เล่ห์รักกลกาล 266-280

ตอนที่ 266 ความรู้สึกเช่นนี้ กระหม่อม...

 

 “หากนางเป็นคนในดวงใจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจริง ฝ่าบาทเคยคิดถึงผลที่ตามมาบ้างหรือไม่” เสินเซ่อเทียนย้อนถาม  


 


 


ฮ่องเต้พลันตีพระพักตร์เย็นชา จ้องเสินเซ่อเทียน “หากสตรีนางนั้นมีอันตรายต่อเป่ยเฉิน เช่นนั้นก็ต้องกำจัด! หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะปกป้องนางให้ได้ เสินเซ่อเทียนเจ้าคงรู้ว่านี่หมายความอย่างไร!” 


 


 


เสินเซ่อเทียนนิ่งไปชั่วครู่ ในที่สุดก็เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “กระหม่อมเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะปกป้องนางให้ได้ เช่นนั้นเขาก็ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามความปลอดภัยของราชสำนักเป่ยเฉิน เช่นนี้…ต่อให้เขา เสินเซ่อเทียนเห็นแก่ส่วนตัวแค่ไหน ก็ทำได้เพียงกำจัดเขา  


 


 


 “กระหม่อมทูลลา!” 


 


 


สิ้นเสียง เสินเซ่อเทียนก็จากไป 


 


 


จู่ๆ ฮ่องเต้ทรงเรียกเขาไว้ “เสินเซ่อเทียน !” 


 


 


เสินเซ่อเทียนชะงักฝีเท้า ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมิได้หันหน้ากลับไป 


 


 


ฮ่องเต้ทอดพระเนตรแผ่นหลังตรงตระหง่าน ราวกับได้พบเทวดาในความฝัน เทพองค์นั้นเคร่งขรึมไม่อาจเข้าใกล้ พระองค์อดถามออกไปไม่ได้ “สิ่งที่ข้าขอ เจ้าให้ไม่ได้จริงๆ หรือ” 


 


 


เสินเซ่อเทียนเงียบไปสักครู่ ในที่สุดก็หันกลับมา “ฝ่าบาท ขออภัยที่กระหม่อมต้องเอ่ยตามตรง ความรู้สึกประเภทนี้ กระหม่อมรู้สึกขยะแขยงมาก!” 


 


 


สีพระพักตร์เปลี่ยนไปเขียวคล้ำทันที 


 


 


พระองค์ทรงรู้อยู่แล้วว่า เสินเซ่อเทียนหาได้มีความคิดด้านนั้นต่อพระองค์เลย และไม่เคยมีความคิดถวายตัวมาก่อน พระองค์รู้ดี เสินเซ่อเทียนอดทนส่งสัญญาณบอกพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นก็เพราะพระองค์เป็นผู้มีบุญคุณต่อครอบครัวเขาเท่านั้น 


 


 


แต่พระองค์คิดไม่ถึงว่า วันนี้คำพูดที่ออกจากปากเขาไม่เพียงแค่การปฏิเสธ ยังเป็นความรู้สึกของเสินเซ่อเทียนที่มีต่อพระองค์มาโดยตลอดอีกด้วย 


 


 


เขารู้สึกขยะแขยง 


 


 


บางทีนี่อาจเป็นการลบหลู่ที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตของฮ่องเต้ พระองค์หลงคิดว่าอาจก้าวข้ามผ่านข้อจำกัดทางเพศ สามารถแสดงออกถึงความจริงใจ หลังจากแสดงความในใจออกไป ถึงกับถูกปฏิเสธกลับมาว่าขยะแขยง 


 


 


พระองค์จะไม่รู้สึกถูกลบหลู่ จะไม่โกรธได้อย่างไร 


 


 


ฮ่องเต้ทรงตวาดก้อง “เจ้ารีบไสหัวออกไป!” 


 


 


 “กระหม่อมทูลลา!” เสินเซ่อเทียนตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน เดินออกไปด้วยท่าทางเคารพนบนอบ 


 


 


เสี้ยวนาทีที่เขาเดินออกจากตำหนักไปนั้น ฮ่องเต้ทรงกวาดข้าวของบนโต๊ะทรงพระอักษรร่วงลงพื้นจนหมดสิ้น ขันทีน้อยที่เพิ่งเข้ามาตกใจจนหน้าซีด 


 


 


ฝ่าบาท…ทรงเป็นอะไรไปแล้ว 


 


 


 “ฝ่าบาท” ขันทีน้อยลองเรียกคำหนึ่ง 


 


 


ฮ่องเต้ทรงแผดเสียงด้วยโทสะทันที “ไสหัวออกไป! ไสหัวออกไปให้หมด!” 


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


ขันทีน้อยตกใจรีบเผ่นออกไปทันที บรรดาบ่าวไพร่ที่เตรียมตัวเข้ามาปรนนิบัติหลังจากเสินเซ่อเทียนจากไป ในเวลานี้ก็ล่าถอยออกไปจนหมด  


 


 


…… 


 


 


หลังจากเสินเซ่อเทียนจากมา ก็ส่ายหน้ารู้สึกจนปัญญา 


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอรอเสินเซ่อเทียนอยู่หน้าประตู ย่อมได้ยินเสียงพิโรธราวฟ้าผ่าของฮ่องเต้ เขาเข้าใจดี เกรงว่าวันนี้จวินซ่างจะทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธแล้ว 


 


 


เสี้ยวขณะนี้ เป่ยเจี้ยนเกอรู้สึกว่าฮ่องเต้ช่างน่าขันนัก 


 


 


เสินเซ่อเทียนผู้มีความสามารถเทียบเคียงเทพ กระทั่งเป็นคนที่เอาชนะเทพได้ในสายตาคนทั่วหล้า ยินยอมจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ เขายังมีอะไรไม่พอใจกัน 


 


 


แม้กระทั่งเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังเคยเยาะเย้ยจวินซ่างว่าจงรักภักดีให้กับคนโง่เขลาอย่างฮ่องเต้ด้วยซ้ำ 


 


 


ผลเล่า 


 


 


ฮ่องเต้ไม่เพียงไม่รู้จักพอเท่านั้น ซ้ำร้ายยังมีความคิดเกินเลยเช่นนั้น 


 


 


เขาอดใจไม่ไหว เอ่ยออกไปว่า “จวินซ่าง ฝ่าบาทช่างเหิมเกริมนัก!” 


 


 


เสินเซ่อเทียนฟังแล้ว เพียงปรายตามองเป่ยเจี้ยนเกอเอ่ยเสียงเย็นว่า “ห้ามไม่เคารพฝ่าบาท!” 


 


 


 “ขอรับ!” เป่ยเจี้ยนเกอรับคำ 


 


 


เขาเข้าใจดี ต่อให้จวินซ่างไม่พอใจฝ่าบาท แต่…เพราะบุณคุณในปีนั้น จวินซ่างจึงไม่อาจทรยศ หรือไม่เคารพฝ่าบาท 


 


 


…… 


 


 


 “เยี่ยเม่ยออกจากชายแดนไปแล้ว” จิวมั่วเหอขมวดคิ้วแน่นมองทหารเบื้องหน้าตน 


 


 


นายทหารตอบ “ขอรับ! นี่คือข่าวที่สายในเมืองรายงานมา เยี่ยเม่ยกลับถึงชายแดนหลังจากปะทะกับเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ไม่นานก็ขี่ม้าออกไปโดยลำพัง!” 


 


 


จิวมั่วเหอพลันสงบลง หลายวันมานี้เขาอยากพบเยี่ยเม่ยมาตลอด จะหารือเรื่องที่ราชาต้ามั่วลักลอบสมคบคิดกับเป่ยเฉินอี้ แต่ว่าหลายวันนี้เยี่ยเม่ยไม่อยู่ชายแดน ไม่ง่ายเลยกว่านางจะกลับมา  


 


 


คิดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันหาเวลาเหมาะสม นางก็ออกไปอีกแล้ว 


 


 


จิวมั่วเหอพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว บอกให้สายในเมืองคอยจับตาดูไว้ พอนางกลับมาให้มารายงานข้าทันที!” 


 


 


 “ขอรับ!” นายทหารรับคำสั่ง 


 


 


จิวมั่วเหอถามขึ้นว่า “เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่มีชีวิตรอดกลับมาไหม” 


 


 


 “กลับมาแล้ว…กำลังเข้าเฝ้าท่านข่าน…” นายทหารตอบทันที 


 


 


จิวมั่วเหอแค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่ง 


 


 


…… 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยที่เผชิญกับคนตรงหน้ารู้สึกตื่นเต้นมาก 


 


 


นางก้มหน้าลง เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “องค์ชายสี่ ข้าเล่าเรื่องออกไปหมดแล้ว ท่านยังมีอะไรจะสั่งอีกหรือไม่” 


 


 


ความจริงแล้ว นางเกลียดพวกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทุกคน ทั้งยังไม่อยากพูดคุยกับเขาอย่างเกรงอกเกรงใจด้วย เพียงแต่ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นคนที่มีบรรยากาศคุกคามรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง ซือหม่าหรุ่ยสาบานก่อนที่นางจะได้พบเซียวชิน ยังไม่คิดเอาชีวิตเข้าแลก ดังนั้นจึงได้แต่เกรงใจเขาแล้ว   


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ก็จ้องนางเขม็ง 


 


 


น้ำเสียงน่าฟังเจือด้วยความอันตราย ทำให้คนรับรู้ว่ายามนี้เขากำลังไม่พอใจ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยเสียงขรึมว่า “สิ่งที่เจ้าบอกกับเยี่ยนคือความจริงทั้งหมดใช่หรือไม่” 


 


 


คำพูดของซือหม่าหรุ่ยตามเหตุผลแล้วไม่มีปัญหาเลย เยี่ยเม่ยเดินทางไปหายา 


 


 


แต่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับรู้สึกว่า ปัญหาหาได้ง่ายดายอย่างที่เห็นเบื้องหน้า 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเงยหน้ามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่คล้ายจะเริ่มไม่พอใจขึ้นแล้ว “สิ่งที่สมควรเล่า ข้าก็เล่าไปหมดแล้ว หรือว่าองค์ชายสี่อยากได้ความจริงที่ต่างออกไป ยังมีความจริงอะไรอีก หรือว่าตัวองค์ชายสี่มีปมในใจของท่านเอง” 


 


 


คำที่ออกมาด้วยท่าทางไม่สู้ดีนักของซือหม่าหรุ่ย ทำเอาอวี้เหว่ยในยามนี้ได้แต่ปาดเหงื่อแทนนาง ในโลกนี้คนที่กล้าเอ่ยวาจากำเริบเสิบสานต่อหน้าเตี้ยนเซี่ยมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ซือหม่าหรุ่ยผู้นี้…ช่างขวัญกล้ายิ่งนัก 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟัง ดวงตาชั่วร้ายทอประกายสีแดง เริ่มเกิดความโมโห แต่สุดท้ายเขาก็สะกดไว้ มองที่ศีรษะของซือหม่าหรุ่ยอย่างสงสัยทำให้คนรู้สึกถึงแรงกดดัน ซือหม่าหรุ่ยในใจก็เริ่มหวั่นหวาด 


 


 


ความจริงนางไม่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แต่บรรยากาศรอบกายเขาน่ากลัวเกินไปแล้ว นางกลัวหากไม่แสร้งทำเป็นโมโห สุดท้ายเพราะความกลัวอาจทำให้เผยพิรุธออกไป 


 


 


ดังนั้นจึงต้องเลือกที่จะเสี่ยง… 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจ้องซือหม่าหรุ่ยอยู่สักพักใหญ่ จนกระทั่งซือหม่าหรุ่ยรู้สึกว่าหากเขายังจ้องนางเช่นนี้ต่อไปอีก นางจะเลือกเป็นลมล้มไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย 


 


 


ในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมาอีกครั้ง “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ!” 


 


 


 “ได้!” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยยามนี้คลายใจลง แต่ไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้า หมุนกายจ้ำออกไปทันที 


 


 


ไม่ว่าอย่างไรเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เป็นเชื้อพระวงศ์ของเป่ยเฉิน เป็นศัตรูหรือมิตรไม่ชัดเจน เยี่ยเม่ยไม่ยินยอมบอกความจริงกับเขา ตัวนางก็ไม่อาจทำเกินหน้าที่ของตน ช่วยบอกแทนเยี่ยเม่ย  


 


 


ยังดีที่ปกปิดไปได้ 


 


 


อวี้เหว่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทีหนึ่ง ถามอย่างระวังว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านเชื่อว่าไม่มีปัญหาจริงๆหรือ” 

 

 

 


ตอนที่ 267 ยิ่งเลื่อมใสเยี่ยเม่ย

 

ถึงแม้ดูจากการแสดงออกของซือหม่าหรุ่ยก็ไม่มีปัญหาจริงๆ สีหน้าของสตรีนางนี้ก็ไม่เผยพิรุธใดๆ


 


 


แต่ว่า…


 


 


ความจริงอวี้เหว่ยก็รู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง


 


 


แม้ว่าเขาไม่ใช่อวี้เหว่ยที่มีความรู้สึกไวนัก แต่เมื่อเห็นท่าทางไม่วางใจของเตี้ยนเซี่ย เขาก็รู้สึกไม่วางใจขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด


 


 


เมื่ออวี้เหว่ยเอ่ยออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหันกลับไปกวาดตามองเขา เอ่ยว่า “เรื่องไม่ง่ายดายถึงขนาดนี้! เยี่ยนมักรู้สึกว่า เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับคำถามที่เยี่ยเม่ยถามซือหม่าหรุ่ย ยิ่งไปกว่านั้นบางทีอาจเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่เป่ยเฉินอี้พานางไป และคำพูดที่เขาพูดกับนางด้วย”


 


 


เยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินอี้อยู่ร่วมกันหลายวัน เขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเลยสักน้อย ถามนาง นางก็ทำเหมือนไม่มีอะไร ไม่ยินยอมเล่า บางทีปัญหาอาจจะเกิดตั้งแต่ตอนนั้นก็ได้!


 


 


เมื่อคิดได้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เรียก “เสี่ยวกวน!”


 


 


เสี่ยวกวนรีบโผล่ออกมาจากที่ลับ คุกเข่าลง “เตี้ยนเซี่ย!”


 


 


ถึงเสี่ยวกวนจะความรู้สึกเฉื่อยนัก แต่ระดับสติปัญญายังพอมีอยู่บ้าง เมื่อเตี้ยนเซี่ยเรียกเขาออกมา เขาก็รู้ว่าเตี้ยนเซี่ยต้องการถามอะไร จึงเอ่ยตอบทันทีว่า “เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยหารู้ไม่ว่าเป่ยเฉินอี้พาแม่นางเยี่ยเม่ยไปที่ใด หลังจากที่ข้าน้อยพบจงรั่วปิง ก็มุ่งตรงไปที่หมู่ตึกกูเยว่ทันที ทว่าระหว่างทางมิได้พบพวกเขาเลย ดูท่าพวกเขาจะเดินทางไปที่อื่น!”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เสี่ยวกวนหยุดเล็กน้อยจากนั้นก็เล่าต่อ “เดิมทีข้าน้อยรู้สึกหมดหวัง คิดว่าจะหานางไม่พบแล้ว ขณะคิดว่าจะกลับมารายงานดีหรือไม่ ก็บังเอิญพบพวกเขาระหว่างทางกลับชายแดน! ดังนั้น…”


 


 


ดังนั้นเยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินอี้ไปที่ไหนมา เขาไม่รู้เลยสักนิด


 


 


อวี้เหว่ยมองเสี่ยวกวนทีหนึ่ง อดใจไม่ไหวเอ่ยคำยุแยงว่า “เสี่ยวกวนเอ๋ย ช่วงนี้โอกาสออกโรงของเจ้าสูงเสียเหลือเกิน แต่ว่าทำไมข้ารู้สึกว่าการออกโรงของเจ้าช่างไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย! กลับมาแต่ละครั้ง เตี้ยนเซี่ยถามอะไร เจ้าก็ไม่แน่ใจ ไม่รู้สักอย่าง จากนั้นก็บอกว่าข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ข้าไม่รู้ว่าเจ้ายังมีประโยชน์อะไรอีก!”


 


 


เมื่ออวี้เหว่ยตำหนิ เสี่ยวกวนรีบปาดเหงื่อบนหน้าผาก ในใจเคียดแค้นอวี้เหว่ยเป็นทวีคูณ ทำไมต้องเอ่ยประโยคพวกนี้ออกมา ทำให้เตี้ยนเซี่ยรู้สึกว่าเขาไร้ประโยชน์ด้วย ?!


 


 


เขาล่วงเกินอวี้เหว่ยตอนไหนกัน


 


 


เป็นดังคาดเมื่ออวี้เหว่ยเอ่ยจบ แววตานิ่งขรึมของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเสี่ยวกวน น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ก็ไปรับโทษโบยหนึ่งร้อยไม้ บางทีผ่านวันเวลาเหล่านี้ไป เจ้าอาจรู้อะไรมากขึ้นบ้าง!”


 


 


ใบหน้าเสี่ยวกวนยามนี้พลันมีน้ำตาไหลเป็นสองสาย “ขอรับ!”


 


 


ความจริงแล้วสองสามวันนี้เขามีลางสังหรณ์ไม่ดี รู้สึกว่าช่วงนี้ตนทำเรื่องอะไรก็ไม่สำเร็จอาจจะถูกจัดการได้ คิดไม่ถึงว่าในที่สุดวันนี้ก็มาถึง เฮ้อ…ความจริงวินาทีนี้ เขาก็ไม่ได้เสียใจขนาดนั้นแล้ว กลับเกิดความรู้สึกคลายใจ


 


 


ก็ถูก ทุกวันเขากังวลว่าตนเองจะถูกโบย เมื่อวันนี้รับโทษโบยแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลใจต่อไปอีก


 


 


เขาลุกขึ้นอย่างโศกเศร้า มองอวี้เหว่ยด้วยความแค้น สายตาราวกับมองศัตรูของตน


 


 


อวี้เหว่ยกลับมีสีหน้าอึดอัด แอบมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทีหนึ่ง จากนั้นก็มองเสี่ยวกวนทำปากว่า ข้าไม่ได้ตั้งใจ


 


 


เสี่ยวกวนร้องเหอะในใจ ไม่ตั้งใจก็แปลกแล้ว!


 


 


หลังจากเสี่ยวกวนจากไป มุมปากอวี้เหว่ยยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ช่วงนี้เสี่ยวกวนมีโอกาสออกงานมากเกินไปแล้ว เขาเพียงแค่แทงมีดออกไปต่อหน้าครั้งหนึ่ง เพื่อรักษาตำแหน่งอันดับหนึ่งต่อหน้าเตี้ยนเซี่ยเอาไว้ ดูท่าเขาจะจัดการงดงามมาก!


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่อมเห็นรอยยิ้มมุมปากของอวี้เหว่ย เข้าใจความคิดของเขา เพียงแต่เสี่ยวกวนทำงานไม่สำเร็จติดต่อกัน แต่แม้เยี่ยเม่ยหายตัวไปที่ไหนยังไม่รู้ ทำให้เขาไม่พอใจจริงๆ


 


 


อวี้เหว่ยเก็บรอยยิ้มของตน มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถามต่อว่า “เตี้ยนเซี่ย เรื่องนี้ท่านคิดว่าอย่างไร”


 


 


องค์ชายสี่นวดหว่างคิ้ว เพลิงโทสะในใจโหมกระหน่ำ ค่อยๆ เอ่ยว่า “เรื่องนี้บางทีเป่ยเฉินอี้อาจจะรู้คำตอบ!”


 


 


อวี้เหว่ยเลิกคิ้ว “ท่านคิดไปถามเป่ยเฉินอี้”


 


 


 “ไม่!” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนส่ายหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความหนักใจอย่างไม่เคยมีมากก่อน เขาเอ่ยไปตามเหตุผล “หากเยี่ยเม่ยจงใจปกปิดความลับ ให้เยี่ยนไม่อาจรู้ได้ อย่างนั้นนางก็ไม่มีทางบอกเป่ยเฉินอี้ ยามนี้หากเยี่ยนไปถามเป่ยเฉินอี้ ในทางกลับกันจะทำให้เขารู้สึกได้ว่ามีปัญหา จับพิรุธของนางได้!”


 


 


อวี้เหว่ยคิดๆ ดู ก็จริง


 


 


หากเตี้ยนเซี่ยถามออกไปโดยพลการ เป่ยเฉินอี้มองปัญหาของเยี่ยเม่ยออก เกิดอีกฝ่ายรู้เท่าทันความลับของแม่นางเยี่ยเม่ยที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่ได้ นั่นไม่เท่ากับเป็นการทำร้ายเยี่ยเม่ยหรอกหรือ


 


 


แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้…


 


 


อวี้เหว่ยปรายตามอง เตี้ยนเซี่ย “เช่นนั้นท่านก็เหลือแต่ครุ่นคิดเอง ค่อยๆ พิจารณาไปแล้ว!”


 


 


ไม่ใช่หรือไง


 


 


แม่นางเยี่ยเม่ยไปที่ไหน ยังไม่มีใครรู้ทิศทางของนาง ดูจากผลงานของนางครั้งก่อน ไม่แน่ว่าเตี้ยนเซี่ยยังไม่ทันพบตัว นางก็กลับมาก่อนแล้ว


 


 


ถามซือหม่าหรุ่ยไม่ได้คำตอบ ถามเป่ยเฉินอี้ก็อันตรายเกินไป…


 


 


 “ไม่เป็นไร!” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนโบกมือ นัยน์ตาชั่วร้ายยามนี้เผยความแน่วแน่ น้ำเสียงเบาสบาย ค่อยๆ กล่าว “ไม่ว่ามีความลับปิดบังจริงหรือไม่ ไม่ว่าปฏิกิริยาของนางเกิดจากอะไร สรุปว่าเยี่ยนไม่ปล่อยมือก็พอแล้ว!”


 


 


ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ต้องสับสนอีกต่อไป


 


 


อวี้เหว่ยพยักหน้า รู้สึกสงบใจได้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ เตี้ยนเซี่ยก็จะไม่อารมณ์เสียต่อใช่หรือไม่


 


 


ดังนั้นเขาจึงเอ่ยว่า “ก็ถูก! อืม คือเตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยขอ ช่วงนี้ฝากคนนำตั๊กแตนมาจากเมืองหลวง ข้าน้อย…”


 


 


ข้าน้อยไม่กัดจิ้งหรีดแล้ว เปลี่ยนเป็นตั๊กแตนได้ไหม


 


 


เขายังไม่ทันเอ่ยจบ แววตาเย็นชาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็มองเขา อวี้เหว่ยมุมปากกระตุก น้ำตาสองสายไหลพรากเหมือนเสี่ยวกวน สะอื้นเอ่ย “ข้าน้อยทราบแล้ว กลับไปข้าน้อยจะปล่อยตั๊กแตน!”


 


 


อวี้เหว่ยคิดว่า เช่นนี้ชีวิตเขาคงไร้ความหมาย!


 


 


ในเวลานี้เอง ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าร้อนรนดังขึ้นมา เซียวเยว่ชิงจ้ำพรวดพลาดเข้ามาด้านใน จากนั้นก็ค้อมเอวรายงานว่า “เตี้ยนเซี่ย พวกเราทำตามความต้องการของแม่นางเยี่ยเม่ย ไล่สังหารพวกเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ไป ผลคือพวกเขาถูกสังหารไปจำนวนมาก! พวกเขาคิดไม่ถึงว่า แม่นางเยี่ยเม่ยจะสั่งให้คนไล่ตามไป ดังนั้นจึงไม่ดักซุ่มระหว่างทาง พวกเรากำจัดคนได้อย่างราบรื่น!”


 


 


เมื่อเอ่ยแล้วเซียวเยว่ชิงมีสีหน้ายินดี


 


 


ในสถานการณ์ปกติ ไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่ามีการดักซุ่มโจมตีแน่ ไม่ตามไปเด็ดขาด คิดไม่ถึงว่า แม่นางเยี่ยเม่ยใช้วิธีคิดในทางตรงกันข้าม ทว่าได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ


 


 


เขาเอ่ยต่อว่า “พลทหารสามพันนายของเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ ถูกพวกเรากำจัดราบคาบ เหลือเพียงทหารม้าเหล็กสองพันนายที่คุ้มครองเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่หนีกลับไปค่ายต้ามั่วได้!”


 


 


พูดไปเขาก็ยิ่งเลื่อมใสเยี่ยเม่ยมาก!

 

 

 


ตอนที่ 268 ข้ากำลังคิดว่า หากนางความจ...

 

 “อืม!” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยรับคำหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


 


 


เซียวเยว่ชิงแอบคิดว่า หากมิใช่เพราะแม่นางเยี่ยเม่ยยังใส่ใจการศึกที่ชายแดนอยู่บ้าง จากนิสัยของเตี้ยนเซี่ยคงไม่มีทางสนใจการศึกแน่


 


 


หลังจากเขามุมปากกระตุก ก็เอ่ยว่า “ข้าน้อยขอตัวก่อน!”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนโบกมือเป็นสัญญาณให้เขาจากไปได้


 


 


เซียวเยว่ชิงยิ่งรู้สึกเหนื่อยใจ…


 


 


องค์ชายผู้ไม่ใส่ใจผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง หากไม่ได้พบด้วยตาตัวเองก็คงไม่อยากเชื่อ ในใจเขาสงสัยเหลือเกินว่า องค์ชายสี่คือกากเดนของราชวงศ์ก่อนที่แฝงตัวอยู่ในวังหลวงใช่หรือไม่ เขาถึงได้ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจการศึกและความปลอดภัยของชาติบ้านเมืองได้อย่างหมดจดเช่นนี้


 


 


เซียวเยว่ชิงจากไปพร้อมกับความสลดใจ


 


 


อวี้เหว่ยมองตามแผ่นหลังของเซียวเยว่ชิง ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิดเขาก็คิดออกว่าเซียวเยว่ชิงคิดอะไรอยู่ เฮ้อ…คนที่ไม่เคยประสบชะตากรรมเช่นเตี้ยนเซี่ย ไม่มีทางเข้าใจว่าเหตุใดเตี้ยนเซี่ยถึงเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้


 


 


 “เตี้ยนเซี่ย…” อวี้เหว่ยร้องเรียก


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนิ่งไปครู่หนึ่ง พลันถามเสียงขรึมว่า “ส่งคนออกไปตาม ต้องหาเบาะแสของนางให้พบให้ได้!”


 


 


 “ขอรับ!”อวี้เหว่ยรับคำ เขารู้ว่าเตี้ยนเซี่ยยังไม่วางใจ


 


 


ไม่ช้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็สั่งขึ้นมาอีกว่า “ไปเฝ้าดูเป่ยเฉินอี้ไว้ เยี่ยนไม่อยากให้เขาออกไปจากชายแดนภายใต้สายตาของเยี่ยนอีกครั้ง!”


 


 


 “ขอรับ!” อวี้เหว่ยสีหน้าจริงจัง ครั้งก่อนเพราะเรื่องนี้ เขาถูกถีบทีหนึ่ง เขายังจดจำอยู่ในใจ เขาคืออวี้เหว่ยที่มีศักดิ์ศรี ไม่มีทางให้ถูกถีบเป็นครั้งที่สองเพราะเรื่องเดิมแน่


 


 


อ้อ จริงสิ


 


 


หากยังเกิดเรื่องแบบนี้อีก ดูท่าเตี้ยนเซี่ยคงคร้านจะถีบ กลัวแต่จะโยนเขาออกไปประหารเสียมากกว่าแล้ว!


 


 


……


 


 


เยี่ยเม่ยควบม้าห้อตะบึงไปด้วยความเร็วไปบนถนนสายหลัก


 


 


หลังออกจากชายแดน นางก็รู้ดีว่ามีคนแอบติดตามนางมา ครั้งนี้นางไม่เกรงใจเลยสักน้อย ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อปาใส่ตำแหน่งของผู้ติดตามมา


 


 


 “ฉึก!”


 


 


 “ตุบ!” สิ้นเสียง


 


 


ศพสองศพร่วงลงพื้น


 


 


คราวนี้นางทำจริงตามคำพูด หากใครยังติดตามมาอีก นางจะฆ่าคนแล้ว


 


 


ยามนี้คนอื่นๆ ไม่กล้าติดตามไป เห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวของพวกเขาถูกเยี่ยเม่ยจับได้แล้ว หากยังฝืนติดตามไปอีก นอกจากเสียชีวิตน้อยของตนไป ก็คงไม่มีผลลัพธ์ที่งดงามเป็นอย่างที่สองอีก


 


 


ถัดมาก็ไม่มีใครลอบท้าทายความอดทนของเยี่ยเม่ยอีก คนทั้งหมดพากันล่าถอยไม่กล้าติดตามต่ออีก


 


 


เยี่ยเม่ยควบม้าไปตามแผนที่ที่ได้มาจากหลูเซียงฮั่วที่ทำหน้าตางุนงงยามนางออกจากชายแดน นางมุ่งหน้าสู่ทิศทางของแม่น้ำหมิงด้วยความไว สมองก็ครุ่นคิดด้วยความเร็ว


 


 


จากความรอบคอบของเป่ยเฉินอี้ เขาต้องเดาได้แน่ว่า หากนางจำอะไรขึ้นมาได้ มีโอกาสที่นางจะเดินทางไปแม่น้ำหมิงด้วยตัวเอง ดังนั้นที่แม่น้ำหมิงสมควรมีคนของเป่ยเฉินอี้เฝ้าอยู่แต่แรก


 


 


นางจะหลบหูตาของคนพวกนี้เพื่อเดินทางไปตามหาความทรงจำที่แม่น้ำหมิงให้สำเร็จได้อย่างไร  


 


 


หากนางสังหารคนที่เฝ้าอยู่ทั้งหมด เป่ยเฉินอี้ต้องเดาได้ว่านางไปที่นั่นแน่


 


 


แต่ที่นั่นไม่เหมือนกับวังหลวงหรือค่ายทหาร สถานที่ที่ศัตรูอยู่ในที่แจ้ง ส่วนนางอยู่ในที่ลับ ในทางกลับกันเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปกลายเป็นว่าไม่รู้คนมากแค่ไหนแอบดักซุ่มอยู่ ศัตรูอยู่ในที่ลับ นางอยู่ในที่แจ้ง อีกทั้งนางไม่สันทัดภูมิประเทศบริเวณแม่น้ำหมิงเลย คิดจะปรากฏตัวโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้เลยเป็นเรื่องยากมาก


 


 


อย่างนั้น…


 


 


นางยังมีวิธีคลี่คลายอะไรได้อีก เพื่อไม่ให้หลงเหลือเบาะแส ทั้งยังไม่ทำให้เป่ยเฉินอี้สงสัย


 


 


เยี่ยเม่ยครุ่นคิดอย่างว่องไว เสียงลมกระพืออยู่ข้างหู การคาดคำนวณในใจไม่หยุดหย่อน นางไม่อาจชักช้าแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ยินยอมพ่ายแพ้สักครั้ง ยิ่งไม่อาจทิ้งพิรุธใดๆ ไว้ ไม่เช่นนั้นเส้นทางการแก้แค้นของนางจะยากลำบากมาก!


 


 


ดังนั้นต่อให้ต้องใช้ความคิดมากเพียงใด นางก็ต้องคิดให้ออก!


 


 


 


 


บางทีการที่คนกดดันตัวเองมากๆ เข้า อาจจะดึงความสามารถของตนออกมาได้จริงๆ ในขณะที่สมองเยี่ยเม่ยกำลังจะระเบิดออก ห้วงสมองนางเกิดแสงวาบขึ้นมา วิธีการหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวนาง…


 


 


……


 


 


ชายแดน


 


 


เป่ยเฉินอี้นอนอยู่บนเตียง ยังไอแห้งๆ เหมือนเดิม


 


 


เซียวชินเพ่งตรวจชีพจรเขา เอ่ยด้วยความจนปัญญาประโยคหนึ่ง “อี้อ๋อง จากสัญญาก่อนหน้าของพวกเรา ต้องรอให้ข้าขจัดพิษในกายท่านออกไปหมดก่อนสัญญาถึงสิ้นสุด  แต่ท่านไม่รักถนอมร่างกายตัวเองเช่นนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าอาการจะดีขึ้นมาไม่น้อย ท่านก็ต้องลมเย็นอีกแล้ว ท่านต้องการให้ข้าช่วยดูแลท่านไปสิบปีแปดปีหรืออย่างไรกัน”


 


 


อยู่ดีๆ ก็ถูกยืดระยะเวลาการทำงานของตนออกไป เป็นใครก็ไม่พอใจทั้งนั้น


 


 


เป่ยเฉินอี้มองเซียวชินทีหนึ่ง กลับไม่มีแววสำนึกผิด เพียงเอ่ยเสียงขรึมว่า “ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว!”


 


 


จะไม่มีทางมีครั้งหน้าอีกแล้ว


 


 


ครั้งนี้เป็นเพราะใบหน้าของเยี่ยเม่ยเหมือนกับอาซีไม่มีผิด จึงเกิดความสงสารอาซี หลังจากไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาก็เข้าใจได้กระจ่างไปมากกว่านี้ไม่ได้อีก เยี่ยเม่ยก็คือเยี่ยเม่ย อาซีก็คืออาซี หากใช่คนคนเดียวกันไม่ เขาไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้อีก


 


 


 “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” เซียวชินแค่นเสียงไม่พอใจ เขียนใบสั่งยาด้วยท่าทางไม่พอใจอย่างมาก


 


 


เมื่อเขียนแล้ว ก็ส่งให้บ่าวที่อยู่เวร


 


 


ยามนี้ชิงเกอเดินเข้ามา สีหน้าตื่นตระหนกมองเซียวชิน


 


 


เซียวชินรู้ว่า คำพูดพวกนี้ไม่สะดวกที่ตนจะฟัง จึงปลีกตัวออกไป


 


 


หลังจากชิงเกอเข้ามา ก็ค้อมเอวคารวะ “ท่านอ๋อง คนที่เราส่งไปจับตาดูเยี่ยเม่ยถูกนางไล่กลับมาจากนั้นนางออกจากชายแดน ข้าน้อยก็ส่งคนติดตามไปอีก ครั้งนี้นางลงมือสังหารคนสองคน สายที่พวกเราส่งไปก็ไม่กล้าติดตามไปอีก กลับมาทั้งหมดแล้ว”


 


 


เป่ยเฉินอี้พยักหน้า หลับตาครุ่นคิด “นางออกไปหลังพบซือหม่าหรุ่ยหรือ”


 


 


 “ไม่ผิด!” ชิงเกอพยักหน้า “บอกว่าจะไปหายาให้จิ่วหุน ทั้งออกไปอย่างร้อนรน ไม่ฝากคำพูดให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลยสักคำ ทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่พอใจมาก!”


 


 


เป่ยเฉินอี้ ฟังจบก็นิ่งไป ไม่ตอบอะไรชั่วคราว


 


 


ชิงเกอรีบถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านว่าเยี่ยเม่ยไปหายาให้จิ่วหุนจริงหรือไม่ หากไม่จริงนางจะไปที่ไหนได้”


 


 


เป่ยเฉินอี้นิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาหงส์คู่นั้นเปลี่ยนเป็นสุดหยั่งคาดได้ เอ่ยว่า “ชิงเกอ ความจริงหลายวันก่อนข้าละเลยปัญหาข้อหนึ่งไป”


 


 


 “ท่านอ๋องหมายถึง…” ชิงเกองุนงง


 


 


เป่ยเฉินอี้รีบเอ่ย “ข้าเพียงคิดว่า ตามหลักแล้วหากเยี่ยเม่ยคืออาซี นางต้องไม่มีท่าทีสงบแน่ อีกอย่างเยี่ยเม่ยไม่เหมือนกับอาซีเลย แต่…หากเยี่ยเม่ยความจำเสื่อมเล่า”


 


 


 “นี่…” ชิงเกอพลันชะงักไป คิดดูแล้วก็เอ่ยว่า “เรื่องนี้อาจเป็นไปได้ เพียงแต่…”


 


 


แต่ว่าศพของนางในยามนั้น พวกเขาหาพบแล้ว


 


 


เป่ยเฉินอี้เสริมต่อ “ไม่ว่าการคาดเดานี้ของข้าจะจริงหรือไม่ แต่หากเยี่ยเม่ยคืออาซี หลังจากไปสถานที่ตั้งเดิมของราชสำนักจงเจิ้งแล้ว เป็นไปได้มากว่า…นางจะไปแม่น้ำหมิง!”

 

 

 


ตอนที่ 269 หากเป็นน้ำผึ้งไม่ได้ ก็สุร...

 

พูดไปแล้วเป่ยเฉินอี้ก็ชะงักเล็กน้อย จากนั่นเอ่ยต่อ “ไม่ว่าเพื่อตามหาความทรงจำที่สูญเสียไป หรือว่าไปทบทวนความแค้นฝังลึกถึงกระดูกเพื่อให้ตัดสินใจแก้แค้นอย่างแน่วแน่ ดูจากสถานการณ์ยามปกติของคน ขอเพียงอาซีมีชีวิตอยู่ มีโอกาสมากที่นางจะไปแม่น้ำหมิง…”


 


 


 “ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่ท่านส่งคนไปเฝ้าแม่น้ำหมิงไว้ตลอด” ชิงเกอรีบถาม


 


 


ความจริงเขาไม่ค่อยเข้าใจเลย เตี้ยนเซี่ยให้คนเฝ้าแม่น้ำหมิงและสถานที่ตั้งเก่าของราชสำนักจงเจิ้งเพื่ออะไร วันนี้เมื่อคิดแล้วก็ถูกต้อง…


 


 


หากองค์หญิงซียังมีชีวิตอยู่ วังหลวงและแม่น้ำหมิงเป็นสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์อันเลวร้าย ดูจากคนทั่วไป นางน่าจะไปที่นั่นเพื่อรำลึกถึงความเจ็บปวด เพื่อยืนหยัดที่จะแก้แค้น หากองค์หญิงซีสูญเสียความทรงจำ มีความเป็นไปได้ที่เยี่ยเม่ยจะฟื้นความทรงจำเมื่อไปสถานที่แห่งนี้


 


 


ดังนั้น หมากตานี้ของท่านอ๋อง เดินล่วงหน้ามาไกลมากแล้ว


 


 


ยามนี้สถานที่ตั้งเดิมของราชสำนักจงเจิ้ง ท่านอ๋องพาเยี่ยเม่ยไปแล้ว หากนางคือองค์หญิงซี อย่างนั้นสถานที่ที่นางอยากไป ก็เหลือเพียงแม่น้ำหมิงเท่านั้น โดยเฉพาะนางเพิ่งไปสถานที่ตั้งเดิมของราชสำนักจงเจิ้งกลับมา เวลานี้ความเจ็บปวดในใจยังไม่สงบ จึงต้องไปแม่น้ำหมิง!


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ ชิงเกอจึงเอ่ยว่า “ดังนั้นขอเพียงเยี่ยเม่ยปรากฏกายที่แม่น้ำหมิง ก็เท่ากับพิสูจน์ได้ว่านางอาจเป็นองค์หญิงซี! มีเพียงองค์หญิงซีเท่านั้นที่มีเหตุผลไปปรากฏกายที่แม่น้ำหมิง หากนางคือเยี่ยเม่ย ยามนี้นางไม่มีเหตุผลที่จะไปยังแม่น้ำหมิง!”


 


 


 “ไม่ผิด!” เป่ยเฉินอี้พยักหน้า แสดงออกว่าเห็นด้วย


 


 


ฝ่ายชิงเกอเอ่ยต่ออีกว่า “หรือว่าท่านพาเยี่ยเม่ยไปสถานที่สามแห่งนั้นแต่ไม่พานางไปแม่น้ำหมิง เพราะจงใจเหลือสถานที่นี้ไว้ ให้นางเดินทางไปด้วยตนเองเพื่อเผยพิรุธออกมา!”


 


 


เป่ยเฉินอี้พยักหน้าชื่นชม ไม่ช้าก็สั่งเสียงนิ่งว่า “ดังนั้น สองสามวันนี้ต้องเฝ้าให้ดี หากเยี่ยเม่ยปรากฏตัวที่แม่น้ำหมิงให้รีบมารายงานข้าทันที!”


 


 


 “ขอรับ!” ชิงเกอพยักหน้า รีบเอ่ยต่อว่า “ท่านอ๋องวางใจ สายลับที่จัดวางไว้ที่แม่น้ำหมิงและสถานที่ตั้งเดิมของราชสำนักจงเจิ้งต่างมีภาพวาดขององค์หญิงซี ขอเพียงองค์หญิงซีหรือเยี่ยเม่ยปรากฏกาย พวกเขาจะต้องจำได้ในทันที ไม่ว่าอย่างไรองค์หญิงซีและเยี่ยเม่ยก็มีหน้าตาเหมือนกันไม่มีผิด อีกอย่างสายที่เราวางไว้มีจำนวนมาก ต่อให้มีวรยุทธ์สูงล้ำแค่ไหน มีวิชาพรางกายสูงส่งเพียงใด ก็ไม่อาจไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้ได้ ดังนั้น…”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ชิงเกอเปลี่ยนเป็นเสียงดังขึ้น “หากการเคลื่อนไหวครั้งนี้ของเยี่ยเม่ยไม่ได้ทำเพื่อหายาให้จิ่วหุน แต่เพราะต้องการไปแม่น้ำหมิง อย่างนั้น…ขอเพียงนางปรากฏตัวที่นั่น ย่อมไม่อาจหนีพ้นหูตาพวกเราที่จัดวางไว้ได้!” 


 


 


 “อือ!” เป่ยเฉินอี้ตอบรับคำหนึ่ง แสดงออกว่าวางใจ


 


 


เอ่ยถึงยามนี้ ชิงเกอพลันฉุกคิดอะไรได้ “แต่ท่านอ๋อง หากเยี่ยเม่ยคือองค์หญิงซี หากนางไม่ได้ความจำเสื่อม อีกทั้งไปถึงที่ตั้งเดิมของจงเจิ้งแล้วยังไม่อาจสงบโทสะในใจได้ แต่เพราะนางควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดี เพื่อกันไม่ให้ถูกจับได้ จึงไม่ไปแม่น้ำหมิงแล้ว เช่นนั้นพวกเราไม่เท่ากับจับตาดูโดยเสียเปล่าหรอกหรือ”


 


 


ชิงเกอถามออกมา เป่ยเฉินอี้ก็ตอบเสียงนิ่ง “เจ้าพูดไม่ผิด หากนางไม่ได้ความจำเสื่อม อีกทั้งยังควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ไปแม่น้ำหมิงได้ หมากที่ข้าวางเอาไว้ตานี้ก็เสียเปล่า แต่…ข้าเดิมพันว่านางไม่อาจสะกดกลั้นความรู้สึก เดิมพันว่านางต้องความจำเสื่อม! ต่อให้มีโอกาสชนะเพียงหนึ่งในหมื่น ข้าก็ไม่ยอมทิ้งโอกาส!”


 


 


 “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!” ชิงเกอตอบ


 


 


ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ถึงแม้เฝ้าไปก็ไม่ได้อะไร แต่มีความหวังเพียงเล็กน้อย ท่านอ๋องก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดรอดไปได้


 


 


เห็นชิงเกอเข้าใจความคิดของตน เป่ยเฉินอี้ก็หลับตาลงเตรียมพักผ่อน กำชับขึ้นประโยคหนึ่งว่า “เยี่ยเม่ยมีสติปัญญาและเจ้าแผนการ สั่งการลงไป ให้ทุกคนระวังเอาไว้”


 


 


 “ขอรับ!” ชิงเกอตอบรับ จากนั้นถามต่อ “ท่านอ๋อง ครั้งนี้ท่านไม่คิดออกจากเมืองไปหาเยี่ยเม่ยหรือ”


 


 


ครั้งก่อนก็ออกไปแล้ว


 


 


เป่ยเฉินอี้ปรายตามองคนสนิท แค่นเสียงเบาๆ “เจ้าคิดว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนโง่หรือไง ครั้งก่อนไม่ถูกเขาพบ นั่นก็เพราะว่าพวกเขาไม่มีประสบการณ์ต่อกรกับพวกเรามาก่อน ทำให้คนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจึงละเลยไป หากข้ายังออกจากเมืองไปได้อีกครั้งโดยไม่ถูกพบ นี่เท่ากับว่าดูถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเกินไปแล้ว !”


 


 


ชิงเกอสะอึกไปเล็กน้อย เมื่อคิดก็เป็นเรื่องจริง


 


 


ครั้งก่อนที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่พบก็นับว่าโชคดีแล้ว หากครั้งนี้ยังไม่ถูกจับได้อีก เป็นไปได้ยากมาก


 


 


ชิงเกอพยักหน้า “อย่างนั้นก็ทำได้เพียงแค่นี้แล้ว !”


 


 


 “อืม!”


 


 


……


 


 


เมืองหลวง จวนซือถู


 


 


ซือถูเฉียงนั่งอยู่บนเตียง เมื่อเทียบกับความโอหังของนางในกาลก่อนแล้ว สีหน้าของนางในวันนี้มีความทุกข์ระทมยากปกปิดเพิ่มขึ้น


 


 


หน้าประตูมีคนผ่านมา


 


 


คือเหล่าสาวใช้ที่เดินไปเดินมากำลังยืนนินทาเสียงเบา


 


 


 “ได้ยินว่าครั้งก่อนฮองเฮามีพระราชเสาวนีย์ประทานอภิเษกให้ท่านหญิงกับองค์ชายสี่ องค์ชายสี่ปฏิเสธการแต่งงานแล้ว!”


 


 


 “นี่ไม่ปกติหรือไง เจ้าไม่ลองคิดดู ท่านหญิงของพวกเรามีสารรูปแบบไหน ใครจะยอมแต่งงานกับสตรีพิการ ต่อให้เป็นหลานสาวที่ฮองเฮาโปรดปรานแล้วจะทำไม พิการก็คือพิการ คนอื่นยังไม่ยินยอมแต่งเลย อย่าว่าแต่องค์ชายสี่ที่เป็นมังกรในฝูงชน!”


 


 


 “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องขาของท่านหญิงเลย ได้ยินว่าองค์ชายสี่เป็นคนลงมือหักด้วยตัวเอง!” สาวใช้เอ่ยไป ยังตั้งใจมองลอดผ่านหน้าต่างเข้าไปในห้อง จงใจเอ่ยให้ซือถูเฉียงฟัง


 


 


สีหน้าขาวซีดอยู่แต่เดิมของซือถูเฉียงยิ่งซีดเซียวเข้าไปใหญ่ มือนางกำหมัดแน่นอย่างทนไม่ไหว


 


 


ในเวลานี้เอง สาวใช้ข้างกายซือถูเฉียงหมดความอดทน เดินจ้ำพรวดไปถึงหน้าต่าง ตำหนิพวกนางว่า “พวกคนชั้นต่ำอย่างพวกเจ้า วันๆ เอาแต่พูดจาเหลวไหล ต่อให้ขาของท่านหญิงเดินเหินไม่สะดวก แต่ก็ยังเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ พวกเจ้าสามารถวิจารณ์ได้อย่างนั้นหรือ”


 


 


เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ สาวใช้ด้านนอกก็หัวเราะเสียงเย็นชามองซือถูเฉียงที่นั่งอยู่บนเตียงในห้อง “หึ คุณหนูสูงศักดิ์? ยามนี้ในจวนยังมีใครเห็นท่านหญิงเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์อยู่บ้าง นับตั้งแต่ท่านหญิงถูกถอนหมั้น แม้แต่ท่านเสนาบดียังคร้านจะเหลียวแล พูดไม่น่าฟังหน่อย ต่อให้ท่านหญิงตาย เกรงว่าคนในจวนยังคร้านจะส่งศพเลย!”


 


 


 “นั่นสิ ใครใช้ให้ท่านหญิงเกิดเรื่องแล้วยังไม่พอ คุณชายใหญ่ยังพลอยถูเนรเทศไปด้วย ฮูหยินปวดใจจนล้มป่วย ในจวนนี้ฟ้าเปลี่ยนไปนานแล้ว! ไม่รู้เลยว่าฮูหยินยังมีชีวิตได้อีกกี่วัน!” สาวใช้อีกคนเอ่ยเย้ยหยัน


 


 


ยามนี้ซือถูเฉียงบันดาลโทสะ กัดฟันเอ่ยว่า “พวกเจ้ามันบ่าวสารเลว ใครอนุญาตให้แช่งมารดาข้า”


 


 


 “เหอะ! ยังคิดว่าตัวเองเป็นท่านหญิงผู้สูงส่งอยู่อีก” สาวใช้สองคนประชดประชัน แล้วหมุนตัวจากไป


 


 


สาวใช้ของซือถูเฉียงโมโหจนหน้าซีด “พวกสารเลว พวกเจ้าไม่ได้ตายดีแน่!”


 


 


ซือถูเฉียงหน้าตาซีดเซียวอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจเด็ดขาด กวักมือให้สาวใช้ของตน “เจ้ามานี่!”


 


 


สาวใช้เดินเข้าไป


 


 


ซือถูเฉียงกระซิบกระซาบ สาวใช้หน้าซีดลง “ท่านหญิง ท่านจะเอาอย่างนี้…”


 


 


 “ข้าเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ ถูกคนเหยียบย่ำ พวกเขาต้องจ่ายค่าตอบแทน!” ซือถูเฉียงสีหน้าอำมหิต


 


 


ถัดมา นางกัดฟันเอ่ย “หากไม่อาจเป็นน้ำผึ้งหวานล้ำสู่ดวงใจ อย่างนั้นข้าก็จะเปลี่ยนเป็นสุราฤทธิ์ร้อนแรงในกระเพาะ จะเป็นหรือตาย ข้าก็ต้องการให้เขาจดจำข้าเอาไว้!”

 

 

 


ตอนที่ 270 แผนการของเยี่ยเม่ย!

 

สาวใช้พลันนิ่งไป


 


 


ทุกสิ่งที่ท่านหญิงเผชิญ ความจริงหาใช่แค่เรื่องพิการ ถูกปฏิเสธงานแต่ง ยังมีเรื่องหลังจากที่ถูกปฏิเสธการแต่งงานแล้ว พบกับคำประชดประชันเสียดสีในจวนเสนาบดี จนถึงเรื่องที่คุณชายถูกเนรเทศ รวมถึงฮูหยินล้มป่วย


 


 


แม้แต่ท่านหมอยังบอกเลย สภาพร่างกายในยามนี้เกรงว่าใช้ยาพยุงอาการไปเท่านั้น ไม่รู้ว่าร่างกายของฮูหยินจะทนรับได้ถึงเมื่อไหร่


 


 


บรรดาอนุทั้งหลายของท่านเสนาบดีแต่ละคนก็เริ่มโอหังขึ้นมาในยามนี้ บอกว่าฮูหยินอบรมบุตรธิดาไม่ดี ถึงได้ก่อเรื่องเลวร้ายให้กับจวนเสนาบดี ทำให้ท่านเสนาบดีไม่พอใจในตัวฮูหยิน


 


 


ดังนั้นท่านเสนาบดีจึงไม่ไปเยี่ยมฮูหยิน ทั้งไม่มาเยี่ยมท่านหญิงด้วย


 


 


ส่วนคนฉวยโอกาสรังแกคนก็เริ่มลบหลู่ท่านหญิง แค่สาวใช้ไม่กี่คนถึงกับกล้าวิจารณ์ลบหลู่ท่านหญิง ลองคิดดูแล้วท่านหญิงจะไม่โมโหได้อย่างไร  


 


 


ในเมื่อเปลี่ยนไปเช่นนี้ รอจนภายหน้า ท่านหญิงยังจะใช้ชีวิตในจวนได้อย่างสงบหรือ ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะเยี่ยเม่ย หากมิใช่นางปรากฏตัว สถานการณ์คงไม่ดำเนินมาถึงขั้นนี้


 


 


 “แต่ว่า…”  ต่อให้ครุ่นคิดมาถึงขั้นนี้ แต่สาวใช้ยังคงคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ “ท่านหญิง อย่าว่าแต่พวกเราทำสำเร็จได้ยากเลย ต่อให้สำเร็จ ผลลัพธ์ก็เกินจะแบกรับไว้ได้! หากองค์ชายสี่เกิดโทสะ ต้องการให้จวนเสนาบดีทั้งหมดตกตายตามไปด้วย นี่…”


 


 


ค่าตอบแทนนี้จะสูงไปหรือไม่


 


 


ยามนางเอ่ยออกมา สีหน้าซือถูเฉียงพลันปรากฏแววชั่วร้าย มองสาวใช้เอ่ยปากว่า “อย่างนั้นก็ยิ่งดี! ข้ามีชีวิตเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย พี่ชายกับมารดาข้าก็มีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย ท่านพ่อไม่เพียงไม่ใส่ใจพวกเรา ซ้ำยังปล่อยให้พวกสารเลวเหล่านั้นเหยียบย่ำเราสามแม่ลูก ในเมื่อเป็นเช่นนี้…”


 


 


เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ ซือถูเฉียงยิ้มเย็นชา เอ่ยต่อว่า “ข้ามีชีวิตไม่ดี พวกเขาก็อย่าหวังจะอยู่ดีได้ พาทุกคนลงนรกไปด้วยกันเลยก็ดี!”


 


 


สาวใช้ได้ฟัง พลันรู้สึกขนลุกขนพอง มองซือถูเฉียงที่มีท่าทีคลุ้มคลั่ง เตรียมให้คนทั้งหมดตกตายตามกัน ยามนี้นางบังเกิดความเกรงกลัวว่าหากเรื่องแพร่ออกไป ตัวนางพลอยก็จบชีวิตไปด้วย


 


 


ในขณะที่คิดสายตาซือถูเฉียงก็มองบนใบหน้าสาวใช้ นางถามเย็นชาว่า “ทำไม เจ้าไม่กล้าหรือว่ากลัวตาย หรือคิดจะไปฟ้องท่านพ่อ”


 


 


สาวใช้ตะลึงงัน รีบคุกเข่าลง “ท่านหญิง ชีวิตของข้าเป็นฮูหยินมอบให้ ตอนนั้นหากมิใช่เพราะฮูหยินซื้อตัวข้ากับน้องสาวมาจากพวกขอทาน เกรงว่าข้าน้อยคงถูกขายเข้าหอนางโลมไปนานแล้ว ตอนนี้มีชีวิตหรือตายก็ยังไม่รู้ ฮูหยินมอบข้าให้คุณหนู ให้พวกเราสองคนดูแลคุณหนู บ่าวจะทรยศคุณหนูได้อย่างไร”


 


 


นางกลัวตายไม่ผิดแน่ แต่อย่างไรนางก็เป็นคนจงรักภักดี


 


 


 “ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ทรยศข้า!” ซือถูเฉียงเอ่ยออกมา ก็กล่าวต่อ “เจ้าลุกขึ้นก่อนเถอะ! หากเจ้าทรยศข้า นับตั้งแต่ตอนที่คนพวกนี้เริ่มเหยียบย่ำข้า เจ้าก็คงทิ้งข้าไปเข้ากับพวกอี๋เหนียงนานแล้ว ข้าเชื่อในความภักดีของเจ้า!”


 


 


เวลานี้สาวใช้ปาดน้ำตาที่จวนเจียนไหลออกมา มองซือถูเฉียง “ขอบคุณท่านหญิงที่เชื่อไว้วางใจ บ่าวไม่มีทางทรยศต่อความเชื่อใจของท่านแน่!”


 


 


 “อย่างนั้นก็ดี!” ซือถูเฉียงพยักหน้า กำหมัดแน่น เอ่ยเสียงดุร้าย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็รีบไปจัดการซะ! ในเมื่อข้า ท่านแม่และพี่ชายมีคืนวันที่ไม่ดี อย่างนั้น…ท่านพ่อผู้ไร้หัวจิตหัวใจของข้า ซ้ำยังมีพวกสารเลวที่เรือนหลังของบิดาก็อย่าหวังจะมีชีวิตที่ดีเลย”


 


 


นางพูดไปพลางมองสาวใช้ กำชับว่า “ทันทีที่เรื่องเหล่านี้สำเร็จ เยี่ยเม่ยจะตาย ความจริงหากสืบออกมาไม่ได้ก็ดี ต่อให้สืบกระจ่างแล้ว อย่างมากข้าก็ชดใช้ด้วยชีวิต อย่างไรเสียชีวิตนี้ข้าก็ไม่มีอะไรให้หวังอีก แต่พี่เยี่ยนสามารถช่วยข้าล้างแค้น สังหารคนในจวนเสนาบดีที่ทำร้ายข้ากับท่านจนหมดสิ้น ทำไมข้าจะไม่ดีใจกัน อีกอย่าง…”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงยามนี้ สายตาของซือถูเฉียงแน่วแน่ขึ้นมา “ทันทีที่เป็นเช่นนี้ ทันทีที่เยี่ยเม่ยตาย พี่เยี่ยนจะต้องจดจำข้าในใจไปตลอด ไม่มีทางลืมเลือน!”


 


 


 “ท่านหญิง ความในใจของท่าน บ่าวเข้าใจดี เพียงแต่หากท่านลงมือเช่นนี้จริง ท่านจะไม่อาจถอยกลับแล้ว!” ระหว่างพูด สาวใช้ก็ร้อนรน “อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ นายท่านก็ดีกับท่านมาตลอด เพียงแต่ช่วงนี้เขา…ถูกพวกจิ้งจอกเหล่านั้นทำให้เลอะเลือน”


 


 


 “ฮ่าฮ่า…” ซือถูเฉียงหัวเราะเยาะคำหนึ่ง แผดเสียง “ดีกับข้าหรือ เมื่อก่อนข้าหลงคิดว่าท่านพ่อโปรดปรานข้ามาก ยามนี้เมื่อคิดดูแล้ว ความจริงก็เพราะผลประโยชน์ของจวนเสนาบดีเท่านั้นเอง รักโปรดปรานข้าเพราะข้ามีประโยชน์ต่อจวนเสนาบดี หากข้าหมดประโยชน์แล้ว ก็เป็นแค่หมากไร้ค่าสามารถโยนทิ้งได้ทุกเมื่อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ายังต้องสนใจความเป็นตายของเขาอีกหรืออย่างไร”


 


 


 “เรื่องนี้…”


 


 


ความจริงสาวใช้ยังคิดเกลี้ยกล่อมอีกหลายคำ แต่เมื่อคิดๆ แล้ว การแสดงออกของนายท่านช่วงนี้ ก็ชวนให้คนผิดหวัง จึงไม่โน้มน้าว


 


 


ซือถูเฉียงกล่าวต่อว่า “ในเมื่อเขาไร้คุณธรรม ก็อย่าหาว่าข้าขาดมโนธรรม! บิดาเช่นนี้ เป็นพ่อที่เอาแต่ช่วยนังจิ้งจอกพวกนั้นโยนหินซ้ำเติมคน ข้าไม่ต้องการ อีกอย่าง ทุกวันเจ้าเห็นข้าถูกคนในจวนรังแกไม่สนใจบ้างเชียวหรือ”


 


 


เมื่อซือถูเฉียงกล่าวออกมา สาวใช้ที่เดิมทีคุกเข่าอยู่ไม่ลุกขึ้น พลันโขกศีรษะกับพื้นเพื่อแสดงถึงความจงรักภักดี “ท่านหญิง บ่าวเพียงกลัวว่าท่านจะเดินทางผิด บ่าวจะทนดูคุณหนูถูกพวกสารเลวพวกนั้นรังแกได้อย่างไร! ท่านหญิง ท่านวางใจเถอะ สิ่งที่ท่านสั่งการ บ่าวต้องช่วยท่านดำเนินการ ไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน!”


 


 


 “ดี!” ซือถูเฉียงมองนางคราหนึ่ง ถอนหายใจ “ถึงเวลานี้ คนข้างกายข้าก็มีเพียงเจ้าเท่านั้น!”


 


 


สาวใช้ได้ฟัง พลันสะอึกไปเล็กน้อย ในใจคิดว่าท่านหญิงช่างน่าสงสารนัก ท่านหญิงที่เคยสูงศักดิ์ วันนี้ตกลงมาอยู่ในสภาพเช่นนี้…


 


 


เมื่อคิดได้ ความภักดีปกป้องเจ้านาย นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “ท่านหญิง ท่านวางใจเถอะ! บ่าวไม่มีทางทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน! น้องสาวของบ่าวก็ต้องช่วยเช่นเดียวกัน!”


 


 


 “อืม!” ซือถูเฉียงยามนี้ค่อยวางใจลง


 


 


……


 


 


บริเวณแม่น้ำหมิง


 


 


เยี่ยเม่ยรออยู่ที่นี่มาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ นางรู้สึกว่าตัวเองโชคดีไม่น้อย พรุ่งนี้เป็นวันตงจื่อ[1] นางเดาว่าปีนั้นคนจำนวนมากตายอยู่ที่แม่น้ำหมิง เช่นนั้นญาติของคนเหล่านั้นต้องมีชีวิตอยู่ ในวันตงจื่อย่อมต้องมาเซ่นไหว้ที่แม่น้ำหมิง


 


 


หากเป็นเช่นนั้นจริง โอกาสของนางก็มาถึงแล้ว


 


 


ดังนั้นนางเพียงรออีกหนึ่งวัน รอหลังจากฟ้าสางของวันพรุ่งนี้ นางรับรองว่าคนของเป่ยเฉินอี้จะไม่ทันสังเกตได้เลยสักน้อย ว่านางปรากฏตัวที่แม่น้ำหมิง!


 


 


นางหันกลับมามองขอบฟ้า ก็รู้ว่าใกล้จะฟ้าสางแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยยกสัมภาระที่เตรียมไว้แต่แรก เตรียมตัวลุกขึ้น


 


 


นางเชื่อว่าต่อให้เป่ยเฉินอี้เฝ้าอย่างเคร่งครัดเพียงไหน วันนี้นางก็ต้องหาความจริงทั้งหมดกลับมาให้ได้!


 


 


 


 


[1] วันที่ช่วงกลางวันสั้นกว่ากลางคืน คนจีนนิยมกินบัวลอยในวันนี้

 

 

 


ตอนที่ 271 เตี้ยนเซี่ย กูเยว่อู๋เหินม...

 

ในเมืองชายแดน 


 


 


อวี้เหว่ยยืนหน้าสลดรายงานอยู่ด้านข้างเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “เตี้ยนเซี่ย พวกเราไม่พบร่องรอยของแม่นางเยี่ยเม่ยเลย ซือหม่าหรุ่ยเพียงบอกว่านางเดินทางไปทางเจียงหนาน แต่คนของเราตามไปทางเจียงหนาน แม้แต่เงาของนางก็หาไม่พบ!” 


 


 


อวี้เหว่ยรายงานไปก็ตื่นเต้นมาก กลัวเตี้ยนเซี่ยจะบันดาลโทสะ กำจัดปลาน้อยที่น่าสงสารในบ่ออย่างเขาทิ้งซะ  


 


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบเสริมขึ้นประโยคหนึ่ง “แต่ว่าเตี้ยนเซี่ย เรื่องนี้ก็หาใช่ข่าวร้ายไปเสียทีเดียว ข้าน้อยคิดว่าไม่ใช่แค่พวกเราที่หาแม่นางเยี่ยเม่ยไม่พบ ความจริงคนของเป่ยเฉินอี้ก็คิดตามหานางเหมือนกัน ในเมื่อพวกเราหาไม่พบ พวกเขาก็ย่อมไม่พบ!”  


 


 


ที่สำคัญคือเยี่ยเม่ยถนัดการพรางตนมากเกินไปแล้ว 


 


 


ครั้งแรกที่นางออกจากชายแดน หากมิใช่เพราะนางต้องกลับมาช่วยจิ่วหุน ไม่แน่ว่ายามนั้นพวกเขาก็คงไม่อาจพบนางได้ง่ายๆ 


 


 


ยามนี้นางออกไปคนเดียว ทั้งยังจงใจไม่ให้คนหาพบ คิดหาร่องรอยของนาง ย่อมยากขึ้นไปอีก! 


 


 


ถึงยามนี้ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยื่นมือออกมานวดหว่างคิ้ว ในใจครุ่นคิดถึงสถานที่ที่นางอาจไป ความจริงคิดตามหานางไม่ใช่เรื่องยาก มีเส้นทางสองสายที่ต้องไป 


 


 


หนทางแรกคือไปถามเป่ยเฉินอี้ แต่วิธีนี้หลายวันก่อนพวกเขาก็ยกเลิกความคิดไปแล้ว 


 


 


หนทางที่สองคือสอบสวนซือหม่าหรุ่ยอย่างรุนแรง หรือไม่ก็หาจุดอ่อนของซือหม่าหรุ่ยบีบบังคับให้นางเอ่ยปาก ในเมื่อไปเจียงหนานหาตัวเยี่ยเม่ยไม่พบ เท่ากับว่าคำพูดของซือหม่าหรุ่ยคือคำโกหก ไม่ว่าอย่างไร เยี่ยเม่ยไม่มีเหตุผลที่จะหลบเลี่ยงคนของเขา 


 


 


เพียงแต่…หากลงมือกับซือหม่าหรุ่ย รอเยี่ยเม่ยรู้เรื่องเข้า ต้องเป็นการยั่วโทสะนางแน่ 


 


 


อวี้เหว่ยหาใช่คนโง่ ย่อมมองออกว่า เตี้ยนเซี่ยของตนคิดอะไรอยู่ 


 


 


เขาเอ่ยปากว่า “เตี้ยนเซี่ย ยามนี้ไม่อาจแตะต้องซือหม่าหรุ่ย ไม่ว่าอย่างไรแม่นางเยี่ยเม่ยก็บอกแล้วว่านางออกไปเพียงสองสามวันเท่านั้น ไม่ช้าก็จะกลับมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านสงบใจรอสักสองสามวัน หากผ่านไปแล้วนางยังไม่กลับมา ท่านค่อยลงมือก็ยังไม่สาย ตอนนี้หากเสี่ยงลงมือกับซือหม่าหรุ่ย เมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยกลับมาแล้ว ท่านก็ยากจะอธิบายกับนาง!” 


 


 


ว่าไปแล้วอวี้เหว่ยยังเหนื่อยใจแทนเตี้ยนเซี่ยของเขาเลย 


 


 


เมื่อก่อนเตี้ยนเซี่ยกำเริบเสิบสานแค่ไหน ใครก็ขวางเตี้ยนเซี่ยไม่ได้ เสินเซ่อเทียนผู้อยู่เหนือคนทั่วหล้าก็ยังไม่ขัดขวางเตี้ยนเซี่ยง่ายๆ ไม่ว่าเตี้ยนเซี่ยจะกระทำเรื่องอะไรก็ล้วนอยู่ที่ความยินดีของตน ไม่เคยคิดถึงความคิดผู้อื่นทั้งนั้น 


 


 


ยามนี้กลับแปลกนัก! 


 


 


ต้องคอยใคร่ครวญถึงความคิดแม่นางเยี่ยเม่ยไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่น่ากลัวก็คือ ถึงแม้รู้ว่าซือหม่าหรุ่ยที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเยี่ยเม่ย ถึงกลับมีขวัญกล้าเทียมฟ้าหลอกลวงเตี้ยนเซี่ย เตี้ยนเซี่ยยังเห็นแก่หน้าแม่นางเยี่ยเม่ย ไม่ก่อเรื่องทั้งไม่ลงมือ นี่มันอะไรกันแน่เนี่ย!    


 


 


อวี้เหว่ยรู้สึกว่า บางทีเตี้ยนเซี่ยน่าจะให้เขาช่วยซื้อจิ้งหรีดสองตัวมาเล่นแก้เหงา เพื่อสลายความกลัดกลุ้มในใจ ไม่เช่นนั้นหากยังเป็นเช่นนี้นานเข้า เตี้ยนเซี่ยคงจะโมโหแย่ 


 


 


คิดไม่ถึงว่า 


 


 


ในเวลานี้ด้านนอกเกิดเรื่องชวนให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ่งโมโห 


 


 


เพียงเห็นเซียวเยว่ชิงวิ่งเข้ามาอย่างลุกลี้ลุกลน ราวกับว่าด้านหลังมีหมาป่าวิ่งไล่ล่า สีน้าเจ็บปวดเกินเปรียบ หลังจากเข้ามาแล้วก็เอ่ยปากว่า “เตี้ยนเซี่ย คือ…เกิดเรื่องแล้ว กูเยว่อู๋เหินมาถึงแล้ว เขาบอกว่ามาตามหาคู่หมั้น พวกเรารั้งเขาไว้ไม่ได้ เขาบุกเข้ามาเมืองมาแล้ว!” 


 


 


 “คู่หมั้น?” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยด้วยเสียงน่าฟัง แฝงด้วยความอ่อนโยนยากบรรยายได้ 


 


 


ทว่ากลับทำให้เซียวเยว่ชิงตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ 


 


 


ยามปกติเมื่อเตี้ยนเซี่ยใช้น้ำเสียงเช่นนี้ ล้วนไม่มีเรื่องดี  


 


 


แต่ว่ากูเยว่อู๋เหินผู้นี้ เซียวเยว่ชิงเพิ่งได้พบเป็นครั้งแรก ไหนว่าประมุขหมู่ตึกกูเยว่มีอุปนิสัยเฉื่อยชาเกียจคร้าน ไม่ชอบออกมาข้างนอกไม่ใช่หรือ 


 


 


ไฉนๆ จู่ถึงออกมาได้เล่า ทั้งยังมาถึงชายแดน ในเมืองชายแดนนี้ สตรีมีอยู่ไม่กี่คน มีคู่หมั้นของเขาที่ไหนกัน นี่มันออกจะพิสดารเกินไปแล้ว สองสามวันนี้แม่นางเยี่ยเม่ยก็ไม่อยู่ เตี้ยนเซี่ยอยู่ในช่วงกลัดกลุ้มกังวลใจ กูเยว่อู๋เหินมาก่อกวนในเวลานี้ เตี้ยนเซี่ยอารมณ์ดีก็แปลกแล้ว! 


 


 


สีหน้าอวี้เหว่ยพลันเขียวคล้ำ สีน่าไม่น่าดูชมยากเกินอธิบายได้ “เตี้ยนเซี่ย กูเยว่อู๋เหินช่างรังแกคนเกินไปแล้ว ท่านอย่าได้ยอมเขาเชียว!” 


 


 


เมื่ออวี้เหว่ยเอ่ย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ปรายตามองเขา น้ำเสียงน่าฟัง ค่อยๆ เอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเตือน!” 


 


 


อวี้เหว่ยพลันตัวสั่น ก้มหน้าลง รู้ดีว่าเตี้ยนเซี่ยในยามนี้อารมณ์ไม่ดีอย่างมาก หากเขาพูดผิดหรือว่าเอาใจผิดๆ ไป บางทีอาจยั่วโทสะเตี้ยนเซี่ยได้ 


 


 


ถัดมา 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนลุกขึ้นมาแล้ว เอ่ยว่า “ตอนนี้กูเยว่อู๋เหินอยู่ที่ไหน”  


 


 


 “เมื่อครู่เพิ่งเข้าเมืองมา มีทหารจำนวนไม่น้อยล้อมเขาไว้ แต่เหมือนเขาไม่กลัวเลยสักน้อย!” เซียวเยว่ชิงเอ่ยไปก็ปาดเหงื่อบนหน้าผากออก 


 


 


 “อ้อ?” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก้าวเท้าออกไปด้านนอก มุ่งไปยังทิศทางของประตูเมือง ถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “เขาบอกหรือไม่ว่าคู่หมั้นของเขาคือใคร” 


 


 


เซียวเยว่ชิงเอ่ยปาก “ไม่ได้บอก เขาเหมือนไม่ชอบพูดจานัก หลังจากมาแล้วก็พูดแค่ประโยคเดียว นั่นคือบอกให้เรียกคู่หมั้นของเขามาพบ แม้แต่ฐานะของตัวเขา ยังให้ผู้ติดตามเป็นคนอธิบาย ข้าน้อยถึงรู้ว่าเขาคือกูเยว่อู๋เหิน คำพูดอื่นๆ เขาก็ไม่เอ่ยอีก!”  


 


 


ดูจากท่าทีของกูเยว่อู๋เหิน คล้ายไม่อยากพูดจากับพวกเขา 


 


 


ก็ถูก กูเยว่อู๋เหินสันโดษ ย่อมไม่ใช่คนที่จะพูดคุยกับพวกเขา ความจริงในใจเซียวเยว่ชิงก็รับรู้ด้วยตัวเองว่า หากกูเยว่อู๋เหินสนใจพวกเขานั่นก็ถือเป็นเรื่องแปลกแล้ว 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจแล้ว ท่าทางของเขายังคงสง่างามเหนือคน ไม่อาจมองออกว่าเขายินดีหรือโมโห 


 


 


ยามนี้เซียวเยว่ชิงจับความคิดของเขาไม่ได้ จึงไม่เอ่ยวาจา 


 


 


เมื่อไปถึงบริเวณประตูเมือง 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสบตากับกูเยว่อู๋เหินที่อยู่บนหลังม้า 


 


 


คนทั้งสองพบกันเป็นครั้งแรก เพียงแต่การพบกันนี้ เพียงแค่แวบเดียวก็รับรู้ถึงฐานะของอีกฝ่ายแล้ว บรรยากาศรอบด้านเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบลง คนอยู่รอบๆ ทั้งหมดรู้สึกว่ามองเห็นดอกไม้ไฟไร้รูปลักษณ์จำนวนนับไม่ถ้วนแตกระเบิดระหว่างพวกเขาทั้งสองคน 


 


 


ในเวลานี้เอง 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองกูเยว่อู๋เหิน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาสบายว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยนไม่ไปหาท่านประมุขที่หมู่ตึกกูเยว่ ท่านกลับมาหาข้าเอง! ก็ดี ประหยัดเวลาข้าเดินทางไปหมู่ตึกกูเยว่!” 


 


 


กูเยว่อู๋เหินฟังแล้ว เอ่ยถามเสียงเรียบ “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน? เจ้าออกมาด้วยตัวเอง คิดคบหากูเยว่เป็นสหายอย่างนั้นหรือ”เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่ง เอ่ยปากว่า “สหาย? คนเรามักเรียกการเพิ่มปัญหาให้แก่กันและกันว่าสหาย เรียกความขี้ขลาดไม่กล้าล้างแค้นว่าใจกว้าง เรียกการยินยอมให้ผู้อื่นทำร้ายตัวเองว่าให้อภัย ความจริงแล้วคำพูดที่มีความหมายแฝงที่ดีจำนวนไม่น้อยบนโลกนี้  ล้วนมีธาตุแท้ที่ไม่อาจเปิดเผยได้ เพราะว่าเยี่ยนฉลาดมากพอ ดังนั้นไม่ยึดหลักคุณธรรมในการดำรงชีวิต หวังว่าท่านก็น่าจะเข้าใจแล้วว่าเยี่ยนผู้นี้กำเนิดมาก็จิตใจคับแคบไม่ใจกว้างและไม่รู้จักให้อภัย!”  


 


 


ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแข็งขืน สายตาเผยไอสังหาร “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นคนที่คิดจะตีท้ายครัวข้าอย่างประมุขกูเยว่ ยังหลงคิดว่าเยี่ยนจะคบหาเป็นสหายด้วยอย่างนั้นหรือ” 

 

 

 


ตอนที่ 272 นางไม่รำคาญที่ท่านพูดมากหร...

 

กูเยว่อู๋เหินฟังแล้ว สายตาจับจ้องไปที่ร่างของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่นานไม่ขยับ


 


 


คล้ายไม่รู้ว่าเขาสมควรวิจารณ์คนเบื้องหน้าตนว่าอะไร ผ่านไปสักพัก น้ำเสียงราบเรียบของเขาก็ดังขึ้นว่า “นางไม่รำคาญที่ท่านพูดมากหรอกหรือ”


 


 


คนทั้งหมด “…”


 


 


อวี้เหว่ย “…?!”  


 


 


อะไรกัน นี่มันอะไรกันเนี่ย


 


 


อวี้เหว่ยหันกลับไปมองใบหน้าด้านข้างของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เมื่อคิดถึงคำพูดของกูเยว่อู๋เหินก็กลืนน้ำลายอึกหนึ่งอย่างระวัง คือว่า…


 


 


‘ปรัชญา’ เมื่อครู่ของเตี้ยนเซี่ยยาวไปหน่อยก็จริง ฟังแล้วเป็นคำพูดยืดยาว แต่อาจเป็นเพราะเตี้ยนเซี่ยเป็นเช่นนี้มาตลอด เขาใช้เหตุผลของตัวเองกล่อมเกลาชาวโลก ทรมานผู้คน ในขณะเดียวกันก็เฆี่ยนตีจิตใจคนไปด้วย


 


 


ดังนั้นเขาที่คุ้นเคยแล้วจึงไม่รู้สึกว่าพูดมากจนเกินไปแต่อย่างใด…


 


 


นางผู้นี้ คงจะหมายถึงแม่นางเยี่ยเม่ยไม่ผิดแน่กระมัง


 


 


ในขณะที่อวี้เหว่ยครุ่นคิดไปเรื่อย คนทั้งหมดตกอยู่ในอารามแตกตื่น


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่เป็นฝ่ายโดนโจมตีกลับคลี่ยิ้มออกมา ท่าทางของเขาสง่างามประดุจแมวเปอร์เซีย มองกูเยว่อู๋เหินตรงหน้า ค่อยๆ เอ่ย “นางกลับไม่เคยบ่นว่าเยี่ยนพูดมาก ทว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน นางกลับพูดอยู่ในอ้อมกอดของข้าว่าประมุขกูเยว่ผู้นั้นช่างน่าเบื่อเสียเหลือเกิน!”


 


 


เหวยซื่อพูดไม่ออก คราวนี้เขาเป็นฝ่ายกลืนน้ำลายเอื๊อก


 


 


ทั้งยังลอบมองใบหน้าเจ้านายตนอย่างระมัดระวัง หึ…นายท่านมีชื่อเสียงด้านนิสัยเฉยชา เฉื่อยชา แม้กระทั่งคำพูดยังไม่อยากจะเอ่ย หากเป็นอย่างที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนว่า…


 


 


  


 


 


อืม คนที่เอาแต่เงียบอยู่เรื่อยก็น่าเบื่อจริงๆ เพียงแต่เขาอยู่กับนายท่านมานานหลายปี จึงไม่รู้สึกอะไรแล้วใช่หรือไม่


 


 


หลังจากบุรุษรูปงามแห่งยุคทั้งสองผลัดกันโจมตีอีกฝ่าย ทำให้ผู้ติดตามของคนทั้งสองรู้สึกว่าได้รู้จักเจ้านายของตนใหม่อีกครั้ง


 


 


พูดมาก ปะทะ น่าเบื่อ


 


 


ดีเหลือเกิน ช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก


 


 


….


 


 


สายตากูเยว่อู๋เหินสงบลงในไม่ช้า นัยน์ตาที่เหินห่างแต่เดิมในที่สุดก็มีประกายแววของปุถุชนบ้าง นั่นคือความไม่ยินดี


 


 


เขาเอ่ยเสียงนิ่งว่า “คำว่าน่าเบื่อนี้ เกรงว่าจะเป็นความเห็นของท่านเอง”


 


 


คนอย่างเยี่ยเม่ย ถึงเขาเข้าใจได้ไม่ลึกพอ แต่ก็เคยติดต่อกับนางในช่วงเวลาสั้นๆ ในเมื่อเป็นคนที่เขามอบขลุ่ยหยกโลหิตได้ เขาย่อมอ่านนิสัยคนผู้นั้นออก


 


 


นางไม่มีทางเป็นสตรีที่พูดนินทาลับหลังผู้อื่น โดยเฉพาะคำวิจารณ์ที่ไร้เหตุผลไร้สาระ


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถูกเปิดโปง แต่ไม่รู้สึกอับอายเลย สีหน้ายิ่งเรียบเฉยจ้องคนตรงหน้า เอ่ยออกมาทีละคำด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์ “ในเมื่อท่านไม่เชื่อ เยี่ยนย่อมไม่บังคับท่าน เพียงอยากให้ท่านเข้าใจ ในฐานะคู่หมั้น ไม่มีเรื่องใดที่นางไม่บอกกับเยี่ยน!”


 


 


คราวนี้บรรยากาศในที่นี้พลันเย็นเยือกและอึดอัดมากขึ้น


 


 


 


 


คนทั้งหมดล้วนคิดว่า พวกท่านทั้งสองมีคำพูดใดก็ค่อยๆ พูดจากันดีๆ ต้องใช้คำพูดแปลกพิกลแบบนี้ไปเพื่ออะไร พวกเขาทั้งหลายล้วนเป็นกลุ่มคนแทะแตง[1]ยังพลอยรู้สึกสับสนไปด้วย คราวนี้ก็ดีเลย แตงก็ไม่ได้กิน ซ้ำยังถูกยัดเยียดอาหารสุนัข[2]ให้แทน


 


 


แม่นางเยี่ยเม่ยพูดทุกเรื่องกับเตี้ยนเซี่ย…  


 


 


ใช่สิ ท่านจะทรมานคนโสดนิ


 


 


เหวยซื่อมองเจ้านายตัวเองทีหนึ่ง ในใจกังวลขึ้นมาบ้าง จากสถานการณ์ตรงหน้า เขากลัวเหลือเกินว่านาทีถัดไป นายท่านและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะต่อยตีกันขึ้นมา ในเมื่อคนทั้งสองยั่วยุกันมาถึงขั้นนี้แล้ว


 


 


ความจริงต่อยตีกันก็หาใช่เรื่องใหญ่ แต่นี่ออกจะไม่เข้ากับอุปนิสัยคร้านจะสนใจเรื่องราวของเจ้านายตนไปสักหน่อย หากต่อยตีกันขึ้นมาจริง เหวยซื่อพานจะหลงคิดว่า นายท่านจริงจังกับเยี่ยเม่ยแล้วใช่หรือไม่


 


 


ในขณะที่เขาครุ่นคิดอยู่ในใจ


 


 


กูเยว่อู๋เหินยิ้มยกมุมปาก มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้านหน้า เอ่ยเรียบๆ ว่า “ภูเขาลูกเดียวไม่อาจมีพยัคฆ์สองตัว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ประลองแพ้ชนะกันเถอะ”


 


 


สิ้นเสียง กระบี่ในมือเขาก็ออกจากฝัก


 


 


กระบี่เลื่องชื่อเปล่งประกายแสงพราวตา ไอกระบี่ยังไม่ทันเคลื่อนไหว คนกลับรู้สึกถึงจิตสังหารพุ่งมาก่อนแล้ว ทำเอาคนทั้งหมดในที่นี้แตกตื่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้…


 


 


บรรดาทหารหวนคิดถึงครั้งก่อนที่ เตี้ยนเซี่ยต่อยตีกับจิ่วหุน


 


 


หลายคนร่นถอยหลังไปอย่างทนไม่ไหว กลัวว่าพลังปราณที่ปล่อยออกมาจะเกิดพลาดพลั้งทำร้ายตนจนพิกลพิการไป


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟัง กลับยิ้มออก ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายมีความยินดีที่หาได้ยาก เอ่ยว่า “สมใจข้าพอดี!”


 


 


 


 


สิ้นเสียง เขาก็มองคนทั้งหมดทีหนึ่ง เอ่ยว่า “พวกเจ้าต่างก็เห็นแล้ว ประมุขกูเยว่ต้องการพิสูจน์แพ้ชนะกับข้า เยี่ยนทำเพื่อป้องกันตัวเอง!”


 


 


คนทั้งหมดจนคำพูด


 


 


ตั้งแต่แรกเริ่ม ประโยคแรกที่ท่านเอ่ยกับกูเยว่อู๋เหินก็คือปฏิเสธการคบหาเป็นสหายกับเขา แสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะคิดบัญชีกับอีกฝ่าย ภายหลังต่างฝ่ายต่างสาดทอคำพูดใส่กัน สุดท้ายเรื่องราวพัฒนาไปเป็นเช่นนี้ ไฉนถึงกลายเป็นว่ากูเยว่อู๋เหินยั่วยุท่าน ท่านทำไปเพื่อปกป้องตัวเองเสียเล่า


 


 


คนทั้งหมดไม่อาจตัดสินในทันทีว่า สายตาในการมองโลกของพวกเขามีปัญหา หรือว่ามุมมองการคิดวิเคราะห์ของเตี้ยนเซี่ยกันแน่ที่มีปัญหา


 


 


แต่ก็ไม่ผิด หากคิดจะยืนกรานเช่นนี้ให้ได้ ก็คล้ายจะไม่มีอะไรไม่ถูกต้อง อย่างไรเสียคนที่เริ่มชักกระบี่ก่อน ก็คือกูเยว่อู๋เหินจริงๆ


 


 


อวี้เหว่ยเป็นคนมีไหวพริบ เขาจึงเข้าใจแล้ว


 


 


ที่แท้เตี้ยนเซี่ยมาถึงก็ยั่วยุฝ่ายตรงข้ามเพื่อทำให้กูเยว่อู๋เหินที่มีนิสัยเฉยชาลงมือก่อน อย่างไรเสียเรื่องยาครั้งก่อน ไม่ว่าจะพูดอย่างไร แม่นางเยี่ยเม่ยก็ติดค้างน้ำใจคนผู้นี้


 


 


ยามนี้ผู้มีพระคุณของแม่นางเยี่ยเม่ยมาถึงที่ เตี้ยนเซี่ยที่อยู่ในฐานะคู่หมั้นตามหลักแล้วสมควรต้อนรับอย่างดี แต่ว่าด้วยความสัมพันธ์ซับซ้อนชวนอึดอัด เตี้ยนเซี่ยย่อมไม่คิดต้อนรับอีกฝ่าย หากเป็นฝ่ายลงมือต่อยตีคนก่อน เมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยกลับมา เกรงว่าไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ดังนั้น…


 


 


หากกูเยว่อู๋เหินชิงลงมือก่อนก็ไม่เหมือนกันแล้ว


 


 


อวี้เหว่ยปลงอยู่ในใจ เตี้ยนเซี่ยช่างเป็นเตี้ยนเซี่ยที่เจ้าเล่ห์นักนะ เขารู้สึกเลื่อมใสมาจากก้นบึ้งของหัวใจ!


 


 


กูเยว่อู๋เหินฟังคำพูดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เลิกคิ้ว เขาเป็นประมุขของหมู่ตึกกูเยว่อาศัยความสามารถด้านบทกวีและวรยุทธ์ล้ำเลิศสร้างชื่อเสียงในยุทธภพ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยวาจาถึงขั้นนี้ เขาย่อมเข้าใจแรงจูงใจของอีกฝ่าย


 


 


           ความไม่พอใจจางๆ ในดวงตาเขาพลันเพิ่มพูนขึ้น มองคนตรงหน้า เอ่ยเสียงเย็นชา “หวังว่าท่านจะป้องกันตัวเองได้”


 


 


ระหว่างที่เขาเอ่ยจบ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันยกมือขึ้น


 


 


กำลังภายในกลายเป็นกระบี่ยาวสีแดงเล่มหนึ่งคล้ายกับลำแสงมารก็มิปาน ปรากฏอยู่ในมือเขา แต่ไรมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่จำเป็นต้องถือกระบี่ เขาให้กำลังภายในสร้างมันขึ้นมา


 


 


นัยน์ตาเขามองไปที่คนตรงหน้า น้ำเสียงราบเรียบ ค่อยๆ เอ่ย “ข้าก็หวังว่าท่านประมุขกูเยว่ จะไม่ทิ้งร่างไว้ที่ชายแดน ตายอย่างไร้ศพสมบูรณ์!”


 


 


คนทั้งหมด “…”


 


 


นี่…


 


 


พวกท่านคิดจะ…


 


 


ถัดมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองคนทั้งหมด น้ำเสียงน่าฟังแฝงความเข้มงวดสั่งการว่า “ถอยไป!”


 


 


ทุกคนเข้าใจทันที ต่างพากันถอยออกมา


 


 


           ก็ถูก เตี้ยนเซี่ยประมือกับกูเยว่อู๋เหิน ยากนักที่จะไม่ทำร้ายคนบริสุทธิ์ พวกเขาถอยหลบไปถึงจะปลอดภัย!


 


 


 


 


[1] เป็นภาษาที่นิยมใช้กันในอินเทอร์เน็ต หมายถึง คนที่อ่านอย่างเดียวไม่แสดงความคิดเห็น


 


 


[2] เป็นภาษาที่นิยมใช้กันในอินเทอร์เน็ต หมายถึง คนโสดเห็นคู่รักที่พลอดรักกัน

 

 

 


ตอนที่ 273 รวมกลุ่มชมศึกใหญ่!

 

เหล่าทหารทั้งหลายรีบถอยร่นไปอยู่ในบริเวณที่คิดว่าไม่เป็นอันตราย 


 


 


ความจริงพวกเขาก็ยืนห่างออกมามากแล้ว ในใจหวังว่าตนจะยืนอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย แต่ว่า…คิดถึงวรยุทธ์ของเตี้ยนเซี่ย รวมถึงชื่อเสียงของกูเยว่อู๋เหิน พวกเขาไม่รู้ชัดว่าสุดท้ายสถานที่ที่พวกเขาอยู่ จะปลอดภัยจริงหรือปลอดภัยหลอกกันแน่ 


 


 


อวี้เหว่ยและเหวยซื่อต่างถอยออกไปด้านข้างด้วยสัญชาตญาณ 


 


 


ถึงแม้วรยุทธ์ของเขาทั้งสองคนนับว่าเป็นยอดฝีมือแล้ว แต่ว่าต่อหน้าองค์ชายสี่กับประมุขกูเยว่ผู้เป็นสุดยอดฝีมือแห่งยุคก็ถือว่าไม่เพียงพอ อีกประเดี๋ยวหากถูกตีจนปลิวกระเด็นคงจะกระอักกระอ่วนไม่น้อย! 


 


 


หลังจากคนทั้งหมดร่นถอยหลังไป 


 


 


ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างเหลือเพียงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและกูเยว่อู๋เหิน  


 


 


กูเยว่อู๋เหินพลิกกายลงจากม้า 


 


 


เมื่อเขาลงจากม้า ในยามนี้ยอดอาชาก็วิ่งทิ้งระยะห่างจากไปไกลด้วยตนเองอย่างชาญฉลาด 


 


 


ต่อมา 


 


 


กระบวนท่ากระบี่ของกูเยว่อู๋เหินพุ่งเข้าโจมตีเป่ยเฉินเสียเยี่ยน! 


 


 


คนที่ยิ่งเฉยชา หากให้ความใส่ใจคนใดคนหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วจะยิ่งดื้อดึง 


 


 


กระบวนท่ากระบี่ในมือเขาเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร ไม่ยั้งมือไว้ไมตรีเลยสักนิด มิได้หมายจะประลองเพื่อหยั่งเชิง เป้าหมายชัดเจนคือต้องการฆ่าบุคคลเบื้องหน้า 


 


 


เหวยซื่อชมอยู่ด้านข้างพลันรู้สึกแตกตื่น ดูท่านายท่านไม่เพียงแค่จริงจังกับแม่นางเยี่ยเม่ยแล้ว ซ้ำยังจริงจังเป็นอย่างยิ่งด้วย! 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นท่าทางเต็มไปด้วยจิตสังหารเข้มข้นของกูเยว่อู๋เหิน มุมปากยกยิ้มบางอย่างสง่างาม คล้ายกับเขายินดีเหลือเกินที่ได้เห็นภาพนี้ 


 


 


กระบี่ที่ก่อเกิดจากแสงมารในมือเปล่งประกายวาบในพริบตา แสงมารแรงกล้าทำเอาคนไม่อาจเปิดตาได้ 


 


 


อีกทั้งไอสังหารยังรุนแรงกว่ากูเยว่อู๋เหินอีกด้วย 


 


 


ไม่ว่าอย่างไรเขาคือคู่หมั้นที่ถูกต้องตามประเพณีของเยี่ยเม่ย คนที่ต้องโกรธยิ่งกว่าสมควรเป็นเขา!  


 


 


ลำแสงมารสีแดงจวนเจียนจะปะทะกับปราณกระบี่สีเขียว การต่อสู้ระหว่างสุดยอดฝีมือแห่งยุค ทำเอาคนทั้งหลายรู้สึกตาลาย พลังปราณเปล่งแสงแยงตา ทำให้พวกเขาลืมตาไม่ขึ้น 


 


 


ครั้งก่อน เตี้ยนเซี่ยปะทะกับจิ่วหุนยังไม่มีสภาพเช่นนี้เลย 


 


 


เมื่อกระบี่สองเล่มปะทะกัน 


 


 


คนทั้งสองต่างล่วงรู้ถึงตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่าย ถัดมาพวกเขาต่างเห็นแววชื่นชมในดวงตาของอีกฝ่าย รวมถึงประกายความจริงจัง 


 


 


ความชื่นชมคือ ความชื่นชมที่มีต่อยอดฝีมือ 


 


 


แต่ว่าจริงจัง… 


 


 


ย่อมเกิดความเข้าใจว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหน้ามีความสามารถไม่ด้อยไปกว่าตนเลย ดังนั้นจึงต้องระวังเป็นพิเศษ 


 


 


หลังจากการโจมตีนี้ผ่านไป ฝุ่นทรายกระจายคลุ้งฟ้า ลำแสงกระบี่คุกคามคน 


 


 


ถัดมา 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคลี่ยิ้มสง่างาม แสงมารในมือสว่างโรจน์ ชิงโจมตีกูเยว่อู๋เหินที่อยู่เบื้องหน้า! 


 


 


กูเยว่อู๋เหินรีบรั้งกระบี่ยาวในมือกลับมารับมือคนที่อยู่ตรงหน้า 


 


 


   …… 


 


 


พวกเขาทั้งสองต่อสู้กันสร้างความสะท้านสะเทือนขนาดนี้ ข่าวย่อมแพร่ไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


เป่ยเฉินอี้เห็นชิงเกอเข้าห้องมาอย่างลุกลี้ลุกลน สีหน้าไม่รู้เรียกว่าตื่นเต้นหรือว่าสับสน เมื่อเดินเข้ามาก็เอ่ยปากว่า “ท่านอ๋อง กูเยว่อู๋เหินมาแล้ว บอกว่ามาตามหาคู่หมั้น ตอนนี้กำลังต่อสู้กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน!”  


 


 


“อ้อ?” เป่ยเฉินอี้เลิกคิ้ว น้ำเสียงนิ่งดังเคย ในฐานะปราชญ์อันดับหนึ่งผู้เข้าใจจิตใจคนเป็นอย่างดี เขาจึงไม่แปลกใจเลยสักนิด 


 


 


คนที่นิสัยเฉยชาอย่างกูเยว่อู๋เหินมอบขลุ่ยหยกโลหิตให้เยี่ยเม่ย นั่นหมายความว่าเขาไม่มีทางรามือจากเยี่ยเม่ย ง่ายๆ แน่ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีนิสัยอย่างไร เป่ยเฉินอี้ยิ่งเข้าใจดีไปกันใหญ่ พวกลัทธิทำลายล้าง  ของที่เขาจ้องไว้ ยิ่งไม่มีทางปล่อยมือ  


 


 


เมื่อสองคนพบหน้าหรือว่าปะทะกัน ความจริงก็เป็นเพียงเรื่องช้าเร็วเท่านั้น 


 


 


เป่ยเฉินอี้นอนป่วยบนเตียงหลายวันเพราะต้องไอเย็น ยามนี้เขาลุกขึ้น มองชิงเกอด้านข้าง สั่งเสียงขรึมว่า “ตามข้าไปดูกัน!” 


 


 


“ขอรับ!” ชิงเกอพยักหน้า 


 


 


ความจริงในใจรู้สึกว่า ศึกใหญ่นี้หากไม่ไปชมต้องน่าเสียดายมาก 


 


 


หลังจากเป่ยเฉินอี้ลุกขึ้น ชิงเกอก็รีบห่อผ้าคลุมให้เขา ติดตามเป่ยเฉินอี้ออกไป 


 


 


   …… 


 


 


อีกด้านหนึ่ง 


 


 


เยี่ยเม่ยออกจากชายแดนเป็นวันที่สอง จิ่วหุนก็ลุกขึ้นจากเตียงได้แล้ว ภายใต้การบำรุงอย่างตั้งใจของ ซือหม่าหรุ่ย ร่างกายที่บอบช้ำของเขาแทบหายดี 


 


 


เพื่อทำให้พละกำลังของเขาฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว  สองวันนี้เขาล้วนฝึกกระบี่ หวังว่าตัวเองจะหายโดยไว ไปช่วยเหลือเยี่ยเม่ยได้ทันที 


 


 


ในเวลานี้เอง 


 


 


เขามองเห็นแสงสว่างมาจากนอกเมือง เขารับรู้ได้ในทันทีว่ามีสุดยอดฝีมือแห่งยุคกำลังประลองกันในบริเวณใกล้ๆ  


 


 


คนที่มีความสามารถระดับนี้ในใต้หล้า ใช้นิ้วก็นับจำนวนได้หมด 


 


 


ไม่ใช่เขา เป่ยเฉินอี้ก็นอนป่วยบนเตียง ที่ชายแดนนี้เหลือเพียง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว นอกจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้วยังมีใครอีก 


 


 


เขาหาใช่คนที่กระเ**้ยนกระหือรืออยากรู้ ทั้งไม่ใช่คนสอดรู้สอดเห็น 


 


 


เขารั้งสายตากลับมา เดิมตั้งใจฝึกกระบี่ต่อ 


 


 


ทว่าไม่ช้า ในสมองพลันคิดถึงภาพวันที่เยี่ยเม่ยเดินออกจากห้องเขาไป ที่เอวนางคล้ายมีขลุ่ยหยกโลหิตเล่มหนึ่ง 


 


 


ขลุ่ยหยกโลหิต… 


 


 


สายตาจิ่วหุนเปลี่ยนไปลุ่มลึกขึ้น สีหน้าเคร่งขรึม เดิมออกไปทางกำแพงเมือง 


 


 


หลังจากฝีเท้าของจิ่วหุนมุ่งไป ไม่ช้าก็พบซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนในระหว่างทาง ฝีเท้าคนทั้งคู่เร่งร้อนเช่นกัน 


 


 


คนทั้งสองกำลังปรึกษากันอยู่ระหว่างทางคล้ายกับว่าพวกนางไม่ทันเห็นจิ่วหุนที่อยู่ด้านหลังตน  


 


 


ผู้ที่เอ่ยปากก่อนคือซือหม่าหรุ่ย “ได้ยินว่าน้องบุญธรรมของเจ้ามาแล้ว ตอนนี้กำลังต่อสู้กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน พวกเรารีบไปดูกันเถอะ อย่าได้เกิดเรื่องเป็นอันขาดเชียว !” 


 


 


“นี่! เจ้าเด็กนี่ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาต้องทนไม่ไหว แต่มาชายแดนด้วยตัวเอง ทั้งยังต่อสู้กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในอาณาเขตของอีกฝ่าย ทำให้ข้ากังวลจริงๆ!” ปากซินเยว่เยี่ยนบอกว่ากังวล ความจริงตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว 


 


 


ไอ้หยา ดีเหลือเกิน ดียิ่งนัก 


 


 


อู๋เหินใส่ใจแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องระหว่างเขากับเยี่ยเม่ยนับว่ามีหวังแล้วใช่หรือไม่ 


 


 


อย่างนั้น นางก็ไม่ต้องเอาแต่กังวลว่า หมู่ตึกกูเยว่จะขาดผู้สืบทอดแล้ว ใช่หรือเปล่า 


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซินเยว่เยี่ยนก็ตื่นเต้น เอ่ยด้วยเสียงยินดี “แต่ว่านี่อาจเป็นเรื่องดี ข้ามีคำอธิบายกับท่านพ่อท่านแม่ในปรโลกได้แล้ว!” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนมองออกว่าสหายรักตื่นเต้นยินดี อดไม่ไหวกลอกตาใส่นาง “ข้ารู้สึกว่าเจ้าในยามนี้ สมควรเป็นห่วงความปลอดภัยของน้องบุญธรรมเจ้าเป็นอันดับแรก วรยุทธ์ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่ลำดับขั้นไหน พวกเราก็เห็นแล้ว!” 


 


 


“ไม่เป็นไร!ไม่เป็นไร !” ซินเยว่เยี่ยนโบกมืออย่างขอไปที เอ่ยต่อด้วยความเบิกบาน  “ข้ารู้ความสามารถของอู๋เหินดี ต่อให้ไม่ชนะก็ไม่ถึงตาย เพื่อภรรยา เสี่ยงเช่นนี้ถือว่าคุ้มค่า !” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยกลอกตาใส่สหาย รู้สึกว่าสองคนนั้นเป็นพี่น้องจอมปลอม 


 


 


ระหว่างพูดจา ทั้งสองก็เร่งรีบไปที่กำแพงเมือง 


 


 


จิ่วหุนฟังบทสนทนาของพวกนาง สีหน้าหนักใจยิ่ง กูเยว่อู๋เหินจริงๆ! ฝีเท้าเขาก็เร่งความเร็วอย่างไม่รู้ตัว 


 


 


ไม่ช้าเขาก็ไปถึงกำแพงเมือง 

 

 

 


ตอนที่ 274 ปัญหาที่ใช้มีดแก้ไขได้ พยา...

 

 


 


เวลานี้เป่ยเฉินอี้มาถึงอยู่ก่อนแล้ว


 


 


ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนเห็นเป่ยเฉินอี้สีหน้าของทั้งสองก็ง้ำงอ ซือหม่าหรุ่ยชิงแค่นเสียงหึใส่คำหนึ่ง ประชดประชันว่า “ช่างมีบุญเหลือเกิน คนอย่างท่านสมควรตายไวหน่อยถึงจะถูก!”


 


 


พูดจบ นางก็หันไปมองการต่อสู้ด้านล่างกำแพงเมือง ไม่ปรายตามองเป่ยเฉินอี้อีกสักนิด


 


 


ชิงเกอพลันเกิดโทสะ คิดเข้าไปแตกหักกับซือหม่าหรุ่ย  ตำหนิว่า “สตรีอย่างเจ้าไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือยังไง! ถึงได้กล้าลบหลู่ท่านอ๋อง!”


 


 


สิ้นเสียงชิงเกอ เป่ยเฉินอี้ยกมือขึ้นปรามให้ชิงเกอหยุดพูด


 


 


ชิงเกอสีหน้าเดือดดาล แต่ในที่สุดก็สะกดความโมโหไว้ได้ เขาเงียบลงไม่ส่งเสียงอีก ยืนอยู่ข้างกายเป่ยเฉินอี้


 


 


ซือหม่าหรุ่ยฟังคำพูดชิงเกอ ก็หัวเราะเย็นชา “ข้าไม่เคารพเขาแล้วจะทำไม เจ้าก็ให้เขาฆ่าข้าเลยซะสิ เหมือนที่ทำกับอาซีในปีนั้น!”


 


 


“เจ้า!” ชิงเกอโมโหเสียจนหน้าคล้ำ ติดที่มีคำสั่งของเป่ยเฉินอี้จึงไม่เอ่ยปาก


 


 


เป่ยเฉินอี้สีหน้าซีดเซียว เบือนหน้าหนีไม่มองซือหม่าหรุ่ย ทั้งยังไม่คิดต่อความกับนาง บางทีหากรู้แต่แรกว่าสตรีนางนี้จะมาปรากฏกายที่กำแพงเมือง เขาก็ไม่สมควรมา


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเห็นว่าพวกเขาไม่มีท่าทีจะแตกหักกับตนก็หัวเราะเสียงเย็น ไม่ช้าก็เบือนหน้าไปไม่มองพวกเขาอีก


 


 


ซินเยว่เยี่ยนกลับมองชิงเกอที่กำลังเดือดจัด ประชดประชันว่า “สุนัขอาศัยบารมีนาย! ตอนนี้เจ้านายไม่คิดออกหน้า ตัวเจ้าเองก็เป็นแค่สุนัขดีแต่เห่า!”


 


 


“เจ้า!” ชิงเกอทนไม่ไหว มือเคลื่อนไปจับด้ามกระบี่


 


 


ซินเยว่เยี่ยนกลับกลอกตาใส่เขา หันกลับไปมองการต่อสู้ด้านล่างเช่นเดียวกับซือหม่าหรุ่ย


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเกลียดเป่ยเฉินอี้มาก ส่วนซินเยว่เยี่ยนไม่เพียงเกลียดเป่ยเฉินอี้ ซ้ำยังเกลียดชิงเกอด้วย ครั้งก่อนเขารับคำสั่งให้สังหารนาง ยามนี้มีโอกาสปะทะคารมกับชิงเกอ นางย่อมไม่มีทางปล่อยให้หลุดไป


 


 


เป่ยเฉินอี้ในยามนี้กลับหันหน้ามองซินเยว่เยี่ยน ดวงตาหงส์ของเขาหรี่ลง เตือนว่า “แม่นางซิน ข้าอดทนต่อซือหม่าหรุ่ยได้ เพราะนางคือสหายของอาซี แต่เจ้าหาใช่สหายของอาซีไม่!”


 


 


เมื่อเอ่ยออกมาเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่าจะลงมือแล้ว


 


 


ซือหม่าหรุ่ยพลันหันหน้ามองเป่ยเฉินอี้ทีหนึ่ง หัวเราะเสียงเย็น “ใครใช้ให้ท่านเห็นแก่หน้าอาซีถึงไว้ไมตรีกับข้ากัน แน่จริงท่านก็มาฆ่าข้าสิ! หากท่านใส่ใจอาซีเช่นนั้นจริงๆ ท่านจะทำให้นางรวมถึงเสด็จพ่อเสด็จแม่ของนางตายด้วยเงื้อมมือตัวเองหรือ อย่าได้วางท่าเสแสร้งหน่อยเลย ข้าเห็นแล้วคลื่นไส้นัก!”


 


 


“ซือหม่าหรุ่ย ปีนั้นท่านอ๋องหาใช่ไม่คิดช่วยนาง เพียงแต่…” ชิงเกอโพล่งคำพูดออกมาช่วยแก้ต่างให้เป่ยเฉินอี้อย่างอดไม่ไหว


 


 


ซือหม่าหรุ่ยกลับแค่นเสียงเย็น เย้ยหยันว่า “คิดแล้วเป็นอย่างไรหรือ ตอนนี้คนก็ตายไปแล้ว อยากพูดอะไรก็อยู่ที่ความพอใจของพวกเจ้า!”


 


 


ชิงเกอโมโหแล้ว ตวาดว่า “สตรีอย่างเจ้าช่างไร้เหตุผลนัก!”


 


 


เมื่อเอ่ยจบ ชิงเกอแอบพูดกับตัวเองเงียบๆ บุรุษที่ดีไม่ปะทะกับสตรี เขาก็รีบขยับไปยืนอีกด้าน ไม่สนใจคำพูดของสตรีทั้งสองอีก เขาทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน


 


 


กันไม่ให้ตัวเองโมโหแล้วยังเถียงไม่ได้ ทั้งยังพานทำให้ท่านอ๋องถูกด่าว่าไปด้วย


 


 


ซือหม่าหรุ่ยยิ้มเย็น “ไม่มีเหตุผลก็ยังดีกว่าไม่มีความเป็นคน!”


 


 


พูดจบ นางก็ไม่สนใจคนทั้งสองอีกแล้ว สายตาถูกการต่อสู้เบื้องล่างดึงดูดไป


 


 


ยามกำลังภายในสองสายปะทะกัน แสงสว่างร้อนระอุสาดไปทั่ว 


 


 


สีหน้าของเป่ยเฉินอี้ไม่น่าดูชม เพียงแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถกเกียงกับซือหม่าหรุ่ย ทั้งไม่มีใจต่อล้อต่อเถียงกับนาง หันกลับไปดูการต่อสู้ต่อ!


 


 


แต่เสี้ยวเวลาที่เขาเบือนหน้าไปนั้น เขาเห็นจิ่วหุน


 


 


จิ่วหุนในยามนี้ก็เห็นเป่ยเฉินอี้ แววตาแผ่ไอสังหารออกมา


 


 


จงรั่วปิงเล่าเรื่องที่เขาถูกลอบสังหารที่ชายแดนให้ฟังจนหมดสิ้นแล้ว ทั้งยังรวมถึงเรื่องที่เป่ยเฉินอี้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย


 


 


เป่ยเฉินอี้ย่อมไม่อาจละเลยจิตสังหารของจิ่วหุน


 


 


เขากลับไม่ใส่ใจ หรี่ตาลง เอ่ยเสียงเข้มว่า “ในเมื่อพิษในร่างข้ายังขจัดไม่หมด ทั้งยังต้องไอเย็น แต่ร่างกายของเจ้าก็กำลังฟื้นฟู ทว่ายังไม่หายดี คิดประมือกับข้า เจ้าก็ไม่แน่ว่าจะชนะ!”


 


 


“ลองดูก็รู้เอง”


 


 


ระหว่างพูดจิ่วหุนชักกระบี่ออก


 


 


การปะทะคารมเมื่อครู่  ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนเพิ่งอัดเป่ยเฉินอี้สองนายบ่าวไปยกหนึ่ง ยามนี้ใช้สายตาเลื่อมใสมองจิ่วหุน


 


 


ใช้ได้เลย เจ้าเด็กจิ่วหุนยอดเยี่ยมนัก


 


 


อะไรขัดลูกตาก็ชักดาบฟาดฟัน ไม่ต้องพูดพร่ำมากความ ปัญหาที่แก้ไขได้ด้วยกำลังก็ไม่พูดมาก ใช้ได้ ใช้ได้! มิน่าในชายแดนนี้มีสตรีจำนวนไม่น้อยที่หลงชอบเขา


 


 


ซือหม่าหรุ่ยคิด หากมิใช่นางมีเซียวชินอยู่ในใจแล้ว ทั้งยังมีอายุมากกว่าจิ่วหุนไม่มากนักแบบซินเยว่เยี่ยน  อาศัยเพียงนิสัยของเขาเช่นนี้ ไม่แน่ว่าพวกนางอาจชอบเขาก็ได้


 


 


คำพูดของจิ่วหุน หาได้อยู่เหนือความคาดหมายเป่ยเฉินอี้ นิสัยของนักฆ่าอันดับหนึ่ง เขาเคยได้ยินมาบ้าง


 


 


แต่ว่าก็เหมือนกับที่เขาเอ่ย หากต่อสู้กันขึ้นมา ใครแพ้ใครชนะก็ยังไม่แน่ ดังนั้นเขาไม่ใส่ใจ


 


 


เรียวนิ้วยาวของ เป่ยเฉินอี้ดึงผ้าคลุมที่บ่าออกโยนให้ชิงเกอ ดวงตาหงส์กวาดมองจิ่วหุน เอ่ยเสียงขรึมว่า “ในเมื่อเป็นความต้องการของเจ้า อย่างนั้นข้าก็จะน้อมรับไว้!”


 


 


เหล่าทหารบนกำแพงเมือง “…”


 


 


ความจริงพวกเขาชมความสนุกมาตั้งนานแล้ว เห็นอี้อ๋องที่คนทั่วไปต่างไม่กล้าหาเรื่อง ถูกซือหม่าหรุ่ยแดกดันอยู่นาน ที่น่าแปลกใจคืออี้อ๋องยังทนอยู่ได้


 


 


เรื่องนี้ก็ช่างเถอะ แต่ว่าคุณชายเสี่ยวจิ่ว…ไม่สิ จิ่วหุนยังคิดต่อยตีกับอี้อ๋องอีก


 


 


ความจริงจิ่วหุนต่อยตีกับผู้อื่นหาใช่ครั้งแรก ครั้งก่อนก็เคยลงมือกับองค์ชายสี่ แต่ว่า…แต่ว่า…พวกเขาคิดจะต่อยตีกันยามนี้เลยหรือ


 


 


องค์ชายสี่กับกูเยว่อู๋เหินต่อยตีกันด้านล่าง พวกเขาก็ต่อยตีกันบนกำแพงเมือง คราวนี้ทุกคนพากันหวาดหวั่น เพราะไม่รู้ว่าจะชมความสนุกด้านบนหรือด้านล่างดี คนทั้งหมดมุ่นคิ้วแน่น ค้นพบแล้วสมัยนี้คิดจะชมความสนุกยังต้องลังเล


 


 


ชิงเกอรู้สึกกลัดกลุ้มอยู่บ้าง ท่านอ๋องปะทะกับจิ่วหุน ไม่มีทางแพ้ อีกทั้งหลายวันมานี้ จิ่วหุนบาดเจ็บไม่เบา ความจริงท่านอ๋องมีโอกาสชนะอยู่มาก แต่ว่าหากเดินลมปราณ พิษในร่างก็จะยากกำจัดออกไป


 


 


แต่สถานการณ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา


 


 


เป่ยเฉินอี้ยกมือขึ้น พายุสีดำโหมกระหน่ำมาจากทั้งสี่ทิศ ดาบในมือจิ่วหุนทอรัศมีขาวโพลน เป็นปราณพลังของยอดฝีมือแห่งยุค


 


 


ถัดมา


 


 


ดาบของจิ่วหุนฟันใส่เป่ยเฉินอี้!


 


 


เป่ยเฉินอี้รีบออกมือ ปราณสีดำพุ่งใส่ไปทางจิ่วหุน ทั้งป้องกันและโจมตีออกพร้อมกัน!


 


 


ซือหม่าหรุ่ยรู้สึกว่า จิ่วหุนแข็งแกร่งมาก นางทั้งเลื่อมใสทั้งชื่นชม แต่ในใจก็กังวล อย่างไรเสียนางก็เข้าใจสภาพรางกายจิ่วหุนดี จะบาดเจ็บภายใต้น้ำมือเป่ยเฉินอี้หรือไม่ก็ยังไม่แน่


 


 


ที่ชายแดนคึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง บุรุษรูปงามสองกลุ่มต่อตีกัน


 


 


ส่วนเยี่ยเม่ยที่อยู่บริเวณแม่น้ำหมิงในยามนี้ ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเลยสักน้อย

 

 

 


ตอนที่ 275 ตระกูลเป่ยเฉิน นางจะไม่ปล่...

 

ริมแม่น้ำหมิง


 


 


ตกเย็นในวันตงจื่อ


 


 


คนจำนวนไม่น้อยสวมเสื้อผ้าสีหม่นเดินทางมาถึงริมน้ำ ทำการเซ่นไหว้ญาติที่เสียชีวิตไปเพราะสงครามเมื่อสี่ปีก่อน


 


 


สายลับของเป่ยเฉินอี้มองผู้คนที่ไปๆ มาๆ เหล่านี้ ยิ่งไม่อาจคลายใจ


 


 


ทันทีที่มีคนผู้หนึ่งปรากฏกายพวกเขาก็ตั้งอกตั้งใจประเมิน มองภาพเหมือนเพื่อยืนยันว่าอีกฝ่ายคือ เยี่ยเม่ยหรือไม่


 


 


ในเวลานี้เอง


 


 


แม่เฒ่าหลังค่อมผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น นางเดินเชื่องช้า สวมชุดสีเทาหม่นเนื้อผ้าหยาบ มองปราดเดียวก็พบว่าเป็นหญิงชราที่แต่งงานแล้ว


 


 


ใบหน้านางยังมีรอยปาน กินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของใบหน้า


 


 


สายลับกวาดสายตามองนาง จากนั้นก็ถอนกลับอย่างรวดเร็ว


 


 


ไม่มีใครรู้ว่านั่นคือเยี่ยเม่ย! นางฉวยโอกาสเวลานี้ปรากฏตัว ผู้คนมากมายวุ่นวาย สายลับย่อมเพิ่มความระวัง ถึงแม้พวกเขาจะเพิ่มความรอบคอบขึ้นเพราะเหตุนี้ แต่ว่าสุดท้ายแล้วสมาธิก็ต้องแบ่งแยกออกอยู่ดี


 


 


ด้วยความสามารถในการแปลงกายของนาง เยี่ยเม่ยเชื่อว่าไม่มีใครจดจำนางได้


 


 


มือนางถือตะกร้าใบหนึ่ง ด้านในบรรจุของที่ใช้สำหรับเซ่นไหว้ ฝีเท้าเชื่องช้าเดินไปถึงริมแม่น้ำหมิง ในใจพลันเย็นวาบขึ้นมา


 


 


เป่ยเฉินอี้คนเดียว ทำร้ายนางถึงขั้นนี้ยังไม่พอ ยามนี้นางยังต้องเดินแผนการไปทีละขั้น นางสมควรยินดีที่คู่มือของตนมีความสามารถเข้มแข็ง หรือว่าชิงชังที่เขาไม่ตายไวดี


 


 


นางเดินทีละก้าวๆ มุ่งไปที่ริมแม่น้ำหมิง


 


 


เดินไปได้ห้าสิบเมตร ยิ่งเดินก็ยิ่งเข้าใกล้แม่น้ำมากขึ้นทุกที ความรู้สึกคุ้นเคยสายหนึ่งก่อเกิดขึ้น เบื้องหน้าพลันปรากฏภาพเหตุการณ์ต่างๆ ไหลทะลักเข้ามาในสมอง


 


 


ไฟไหม้ หนีตาย ชาวเมือง


 


 


สายตาที่ตำหนิโทษนาง สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นสายตาให้อภัย


 


 


ภาพแต่ละภาพฉายอยู่ในตาเยี่ยเม่ย กดดันจนนางหายใจไม่ออก


 


 


นางเดินก้าวไปด้านหน้า


 


 


ฝีเท้าพลันชะงัก จ้องมองพื้นที่ตรงหน้า ในสถานที่นี้เอง…นางเห็นเด็กชายอายุราวสามขวบอยู่ตรงนี้ ถูกธนูยิงตาย ไม่ว่านางจะโน้มน้าวอย่างไร แม่ของเด็กชายก็ไม่ยอมจากไป กอดศพลูกชายร่ำไห้อย่างเจ็บปวด สุดท้ายถูกธนูยิงตายอยู่ที่นี่


 


 


ก่อนหญิงนางนั้นจะตายใช้สายตาดุร้ายจ้องมองนาง มุมปากมีเลือดทะลัก กัดฟันเอ่ยว่า “จงเจิ้งซี หากเจ้าไม่ทำลายราชสำนักเป่ยเฉิน สังหารคนของเป่ยเฉินแก้แค้นให้พวกเรา พวกเราแม่ลูกต่อให้เป็นผีก็จะไม่อภัยให้เจ้า!”


 


 


เป็นผีก็ไม่อภัยให้เจ้า!


 


 


เยี่ยเม่ยกำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว ความเคียดแค้นในใจรุนแรงกว่าสตรีนางนั้นเสียอีก นางแค้นเป่ยเฉินอี้ แค้นราชสำนักเป่ยเฉิน ทั้งแค้นตัวเอง


 


 


พวกเขาล้วนเป็นประชาชนของนาง แต่กลับตายเพราะนาง!


 


 


ทำลายราชสำนักเป่ยเฉิน ฆ่าล้างตระกูลเป่ยเฉิน?


 


 


นางกัดฟันแน่น หลับตาลง เก็บงำน้ำตาเอ่อล้นที่จวนเจียนจะไหลออกมา จากนั้นเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง  กลายเป็นความนิ่งสงบ นางทำได้!


 


 


ตระกูลเป่ยเฉิน ราชสำนักเป่ยเฉิน นางไม่มีทางปล่อยไปแน่


 


 


เยี่ยเม่ยรู้ว่าตนไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่นาน จะดึงความสนใจของพวกสายลับ นางจึงรีบเดินไปยังริมแม่น้ำต่อ


 


 


ไม่ช้า


 


 


นางก็เห็นหินก้อนยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่ริมน้ำ ในเสี้ยววินาทีนั้น เยี่ยเม่ยสีหน้าว่างเปล่า บรรยากาศรอบด้านสงบลง นางถึงกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจของตนเอง ความเจ็บปวดแล่นขึ้นที่หน้าอก คล้ายถูกของมีคมแทงเข้าที่หัวใจ


 


 


นางกุมหน้าอกอย่างไม่ตั้งใจ


 


 


ก้อนหินยักษ์นั้น…


 


 


ในความหวาดกลัว นางเห็นตนเองเมื่อสี่ปีก่อน ยืนบนก้อนหินยักษ์นั้น สั่งการให้คนขึ้นเรือ


 


 


และนางที่ยืนบนก้อนหินยักษ์นั้นก็ถูกยิงด้วยธนูทะลุหน้าอก ตกลงในแม่น้ำหมิง เลือดบดบังการมองเห็นของนาง คล้ายนางจะได้ยินเสียงแหบพร่าของตนเองกำชับซือหม่าหรุ่ยทั้งน้ำตาให้ปกป้องชาวบ้านให้ดี…


 


 


ยามนี้ นางรู้สึกเจ็บที่ลำคอ


 


 


ยังมี


 


 


ยังมีอะไรอีก


 


 


นางหลับตาลงทันที จากความเจ็บปวดที่อกคล้ายเห็นตัวเองเมื่อสี่ปีก่อน ยืนอยู่ใต้ต้นท้อในที่ตั้งเดิมของวังราชสำนักจงเจิ้ง เป่ยเฉินอี้มอบหน้ากากผีให้นาง


 


 


นางถือหน้ากากด้วยความเปรมปรีดิ์ เมื่อกลับห้องตน นำมันเก็บไว้ในช่องลับใต้เตียงอย่างระวัง


 


 


นางเห็น…


 


 


นางยืนอยู่หน้าประตูห้องเสด็จพ่อ แอบฟังว่าเป่ยเฉินอี้ลอบออกจากวัง เสด็จพ่อปรึกษากับคนว่าจะกำจัดเขาทิ้ง นางรีบร้อนแล่นเข้าไปคุกเข่าเบื้องหน้าเสด็จพ่อ พยายามแก้ต่างให้เป่ยเฉินอี้อย่างสุดความสามารถ


 


 



 


 


ความทรงจำค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ความเจ็บแค้นในปีนั้นก็ยิ่งชัดเจนอยู่ในอก


 


 


ในที่สุดก็จำได้แล้ว คำสาบานที่ปรากฏในความฝันจำนวนนับไม่ถ้วน นั่นคือเสียงสะอื้นสาปแช่งหลังจากที่นางตกลงไปในแม่น้ำหมิง “เทพแห่งสงครามคุ้มครอง แม่น้ำหมิงไม่เหือดแห้ง เถ้ากระดูกกองสูงตระหง่านยาวพันลี้! “


 


 


“เทพสงครามคุ้มครอง ปกป้องราษฎร ให้พ้นเภทภัย”


 


 


 “เทพสงครามคุ้มครอง หากข้ามิตาย หนี้เลือดนี้ต้องให้ตระกูลเป่ยเฉินชำระด้วยเลือด”


 


 


หนี้เลือดนี้ต้องให้ตระกูลเป่ยเฉินชำระด้วยเลือด!


 


 


มุมปากนางเผยรอยยิ้มเย็นชา เดินไปอีกก้าวหนึ่ง มุ่งตรงไปที่ริมน้ำ ทำเป็นเพียงแม่เฒ่าผู้หนึ่งเดินทางมาเซ่นไหว้ญาติมิตร นางเผาของเซ่นไหว้ในตะกร้าจนหมด ทั้งเลียนแบบผู้อื่นทิ้งขี้เถ้าลงในแม่น้ำหมิง


 


 


เซ่นไหว้


 


 


เซ่นไหว้จงเจิ้งซีที่ตายให้กับความไร้เดียงสาและเมตตา


 


 


หรือว่า…


 


 


เป็นหลักฐานว่าเยี่ยเม่ยฟื้นกลับมาอีกครั้ง


 


 


ในเมื่อสวรรค์มีตา ให้นางปีนขึ้นมาจากขุมนรก ทำให้นางจำเรื่องพวกนี้ได้…อย่างนั้น นางไม่มีทางผิดต่อชีวิตที่เก็บกลับมาได้ในครั้งนี้แน่ ทั้งนางยังต้องทำตามคำสาบาน ‘ก่อนตาย’ ของตนด้วย!


 


 


กระดาษเซ่นไหว้มอดไหม้หมดแล้ว


 


 


นางลุกขึ้นเดินจากไปด้วยท่าทางของแม่เฒ่า ค่อยๆ เดินจากไป


 


 


ยังมีคนจำนวนมากเข้ามาเซ่นไหว้อยู่ไม่ขาดสาย อายุของเยี่ยเม่ยไม่ถูกต้อง รูปโฉมก็ไม่ถูกต้อง จนถึงการปลอมตัวอย่างตั้งใจ แม้แต่รูปร่างก็ไม่ตรงคนที่ต้องตามหา จึงไม่อาจดึงดูดสายตาความสนใจของพวกสายลับได้


 


 


เยี่ยเม่ยยังคงรักษาท่าทีของคนแก่ไว้ หลังจากเดินห่างไปไกล ถึงหาที่ลับเอาชุดที่ตนซ่อนไว้ออกมาเปลี่ยนกลับ


 


 


หลังจากนางสวมชุดที่อยู่ในห่อสัมภาระแล้ว นางก็พบของสิ่งหนึ่งด้านใน


 


 


ป้ายหยกครึ่งแผ่น


 


 


ป้ายหยกที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมอบให้นาง


 


 


บนป้ายหยกสลักฐานะองค์ชายสี่ของเขาไว้ ทั้งยังเป็นหยกหมั้นหมายของพวกเขา นางจ้องแผ่นหยกอยู่สักพัก ในที่สุดมุมปากก็ยกเย้ยหยัน


 


 


นางหยิบป้ายหยกขึ้นมา บีบอย่างแรง นางฝึกเคล็ดวิชาเสี่ยวเถียนไช่ไปได้สามส่วนแล้ว


 


 


หากคิดบีบป้ายนี้ให้แหลกเป็นผุยผงกลับไม่ใช่เรื่องยาก


 


 


แต่ว่า ชั่วขณะที่หยกครึ่งแผ่นนี้กำลังจะแหลกในมือ นางกลับคลายมือออก เหงื่อผุดไหลอยู่ในฝ่ามือ หัวใจนางเกิดการต่อสู้อย่างถึงขีดสุด


 


 


ในที่สุดนางก็ยิ้มเย็นชา ไม่บีบมันอีก ทว่า…เก็บเข้าสู่ชายแขนเสื้อ


 


 


นางกับเขา


 


 


ตั้งแต่ต้นจนจบก็เป็นแค่ศัตรูเท่านั้น !


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็พลิกกายขึ้นหลังม้า ทะยานกลับชายแดน ในเมื่อจะแก้แค้น เช่นนั้น…นางย่อมไม่อาจปล่อยอำนาจทางทหารชายแดนในมือทิ้งไป ไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยซ้ำยังต้องหยิบยืมอำนาจทหารในมือเป็นกุญแจในการเปิดประตูสู่อำนาจของราชสำนักเป่ยเฉินด้วย


 


 


จากนั้นก็ใช้อำนาจที่ตระกูลเป่ยเฉินมอบให้นาง ส่งพวกเขาไปสู่ความตายให้หมด !

 

 

 


ตอนที่ 276 เสินเซ่อเทียนเห็นความสำคัญ...

 

เมื่อคิดเช่นนี้ นางยิ่งห้อตะบึงม้าไวขึ้น ความแค้นในดวงตายิ่งเข้มข้น


 


 


ยอดอาชาพุ่งตะบันฝีเท้าฝุ่นคลุ้งตลบไปทั่วฟ้า ในสายตาคนไม่น้อยเห็นนางเป็นเพียงเงาร่างสีดำสายหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่เห็นรูปโฉม ซ้ำยังหลงคิดว่ามีลมพายุกระแสหนึ่งพัดผ่านไป


 


 


หลังจากควบม้าไปได้หนึ่งคืน นางหยุดอยู่ที่ถ้ำที่มีบ่อน้ำข้างทาง หลังจากดื่มน้ำแล้วก็พักอยู่ครู่ใหญ่


 


 


ตกบ่าย


 


 


เรื่องแรกที่เยี่ยเม่ยทำก็คือ จับนกหลายตัวในป่า


 


 


นางใช้วิธีที่เร็วที่สุดในการถลกหนังและควักอวัยวะภายในของนกออก จากนั้นก็เริ่มย่าง


 


 


ครั้งแรกในการย่างนก นางทำอย่างประณีตยิ่ง ที่โชคดีก็คือนางได้หมีเตี๋ยเซียง[1]ไว้สำหรับย่างขาแกะระหว่างทาง เมื่อโรยลงบนตัวนก ก็ได้รสชาติพิเศษอีกอย่างหนึ่ง


 


 


น้อยครั้งที่เยี่ยเม่ยจะตั้งใจย่างนกเช่นนี้ เมื่อก่อนในสายตาของนาง ประโยชน์สูงสุดของอาหารก็คือทำให้อิ่มท้อง กินอิ่มแล้วทำงานถึงเป็นสิ่งที่ควรทำ


 


 


ยามนี้เดิมทีนางมีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย ต้องกลับไปชายแดนสร้างความเชื่อใจให้กับทุกคน ทำให้บรรดาทหารชายแดนทั้งหมดเชื่อใจนาง จึงบรรลุเป้าหมายการแก้แค้น


 


 


แต่ว่า…


 


 


นางในเวลานี้ กลับไม่คิดทำอะไรทั้งนั้น


 


 


เพียงอยากสงบใจสักครู่ ปล่อยความคิดของตนให้ว่างเปล่า ค่อยๆ คิด เรื่องราวระหว่างนางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


สมควรเรียกว่าชะตากลั่นแกล้งคน หรือว่าสวรรค์มีเจตนาอื่นกันแน่


 


 


จากนั้น นางรู้สึกว่าตัวเองในเวลานี้อยู่ตรอกปิดตาย ไม่ว่าคิดจากแง่มุมไหน ไม่ว่าวางตนอยู่ที่จุดใด ท้ายที่สุดก็หาทางออกไม่พบ


 


 


ระหว่างกลัดกลุ้มอยู่นั้น สายตานางมองไปที่นก เพิ่มความตั้งใจในการหมุนมัน


 


 


เวลานี้เอง นางกลับไม่รู้ว่ากลิ่นหอมของนกนั้น ดึงดูดความสนใจของใครบางคนอย่างมาก


 


 


ห่างออกไปหนึ่งลี้


 


 


เสินเซ่อเทียนขี่ม้าเดินทาง พลันยกมือขึ้น ดึงบังเ**ยนม้าให้หยุดลง


 


 


เห็นเขาหยุดลง เป่ยเจี้ยนเกอและเฉิงเสี่ยวจวนด้านหลังก็ชะงักไป รู้สึกไม่เข้าใจ เฉิงเสี่ยวจวนเอ่ยปากว่า “จวินซ่าง เกิดอะไรขึ้นหรือ”


 


 


หรือว่าเสียใจแล้ว ไม่อยากไปก้าวก่ายเรื่องระหว่างฝ่าบาทกับองค์ชายสี่กัน


 


 


ในขณะที่นางถามด้วยความสงสัย


 


 


เสินเซ่อเทียนยกมือขึ้น เป็นสัญญาณให้เงียบ เขาหลับตาลงเพื่อรับรู้ จากนั้นลืมตาหันกลับมามองนางทีหนึ่ง “หรือเจ้าไม่ได้กลิ่นอะไรอย่างนั้นหรือ”


 


 


“ได้กลิ่นอะไรแล้ว” เฉิงเสี่ยวจวนสีหน้างุนงง


 


 


กลิ่นเหม็น?


 


 


ไม่มีนี่นา


 


 


กลิ่นหอม?


 


 


ก็ไม่มีนิ


 


 


เห็นสีหน้าอึ้งทึ่งของเฉิงเสี่ยวจวน เสินเซ่อเทียนส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย แค่นเสียงเย็น “กลิ่นนกย่างแรงขนาดนี้ เจ้ายังไม่ได้กลิ่นอีก ชั่วชีวิตนี้เจ้าคงไม่มีวันโดดเด่นแล้วแน่ !”


 


 


เฉิงเสี่ยวจวน “…”


 


 


ทำไมชั่วชีวิตนี้นางจะโดดเด่นหรือไม่ ถึงได้เกี่ยวพันกับการได้กลิ่นนกย่างด้วยเล่า


 


 


ระหว่างสองเรื่องนี้มีอันใดเกี่ยวพันกันด้วย


 


 


ก็ได้ การเป็นผู้ใต้บัญชาของจวินซ่าง หากไม่มีไหวพริบเรื่องของอร่อยเลย ก็ยากจะมีหนทางดีๆ แต่นางเป็นถึงสององครักษ์ข้างกายจวินซ่างแล้ว ยังมีอะไรที่นางไม่พอใจกันเล่า


 


 


“จวินซ่าง ข้าไม่หวังว่าชีวิตของตนจะมีความโดดเด่นอะไรอีกแล้ว!” จริงด้วย นอกจากภารกิจติดตามจวินซ่างไปชายแดนครั้งนี้ ภารกิจก่อนหน้าล้วนเสาะแสวงหาของกินตามที่ต่างๆ ชีวิตเช่นนี้ยังจะมีอะไรให้โดดเด่นอีกหรือ


 


 


นางเตือนเสินเซ่อเทียน “จวินซ่าง พวกเรารีบเดินทางเถอะ ฝ่าบาททรงมีดำริให้ท่านไปถึงชายแดนในเร็ววัน รีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จอย่างรวดเร็ว!”


 


 


ส่วนเรื่องที่ได้กลิ่นนกย่างระหว่างทางนั้น เรื่องเล็กๆ ไม่สำคัญเช่นนี้ไม่ต้องใส่ใจจะดีกว่า


 


 


จากนั้น


 


 


นางพูดจบ เสินเซ่อเทียนก็หันหัวม้ามุ่งไปทางซ้าย


 


 


เฉิงเสี่ยวจวน “…”


 


 


นางมองไปยังทิศทางที่จวินซ่างควบม้าไป พยายามดมกลิ่น หันกลับไปมองเป่ยเจี้ยนเกอทีหนึ่ง “หรือว่ากลิ่นนกย่างมาจากทางนั้น”


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอมุมปากกระตุก มองเสินเซ่อเทียนไสม้าเข้าไป ถึงจะทำให้คนรู้สึกหมดคำพูด แต่ก็ยังเป็นแผ่นหลังทรงอำนาจเหมือนเคย


 


 


เขาปรายตามองเฉิงเสี่ยวจวน เอ่ยตามสัตย์ “ข้าไม่ได้กลิ่นอะไรเลยทั้งนั้น! ดังนั้นข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่ากลิ่นของนกย่างมาจากทางไหน”


 


 


พวกเขารู้สึกแปลกใจ


 


 


จวินซ่างมีจมูกสุนัขหรือยังไง


 


 


ทำไมถึงได้กลิ่น พวกเขาสองคนติดตามอยู่ด้านหลังจวินซ่าง ทำไมถึงไม่ได้กลิ่นกันเล่า หรือว่าพวกเขาสองคนไม่สบายกัน


 


 


ช่างเถอะ ไม่สนอะไรให้มากความอีกแล้ว ติดตามจวินซ่างไปก่อนค่อยว่ากัน


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว พวกเขาทั้งสองก็รีบควบม้า ถอนใจอยู่ลึกๆ พวกเขาอยากรู้จริงๆ นิสัยเห็นของอร่อย ได้กินของอร่อยแล้วเดินไม่ไหวอย่างทุกวันนี้ สำเร็จวิชามาจากไหน


 


 


หรือว่าสมัยที่จวินซ่างฝึกวิชา เคยเสียเวลาหรือไม่สำเร็จวิชาเพราะของอร่อยบ้างหรือเปล่า


 


 


พวกเขาล่ะแปลกใจเสียจริงเชียว


 


 


เสินเซ่อเทียนกลับไม่มีอารมณ์ใส่ใจเรื่องพวกนี้


 


 


สำหรับเขาแล้วโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรทำได้ยาก นอกจากว่าเริ่มต้นช้าไปก้าวหนึ่ง หรือสายไปก้าวหนึ่ง  


 


 


แต่ว่าสำหรับอาหารเลิศรส ทันทีที่พลาดไปแล้ว บางทีอาจไม่มีโอกาสได้พบอีกชั่วชีวิต


 


 


ดังนั้น เขาไม่มีทางยอมปล่อยไปง่ายๆ แน่


 


 


เมื่อเขาขี่ม้าไปถึงบริเวณที่มีกลิ่นนกย่างอบอวลออกมา เขาดึงสายบังเ**ยนหยุดม้าอย่างระวัง ผูกมันไว้กับต้นไม้ใหญ่


 


 


ไม่ช้า


 


 


เสินเซ่อเทียนค่อยๆ เดินตรงไปด้านหน้า ผ่านต้นไม้ใหญ่ที่แน่นขนัด เห็นเยี่ยเม่ยกำลังนั่งย่างนกอยู่บนพื้น


 


 


คนปกติยามเห็นหญิงงามนั่งย่างนกอยู่ สิ่งแรกที่สังเกตมักเป็นบุคลิกท่วงท่าของนาง รูปโฉมที่ชวนให้คนแตกตื่น ทว่าสายตาเขากลับจับจ้องอยู่ที่นกย่างของเยี่ยเม่ยโดยไม่ขยับไปไหน


 


 


นกย่างตัวนั้นภายนอกดูหนังลื่นมาก ทั้งยังมันวาบ


 


 


ดูปราดเดียวก็มั่นใจได้ว่าภายนอกกรุบกรอบภายในนุ่มละมุนอย่างแน่นอน


 


 


ที่น่าสนใจก็คือ เขามองเห็นรากของหมี่เตี๋ยเซียงจำนวนไม่น้อยข้างกายเยี่ยเม่ย ส่วนใบเรียวแหลมคล้ายเข็มจำนวนนับไม่ถ้วนโรยลงบนตัวนก จากนั้นใช้ไฟย่าง นี่คือสาเหตุที่ทำให้กลิ่นหอมแตกต่างจากคนอื่น


 


 


ลิ้มลองอาหารเลิศรสทั่วหล้ามายี่สิบเก้าปี เสินเซ่อเทียนไม่เคยรู้เลยว่านกย่างเขาทำกันเช่นนี้เอง


 


 


เขารู้เพียงแค่ตัวเองได้กลิ่นหอมที่ไม่เหมือนปกติ


 


 


หาใช่นกย่างทั่วไปไม่!


 


 


ยามนี้เป่ยเจี้ยนเกอกับเฉิงเสี่ยวจวนพากันติดตามเข้ามา


 


 


ยังไม่ทันเข้าใกล้ ก็เห็นเสินเซ่อเทียนโบกมือเป็นเชิงให้ระวัง หลบซ่อนกายไว้


 


 


คนทั้งสองเข้าหาเสินเซ่อเทียนอย่างระมัดระวังทันที คนทั้งสามอยู่ห่างจากเยี่ยเม่ยมาก กอปรกับวันนี้เยี่ยเม่ยมีความในใจหนักอก ดังนั้นจึงไม่ทันรับรู้ว่าห่างออกไปมีคนสามคนกำลังเดินหน้าเข้ามา


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอจวนจะเดินถึงข้างกาย เสินเซ่อเทียน ผู้เป็นนายก็หันกลับมาสั่งการว่า “เจ้าไปเลี้ยงม้าก่อน พวกเราพักผ่อนกันสักครู่!”


 


 


 


 


[1] โรสแมรี่

 

 

 


ตอนที่ 277 ท่วงท่านางยามย่างนก ช่างงา...

 

“ขอรับ!” เป่ยเจี้ยนเกอรีบจูงม้าออกไป


 


 


ด้วยเหตุนี้เขาก็ไม่ทันเห็นรูปโฉมของเยี่ยเม่ย ยิ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่จวินซ่างกำลังจับจ้องอยู่นั้น ก็คือเป้าหมายการเดินทางของจวินซ่างในครั้งนี้ด้วย


 


 


เฉิงเสี่ยวจวนหาได้เคยพบเยี่ยเม่ยมาก่อน ยามนี้นางกลับเข้าใกล้เสินเซ่อเทียน เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย ก็อดชื่นชมไม่ได้ “โฉมสะคราญล่มเมืองแท้ๆ!”


 


 


โฉมสะคราญ ?!


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอที่จูงม้าสามตัวเตรียมหาพื้นที่มีหญ้าเพื่อปล่อยม้า พลันบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นคันคะเยอใจขึ้นมา เดิมทีเขาก็ไม่คิดพาม้าไปกินหญ้าอยู่แล้ว เขาอยากเห็นว่าเป็นสาวงามเช่นใดกัน ที่ทำให้เฉิงเสี่ยวจวนชื่นชมออกมาได้


 


 


น่าเสียดายที่จวินซ่างสั่งให้เขาไปเลี้ยงม้า จึงไม่ได้พบเห็นแน่แล้ว


 


 


อย่าว่าแต่เมื่อได้กลิ่นนกย่างระยะใกล้เช่นนี้ ก็ต่างจากกลิ่นนกย่างทั่วไปที่พวกเขากินอยู่ไม่น้อย!


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอเดินไปดูแลม้าด้วยใจที่เต็มไปด้วยความสงสัย


 


 


เสินเซ่อเทียนได้ฟังคำวิจารณ์ของเฉิงเสี่ยวจวน สายตาของเขาจึงกวาดมองไปที่เยี่ยเม่ย สตรีนางนี้หว่างคิ้วมีความองอาจ นับเป็นความเข้มแข็งที่หาได้ยากบนใบหน้าสตรี มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นสตรีที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคงผู้หนึ่ง


 


 


ดวงหน้างดงาม ไม่ประทินโฉมกลับเหมือนดอกเหมยผลิบานกลางลมหนาว เย็นชาเกินใคร ทั้งยังงดงามเหนือผู้อื่น ที่หาได้ยากก็คือบุคลิกของสตรีนางนี้ คล้ายกับเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำ ให้ความรู้สึกทรงอำนาจยากบรรยายชนิดหนึ่ง


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


สตรีที่มีรูปโฉมงดงามและบุคลิกโดดเด่นเช่นนี้ สิ่งที่หาได้ยากที่สุดนั่นก็คือ นางย่างนกออกมาได้กลิ่นที่แตกต่างออกไป เสินเซ่อเทียนรู้สึกว่า ภาพตรงหน้าดูแล้วจำเริญตาจำเริญใจยิ่งนัก


 


 


น้ำเสียงศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ดังขึ้นว่า “เจ้าพูดไม่ผิดเลย ท่วงท่ายามย่างนกของนาง ช่างงามตรึงตาตรึงใจยิ่งนัก”


 


 


เฉิงเสี่ยวจวน “…”


 


 


จวินซ่าง ข้าน้อยพูดถึงรูปโฉมของผู้อื่น ไฉนในสายตาท่านถึงมีแค่นกย่างกันเล่า


 


 


อีกอย่างในสถานการณ์ปกติ ยามสตรีรูปงามนางหนึ่งปรากฏตัว มิได้ดีดพิณ มิได้รำกระบี่ ทั้งยังไม่ใช่ยืนงดงามอยู่บนเรือสำราญ ทว่าเป็นเหมือนหญิงสาวชนบทนั่งย่างนกอยู่บนพื้น ความจริงถือเป็นการทำลายบุคลิกเด่นล้ำของนางมิใช่หรือ


 


 


ไฉนจวินซ่างอธิบายท่วงท่าเช่นนี้ของนางเป็นช่างงามตรึงตาตรึงใจยิ่งนัก


 


 


นางยอมแพ้แล้ว นางไม่มีวันเข้าใจโลกของจอมตะกละเลยจริงๆ


 


 


เฉิงเสี่ยวจวนระบายลมหายใจ เอ่ยปากว่า “จวินซ่าง สิ่งที่ควรดูท่านก็ดูแล้ว โฉมหน้าของแม่นางผู้นี้ ดูแล้วเป็นสตรีที่ไม่อ่อนโยนนัก ถึงจะสัมผัสไม่ได้ว่ามีกำลังภายในมากน้อยแค่ไหน แต่สัญชาตญาณบอกกับข้าน้อย นางมีวรยุทธ์ไม่เลว ท่านคิดแย่งชิงนกย่างของนาง เกรงว่าต้องเสียเวลาสักพัก!”


 


 


“แย่งชิง ?” เสินเซ่อเทียนหันกลับมองเฉิงเสี่ยวจวน สายตาดูถูกนั้นคล้ายกำลังสงสัยในสติปัญญาของผู้ติดตาม “เจ้ายังดูออกว่านางมีฝีมือไม่ย่ำแย่ หากมีฝีมือเช่นนั้นจริง รอข้าเข้าไปแย่งชิง นกย่างก็เย็นแล้ว ไม่อร่อยอีก ข้าไม่คิดเสี่ยงเช่นนั้น!”


 


 


“อ้อ!” เฉิงเสี่ยวจวนร้องอ้อด้วยสีหน้าหมดหวัง


 


 


ความจริงที่สิ่งจวินซ่างกังวลหา ใช่บุรุษแย่งของกินกับสตรีจะทำลายภาพลักษณ์ของตน ทั้งไม่ใช่กังวลว่าเมื่อจวินซ่างลงมือ จะไม่อาจควบคุมความหนักเบาไป เพื่อนกย่างตัวหนึ่งสังหารคนไร้ความผิดก็ออกจะเสียหน้าไปหน่อย


 


 


แต่เป็นเพราะ…


 


 


แย่งนกมาได้ก็เย็นชืดไม่อร่อยแล้ว นางอธิบายได้คำเดียวว่า…ยอม!


 


 


เฉิงเสี่ยวจวนถอนหายใจคำหนึ่ง เอ่ยว่า “หากไม่มีเหตุไม่มีผล ท่านไปขอนกย่างกับนาง ไม่แน่ว่านางจะมอบให้ท่าน ไม่อย่างนั้นให้ข้าน้อยไปขอคำชี้แนะจากนางว่า นกนี้ย่างอย่างไร กลับไปค่อยให้พ่อครัวเลื่องชื่อกว่าร้อยคนในครัวทำให้ดีหรือไม่”


 


 


อย่างไรเสียเมื่อเห็นใบหน้าไม่เป็นมิตรของเยี่ยเม่ย เฉิงเสี่ยวจวนลอบเข้าใจว่า คิดไปขอนกย่างจากเยี่ยเม่ย หาใช่เรื่องง่ายดาย


 


 


เสินเซ่อเทียนกลับส่ายหน้า ยืนยันว่า “ข้าจะกินตอนนี้!”


 


 


เฉิงเสี่ยวจวน “…”


 


 


อย่างนั้นท่านคิดจะเอายังไง?!


 


 


นางยังไม่ทันถามออกมา ก็เห็นเสินเซ่อเทียนพลันยื่นมือออกไป ทุบหน้าอกตัวเองทีหนึ่ง ถัดมา ไม่รอให้ เฉิงเสี่ยวจวนตอบสนอง เขาก็กุมหน้าอก มุมปากมีเลือดออก ท่าทางบาดเจ็บสาหัสเดินเข้าไปหาเยี่ยเม่ย


 


 


เฉิงเสี่ยวจวนมึนงงไปหมด ขาดก็แต่เป็นลมสลบไป!


 


 


นี่มันวิธีผีสางอันใด


 


 


จวินซ่างเพื่อของอร่อยแล้ว ท่านทำอะไรก็ได้จริงๆ! ระหว่างที่นางหมดคำพูด เวลานี้นางไม่กล้าทะเล่อทะล่าออกไป กลัวว่าตนเองพูดผิดหรือทำอะไรผิด ทำลายการแสดงของจวินซ่าง นางได้แต่นั่งยองแอบมองอยู่หลังต้นไม้


 


 


ในใจรู้สึกว่าจวินซ่างลงทุนเหลือเกิน!


 


 


เมื่อฝีเท้าของเสินเซ่อเทียนค่อยๆ เข้าใกล้ เยี่ยเม่ยก็รับรู้ว่ารอบข้างมีคนอยู่ นางเงยหน้ามองเห็นชุดอาภรณ์สีขาว จึงเงยหน้าสูงขึ้นเห็นใบหน้าราวกับทวยเทพย้อนแสง เยี่ยเม่ยกลับเหม่อลอยไปทันที


 


 



 


 


ใบหน้าของบุรุษผู้นี้ใช้คำว่าเทพบรรยายได้เท่านั้น ทั่วร่างของเขาคล้ายแผ่กลิ่นไอศักดิ์สิทธิ์ของเทพเทวาออกมา นอกจากนี้ยังมีพลังเหนือธรรมชาติ


 


 


อาภรณ์ผ้าต่วนยาวสีขาวดุจหิมะ ขับให้ใบหน้าของเขายิ่งสูงส่งอยู่เหนือโลกหล้า สายรัดเอวสีเงินทำให้เขาดูทรงอำนาจเกินเปรียบ  เกินมาเป็นชนชั้นสูงอยู่จุดสูงสุดของปวงเทพชี้นำโลกหล้า


 


 


คำกล่าวที่ว่า ใบหน้าประดุจหยกสลักสวมอาภรณ์ขาวราวหิมะยามเมื่อเบือนหน้าหันกลับมา ทั่วหล้าจักต้องยอมสยบ สมควรเป็นบุคคลตรงหน้านี้


 


 


ไม่ช้า เยี่ยเม่ยก็สังเกตเห็นเลือดที่มุมปากอีกฝ่าย รวมถึงท่ากุมอกของเขา


 


 


เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว “ท่านบาดเจ็บ?”


 


 


สิ้นเสียง เสินเซ่อเทียนก็ล้มลงดื้อๆ


 


 


เฉิงเสี่ยวจวนที่แอบดูจากที่ไกลทำหน้าอึ้งเป็นครั้งที่สอง นางไม่เข้าใจจริงๆ สุดท้ายจวินซ่างจะใช้ไม้ไหนในการหลอกกินนกย่างกัน เดิมทีนางคิดว่า จวินซ่างแสร้งบาดเจ็บเพื่อทำให้แม่นางผู้นั้นลดความระแวง ดูจากสภาพจวินซ่างยามนี้ คล้ายจะไม่ง่ายดายเช่นนั้น!


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นเขาล้มลงเช่นนี้ เป็นลมไปอยู่ที่พื้นหญ้าข้างกายนาง มุมปากเปรอะเลือดชวนตกใจ นางก็เลิกคิ้ว


 


 


พูดตามตรง ถึงแม้บุรุษผู้นี้มีรูปลักษณ์น่ามองจนเทียบกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและพวกเป่ยเฉินอี้ได้ แต่นางหาใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน


 


 


นางหยิบนกย่างขึ้นมา ลุกขึ้นเตรียมตัวจากไป


 


 


ในเวลานี้ นางพลันคิดถึงจิ่วหุน


 


 


ยามนั้นเพราะนางเกิดจิตเมตตาอย่างไร้สาเหตุช่วยเหลือจิ่วหุนไว้ วันนี้นางกับจิ่วหุนนับเป็นเสมือนพี่น้อง เมื่อคิดดู หากนางไม่ช่วยจิ่วหุนไว้ในตอนนั้น บางทีเด็กนั่นอาจตกไปอยู่ในหอนางโลมแล้ว ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น อีกอย่างคนตรงหน้าตนนี้…


 


 


ล้มไปต่อหน้านางเช่นนี้ นางจะไม่ใส่ใจได้จริงหรือ


 


 


เยี่ยเม่ยลังเลหลายวินาที


 


 


สุดท้ายก็นั่งลงพยุงเสินเซ่อเทียนขึ้นมา ใช้กำลังภายในที่มีเพียงสามส่วนเข้าไปสำรวจลมปราณของเขา ช่างเถอะ ถือว่าสงสารคนอีกสักครั้งก็แล้วกัน ไม่ว่าอย่างไรภายหน้า…


 


 


นางคิดล้มล้างราชสำนักเป่ยเฉิน ไม่รู้คนจำนวนมากน้อยแค่ไหนที่ต้องตกตายในเงื้อมมือนาง วันนี้ทำเรื่องดีสักหน่อยก็ได้ !


 


 


หลังจากนี้ นางอาจจะได้ทำความดีน้อยลงแล้ว


 


 


เมื่อเดินลมปราณเข้าไป เยี่ยเม่ยพลันตกตะลึง

 

 

 


ตอนที่ 278 ข้าอยากให้เจ้าย่างนกให้ข้า...

 

เยี่ยเม่ยพบว่ายามเมื่อกำลังภายในอันตื้นเขินของนางถ่ายทอดเข้าไปในกายเขาคล้ายกับก้อนหินจมร่วงสู่มหาสมุทร


 


 


ไม่ต้องใคร่ครวญให้มากนางก็รู้ได้ว่า บุรุษเบื้องหน้ามีกำลังภายในล้ำลึกเป็นอย่างยิ่ง หาใช่กำลังภายในอันกระจ้อยร่อยของนางจะช่วยฟื้นฟูให้เขาได้


 


 


ดังนั้นจะเอาอย่างไรต่อไปดี


 


 


ในขณะที่เยี่ยเม่ยอยู่ในความกลัดกลุ้ม เสินเซ่อเทียนที่เพิ่งจะ ‘เป็นลม’ไปก็ฟื้นขึ้นแล้ว เขายังไอแห้งๆ คำหนึ่ง จากนั้นก็กระอักเลือดอีกคำหนึ่ง  


 


 


เยี่ยเม่ยขมวดคิ้ว ถามขึ้นนิ่งๆ ว่า “ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม”


 


 


ครั้นนางถามเช่นนี้ เสินเซ่อเทียนก็ไอโขลกอีกครั้ง หันกลับมองเยี่ยเม่ยแล้วส่ายหน้า “ไม่ค่อยดีนัก! ข้าถูกศัตรูตามฆ่า ไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้ว ร่างกายถึงได้ไร้เรี่ยวแรงจนเป็นลมไป คือว่า แม่นาง…”


 


 


ระหว่างเอ่ยคำพูด สายตาเขาก็มองนกที่ย่างจนสุกข้างกายเยี่ยเม่ย


 


 


สีหน้าตะกละตะกลามเป็นอย่างยิ่ง พิศดูแล้วคล้ายกับคนรอดจากการหนีตายอยู่จริงๆ เพียงแต่ความตะกละตะกลามเช่นนี้ของเขาหาได้บั่นทอนบุคลิกสักเล็กน้อย


 


 


เยี่ยเม่ยมองท่าทางของเขาก็มุมปากกระตุก วุ่นวายอยู่ตั้งนานเพราะหิวอย่างนั้นหรือ


 


 


นางก็ไม่คิดมาก ส่งนกย่างสุกข้างกายให้เสินเซ่อเทียน “เอาไปเถอะ ข้าย่างอีกตัวก็ได้!”


 


 


เสินเซ่อเทียนหาได้เกรงใจสักน้อยรับไว้ทันที


 


 


เยี่ยเม่ยไม่ชายตาแลเสินเซ่อเทียนอีก ก้มหน้าถอนขนและควักอวัยวะของนกตัวหนึ่งอีกครั้ง จากนั้นค่อยย่างใหม่


 


 


อย่างไรเสียนางก็จับมาได้หลายตัว แบ่งให้เขาตัวหนึ่งก็ไม่เป็นไร


 


 


เสินเซ่อเทียนไม่ใส่ใจว่าอีกฝ่ายสนใจตนเองหรือไม่ เขานั่งตรงข้ามกับเยี่ยเม่ย ค่อยๆ ละเลียดกินทีละน้อยๆ ด้วยท่าทางสง่างามเป็นอย่างยิ่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นการกินของพวกชนชั้นสูง เยี่ยเม่ยเผลอมองท่าทางกินนกของเขาทีหนึ่งยังรู้สึกแปลกใจมาก


 


 


คนที่หิวโหยมานานยามกินอาหาร ยังรักษาท่าทางและบุคลิกเอาไว้ได้นับว่าเป็นเรื่องไม่ง่ายเลยจริงๆ


 


 


เสินเซ่อเทียนไม่พูดไม่จา ก้มหน้ากัดนกกินทีละคำๆ  


 


 


เฉิงเสี่ยวจวนที่อยู่ไกลออกไปเห็นภาพนี้ เห็นท่าทางเอาแต่กินของเสินเซ่อเทียน นางแสดงสีหน้าว่าอดทนดูต่อไปไม่ไหวอีก ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ไฉนจวินซ่างถึงได้ยึดติดกับของอร่อยจนถึงขั้น…แม้แต่คำขอบคุณสักคำยังไม่ทันเอ่ยออกมา ก็กอดของกินเคี้ยวหนึบหนับแล้ว


 


 


ช่างหลงมัวเมาเกินไปแล้ว!


 


 


เสินเซ่อเทียนกินอย่างเอร็ดอร่อย นกย่างนี้หอมมากเป็นพิเศษ เป็นรสชาติที่เขาไม่เคยลิ้มลองมาก่อน ทำให้เขาอยู่ในอารมณ์เบิกบานเป็นอย่างมาก ในเวลานี้เองท้องของเยี่ยเม่ยพลันส่งเสียงร้อง ‘โครกคราก’


 


 


เสินเซ่อเทียนอึ้งไปเล็กน้อย หยุดชะงักการกินนกไปเช่นกัน เขามองเยี่ยเม่ย น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยปากถาม “เจ้าก็หิวหรือ”


 


 


“อืม!” เยี่ยเม่ยเพียงรับคำเสียงเย็นๆ เมื่อคืนนางไปถึงแม่น้ำหมิง ตั้งแต่ตอนนั้นจนบัดนี้เป็นเวลาหนึ่งคืนกับอีกครึ่งวัน นางไม่มีอะไรตกถึงท้องเป็นเวลานานขนาดนี้ย่อมหิวเป็นธรรมดา


 


 


เห็นเสินเซ่อเทียนมองตนด้วยความตะลึง


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตาเย็นชามองเขา กล่าว “ไม่ต้องซาบซึ้งหรอก วันนี้ข้าช่วยท่านเพราะความคิดชั่ววูบ ยินยอมช่วยเหลือท่านก็ช่างเถิด รอท่านกินนกย่างหมดแล้ว มีหนทางหลายเส้น พวกเราต่างคนต่างไป ข้าไม่หวังให้ท่านตอบแทน”


 


 


นางเองก็ไม่ต้องการให้เขาติดค้างน้ำใจ นกตัวเดียวก็เท่านั้น สำหรับนางที่ต่างกันก็แค่ได้กินนกเร็วขึ้นหรือช้าลงเท่านั้นเอง


 


 


คำพูดของนางกระตุ้นความสนใจของเสินเซ่อเทียน


 


 


ในความเป็นจริงเสินเซ่อเทียนเข้าใจว่าใบหน้าของตนเองดึงดูดสายตาของสตรีทั่วไปได้อย่างแน่นอน ส่วนสตรีเบื้องหน้านี้ไม่มีความสนใจเลยสักนิดก็ช่างเถอะ ถึงกับแสดงออกคล้ายกับกลัวว่าเขาจะรบเร้าติดพันนางอย่างไรอย่างนั้น สั่งให้เขากินเสร็จแล้วรีบไปเสีย


 


 


คนที่ไม่ยินยอมคบค้ากับเขา ทว่ายอมทนหิวยกนกย่างให้เขากินก่อน ย่อมเรียกว่าน่าสนใจอยู่บ้าง!


 


 


เสินเซ่อเทียนนั่งเงียบ กัดนกอีกคำหนึ่ง ถามว่า “แม่นางก็กำลังรีบเดินทางเช่นกันอย่างนั้นหรือ”


 


 


เยี่ยเม่ยที่กำลังก้มหน้าย่างนกอยู่ ตอบกลับอย่างขอไปที “ไม่ผิด!”


 


 


เพียงแต่ในเวลานี้เองเยี่ยเม่ยฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เงยหน้ามองเสินเซ่อเทียนทีหนึ่ง “กำลังภายในของท่านล้ำลึกมาก ข้าคิดว่าหากมีคนคิดทำร้ายท่านคงไม่ง่ายดายนัก ดังนั้นไฉนท่านถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้”


 


 


เขาบาดเจ็บได้อย่างไรกันนะ


 


 


อีกทั้งยังน่าอนาถจนถึงขั้นไม่มีอะไรกิน หิวจนเป็นลมไปได้?


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยถาม เสินเซ่อเทียนก็สะอึกเล็กน้อย เนื้อนกย่างที่ค้างอยู่ในปากเกือบติดคอตาย


 


 


เขาสูดลมหายใจลึกๆ หลายคำ ที่นี่ไม่มีน้ำช่วยให้เขากลืนลงไปได้


 


 


เฉิงเสี่ยวจวนที่มองจากที่ไกลนั้นตื่นเต้นหวั่นใจ กลัวว่าจวินซ่างของนางจะกลายเป็นสุดยอดฝีมือแห่งยุคคนแรกในประวัติศาสตร์กินของอร่อยจนติดคอตาย


 


 


เยี่ยเม่ยมองใบหน้าเขาแดงก่ำ เวลานี้นางหมดคำพูด เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ไม่มีใครแย่งท่านกินสักหน่อย ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนี้”


 


 


หางตาเสินเซ่อเทียนกระตุก ในที่สุดก็กลืนเนื้อนกย่างคำนั้นลงไปได้


 


 


คราวนี้เขาถึงมองเยี่ยเม่ยตอบว่า “ไม่ผิดเลย พวกเขาคิดทำร้ายข้าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ว่าข้ามั่นใจตนเองเกินไป ถูกลอบทำร้าย ดังนั้นจึงตกอยูในสภาพน่าอนาถถึงขั้นนี้!”


 


 


เสินเซ่อเทียนแอบคิดว่า คนที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนมีความสามารถเหนือคนอย่างเขา หากจะฝืนบอกว่าถูกคนทำร้าย มีเหตุผลเพียงข้อเดียวเท่านั้น สมควรอธิบายออกไปว่าเพราะว่าความมั่นใจจนเกินเหตุของตนจึงเกิดเรื่อง เช่นนี้คนอื่นถึงจะเชื่อกระมัง


 


 


ความคิดของเขาแท้จริงแล้วก็ไม่ผิด


 


 


เยี่ยเม่ยฟังจบ ก็พยักหน้า


 


 


หากบุรุษเบื้องหน้าบอกเหตุผลอื่น นางก็คงไม่เชื่อจริงๆ แต่ว่ามั่นใจตัวเองเกินไปนี้ นับว่าน่าเชื่อถือ


 


 


เห็นสีหน้าระวังตัวของนางค่อยๆ จางลง เสินเซ่อเทียนก็คลายใจ เขายังหวังว่าหลังจากกินนกตัวนั้นหมดแล้ว นางจะย่างนกให้เขาอีกสักตัว ดังนั้นเขาไม่อาจล่วงเกินนางได้ง่ายๆ ทั้งไม่อาจปลุกความสงสัยของนาง ไม่เช่นนั้นนกตัวต่อไปก็คงไม่มีหวัง


 


 


เสินเซ่อเทียนกัดนกอีกคำหนึ่ง ชวนคุยต่อ  “แม่นางเป็นคนที่ไหน”


 


 


คำถามนี้ทำให้มือของเยี่ยเม่ยชะงักเล็กน้อย เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นในบัดดล


 


 


นางเป็นคนที่ไหนกัน


 


 


คนของราชวงศ์จงเจิ้งหรือว่าเป็นคนที่ตกลงมาจากฟ้าอย่างไร้ที่มาที่ไปกันแน่ ไม่ว่าเป็นตัวเลือกไหนก็เป็นคำตอบที่ไม่อาจพูดได้ ทั้งยังทำให้นางกังวลใจ


 


 


ด้วยเหตุนี้


 


 


เยี่ยเม่ยส่งสายตามองเสินเซ่อเทียน ประเมินบุรุษผู้นั่งกินนกย่างของผู้อื่น ยังรักษาท่วงท่าสูงส่งและทรงอำนาจเอาไว้ บุรุษที่แผ่ไอศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่ใช่คนปากมาก


 


 


นางย้อนถามเสียงเย็น “ดูไปแล้วคุณชายไม่คล้ายคนช่างยุ่งเรื่องผู้อื่น ไฉนข้าถึงทำให้คุณชายสนใจได้”


 


 


คำพูดของนางไม่เบามาก ดังนั้นเฉิงเสี่ยวจวนได้ยินอย่างชัดเจน


 


 


เฉิงเสี่ยวจวนกลัดกลุ้มกังวลใจอยู่สักพัก เพราะว่าเจ้านายของตนเป็นคนอย่างไร นางย่อมชัดแจ้ง ตามเหตุผลแล้วจวินซ่างได้กินนกย่างก็สมควรพึงพอใจแล้ว ไฉนยังใส่ใจถึงที่มาของผู้อื่นด้วยเล่า หรือว่าแม่นางที่ดูไม่ธรรมดาผู้นี้ ปลุกความระแวงสงสัยของนายท่านเข้า


 


 


ไม่ช้า เฉิงเสี่ยวจวนค่อยเข้าใจว่า ตนเองคิดมากไปเอง


 


 


เสินเซ่อเทียนมองเยี่ยเม่ย กังวลอยู่หลายวินาที ค่อยๆ ถามออกว่า “เจ้าอยากฟังความจริงหรือเปล่า”


 


 


“ท่านว่ามา!” นางย่อมไม่มีอารมณ์ฟังคำโกหก


 


 


เสินเซ่อเทียนตอบกลับว่า “ข้าคิดจะใช้วิธีนี้ตีสนิทเจ้า ให้เจ้าช่วยย่างนกให้ข้าอีกสักตัว”

 

 

 


ตอนที่ 279 ข้าคิดใช้ร่างกายตอบแทน!

 

 


 


เยี่ยเม่ย “…”


 


 


นางอยากจะชื่นชมความตรงไปตรงมาของบุรุษผู้นี้เหลือเกิน


 


 


แต่ว่า ทำไมฟังแล้ว ทำให้คนรู้สึกไม่สบายเอาเสียเลย


 


 


นางโยนนกด้านข้างที่ถูกนางยิงตายตัวหนึ่งไปให้เสินเซ่อเทียน น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ สีหน้าไม่ยินดี ท่าทางไม่พอใจเอ่ยนิ่งๆ ว่า “ย่างเอง”


 


 


           เฉิงเสี่ยวจวนกุมขมับเงียบๆ นางรู้สึกว่าจวินซ่างออกจะเถรตรงจนเกินเหตุ หากต้องการให้ผู้อื่นย่างนกให้สักตัว ทำไมถึงตอบคำถามเช่นนี้เล่า


 


 


จวินซ่างหลงคิดว่าคนทั่วหล้านี้เป็นลูกน้องตัวเอง ยินยอมทำงานให้โดยไร้เงื่อนไขกันทุกคนหรืออย่างไร


 


 


เสินเซ่อเทียนก็คิดไม่ถึงว่า เยี่ยเม่ยถึงกับไร้น้ำใจปานนี้ สั่งให้เขาย่างนกด้วยตัวเอง หลังจากกินนกย่างในมือหมด ก็มองนกที่ถูกเยี่ยเม่ยโยนมาตกอยู่ข้างเท้า


 


 


อืม


 


 


พูดตามความจริง หลายปีที่ผ่านมาเขากินของอร่อยไปไม่น้อย แต่ว่าไม่เคยลงมือทำเองเลยสักครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหลายปีมานี้ถูกปรนนิบัติดูแลอย่างสูงส่ง ของอร่อยก็ยังไม่ต้องไปหาเอง


 


 


ยามนี้ให้เขาย่างนกเอง…


 


 


เห็นเขาลังเลไม่ขยับเขยื้อน เยี่ยเม่ยปรายตามอง แค่นเสียงเย็น “ลงมือด้วยตัวเองชีวิตจะสมบูรณ์พูนสุข ดูจากท่าทางของท่านแล้ว คงไม่ชินกับการทำเองสินะ แต่บังเอิญข้าก็ไม่เคยชินกับการปรนนิบัติผู้อื่นเช่นกัน”


 


 


ดังนั้นนกย่างตัวที่มอบให้เขาก่อนนี้ ก็มีมนุษยธรรมแล้ว อยากได้มากกว่านี้อีกเลิกคิดไปได้เลย


 


 


นางเอ่ยออกมา เสินเซ่อเทียนกลับคลี่ยิ้ม “แม่นาง ช่างมีหลักการนัก!”


 


 


 


 


 


หลายปีที่ผ่านมา เขายังไม่เคยเจอใครเอ่ยตรงไปตรงมาได้ถึงขั้นนี้มาก่อน เดิมทีเขาหลงคิดว่าหากตัวเองบอกเป้าหมายที่มาใกล้ชิดนางออกไป ก็เป็นการกระทำที่เถรตรงพอแล้ว คิดไม่ถึงว่านางยังเป็นคนตรงไปตรงมากว่าเขาเสียอีก


 


 


เมื่อเขาเอ่ย เยี่ยเม่ยก็ไม่ตอบโต้ พยักหน้าเห็นด้วย เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ข้ายอมรับ!”


 


 


นางเป็นคนมีหลักการจริงๆ


 


 


เสินเซ่อเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เพราะมีนิสัยเกียจคร้าน ความจริงเขาไม่อยากลงมือเอง แต่หากไม่ลงมือด้วยตัวเองก็ไม่มีให้กิน เขายังสับสนอยู่บ้าง


 


 


เยี่ยเม่ยส่งสายตามอง เอ่ยว่า “ฉวยโอกาสยามที่ข้ายังอยู่ ท่านคิดจะย่างนกก็รีบย่างซะ ข้ายังช่วยแนะนำท่านได้ รอข้ากินอิ่มจากไปแล้ว ท่านก็นั่งวิเคราะห์เองแล้วกันว่าจะย่างอย่างไร!”


 


 


เมื่อนางเอ่ยออกมาเช่นนี้ เสินเซ่อเทียนเลิกลังเลอีกต่อไป ถอนหายใจคำหนึ่ง หยิบนกตัวนั้นขึ้นมา ถลกหนังมันเลียนแบบวิธีเมื่อครู่ของเยี่ยเม่ย ไม่ช้าเขาก็จัดการมันจนสะอาดหมดจด 


 


 


เยี่ยเม่ยยื่นมีดสั้นให้เขา ควักเครื่องในออกมา


 


 


ไม่ช้า เสินเซ่อเทียนก็ทำการควักเครื่องในเรียบร้อย เริ่มย่างนกกับเยี่ยเม่ย อย่างไรก็ตามนกที่อยู่ในมือนางเริ่มย่างก่อนนกในมือเสินเซ่อเทียน ดังนั้นนกของนางก็สุกก่อน 


 


 


หลังจากนางย่างนกได้ที่ สายตาเสินเซ่อเทียนก็จับจ้องที่นกตัวนั้น


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นสายตาของเขา ก็รู้สึกหมดคำพูด


 


 


นางเองคร้านจะใส่ใจคนตรงหน้าที่มีท่าทีเหมือนไม่ได้กินอะไรมาหลายปี นางกัดนกย่างในมือคำหนึ่ง จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายเอื๊อกของเสินเซ่อเทียน ถึงเขาจะพยายามระวังควบคุมตัวเองไม่ให้ส่งเสียงดังขนาดนี้แล้ว แต่เยี่ยเม่ยก็ยังได้ยิน


 


 


เยี่ยเม่ย “…”


 


 


นางจินตนาการไม่ออกเลยว่า บุรุษรูปงามเป็นพิเศษ มีกำลังภายในล้ำเลิศ อากัปกิริยาเหนือคนทั่วไป ดูสูงศักดิ์ทรงอำนาจราวเทพเทวาจะตะกละได้ถึงขั้นนี้


 


 


แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะจนปัญญาหรืออย่างอื่น


 


 


เยี่ยเม่ยฉีกขานกข้างที่ตนยังไม่ได้กัดออก ยื่นส่งให้คนตรงหน้า “กินสิ!”


 


 


เสินเซ่อเทียนยื่นมือออกมารับอย่างร้อนรน ส่งเข้าปากทันที


 


 


สายตาที่เขามองเยี่ยเม่ยยิ่งต่างออกไปแล้ว!


 


 


นางบอกว่าตัวเองมีหลักการ ทั้งนางยังหิวมาก ทว่าในเวลานี้ยินยอมสละขานกข้างหนึ่ง มิตรภาพล้ำลึกเช่นนี้ ชวนให้คนซาบซึ้งเหลือเกิน


 


 


เขากัดไม่กี่คำ ขานกในมือก็หมดเกลี้ยง จ้องเยี่ยเม่ยเอ่ยปากว่า “บุญคุณของเจ้าในวันนี้ ข้าต้องตอบแทนแน่ เจ้าอยากได้อะไรก็บอกมา”


 


 


บุญคุณ?


 


 


นกย่างตัวหนึ่งกับขานกย่างอีกข้างหนึ่ง เยี่ยเม่ยไม่รู้สึกว่าเป็นบุญคุณอะไรเลยด้วยซ้ำ


 


 


นางส่ายหน้า “ไม่จำเป็น!”


 


 


เยี่ยเม่ยพูดไปพลางกัดนกคำหนึ่ง


 


 


“หากภายหน้าเจ้ายินยอมย่างนกให้ข้ากินบ่อยๆ ข้าคิดว่าจะใช้ร่ายกายตอบแทน” เสินเซ่อเทียนกล่าวอย่างจริงจัง


 


 


“แค่ก..”


 


 


คราวนี้เปลี่ยนป็นเยี่ยเม่ยที่สำลักแทนแล้ว


 


 


นางสงสัยว่าตนฟังผิดไปหรือเปล่า


 


 


เฉิงเสี่ยวจวนที่อยู่ไกลออกไปอ้าปากค้าง คิดไม่ถึงเลยว่าจวินซ่างถึงกับเอ่ยคำพูดไร้ศีลธรรมประเภทนี้ออกไปได้


 


 


นกย่างตัวหนึ่งก็ซื้อตัวเขาได้แล้วเหรอ


 


 


อย่าทำแบบนี้ได้หรือเปล่า ?!


 


 


เมื่อก่อนจวินซ่างกินของอร่อยไปไม่น้อย ยามนั้นจวินซ่างยังไม่เคยคิดใช้ร่างกายตอบแทนเลย หรือว่าเจ้านกย่างนั่นจะอร่อยเกินกว่าที่เห็นภายนอก ทำให้จวินซ่างไม่อาจหยุดความปรารถนาได้เลย?


 


 


ในขณะที่นางแปลกใจ เยี่ยเม่ยที่สำลักอยู่นานก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน


 


 


หลังจากนางปรับลมหายใจกลับมาได้ ก็มองเสินเซ่อเทียน เอ่ยปากเสียงนิ่งว่า “มันอร่อยจนถึงขั้นนั้นเชียวหรือ”


 


 


ถึงแม้เยี่ยเม่ยพอจะมั่นใจในฝีมือทำอาหารของตัวเองอยู่บ้าง แต่นางก็เข้าใจดีว่าไม่น่าจะเป็นถึงขั้นนี้นี่นา


 


 


เสินเซ่อเทียนพลันยิ้มออก “เจ้ายินยอมช่วยเหลือคนไม่รู้จัก ยอมอดทนเอานกให้ข้า รู้ทั้งรู้ว่าข้าคร้านจะย่างนกด้วยตัวเอง หลังจากเจ้าประกาศหลักการตัวเองออกมาแล้ว กลับยินยอมมอบขานกให้ข้าข้างหนึ่ง ที่น่าสนใจก็คือ ดูไปแล้วเจ้าไม่เหมือนคนมีเมตตาเลย เจ้าว่าคนที่น่าสนใจเช่นนี้ ข้ายินยอมตอบแทนด้วยร่างกาย ทำไมจะทำไม่ได้”


 


 


สัญชาตญาณบอกเขาว่า หากใช้ร่างกายตอบแทนจริงๆ ภายภาคหน้าเขาจะยิ่งพบด้านที่น่าสนใจในตัวนางมากขึ้น ไม่แน่อาจจะได้กินของอร่อยมากกว่านี้อีก


 


 


บุรุษตรงหน้าปรากฏตัวมาตั้งนานแล้ว นี่ถือเป็นประโยคที่เป็นผู้เป็นคนมากที่สุด


 


 


น้ำเสียงการพูดประโยคนี้ค่อยเหมาะสมกับรัศมีของเขามากกว่าท่าทางและคำพูดยามขอกินนกย่างต่างๆ นานาเมื่อครู่มาก


 


 


แต่ความหมายของคำพูดนี้ เยี่ยเม่ยฟังแล้วไม่ต่างกับเรื่องตลกเลย


 


 


นางปรายตามองเขาไร้คำพูด เตือนเสียงนิ่งว่า “ความสุขในชีวิตคนเราเป็นเรื่องสำคัญ ข้าแนะนำว่าท่านอย่าได้ฝากฝังชีวิตไว้กับผู้อื่นง่ายๆ แบบนี้ ท่านไม่รู้ความเป็นมาของข้า ทั้งไม่รู้ว่าข้ามีเป้าหมายอื่นหรือไม่ แม้กระทั่งชื่อข้า ท่านก็ยังไม่รู้เลย คำพูดพวกนี้เอ่ยออกมาได้อย่างโง่เขลานัก!”


 


 


“ต่อให้ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น แต่เหตุใดข้าต้องกลัวด้วย ใต้หล้านี้ยังมีปริศนาที่ข้าหาคำตอบไม่ได้ หรือสถานการณ์ที่ข้าแก้ไม่ตกอย่างนั้นหรือ” เสินเซ่อเทียนย้อนถามแทนคำตอบ


 


 


ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คือเสินเซ่อเทียน


 


 


ชั่วชีวิตเขาไม่เคยหวาดกลัว ทั้งไม่อาจหวาดกลัวด้วย


 


 


เยี่ยเม่ยไม่มีอารมณ์ถกเรื่องไร้สาระกับเขา เอ่ยไปตรงๆ ว่า “อ้อ อย่างนั้นก็ขอโทษด้วยแล้ว ก่อนอื่นข้าไม่อาจย่างนกให้ท่านกินได้ทุกวัน ข้าหาใช่คนจำพวกภรรยาแม่ศรีเรือนพวกนั้น อีกอย่าง ตอนนี้ข้าก็มีคู่หมั้นแล้ว ถึงข้าคิดว่าความสัมพันธ์นี้จะรักษาไว้ได้อีกไม่กี่วันเท่านั้น แต่ว่าในยามนี้ข้ายังมีคู่หมั้นอยู่ ดังนั้นท่านเลิกคิดใช้ร่างกายเข้าตอบแทนเถอะ”


 


 


เสินเซ่อเทียนเลิกคิ้ว ถามว่า “ไม่ทราบว่าใครคือผู้โชคดีเป็นคู่หมั้นของเจ้ากัน”


 


 


“เป่ยเฉินเสียเยี่ยน!” เยี่ยเม่ยไม่คิดปิดบัง


 


 


เสินเซ่อเทียนพลันตกตะลึง จ้องมองเยี่ยเม่ย สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาก ถามเสียงนิ่งว่า “เจ้าก็คือเยี่ยเม่ย?

 

 

 


ตอนที่ 280 เยี่ยเม่ยจะฆ่าเสินเซ่อเทียน !

 

เมื่อเขาตอบ เยี่ยเม่ยพลันเลิกคิ้ว สายตาเย็นชามองเสินเซ่อเทียน “ท่านรู้จักข้า?” 


 


 


หลังจากคำถามนี้เอ่ยออกมา สายตาเยี่ยเม่ยที่มองเสินเซ่อเทียนก็เปลี่ยนไปเป็นระวังมากขึ้น 


 


 


ถึงนางไม่มีโรคหวาดระแวงกลัวถูกทำร้าย แต่ช่วงนี้นางฆ่าคนไปไม่น้อย ดังนั้นไม่อาจไม่ระวัง 


 


 


เสินเซ่อเทียนมองท่าทางป้องกันของนางออก เขากลับหัวเราะเบาๆ หลังจากสำรวจนางครู่หนึ่ง น้ำเสียงทรงอำนาจก็ดังขึ้น “เรื่องระหว่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับแม่นางโด่งดังสะเทือนไปทั่วชายแดน ข้าไม่อยากรู้ก็คงไม่ได้!” 


 


 


“ดังนั้น สรุปแล้วท่านคือคนในยุทธภพหรือว่าคนของราชสำนัก” เยี่ยเม่ยฟังคำพูดของเสินเซ่อเทียน ก็ไม่คลายความระแวดระวัง ถามออกไปด้วยความไวอีกประโยคหนึ่ง สายตาที่มองเสินเซ่อเทียนเย็นเยียบขึ้น  


 


 


เสินเซ่อเทียนปรายตามองนกย่างในมือ เห็นว่ามีบ้างส่วนที่ไหม้แล้ว เขาใช้สายตาแกมขอร้องมองเยี่ยเม่ย “ช่วยย่างนกให้ข้ากินก่อนได้หรือไม่ จากนั้นพวกเราค่อยถกปัญหานี้กัน” 


 


 


เยี่ยเม่ยหางตากระตุกเล็กน้อย  


 


 


หางตารวมถึงมุมปากของเฉิงเสี่ยวจวนที่อยู่ห่างออกไปก็กระตุกพร้อมๆ เห็นจวินซ่างจริงจังขึ้นมาอย่างฉับพลัน ถามฐานะของเยี่ยเม่ย นางหลงคิดว่าจวินซ่างจะสนใจเรื่องสำคัญแล้ว ใครจะรู้ว่า เรื่องแรกที่กระทำยังคงเป็นเรื่องกินนกย่าง! 


 


 


แต่ว่าการเดินทางนี้ออกจะบังเอิญเหลือเกิน 


 


 


ถึงกับพบเป้าหมายของจวินซ่างระหว่างทาง ฝ่าบาททรงรับสั่งให้จวินซ่างมาตรวจสอบว่าเยี่ยเม่ยเป็นภัยคุกคามต่อราชสำนักหรือไม่ ซ้ำยังอนุญาตให้จวินซ่างตัดสินใจว่าจะกำจัดนางหรือไม่ คราวนี้ก็ดีเลย กินนกย่างของผู้อื่นไปแล้ว… 


 


 


ตามนิสัยของจวินซ่าง เกรงว่าคงตัดสินในแง่ดี เพราะอย่างไรกินของผู้อื่นไปแล้วก็ต้องช่วยเหลือบ้าง  


 


 


“เจ้ากินไปเถอะ!” เยี่ยเม่ยพูดไปก็กินนกย่างในมือตนจนหมด ทั้งยังเริ่มย่างอีกตัว นกตัวเดียวนั้นน้อยเกินไป ไม่เพียงพอยาไส้เลย 


 


 


เสินเซ่อเทียนรีบพยักหน้า กัดนกที่ตัวเองย่างคำหนึ่ง ถัดมาไม่กี่วินาที สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไป 


 


 


โยนนกในมือทิ้งไปทางหนึ่ง หว่างคิ้วขมวดแน่น เขาแปลกใจเหลือเกิน นกที่เขาเลียนแบบท่าทางเยี่ยเม่ยย่าง ทำไมถึงรสชาติไม่ได้เรื่องแบบนี้ เยี่ยเม่ยย่างกลับอร่อยนัก 


 


 


เห็นท่าทางคิ้วขมวดแน่นของเขา 


 


 


เยี่ยเม่ยพลันรู้สึกว่าคนเบื้องหน้าช่างน่าขันนัก ความกระตือรือร้นที่มีต่ออาหารของเขาเกินกว่าขอบเขตของคนทั่วไปแล้ว อีกทั้ง… 


 


 


สายตานางทอแววขบขัน ดวงตาเจือรอยยิ้มมองไปที่เสินเซ่อเทียน เอ่ยปากว่า “ดูท่าทางท่านคงไม่ได้หิวจริงๆ แต่มาเพราะกลิ่นของอาหารเสียมากกว่ากระมัง” 


 


 


คนหิวที่แท้จริงจะใส่ใจรสชาติของนกย่างอย่างนั้นหรือ ไม่ว่ารสชาติย่ำแย่แค่ไหน กินเข้าไปก็ใช้ได้แล้ว 


 


 


แต่ว่า เรื่องที่เขาบาดเจ็บจะอธิบายอย่างไร 


 


 


เสินเซ่อเทียนกลับไม่ยอมรับเรื่องเขาตะกละออกไป อย่างไรเสียจะทำลายภาพลักษณ์ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเขา เขาส่ายหน้ายืนยันว่า “ไม่ เพราะว่าเมื่อครู่กินไปตัวหนึ่งแล้ว ก็ไม่หิวอีก ดังนั้นจึงเลือกกิน” 


 


 


เยี่ยเม่ยยักไหล่ ไม่ค้าน 


 


 


พอคิดว่าตัวเองกินนกย่างในมือทั้งตัวไม่หมดแน่ จึงฉีกออกแบ่งให้เสินเซ่อเทียนครึ่งหนึ่ง ทั้งกล่าวว่า “กินหมดแล้วข้าขอตัวก่อน เจ้าก็รักษาตัวให้ดี!” 


 


 


เสินเซ่อเทียนรับมาก็รีบกินทันที  


 


 


จากนั้นก็หลงเหลือเพียงเสียงเคี้ยวนกย่างของคนทั้งสอง เสินเซ่อเทียนเป็นจอมตะกละอันดับหนึ่ง มีประสบการณ์การกินของอร่อยนับไม่ถ้วน ดังนั้นต่อให้อากัปกิริยาในการกินน่ามองแค่ไหน สุดท้ายเขาก็ยังกินเร็วกว่าเยี่ยเม่ยอยู่ดี  


 


 


หลังกินหมด ก็ใช้ผ้าเช็ดปาก ค่อยมีอารมณ์สนใจเรื่องสำคัญแล้ว 


 


 


เขาจ้องสตรีตรงหน้า น้ำเสียงทรงอำนาจแฝงด้วยความกดดัน “ในเมื่อแม่นางคือเยี่ยเม่ย ยามนี้สมควรอยู่ชายแดนถึงจะถูก ไฉนปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้”  


 


 


เยี่ยเม่ยที่กำลังกินอยู่หยุดชะงักไปเล็กน้อย พบว่าหลังจากบุรุษตรงหน้ากินนกหมดแล้ว บรรยากาศรอบกายเขาก็เปลี่ยนไป เทียบกับความเป็นมิตรชวนเข้าหาเมื่อครู่ มีความห่างเหินแข็งกร้าวขึ้นมาหลายส่วน 


 


 


คล้ายกับว่า…  


 


 


กินหมดแล้วก็พร้อมจะแตกหัก ข้ามแม่น้ำทำลายสะพานแล้ว 


 


 


เมื่อฟังคำถามของเขา เยี่ยเม่ยยังคงระวังตัวอย่างถึงที่สุด ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนไม่รู้จัก ว่ากันตามตรงแล้วอีกฝ่ายยังรู้จักฐานะของนาง 


 


 


นางเอ่ยเสียงเย็นชาไม่ลนลานด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “น้องชายของข้า จิ่วหุนถูกพิษ เป็นพิษที่องค์กรนักฆ่าใช้ควบคุมเขา ข้าออกมาเพื่อหาตัวยาชนิดหนึ่ง เพียงแต่โชคไม่ดีหาไม่พบ ได้แต่กลับไปมือเปล่า” 


 


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ !” เสินเซ่อเทียนพยักหน้า ก่อนนี้เขาได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเยี่ยเม่ยมาแล้ว ในข้อมูลนั้นเอ่ยถึงจิ่วหุนจริงๆ ดังนั้นคำพูดของนางยังเชื่อได้ 


 


 


ถัดมาแววตาของเขาลุ่มลึกจ้องมองเยี่ยเม่ย ถามว่า “ไฉนแม่นางถึงบอกว่า การหมั้นหมายของเจ้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเกรงว่าจะมีอยู่อีกไม่นานเท่านั้น” 


 


 


เมื่อครู่เขาห่วงแต่ย่างนกในมือให้สุก จึงไม่ทันถาม เมื่อยามนี้กินจนเกลี้ยงแล้วก็ถามออกมาได้ 


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องเขา น้ำเสียงกลับเย็นเยียบลง “นกย่างก็กินหมดแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องทำเป็นตีสนิทกับข้าอีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องซุบซิบนินทาเหล่านี้ท่านก็ไม่จำเป็นต้องรับรู้” 


 


 


นางจำได้ว่า ก่อนหน้าเขาเอ่ยสารภาพออกมาว่า ที่เขาถามคำถามนางมากมาย ความจริงก็เพื่อตีสนิท คิดกินนกย่างอีกตัว  


 


 


เสินเซ่อเทียนพยักหน้า กลับคลี่ยิ้มออก “ก็ถูก เพียงแต่ไม่ขอปิดบังเจ้า ข้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีการคบหากับอยู่บ้าง จึงอดเป็นห่วงเขาไม่ได้ แม่นางเยี่ยเม่ยยินยอมเล่าข้าก็ดีใจ หากแม่นางไม่ยินยอมเล่า ข้าก็ไม่บังคับ !” 


 


 


อย่างไรเสียหากคิดจะฟังความจริง ก็ต้องอาศัยความเป็นมิตร หากลงมือแล้วคิดฟังความจริงคงเป็นไปไม่ได้ เสินเซ่อเทียนจึงตอบกลับไปเช่นนี้ 


 


 


หากบอกว่าสุดยอดฝีมือแห่งยุคมีการคบหากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เรื่องนี้เยี่ยเม่ยเชื่อ แต่การคบหานี้อาจไม่ใช่มิตรภาพก็ได้ 


 


 


นางก็ไม่จงใจไม่พูดไม่จา ทำให้คนตรงหน้าที่ดูแล้วไม่ธรรมดาเกิดความสงสัยตน จึงเอ่ยมั่วซั่วออกไปโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าว่า “เจ้าก็เห็นขลุ่ยหยกโลหิตที่เอวข้าแล้ว กูเยว่อู๋เหินกำนัลให้ ถึงข้ารับไว้แบบไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่านี่เป็นของหมั้นหมายของเขา ดังนั้นสุดท้ายข้าจะเลือกใคร ข้าก็ยังไม่มั่นใจ !” 


 


 


นางจะบอกอีกฝ่ายได้อย่างไรว่า เพราะนางคือองค์หญิงของราชสำนักจงเจิ้ง เรื่องของนางกับคนของเป่ยเฉินย่อมเป็นไปไม่ได้ 


 


 


เสินเซ่อเทียนฟังแล้ว สายตามองที่ขลุ่ยหยกโลหิตที่เอวของเยี่ยเม่ย ขลุ่ยเลานั้นเป็นของดี ตอนพบกันครั้งแรก เขาเอาแต่จับจ้องนก ถึงไม่ได้ใส่ใจ ยามนี้เมื่อเห็นแล้ว เป็นของของประมุขกูเยว่จริงๆ 


 


 


เขาพลันเกิดความรู้สึกสนใจอยู่หลายส่วน เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา น้ำเสียงทรงอำนาจของเขาค่อยๆ เอ่ยว่า “แม่นาง วันนี้เจ้ามอบนกย่างให้กับข้าก็นับว่าช่วยเหลือข้าแล้ว แต่…ข้ากลับกังวลว่า ภายหน้าเจ้าอาจเสียใจที่ได้ช่วยเหลือข้าในวันนี้!” 


 


 


คิดไม่ถึงว่า เมื่อสิ้นเสียงเขา 


 


 


มีดสั้นในมือเยี่ยเม่ยก็พุ่งเป้าใส่คนตรงหน้าทันที  

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม