมากจนเกินไปต่างหาก คงเพราะตัวเขาไม่อยากวินิจฉัยส่งเดชจึงลากลูกเข้าไปเกี่ยวด้วย อีกทั้งลูกยังทำได้เพียงตรวจชีพจรเบื้องต้นเท่านั้น เรื่องรักษาอาการป่วยอะไรลูกไม่รู้เรื่องเลยเพคะ”  


 


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง แต่ก็ไม่เคยเห็นเจ้าตรวจชีพจรมาก่อนเลย?” หลิงอ๋องพยักหน้า และยังคงไถ่ถามด้วยความสงสัยต่อ 


 


 


อวี้อาเหราชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยหาข้อแก้ตัว “เสด็จพ่อคงจำได้กระมังเพคะว่าก่อนหน้านี้ลูกก็มักจะถือตำราติดตัวเสมอ นั่นก็เป็นเพราะลูกไม่มีอะไรทำจึงเอาตำราแพทย์มาอ่าน แต่ก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรมากมาย ภายหลังเซิ่นซื่อจื่อก็ได้ยินมาว่าลูกกำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์พอดี เขาก็เลยช่วยสอนวิธีการตรวจชีพจรให้ เขาก็ช่างมีความสามารถยิ่งนัก แม้แต่นักเรียนที่แสนโง่เขลาก็ยังสามารถเข้าใจได้ เรียนเพียงไม่กี่วันลูกก็สามารถตรวจวัดชีพจรได้แล้วเพคะ แต่ก็ไม่อาจบอกได้จริงๆ ว่าผู้ป่วยนั้นป่วยเป็นโรคอะไร” 


 


 


“ก็จริงดังว่า ลูกสาวของพ่อเองเหตุใดพ่อถึงยังไม่กระจ่างอีกนะ” ได้ฟังเช่นนี้แล้วหลิงอ๋องจึงค่อยคลายความสงสัยทั้งหมดลง แล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง 


 


 


อวี้อาเหราเห็นดังนั้นมุมปากของนางจึงยกโค้งขึ้น ที่แท้แล้วในใจของหลิงอ๋องนั้นเห็นนางเป็นเพียงบุตรสาวแสนอ่อนแอที่ไม่อาจทำอะไรได้เองเท่านั้น เขาช่างเป็นบิดาที่รักและเป็นห่วงบุตรสาว คุณหนูรองหลิงตัวจริงที่มีบิดาซึ่งรักใคร่เอ็นดูนางเช่นนี้ชาตินี้ก็คงไม่ต้องวิตกกังวลอะไรอีกแล้ว 


 


 


เพียงแต่น่าเสียดาย ที่นางไม่ใช่บุตรสาวที่แท้จริงของหลิงอ๋อง 


 


 


เมื่อคิดว่าบุตรสาวตัวจริงของเขานั้นอาจจะยังมีชีวิตอยู่ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวยิ่งนัก แต่ว่าโลกนี้ก็ล้วนเต็มไปด้วยคนที่เห็นแก่ตัว นางที่ได้รับความทุกข์ทรมานมามากมายเช่นนั้น ดวงใจของนางจึงไม่ค่อยจะหลงเหลือไว้ซึ่งความดีงามเท่าใดนัก  



ตอนที่ 271 เมี่ยวอวี้ 


 


 


 


 


 


นางหันหน้ากลับมามองหลิงอ๋อง เมื่อนึกถึงท่าทีโกรธเคืองก่อนหน้าที่จวินอู๋เหินจะกลับไปก็กำมือแน่น เอ่ยปากร้องขอว่า “เสด็จพ่อ ลูกอยากจะออกไปท่องเที่ยวหย่อนใจจริงๆ นะเพคะ พักนี้เกิดเรื่องต่างๆ มากมาย เมืองเฟิ่งเฉิงแห่งนี้ก็ช่างน่ากลัวยิ่งนัก” 


 


 


“ไม่ได้ ด้านนอกอันตรายเกินไป เรื่องนี้พ่อก็ได้ตัดสินใจแล้ว ไม่จำต้องกล่าวถึงอีก” หลิงอ๋องเปลี่ยนท่าทีจากรักใคร่เอ็นดูในยามปกติ เน้นย้ำในคำพูดของตัวเอง อย่างไรเสียก็ไม่อาจเห็นด้วย 


 


 


เมื่อพูดขึ้นมาเช่นนี้อวี้อาเหราก็ไม่เปิดปากพูดอะไรออกมาอีก ตอนนี้หลิงอ๋องก็ได้ตัดสินใจแล้ว ไม่ว่านางจะร้องขออย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ 


 


 


หลังจากได้รู้จักมานาน นางก็รู้ว่าหลิงอ๋องนั้นรักใคร่เอ็นดูนางอย่างแท้จริง อีกทั้งยังเกิดเรื่องราวไม่คาดฝันมามายมาย ไหนเลยจะยอมปล่อยให้บุตรสาวที่ตนรักต้องไกลจากตัวเองได้เล่า 


 


 


“เจ้ากลับห้องไปพักเถิด หากต้องการจะเล่นอะไรหรืออยากกินอะไรก็ให้คนมาบอกกล่าวกับพ่อ เพียงแต่เรื่องที่จะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกนั้นที่ไม่ต้องยกขึ้นมาพูดอีก ไปเถิด” หลิงอ๋องออกคำสั่ง อวี้อาเหราเองก็จนปัญญาที่จะรบเร้าต่อไป “เช่นนั้นลูกขอทูลลาเพคะ” 


 


 


หลังจากออกมาจากห้องหนังสือแล้ว เจาเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าประตูเห็นนางหน้านิ่วคิ้วขมวด ก็รีบเข้ามาถามทันที  


 


 


“เมื่อครู่นี้บ่าวเพิ่งจะเห็นท่านอ๋องน้อยเดินยิ้มออกไป ยังนึกว่าท่านอ๋องทรงยินยอมแล้วเสียอีก กลับไม่คิดว่า…ท่านอ๋องจะทรงไม่ยินยอม เช่นนี้คุณหนูก็มิสู้พักผ่อนรักษาร่างกายเถิดเจ้าค่ะ ไม่แน่ว่าหลังจากนี้แล้วยังจะมีโอกาสก็ได้นะเจ้าคะ” 


 


 


“เฮ้อ” อวี้อาเหราถอนหายใจออกมา กวาดตามองเจาเอ๋อร์อย่างจนใจ ตอนนี้นางก็ทำได้แค่นี้เท่านั้นล่ะ 


 


 


หลังจากที่สองนายบ่าวกลับไปถึงเรือนพักแล้ว หลิงอ๋องก็ได้ส่งสาวใช้ที่ดูท่าทางคล่องแคล่วผู้หนึ่งมา 


 


 


เจาเอ๋อร์เดินนำนางเข้ามาในห้อง สาวใช้ผู้นั้นรูปร่างคล่องแคล่วปราดเปรียว เมื่อเห็นอวี้อาเหราแล้วก็รีบคุกเข่าลงคารวะทันที “บ่าวคารวะคุณหนูรองเจ้าค่ะ” 


 


 


“เจ้าคือ?” อวี้อาเหราที่กำลังดื่มชาอยู่นั้นพลันชะงักไปเล็กน้อย 


 


 


“ท่านอ๋องทรงเห็นว่ามีเจาเอ๋อร์คอยดูแลคุณหนูคนเดียวนั้นเกรงว่าจะยุ่งเกินไป อีกทั้งคุณหนูใหญ่ก็ยังมีสาวใช้ตั้งสองสามคนคอยช่วยดูแล เพราะอย่างนี้จึงส่งเมี่ยวอวี้มาช่วยเหลือดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของคุณหนูเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้ตอบด้วยวาจาฉะฉาน 


 


 


อวี้อาเหราหลุบสายตาลง มุมปากเผยเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย แม้ต่อหน้าหลิงอ๋องจะส่งเมี่ยวอวี้มาคอยดูแลนาง แต่ความจริงแล้วคงเพราะกลัวว่านางจะแอบหนีออกไปนอกจวนสินะ เมื่อคิดเช่นนี้นางก็เงยหน้าขึ้น “เมี่ยวอวี้ใช่หรือไม่? เป็นชื่อที่ดีนัก เช่นนั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่กับข้าเถิด เพื่อตอบแทนความปรารถนาดีของเสด็จพ่อ” 


 


 


“ขอบพระคุณคุณหนูรองเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้ทำความเคารพอย่างยินดี 


 


 


เจาเอ๋อร์ลอบปรายตามองเมี่ยวอวี้เล็กน้อย เมื่อเห็นว่าถ้วยชาของอวี้อาเหราว่างเปล่าก็รีบเข้ามารินชาให้ แต่ยังไม่ทันจะแตะกาน้ำชา กลับถูกเมี่ยวอวี้ชิงแย่งไปเสียก่อน แต่ปรากฏว่าในกาน้ำชานั้นไม่มีน้ำชาอยู่แล้ว เมี่ยวอวี้จึงได้แต่ยิ้มอย่างขออภัย “คุณหนูรองโปรดรอสักครู่นะเจ้าคะ บ่าวจะรีบไปชงชามาให้ใหม่เจ้าค่ะ” 


 


 


“อืม ไปเถิด” อวี้อาเหราพยักหน้าลง 


 


 


เมื่อเมี่ยวอวี้ไปแล้ว เจาเอ๋อร์ที่ถูกแย่งหน้าที่ก็ไม่ค่อยยินดีเท่าไรนัก “คุณหนูเจ้าค่ะ เมี่ยวอวี้ผู้นี้ชัดเจนว่ามีเจตนาอื่นแอบแฝง เห็นว่านางกระตือรือร้นเช่นนี้ แต่นางก็คงคิดว่าเป็นท่านอ๋องที่ส่งนางมาแล้วจะทำอะไรก็ได้ แต่นี่ก็ช่างมันเถิดเจ้าค่ะ แต่เหตุเท่านถึงยอมให้นางอยู่ที่นี่ล่ะเจ้าคะ” 


 


 


“เจาเอ๋อร์ เจ้าอิจฉาหรือ” อวี้อาเหราหัวเราะ “เสด็จพ่อคิดจะส่งนางมาจับตาดูข้า เช่นนั้นข้าจะให้นางดูเสียให้พอ ต้องเอานางไว้ใกล้ๆ ตัวสิถึงจะค่อยวางใจ อีกอย่างนางก็ดูฉลาดเฉลียวเกินไปหน่อย มีความจำเป็นใดที่เจ้าต้องกระฟัดกระเฟียดถึงเพียงนี้?” 


 


 


“เจ้าค่ะ บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินอวี้อาเหรากล่าวเช่นนี้ เจาเอ๋อร์ก็วางใจ เป็นการรับประกันว่าตัวเองนั้นสนิทสนมกับคุณหนูมากกว่าเมี่ยวอวี้ ในใจก็ค่อยคลายความไม่พอใจลง เพียงแต่เมี่ยวอวี้ผู้นี้ก็ช่างไม่รู้จักประมาณตนเอาเสียเลย… 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 272 เช่ารถม้า 


 


 


 


 


 


อวี้อาเหราดื่มชาที่เพิ่งชงเสร็จในมือด้วยความสบายอารมณ์ หลังจากที่โดนหลิงอ๋องปฏิเสธนางก็ไม่ได้แสดงท่าทีร้อนรนเลยแม้แต่น้อย ทำให้เจาเอ๋อร์ก็ยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจคุณหนูของตนมากขึ้น 


 


 


“เจาเอ๋อร์” จู่ๆ อวี้อาเหราก็เอ่ยถามขึ้นมาในทันที “ตอนนี้เป็นยามใดแล้ว” 


 


 


“เรียนคุณหนู ใกล้จะถึงยามอู่[1]แล้วเจ้าค่ะ เช่นนั้นบ่าวจะไปเตรียมอาหารให้คุณหนูนะเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์มองออกไปยังท้องฟ้า แล้วจึงพูดขึ้นตามการคาดคะเน 


 


 


อวี้อาเหราพยักหน้าลง “ดี เจ้าก็ไปที่ห้องครัวบอกให้คนเตรียมไว้ก็พอ แล้วอีกประเดี๋ยวเจ้าก็แอบออกไปเช่ารถม้าดีๆ มาสักคันเถิด” 


 


 


“คุณหนูจะเอารถม้าไปทำอะไรหรือเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์ตกใจ ทันใดนั้นก็คิดขึ้นมาได้ “ท่านคงไม่ได้คิดที่จะแอบออกไปนอกจวนหรอกนะเจ้าคะ” 


 


 


“ไม่ผิด” ดวงตาของอวี้อาเหราวาบประกายแน่วแน่ 


 


 


“หา? ไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ หากท่านอ๋องรู้ว่าบ่าวจ้างรถม้าให้คุณหนู คงได้ตีบ่าวจนขาหักแน่ หากคุณหนูอยากจะให้บ่าวอยู่รับใช้ปรนิบัติท่านต่อ ก็อย่าได้หนีออกไปเลยนะเจ้าคะ…” เจาเอ๋อร์อ้อนวอนด้วยท่าทีเป็นทุกข์ 


 


 


อวี้อาเหราถลึงตาจ้องมองนาง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีข่มขู่ “หากเจ้าไม่ไป เช่นนั้นข้าก็จะไปคนเดียว เมื่อถึงตอนนั้นหากเสด็จพ่อรู้ว่าเจ้าดูแลข้าไม่ดี จะต้องลงโทษเจ้าเป็นแน่ ตกลงเจ้าจะไปหรือไม่” 


 


 


“คุณหนู เหตุใดท่านถึง…” 


 


 


เหตุใดจะต้องบีบบังคับนางด้วยเล่า? ในใจของเจาเอ๋อร์แอบหลั่งน้ำตา ในเมื่อบังคับนางเช่นนี้ นางก็คงได้แต่ต้องกล้ำกลืนฝืนทน “เช่นนั้นคุณหนูคิดจะออกไปเมื่อใดหรือเจ้าคะ” 


 


 


“ก่อยยามฟ้าสางของวันพรุ่งนี้” 


 


 


เมื่ออวี้อาเหราเห็นเจาเอ๋อร์เดินออกไปด้วยความจนใจ ที่ริมฝีปากก็แย้มยิ้มออกมาอย่างยินดี 


 


 


ในเมื่อหลิงอ๋องไม่ยอมให้นางออกไปอย่างเปิดเผย เช่นนั้นนางก็ต้องแอบหนีออกไปน่ะสิ! 


 


 


หลังจากที่เจาเอ๋อร์ออกไปแล้ว เมี่ยวอวี้ก็เพิ่งจะชงชาเสร็จและเดินเข้ามาพอดี 


 


 


อวี้อาเหรามองนางเล็กน้อยด้วยสายตาเรียบเย็น “เจ้าออกไปเฝ้าด้านนอกเถิด ในห้องมีเจาเอ๋อร์คอยปรนิบัติข้าอยู่แล้ว” 


 


 


“เจ้าค่ะ เช่นนั้นบ่าวขอลา” เมี่ยวอวี้เข้าใจความนัยในคำพูดของนาง  


 


 


อวี้อาเหรายกมือเท้าคาง อย่างไรเสียเจาเอ๋อร์นั้นอยู่ข้างกายนางมานานถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังซื่อสัตย์ภักดีเป็นที่สุด ทว่าเมี่ยวอวี้ผู้นี้แม้ว่าจะเป็นคนของหลิงอ๋อง แต่อย่างไรนางก็ไม่ใช่หลิงอ๋อง ต่อไปหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทางที่ดีก็ควรจะหลีกเลี่ยงนางเอาไว้จะดีกว่า 


 


 


เจาเอ๋อร์ยกอาหารเข้ามา มองเมี่ยวอวี้ที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างนอกแล้วย่นจมูก แล้วจึงค่อยเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นอวี้อาเหราก็ยิ้มและกล่าวว่า “คุณหนู ท่านนี่จริงๆ เลยนะเจ้าคะ เมี่ยวอวี้เป็นคนที่ท่านอ๋องส่งมาให้แท้ๆ เหตุใดท่านถึงได้ให้นางออกไปคอยรับใช้อยู่ภายนอกเล่าเจ้าคะ”  


 


 


“หรือเจ้าอยากจะเปลี่ยนหน้าที่กับนาง?” อวี้อาเหราเลิกคิ้วมองเจาเอ๋อร์ที่กำลังพูดจาเหน็บแนม 


 


 


“เช่นนั้นก็ช่างเถิดเจ้าค่ะ บ่าวก็ชอบปรนนิบัติคุณหนูมากกว่า” เจาเอ๋อร์รีบส่ายหน้าทันที 


 


 


“ทานข้าวเถิด” อวี้อาเหราหุบยิ้ม ก่อนจะมองอาหารในถาดที่นางยกเข้ามา 


 


 


“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์วางอาหารเรียงรายตรงหน้านาง 


 


 


หลังจากทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว หลังจากรอให้เจาเอ๋อร์เก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อย เมี่ยวอวี้ก็เข้ามาพร้อมกับชาร้อนหนึ่งถ้วย ยิ้มแย้มขณะที่กล่าวกับอวี้อาเหราว่า “บ่าวเกรงว่าคุณหนูจะรับประทานอาหารจนเลี่ยน เช่นนั้นจึงตั้งใจที่จะชงน้ำชามาให้เจ้าค่ะ ชาชนิดนี้ช่วยกำจัดอาการเลี่ยนได้ กลิ่นหอมสดชื่น คุณหนูลองดื่มดูสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


“หลังทานอาหารเสร็จ คุณหนูมักจะชอบทานขนม” เจาเอ๋อร์ไม่พอใจอยู่บ้าง 


 


 


อวี้อาเหราได้กลิ่นหอมมาแต่ไกลๆ จึงไม่สนใจคำพูดของเจาเอ๋อร์อีก “เอาสิ เจ้ายกเข้ามาเถิด” 


 


 


สีหน้าของเจาเอ๋อร์ยิ่งฉายชัดถึงความไม่พอใจ 


 


 


เมี่ยวอวี้ยกน้ำชาเข้ามาด้วยท่าทีที่ยินดีเป็นยิ่งนัก 


 


 


อวี้อาเหรารับมาจิบน้อยๆ หนึ่งคำ ก็มองออกได้ว่าเมี่ยวอวี้ผู้นี้ช่างเอาใจใส่ยิ่งนัก น้ำชาถ้วยนี้ไม่เหมือนน้ำชาที่เคยดื่มยามปกติ เมื่อกลืนลงคอไปแล้วก็รู้สึกลื่นคอ ความเลี่ยนของอาหารที่มีก็ชืดจางไป นางจึงดื่มชาถ้วยนี้จนหมดด้วยความพออกพอใจ 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ยามอู่ ช่วงเวลา 11.00 – 13.00 น. 



ตอนที่ 273 ดูอาการ 


 


 


 


 


 


“ไม่เลว” 


 


 


“หากคุณหนูชอบ หลังจากนี้บ่าวจะชงมาให้ทุกวันเลยเจ้าค่ะ” 


 


 


“อืม” 


 


 


หลังจากที่เมี่ยวอวี้เดินจากไปแล้ว เจาเอ๋อร์ก็หันกลับมา ส่งจานขนมบนโต๊ะให้นางอย่างเคืองๆ “คุณหนู ท่านทานเถิดเจ้าค่ะ” 


 


 


อวี้อาเหราทานเข้าไปสองสามคำ เมื่อเห็นท่าทีกระเง้ากระงอดของนางแล้วก็ทำเพียงยิ้มไม่พูดจา 


 


 


ยามนี้ เมี่ยวอวี้ก็เข้ามารายงานว่า “คุณหนู อนุรองและคุณหนูใหญ่ขอเข้าพบท่านเจ้าค่ะ” 


 


 


“หือ?” อวี้อาเหราเกิดความสนใจขึ้นมาในทันที มองออกไปทางด้านนอก “พวกนางมาทำไมกัน” 


 


 


“พวกนางกล่าวว่า กลัวว่าท่านจะขวัญเสียเพราะเรื่องลักพาตัวเมื่อ เช่นนั้นจึงได้มาเยี่ยมเจ้าค่ะ” ยามที่เมี่ยวอวี้กล่าววาจานั้น ดวงตาของนางก็เปล่งประกายแปลกๆ ทว่าเมื่อเห็นสายตาของอวี้อาเหราที่มองมา เมี่ยวอวี้ก็รีบก้มหน้าลง “คุณหนูจะให้พวกนางเข้ามาหรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


“อืม” อวี้อาเหราพยักหน้าลง นางไม่เชื่อว่าอนุรองจะมีจิตใจดีงามถึงเพียงนี้ แต่ก็พยายามที่จะระงับอารมณ์โกรธของตัวเองไว้ เพราะนางอยากจะรู้ว่าสองแม่ลูกกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ นางจะต้องใช้โอกาสก่อนที่จะไปยังตลาดมืดนั้นสั่งสอนพวกนางเสียก่อน มิเช่นนั้นหากเห็นว่านางไม่อยู่อาจจะมีท่าทีกระด้างกระเดื่องขึ้นมาได้ 


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์รีบเลิกม่านออก ก่อนจะเชิญพวกนางเข้ามา 


 


 


เจาเอ๋อร์ขมวดคิ้วมุ่น “คุณหนู อนุรองกับคุณหนูใหญ่นั้น…” 


 


 


“ชู่” อวี้อาเหรารีบยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากแล้วทำเสียงให้เจาเอ๋อร์เงียบ เจาเอ๋อร์จึงรีบปิดปากฉับทันที ได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาในห้อง เมื่อมองไปก็เห็นอนุรองลากอวี้จื่อเยียนที่ไม่เต็มใจเข้ามาในห้องของอวี้อาเหรา 


 


 


“ข้าน้อยคารวะคุณหนูรอง” 


 


 


“อนุรองไม่ต้องมากพิธี” อวี้อาเหรายิ้มแย้มสดใส นั่งอยู่บนเก้าอี้ขณะที่กำลังหยิบขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมาเล่น เมื่อได้ยินเสียงอนุรองแล้วนางก็เบนสายตาจากขนมที่เล่นอยู่ สายตามองไปยังร่างของสองแม่ลูก “ครรภ์ของอนุรองนั้นมีค่ามากนัก หากมาหกล้มอะไรไปต่อหน้าข้าก็คงจะไม่ดีนัก” 


 


 


“คุณหนูกล่าววาจาล้อเล่นแล้ว สองสามวันมานี้ข้าน้อยทานยาบำรุงมาโดยตลอด ไหนเลยร่างกายจะอ่อนแอปานนั้น” ใบหน้าของอนุรองนั้นพรายไปด้วยรอยยิ้ม ที่ข้างกายนั้นคืออวี้จื่อเยียนที่มีท่าทีไม่ยินดีนัก เงยหน้าขึ้นมองอวี้อาเหราอย่างเกียจคร้าน 


 


 


“ท่านแม่ ท่านลากข้ามาที่นี่ทำไมเจ้าคะ” 


 


 


“เงียบนะ” อนุรองต่อว่า อวี้จื่อเยียนจึงเงียบปากอย่างรู้งาน 


 


 


อวี้อาเหราตีหน้าขรึม “อนุรองคงไม่ได้มาเยี่ยมข้าจริงๆ หรอกใช่หรือไม่ นี่ก็ฟังไม่ขึ้นเลยจริงๆ!”  


 


 


“ฟังไม่ขึ้นอะไรกัน” อนุรองหัวเราะออกมา “คุณหนูรองมีสถานะสูงส่ง ที่ข้าน้อยมาเยี่ยมนั้นก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าคุณหนูท่านบาดเจ็บตรงที่ใดบ้าง นักฆ่าผู้นั้นก็ช่างหาญกล้าเทียมฟ้ายิ่งนัก อุกอาจกล้าที่จะก่อการหน้าประตูวังได้ ไม่รู้จักพวกเราเสียแล้ว!” 


 


 


อวี้อาเหราเห็นอนุรองแสร้งทำเป็นมีศีลธรรมจรรยา เช่นนั้นก็เอ่ยปากอย่างสอดคล้องกัน “ข้าสบายดีมาก” 


 


 


เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ ท่าทีของอนุรองก็ชะงักไป จากนั้นก็ถึงพูดขึ้นว่า “ร่างกายของคุณหนูรองเกี่ยวพันผู้คนทั้งจวนอ๋อง แน่นอนว่าจะต้องดูแลรักษาให้ดีๆ เมื่อครู่นี้ข้าน้อยเพิ่งจะเชิญหมอฝีมือดีจากข้างนอกมาเพื่อดูอาการท่าน คุณหนูรองจะลองตรวจอาการดูเสียหน่อยเป็นอย่างไร” 


 


 


ดูอาการให้นาง? ทันใดนั้นอวี้อาเหราก็หรี่ตาลงอย่างระแวดระวัง อนุรองไม่ใช่คนดีถึงเพียงนี้แน่ๆ แต่จู่ๆ กลับให้คนมาดูอาการป่วยของนางเช่นนี้ แน่นอนว่าจะต้องมีเจตนาอะไรแอบแฝงอยู่เป็นแน่ 


 


 


ตลอดเวลาที่พูดคุยกันนั้นอนุรองเห็นนางไม่มีท่าทีอะไรแม้แต่น้อย จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยวาจาเร่งรัด “คุณหนูรอง เมื่อครู่นี้ข้าน้อยก็ได้ขออนุญาตท่านอ๋องแล้ว พระองค์ตรัสว่าจะต้องให้ตรวจดูอย่างละเอียด ด้วยเกรงว่าจะเกิดเรื่องผิดพลาดอันใดขึ้น หรือว่าที่คุณหนูไม่ยอมให้พวกเราตรวจดู ก็เป็นเพราะมีเรื่องลำบากใจอันใดอยากจะปกปิดพวกเราหรือ” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 274 ขู่บังคับ 


 


 


 


 


 


เรื่องที่อยากจะปกปิด… 


 


 


อวี้อาเหราจ้องมองดวงตาของอนุรอง มองเห็นประกายความมุ่งมาดในดวงตาของนางอย่างชัดเจน ทันใดนั้นมุมปากของนางก็ค่อยๆ ยกโค้งขึ้น มิน่าเล่าถึงได้เชิญหมอมาตรวจดูอากาของนางด้วยความปรารถนาดีเช่นนี้ นี่เป็นเพราะครั้งก่อนพวกนางก็สงสัยเรื่องตัวตนของนางอยู่ก่อนแล้วสินะ อีกอย่างอนุรองยังเป็นคนเลี้ยงดูคุณหนูรองตัวจริงจนเติบใหญ่ แน่นอนว่านางย่อมต้องรู้ถึงร่องรอยต่างๆ บนร่างกายของนางแน่ เช่นนั้นจึงใช้โอกาสนี้ในการตรวจสอบให้แน่ชัดว่านางนั้นเป็นคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริงหรือไม่ 


 


 


ช่างมีจิตใจที่ล้ำลึกยิ่งนัก 


 


 


ในช่วงเวลานี้ นางก็รีบพยักหน้าลงในทันที “ตกลง เจาเอ๋อร์ เจ้าพาอนุรองและพี่หญิงไปดื่มน้ำชาที่ห้องใหญ่ก่อน แล้วค่อยเชิญหมอเข้ามาตรวจชีพจรของข้า” 


 


 


“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อรไม่รู้ว่านางกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ เช่นนั้นจึงทำได้เพียงนำทางสองแม่ลูกให้ออกไปเท่านั้น 


 


 


ในห้องจึงเหลือเพียงหมอชราและเมี่ยวอวี้สองคน อวี้อาเหราออกคำสั่งเนิบๆ ว่า “เมี่ยวอวี้ เจ้าก็ออกไปพร้อมกับเจาเอ๋อร์เถิด” 


 


 


“บ่าวรับคำสั่งเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้ปิดประตูแล้วออกไป 


 


 


รอกระทั่งคนออกไปจนหมดแล้ว หมอชราถึงค่อยเอ่ยปากพูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “คุณหนูรองโปรดยื่นมือออกมาให้ข้าน้อยเถิดขอรับ” 


 


 


อวี้อาเหราไม่ขยับ มือที่กุมถ้วยชาเอาไว้ค่อยๆ กระชับแน่นขึ้น หรี่ตาลงแล้วมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา น้ำเสียงเย็นชาเปล่งออกมาจากลำคอ หมอชราพลันรู้สึกได้ถึงความกดดันที่ไร้ลักษณ์ขนานใหญ่ “เจ้าคงจะรู้ใช่หรือไม่ว่าเรื่องใดควรพูด เรื่องใดไม่ควรพูด” 


 


 


“คุณหนูหมายถึงอะไรหรือ” ใบหน้าของหมอชราเผยให้เห็นความตื่นตระหนก ด้วยเพราะตกใจสีหน้าของนางเสียจนชะงัก น้ำเสียงที่ใช้พูดค่อยๆ สั่นเทาขึ้นมา 


 


 


“อย่ามาแกล้งโง่ต่อหน้าข้า!” อวี้อาเหราออกแรงบีบมากขึ้นจนถ้วยชาในมือแตกกระจาย น้ำชาไหลรอดผ่านช่องนิ้วของนาง แต่มือของนางกลับไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บ แม้แต่รอยเลือดสักหยดก็ไม่มี ค่อยๆ ใช้ผ้าเช็ดมือเช็ดน้ำชาที่ฝ่ามือออก แล้วจึงเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงเข้มงวด “ความหมายของข้าชัดเจนเป็นอย่างมาก ข้ามีสถานะเช่นไร นอกจากหมอหลวงแล้วมีใครกล้าที่จะตรวจชีพจรข้าอีกหรือ? หากวันหน้าตรวจพบความผิดปกติแม้เพียงน้อย ก็อย่าได้โทษว่าข้าลากคอเจ้าไปลงโทษ จวนอ๋องแห่งนี้ที่ไม่ขาดก็คือคนตาย ตอนนี้เจ้าก็คงจะรู้แล้วสินะ แล้วยังอยากที่จะตรวจอาการข้าอีกหรือไม่…” 


 


 


“คุณ…คุณหนูรองโปรดไว้ชีวิตด้วย!” หมอชราตกใจกลัวจนรีบคุกเข่าลง  


 


 


“เจ้าคงจะรู้แล้วสินะว่าต้องทำอย่างไร” อวี้อาเหราถามกลับ 


 


 


“ข้าน้อยทราบแล้วขอรัย” แพทย์ชราไม่กล้าที่จะพูดอะไรให้มากความ 


 


 


“ลุกขึ้นเถิด” อวี้อาเหราพยักหน้าลง น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นมาก 


 


 


หมอชราค่อยๆ ตะเกียกตะกายลุกขึ้น ก่อนจะลอบมองไปที่คุณหนูรอง ท่าทีเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ราวกับหญิงสาวที่ดุดันเข้มงวดเมื่อครู่นี้ไม่ใช่นาง แต่ก็ไม่กล้าบ่นอะไรแม้เพียงครึ่งคำ จึงยืนขึ้นอย่างเป็นทุกข์ มองนางที่ยังคงดื่มน้ำชาและทานขนมต่อไปอย่างไม่ทุกข์ร้อน 


 


 


ผ่านไปสักพัก อนุรองที่อดรนทนไม่ไหวก็เข้ามาดู “ท่านหมอ ร่างกายของคุณหนูมีอะไรผิดปกติหรือไม่”  


 


 


แพทย์ชรามองไปยังอวี้อาเหราเงียบๆ เมื่อยังคงเห็นนางดื่มน้ำชาด้วยท่าทีผ่อนคลายเช่นเดิม ซึ่งนางในยามนี้ก็นับว่าน่าหวาดกลัวว่ายามโกรธเคืองเป็นร้อยเท่า มุมปากของเขาก็กระตุก แล้วจึงตอบกลับไปว่า “ร่างกายของคุณหนูแข็งแรงดี แต่เพราะได้รับความตกใจจึงทำให้เลือดลมอ่อนแอ ขอเพียง…ดื่มน้ำแกงพุทราแดงเพื่อบำรุงสุขภาพก็ไม่ต้องกังวลอะไรขอรับ” 


 


 


“จริงหรือ” อนุรองไม่อยากเชื่อเท่าใดนัก “ท่านไม่พบความผิดปกติใดเลยหรือ” 


 


 


นางพูดขึ้นโดยแฝงความนัยอย่างเห็นได้ชัด หมอชราเม้มปาก เขาไม่ได้ตรวจชีพจรเลยด้วยซ้ำ ไหนเลยจะรู้ได้ว่านางป่วยเป็นอะไรกันแน่ แต่กระนั้นก็ไม่กล้าพูดความจริงออกไป เพราะหากทำเช่นนั้นก็คงเท่ากับเป็นการรนหาที่ตาย เขาเพิ่งจะเห็นคุณหนูรองบีบถ้วยชาแตกกับมือตัวเอง คนธรรมดาก็จะทำเช่นนั้นได้หรือ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม