เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก 265-272

 ตอนที่ 265 สถานการณ์พลิกกลับ 


 


 


เมื่อสวีอันหรานเข้ามาก็นึกว่าพวกเขาน่าจะกลับกันไปแล้ว จึงไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก เมื่อเปิดประตูออกก็เห็นสวีรั่วชีเหยียบอยู่บนขั้นบันไดกำลังปีนขึ้นไปแขวนอะไรสักอย่าง ทำเอาเขาตกอกตกใจหมด 


 


 


“พี่” ซย่าเสี่ยวมั่วทักทายเขา 


 


 


ไม่ว่าจะจากมุมของเสิ่นจิ้งเฉิน หรือมุมของสวีรั่วชีก็ตาม แต่คำว่า ‘พี่’ นี้สวีอันหรานยังพอรับได้อยู่ 


 


 


“อื้ม” สวีอันหรานยิ้มให้เธอ ก่อนจะเดินไปคุ้มกันสวีรั่วชีไว้ “รีบลงมาเลย อยู่ดีๆ จะไปปีนบันไดทำไม” 


 


 


ทำร้ายหัวใจคนโสดยิ่งนัก…ซย่าเสี่ยวมั่วมองสวีรั่วชีกระโดดลงสู่อ้อมกอดของสวีอันหราน แอบเบือนหน้าหนีเงียบๆ แล้วทำงานในมือของตัวเองต่อ 


 


 


“พี่ว่าเป็นยังไงบ้าง ฉันตกแต่งดีใช่ไหม?” สวีรั่วชีสาดแสงออร่าของราชินี พึงพอใจกับสิ่งที่ตนนำมาตกแต่งใหม่เป็นอย่างมาก 


 


 


“วันนี้เธอกับเสี่ยวมั่วก็เหนื่อยกันหน่อยนะ” สวีอันหรานจ้องมองคนในอ้อมกอดอยู่นานจึงจะละสายตาไปมองการประดับตกแต่งโดยรอบ 


 


 


ด้านบนเป็นดวงไฟระย้าที่จัดเป็นรูปบวก โซฟาเปลี่ยนเป็นสีเทาอ่อน ผนังที่ติดโทรทัศน์ไว้เปลี่ยนเป็นภาพภูเขาอันไกลโพ้นและเมฆหมอกสีน้ำเงินเข้ม แม้แต่ที่กั้นระหว่างห้องรับแขกกับห้องอาหารต่างก็เปลี่ยนใหม่ทั้งหมด โดยรวมของตัวบ้านดูดีกว่าแต่ก่อนมากทีเดียว 


 


 


“ดีมากเลย” 


 


 


“พี่ชอบใช่ไหม” สวีรั่วชีไม่มีแม้กระทั่งความเขินอายและคาดหวังเหมือนกับสาวน้อย สีหน้านั่นแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ‘ถ้าไม่ชอบก็ไปนอนข้างถนน’ 


 


 


“เธอชอบก็พอแล้ว” สวีอันหรานเคยชินเสียแล้วกับนิสัยของน้องสาวตน เธอชอบก็พอแล้ว ถึงตนจะไม่ชอบแต่ก็ไม่เป็นอะไร 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองดูผนังที่ติดโทรทัศน์ไว้ไม่พูดไม่จา เดิมทีเธออยากจะแปะบทกลอนลงบนผนัง แต่ผู้หญิงที่ความคิดซับซ้อนอย่างสวีรั่วชีจะสลักลวดลายเป็นคำว่า ‘อันหราน’ ในส่วนที่มืดที่สุดของภูเขา นอกจากว่ามุมนั้นสะท้อนแสงพอดีแล้วและต้องมีแสงอาทิตย์จึงจะสามารถมองเห็นว่าส่วนนี้มีลวดลายที่แตกต่างจากตรงอื่น 


 


 


ต้องรอไปถึงเมื่อไรกันนะ…ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกโศกเศร้ากับโชคชะตาของวอลล์เปเปอร์อันนี้ จนถึงตอนเปลี่ยนใหม่แล้วก็อาจจะยังแสดงคุณค่าในตัวมันออกมาไม่ได้เลย 


 


 


“เย็นนี้อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะ” สวีอันหรานพูดกับซย่าเสี่ยวมั่ว 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วไม่อยากรบกวนพวกเขา จึงเลือกที่จะขอตัวกลับอย่างชาญฉลาด “ไม่ดีกว่า ฉันกลับบ้านก่อนนะ ดึกแล้ว…” รถเมล์จะหมดแล้ว 


 


 


สวีรั่วชีฟังแล้วก็พยักหน้า เดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเอง “งั้นเราไปกันเถอะ” 


 


 


นี่มันเรื่องหักมุมอะไรเนี่ย…สวีอันหรานคิดไม่ถึงว่าเธอก็จะไปด้วยเหมือนกัน 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองท่าทางน่าสงสารของสวีอันหรานที่โดนทิ้ง ก็ลอบยิ้มอย่างชั่วร้าย 


 


 


สวีรั่วชีตบบ่าสวีอันหราน “คุณสวีเราไปก่อนนะ บ๊ายบาย” 


 


 


“อื้ม” นอกจากพยักหน้าแล้วจะทำอะไรได้อีก 


 


 


เหยียนเค่อเล่นเกมครอสเวิร์ดกับเสิ่นจิ้งเฉินในห้องทำงาน จู่ๆ ทั้งคู่ก็ลดอายุตัวเองให้เหลือสามขวบ 


 


 


[ใครแต่งกับซย่าเสี่ยวมั่วได้ ฉันจะเอาหุ้นส่วนทั้งหมดของ YAN ให้คนนั้นเลย] 


 


 


“สวีอันหรานเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก ซย่าเสี่ยวมั่วมีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมฉันไม่รู้ล่ะ” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินส่ายนิ้วไปมา “สวีรั่วชีมีค่าต่างหากล่ะ สวีอันหรานคงจะโดนทิ้งล่ะมั้ง” 


 


 


“สมน้ำหน้า จะโชว์สวีตอะไรกันนัก” 


 


 


ทั้งสองคนต่างวางโทรศัพท์ ไม่สนใจชายหนุ่มที่ถูกทิ้งอย่างไร้ความปรานี ก่อนจะหันไปเล่นเกม 


 


 


ครอสเวิร์ดต่อ 


 


 


พวกเขากำลังแข่งกันอยู่ว่าใครจะต่อให้ได้คะแนนเยอะกว่ากัน 


 


 


“พ่อ!” เสิ่นจิ้งเฉินดันเบี้ยที่ตัวเองประกอบไว้ออกไป อ่านคำศัพท์ด้านบนอย่างจริงจัง 


 


 


“ว่าไงลูก” เหยียนเค่อหัวเราะตอบกลับ ก่อนจะดันเบี้ยในมือของตนไป 


 


 


“ลูกบ้านแกน่ะสิ!” เสิ่นจิ้งเฉินโยนเบี้ยในมือใส่เขา “เอาเปรียบฉันอยู่เรื่อย” 


 


 


“ฮ่าๆๆๆ ฉันว่านายทำตัวเป็นเด็กยิ่งกว่าฉันซะอีก” 


 


 


“ใครทำตัวเป็นเด็กกันแน่ เล่นเกมดีๆ จะได้ไหม!” เสิ่นจิ้งเฉินโดนเขาเล่นงานเสียทุกครั้ง แถมยังเล่นไม่ชนะเขาอีกด้วย จึงแสร้งทำเป็นสั่งบอดี้การ์ดที่อยู่รอบๆ “จับเขาโยนออกไปข้างนอกที” 


 


 


“ฮ่าๆๆ” ดวงตาของเหยียนเค่อเปี่ยมไปด้วยความขบขัน หยิบเบี้ยงบนโต๊ะมาวางเรียงกันให้เขาเป็นอย่างดี 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 266 เข้าแถว 


 


 


“ผู้หญิงใจร้ายอย่างเธอทิ้งสวีอันหรานไว้อย่างนั้น” ซย่าเสี่ยวมั่วในใจรู้สึกผิด “ฉันว่าสวีอันหรานต้องเห็นฉันเป็นศัตรูหัวใจเบอร์หนึ่งแล้วแหงๆ” 


 


 


“ก็เป็นอยู่แล้วนี่” สวีรั่วชีพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ถ้าเธอกับสวีอันหรานตกน้ำฉันต้องช่วยเธอก่อนแน่นอน” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วอยากจะพูดแสดงความรู้สึกตื่นเต้นซาบซึ้งใจเสียหน่อยแต่ก็ได้ยินสวีรั่วชีบ่นพึมพำขึ้นมาก่อน “ถ้าเขาโง่จนตกน้ำก็คงไม่ต้องทำอะไรกินแล้ว” 


 


 


ที่แท้เพราะเธอโง่ก็เลยช่วยสินะ…ซย่าเสี่ยวมั่วไม่คาดหวังให้เขามีจิตสำนึกนักหรอก “แต่ตอนนี้ฉันอยากจะผลักเธอลงน้ำชะมัด” 


 


 


“รักใคร่กันสิถึงจะเป็นสไตล์ของพวกเรา” 


 


 


“ทั้งรักทั้งเกลียดต่างหากถึงจะเป็นสไตล์ของพวกเรา” ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกว่าพอสวีรั่วชีได้ดั่งที่ใจหวังแล้วอารมณ์ก็ดีขึ้นมาก แต่ในทางกลับกัน เธออารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก 


 


 


หรือว่าต่อไปคนรอบกายจะมีคู่กันหมด มีแค่เธอที่โดดเดี่ยวเดียวดายอย่างนั้นเหรอ ถึงแม้ว่าตัวคนเดียวจะดูไม่แย่ก็เถอะ แต่จะทำลายความรู้สึกอ้างว้างลึกๆ ของคนโสดได้อย่างไร… 


 


 


“เธอก็อยากแต่งงานเร็วๆ เหมือนกันใช่ไหม เข้าใจความรู้สึกของฉันเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหรือเปล่า” 


 


 


“ไม่อะ” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่อยากแต่งงานเร็วๆ เลยสักนิด ก็แค่รู้สึกอ้างว้างก็เท่านั้น ช่างน่าเศร้านัก… 


 


 


“ชุดแต่งงานของฉันก็ฝากด้วยละกันนะ” สวีรั่วชีโอบไหล่เธอด้วยท่าทางของเจ๊ใหญ่แห่งแก๊งนักเลง 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วโดนทำร้ายเข้าเต็มๆ “เธอเคยคิดถึงความรู้สึกฉันบ้างไหม ฉันอยากปฏิเสธ” 


 


 


“ไม่เคยอะ ก็กระตุ้นเธอไง” สวีรั่วชีมองก้อนเมฆด้านบนที่ลอยไปมา เมื่อสายลมพัดกระจายตัวออก จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นอย่างเศร้าๆ “เธออยู่กับฉันตั้งแต่ใส่แพมเพิร์สจนถึงชุดแต่งงานเลยนะ” 


 


 


“ทำไม ใช้เสร็จแล้วจะทิ้งหรือไง” 


 


 


“ทิ้งไม่ลงหรอก” ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำหรือเขาที่อยู่ในความทรงจำนั้นก็ตาม เธอทิ้งไม่ลงหรอก 


 


 


หลังจากหลี่หมิงฉวีฟื้นขึ้นมาแล้ว ในที่สุดก็พอจะจำอะไรได้สักที คำแรกที่ถามก็คือ “ซย่าเสี่ยวมั่วเป็นยังไงบ้าง” 


 


 


เฉิงนั่วโบกแขนที่ห่อหุ้มด้วยเฝือกตรงหน้าเขาไปมา “สมองนายไม่มีปัญหาอะไรนะ? ซย่าเสี่ยวมั่วเป็นคนของสวีรั่วชี” 


 


 


“แล้วเขาเป็นอะไรหรือเปล่า” 


 


 


“ฉันยังพูดไม่ชัดเจนอีกเหรอ” เฉิงนั่วสงสัยว่าสมองเขาจะกระทบกระเทือนจนเอ๋อไปแล้ว “ก็ต้องไม่เป็นอะไรสิ” 


 


 


“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับฉู่อวิ๋นเหรอ” 


 


 


“นายยังไม่เข้าใจอีกเหรอ” เฉิงนั่วอยากจะดูว่าสมองเขามีปัญหาจริงๆ หรือเปล่า แต่นึกขึ้นได้ว่าเขาเพิ่งฟื้น อาการยังไม่ดีเหมือนตน จึงอธิบาย “พวกเขาอยากจะเล่นงานพวกเราเฉิงซีไง ถ้าไม่เล่นกันในงาน พอออกมาก็ต้องเล่นกันอยู่ดี แต่ฉู่อวิ๋นเจ็บน้อยกว่านายหน่อย” 


 


 


จะพูดให้ถูกก็คือ ในบรรดาพวกเขาไม่มีใครสาหัสเท่าหลี่หมิงฉวีแล้ว 


 


 


“นายไปทำให้ลูกชายคนรองบ้านเหยียนไม่พอใจหรือเปล่า หรือเพราะว่านายเป็นคนแรก เขาเลยใส่แรงเยอะไปหน่อย” เฉิงนั่วรู้สึกไม่ชอบมาพากล 


 


 


หลี่หมิงฉวีส่ายหัว จดชื่อเหยียนเค่อไว้ในบัญชีดำ “ไปบอกเหยียนเฟิง ว่าพวกเราบ้านหลี่ยินดีคุยข้อตกลงกับเขา” 


 


 


เฉิงนั่วพยักหน้า “ฉันว่าแล้ว เหยียนเฟิงมาเยี่ยมนายด้วยนะ” 


 


 


คนทำการใหญ่สามารถปล่อยวางความขัดแข้งส่วนตัวได้ แต่เสียดายที่ไม่ค่อยมีใครยอมอดทนและรอคอยการโจมตีกลับในภายหลังเท่าไร ทำให้คนทำการใหญ่มีจำนวนไม่มากมายนัก 


 


 


งานเลี้ยงตอนบ่ายของเหยียนเค่อเป็นการร่วมรับประทานอาหารร่วมกับคู่ปรับเก่าแก่ 


 


 


“อาๆๆ ฉันยอมกินข้าวกับพวกตาแก่พุงโตนั่นดีกว่ากินข้าวกับเฉินเจวี้ยน” เหยียนเค่อบ่นอยู่หลายวัน แต่จำต้องยอมรับความเป็นจริงข้อนี้ 


 


 


เฉินเจวี้ยนที่กำลังดูตารางเวลา เห็นคำว่า ‘เหยียนเค่อ’ ก็โยนแฟ้มเอกสารออกไปดังพลั่ก ใบหน้าครุ่นคิดเรื่องชั่วร้ายแต่ในใจร้องครวญครางเช่นเดียวกับเหยียนเค่อ 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินไม่รู้เช่นกันว่าทำไมสองคนนี้ไม่ถูกกัน แค่เจอกันหน่อยก็เหมือนจะตายให้ได้ 


 


 


“ฉันไปเป็นเพื่อนไหม” 


 


 


“อืม ฉันกลัวห้ามตัวเองไม่อยู่เข้าไปต่อยเขาจนตายน่ะสิ กวนประสาทนัก” 


ตอนที่ 267 คู่ปรับเก่าแก่ 


 


 


เฉินเจวี้ยนขาพิการจึงไม่ค่อยได้เดินนัก ทุกครั้งเหยียนเค่อมักจะรังเกียจที่ต้องเดินกับเขา คนพิการก็ควรจะมีจิตสำนึกของคนพิการสิ ทำไมนั่งบนวีลแชร์แล้วถึงได้ดูเย่อหยิ่งเหมือนนั่งบนบัลลังก์มังกรเสียอย่างนั้น 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินทำได้เพียงปลอบใจเขา “นายต้องเข้าใจคนพิการหน่อย เฉินเจวี้ยนเองก็ลำบากมาเหมือนกันนะ” 


 


 


“เขาเนี่ยนะลำบาก? ตอนนั้นเขาเอาเงินฉันไปตั้งเยอะ ชีวิตฉันตอนที่ต้องกินแต่ผักแต่รำนี่ไม่ลำบากเลยงั้นสิ?” ตอนนั้นเงินก้อนแรกที่เหยียนเค่อหามาได้โดนเฉินเจวี้ยนฮุบเอาไปหมด ทำให้เขาเหลือเงินแค่พอจ่ายค่าภาษีเท่านั้น…ไอ้สารเลวนั่น! 


 


 


“ตอนหลังเขาก็คืนแล้วไม่ใช่หรือไง นายต้องเปิดใจให้กว้างหน่อย แล้วเขาก็มีเรื่องด่วนจริงๆ ด้วย” เสิ่นจิ้งเฉินต่อว่าในใจ ‘ใครใช้ให้นายทิ้งบัตรธนาคารซี้ซั้วล่ะ สมน้ำหน้า!’ 


 


 


เหยียนเค่อก็แค่ไม่อยากยอมรับว่าตอนนั้นเขาก็ไม่ได้ระแวดระวังเรื่องทรัพย์สินของตนแม้แต่นิด “เหอะ คนจิตใจดีอย่างฉันยังไม่แจ้งตำรวจเลย ถ้าฉันแจ้งตำรวจฉันจะให้มันติดคุกสักห้าร้อยปี!” 


 


 


“จ้าๆๆ แต่นายยอมรับซะเถอะ ว่าตอนนี้เฉินเจวี้ยนชีวิตดีกว่านาย” 


 


 


ในขณะที่เหยียนเค่อกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เฉินเจวี้ยนกลับใช้ชีวิตอยู่ที่มณฑล J จนใกล้จะได้เป็นเจ้าถิ่นอยู่แล้ว 


 


 


“เขาอยู่มณฑล J ก็ใช้ชีวิตไปได้ด้วยดีนี่ ทำไมต้องมาคุยธุรกิจกับฉันด้วย!” เหยียนเค่ออารมณ์ขึ้น ไม่พอใจเป็นอย่างมาก “พอฉันเห็นเขาก็…รู้สึกไม่ดีเลย” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินเข้าใจเป็นอย่างดี เฉินเจวี้ยนเองก็คงมีความรู้สึกแบบเดียวกัน เหยียนเค่อก็แค่ไม่อยากจะยอมรับว่าคนพิการคนหนึ่งจะมีความสามารถเทียบเท่ากับเขาก็เท่านั้น แต่เฉินเจวี้ยนกลับรู้สึกว่าพระเจ้าไม่ได้ปิดกั้นหนทางเหยียนเค่อแถมยังเปิดโอกาสให้เขาอีก แบบนี้ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย จึงเอ่ยปลอบ “เขาหน้าตาไม่ดีเท่านายหรอก” 


 


 


“นายแน่ใจนะว่าไม่ได้กำลังทำให้ฉันไม่พอใจน่ะ” การที่ผู้ชายแท้ๆ มาเปรียบเทียบหน้าตากันเป็นการเหยียดหยามเขาอย่างมาก เหยียนเค่อลูบใบหน้าตัวเอง “ไปเถอะ อย่าให้เขารอนานนัก เหอะ” 


 


 


เหยียนเค่อจัดเนกไทของตัวเอง ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “ใช้หน้าตาของตัวเองให้เป็นประโยชน์แล้วกัน” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉิน “…” ไหนบอกว่าเป็นผู้ชายแท้ๆ ไง? 


 


 


เมื่อเหยียนเค่อไปถึงก็เห็นว่าลูกน้องในบริษัทของเฉินเจวี้ยนมาถึงหมดแล้ว แต่ยังไม่เห็นเงาหัวของเฉินเจวี้ยน 


 


 


“คิดไม่ถึงเลยนะเนี่ย” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินได้ยินเขาบ่นพึมพำก็อยากจะหัวเราะ “นายเอาข้อเสนอไปหลอกล่อคนของเขาก็ได้นี่” 


 


 


“ฉันไม่ชอบพวกผู้หญิง” เหยียนเค่อมองดูผู้หญิงจำนวนเศษหนึ่งส่วนสามของบริษัทฝ่ายตรงข้าม “ไม่ได้เหยียดหยามนะ แต่ฉันแค่ไม่ชอบเฉยๆ” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินคิดว่าตัวเองสามารถเขียนวิทยานิพนธ์ชิ้นใหม่มาวิจัยสภาพจิตใจของเหยียนเค่อได้ 


 


 


“สวัสดีค่ะท่านประธานเหยียน” ทุกคนต่างลุกขึ้นโค้งคำนับให้ ก่อนจะส่งสายตาหากัน ‘ประธาน 


 


 


เหยียนหล่อจริงๆ เลยนะเนี่ย ข่าวลือนั่นเป็นจริงด้วย!’ 


 


 


เหยียนเค่อผงกหัว 


 


 


หัวหน้าเลขาของเฉินเจวี้ยนลุกขึ้นมาอธิบายให้เหยียนเค่อฟัง “ประธานเฉินไม่ค่อยสะดวก จะมาถึงช้าหน่อย ต้องขออภัยด้วยนะครับประธานเหยียน” 


 


 


“อืม” เหยียนเค่อลากเสิ่นจิ้งเฉินให้มานั่งข้างๆ ตน เดิมทีเสิ่นจิ้งเฉินอยากจะผลักไสแต่ก็ได้ยิน 


 


 


เหยียนเค่อพูดขึ้นอย่างเป็นการไม่ให้เกียรติเสียก่อน “เฉินเจวี้ยนไม่ต้องนั่งสักหน่อย นายรีบนั่งไปเถอะน่า” 


 


 


“…” นายพูดแบบนี้ไม่กลัวพนักงานเขาตีตายหรือไง 


 


 


หางตาของหัวหน้าเลขาคนนั้นกระตุกเล็กน้อย ประธานเหยียนคนนี้พูดจาตรงไปตรงมาเสียจริง 


 


 


และแล้วเสิ่นจิ้งเฉินก็นั่งลงข้างๆ เขา พวกเขาสามคนต่างก็คุ้นเคยกันดี จึงไม่ได้เคร่งครัดอะไรนัก รอแค่ให้เฉินเจวี้ยนมาเท่านั้น 


 


 


เหยียนเค่อเท้าคางนั่งเหม่อลอย ทั้งห้องจัดเลี้ยงส่วนตัวตกอยู่ในความเงียบ 


 


 


พวกเขาล้วนเป็นผู้ชายที่แต่งกายด้วยชุดสูทสีดำ ดูแล้วรู้สึกเหมือนโดนข่มเลยจริงๆ 


 


 


“ประธานเหยียนครับ ถ้าอย่างนั้นพวกเราทานอาหารกันก่อนไหมครับ” หัวหน้าเลขาของเฉินเจวี้ยนเสนอ 


 


 


“รอให้ประธานเฉินของพวกคุณมาดีกว่าครับ คงไม่ช้าไปสักเท่าไรหรอก พวกคุณก็คุยกันไปก่อนก็ได้ครับ” เหยียนเค่อออกปากสั่งคนของตัวเอง “ศึกษาวัฒนธรรมองค์กรของอีกฝ่ายสิครับ อย่าเงียบสิ” 


 


 


“…นายก็ทำตามใจตัวเองเกิน” เสิ่นจิ้งเฉินรู้ว่าปกติเวลาไปออกงานจะเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก แต่ทำไมพอเป็นเฉินเจวี้ยนแล้วจึงแตกต่างออกไป 


 


 


“ฉันทำตามใจตัวเองเท่าเฉินเจวี้ยนด้วยเหรอ” เหยียนเค่อไม่ได้หยิ่งผยองเท่าเฉินเจวี้ยน เขากำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะเล่นงานเฉินเจวี้ยนอย่างไร 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 268 สนุกสนานกันทุกฝ่าย 


 


 


ยังไม่ทันที่เฉินเจวี้ยนจะเข้ามาก็นึกว่าตัวเองเข้าผิดห้องเสียแล้ว มองดูเลขห้องปราดหนึ่งแต่ก็ไม่มีอะไรผิดพลาดไป 


 


 


“ทำไมวุ่นวายแบบนี้” ผู้ช่วยที่เข็นรถให้เฉินเจวี้ยนเองก็รู้สึกงุนงงเช่นกัน 


 


 


หลังจากเข้าไปแล้วก็พบว่าคนของทั้งสองบริษัทกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน 


 


 


“ประธานเฉิน!” คนของทั้งสองฝั่งต่างหยุดและเอ่ยทักทายเขา 


 


 


เฉินเจวี้ยนพยักหน้า เห็นเหยียนเค่อที่ประจำหัวโต๊ะลุกขึ้นยืนก็ไม่สนใจ หันไปโบกมือให้เสิ่นจิ้งเฉินที่อยู่ข้างๆ เหยียนเค่ออย่างสนิทสนม “อ้าว จิ้งเฉินก็ให้เกียรติมาด้วยหรือเนี่ย” 


 


 


“เขาให้เกียรติฉันต่างหาก ไม่ได้ให้เกียรตินาย” เหยียนเค่อเลิกคิ้ว ขัดจังหวะการพูดคุยเรื่องเก่าของเขากับเสิ่นจิ้งเฉิน “รอนายคนเดียวนี่แหละ พนักงานของนายหงุดหงิดกันหมดแล้ว” 


 


 


พนักงานของเฉินเจวี้ยนที่โดนใส่ร้ายต่างก็เอือมระอา พวกเขากล้าหงุดหงิดที่ไหนกันล่ะ 


 


 


“ถ้าไม่ต้องมาคุยกับนายล่ะก็ ถึงขาฉันหายดีแล้วก็ไม่มาหรอก” คำพูดทักทายระหว่างเฉินเจวี้ยนกับเหยียนเค่อไม่เคยเป็นมงคลเลย แค่อ้าปากก็เริ่มฟาดฟันกันแล้ว 


 


 


“ขานายก็ใกล้หายดีแล้วไม่ใช่เหรอ จะนั่งวีลแชร์ไปหลอกใครล่ะ” 


 


 


“หลอกนายไง” เฉินเจวี้ยนตอบทีเล่นทีจริง ทำสงครามน้ำลายกับเหยียนเค่อโดยมีเสิ่นจิ้งเฉินคั่นอยู่ตรงกลาง 


 


 


“คนมาครบแล้ว เอาอาหารมาเสิร์ฟเลยเถอะ” เสิ่นจิ้งเฉินโดนพวกเขาสองคนดันให้ไปนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะแล้วก็ออกปากสั่ง 


 


 


หลังจากอาหารมาเสิร์ฟครบแล้ว เหยียนเค่อกับเฉินเจวี้ยนกินไปได้ไม่กี่คำก็เริ่มปะทะฝีปากกันอีก เสิ่นจิ้งเฉินที่ถูกหนีบไว้อยู่ตรงกลางเริ่มจะปวดหูแล้ว 


 


 


พนักงานที่กินข้าวอยู่อีกด้านพูดคุยกันได้เป็นอย่างดี บรรยากาศค่อยๆ สนุกสนานขึ้น 


 


 


“พวกนายสองคนระวังเรื่องผลกระทบหน่อยได้ไหม! รักษาภาพลักษณ์หน่อย” เสิ่นจิ้งเฉินให้ทั้งคู่หุบปาก “พวกนายเป็นอย่างนี้แล้วจะร่วมงานกันได้ยังไง แค่ประชุมก็เหมือนกับทำสงครามน้ำลายแล้ว” 


 


 


เป็นครั้งแรกที่คนของบริษัทเฉินเจวี้ยนเห็นด้านเด็กๆ ของเจ้านาย ต่างก็รู้สึกประหลาดใจ ประธานของ YAN เป็นคนมหัศจรรย์จริงๆ ด้วย สามารถทำให้คนนิสัยเงียบขรึมอย่างเจ้านายสามารถร่าเริงขึ้นมาได้ 


 


 


เหยียนเค่อให้ผู้ช่วยพิเศษของตนหยิบหนังสือสัญญาที่ร่างไว้ก่อนหน้านี้ออกมา “ฉันขอปฏิเสธการเจรจา ถ้านายไม่เซ็นก็ไม่ต้องร่วมมือกัน” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินสะกิดเขา ไอ้หมอนี่สมองน้ำเข้าหรือไง ผู้สนับสนุนที่ดีอย่างเฉินเจวี้ยน เขาไม่ยื้อไว้แถมยังพูดแบบนั้นกับคนเขาอีก 


 


 


เฉินเจวี้ยนรับมาก่อนจะเปิดดูคร่าวๆ แล้วพูดไม่ออก “นายนี่ท้าทายขีดจำกัดของฉันจริงๆ เลย!” 


 


 


“เหมือนกันนั่นแหละ” แน่นอนว่าเหยียนเค่อรู้อยู่แล้วว่าเฉินเจวี้ยนเป็นแรงสนับสนุน ข้อเสนอที่ยื่นให้ต้องดีอยู่แล้ว “บอกก่อนนะ พวกผู้หญิงของบริษัทนายห้ามมาที่บริษัทเรา” 


 


 


“นายให้ความสำคัญกับตัวเองเกินไปหรือเปล่า” เฉินเจวี้ยนล้วงปากกาออกมาเซ็นลงบนหนังสือสัญญาทั้งสองฉบับ การร่วมมือกันของทั้งสองฝ่ายก็เป็นอันตกลงกันแล้ว ผู้ช่วยและผู้จัดการที่กำลังชวนดื่มเหล้าและแอบสืบสถานการณ์ของฝ่ายตรงข้ามต่างก็เดาทางกันไม่ออก ทำไมตัดสินใจง่ายเช่นนี้ล่ะ 


 


 


เหยียนเค่อรับมาไว้หนึ่งฉบับ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “นายแน่ใจนะว่าดูครบแล้วน่ะ” 


 


 


“แน่นอน” ส่วนที่สำคัญที่สุดก็มีเพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น นอกนั้นล้วนเป็นแค่ข้อความไร้สาระ 


 


 


“นายต้องสนับสนุนบริษัทของฉันแบบถาวรเลยนะ” เหยียนเค่อก็ไม่อยากแกล้งเขาแล้ว จึงอธิบายให้กระจ่างก่อน ตัวเองจะได้ไม่ดูเป็นพวกคนถ่อยนัก 


 


 


“รู้แล้ว ก็เซ็นไปแล้วนี่ ฉันจะทำอะไรได้อีก” 


 


 


“ต่อไปถ้าเหยียนเค่ออยู่เมือง N ต่อไปไม่รอดแล้วย้ายไปอยู่มณฑล J ก็ดีเหมือนกันนะ” เสิ่นจิ้งเฉินคิดเผื่อเหยียนเค่อจริงๆ นะ 


 


 


เหยียนเค่อนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างไม่สนใจไยดีนัก “ฉันมีที่ดินของตัวเองอยู่ ทำไมจะอยู่ต่อไปไม่รอดล่ะ” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินไม่คิดว่าเหยียนเฟิงจะปล่อยให้เหยียนเค่อใช้ชีวิตอย่างสุขสบายต่อไปแน่ แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน เขาเองก็จะพูดมากก็ไม่ได้ 


 


 


“ถ้าย้ายมณฑลก็ยุ่งยากเหมือนกันนะ” เฉินเจวี้ยนไม่อยากให้เหยียนเค่อมาอยู่บนผืนดินเดียวกันกับเขา “อย่ามาปรากฏตัวในถิ่นของฉันจะดีที่สุด” 


 


 


“ใครจะไปอยาก แล้วตอนนี้นายอยู่ในถิ่นของใครหา!” 


 


 


ทั้งสองคนคุยกันดีๆ ได้ไม่เกินสามประโยคก็เริ่มทะเลาะกันอีกแล้ว เสิ่นจิ้งเฉินนั่งกินข้าวของตัวเองต่อไปเงียบๆ ไม่อยากสนใจคนดื้อด้านทั้งสองนี่แล้ว 


 


 


สุดท้ายเหยียนเค่อก็ถูกเฉินเจวี้ยนบีบให้ต้องกระดกเบียร์ลงคอไปสองขวด ร่างกายร้อนรุ่ม แม้แต่เนกไทก็ปลดคลายออกแล้ว 


 


 


“คิดเงินที่พวกเราแล้วกัน งานเลิกแล้วก็สนุกกันเลยนะ” เหยียนเค่อสะกิดผู้ช่วยของตนก่อนจะสั่ง แล้วกลับออกไปก่อนกับเสิ่นจิ้งเฉินและเฉินเจวี้ยน ให้คนที่เหลือสนุกกันเต็มที่ 


 


 


คืนนั้นนับว่าต่างก็สนุกสนานกันทุกฝ่าย นอกจากบอสใหญ่แล้ว ทั้งสองบริษัทก็พูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ 


ตอนที่ 269 นอนเพลิน 


 


 


“เป็นยังไงบ้าง เห็นฉันยืนขึ้นแล้วตะลึงหรือเปล่า” เฉินเจวี้ยนก็ดื่มเป็นเพื่อนเหยียนเค่ออีกหลายขวด ไม่รู้สึกเมา เพียงแต่รู้สึกว่าเส้นประสาทตื่นตัวมาก ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นจากวีลแชร์อย่างเชื่องช้า 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินมองเขาเอามือยันวีลแชร์แล้วหยัดตัวลุกขึ้น จากคนที่สองขาอ่อนแรงจนถึงตอนนี้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ จึงตบบ่าเขา “ช่วงนี้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีใช่ไหม” 


 


 


“ดีนะ ดีทุกอย่าง ถ้างั้นก็คงไม่มาหรอก” 


 


 


เหยียนเค่อหาวหวอด “พรุ่งนี้เรายังมีธุระต้องทำอยู่ ขอตัวกลับก่อนล่ะ ถ้าอารมณ์ดีก็ไปปีนเขากัน” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินรู้สึกว่าเหยียนเค่อหาเรื่องให้ตัวเองเสียแล้ว ชอบนักการพูดจาทิ่มแทงคนอื่นเนี่ย 


 


 


“คืนพรุ่งนี้ฉันกลับเมืองหลวงแล้วนะ ถ้ามีอะไรก็มาหาฉันได้” เสิ่นจิ้งเฉินรอจนรถของเฉินเจวี้ยนขับเข้ามาแล้วก็ส่งเขาขึ้นรถไปก่อน จึงจะเดินตามเหยียนเค่อออกมา 


 


 


“กลับแล้วเหรอ” 


 


 


“อืม” 


 


 


ทั้งคู่เดินเลียบแม่น้ำล้อมเมืองกลับคอนโด คนขับรถต่างก็ตามอยู่ด้านหลังอย่างมีความรับผิดชอบ 


 


 


ลมเย็นพัดเบาๆ แสงของไฟถนนสว่างไสวอบอุ่น เหยียนเค่อนึกไปถึงก่อนหน้านี้ที่ได้เดินเล่นในหมู่บ้านกับซย่าเสี่ยวมั่ว ทุกครั้งจะต้องเจอกับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงตลอด ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอจะยังออกมาเดินเล่นอยู่ไหม 


 


 


“จริงสิ ซย่าเสี่ยวมั่วได้รับโซฟาแล้วนะ ขอบใจมาก” เสิ่นจิ้งเฉินนึกไปถึงข้อความที่ซย่าเสี่ยวมั่วส่งมาให้เขา จึงบอกเหยียนเค่อ 


 


 


“อืม” 


 


 


แม่น้ำในค่ำคืนอันมืดมิดกลายเป็นสีดำสว่างไสว แสงไฟสะท้อนจนมองเห็นเกลียวคลื่นที่ซัดสาด สายลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดหยอกเย้าสายน้ำ แต่ใครกันเล่าที่หยอกเย้าหัวใจของเขา 


 


 


วันต่อมาทั้งสองคนต่างก็ตื่นสาย นอนตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงหกโมงเย็น 


 


 


เหยียนเค่อลุกจากเตียงแล้วสะกิดปลุกเสิ่นจิ้งเฉิน “นายยังจะไปหนานซานอยู่ไหม ตอนนี้เนี่ย” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินคว้านาฬิกาปลุกมาดูปราดหนึ่ง ก่อนจะตวัดผ้าห่มมาคลุมหัว “เจอกันที่ ‘หลิวเยี่ยน’ ฉันขอนอนต่ออีกหน่อยนะ” 


 


 


เหยียนเค่อบีบจมูกที่รู้สึกคัดแน่น ก่อนจะส่งข้อความให้คนอื่น 


 


 


ร้านหลิวเยี่ยนอยู่ไม่ไกลจากเสิ่นจิ้งเฉินนัก เพียงแค่เดินเท้าสิบนาทีก็ถึง…เขาไม่เลือกสถานที่อื่นเพื่อให้ตัวเองสามารถนอนต่อได้อีกสักหน่อย  


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินง่วงจะตายอยู่แล้ว เมื่อคืนคุยสนุกกับเหยียนเค่อจนนอนไม่หลับ กว่าจะได้นอนก็ฟ้าสว่างเสียแล้ว และเขาก็หลับลงไปอีกครา 


 


 


ช่วงหลายวันที่กลับมาเมือง N นี้ เวลาพักผ่อนและเวลาทำงานของตนโดนเหยียนเค่อทำพังหมดเลย 


 


 


“โทษนายนั่นแหละ” เสิ่นจิ้งเฉินยืนพิงตู้เพื่อสวมรองเท้า อ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน “ต่อไปเมียนายจะทนเวลาทำงานและพักผ่อนแปลกประหลาดแบบนี้ของนายได้ยังไง ชีวิตคู่ไม่ราบรื่นเลยสักนิด” 


 


 


เหยียนเค่อจำได้ว่าซย่าเสี่ยวมั่วก็เคยพูดทำนองนี้เช่นกัน ไม่สนใจจะต่อล้อต่อเถียงกับเสิ่นจิ้งเฉิน “ก็ต้องดูก่อนว่าเมียฉันคือใคร” 


 


 


“เฮ้ย ฉันว่านะ นายรักสะอาดขนาดนี้ จะยอมทน…” 


 


 


“หุบปาก! อยากโดนหรือไง!” เหยียนเค่อถีบเขาไปหนึ่งที “ตอนนี้สองทุ่มกว่าแล้ว ให้พวกเขาลงโทษนายเลย” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินเดินเข้ามากอดไหล่เหยียนเค่อ “มีทุกข์ก็ต้องร่วมทุกข์สิ” 


 


 


“ฉันไม่อยากเล่นสนุกคนเดียวทั้งคืนหรอกนะ” 


 


 


“นายไปหาสวีอันหรานสิ เขาอยู่คนเดียวจะได้ไม่เหงา” 


 


 


“นายนั่งแช่อยู่แต่ห้องสมุดจนต้องพึ่งหนังสือต้องห้ามมาทำให้ตัวเองสำเร็จความใคร่แล้วเหรอ”  


 


 


เหยียนเค่อใช้หมัดชกลงบนแผงอกของเขา 


 


 


“ไสหัวไปเลย อย่ามาดูหมิ่นอาชีพฉันนะ” 


 


 


“นายต่างหากที่ดูหมิ่นอาชีพตัวเอง” 


 


 


สวีอันหรานนึกว่าสองคนนั้นจะเทพวกเขาเสียแล้ว มองดูทั้งสองคนที่เดินกอดคอกันเข้ามาแล้วก็มีคนหนึ่งยัดแก้วเหล้าใส่มือให้ก่อน 


 


 


“พวกเรามาถึงแล้วแต่ยังไม่ดื่ม เจ๋งปะ” เสิ่นจิ้งเฉินพูดเสียงระรื่น เอ่ยสองคำสุดท้ายขึ้นก่อนจะกรอกเหล้าลงปากอย่างกวนประสาท 


 


 


เหยียนเค่อยัดแก้วเหล้าใส่มือสวีอันหราน “นายช่วยฉันดื่มหน่อย” 


 


 


สวีอันหรานถือแก้วเหล้าไว้ในมืออย่างไม่รู้จะทำอย่างไร แค่กินเหล้าต้องขนาดนี้เลยเหรอ 


 


 


เหยียนเค่อมองสวีรั่วชีที่ยืนถือไม้แทงสนุกเกอร์อยู่ตรงนั้นก็เบ้ปาก “ญาติใครน่ะ? ฉันว่าจะสั่งเซอร์วิสก่อนแต่งงานให้นายสักหน่อย ทำไมถึงพาเมียมาด้วยล่ะเนี่ย” 


 


 


“หยุดคิดอะไรบ้าๆ” สวีอันหรานหยุดเขาไว้ “ซย่าเสี่ยวมั่วก็มา ร้องเพลงอยู่ตรงนั้นน่ะ” 


 


 


เหยียนเค่อหันกลับไปมองก็เห็นซย่าเสี่ยวมั่วกอดคอฉินซื่อหลานร้องเพลง จากใบหน้าไร้อารมณ์จู่ๆ ก็เจือไปด้วยรอยยิ้มบางเบา ดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ แต่สวีอันหรานและเสิ่นจิ้งเฉินต่างก็หลบเลี่ยงออกไป ประสบการณ์บอกเขาว่า พอความรู้สึกบางเบาเช่นนี้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหยียนเค่อทีไร เขาต้องปล่อยหมัดเด็ดทุกที 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 270 ปล่อยหมัดเด็ด 


 


 


“ฉันเล่นเป็นเพื่อนนะ” เหยียนเค่อหยิบไม้แทงจากอีกด้านหนึ่ง ให้บริกรที่อยู่ด้านข้างช่วยจัดการเกมที่ย่อยยับนี้ 


 


 


สวีรั่วชีมองเขาอย่างประหลาดใจ “วันนี้เอาสมองมาด้วยเหรอ” 


 


 


“เอามาสิ” 


 


 


เหยียนเค่อกลับไม่ได้โวยวาย แถมยังยิ้มหล่อละมุนตลอดเลยด้วย โลกใบนี้จะถึงคราวสิ้นสุดแล้วเหรอ เหยียนเค่อก็มีตอนที่ปกติเหมือนชาวบ้านเขาด้วย? 


 


 


สวีอันหรานอยากบอกสวีรั่วชีว่าอย่าไปแข่งกับเหยียนเค่อ ลองมาคิดๆ ดูแล้ว การที่เหยียนเค่อแสดงฝีมือแล้วนั้นไม่มีใครสามารถเทียบได้เลยจริงๆ ถ้าเขาไม่รังแกสวีรั่วชีคงต้องขอบคุณฟ้าดินแล้วล่ะ 


 


 


“เธอเปิดสิ” 


 


 


“นายเปิดสิ” สวีรั่วชีจ้องเขาอย่างสนอกสนใจ 


 


 


เหยียนเค่อก็ไม่เกี่ยงอีก แทงไม้หนึ่งครั้งเพื่อให้ลูกสนุกเกอร์กระจายตัวลงหลุมไปสามลูก ก่อนจะแทงต่อ 


 


 


บนโต๊ะสนุกเกอร์ส่งเสียงแทงลูกสนุกเกอร์ดังพลั่ก พลั่กไม่หยุด ชายรูปร่างสูงโปร่ง ท่าทางที่โค้งตัวลงแนวกับโต๊ะสนุกเกอร์นั้นช่างน่าหลงใหล นิ้วมือเรียวสวยวางอยู่บนไม้ อยู่ไม่ห่างจากโต๊ะตลอดการเล่น 


 


 


สวีรั่วชียืนเท้าไม้สนุกเกอร์มองดูเขาอย่างตกตะลึง ลูกสนุกเกอร์ที่อยู่ในตำแหน่งที่เล่นยากส่งเสียงพลั่กดังขึ้นเพราะเหยียนเค่อทำลูกกระโดดลงหลุมไปในทันที เหยียนเค่อเล่นจนหมดโต๊ะแล้วก็อยากจะแทงอีตัวลงหลุมไปด้วย แต่สุดท้ายก็ยั้งมือไว้ก่อน เอาชนะตานี้ไปได้อย่างสวยงาม 


 


 


“อย่าทำให้เสี่ยวชีของฉันโมโหนะเว้ย” สวีอันหรานเริ่มกังวลว่าสวีรั่วชีจะโดนเขารังแกจนร้องไห้ 


 


 


สวีรั่วชีมองดูสองคนตรงนั้นที่โหวกเหวกร้องเพลงปราดหนึ่งอย่างนึกสนุก ก่อนจะเริ่มเล่นตาใหม่กับเหยียนเค่อ 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินมองน้องสาวของตนยืนโอบไหล่ฉินซื่อหลานร้องเพลงอยู่บนโซฟาอีกด้านหนึ่ง 


 


 


“ยิ้มบางเบาดูจริงจัง จิตใจดีงามประดุจหยก สวมชุดสีฟ้าอ่อน” 


 


 


“ข้าน้อยฉินซื่อหลาน” ฉินซื่อหลานก็ร่วมร้องรับเป็นอย่างดี 


 


 


“เขาสะบัดพัดเบาๆ มุมปากแย้มยิ้ม งดงามหาใครเปรียบ” 


 


 


“ไม่ใช่แค่ชายรูปงามเท่านั้น ขอบใจที่ชม” 


 


 


“ไม่หรอกๆ” ซย่าเสี่ยวมั่วยังมีกะจิตกะใจมาตอบเขา 


 


 


“ชิงจิน[1]ใช้ชีวิตราวกับบทกวี แสดงความอาลัยในค่ำคืนอันเงียบสงัดได้โดยไม่ต้องมีตัวอักษรใด…ใครชนะใครแพ้ใครพูดใครงามสง่าใครจะคาดเดาได้” ฉินซื่อหลานอ่านเนื้อเพลงท่อนนี้อย่างรวดเร็ว 


 


 


“เอ๊ะ พี่สะใภ้ฉันเหรอ?” ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นคำว่า ‘ชิงจิน’ ก็อุทานออกมา เสิ่นจิ้งเฉินที่นั่งฟังพวกเขาร้องเพลงอยู่ด้านหลังก็หน้าเหยเก ยังดีที่ซย่าเสี่ยวมั่วยังร้องท่อนต่อไปได้อย่างมืออาชีพ เปลี่ยนเสียงเป็นองค์ชายที่มาดขรึม “สง่างาม เป็นที่ชื่นชอบของสาวน้อยมากมาย” และเปลี่ยนเป็นเสียงเด็กชายผู้เย่อหยิ่ง “ใครให้เขาคือฉินซื่อหลาน พี่ใหญ่ฉินของข้าล่ะ” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินพ่นเหล้าออกมาจากปาก โอ้พระเจ้าช่วย… 


 


 


“ฉินซื่อหลาน ทำดีมาก” ซย่าเสี่ยวมั่วเปลี่ยนเป็นเสียงผู้ชายที่ทุ้มขึ้น แถมยังเชยคางฉินซื่อหลานให้เข้ากับสถานการณ์ด้วย 


 


 


ฉินซื่อหลานก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำตามเธอด้วยการเปลี่ยนเป็นเสียงสาวน้อยผู้ร่าเริง “ชายหนุ่มแบบฉินซื่อหลาน ที่หัวมันหน้าขาวสิจึงจะดูดี” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วลูบหัวของฉินซื่อหลานแล้วพึมพำ “ก็ไม่มันนี่” 


 


 


ฉินซื่อหลานเกือบจะหลุดหัวเราะ เปลี่ยนเป็นเสียงของหญิงสาว “องค์ชายฉลาดหลักแหลม หาได้ยากยิ่งในใต้หล้า” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วที่แปลงเป็นเสียงผู้ชายกับฉินซื่อหลานที่กลับมาพูดด้วยเสียงปกติ ทั้งสองคนพูดขึ้นพร้อมกัน “แถมยังเป็นหนุ่มรูปงามอีกด้วยนะเนี่ย” 


 


 


“เมื่อเอ่ยถึงความอิสระ องค์ชายหันกลับมามอง ควบม้าจากไปไม่ถามถึงการเดินทางครั้งก่อน ไผ่หนึ่งกำ ดื่มด่ำกับฤดูใบไม้ร่วงนี้ โย่วๆ !” ร้องรัวท่อนนี้จนจบ ทันใดนั้นทั้งคู่ก็เปลี่ยนมาร้องแนวฮิปฮอป “เคารพท่านขุนนาง[2] yeah! yeah!” 


 


 


“พวกเขาทำแบบนี้จะไม่ขาดออกซิเจนจนช็อกเหรอ” เสิ่นจิ้งเฉินยกแก้วขึ้นดื่มน้ำ 


 


 


“ฉันว่าเหยียนเค่อใกล้จะช็อกแล้ว” สวีอันหรานเห็นเหยียนเค่อที่ฝนชอล์กบนไม้ไปพลางใช้สายตาเคร่งขรึมมองไปทางฉินซื่อหลาน “อย่าเอาไม้แทงเสี่ยวชีนะว้อย” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินกำลังเคาะจังหวะให้พวกของซย่าเสี่ยวมั่ว 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วหันกลับมายิ้มหวานให้เสิ่นจิ้งเฉิน โบกไมค์ในมือไปมา “เฮ้! มาสนุกด้วยกัน!” 


 


 


สวีอันหรานนึกเสียใจที่เรียกสวีรั่วชีมาด้วย สองด้านนั้นช่างเหมือนโลกของน้ำแข็งกับไฟเสียจริง 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ชิงจิน หมายถึงบัณฑิต 


 


 


[2] ตัวเอียงทั้งหมด มาจากเนื้อเพลง 《束竹令·记公孙策》ที่เขียนขึ้นเพื่อระลึกถึงซุนกงเช่อ เขียนเนื้อโดยอู๋จื่อ ขับร้องโดย HITA (ในเรื่องมีการดัดแปลงชื่อตัวละครจาก ซุนกงเช่อ เป็นฉินซื่อหลาน) 


ตอนที่ 271 หักมุม 


 


 


สวีรั่วชีโดนรุกฆาตจนไม่มีอารมณ์จะเล่นกับเหยียนเค่อแล้ว จึงยืนพิงอยู่ด้านข้างแล้วเอ่ยหยอกล้อ “นายเป็น ‘ตัวร้าย’ หรือไง ให้กำลังใจฉันหน่อยได้ไหมล่ะ?” 


 


 


เหยียนเค่อไม่พูดอะไร จ้องปลายไม้และลูกสนุกเกอร์อย่างตั้งอกตั้งใจ 


 


 


สวีรั่วชีจำต้องพูดกับตัวเอง ไม่สนใจปฏิกิริยาของเขาเลยสักนิด “ฉันว่าฉินซื่อหลานก็ดีอยู่…” 


 


 


พลั่ก! 


 


 


เสียงที่ดังขึ้นในคราวนี้ไม่ใช่เสียงแทงลูกสนุกเกอร์อันไพเราะ แต่เป็นเสียงที่ทั้งดังและทึบ 


 


 


โต๊ะสนุกเกอร์คุณภาพแย่อย่างนั้นเหรอ สวีรั่วชีมองรูตรงกลางที่โดนไม้แทงลงไป ก่อนจะหุบปากแล้วถอยตัวออกมาเงียบๆ น่ากลัวเกินไปแล้ว ผู้ชายที่มีความแค้นนี่ช่างน่ากลัวจริงๆ! 


 


 


ฉินซื่อหลานได้ยินเสียงดังขึ้นก็หันกลับมามอง จึงเห็นไม้สนุกเกอร์ที่อยู่ในตำแหน่งแปลกๆ รวมไปถึงเหยียนเค่อที่ยืนดื่มน้ำอย่างงามสง่าแล้วก็รู้สึกหวาดกลัวแปลกๆ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด เมื่อดื่มน้ำเสร็จก็ร้องเพลงกับฉินซื่อหลานต่อ ทำเอาเพลงแนวดนตรีจีนโบราณเละตุ้มเป๊ะไปหมด 


 


 


“เธอมาตั้งนานแล้วไม่คิดจะไปเดินดูตรงอื่นบ้างเหรอ” 


 


 


“ฉันกลัวว่าพอหมุนตัวแล้ว เอวจะลั่นขึ้นมาน่ะสิ” ซย่าเสี่ยวมั่วเอ่ยอย่างเจ็บปวด 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินหัวเราะท้องแข็ง “ยายบ๊องเอ๊ย ไปกินข้าวเร็ว” 


 


 


เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วเริ่มจะคุ้นเคยกับพวกเขาแล้วก็ไม่สนใจภาพลักษณ์อีกต่อไป ก้าวเท้าลงจากโซฟา ก่อนจะวิ่งไปที่โต๊ะอาหาร 


 


 


ผู้จัดการแผนกอาหารและเครื่องดื่มมาจัดการอาหารมื้อเย็นให้ หลังจากจัดทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วก็ยืนอยู่ข้างๆ คอยบริการเจ้านายกลุ่มนี้ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่ววิ่งเข้ามาก็เห็นเหยียนเค่อ จึงโบกมือทักทายเขาอย่างอารมณ์ดี “นายเหยียนปัญญาอ่อน!” 


 


 


เหยียนเค่อไม่สนใจเธอ ก่อนจะนั่งลงที่ตำแหน่งที่ห่างออกไป 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเหลือบตามองปราดหนึ่ง เธอไม่เข้าใจ เป็นอะไรของเขาอีกล่ะเนี่ย? จึงหันไปคุยเล่นกับฉินซื่อหลานและเสิ่นจิ้งเฉิน 


 


 


สวีอันหรานลากสวีรั่วชีมานั่งลงอีกฝั่งหนึ่ง เซ่าหมิงฟ่านที่ขึ้นไปดูดาวเดินลงมาจากด้านบน มองดูการนั่งที่แบ่งออกเป็นสามส่วนแล้ว จึงเลือกที่จะไปนั่งกับเหยียนเค่อ 


 


 


“ทำไมมานั่งคนเดียวล่ะ โดนว่ามาเหรอ” เซ่าหมิงฟ่านเห็นเขาสีหน้าเรียบนิ่งก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เหยียนเค่อตอนยิ้มกับไม่ยิ้มกลายเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะสีหน้าแบบนี้น่ะ…คนที่ไม่คุ้นเคยต่างก็มองไม่ออกว่าเขามีความสุขหรือไม่กันแน่ 


 


 


“เปล่า คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ” เหยียนเค่อยื่นแก้วเหล้าที่วางอยู่ใกล้ๆ กันให้เขา “ช่วงนี้เหนื่อยแย่เลยสินะ” 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านโดนทำดีด้วยก็ตกตะลึง รีบโบกมือ “ไม่เหนื่อยหรอกน่า” 


 


 


นี่มันเกิดอะไรขึ้น? จากเซียวเป่าเจวี้ยน[1]กลายเป็นหลี่ซื่อหมิน[2]งั้นเหรอ? ทำไมถึงเปลี่ยนไปจนน่ากลัวเช่นนี้ล่ะ 


 


 


“นายหายเจ็บแล้วเหรอ” 


 


 


“ยังเลย” สายตาของเขาจับจ้องไปที่กุ้งมังกรในมือ นิ้วเรียวยาวขยับไม่นานนักก็แกะกุ้งมังกรขนาดฝ่ามือจนเสร็จก็โยนลงจานของเซ่าหมิงฟ่านที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ก่อนจะใช้ผ้าร้อนเช็ดมือตัวเองทุกซอกทุกมุม 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านตกตะลึงไปแล้วจริงๆ ถือแก้วไว้ในมือไม่กล้าขยับ ทำไมเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ควรเดินเข้ามานั่งกันนะ 


 


 


คู่ของสวีอันหรานกับสวีรั่วชีพูดคุยหยอกล้อกัน แต่ในขณะนั้นก็รอดูเรื่องสนุกที่จะเกิดขึ้นด้วย ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเหลือบตามองเหยียนเค่อ เหยียนเค่อเมนส์มาหรือเปล่านะ มองไปนานๆ เข้าก็ถูกอาหารที่เสิ่นจิ้งเฉินตักมาวางไว้ในจานดึงดูดความสนใจไปจนหมด 


 


 


ช่างเขาปะไร เหยียนเค่ออารมณ์เสียเหมือนเมนส์มาบ่อยจะตาย แต่กุ้งมังกรตัวใหญ่ไม่ได้มีมาบ่อยๆ หรอกนะ เธอกินกุ้งที่เสิ่นจิ้งเฉินแกะให้ด้วยความสมัครใจ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าหญิง 


 


 


“ไอ้หนูเสิ่น ฝีมือดีนะเนี่ย” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินเช็ดมือแล้วเขกลงบนหัวเธอ “พูดให้มันดีๆ หน่อย” 


 


 


“พี่จิ้งเฉิน กินผักค่ะ” ซย่าเสี่ยวมั่วคีบผักปวยเล้งมาชิดริมฝีปากของเสิ่นจิ้งเฉิน ส่วนเสิ่นจิ้งเฉินก็ไม่รังเกียจน้ำลายของน้องสาวตนเลยแม้แต่น้อย อ้าปากรับคำโต 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านกำลังคิดในใจว่าเสิ่นจิ้งเฉินไปสนิทสนมกับซย่าเสี่ยวมั่วขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร แต่ความรู้สึกเย็นบนกางเกงในวินาทีต่อมาก็เรียกให้เขาออกจากความคิดนั้น 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] เซียวเป่าเจวี้ยน จักรพรรดิของแคว้นฉีในสมัยราชวงศ์เหนือใต้  


 


 


[2] หลี่ซื่อหมิน หรือจักรพรรดิถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง  


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 272 คนแก่มือสั่น 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านได้ยินเสียงแก้วแตกเสียดหู และกางเกงของเขาก็กลายเป็นของฝังร่วม 


 


 


“ไอ้ฉิบหาย บ้าไปแล้วหรือไงวะ!” 


 


 


เหยียนเค่อโยนผ้าขนหนูลงบนขาของเขา “จัดการเองนะ” 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านร้องไห้จ้า ใช้ผ้าขนหนูปิดส่วนลับของตัวเองแล้ววิ่งขึ้นไปชั้นบนเพื่อเปลี่ยนกางเกง 


 


 


สวีอันหรานหันมามองปราดหนึ่ง ตอนแรกนึกว่าในมือของเหยียนเค่อคือไวน์องุ่น แต่สวีรั่วชีก็ด่าขึ้นมาเสียก่อน “บ้าไปแล้ว!” วิ่งไปเช็ดมือให้เขาจนสะอาดแล้วห่อเอาไว้ 


 


 


“นายคงไม่ได้บีบจนแหลกคามือหรอกนะ” สวีอันหรานพูดเยาะเย้ยอยู่ข้างๆ 


 


 


เหยียนเค่อแก้ผ้าขนหนูที่ทั้งโง่เง่าและน่าเกลียดนี่ออก ปรากฏให้เห็นบาดแผลขนาดเล็กที่เผลอทำบาดโดยไม่ทันระวัง “ฉันดูโง่เง่าขนาดนั้นเลยเหรอ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนเสิ่นจิ้งเฉินกับฉินซื่อหลานก็เดินเข้าไปดู 


 


 


“ไม่เป็นไรใช่ไหม เดี๋ยวฉันฆ่าเชื้อให้” ฉินซื่อหลานหยิบกล่องปฐมพยาบาลที่ผู้จัดการเตรียมไว้ให้มา 


 


 


เหยียนเค่อยื่นมือออกไป ก่อนจะอธิบายอย่างไม่ยี่หระ “เมื่อกี้ไม่ทันระวังเลยกระแทกแก้วลงบนโต๊ะ เซ่าหมิงฟ่านสภาพแย่กว่าอีก” 


 


 


ถึงเซ่าหมิงฟ่านจะสภาพแย่กว่านี้แต่พวกเขาก็ไม่กล้าพูดอะไร เหยียนเค่อพอใจก็พอแล้ว… 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเดินเข้าไปมองดูปราดหนึ่ง ฝ่ามือของเหยียนเค่อเป็นรอยบาดขนาดประมาณสามเซนติเมตรก็ค่อนแคะในใจ โถ เหยียนเก๋อเก๋อผู้บอบบาง 


 


 


เหยียนเค่อเห็นสีหน้าของซย่าเสี่ยวมั่วก็รู้ว่าในใจเธอคิดอะไรอยู่ แอบขบฟันเงียบๆ ซย่าเสี่ยวมั่ว ทางที่ดีอย่าตกมาอยู่ในกำมือของฉันก็แล้วกัน 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกลับไปนั่งตามเดิม กินอาหารต่อไปในขณะที่ทุกคนต่างล้อมมุงดูเหยียนเค่อ 


 


 


ทันใดนั้นในหัวก็มีคำพูดหนึ่งผุดขึ้นมา ‘มีคนประเภทหนึ่ง ต่อให้เขาอยู่ในมุมที่มืดมิดที่สุด ก็ดับแสงสว่างในตัวของเขาไม่ได้ ทำให้สายตาสามารถจับจ้องไปที่เขาได้ภายในแวบแรกที่เห็น’ 


 


 


เหยียนเค่อคือคนประเภทนั้น เขาไม่ต้องการให้คนมาโอ๋มารัก แต่ทุกคนต่างก็ยินยอมที่จะมอบความรักให้แก่เขา 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองดูผู้ชายสามคนที่ยืนล้อมอยู่แล้วโอดครวญ มีแต่พวกทาสเพื่อนทั้งนั้น 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านโดนเหยียนเค่อเอาเหล้าราดก็รู้สึกท้อแท้ใจ จึงไปอาบน้ำก่อนจะเปลี่ยนกางเกงตัวใหม่ 


 


 


คนที่มุงล้อมเหยียนเค่ออยู่ต่างก็แยกย้ายกลับไปนั่งที่แล้ว เมื่อเซ่าหมิงฟ่านกลับมาก็ลากเก้าอี้ออกห่างจากเหยียนเค่อ สายตากวาดมองมือขวาของเขาที่พันด้วยผ้าพันแผลสีขาวแล้วก็อดสบถคำหยาบต่อว่าออกมาไม่ได้ “นายสาดเหล้าใส่ฉันแล้วโยนแก้วทิ้งนี่นา ยังทำให้ตัวเองเจ็บตัวด้วยเหรอเนี่ย” 


 


 


เหยียนเค่อที่โดนเปิดโปงความผิดก็ไม่ได้รู้สึกละอายใจเลยแม้แต่นิด “อืม มือลื่นน่ะ” 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านขยับออกห่างจากเขาอีก ใครจะรู้ว่าเขาจะเผลอมือลื่นแก้แค้นกันอีกหรือเปล่า 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเอ่ยขึ้นเสียงเบา “คนแก่อะนะ มือก็สั่นเป็นธรรมดา พวกเราต้องเข้าใจเขาหน่อย” 


 


 


มือที่ยกแก้วน้ำขึ้นของเหยียนเค่อหยุดชะงักลง ใบหน้าเรียบนิ่ง ความดุร้ายแผ่ซ่านไปทั้งร่าง 


 


 


“แค่กๆ” สวีรั่วชีสำลักเนื้อปลาจนไอโขลก น้ำตาแทบไหล 


 


 


“กินช้าๆ หน่อย” สวีอันหรานลูบหลังเธอเบาๆ แต่แอบหัวเราะในใจ 


 


 


เหยียนเค่อเป็นคนที่ปากร้ายที่สุดในบรรดาพวกเขา การด่าเหยียนเค่อเท่ากับหาเรื่องให้โดนด่า ตอนนี้มาเจอซย่าเสี่ยวมั่วที่ปากร้ายยิ่งกว่าเหยียนเค่อแล้ว เห็นเขาโดนด่าก็สะใจดีเหมือนกัน… 


 


 


“ก็ยังดีกว่าคนแก่บางคนที่อายุปูนนั้นแล้วแต่ยังแอ๊บเด็กละกัน” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วไม่สนใจเขา ไม่คิดว่าคนนั้นจะหมายถึงตัวเองเลยแม้แต่น้อย 


 


 


เหยียนเค่อรู้สึกหมดแรงราวกับปล่อยหมัดลงบนปุยนุ่น ยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นชนกับเซ่าหมิงฟ่าน 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านกระดกเหล้าลงไปเยอะแล้วก็อยากเทน้ำเปล่ากินบ้าง แต่เมื่อถูกสายตาเย็นชาของ 


 


 


เหยียนเค่อตวัดมองก็วางแก้วลง ก่อนจะหันไปเทเหล้าขาวลงแล้วดื่มต่อ 


 


 


วันนี้เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงเลือกที่จะมานั่งกับเหยียนเค่อ นี่มันช่วงเวลาทรมานกันชัดๆ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม