รักเล่ห์เร้นใจ 267-273

ตอนที่ 267 ปรับความเข้าใจ

 

“พี่หว่านเอ๋อร์ อรุณสวัสดิ์!” ผู้ช่วยเอามื้อเช้ามาให้ 


 


 


“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” หลินหว่านพูดยิ้มๆ 


 


 


“อื้อ วันนี้ต้องไปถ่ายละคร ต้องทำตัวมีชีวิตชีวาหน่อยนะคะ!” 


 


 


“เรื่อง ‘รักเล่ห์เร้นใจ’ ฉากที่ 34 ครั้งที่หนึ่ง …” 


 


 


ปึง! 


 


 


เสียงตีเสลทดังขึ้น หลินหว่านรีบเปลี่ยนท่าทีเป็นอ่อนล้า ฉากนี้เธอแสดงเป็นคนรับบาดเจ็บสาหัส เป็นฉากก่อนที่เธอจะแกล้งตาย ในบทเธอต้องปิดบังทุกคนรวมทั้งคนที่เธอรักมากคนนั้น ให้พวกเขาเข้าใจว่าเธอตายไปแล้ว ในฉากนี้เธอต้องแสดงออกมาว่าไม่อาจหักใจจากพระเอก และยังรู้สึกผิดที่หลอกลวงพระเอกอีกด้วย 


 


 


ในกล้อง นางเอกเอนร่างอยู่ในอ้อมอกของพระเอก ใบหน้าขาวซีด มือข้างหนึ่งพยายามลูบคลำใบหน้าของพระเอก แต่มือที่ยื่นออกไปร่วงลงกลางอากาศ 


 


 


“ไม่! …” เสียงร้องตะโกนของพระเอกดังก้องไปทั้งกองถ่าย 


 


 


“ผ่าน!” 


 


 


สิ้นเสียงผู้กำกับ กองถ่ายก็มีเสียงปรบมือดังขึ้น 


 


 


“ว้าว เก่งมากเลย! ดูจนฉันอยากจะร้องไห้เลย สงสารพระเอกจัง!” เจ้าหน้าที่คุมไฟตื่นเต้นไปหน่อย พูดพลางดึงคนงานอีกคนที่ด้านข้าง 


 


 


“ฉันก็เหมือนกัน รู้สึกเหมือนกับว่านางเอกจะจากไปแล้วจริงๆ แสดงได้ดีมากเลย!” อีกคนก็เหมือนกัน ทั้งสองตื่นเต้นจนกระโดดกอดกัน นักแสดงตัวประกอบหญิงฟังอยู่ด้านข้าง ไม่แสดงอาการอะไรเลย ก่อนจากไปหัวเราะเสียงเยาะหยันทีหนึ่ง 


 


 


“พี่หว่านเอ๋อร์ พี่แสดงดีจังเลย” ผู้ช่วยเอาน้ำมาให้ พูดอย่างจริงใจ 


 


 


“ขอบใจนะ” หลินหว่านตอบ 


 


 


“รอเดี๋ยวค่อยยิ้มนะคะ” ช่างแต่งหน้าพูดอย่างเกรงใจ หลินหว่านรีบกลับมาทำหน้าเฉย ผู้ช่วยกับช่างแต่งหน้าอดขำไม่ได้ 


 


 


พระเอกเข้าฉากนี้เสร็จ ต้องรีบไปประชาสัมพันธ์ละครเรื่องอื่นต่อ นี่เป็นเรื่องที่บอกกันก่อนแล้ว ดังนั้นฉากต่อไปจึงถ่ายทำส่วนของนางเอกกับตัวประกอบหญิง ฉากนี้เป็นตอนที่ตัวประกอบหญิงทราบว่าพ่อของนางเอกเป็นฆาตรกรฆ่าพ่อแม่ของพระเอก เวลาเดียวกันก็พบว่านางเอกยังไม่ตาย จึงใช้แผนให้พระเอกมาแอบฟังที่ข้างกำแพง ขณะที่เธอเค้นถามนางเอก ให้พระเอกได้รู้ความจริง เนื่องจากมุมกล้องของพระเอกแยกถ่ายต่างหาก จึงเก็บไว้แยกถ่ายทำคนเดียวภายหลังได้ 


 


 


“เฮ้อ คนเขามีฝีมือกว่าพวกเรานะ” พอเห็นหลินหว่านออกมา ดาราหางแถว A ที่รอเข้ากล้องอยู่ด้านข้างพูดอย่างอิจฉา 


 


 


“มีฝีมือจริงด้วย ไม่งั้นจะอ่อยได้ผู้จัดการของอันซวี่กรุ๊ปรึ” ดาราหางแถว B เสริมขึ้น 


 


 


“ใช่เลยๆ หึ ความสามารถแบบนี้ไม่ใช่ทุกคนจะเรียนรู้กันได้นะ” 


 


 


“ใช่! แต่โชคดีที่ฟ้ามีตา คนที่ขึ้นสู่ที่สูงด้วยวิธีการเธอ ก็ไม่ควรจะอยู่รอดได้นะ” 


 


 


“งั้นสิ! ไม่น่าเลย!” ทั้งสองพูดอย่างอิจฉาริษยาหลินหว่าน 


 


 


“ได้ยินว่า คราวนี้ท่านประธานเซียวดูเหมือนไม่ได้มาเยี่ยมกองถ่ายนะ” คนงานพูด 


 


 


“เธอไม่เห็นข่าวเหรอ? บอกว่าหลินหว่านคบซ้อน!” อีกคนเล่าข่าวเล่าให้ฟังอย่างยินดีสุดๆ 


 


 


“มีกิ๊ก?!” 


 


 


“งั้นสิ! มีขาใหญ่เลี้ยงแล้วยังไม่พอ คราวนี้งามหน้าล่ะ ตกม้าตายซะแล้ว” 


 


 


“จริงหรือเปล่าที่ว่าท่านประธานเซียวไม่มา?” 


 


 


“ฉันว่าจริงล่ะ!” 


 


 


“เรื่อง ‘รักเล่ห์เร้นใจ’ ฉากที่ 67 ครั้งที่สาม …!” 


 


 


“ปึง!” 


 


 


“ตึง” หลินหว่านที่แสดงเป็นนางเอกถูกตัวประกอบหญิงผลักล้มลงกับพื้น นางเอกเพิ่งจะยอมรับว่าพ่อของเธอฆ่าพ่อแม่ของพระเอก ถึงแม้เธอจะไม่ได้เป็นคนทำ แต่นางเอกก็ละอายใจต่อเรื่องนี้มาก รู้สึกไม่มีหน้าพบกับพระเอก 


 


 


“ดูไม่ออกจริงๆ นะ!” ตัวประกอบหญิงหยิกหน้านางเอกอย่างแรง ราวกับว่าคนที่ถูกฆ่าไม่ใช่พ่อแม่ของพระเอกแต่เป็นพ่อแม่ของตัวเอง “คุณหนูใหญ่กุลสตรีผู้ดีงาม ถึงกับทำเรื่องไร้ศีลธรรมแบบนี้ แถมยังมีหน้าเสนอตัวเข้ามาใกล้ชิดกับลูกชายเขาอีก ทำให้ลูกชายของพวกเขารักเธอ” 


 


 


ตัวประกอบหญิงผลักนางเอกอย่างแรงอีกครั้ง มือของนางเอกที่ยันพื้นครูดกับพื้นหินจนได้แผล 


 


 


“ฉันไม่ได้ทำ!” นางเอกปฏิเสธ 


 


 


“เธอเห็นว่าการได้หลอกคนเล่นนี่มันน่าสนุกมากนักหรือไงหา! ดูเขาวิ่งหัวหมุนเพราะเธอโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย?” ตัวประกอบหญิงสีหน้าบิดเบี้ยวผิดรูป “ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะมีจิตใจชั่วร้ายแบบนี้ น่าสงสารเขาที่นึกถึงแต่เธอ! วันนี้ฉันจะเรียกร้องความเป็นธรรมเอง ให้เธอชดใช้ชีวิต!” 


 


 


“ผ่าน!” 


 


 


ผู้กำกับร้องขานเสร็จ หลินหว่านแอบถอนใจโล่งอก เดิมทีฉากผลักเธอพวกนี้ไม่มีในบท แต่อีกฝ่ายใช้เหตุผล ‘อินบทมากไป’ เป็นข้ออ้าง บอกว่าแบบนี้จะแสดงอารมณ์ของตัวประกอบหญิงออกมาให้ผู้ชมได้ฟินไปกับละครได้ อีกทั้งได้รับรู้อารมณ์ของตัวละครในขณะนั้น ผู้กำกับเห็นด้วย หลินหว่านแม้จะมีชื่อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะล่วงเกินผู้กำกับได้ง่ายๆ ถึงอย่างไรเธอยังต้องอยู่ในวงการแสดงต่อไปอีก 


 


 


“พี่หว่านเอ๋อร์ ลำบากแล้ว” ผู้ช่วยรีบเข้ามาพยุง 


 


 


“ซี้ด…” ตอนผู้ช่วยจับถูกแขนหลินหว่าน เธอเจ็บจนครางออกมา 


 


 


“เป็นอะไรไปคะ? พี่หว่านเอ๋อร์?” ผู้ช่วยไม่กล้าจับซี้ซั้วอีก 


 


 


“ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ” แน่นอนว่าหลินหว่านไม่พูดออกมา เรื่องนี้ตัวประกอบหญิงใช้เป็นข้ออ้างลงมือกับเธอ ใช้แรงหนักมาก ดูเหมือนจะไม่ชอบหน้าเธอเอามากๆ หลินหว่านหัวเราะตัวเอง 


 


 


“เมื่อก่อนมีคนดูแลปกป้องตลอด ถึงได้ผิวบางซะ” ถึงตอนนี้ตัวประกอบหญิงเอ่ยปากซ้ำเติม “ไม่เหมือนพวกเรา ต้องล้มลุกคลุกคลานกันมาตลอด ตอนนี้ เธอคงได้ลิ้มรสดูบ้างแล้วกระมัง” 


 


 


หลินหว่านไม่ได้สนใจท่าทีเยาะเย้ยถางถางของอีกฝ่าย ถึงยังไงฉากเข้ากล้องวันนี้ก็ถ่ายเสร็จแล้ว จึงกลับโรงแรมไปพักผ่อน 


 


 


@กินแตงชมฉากเด็ด: ID ฉันตั้งได้ถูกใจมาก ชมฉากเด็ดทุกๆ วัน หลินหว่านเพิ่งคบซ้อน ตอนนี้ขาใหญ่ก็ไม่ยอมแพ้ รีบเข้าอุ้มอี้อวิ๋นฉัง พี่น้องร่วมสามี? กินแตงกินแตง! [1] 


 


 


@รักแท้ของหว่านหว่าน: หว่านหว่านของพวกเราคบซ้อนที่ไหนกัน เล่าลือกันไปเองทั้งนั้น!! เห็นแบบนี้แล้ว เห็นชัดเลยว่าฝ่ายชายนอกใจก่อน นอนด้วยกันขนาดนี้แล้ว! น่าสงสารหว่านหว่าน อือๆๆ  


 


 


@กระรอกในโพรงไม้: อี้อวิ๋นฉังกับหลินหว่านเป็นพี่น้องแท้ๆ? เรื่องนี้สมกับเป็นวงการบันเทิง ขาใหญ่คงไม่ใช่พี่ชายหรอกกระมัง 


 


 


@จุ๊บๆ อวิ๋นฉัง: อือๆๆ ถึงจะรู้สึกเหมือนไอดอลถูกแย่งไป แต่ยังหวังว่าคุณจะโชคดีมีสุข 


 


 


…… 


 


 


“เจ้านาย คุณได้ดูเรื่องฮอตในเวยปั๋วหรือยัง?” เลขารีบร้อนมาถึง 


 


 


“บอกมาเลย” เซียวจิ่งสือพูดสั้นกระชับได้ใจความ 


 


 


“คุณอ่านเองเถอะครับ” คราวนี้เลขารู้เอาตัวรอดเป็นยอดดี 


 


 


เซียวจิ่งสือขึงตามองอีกฝ่าย เปิดดูเวยปั๋ว ลำดับแรกข่าวฮอต ‘อี้อวิ๋นฉัง…คู่ควงคนใหม่ #น้องสาวหลินหว่าน#’ 


 


 


เวยปั๋วของอี้อวิ๋นฉังขึ้นสุดติ่ง เป็นภาพถ่ายของเธอกับเซียวจิ่งสือนอนอยู่ด้วยกัน ข้อความเขียนว่า @พี่หลินหว่าน ฉันก็ได้พบรักแท้แล้วล่ะ นี่เป็นการฉลองคบกันร้อยวันของพวกเรา [เอียงอาย] [มีความสุข]  


 


 


เซียวจิ่งสือนึกถึงความรู้สึกของหลินหว่านโดยไม่ต้องคิด เป็นความเคยชินในหลายปีมานี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมเธอจึงโกรธเขา มิน่าเล่าเธอจึงถามว่าเขาทำอะไรเกินเลยไปบ้าง ผู้ชายของตัวเองกับผู้หญิงอื่นนอนอยู่ด้วยกัน ใครบ้างไม่โกรธ ใครบ้างจะไม่เสียใจ! 


 


 


หรือว่าเธอจะรู้เรื่องภาพถ่ายนี้แต่แรก? เซียวจิ่งสือไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายถ่ายภาพนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขายังไม่รู้ด้วยว่าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] กินแตง ในที่นี้หมายถึง พวกชาวมุงนั่งดูและวิจารณ์อยู่รอบนอก  

 

 


ตอนที่ 268 เปรียบเทียบ

 

หลินหว่านเห็นเวยปั๋วที่อี้อวิ๋นฉังโพสต์ลงเน็ต แค่นหัวเราะทีหนึ่ง เธอไม่เข้าใจเลยว่าอี้อวิ๋ฉังทำไมจึงหน้าหนาได้ขนาดนี้ เพราะเพื่อแย่งตัวเซียวจิ่งสือ ถึงกับไปทำศัลยกรรมหน้าใหม่ยังไม่พอ ยังจะมาแอบอ้างว่าเป็นน้องสาวของเธออีก คิดจะทำลายชื่อเสียงกันถึงขนาดนี้เชียว? 


 


 


หลินหว่านนั่งอยู่บนเก้าอี้ ในมือถือเป็นภาพขยายใหญ่ที่อี้อวิ๋นฉังโพสต์ลงเวยปั๋ว ดูท่าเซียวจิ่งสือคงไม่ได้รักเธอเหมือนที่เขาพูด ไม่อย่างนั้นจะเกิดเรื่องแบบนี้กับอี้อวิ๋นฉังได้ยังไงกัน และอี้อวิ๋นฉังก็ยังมีใบหน้าที่เหมือนกับเธออีกด้วย 


 


 


หลินหว่านโมโหจนทนไม่ได้ จึงเข้าไปที่ออฟฟิศโพสต์ข้อความลงเวยปั๋ว เป็นประกาศ อย่างเป็นทางการ บอกว่าเธอเป็นลูกสาวคนเดียว ไม่มีน้องสาวที่ไหนอีก ปฏิเสธอี้อวิ๋นฉังไปตรงๆ 


 


 


ประกาศของหลินหว่านได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะเรื่องนี้ผู้คนกำลังสนใจ ด้วยเกรงว่าจะมีเรื่องราวหักมุมขึ้นเมื่อไรก็ได้ เดิมทีหลายคนต่างก็มีชีวิตที่ไม่ค่อยสมหวังอยู่แล้ว ตอนนี้จึงหาความบันเทิงจากการดูเรื่องราวดราม่าของพวกซุปตาร์ดาราใหญ่ พวกเศรษฐีมีเงินซะหน่อย 


 


 


แฟนคลับของหลินหว่านย่อมออกมาสนับสนุนอยู่แล้ว คราวนี้เลยมีเหตุให้อี้อวิ๋นฉังเพิ่มดีกรีความฮอตขึ้นบ้าง ต่อให้พวกเขาหน้าตาเหมือนกันแล้วไง หลินหว่านไม่มีน้องสาวซะหน่อย 


 


 


อี้อวิ๋นฉังเห็นเวยปั๋วของหลินหว่าน ก็ยิ้มอย่างพอใจ เธอรู้อยู่แล้วว่าหลินหว่านต้องอับอายจนโมโห เธอกล้าโพสต์รูปของเธอกับเซียวจิ่งสือ ย่อมต้องมีแผนต่อเนื่อง หลินหว่านไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร เธอมีวิธีให้หลินหว่านชื่อเสียงย่อยยับอยู่แล้ว คิดจะแย่งเซียวจิ่งสือรึ นี่เป็นค่าตอบแทนที่เธอต้องจ่ายไงล่ะ 


 


 


อี้อวิ๋นฉังแอบโทรไปสายหนึ่ง ตอนนี้ข่าวลือบนเน็ตจัดการได้ง่ายจะตาย ก็แค่จ้างพวกมือโพสต์มาทำ แล้วเธอก็ไม่สนใจเงินแค่นั้นหรอก 


 


 


อี้อวิ๋นฉังจ้างมือโพสต์ ให้เข้าไปปั่นกระแสข่าวในบล็อกใหญ่ๆ หลายแห่ง บอกว่าหลินหว่านอิจฉาเธอ ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ดี สาเหตุที่ทำให้หลินหว่านไม่ยอมรับว่าเธอเป็นน้องสาวก็เพราะ ใครใช้ให้เธอกับหลินหว่านหน้าตาเหมือนกันเล่า หลินหว่านก็อธิบายไม่ได้ 


 


 


แผนการเป็นไปตามที่อี้อวิ๋นฉังวางเอาไว้ทีละขั้น 


 


 


ทีแรกหลินหว่านปฏิเสธตัวตนของอี้อวิ๋นฉัง ทุกคนก็เริ่มสงสัยความเป็นจริงของโพสต์อี้อวิ๋นฉัง ในเมื่ออี้อวิ๋นฉังไม่ใช่น้องสาวของหลินหว่าน งั้นเรื่องเธอกับเซียวจิ่งสือเป็นความจริงหรือเปล่า? 


 


 


แต่อี้อวิ๋นฉังจ้างมือโพสต์เข้ามาปั่นกระแสว่า ถ้าอี้อวิ๋นฉังไม่ใช่น้องสาวของหลินหว่าน งั้นสองคนทำไมถึงได้หน้าเหมือนกันขนาดนี้ บางแห่งยังเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียวกันเลย ถ้าไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ทั้งสองก็เหมือนกันจนเกินไป 


 


 


คำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ทำให้พวกขาจรที่ไม่รู้ความจริงเกิดความสงสัยได้ไม่น้อย อี้อวิ๋นฉังพอเห็นว่าตัวเองปั่นกระแสขึ้นมาได้ก็โหมรุก ให้เป็นไปตามแผนที่เธอวางไว้ทีละก้าว 


 


 


ในเวลานั้นได้เกิดกระแสเสียงอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา บอกว่าอี้อวิ๋นฉังก็คือน้องสาวแท้ๆ ของหลินหว่าน แต่หลินหว่านอิจฉาที่เธอสวยกว่าและฝีมือการแสดงดีกว่า จึงไม่ยอมรับอี้อวิ๋นฉัง 


 


 


ตอนแรกทุกคนก็ไม่ค่อยเชื่อหรอก เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่าฝีมือการแสดงของหลินหว่านดีมาก เรื่องที่เธออิจฉาฝีมือการแสดงและรูปโฉมของอี้อวิ๋นฉังจึงไม่น่าจะเป็นไปได้ 


 


 


แต่ต่อมาไม่รู้ว่าทำไมเกิดมีคลิปการแสดงของอี้อวิ๋นฉังกับหลินหว่านตอนอยู่ในกองถ่ายรั่วไหลออกมา ตอนนั้นสภาพของหลินหว่านไม่ค่อยดีนัก โดนเทคตลอด และยังถูกผู้กำกับด่าอีก นั่นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นตอนที่น้อยครั้งนักที่หลินหว่านจะแสดงได้ย่ำแย่ขนาดนี้ 


 


 


อี้อวิ๋นฉังกลับเอามาเป็นข้ออ้าง 


 


 


คลิปนี้ผ่านการตัดต่อมาก่อน ตอนนั้นเพราะอี้อวิ๋นฉังกับเธอหน้าตาเหมือนกัน จึงแสดงแทนเธอไปหลายตอน ดังนั้นในหลายๆ ฉากทั้งสองจึงดูเหมือนกันมาก 


 


 


คนทำคลิปใช้จุดนี้เป็นประโยชน์ ฝีมือการแสดงต้องเปรียบเทียบกันจึงจะเห็นฝีมือ ตอนนั้นหลินหว่านแสดงได้ไม่ดีจนอาจเรียกได้ว่าเป็นแย่มาก พอนำอี้อวิ๋นฉังกับเธอในตอนนั้นมาเทียบกัน จึงเป็นเรื่องแน่อยู่แล้วที่จะเห็นชัดถึงความแตกต่าง 


 


 


พอคลิปนี้หลุดออกมาก็พุ่งขึ้นเป็นคลิปฮอตในชั่วพริบตา กระแสข่าวลือเริ่มเปลี่ยนทิศทาง มีคนไม่น้อยเข้าข้างอี้อวิ๋นฉัง และมีคนไม่น้อยที่เชื่อว่าหลินหว่านไม่ยอมรับอี้อวิ๋นฉังเป็นน้องเพราะอิจฉาที่อี้อวิ๋นฉังสวยกว่าและฝีมือการแสดงดีกว่า นอกจากนี้คนส่วนใหญ่ยังเชื่อคลิปที่อี้อวิ๋นฉังโพสต์ เรื่องของเธอกับเซียวจิ่งสือ 


 


 


หลินหว่านแม้จะโกรธอยู่ ไม่อยากจะโผล่หน้าเข้าไปยุ่งกับอี้อวิ๋นฉังให้เสียอารมณ์ แต่ผู้จัดการของหลินหว่านทำไม่ได้ มันเป็นหน้าที่ของเธอ ดังนั้นในตอนที่เรื่องนี้กำลังเป็นที่สนใจ อวิ๋นซีจึงบอกเรื่องราวที่พัฒนาในภายหลังนี้กับหลินหว่าน 


 


 


หลินหว่านโมโหอยู่บ้าง เธอน่าจะคิดได้ว่าในเมื่ออี้อวิ๋นฉังกล้าโพสต์ลงเวยปั๋ว ย่อมต้องมีแผนเตรียมไว้ก่อนแล้ว แต่ไม่คิดว่าเรื่องจะมาเร็วขนาดนี้ 


 


 


หลินหว่านดูคลิปที่อวิ๋นซีส่งมาให้ คลิปไม่ยาวนัก แต่ก็ชัดเจนมาก แต่ละท่อนล้วนแต่ผ่านการคัดเลือกมาอย่างนี้ ล้วนเป็นตอนที่เธอแสดงในสภาพที่ไม่พร้อม เนื่องจากภาพเหล่านี้ถูกคัดออก ดังนั้นทุกตอนจึงสั้นมาก ในคลิปยังมีคำอธิบายด้วย พวกขาจรที่เข้ามาดูจึงเห็นว่าอี้อวิ๋นฉังแสดงได้ดีกว่าเธอมาก 


 


 


ความยาวคลิปขนาดนี้ตอนทำขึ้นคงต้องใช้เวลาพอดู และคำอธิบายบนคลิปก็ละเอียดมากจนต้องใช้เวลาไม่น้อย ตั้งแต่อี้อวิ๋นฉังโพสต์ลงเวยปั๋วจนถึงตอนนี้ยังไม่ถึงวันเลย ดูท่าว่าคลิปนี้คงเตรียมไว้แต่แรกแล้ว และรอให้เธอตอบโต้ 


 


 


ตอนนั้นเอง หลินหว่านได้รับโทรศัพท์จากอวิ๋นซี 


 


 


“หว่านเอ๋อร์ เรื่องวันนี้คุณเห็นรึยัง?” 


 


 


“เธอหมายถึงคลิปนั่นเหรอ? เธอส่งมาให้แล้วไม่ใช่เหรอ?” 


 


 


“ใช่ คลิปนั่นล่ะ” 


 


 


“อันนั้นฉันดูแล้ว ทำไมเหรอ?” 


 


 


“อี้อวิ๋นฉังนั่นเลวเกินไปแล้ว ฝีมือการแสดงของตัวเองมีแค่ไหนก็น่าจะรู้แก่ใจดีอยู่แล้วนี่? ถึงกับกล้าใช้ฝีมือการแสดงของเธอมาเปรียบมาดีกว่า ฉันไม่รู้จะพูดยังไงเลย…” 


 


 


“ไม่เป็นไร ไม่ต้องสนใจหรอก ฉันก็ไม่ได้เพิ่งจะรู้จักอี้อวิ๋นฉังนี่ ฉันย่อมรู้ว่าเธอเป็นคนยังไง และยังรู้จักฝีมือเธอด้วย เธอไม่ต้องห่วงว่าฉันเห็นแล้วจะเสียใจกับเรื่องพวกนี้นะ” 


 


 


“หว่านเอ๋อร์ งั้นฉันจะไปลงแก้ข่าวนี้ในเวยปั๋วของเธอนะ เธอจะมาถูกเข้าใจผิดแบบนี้ไม่ได้หรอก” 


 


 


“ไม่ต้องหรอก เรื่องนี้ฉันจัดการเอง เธอไม่ต้องยุ่ง” 


 


 


“ไม่ต้องจริงๆ น่ะ? อี้อวิ๋นฉังใส่ร้ายเธอขนาดนี้ เฮ้อ ทั้งๆ ที่ฝีมือเธอสุดยอดขนาดนี้ ถามไปทางกองถ่ายก็รู้แล้วว่าฝีมือเธอดีกว่าเขาตั้งเยอะ อี้อวิ๋นฉังยังคิดจะโม้เรื่องฝีมือการแสดงกับเธออีก…” 


 


 


เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นซีขุ่นเคืองกับเรื่องนี้มาก ก็น่าอยู่หรอก ขนาดฝีมือการแสดงของหลินหว่านยังกล้าสาดโคลนขนาดนี้ 


 


 


“ไม่ต้องเลยจริงๆ ฉันรู้ว่าเธอดีกับฉัน แต่ฉันมีวิธีอื่นอยู่จริงๆ เธอไม่ต้องเป็นห่วงนะ เรื่องนี้ฉันต้องจัดการได้แน่” 


 


 


หลินหว่านได้ฟังอวิ๋นซีพูดแทนเธอ ก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา เซียวจิ่งสือระแวงเธอ เมินเฉยกับเธอ ส่วนอี้อวิ๋นฉังก็ใส่ร้ายเธอ อยากให้เธอตกนรก แต่ก็ยังมีคนที่ห่วงใยเธออยู่เสมอ 


 


 


“งั้นเรื่องนี้ก็แล้วแต่เธอละกัน” 


 


 


“วางใจได้น่า แล้วก็…ขอบใจนะ” 


 


 


“ไม่เป็นไร นี่มันงานฉัน บายนะ” 


 


 


“บาย”  

 

 


ตอนที่ 269 เยี่ยมเยือน

 

เรื่องราวผ่านมาอีกหลายวัน ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันในบล็อก ข่าวลือยังคงเหมือนวันเริ่มแรกไม่มีผิด บนสังคมออนไลน์ยังมีพวกขาจรที่ไม่รู้ความจริงมาด่าเธอ บอกว่าเธออิจฉาอี้อวิ๋นฉัง อิจฉาความสวยและฝีมือการแสดงของอี้อวิ๋นฉัง 


 


 


ถึงแม้แฟนคลับของหลินหว่านจะไม่ค่อยเชื่อนัก แต่กระแสข่าวลือมาแรงขนาดนี้ บางส่วนก็ค่อยๆ หวั่นไหวไปบ้าง และยังมีบางส่วนที่เห็นว่าหลินหว่านมีฝีมือการแสดงดีก็ออกมาแก้ต่างให้เธอ เพียงแต่กระแสเสียงนี้เบาไปหน่อย จนแทบจะถูกหลงลืมไปได้เลย 


 


 


พอดีกับในตอนนี้วงการบันเทิงไม่มีเรื่องน่าสนใจอื่น เรื่องของหลินหว่านกับอี้อวิ๋นฉังจึงกลายเป็นที่เม้าท์มอยด์หลังอาหารและของว่างของทุกคนไป ฝูงชนผู้กินแตงก็แค่ดูพอสนุก ส่วนพวกไม่สมหวังในชีวิตก็แค่ด่าหลินหว่านระบายเครียดไปเท่านั้น 


 


 


สองวันนี้หลินหว่านไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วยังปล่อยให้ข่าวลือโจษจันกันไปทั่ว เธอไม่ได้ตกเป็นเป้าวิจารณ์เป็นครั้งแรก เรื่องพวกนี้สำหรับเธอในตอนนี้ เรียกได้ว่าไม่สะทกสะท้านเลยด้วยซ้ำ และไม่ทำให้เธอเป็นทุกข์ได้เลย เรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกเสียใจอย่างแท้จริงคือท่าทีของเซียวจิ่งสือต่างหาก 


 


 


หลินหว่านคิดไม่ถึงเลยว่า เซียวจิ่งสือที่เธอรอให้มาหากลับไม่ได้มา คนที่มากลับเป็นอีกคน คนที่เธอไม่อยากพบหน้า 


 


 


ฮั่วเทียนอวี่มาแล้ว 


 


 


หลายวันนี้เธอเหมือนอยู่จุดศูนย์กลางลมพายุ จึงไม่ได้รับงานโฆษณาอื่นอีก อยู่อย่างสงบที่บ้าน ดูว่าอี้อวิ๋นฉังยังจะมาไม้ไหนอีก 


 


 


แต่หลังจากอี้อวิ๋นฉังโพสต์ภาพถ่ายลงเวยปั๋ว กับหามือปืนรับจ้างมาโพสต์คลิปขึ้นเน็ตแล้ว ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรอีก นั่นทำให้หลินหว่านค่อยๆ สงบใจลงไปบ้าง ดูท่าว่าอี้อวิ๋นฉังคงทำได้แค่นี้เอง 


 


 


“คุณมาได้ยังไง?” 


 


 


หลินหว่านพอได้ยินเสียงเคาะประตู หัวใจก็กระตุกขึ้นเหมือนจะโบยบิน หวังว่าคนที่มาหาเธอจะเป็นเซียวจิ่งสือ แต่พอเธอเห็นหน้าฮั่วเทียนอวี่ หัวจิตหัวใจก็เหมือนถูกราดด้วยน้ำเย็น 


 


 


“ทำไม? ผมมาไม่ได้เหรอ?” 


 


 


“ฉันไม่อยากเห็นคุณ” 


 


 


ฮั่วเทียนอวี่เห็นว่าตอนที่หลินหว่านเปิดประตู ดวงตาเป็นประกายวาววับ เห็นได้ชัดว่าเปี่ยมด้วยความหวัง แต่พอเห็นว่าเป็นเขาสีหน้าก็เปลี่ยนไป หมองคล้ำลงในพริบตา ประกายแห่งความหวังที่เคยมีหายวับไป 


 


 


ฮั่วเทียนอวี่เห็นท่าทีแบบนี้ของหลินหว่านยังจะมีอะไรไม่เข้าใจอีก หลินหว่านไม่ได้อยากเห็นเขา สาเหตุก็คือ…เธอน่าจะอยากพบคนที่ไม่ใช่เขาต่างหาก 


 


 


คนคนนี้ไม่ต้องคิดเลย นอกจากเซียวจิ่งสือแล้วยังจะมีใครอื่นไปได้? พอเห็นท่าทีของหลินหว่านต่อเขา ฮั่วเทียนอวี่ก็ยิ่งเกลียดเซียวจิ่งสือมากขึ้นกว่าเดิม 


 


 


“งั้นคุณอยากจะพบใคร? เซียวจิ่งสือ?” 


 


 


“ผมว่าคุณถูกเขาหลอกแล้วล่ะ? คุณเห็นเวยปั๋วหรือยัง? คุณเห็นรึยังว่าเขาเป็นคนยังไงกันแน่? เขามันคุณชายเสเพลเจ้าชู้หลายใจ คนแบบนี้ จะมีค่าพอให้คุณรักที่ตรงไหนกัน!” 


 


 


“ฉันจะถูกเขาหลอกหรือเปล่ามันเกี่ยวอะไรกับคุณ? คุณมาหาฉันทำไม?” 


 


 


หลินหว่านพอฟังคำของฮั่วเทียนอวี่ หัวใจก็ปวดตุบ ตอนแรกที่เธอเห็นรูปถ่ายของอี้อวิ๋นฉังกับเซียวจิ่งสือ ก็รู้สึกเจ็บปวดเสียใจมาก แต่เธอยังปลุกปลอบใจตัวเองตลอดว่า เซียวจิ่งสืออาจไม่เป็นคนแบบนี้ แต่ทั้งหมดนี้ถูกฮั่วเทียนอวี่คุ้ยเขี่ยขึ้นมา ถ้าจะบอกว่าหลินหว่านไม่รู้สึกเจ็บเลยมันก็หลอกตัวเองเกินไป 


 


 


หลินหว่านรู้ว่าฮั่วเทียนอวี่ชอบเธอมาตลอด ถึงกับยอมหลอกลวงเธอ จึงแน่นอนอยู่แล้วว่าฮั่วเทียนอวี่จะเกลียดเซียวจิ่งสือ และย่อมจะไม่ได้ยินคำพูดดีๆ เกี่ยวกับเซียวจิ่งสือจากปากเขาแน่ 


 


 


“ผมมาหาคุณ มาง้อขอคืนดีกับคุณ ผมต่างหากที่เป็นคนที่รักคุณจริง” 


 


 


“ถ้าคุณมาหาฉันเพราะเรื่องนี้แล้วละก็ งั้นคุณก็ไปได้แล้ว เราไม่มีทางคืนดีกันได้หรอก” 


 


 


“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? ให้โอกาสผมสักครั้งเถอะ ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าผมรักคุณมากกว่าเซียวจิ่งสือ” 


 


 


“ไม่จำเป็น” 


 


 


“คุณคิดดูสิ เซียวจิ่งสือเขารักคุณขนาดนั้นเลยเหรอ? เขาไม่ได้รักคุณมากอย่างที่คุณคิดหรอก คุณรู้ไหม?” 


 


 


พอหลินหว่านได้ฟังประโยคนี้ ก็เหมือนกระทบใจเธออย่างจัง หลายวันมานี้เธอเฝ้าสงสัยตัวเองอยู่ว่า แท้จริงแล้วเซียวจิ่งสือไม่ได้รักเธอเหมือนอย่างที่เธอคิด เขาแค่เห็นเธอเป็นของเล่นที่จะเรียกให้ไปหาเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่แคร์ความรู้สึกของเธอเลยสักนิด 


 


 


“มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ” 


 


 


“คุณอย่าปากแข็งไปหน่อยเลย คุณดูสิตั้งหลายวันที่คุณเกิดเรื่อง หลายวันแล้วที่พวกบนเน็ตนั่นวิพากษ์วิจารณ์คุณอย่างไรบ้าง คุณไม่เสียใจเลยเหรอ? ทั้งหมดนี้มันเริ่มต้นจากไหนกัน? ถ้าไม่ใช่เพราะเซียวจิ่งสือ?” 


 


 


“เรื่องนี้อี้อวิ๋นฉังเป็นคนเริ่มต่างหาก เซียวจิ่งสือเขา…ไม่เกี่ยวด้วย” 


 


 


ตอนพูดประโยคนี้หลินหว่านก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก ถ้าจะหากตัวต้นเหตุจริงๆ แล้ว ทั้งหมดนี้ต้นเหตุล้วนมาจากเซียวจิ่งสือทั้งนั้น 


 


 


“คำพูดนี้คุณยังพูดออกมาได้อีกหรือ? ถ้าเซียวจิ่งสือรักคุณจริง เขาจะถ่ายภาพนั้นกับอี้อวิ๋นฉังหรือไง? เขายังจะให้อี้อวิ๋นฉังเอารูปแบบนั้นออกมาโพสต์ด้วย? คุณอย่าให้คำหวานหูของเซียวจิ่งสือทำให้หลงลืมตัวไปเลย!” 


 


 


หลินหว่านมองดูท่าทีตื่นเต้นจนกระตือรือร้นของฮั่วเทียนอวี่ ราวกับว่าเซียวจิ่งสือเป็นภูเขาเพลิงทะเลดาบ [1] ส่วนเขานั้นเป็นพระเอกขี่ม้าขาวที่มาช่วยชีวิตสาวน้อยคนนั้น ทั้งหมดที่ทำก็เพื่อให้เธอได้หลุดพ้นจากทะเลทุกข์กระนั้น 


 


 


หลินหว่านเองไม่ลืมว่า ฮั่วเทียนอวี่แต่เดิมนั้นหลอกลวงเธอไว้อย่างไร เพราะเธอจำอะไรไม่ได้ ก็บอกว่าเขาเป็นแฟนเธอ ทั้งยังทำรุ่มร่ามกับเธออีก ตอนนี้ยังหวังว่าจะใช้ฐานะผู้ช่วยเหลือเธอสอดมือเข้ามา มันทำให้หลินหว่านรู้สึกน่าหัวเราะอยู่บ้าง 


 


 


“คุณไม่ต้องมายุ่ง” 


 


 


ฮั่วเทียนอวี่เห็นว่าหลินหว่านยังไม่รู้สึกตัวอีก ก็ร้อนใจขึ้นมาบ้าง แต่เขายังพูดชักแม่น้ำทั้งห้าอย่างอดทน 


 


 


“คุณดูสิ เรื่องนี้ผ่านไปตั้งหลายวันแล้ว คนพวกนั้นพากันด่าคุณ ข่าวลือบนเน็ตคุณก็โดนด่าอยู่ฝ่ายเดียว พวกเขาไม่มีใครอยู่ข้างคุณเลย อันที่จริงทางแก้เรื่องนี้มันง่ายมาก แค่เซียวจิ่งสือออกมาแก้ข่าวก็ได้แล้ว แต่นี่มันกี่วันแล้ว? เซียวจิ่งสือออกมาแก้ข่าวรึยัง? ไม่มีสินะ” 


 


 


หลินหว่านหันหน้าหนี ไม่มองฮั่วเทียนอวี่ ฮั่วเทียนอวี่ยังเข้าใจว่าหลินหว่านหวั่นไหวใจแล้ว จึงรีบโหมตีเหล็กเมื่อยังร้อน พูดพล่ามต่อไป 


 


 


“ดังนั้น คุณมาคบกับผมดีกว่า ผมจะดีกับคุณเอง อย่างน้อยก็ดีกว่าเซียวจิ่งสือนั่น” 


 


 


“งั้นเหรอ?” 


 


 


หลินหว่านแค่นหัวเราะ มองสำรวจฮั่วเทียนอวี่ 


 


 


ฮั่วเทียนอวี่ดูไม่ค่อยเหมือนกับเมื่อก่อนที่เธอเคยเห็นนัก ไม่ดูมอมแมมเหมือนเมื่อก่อน แต่สวมชุดสูท ดูแล้วไม่ใช่ของถูกแบบที่ยับย่นไปทั้งตัวอีก ผมเผ้าก็จัดแต่งมาอย่างดี แต่งตัวดีตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูสะอาดสะอ้าน เป็นผู้เป็นคนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


ฮั่วเทียนอวี่ไม่ได้ยินน้ำเสียงเยาะหยันของหลินหว่าน ยังเข้าใจว่าหลินหว่านโน้มเอียงมาทางเขาแล้ว จึงหมุนตัวรอบหนึ่งแล้วพูดกับหลินหว่านว่า “ใช่เลย คุณดูผมตอนนี้สิ คุณชอบเงินของเซียวจิ่งสือไม่ใช่เหรอ? แต่ตอนนี้ผมก็มีหน้าที่งานการมีหน้ามีตา เซียวจิ่งสือให้คุณได้ผมก็ให้คุณได้ ดังนั้น มาอยู่กับผมเถอะ” 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ภูเขาเพลิงทะเลดาบ หมายถึง สถานที่อันตรายถึงตายได้ 

 

 


ตอนที่ 270 ริษยา

 

หลินหว่านเห็นว่าฮั่วเทียนอวี่ชักจะริษยาหึงหวงจนเลอะเทอะกันไปใหญ่แล้ว อดไม่ได้ที่จะรู้สึกรังเกียจเขาขึ้นมา 


 


 


“ฮั่วเทียนอวี่ คุณไปซะเถอะ ไม่ว่าคุณจะทำยังไง ก็มาแทนที่เซียวจิ่งสือไม่ได้หรอก เข้ามาทางไหนก็ออกไปทางนั้นก็แล้วกัน!” หลินหว่านหมุนตัวไปไม่สนฮั่วเทียนอวี่อีก ทั้งสองเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรก จะลำบากเยื้อยุดอยู่อีกทำไมกัน 


 


 


แน่นอนว่าฮั่วเทียนอวี่ไม่ยอมปล่อยหลินหว่านไปง่ายๆ เขารีบยื่นมือมาคว้าหลินหว่านเอาไว้ จากนั้นพล่ามพูดล้างสมองหลินหว่านไม่หยุด “ดูไปแล้ว เซียวจิ่งสือก็ไม่ได้ชอบคุณนัก คุณจะไม่รับผมไว้พิจารณาสักหน่อยจริงเหรอ” 


 


 


หลินหว่านขมวดคิ้ว สะบัดมือ คิดจะสลัดหลุดจากฮั่วเทียนอวี่ น่าเสียดายที่ฮั่วเทียนอวี่จับไว้แน่นเกิน หลินหว่านสลัดไม่หลุด จากนั้นหลินหว่านพยายามสะบัดอยู่หลายครั้ง แต่ก็สลัดไม่หลุด 


 


 


หลินหว่านนวดข้อมือที่ฮั่วเทียนอวี่บีบจนแดง ตวัดตาค้อนเขาแล้วเดินออกไปทางประตู 


 


 


“เฮ้ หลินหว่าน คุณอย่าเพิ่งไปสิ ผมเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวจริงๆ นะ ผมก็ให้คุณอยู่ดีกินดีได้เหมือนกัน” พอหลินหว่านสลัดหลุด ฮั่วเทียนอวี่ยังเดินตามหลินหว่านมาอย่างไม่ลดละ 


 


 


“อย่าตามฉันมานะ!! ขืนทำแบบนี้อีก ฉันจะเรียกให้คนช่วยแล้วนะ!!” หลินหว่านโมโหแทบจะระเบิดอยู่แล้ว เธอไม่เคยพบเคยเห็นคนที่หมกมุ่นจนน่ารำคาญขนาดนี้มาก่อน 


 


 


ฮั่วเทียนอวี่เสไปมองอย่างอื่น แกล้งทำเหมือนแค่เดินผ่านมา เขายังตามคิดหลินหว่านไม่เลิก รักษาระยะห่างให้ไม่ไกลไม่ใกล้เกินไป 


 


 


หลินหว่านก็ไม่ไว้หน้าฮั่วเทียนอวี่อีก เรียกให้คนมาไล่เขาไป 


 


 


ก่อนไป ฮั่วเทียนอวี่จ้องหลินหว่านเขม็ง ปากก็พึมพำด่าออกมาเบาๆ ไม่มีท่าทีอ่อนโยนเหมือนเมื่อครู่แม้แต่น้อย “ฮึ ทำดีด้วยไม่ชอบ งั้นก็อย่าหาว่าฉันไม่ไว้หน้าล่ะ” 


 


 


หลินหว่านมองตามเงาหลังฮั่วเทียนอวี่จากไป ถอนใจยาว แต่ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง 


 


 


ฮั่วเทียนอวี่กลับถึงห้องทำงาน เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ เคาะนิ้วกับโต๊ะ จู่ๆ เขาก็ลุกพรวดขึ้นนั่ง เหมือนตัดสินใจอะไรครั้งใหญ่ลงไป 


 


 


เขาเปิดลิ้นชัก หยิบทรัมพ์ไดร์ฟออกมา จากนั้นส่งข้อมูลที่อยู่ข้างในด้วยแอคเคาน์ลับขึ้นเน็ตไป พอทำเสร็จ ฮั่วเทียนอวี่ก็ยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ 


 


 


เพียงไม่ถึงสองชั่วโมง บนเน็ตก็มีข่าว ‘หลินหว่านทำทารุณหลินอีอวิ่น’ แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว  


 


 


ปกติช่วงเว้นว่างพักจากการถ่ายหนัง หลินหว่านจะเปิดดูเน็ตเล่นด้วยความเคยชิน ปรากฏว่าวันนี้ข่าวที่เข้าตาเธอกลับเป็นข่าวปลอมว่าเธอทำทารุณหลินอีอวิ่น  


 


 


“นี่มันอะไรกัน!!” หลินหว่านร้องอย่างตกใจ รีบคลิ้กเข้าไปดูกล่องรับความคิดเห็น แล้วก็เป็นดังคาดที่มีเสียงวิจารณ์ประเภทว่าหลินอีอวิ๋นช่างน่าสงสาร และหลินหว่านร้ายกาจมาก 


 


 


ตอนนั้นเอง ผู้จัดการของหลินหว่าน อวิ๋นซีโทรหาเธอ 


 


 


หลินหว่านมองดูชื่อที่ปรากฏบนมือถือ ปวดศีรษะอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็กดรับสาย “หลินหว่าน! เธอเห็นข่าวบนเน็ตแล้วรึยัง!” 


 


 


“เห็นแล้ว” หลินหว่านพูดเสียงไม่ดีนัก มิน่าเล่าเธอรู้สึกว่าเมื่อครู่เพื่อนร่วมงานถึงได้มองเธอแปลกๆ อยู่บ้าง ที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องนี้เอง! 


 


 


“วันนี้ฉันแค่มีธุระไม่ได้ไปกับเธอแค่วันเดียว เธอบอกฉันซิ วันนี้เธอไปล่วงเกินใครเข้าอีกแล้ว” อวิ๋นซีก็อับจนใจอยู่ ตอนนี้กระแสข่าวไม่เข้าข้างพวกเธอเลย ต้องส่งผลต่อชื่อเสียงของหลินหว่านแน่ เธอปวดหัวอยู่บ้างว่าต่อไปจะแก้ข่าวให้หลินหว่านหลุดจากเรื่องนี้ได้อย่างไร 


 


 


ถึงแม้เธอจะรู้ว่าหลินหว่านไม่ใช่คนที่ทำอะไรแบบนั้นออกมาได้ แต่คลิปภาพและเสียงพวกนั้น มันทำให้แฟนคลับที่ไม่คุ้นเคยกับหลินหว่านหลงเชื่อได้แน่ 


 


 


“ไม่รู้เหมือนกัน วันนี้มีแค่ฮั่วเทียนอวี่มาหาฉัน จากนั้นก็ถูกฉันเรียกคนไล่เขากลับไป” หลินหว่านคิดดูแล้ว วันนี้เธอก็ไม่ได้ทำอะไร มีแค่ฮั่วเทียนอวี่มาหา และตอนที่ฮั่วเทียนอวี่จากไปนั้นเธอเองก็รู้สึกสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ 


 


 


“ไม่เป็นไรนะ หลินหว่านเธอแสดงไปอย่างสบายใจได้ เรื่องพวกนี้ให้ฉันจัดการเอง” อวิ๋นซีพูดปลอบเธอทำงานกับหลินหว่านมาก็นานพอดี จะมากจะน้อยก็รู้ว่าหลินหว่านนั้นเกิดเรื่องได้ไม่หยุดไม่หย่อน 


 


 


พอวางสาย หลินหว่านมองดูคนทำงานที่กำลังยุ่งอยู่ไม่ไกลนัก รู้สึกหงุดหงิดใจอยู่บ้าง 


 


 


“หลินหว่าน! คุณอะไรนี่! อารมณ์น่ะ อารมณ์ คุณเข้าใจมั้ย” ผู้กำกับตะโกนใส่หลินหว่านอย่างดุเดือด เสียงก้องไปทั้งโรงถ่าย 


 


 


หลินหว่านจำไม่ได้แล้วว่าถูกผู้กำกับขานเทคไปกี่รอบ ทั้งๆ ที่เธอแสดงได้ไม่เลวเลย แต่ผู้กำกับกลับบอกว่าเธอเล่นไม่ถึงบทบาท อาจเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากคำวิจารณ์บนเน็ตกระมัง 


 


 


“ผู้กำกับคะ ขอโทษค่ะ ขอเวลาฉันสักครู่” หลินหว่านแม้จะอัดอั้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็คืองาน ยังไงก็ต้องตั้งใจแสดงให้ดีสม่ำเสมอ 


 


 


ผู้กำกับไม่ได้ฟังคำอธิบายของหลินหว่าน เขาโบกมือ ให้คนงานกองถ่ายเก็บข้าวของไปถ่ายทำใหม่วันอื่น 


 


 


พอเป็นเช่นนี้ เพื่อนร่วมงานในกองถ่ายก็ยิ่งไม่ชอบหน้าหลินหว่านมากขึ้น 


 


 


“โว้วๆๆ นี่มันคนที่เน็ตเพิ่งลงว่าทำทารุณกับหลินอีอวิ่นน้องตัวเองนี่นา” คนในกองถ่ายเดินผ่านหลินหว่านก็พูดจาเสียดสี 


 


 


หลินหว่านขมวดคิ้ว อดเถียงไม่ได้ว่า “หลินอีอวิ่นไม่ใช่น้องฉัน!” 


 


 


“เชอะ ไม่ถูกกันจริงๆ ซะด้วย แม้แต่น้องสาวยังไม่ยอมรับ ช่างเถอะๆ ฉันก็ขี้เกียจจะพูดกับคนแบบนี้” เพื่อนร่วมงานเห็นหลินหว่านสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ก็หยุดปากอย่างรู้ตัว ก่อนไปยังเสียดสีอีกหลายคำ 


 


 


หลินหว่านตวัดตาค้อนเพื่อนร่วมงาน แต่ก็ไม่ได้โต้เถียงต่อไปอีก เธอไปห้องเปลี่ยนชุดตัวเองกลับคืนแล้วรีบกลับคอนโดที่พัก 


 


 


เธอประเมินพลังของข่าวลือบนเน็ตต่ำไป รถยังไม่ทันจอดสนิท คนขับก็เห็นว่ารอบๆ คอนโดห้อมล้อมด้วยบรรดานักข่าวและแฟนคลับจำนวนหนึ่ง 


 


 


“หลินหว่าน รอบบ้านคุณดูเหมือนจะมีคนมาดักรอครับ” คนขับเตือนด้วยความหวังดี และจอดรถหลบในที่ห่างจากคอนโดไปอีกหลายร้อยเมตร 


 


 


หลินหว่านกำลังเล่นมือถืออย่างหงุดหงิด พอได้ยินคำพูดของคนขับ เธอเงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง “กลับไปเถอะ พักโรงแรมพวกเขาก็หาเจออยู่ดี สู้อยู่บ้านตัวเองสบายกว่า อีกเดี๋ยวต้องรบกวนพวกคุณแล้ว” 


 


 


“ครับ” คนขับรถตอบรับ 


 


 


รถยังไม่ทันจอดสนิท บรรดานักข่าวและแฟนคลับที่มาดักรอละแวกบ้านหลินหว่านก็รุมกันเข้ามา พวกเขาพากันเคาะหน้าต่างกระจกรถอย่างบ้าคลั่ง 


 


 


“หลินหว่าน หรือว่าผมจะโทรหาอวิ๋นซีให้เธอส่งบอดี้การ์ดมา” คนขับรถเสนอ เดิมทีเขาเข้าใจว่ามีแค่ที่เห็นเมื่อครู่สิบกว่าคนเฝ้ารออยู่หน้าประตู แต่ตอนนี้ที่รุมล้อมอยู่ข้างรถดูแล้วอย่างน้อยก็มียี่สิบสามสิบคนเข้าไปแล้ว และพวกเขาต่างก็ดูมีอารมณ์รุนแรง หลินหว่านไม่ได้พาคนมาด้วยอีก เขาคนเดียวเกรงว่าดูแลเธอไม่ได้ 


 


 


หลินหว่านก็คิดเหมือนคนขับ จึงผงกศีราะเล็กน้อย เห็นด้วยกับข้อเสนอของคนขับรถ 


 


 


ไม่นานนัก อวิ๋นซีก็ให้บอดี้การ์ดมาหลายคน หลินหว่านเพิ่งลงจากรถก็ถูกนักข่าวรุมถาม 


 


 


“คุณหลินหว่าน ไม่ทราบว่าข่าวบนเน็ตเป็นความจริงหรือไม่ครับ” 


 


 


“ไม่ทราบว่าเรื่องทำทารุณหลินอีอวิ่นคุณคิดอย่างไรบ้าง และก่อนหน้านี้ที่คุณปฏิเสธว่าหลินอีอวิ่นไม่ใช่น้องสาวคุณนั้น เพราะว่าพวกคุณสองพี่น้องไม่ถูกกันใช่หรือเปล่าคะ” 


 


 


หลินหว่านก้มศีรษะ กดหมวกลงต่ำ รีบจ้ำอ้าวเข้าไปในคอนโด  

 

 


ตอนที่ 271 สงสาร

 

เรื่องวุ่นวายนี้เล่าลือจนรู้กันไปทั่ว หลายวันผ่านไปแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเงียบลงแม้แต่น้อย หลินอีอวิ่นพอใจกับกระแสติดตามเธอในตอนนี้อย่างมาก ยิ่งทำท่าให้ดูน่าสงสารบนเน็ต ทำให้ชาวเน็ตต่างพากันสงสารเธอเอามากๆ


 


 


แม่ของหลินหว่านอันจี๋ถิงย่อมจะสนใจติดตามข่าวนี้ เธอไม่มีความรู้สึกที่ดีเลยต่อหลินอีอวิ่นที่รับสมอ้างว่าเป็นลูกของเธอ เธอคลอดลูกกี่คน เธอเป็นแม่ย่อมจะรู้ดี


 


 


อันจี๋ถิงมองดูเบอร์โทรของหลินหว่าน เธอลังเลอยู่นาน แล้วโทรหาหลินหว่าน


 


 


“สวัสดี หว่านหว่าน ลูก…ยังสบายดีไหม?” อันจี๋ถิงถามอย่างระวัง เธอรู้ว่าการแกล้งตายของเธอทำให้ลูกสาวเสียใจมาก


 


 


“ไม่รบกวนให้คุณเป็นห่วง ฉันสบายดีมาก” หลินหว่านตอบเสียงเย็นชา ถึงแม้เธอจะรักอันจี๋ถิงมาก แต่กับเรื่องนั้นเธอยังโกรธอยู่บ้าง


 


 


ปลายสายอีกด้านนิ่งเงียบไป แค่ได้ยินเสียงหายใจเบาๆ


 


 


“ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว ฉันจะวางสายล่ะ” หลินหว่านไม่อยากพูดมาก ฟังเสียงของอันจี๋ถิงแล้ว เธอกลัวว่าฟังต่อไปจะทำให้ตัวเองอดให้อภัยเธอไม่ได้


 


 


“รอเดี๋ยว หว่านหว่าน ให้แม่ช่วยจัดการเถอะ” ผ่านไปตั้งนาน อันจี๋ถิงจึงเอ่ยปากขึ้นอีก เมื่อครู่เธอคิดอยู่ว่าจะช่วยหลินหว่านแก้ปัญหานี้อย่างไร


 


 


“ไม่ต้องหรอกค่ะ อวิ๋นซีช่วยจัดการอยู่แล้ว” พูดจบ หลินหว่านก็วางสายไปเลย


 


 


อันจี๋ถิงฟังเสียงตู๊ดตู๊ดเย็นเฉียบดังมาจากโทรศัพท์ รู้สึกเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกบีบอย่างแรง หลินหว่านเป็นลูกที่เธออุตส่าห์อุ้มท้องมาอย่างยากลำบากตั้งสิบเดือนนี่นา! จะปล่อยให้คนพวกนั้นมาใส่ร้ายทำลายไปอย่างนี้ได้ยังไงกัน


 


 


อันจี๋ถิงโทรไปให้เพื่อนในวงการบันเทิงขุดคุ้ยหาเรื่องราวของหลินอีอวิ่นในกองถ่าย ผ่านไปชั่วครู่ เพื่อนก็ส่งคลิปจำนวนมากมาให้อันจี๋ถิง พอเธอเปิดเข้าไปดู ก็พบว่าหลินอีอวิ่นกำลังข่มเหงคนทำงานในกองถ่าย พูดจาเสียดสีผู้กำกับและความสัมพันธ์ที่ดูมีนอกมีในกับฝ่ายผู้ลงทุนสร้างหนัง


 


 


ภาพที่ถ่ายมาชัดเจนมาก ไม่เหมือนคลิปของหลินหว่านที่ดูไม่มีหัวไม่มีหางเหมือนเป็นภาพตัดต่อ อันจี๋ถิงดูภาพในคลิปแล้วหัวเราะอย่างพอใจ


 


 


ระหว่างทางไปคอนโดของหลินหว่าน อวิ๋นซีกำลังกลุ้มใจเรื่องของหลินหว่าน คำแถลงจากบริษัทได้ส่งออกไปแล้ว แต่คำวิจารณ์บนเน็ตกับยิ่งร้อนแรงมากขึ้นอีก ชื่อของหลินหว่านกลายเป็นแฮชแท็กที่ได้ติดอันดับรับความสนใจอย่างสูงไม่มีลดลง ขณะที่หลินอีอวิ่นบ้านั่นยังเสแสร้งแกล้งทำเหมือนว่าทั้งหมดนี้เป็นการกระทำของหลินหว่าน


 


 


เธอกวาดตาไล่ดูความเคลื่อนไหวบนเน็ต พลันอวิ๋นซีชะงักนิ่งไปอย่างเหลือเชื่อ


 


 


บนเน็ตมีคลิปใหม่ที่เกี่ยวกับหลินอีอวิ่นปรากฏขึ้นสามเรื่องรวด… ‘หลินอีอวิ่นทำร้ายคนงาน’ ‘หลินอีอวิ่นกับความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับฝ่ายผู้ลงทุน’ ‘หลินอีอวิ่นจิกกัดผู้กำกับชื่อดัง’


 


 


อวิ๋นซีเผลอยิ้มออกมาไม่ได้ขณะที่ก้าวยาวๆ เข้าคอนโดของหลินหว่าน เพิ่งเข้าประตูมา ก็ร้องทักทายหลินหว่าน “หลินหว่าน หลินหว่านมาดูนี่เร็ว! หลินอีอวิ่นถูกขุดบ้างแล้ว”


 


 


เพราะเรื่องนี้บริษัทสั่งพักงานหลินหว่านไว้ชั่วคราว เธอต้องหลบนักข่าวอยู่กับบ้านมาหลายวันแล้ว หลินหว่านขมวดคิ้ว พอได้ยินเสียงอวิ๋นซีก็เข้าไปหาอย่างแปลกใจ


 


 


อวิ๋นซียื่นหน้าจอโน๊ตบุ๊กให้หลินหว่านดู พูดอย่างตื่นเต้นดีใจว่า “ไม่รู้ว่าใครทำ สะใจจริงๆ หลินอีอวิ่นนั่นแกล้งทำตัวใสซื่อบริสุทธิ์ดีนัก ดูแล้วคลื่นไส้ชะมัด”


 


 


หลินหว่านเห็นคลิปภาพที่ชัดเจนแจ่มแจ๋วซะขนาดนี้ เธอก็นึกคาดเดาได้เลยว่าเรื่องนี้ใครเป็นคนทำ


 


 


ไม่นานนัก เรื่องของหลินอีอวิ่นก็ได้รับความสนใจมากกว่าเรื่องของหลินหว่าน คลิปหนึ่งไม่มีหัวไม่มีหาง อีกคลิปแจ่มแจ้งแดงแจ๋ ใครถูกใครผิด ชาวเน็ตย่อมจะรู้ได้เอง ถึงกับยังมีชาวเน็ตออกมาแก้ต่างให้หลินหว่าน ตั้งข้อสงสัยว่าคลิปก่อนหน้านี้ของหลินหว่านเป็นจริงหรือไม่


 


 


“เรื่องสงบลงได้ก็ดีแล้ว” แม้หลินหว่านจะเดาได้ว่าคลิปพวกนี้น่าจะเป็นฝีมือของอันจี๋ถิง แต่เธอไม่ได้บอกกับอวิ๋นซี ถึงยังไงที่ไปที่มาก็ไม่สำคัญ ผลที่ได้ออกมาดีก็พอ ขณะที่หัวใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา แม่ยังรักเธออยู่เสมอมา


 


 


“ก็ใช่นะ แต่แบบนี้ดูไปแล้ว ฮั่วเทียนอวี่นี่ไม่ใช่คนดีอะไร” อวิ๋นซีรู้สึกดูแคลนฮั่วเทียนอวี่ จึงบอกให้หลินหว่านอยู่ให้ห่างจากเขาไว้


 


 


“ค่ะ ฉันทราบแล้ว ทางกองถ่ายจะให้ฉันกลับเข้าไปได้เมื่อไหร่คะ?” หลินหว่านถามขณะทานข้าว


 


 


“อีกสองวัน เธอได้พักผ่อนอีกสองวัน แล้วก็…เซียวจิ่งสือมีโทรหาเธอรึเปล่า?” อวิ๋นซีพลิกดูตารางงานใหม่ของหลินหว่าน 


 


 


พอได้ยินอวิ๋นซีพูดถึงเซียวจิ่งสือ หลินหว่านก็ก้มหน้าทานข้าวต่อไปเงียบๆ ไม่ได้ตอบอวิ๋นซี


 


 


หลินอีอวิ่นพอเห็นคลิปของตัวเอง ก็โมโหจนหน้าบูดเบี้ยว ฟาดกระเป๋าถือในมือใส่ผู้ช่วย ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “ถ้าฉันหาได้ว่าใครทำละก็ จะไม่เอาไว้เด็ดขาด!! โทรไปบริษัทให้พวกเขารีบจัดการซะ”


 


 


ผู้ช่วยตัวน้อยถูกกระเป๋าฟาดจนจุกอกอยู่บ้าง แต่ไม่กล้าขัดขืนแม้แต่น้อย เธอโทรหาบริษัทตามที่หลินอีอวิ่นสั่ง “พี่หลินคะ ทางบริษัทอยากคุยด้วยค่ะ” เธอยื่นมือถือตัวเองให้หลินอีอวิ่นอย่างกลัวๆ


 


 


“มีอะไร!” หลินอีอวิ่นกระชากเอามือถือมา อย่างหงุดหงิดอารมณ์เสีย


 


 


“เรื่องนี้คุณหาทางแก้เอง บริษัทไม่ตามเช็ดเรื่องพวกนี้ให้หรอกนะ!!”


 


 


พูดจบก็ตัดสายไป บ้าชิบ!! บริษัทไม่ช่วยจัดการให้ หลินอีอวิ่นก็มึนไปหมด


 


 


จะกลับไปหาบ้านตระกูลอี้เหรอ? ไม่ได้ ตอนนี้เธอเป็นหลินอีอวิ่น กลับไปหาบ้านตระกูลอี้ไม่ได้ ใจเย็นไว้ก่อน หลินอีอวิ่นแข็งใจสงบสติอารมณ์มานั่งวิเคราะห์สถานการณ์ เห็นได้ชัดว่าคลิปพวกนี้เจาะจงเล่นงานเธอ ก่อนหน้านี้มีแต่คลิปของหลินหว่านอยู่หัวแถว หรือว่า?? เป็นอันจี๋ถิง?!!


 


 


เป็นไปได้เลย!!


 


 


หลินอีอวิ่นพอคาดเดาได้ว่าคลิปพวกนี้เป็นฝีมือใครแล้ว มุมปากยกขึ้นยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ พร้อมกับนึกวางแผน


 


 


บ้านตระกูลอัน


 


 


“คุณอัน คุณจะไม่ลองพิจารณาดูหน่อยหรือคะ ว่าจะร่วมมือกับเราจัดการอันจี๋ถิงหรือเปล่า?” หลินอีอวิ่นพูดขณะนั่งบนเก้าอี้เพียงครึ่งหนึ่ง


 


 


ดังคำกล่าวที่ว่า ศัตรูของศัตรูก็คือมิตรสหาย ในเมื่ออันจี๋ถิงกับหลินหว่านตั้งตัวเป็นศัตรูกับเธอ อย่างนั้นการร่วมมือกับคนที่คิดจัดการอันจี๋ถิง เธอเองก็จะได้ผู้ช่วยอีกแรงด้วย


 


 


อันจี๋อวี่มองสำรวจหลินอีอวิ่นอย่างละเอียด ไม่รีบร้อนรับปาก เขารู้ว่าอันจี๋ถิงมีของดีในมือไม่น้อย ถ้าหากซี้ซั้วร่วมมือกับคนแปลกหน้า เกรงว่าสุดท้ายแล้วจะเสียแรงเปล่า


 


 


“ฉันแค่ต้องการจัดการกับหลินหว่าน ส่วนบ้านตระกูลอัน ฉันไม่สนหรอก และคุณร่วมมือกับฉัน ยังสามารถแย่งสิทธิประโยชน์จากมืออันจี๋ถิงมาได้ด้วย จะได้เอามาสร้างกิจการบ้านตระกูลอันอีกครั้งไงเล่า” หลินอีอวิ่นเห็นว่าอันจี๋อวี่ไม่ยอมตกหลุมเธอง่ายๆ ก็ไม่ปิดบังอีก บอกความคิดของตัวเองออกมาอย่างเปิดเผย เธอเชื่อว่าขอเพียงสิ่งที่เธอต้องการไม่ไปขัดผลประโยชน์ของอีกฝ่าย ก็ย่อมจะตกลงกันได้ง่ายขึ้น


 


 


อันจี๋อวี่ยังลังเลไม่อาจตัดสินใจได้ เขาหรุบตาลงต่ำ ไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่


 


 


หลินอีอวิ่นรู้สึกว้าวุ่นขึ้นมาบ้าง รีบเพิ่มไพ่ในมือตัวเอง โดยเสนอว่า “ฉันยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบ้านตระกูลอี้ด้วย จะให้บ้านตระกูลอี้เข้ามาช่วยด้วย”


 


 


อันจี๋อวี่สนใจขึ้นมาแล้ว เจรจาครั้งแรกก็ได้ผลแบบนี้ เธอดูสึกดีมากทีเดียว 

 

 


ตอนที่ 272 หวิดล้มละลาย

 

ตอนนี้บ้านตระกูลอันกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ไม่มีใครยอมเสนอตัวมาช่วยพวกเขาหรอก ข้อเสนอของอี้อวิ๋นฉังเป็นเหมือนฝนยามแล้ง อันจี๋อวี่ย่อมจะไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว


 


 


ดังนั้น พออี้อวิ๋นฉังพูดเสนอขึ้น อันจี๋อวี่ย่อมตอบรับทันที


 


 


“อย่างนั้นก็ขอให้ความร่วมมือเป็นไปด้วยดีค่ะ” อี้อวิ๋นฉังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับอันจี๋อวี่นัก บ้านตระกูลอันในตอนนี้ตกต่ำลงแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอหมดทางจริงๆ คงไม่ยอมร่วมมือกับอันจี๋อวี่แน่


 


 


ดังนั้น แม้แต่คำอวยพรให้ความร่วมมือเป็นไปด้วยดีก็ยังใช้น้ำเสียงที่ไม่ใส่ใจนัก อันจี๋อวี่โมโหอยู่บ้าง แต่พอนึกถึงสภาพของบ้านตระกูลอันตอนนี้แล้วก็ได้แต่กัดฟันข่มกลั้นเอาไว้ ตอนนี้บ้านตระกูลอันต้องการความช่วยเหลือจากอี้อวิ๋นฉัง


 


 


รอให้ได้สิทธิประโยชน์ซะก่อนเถอะ…


 


 


อันจี๋อวี่หรี่ตามองตามเงาหลังอี้อวิ๋นฉังที่พอเสร็จการเจรจากับเขาก็จากไปโดยไม่มีทีท่าเกรงอกเกรงใจเขาเลยสักนิด แค่นเสียงเย็นชาออกมา


 


 


ส่วนอี้อวิ๋นฉังพอเจรจาความร่วมมือกับอันจี๋อวี่เสร็จ ก็ตรงกลับที่พักทันที ตอนนี้แม้ว่าเธอจะร่วมมือกับบ้านตระกูลอัน แต่จะล้มอันจี๋ถิงลงได้นั้นยังอีกห่างไกลนัก สิ่งสำคัญสุดคือเธอยังมีข่าวฉาวเป็นชนักติดหลังอยู่ ถ้าหากไม่ลบล้างข้อครหา ก็อย่าหวังว่าเธอจะปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนได้อีก


 


 


พอนึกถึงตรงนี้ อี้อวิ๋นฉังก็โมโหจนกวาดข้าวของตกแต่งที่อยู่ข้างกายลงกับพื้นไปหลายชิ้น จากนั้นโทรหาบ้านตระกูลอันเพื่อขอความช่วยเหลือจากพวกเขา


 


 


ด้วยกำลังเธอเพียงลำพังจะกำจัดข่าวพวกนี้ออกจากยากลำบากอยู่บ้าง แต่บ้านตระกูลอี้คิดจะปิดข่าวสักหลายข่าวกลับเป็นเรื่องง่ายดายมาก อีกทั้งข่าวพวกนี้ก็เล่นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ความสนใจจึงลดลงไปมากแล้ว


 


 


“เรื่องของตัวเองต้องให้ฉันมาตามเช็ดตามล้างให้” ขณะที่อี้อวิ๋นฉังคิดอยู่นั้น คนของบ้านตระกูลอันก็เอ่ยปาก…พ่อเธอเอง


 


 


น้ำเสียงพ่อของอี้อวิ๋นฉังไม่ดีนัก อี้อวิ๋นฉังเองก็โมโหอยู่บ้าง ดูซิอันจี๋ถิงทำเพื่อหลินหว่านได้ตั้งมากมาย แต่ดูพ่อของเธอนี่สิ


 


 


เธอก็แค่ให้เขาช่วยทำให้ข่าวเงียบลงเท่านั้น ถึงกับต้องมาพูดจาถากถางกันด้วย อี้อวิ๋นฉังพูดเสียงขุ่น “งั้นพ่อจะช่วยหรือไม่ช่วยกันแน่? ไม่ช่วยก็บอกมาได้เลยค่ะ อย่างมากหนูก็หาคนอื่นมาช่วย!”


 


 


พูดจบ อี้อวิ๋นฉังก็นิ่งเงียบไป ไม่พูดอะไรอีก ฝ่ายพ่อของเธอก็นิ่งเงียบไปเช่นกัน ชั่วครู่หนึ่งเขาจึงแค่นเสียงเย็นชาว่า “คราวหน้าถ้ามีเรื่องแบบนี้อีกอย่ามาหาฉัน เรื่องยุ่งที่ตัวเองก่อขึ้นก็แก้เอง ต่อให้หาฉันก็ไม่มีประโยชน์ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย”


 


 


พูดจบพ่อเธอก็วางสายไปเลย ท่ามกลางเสียงกัดฟันกรอดของอี้อวิ๋นฉัง เธอโกรธจนเขวี้ยงมือถือออกไป อย่างไม่อยากเห็นมันอีก


 


 


พ่อของอี้อวิ๋นฉันนับว่ายังมีความสามารถพอตัว หลังอี้อวิ๋นฉังขอให้เขาทำให้ข่าวเงียบลงไม่นานนักคำวิพากษ์วิจารณ์ในช่วงค่ำก็ลดลงไปไม่น้อย โดยทั่วไปถ้ามีคนโพสต์ข้อความก็จะถูกบล็อกไว้โดยไม่ทราบสาเหตุ


 


 


ในสังคมออนไลน์ล้วนแต่เป็นพวกท่องเน็ตวิจารณ์กันทั้งนั้น อยู่ว่างๆ ลุกขึ้นมาด่าใครสักคน ก็เป็นเพราะการแสดงความคิดเห็นบนเน็ตไม่มีข้อจำกัดไม่ต้องกลัวว่าคำพูดคำสองคำจะเกิดปัญหาอะไร


 


 


ดังนั้นเอง หลังจากการพูดวิจารณ์อี้อวิ๋นฉังถูกบล็อก พวกท่องเน็ตวิจารณ์ก้ขี้เกียจจะเสียแรงตามไปด่าอีก คำวิจารณ์อี้อวิ๋นฉังเรื่องวางก้ามเป็นซุปตาร์รุ่นใหญ่จึงหายไปจากสังคมออนไลน์ 


 


 


จากนั้นก็ค่อยๆ มีข่าวของดารารุ่นเล็กอื่นๆ ที่กำลังเป็นที่สนใจเข้ามาแทนที่ เรื่องของอี้อวิ๋นฉังจึงถูกคนหลงลืมไป ไม่มีใครมาวิจารณ์ด่าว่าเธออีก


 


 


อี้อวิ๋นฉังเห็นแล้ว ความรู้สึกไม่พอใจก็ดีขึ้นมาอีกหลายขุมในที่สุด เธอโทรไปบ้านตระกูลอี้กล่าวขอบคุณพ่อของเธอ


 


 


“อย่าทำเรื่องพวกนี้ออกมาให้ฉันต้องยุ่งด้วยก็พอแล้ว คำขอบคุณน่ะไม่ต้องหรอก” น้ำเสียงพ่อของอี้อวิ๋นฉังยังไม่ดีนัก เรื่องที่อี้อวิ๋นฉังกลายเป็นข่าวฮอตครั้งนี้เผยแพร่ออกไป ทำให้เขาไม่พอใจลูกสาวอยู่บ้าง


 


 


ถึงยังไงซะการวางก้ามใหญ่โตด่าผู้คนพวกนี้ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องดีเด่อะไร


 


 


อี้อวิ๋นฉังถูกพ่อดักคอมาแบบนี้ก็หมดอารมณ์จะคุยต่อ เธอพูดต่ออีกไม่กี่คำก็วางสายไป


 


 


……


 


 


“ท่านประธาน คราวนี้ความลับบริษัทรั่วไหลออกไปตั้งเยอะ หุ้นบริษัทตกฮวบฮาบหนักเอาการอยู่นา”


 


 


ภายในวั่นหย่ากรุ๊ป ผู้ช่วยถือโน๊ตบุ๊กมาหาเซียวจิ่งสือด้วยสีหน้าไม่ดีนัก ระยะนี้ไม่รู้ว่าทำไม บริษัทคู่แข่งมักจะรู้ความลับของบริษัทพวกเขาอยู่เรื่อย


 


 


ทั้งๆ ที่เรื่องพวกนี้พวกที่รู้ก็มีแต่ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท แต่บริษัทคู่แข่งกลับขุดออกมาจนได้ ทำให้หลายคนเริ่มสงสัยว่าในบริษัทมีหนอนบ่อนไส้


 


 


สำหรับเรื่องนี้ เซียวจิ่งสือย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ เขายิ่งรู้ด้วยว่าเรื่องพวกนี้ทำไมจึงถูกคนอื่นรู้ คิดว่าช่วงเวลาที่เขาถูกอี้อวิ๋นฉังพาตัวไปนั้นฮั่วเทียนอวี่คงได้ทราบเรื่องไปไม่น้อย


 


 


พอนึกถึงตรงนี้ เซียวจิ่งสือก็ยิ้มเหยียดทีหนึ่ง แล้วหันไปเลิกคิ้วกับผู้ช่วย “นายออกไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันดูเอง”


 


 


พอได้ยินดังนั้น ผู้ช่วยก็ไม่รู้จะพูดอะไรได้อีก ถึงยังไงบริษัทก็เป็นของเซียวจิ่งสือ เขาแค่ผู้ช่วยตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะพูดอะไรได้ แต่ว่าถ้าหวั่นหย่าเกิดล้มไปจริงๆ เขาก็ต้องหางานทำใหม่เท่านั้น


 


 


ผู้ช่วยทอดถอนใจออกไปจากห้องทำงานของเซียวจิ่งสือ ปล่อยเขาไว้ในห้องทำงานตามลำพัง


 


 


เซียวจิ่งสือมองดูเขาออกไป คิดดูแล้วหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาหลินหว่าน


 


 


พักนี้หลินหว่านทำสงครามเย็นกับเขา ตอนนี้เขาย่ำแย่ขนาดนี้ ย่อมก้มหัวไปขอความสงสาร เชื่อว่าหลินหว่านต้องยอมช่วยเขาโดยไม่คำนึงถึงความผิดครั้งเก่าแน่


 


 


หลินหว่านที่ปลายสายอีกด้าน รับสายอย่างเร็ว ถามด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบว่า “มีอะไรคะ?”


 


 


เซียวจิ่งสืออ้าปาก กำลังจะพูดออกมา เสียงเคาะประตูห้องทำงานก็ดังขึ้นอีกครั้ง หลินหว่านเป็นคนรู้งาน ในเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องของอีกฝ่ายชัดเจนขนาดนี้ เธอจึงเงียบเสียงไป


 


 


เซียวจิ่งสือเดือดปุด พูดเสียงห้วนอย่างไม่พอใจนักว่า “เข้ามา”


 


 


คนเคาะประตูเป็นเลขาของเขา เลขาผลักประตูเข้ามาด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ พอเห็นหน้าบูดบึ้งของเซียวจิ่งสือก็หนาวเยือกขึ้นมา พูดอึกอักเล่าถึงสาเหตุที่เขาเข้ามา


 


 


“ท่านประธาน มีตั้งหลายบริษัทขอยกเลิกสัญญากับพวกเราแล้วนะครับ” ความลับบริษัทถูกเปิดออกมาหมด คนอื่นเขาก็ไม่ใช่พี่น้องยอมตายแทนกันได้ของเซียวจิ่งสือซะหน่อย ย่อมจะไม่อยู่ช่วยกันยามหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา


 


 


เซียวจิ่งสือเข้าใจหลักเหตุผลนี้ดี การที่มีคนจำนวนมากขอยกเลิกสัญญาจึงเป็นเรื่องที่เขาคาดไว้อยู่แล้ว


 


 


พอเห็นท่าทางอยากจะพูดแต่ยับยั้งชั่งใจไว้ของเลขา เซียวจิ่งสือก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจ “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ”


 


 


พอได้ยินดังนั้น เลขาก็มองเซียวจิ่งสือ แล้วพูดอย่างระวังว่า “ไม่ทราบทำไมบริษัทคู่แข่งถึงได้รู้ความลับของบริษัทเรามากขนาดนี้ ตอนนี้มีหลายบริษัทขอยกเลิกสัญญาแล้ว และหุ้นบริษัทเราก็ร่วงแล้วร่วงอีก ถ้าหาสัญญาความร่วมมือไม่ได้ บริษัทเราอาจถึงกับล้มละลายได้นะครับ”


 


 


เซียวจิ่งสือเลิกคิ้วมองมาทางเลขา ที่เขาพูดมาก็ถูก แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ถึงกับไม่มีทางออกซะทีเดียว ถ้าจะหาบริษัทมาทำความร่วมมือ ด้วยเส้นสายคนรู้จักของเซียวจิ่งสือก็น่าจะหาได้ แต่ว่า…


 


 


เซียวจิ่งสือกวาดตามองมือถือ เขาหรุบตาลงทำท่ากลุ้มใจ พูดว่า “ผมรู้แล้ว คุณออกไปก่อน ผมจะลองคิดหาทางดู”


 


 


บริษัทเป็นของเซียวจิ่งสือ ตอนนี้ประธานกรรมการบริษัทเหมือนตั้งขึ้นมาลอยๆ เซียวจิ่งสือต่างหากที่เป็นผู้ตัดสินใจในการบริหารสูงสุด เลขาก็ได้แต่พูดไม่อาจทำอะไรได้


 


 


วั่นหย่ายิ่งใหญ่มาได้หลายปีขนาดนี้ ไม่แน่ว่าตอนนี้จะสามารถผ่านวิกฤตไปได้ เลขาก็ไม่โง่พอที่จะล่วงเกินเซียวจิ่งสือในตอนนี้ จึงได้แต่รับคำแล้วออกจากห้องไป 

 

 


ตอนที่ 273 ไปซะ

 

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือคะ?” เมื่อครู่เลขาพูดซะหนักหนาสาหัสขนาดนั้น หลินหว่านก็ได้ยินด้วย พอปลายสายได้ยินว่าเลขาออกไปแล้วก็รีบออกปากถามขึ้น


 


 


พอได้ยินคำนี้ เซียวจิ่งสือก็ตอบอย่างลำบากใจว่า “ฮั่วเทียนอวี่นั่นเมื่อไม่นานมานี้ข้ามห้วยไปบริษัทคู่แข่ง เขาเคยปลอมตัวเป็นผมทำหน้าที่ประธานมาก่อน คราวนี้พอย้ายไปทางนั้นก็เลยขายความลับบริษัทไปตั้งมากมาย บริษัทคู่แข่งก็รุกหนักทุ่มสุดตัว ดูท่าคงมีแผนให้บริษัทล้มละลายจะได้กว้านซื้อทีหลัง”


 


 


พูดถึงตรงนี้ เซียวจิ่งสือก็ไม่ลืมจะหยอดคำว่า “ตอนนี้หุ้นบริษัทร่วงลงไปมาก ใกล้จะล้มละลายอยู่แล้ว”


 


 


เดิมทีหลินหว่านที่ยังทำสงครามเย็นกับเซียวจิ่งสือ พอฟังก็ไม่รู้จะพูดอะไรได้อีก จึงนิ่งเงียบอยู่ที่ปลายสายอีกด้าน


 


 


“เรามาพบหน้าคุยกันหน่อยเถอะนะ” เซียวจิ่งสือรีบคว้าโอกาสเอ่ยขึ้น


 


 


ตั้งแต่เธอเห็นเซียวจิ่งสือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนที่สวมรอยเป็นเธอ หลินหว่านก็ไม่คิดจะพบหน้าเซียวจิ่งสืออีก ภาพที่เห็นในวันนั้เธอยังลืมไม่ลง


 


 


แต่รู้ทั้งรู้ว่าเซียวจิ่งสือไม่ได้ตั้งใจ เขาอยู่กับคนคนนั้นเพราะเธอคนนั้นเหมือนกับเธอมาก จึงเข้าใจผิดไป


 


 


ตอนนี้เซียวจิ่งสือตกอยู่ในห้วงวิกฤต และวิกฤตนี้มาจากผู้ช่วยชีวิตเธอ หลินหว่านจึงได้แต่ถอนใจ คิดอยู่นาทีหนึ่งก็นัดให้เซียวจิ่งสือมาพบเธอที่บ้าน


 


 


ระยะนี้เธอไม่ได้รับงานโฆษณาประชาสัมพันธ์อะไรนัก หลินหว่านจึงอยู่บ้านตลอด พอวางสายแล้ว หลินหว่านก็เริ่มคิดว่าจะช่วยเซียวจิ่งสืออย่างไรดี


 


 


สงครามเย็นกับเขามันคนละเรื่องกัน หลินหว่านรู้ดีว่าเซียวจิ่งสือยังรักเธออยู่ ทุกครั้งที่เธอเกิดเรื่องเสียใจ เซียวจิ่งสือมักจะยืนหยัดอยู่ตรงหน้าเธอคอยปกป้องเธอเสมอ เธอไม่ใช่คนแล้งน้ำใจ ย่อมจะไม่ทอดทิ้งเซียวจิ่งสือไปในเวลานี้เพื่อจะสบายเพียงลำพัง โดยปล่อยให้เซียวจิ่งสือต้องแบกรับความทุกข์ที่บริษัทล้มละลายเพียงคนเดียว


 


 


“ก๊อกๆๆ” เสียงเคาะประตูห้องดังมา หลินหว่านรีบดึงสติกลับคืนมา ลุกขึ้นไปเปิดประตู


 


 


พอเปิดประตูหลินหว่านก็เห็นเซียวจิ่งสือยืนอยู่หน้าประตูมองเธอด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า พอเห็นเธอออกมา เซียวจิ่งสือก็ถามว่า “ผมขอเข้าไปได้ไหม?”


 


 


“อื้อ” หลินหว่านรู้สึกปั่นป่วนว้าวุ่น แต่ยังเบี่ยงกายให้เซียวจิ่งสือเข้าประตูมา จากนั้นนั่งลงบนโซฟาถามว่า “เรื่องบริษัทเป็นยังไงบ้างคะ?”


 


 


“ยังหาสัญญาความร่วมมือไม่ได้เลย ตอนนี้หุ้นบริษัทยังตกอยู่ ถ้าหาคนทำสัญญาความร่วมมือไม่ได้คงต้องล้มละลายกันจริงๆ แล้ว”


 


 


เซียวจิ่งสือพูดซะน่าสงสาร ใบหน้าบอกชัดว่าเหนื่อยล้าไม่เหมือนแกล้งทำขึ้น หลินหว่านนึกถึงข่าวเล่าลือของวั่นหย่าเมื่อหลายวันก่อน ก็เข้าใจว่าเรื่องนี้เกรงว่าหนักหนาสาหัสจริงๆ


 


 


“งั้นทำไงดีคะ?” เธอถามเสียงเบาหวิว สถานการณ์ของบริษัทในตอนนี้เธอก็ไม่รู้ ได้แต่ถามเซียวจิ่งสือว่าจะทำอย่างไรดีแล้ว


 


 


“ต้องหาคนมาร่วมทุนด้วย” เซียวจิ่งสือทำหน้าตึงเอ่ยปากขึ้น อันที่จริงเรื่องหาคนร่วมมือนั้นจากเส้นสายคนรู้จักของเขาต้องหาได้แน่ แต่เขากลับไม่พูดออกมา และยังแกล้งทำท่าว่าเป็นทุกข์กลุ้มใจหนัก


 


 


ส่วนหลินหว่านไม่ทราบความจริง แต่กลับเข้าใจดีว่าสัญญาความร่วมมือแบบนี้หาได้ยากจริงๆ เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ของเซียวจิ่งสือ ไม่มีใครโง่พอที่จะเข้ามาร่วมทุนกับเขา


 


 


มันเหมือนหาที่ตายชัดๆ เกิดเซียวจิ่งสือล้มละลายขึ้นมาจริงๆ เงินที่ลงทุนไปทั้งหมดก็สูญเปล่า


 


 


“ฉันจะลองนึกหาวิธีดูนะคะ คุณก็ไม่ต้องเป็นกังวลนักหรอก ตอนนี้ยังไม่ถึงกับอับจนสิ้นหนทางซะหน่อยนี่คะ” หลินหว่านได้แต่พูดเบาๆ อย่างจนใจ


 


 


ขณะที่ในใจก็นึกหาคนที่เธอรู้จัก คิดว่าจะดึงคนมาร่วมมือกับเซียวจิ่งสือได้อย่างไร บริษัทของเซียวจิ่งสือในตอนนี้ดูท่าทางไม่ดีนักจริงๆ ถ้าหากไม่ได้รู้จักกันดีเป็นพิเศษ คงไม่มีใครยอมช่วยในเวลานี้แน่


 


 


“ผมอยู่กับคุณที่นี่ด้วยได้ไหม” พอเห็นว่าหลินหว่านไม่ได้เฉยเมยเกินไปนัก เซียวจิ่งสือก็รีบรุกคืบ


 


 


หลินหว่านพอได้ฟังก็อ้าปากคิดจะปฏิเสธ แต่พอนึกถึงสถานการณ์ตอนนี้ของเซียวจิ่งสือ คำปฏิเสธก็ติดอยู่ในลำคอ ไม่ได้พูดออกมา และจัดห้องว่างให้เซียวจิ่งสือพักในบ้าน


 


 


จากนั้น หลินหว่านก็เริ่มช่วยเซียวจิ่งสือค้นหาคนที่จะมาช่วยได้ กลับกลายเป็นว่าเซียวจิ่งสือดูไม่ค่อยใส่ใจนัก ราวกับว่าการที่บริษัทล้มละลายเป็นเรื่องไม่สำคัญเลยอย่างนั้น


 


 


กลับหันมาพูดกับหลินหว่านด้วยเรื่องอื่น “ผมไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงนั่น”


 


 


ผู้หญิงนั่นที่เขาพูดถึงเป็นใครหลินหว่านย่อมรู้ดี ผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนเธอเป๊ะนั่นไง


 


 


เรื่องในวันนั้นเธอเห็นกับตาตัวเอง เซียวจิ่งสือจะไม่มีอะไรกับผู้หญิงคนนั้นได้ยังไง? หลินหว่านฉุนขาด โยนมือถือลงบนโต๊ะ พูดเสียงห้วนอย่างไม่พอใจว่า “ตอนนี้บริษัทคุณจะล้มละลาย ไม่ใช่ของฉัน ถ้าคุณยังไม่สนใจอีกก็ไปจัดการแก้ปัญหาเองเถอะ”


 


 


เซียวจิ่งสือเองก็ไม่ได้หวังให้หลินหว่านช่วยแก้ไขแต่แรก เขายังมีกำลังเหลือเฟือ ไม่จำเป็นต้องอาศัยหลินหว่านช่วย เขามาหาหลินหว่านแกล้งทำตัวน่าสงสารก็เพื่อหาโอกาสอธิบายกับหลินหว่านเท่านั้น


 


 


หลินหว่านพูดแบบนี้แล้ว เดิมทีเซียวจิ่งสือควรจะหยุดพูด แต่จากท่าทีของหลินหว่านถ้าหากเรื่องนี้ยังยืดเยื้อต่อไปความเข้าใจผิดก็มีแต่จะพอกพูนมากขึ้นไปเรื่อยๆ


 


 


พอนึกถึงตรงนี้ เซียวจิ่งสือก็ทำปากแข็งพูดต่อไปว่า “คุณอย่าเปลี่ยนเรื่องสิ ผมมาคราวนี้ไม่ได้มาเพื่อขอให้คุณช่วย เรื่องบริษัทต่อให้ผมจนตรอกอย่างไรก็ไม่ถึงกับหมดหนทางจนต้องให้ผู้หญิงมาช่วยหรอก”


 


 


“งั้นคุณมาหาฉันทำไมคะ?” หลินหว่านก็โมโหขึ้น เรื่องในวันนั้นเธอเห็นชัดถนัดตาขนาดนั้น เธอไม่อยากจะเกี่ยวข้องอะไรกับเซียวจิ่งสืออีก แต่ที่ไหนได้เขายังขุดเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก


 


 


“คุณฟังผมอธิบายหน่อยไม่ได้รึไง? ผมไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงนั่นจริงๆ นะ คราวนี้ผมมาเพื่อจะอธิบายกับคุณเรื่องนี้ คุณเมินเฉยจนผมไม่ได้พบคุณ ถ้าไม่อ้างเรื่องของบริษัทผมคงไม่ได้เจอหน้าคุณแน่”


 


 


เซียวจิ่งสือพูดอย่างน้อยใจ แต่หนามแหลมในใจของหลินหว่านไม่ได้หลุดไปเพราะความน้อยใจของเขา


 


 


เธอเข้าใจดีว่าเซียวจิ่งสือรักเธอ การที่อยู่กับผู้หญิงคนนั้นก็แค่จำผิดคนเท่านั้น เธอควรจะให้อภัยเขาสักครั้ง


 


 


แต่ภาพที่เห็นในวันนั้นมันติดตาตรึงใจเกินไป เธอเห็นคาตาขนาดนั้น หลินหว่านไม่เชื่อว่าพวกเขาสองคนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ เธอเข้าใจว่าเซียวจิ่งสือโกหก ไม่กล้าพูดความจริงออกมา


 


 


ถ้าหากทำได้ เธอคงยอมรับคำแก้ตัวนี้แล้วทำเหมือนเรื่องทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้นก็คงจะดี แต่เธอทำใจยอมรับมันไม่ได้


 


 


“ตอนนี้เรื่องบริษัทสำคัญกว่า อย่าพูดเรื่องที่ไม่สำคัญพวกนี้แล้ว” หลินหว่านข่มกลั้นความรู้สึกในใจ พูดออกมา ขณะที่ในใจคิดว่ารีบช่วยให้เซียวจิ่งสือหาคนมาร่วมทุนด้วยโดยเร็วแล้วให้เขาไปซะ


 


 


ในเมื่อใจยอมรับไม่ได้ หลินหว่านก็ไม่ฝืนใจตัวเองทนอยู่กับเซียวจิ่งสือ


 


 


“คุณ…” พอฟังหลินหว่านพูดแบบนี้ เซียวจิ่งสือก็อ้าปากคิดจะบอกให้หลินหว่านอย่าเลี่ยงประเด็น แต่สุดท้ายไม่ได้พูดออกมา


 


 


เห็นได้ชัดว่าหลินหว่านติดใจกับเรื่องนี้มาก ตอนนี้ถ้าเขายังจะพูดอีกโดยไม่สนใจหลินหว่านเธอก็ไม่อาจยอมรับได้อยู่ดี


 


 


เซียวจิ่งสือหันหน้าหนีอย่างหงุดหงิด ไม่เอ่ยปากอีก มองไปอีกทางอย่างเงียบงัน


 


 


หลินหว่านก็ค้นหาคนรู้จักในมือถือต่อไป อยากจะใช้มือถือความเร็วสูงสุดหาคนมาร่วมทุนกับเซียวจิ่งสือจะได้ไล่เขาไปเสียที

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม