ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง 265-272

 ตอนที่ 265 ทรงเสน่ห์ตั้งแต่เกิด


 



ดูละเอียดเสียจริง เฝิงเยี่ยไป๋คิด ทูลอย่างไม่รีบร้อนว่า “กระหม่อมเพียงรู้สึกว่าที่บรรดาใต้เท้าพูดนั้นล้วนมีเหตุผล เพียงแต่ฝ่าบาทจะทรงฟังทุกคนก็ไม่ได้ ตอนแรกก็คิดจะแบ่งเบาภาระให้ฝ่าบาท เพียงแต่กระหม่อมร้างราจากงานในราชสำนักมานาน เรื่องการทหารก็ยิ่งจนปัญญา โปรดทรงอภัยให้กระหม่อมที่มิอาจแบ่งเบาภาระให้ฝ่าบาทได้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เขาใช้การที่ตนจากไปสิบกว่าปีนี้มาเป็นข้ออ้าง ฮ่องเต้ย่อมไม่อาจทำอะไรเขาได้ ตรงกันข้าม หากเขาสามารถเสนออะไรออกมาได้ ฮ่องเต้กลับจะสงสัยขึ้นมาเสียอีกว่าเขาคิดไม่ซื่อ เพียงแต่ฮ่องเต้ก็ยังคงไม่เชื่อว่าในหัวเขาจะไม่มีความคิด เขามีความคิดมากมายเท่าไรก็จะเผยต่อพระพักตร์ไม่ได้ ในเมื่อถามตรงๆ แล้วไม่ได้ความ เช่นนั้นแล้วก็ได้แต่แอบสืบแล้ว


 


 


“หากเจ้าพูดเช่นนี้ เราก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าก็กลับไปเสียเถิด กลับไปแล้วคิดให้ดีๆ เรายังคงมั่นใจในตัวเจ้าอยู่”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋คิดว่าฮ่องเต้จะยังหาเรื่องเขาอีก ความคิดนับร้อยพันวนเวียนในหัว แต่สีหน้าก็ยังคงไม่เปลี่ยน แสร้งพูดชมเอาใจอยู่เล็กน้อย ก็ถอยออกจากตำหนักไท่เหอไป


 


 


ฮ่องเต้เหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก คิดอย่างไรก็คิดหาทางออกไม่ได้ จึงรับสั่งให้เรียกพั่งไห่มาแล้วถามด้วยสีหน้ากังวลว่า “เรื่องที่เราสั่งให้เจ้าทำเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”


 


 


พั่งไห่โค้งคำนับแล้วคุกเข่าลงพื้น “ทูลฝ่าบาท ฝ่าบาทวางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ ได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนได้พบหน้ากันแล้ว ดูแล้วภาพลักษณ์ก็ไม่แย่”


 


 


ฮ่องเต้ตอบอืมเบาๆ “เรื่องนี้เจ้าดูแลให้เราดีๆ หน่อย รีบร้อนเกินไปไม่ได้ แต่จะให้ไม่คืบหน้าเลยก็ไม่ได้ ตอนนี้มีเรื่องหนึ่ง เจ้ารีบไปสั่งนาง ให้สืบเบื้องลึกของเขามาให้เราจงได้ ให้นางหาโอกาสแล้วปีนขึ้นไป รอให้งานเสร็จ รางวัลของนางย่อมไม่น้อยแน่นอน”


 


 


พั่งไห่ทูลว่า “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรับทราบ กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้”


 


 


เหล่าผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่ทรงเสน่ห์ตั้งแต่เกิดนั้น เกิดมาก็เป็นยาอย่างหนึ่งแล้ว กินเข้าไปทำเอาหลงหัวปักหัวปำได้ แยกซ้ายขวาหน้าหลังไม่ออก ก่อนหน้านี้เคยได้พบกันรอบหนึ่งแล้ว เมื่อมีจุดเริ่มที่สมเหตุสมผล จะพบกันอีกครั้งก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปตามครรลองหรอกหรือ


 


 


ฮ่องเต้นั้นรีบร้อนเกินไป ไม่เช่นนั้นหมากดีๆ เช่นนี้ เก็บเอาไว้ปล่อยสายเบ็ดให้ยาวเพื่อจะตกปลาตัวใหญ่[1]ไม่ดียิ่งกว่าหรือ พั่งไห่เห็นกับตาตัวเอง ตั้งแต่ที่ฮ่องเต้เอาราชโองการจากไทเฮากลับมาแล้วเปิดดูนั้น สีพระพักตร์ก็เปลี่ยนไปทันที แถมยังสั่งให้เขาไปที่กรมความลับทหาร ถามว่ามีของที่ฮ่องเต้องค์ก่อนเหลือเอาไว้หรือไม่ กรมความลับทหารตอบอย่างไร ย่อมไม่มีแน่นอน เขาจึงกลับมาทูลฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็ทำท่าเหมือนกำลังจะเจอศัตรูเช่นนั้น ราชโองการไม่เผา กลับเก็บไว้ดีๆ เสียอีก


 


 


เขาเองก็คาดเดา หรือว่าที่เขียนอยู่ข้างในนั้นจะเป็นชื่อของเฝิงเยี่ยไป๋จริง แต่พอมาคิดอย่างละเอียดแล้วก็ไม่ถูกอีก หากเป็นชื่อของเฝิงเยี่ยไป๋จริง ฮ่องเต้คงเผาราชโองการไปนานแล้วจากนั้นก็สั่งประหารเฝิงเยี่ยไป๋ ไฉนถึงได้ให้เขาเข้าท้องพระโรงเพื่อหารือราชกิจอีก


 


 


เพียงแต่เดาคือเดา ตอนนี้เรื่องยังไม่ชัดเจน เดาไปก็เสียเปล่า ทำงานของตนเองให้ดีๆ เสีย ขยันปรนนิบัติอยู่ข้างพระกายฮ่องเต้ ฉวยโอกาสเหมาะไต่เต้าขึ้นไป อำนาจเงินทองย่อมไม่น้อยแน่นอน


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ออกจากประตูวังไปก็ไม่ได้ตรงกลับจวน วันนี้ตอนเช้าก็เพิ่งตัดศีรษะขุนนางที่ออกมากราบทูลไป เหล่าขุนนางทั้งสำนักต่างหวาดผวา พอเลิกราชกิจก็คงต้องรวมตัวกันพูดคุยกันอีก รวมตัวกันอยู่ในบ้านถูกคนนินทาได้ง่ายนัก หากวันใดโชคไม่ดี ถูกตั้งข้อหาว่ารวมตัวก่อกบฏจะแย่เอา อยู่ข้างนอกยังจะดีเสียกว่า ไม่ต้องหลบใคร มีเรื่องอะไรจัดการก็ง่าย


 


 


ผู้ดูแลไปรับเขาด้วยตัวเอง เขามองผู้ดูแลเหมือนคิดอะไรอยู่ ก่อนจะสั่งให้พาไปยังหอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง


 


 


 


 


——


 


 


[1] ปล่อยสายเบ็ดให้ยาวเพื่อจะตกปลาตัวใหญ่ เป็นสำนวนจีนหมายถึง วางแผนระยะยาวโดยไม่รีบหวังผล เพื่อให้ได้รับประโยชน์ที่มากยิ่งขึ้น


 


 


 


 


ตอนที่ 266 เที่ยวหอนางโลม


 


 


 


 


ผู้ดูแลเองก็เป็นคนที่ฉลาด แต่เดิมเคยเป็นขันทีที่ทำงานอยู่ที่กองพระภูษา เพราะทำงานฉลาดว่องไว จึงถูกพั่งไห่เลือกมาปรนนิบัติที่จวนอ๋อง ตอนที่มาคนผู้นั้นได้สั่งเอาไว้ บอกว่าเป็นราชโองการของฮ่องเต้ ให้เขาเฝ้าจับตาเฝิงเยี่ยไป๋ตลอดเวลา หากมีความเคลื่อนไหวอะไรก็ให้รายงานทันที เพียงแต่ตอนนั้นยังเป็นเวลาที่เฝิงเยี่ยไป๋ยังไม่ได้เข้าร่วมราชกิจ ตอนนี้เฝิงเยี่ยไป๋เข้าร่วมราชกิจแล้ว ต้องปรนนิบัติอย่างระวังทุกๆ ด้าน ข่าวในวังกระจายเร็วนัก เรื่องที่ขุนนางถูกตัดศีรษะตอนเช้าเพราะเฝิงเยี่ยไป๋นั้น ไม่ทันไรก็แพร่กระจายไปทั่วแล้ว ฮ่องเต้นั้นคิดอะไรอยู่ก็ไม่พูดกับคนข้างล่าง สุดท้ายแล้วที่ลำบากก็ยังคงเป็นคนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างล่าง


 


 


พั่งไห่ยังไม่ทันได้มาส่งข่าว เขาเองก็ไม่มีความมั่นใจ กลัวว่าถึงเวลาจะถูกฮ่องเต้นำไปประหารอีก จึงได้แต่ปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง ได้ยินเขาพูดอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋เท้าศอกยันศีรษะไว้หลับตา จู่ๆ ก็นึกถึงเฉินยาง เขาตกใจแล้วลืมตาขึ้น หัวใจเต้นตึกตัก หากนางรู้ว่าตัวเองไปหอนางโลมแล้วจะตอบสนองอย่างไร ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้นางอยู่ในจวนทำอะไรอยู่ ไม่มีใครเล่นเป็นเพื่อนนาง ตัวนางเองก็น่าจะเบื่อหน่ายเต็มทนแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปจะต้องป่วยแน่ๆ เขายิ่งคิดก็ยิ่งไม่สงบ จึงเปิดม่านรถแล้วถามผู้ดูแลว่า “วันนี้พระชายาอยู่ที่จวนทำอะไรบ้าง ตอนที่เจ้าออกมานางทำอะไรอยู่”


 


 


ผู้ดูแลตอบ “พระชายาตอนเช้าไปเยี่ยมท่านหมออิ๋งโจว ทั้งสองคนนั่งอยู่ที่สวนคุยกันเล็กน้อย พระชายาดูแล้วท่าทางดีใจพอสมควร หลังจากกลับจากท่านหมออิ๋งโจวนั้นก็เดินเล่นอยู่ในจวนคนเดียว วันนี้อากาศร้อน ไม่ทันไรก็กลับไปแล้ว หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดก็กินขนมดื่มชา จากนั้นก็หลับอยู่ตลอด เมื่อครู่ตอนที่ข้าน้อยออกมาพระชายาก็ตื่นแล้ว บอกว่าจะรอท่านอ๋องกลับไปกินข้าว ดูแล้วท่าทางร้อนรนไม่น้อย”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ถอนหายใจเบาๆ น่าเสียดายนัก นางรอเขากลับไปกินข้าว ตอนนี้เขากลับจะไปที่หอนางโลม ถึงกับผิดต่อความตั้งใจของนาง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อนาง จึงสั่งอีกว่า “ส่งคนกลับไปบอกพระชายา บอกว่าข้าไม่กลับไปกินข้าวแล้ว ให้นางกินไปก่อน กินเสร็จแล้ว ก็ให้คนปรนนิบัตินางพักผ่อนเสียเถอะ”


 


 


ผู้ดูแลขานรับ คิดไปแล้วสองคนนี้ก็เป็นสามีภรรยาชาวบ้านมาก่อน ความผูกพันไม่เหมือนกันจริงๆ ไปหอนางโลมหาแม่นางยังต้องกลับไปแจ้งที่จวนอีก เพียงแต่ไม่รู้ว่าพระชายาท่านนั้นอายุน้อย ใจจะแคบด้วยหรือไม่ เมื่อวานทั้งสองคนเพิ่งจะทะเลาะกัน ความเคลื่อนไหวในห้องไม่น้อย ได้ยินว่าต้นเหตุเหมือนจะมาจากท่านหมออิ๋งโจว ก็ไม่รู้ว่าคราวนี้จะทะเลาะอีกหรือไม่


 


 


หอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงนั้นชื่อว่าฉื่อเจียนฝูเซิง(ลอยล่องท่องโลกา) เพียงแค่ได้ยินชื่อก็รู้สึกสง่าแล้ว ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่ชื่อสง่า การตกแต่งที่อยู่ข้างในก็ดีที่สุดในเมืองหลวง ที่นี่มิได้ต้อนรับเพียงผู้ชายเท่านั้น แม้แต่ผู้หญิงก็ต้อนรับเช่นกัน ไม่ว่าคุณหนูหรือฮูหยินของตระกูลร่ำรวยก็มาอยู่บ่อยๆ บ้างก็มาดื่มชาชมละคร บ้างก็มาจับชู้ตรงๆ เพียงแต่เรื่องจับชู้นี้มีไม่บ่อยนัก เถ้าแก่หอนางโลมนี้จัดการเรื่องนี้ได้เก่งนัก ชั้นหนึ่งชั้นสองต้อนรับลูกค้าเพียงดื่มชาชมละคร ชั้นสามถึงจะเป็นโลกเสเพล ที่ตรงนั้นถึงจะเป็นที่ที่ผู้หญิงห้ามเข้า ไม่สนว่าจะเป็นฮูหยินบ้านใด ล้วนไม่ให้เข้าทั้งสิ้น ผู้ที่มาที่นี่ ในสิบคนมีห้าคนเป็นข้าราชการ แม้ราชสำนักจะมีกฎอย่างชัดเจนว่าห้ามข้าราชการมาสถานเริงรมย์ เพียงแต่ราชสำนักไม่ได้มีข้าราชการที่ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ พอห้ามไม่ไหว ต่างก็รู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่ไม่พูดออกมาเท่านั้น


 


 


ไปดูเสียหน่อยก็ดี ในวังระเบียบมีมาก พูดจาก็ต้องระวัง ข้างนอกไม่เหมือนกัน ได้ยินคำพูดที่เป็นความจริงแท้ที่ไม่ได้ยินในวังอยู่มากมาย




ตอนที่ 267 ไม่ชอบผู้หญิงพูดมาก


 


 


 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ยังไม่ถอดชุดทางการออก หากไปทั้งเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ประหลาด ยังจะทำให้คนอื่นระแวงง่ายๆ ยังดีที่ข้างหน้าก็มีร้านเสื้อผ้าอยู่ร้านหนึ่ง เขาให้ผู้ดูแลซื้อชุดตามขนาดตัวของเขา พอเปลี่ยนเสร็จถึงไปที่ฉื่อเจียนฝูเซิง


 


 


คนต้อนรับที่ทำงานอยู่ในฉื่อเจียนฝูเซิงล้วนเป็นวัยรุ่นที่สายตาแหลมคม เห็นผู้มีอำนาจที่แต่งตัวดูดีอยู่บ่อยๆ มองคนก็แม่น รู้ว่าเฝิงเยี่ยไป๋ต้องมีฐานะสูงส่ง บนใบหน้าจึงยิ้มมากขึ้นอีก โค้งตัวเชิญเขาเข้ามาข้างใน “นายท่าน ท่านมากี่คน ไปชั้นใดหรือขอรับ”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋กวาดตามองดูรอบๆ ไม่เห็นคนที่คุ้นหน้า เขาไม่ตอบแล้วเดินไปที่ชั้นสอง ชั้นสองก็เป็นผู้หญิง ในเมื่อชั้นหนึ่งชั้นสองก็ไม่มีเช่นนั้นแล้วก็อยู่ที่ห้วงความสุขแล้ว เขาเหลือบมองคนต้อนรับคนนั้นแล้วพูดว่า “ไปชั้นสาม”


 


 


คนต้อนรับแม้จะรู้สึกแปลก แต่ก็ไม่ได้คิดมาก คนต้อนรับนำเขาไปที่ชั้นสามแล้วคุยกับแม่เล้าที่ชั้นสามเสร็จ ก็หันหลังลงไปทำงานต่อแล้ว


 


 


แม่เล้าพอได้เห็นเฝิงเยี่ยไป๋ก็ยิ้มขึ้นมาทันที คนที่หน้าตาดีเช่นนี้ร้อยปียากจะได้เจอสักครั้ง อีกอย่างเพียงมองความมั่งคั่งทั้งตัวของเขานั้นหนีไม่พ้นต้องเป็นคนร่ำรวยแน่ๆ แม่เล้าจึงรีบเข้าไปต้อนรับ แล้วลูบเนื้อผ้าที่เขาใส่อยู่ อื้อหือ! ยังเป็นเนื้อผ้าชั้นดีอีก คนนี้ร่ำรวยยิ่งนัก ดูไปแล้วก็ไม่ใช่ลูกค้าประจำ คราวนี้ได้เชือดแน่ๆ


 


 


“นายท่าน ท่านมาที่นี่ครั้งแรกกระมัง ข้าจะบอกท่านให้ พวกเรานี้…”


 


 


ยังไม่ทันได้พูดจบก็ถูกเฝิงเยี่ยไป๋ยกมือตัดบทเสียก่อนแล้ว ตอนนี้ในที่สุดเขาก็ได้เห็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา แต่ละคนข้างกายล้วนมีแม่นางอยู่คนหนึ่ง ท่าทางทรงเสน่ห์เช่นนั้น เกรงว่าวิญญาณก็คงถูกลากไปเสียแล้วกระมัง


 


 


เขาชี้ไปยังที่นั่งด้านหลังพวกเขาในแนวเฉียงแล้วบอกแม่เล้าว่า “ข้านั่งที่นี่”


 


 


แม่เล้าอ้ำอึ้งเล็กน้อย รีบนำเขาไปแล้วถามอีกว่า “นายท่าน แม่นางของพวกเราแต่ละคนล้วนสะสวยเหมือนนางฟ้า ท่านจะไม่เลือกสักคนเลยหรือเจ้าคะ”


 


 


ก็จริง มาหอนางโลมแต่ไม่เลือกแม่นางกลับจะทำให้คนสงสัยได้ เขาเคาะโต๊ะ ชะงักไปเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เลือกคนที่ไม่พูดมากมา ตอนออกไปให้ปล่อยม่านที่ประตูลงด้วย”


 


 


แม่เล้าอ้าปากถามเขาด้วยความสงสัยว่า “นายท่าน ท่าน… ท่านไม่เลือกเองสักหน่อยเลยหรือ”


 


 


เลือก? เขาไม่ได้จะมาเที่ยวหอนางโลมจริงๆ ให้มีคนอยู่ข้างกายพอให้กลบเกลื่อนไปได้ก็พอแล้ว ยังจะเลือกอะไรอีก เขาสะบัดมือไล่ด้วยความหงุดหงิด สีหน้าเริ่มไม่ดีขึ้นมา “ให้เจ้าไปก็ไป จะมัวพูดมากอะไรอีก ไสหัวไป!”


 


 


“เจ้าค่ะๆ นายท่านได้โปรดหายโกรธก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะไสหัวไปเดี๋ยวนี้”


 


 


หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงมีใจอยากจะเลือกเสียหน่อย เพียงแต่ตอนนี้ คนงามเพียงไรในสายตาของเขาก็เหมือนกันหมด ล้วนมีสองตาหนึ่งจมูกหนึ่งปาก นอกจากเฉินยางอาจจะยังน่าดูอยู่บ้างแล้ว คนอื่นนั้น สวยก็สวยไม่เท่าไรนักหรอก


 


 


แม่เล้าเห็นท่าทางดุร้ายของเขา ก็ไม่กล้าปรนนิบัติไม่ดี นางหาคนที่ปกติพูดน้อยแล้วให้ยกเหล้ากับอาหารเข้าไปปรนนิบัติ ฝ่ายแม่นางผู้นี้เมื่อได้ยินว่านายท่านผู้นี้อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ในใจจึงรู้สึกกลัว ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปนั้นยังรู้สึกกังวล เพียงแต่พอเข้าไปแล้วได้เห็นหน้า จิตใจแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แอบรู้สึกดีอยู่ลึกๆ ด้วยซ้ำ นายท่านที่มาวันนี้หน้าตาดีอย่างยากจะได้เห็นนัก แทบจะตะลึงไปในบัดดล นางลูบผมเล็กน้อย แล้วรินเหล้าให้เขา “นายท่าน ข้าน้อยชื่อเซียงจือ ไม่ทราบนายท่านมีนามว่าอะไรหรือ”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ไม่แม้แต่จะมองนาง เพียงทำเสียงชู่ใส่นาง “อย่าพูด ข้าไม่ชอบผู้หญิงพูดมาก”


 


 


เซียงจืออึ้งเล็กน้อย ไม่พูด ไม่พูดแล้วจะปรนนิบัติเขาได้อย่างไรกัน


 


 


 


 


——


 


 


ตอนที่ 268 แม่นางน้อย


 


 


 


 


โต๊ะของเฝิงเยี่ยไป๋นี้ห่างจากโต๊ะของพวกนั้นเพียงไม่กี่ฉื่อ[1] คนเหล่านั้นดื่มเหล้าไปแถมยังมีหญิงงามนั่งอยู่ข้างๆ พอคนหนึ่งเริ่มหัวข้อขึ้นมาก็แข่งกันพูด มีอะไรก็พูดออกมาเสียหมด คนหนึ่งพูดถึงคนที่ถูกตัดศีรษะวันนี้ จึงจุ๊ปากพูดว่า “ความคิดฝ่าบาทยากจะคาดเดาเสียจริงเลย ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองเสนอเช่นนี้ ก็เท่ากับให้เหตุผลฝ่าบาทที่จะใช้ประหารเฝิงเยี่ยไป๋ คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วกลับถูกประหารเสียเอง”


 


 


อีกคนก็พูดต่อว่า “ใต้เท้าหวังตายได้ที่เสียจริง ก่อนจะตายก็ได้ปูทางให้พวกเรา จะน้ำลึกน้ำตื้นนี้ในใจพวกเราก็จะได้เดาถูก ตามที่ข้ามอง ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทมีอะไรกับไทเฮาหรอกนะ… หืม ไม่เช่นนั้นไฉนถึงได้กลับคำพูดให้เฝิงเยี่ยไป๋เข้าร่วมราชกิจเล่า อีกอย่าง แม้ไทเฮาจะมีอายุแล้ว เพียงแต่ความงามก็ยังคงอยู่ ไม่แน่อาจจะถูกตาต้องใจมากยิ่งกว่าเสียอีก พวกเจ้าว่าใช่หรือไม่ ฮ่าๆๆ !”


 


 


“ตอนงานชุมนุมใหญ่ครั้งนั้น พวกเจ้าเห็นไทเฮาหรือไม่ นั่งอยู่กับเหล่าสนมของฝ่าบาทไม่แพ้พวกนางเลย กลับเผยกลิ่นอายที่แตกต่างออกมาเสียอีก จุ๊ๆ มองแล้วช่างยากเกินจะห้ามใจเสียจริง ยังมีเฝิงเยี่ยไป๋นั่นอีก ว่าแล้วต้องสืบทอดความงามจากแม่ของเขา งามจนล่มทั้งแคว้นได้เลย อีกอย่างหน้าตาเขานั้นอ่อนเยาว์เสียอย่างกับอะไรดี วันนี้ตอนอยู่ที่ท้องพระโรงนั่น ข้าอยู่ใกล้เขามากที่สุด พอเหลือบไปมองเขา ใบหน้าขาวผ่องนั้นแดงเรื่อเล็กน้อย เหมือนดั่งแม่นางน้อยเช่นนั้น”


 


 


พอคำพูดนี้ออกมา ทั้งโต๊ะก็หัวเราะครืนขึ้นมา เฝิงเยี่ยไป๋แอบบีบจอกเหล้าในมือตนเอง คนพวกนี้บังอาจนัก คำพูดอะไรก็พูดออกมาได้ ไม่ได้คิดดูเลยว่าตัวเองเพิ่งจะรอดชีวิตกลับมาจากท้องพระโรงจะรอดไปจนถึงพรุ่งนี้ได้หรือไม่ แสร้งทำตัวเป็นคนดี ที่แท้ก็เป็นพวกต่ำช้า แม้แต่เขาก็ยังกล้านินทา เขาแค้นจนกัดฟันกรอด มือออกแรงมากไป จอกดีๆ ใบหนึ่งถึงกับถูกบีบจนแตกไปเลย


 


 


เซียงจือผวา ในใจคิดว่า ที่หมัวหมัวพูดไม่ผิดจริงๆ คนผู้นี้อารมณ์ไม่ดีนัก หนำซ้ำดูไปแล้วยังเป็นคนที่มีวิชา จอกเหล้าเพียงบีบก็แตกได้ ช่างน่าตกใจเสียจริง นางตั้งสติ รีบเอาผ้าไปให้เขาเช็ดมือ เฝิงเยี่ยไป๋ไม่สนใจ สะบัดแขนเสื้อแล้วลุกขึ้นมา เปิดผ้าม่านออกแล้วเดินออกไป


 


 


คนเมาพวกนั้นกำลังคุยกันสนุกได้ที่ หัวเราะขึ้นมาแล้วก็หยุดไม่ได้ ย่อมไม่เห็นว่าเฝิงเยี่ยไป๋กำลังเดินมาหาตนเอง


 


 


ตัวเขาดึงเก้าอี้แล้วนั่งลงที่มุมโต๊ะ และหัวเราะตามขึ้นมา หัวเราะไปอยู่สองที ก็ทำหน้าบึ้งตึงตบลงโต๊ะ ทั้งโต๊ะพลันเงียบลงทันใด


 


 


คนเหล่านั้นเงียบปากทันที สร่างเมาไปกว่าครึ่ง คนที่เมื่อครู่ยังถูกนินทาอยู่ตอนนี้นั่งอยู่ต่อหน้าตัวเองตัวเป็นๆ แต่ละคนนั้นทำท่าราวกับเห็นผีมิปาน รีบปล่อย ‘ของรักของหวง’ ในอ้อมกอดตัวเองแล้วสะบัดแขนเสื้อคุกเข่าลง “ข้าน้อยคารวะท่านอ๋อง”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งจอก หมุนไปมาอยู่ในมือแต่ไม่ดื่ม แค่นเสียงหึออกจมูกเบาๆ “ฟ้าก็มืดแล้วยังจะคารวะอะไรอีกหรือ ข้าเห็นว่าพวกเจ้าคุยกันสนุกอยู่ที่นี่ดูน่าสนใจ ลุกขึ้นมาให้หมดเถอะ ลุกขึ้นแล้วก็พูดต่อ ให้ข้าได้สนุกไปกับพวกเจ้าอีกคน”


 


 


สีหน้าของเขานั้นบูดบึ้ง แม้จะไม่ได้โกรธจัด แต่ดูไปแล้วก็ไม่ได้ดีนัก ทำเอาพวกเขาเดาไม่ออก ในใจรู้สึกหวาดกลัว


 


 


ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมา ต่างคนต่างอยากจะตบปากตัวเอง ก็ไม่รู้ว่าเขาได้ยินไปมากน้อยเพียงใด หากเรื่องไปถึงฮ่องเต้แล้วฮ่องเต้ลงโทษลงมา พวกเขามีศีรษะมากเท่าใดก็ไม่พอตัด เวลานี้แต่ละคนล้วนหวาดผวาแล้วคุกเข่าที่พื้นเริ่มขอร้องขึ้นมา


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ประคองคนที่ใกล้ตัวที่สุดขึ้นมาพลางคลี่ยิ้มจางๆ ยิ้มจนทำเอาหนาวเหน็บไปถึงกระดูกดำ


 


 


——


 


 


[1] ฉื่อ เป็นมาตรวัด เทียบเท่าฟุตในปัจจุบัน




ตอนที่ 269 หน้าตาดุจสตรีงามปานล่มเมือง


 


 


 


 


“ไม่ต้องคุกเข่า นั่งเสียเถอะ เมื่อครู่ข้าได้ยินพวกเจ้าพูดถึงข้า พูดว่าอะไรหรือ พูดต่อเลย จะได้ให้ข้ารู้จักตัวเองเสียหน่อย”


 


 


ไหนเลยจะยังกล้าพูดอีก ขืนพูดอีกก็คงมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้แล้ว คนที่ถูกเขาประคองขึ้นมานั้น นั่งก็ไม่ได้ ยืนก็ไม่ได้ จึงคุกเข่าลงเสีย คุกเข่าแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ดื่มเองไปจอกหนึ่ง กวาดตามองสามคนที่คุกเข่าอยู่ข้างเท้าตนเอง เอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินพวกเจ้าแต่งเรื่องฮ่องเต้กับไทเฮา ยังบอกอีกว่าข้าหน้าตาเหมือนสตรีงามปานล่มเมือง…ใช่หรือไม่”


 


 


ทั้งสามคนเหมือนดั่งฟ้าผ่ากลางศีรษะ ท่านอ๋องคนนี้คงจะฟังอยู่ข้างหลังตลอด คราวนี้จบสิ้นแล้ว หากพูดถึงเพียงเขาคนเดียวยังพอให้อภัยได้ แต่ดันทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ พวกเขาไม่ควรพูดถึงฮ่องเต้ ฮ่องเต้เป็นคนใจแคบนัก หากเรื่องนี้ถึงพระกรรณพระองค์ ฆ่าพวกเขาไปก็ไม่พอทำให้หายพิโรธได้ เพียงแต่เมื่อผิดใจกับท่านอ๋องตรงหน้าคนนี้ นอกจากร้องขอชีวิตแล้วยังจะพูดอะไรได้อีก


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋รังเกียจคนเช่นพวกเขามากที่สุด ปากไม่ระวังอยากพูดอะไรก็พูดออกมา ชีวิตอยู่ในกำมือคนอื่นแล้ว นอกจากร้องขอชีวิตก็ทำอะไรไม่ได้อีก นี่เรียกว่าก่อกรรมเองช่วยไม่ได้ อย่างไรเสียมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรมากมายนัก ตายไปก็ไม่มีผลอะไร


 


 


“ตอนแรกพวกเจ้าแต่งเรื่องของข้าก็ช่าง เพียงแต่ฝ่าบาทและไทเฮาพอมาอยู่ที่ปากพวกเจ้ากลับกลายเป็นเรื่องตลกสนุกปาก อย่างอื่นไม่พูดถึง ไทเฮาก็คือแม่แท้ๆ ของข้า ทั้งยังเป็นพระมารดาเลี้ยงของฮ่องเต้ ใต้เท้าซ่ง…” เขาเคาะจอกเหล้า กวาดสายตาเย็นชา “แม้แต่ไทเฮาเจ้ายังบังอาจพูดถึง ข้าว่าเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง!”


 


 


ใต้เท้าซ่งคนนั้นแทบจะเอาศีรษะมุดลงไปซุกอยู่ในร่องอิฐแล้ว คราวนี้แม้แต่ร้องขอชีวิตก็พูดไม่ออก เขาคุกเข่าอย่างหวาดระแวง พูดไม่ออกแม้ประโยคเดียว สองคนที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน วันนี้ได้รู้เสียทีว่าอะไรที่เรียกว่าปลาหมอตายเพราะปาก คนผู้นี้ไม่ใช่เป็นคนที่นิสัยอ่อนโยนนัก รอถูกปาดคอไปเสียเถอะ


 


 


ไม่มีใครกล้าส่งเสียง เฝิงเยี่ยไป๋เหลือบมองพวกเขา แล้วเอ่ยข้อเสนอออกมาเนิบๆ “เพียงแต่เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางตกลงกันได้ ดูเพียงว่าพวกเจ้ายังอยากมีชีวิตหรือไม่แล้ว”


 


 


เงินทองอำนาจยังใช้ไม่มากพอ ‘ของรักของหวง’ ก็ยังรักไม่พอ ใครอยากจะตายบ้างหรือ พอได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็รีบพยักหน้า “อยาก ข้าน้อยยังอยากจะมีชีวิตอยู่ ขอท่านอ๋องได้โปรดชี้ทางรอดให้ข้าน้อยด้วยเถิด”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋พูดช้าๆ ว่า “ตอนนี้ชีวิตพวกเจ้าล้วนอยู่ในกำมือข้า ข้าให้พวกเจ้าทำอะไร จะปฏิเสธไม่ทำหรือไม่”


 


 


จะกล้าไม่เชื่อฟังได้อย่างไร ในมือเขากำชะตาชีวิตของพวกตนอยู่ ก็เหมือนเป็นบรรพบุรุษของพวกเขา จะกล้าทำตัวไม่เชื่อฟังได้อย่างไร จึงรีบตอบว่า “หลังจากนี้ข้าน้อยจะเชื่อฟังท่านอ๋องทุกอย่าง ท่านอ๋องพูดอะไรก็เป็นตามนั้นมิกล้าขัด”


 


 


เพียงแต่สีหน้าของเขาก็ยังไม่ปรากฏแววพอใจ เขาพยักหน้าด้วยท่าทางเอาแน่นอนไม่ได้ “หากเรื่องนี้ถูกฮ่องเต้รู้เข้า ต่อให้พวกเจ้าถูกประหารก็ยังไม่พอ เพียงแต่หากให้ข้ารู้ว่าพวกเจ้าวางแผนลับหลังข้า ข้าทูลฮ่องเต้ก็ดี ไม่ทูลก็ดี อย่างไรเสียก็มีวิธีให้พวกเจ้าตายอย่างไร้ร่องรอย คำพูดนี้ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียว พวกเจ้าจำไว้ให้ดี อย่าได้คิดวิธีที่จะช่วยพวกเจ้ารอดไปได้ เทพหม่าหวัง[1]มีตาสามดวง ข้าก็มีตาทิพย์ เล่ห์เหลี่ยมที่ใช้ไม่ได้ของพวกเจ้าพวกนั้นรีบเก็บกลับไปเสีย ไม่เช่นนั้นมีแต่จะตายเร็วยิ่งขึ้น”


 


 


คำพูดนี้ทำเอาทั้งสามคนที่ตอนแรกยังคิดว่ารอดตัวไปแล้วกระตุกขึ้นมา ศีรษะก้มต่ำลงไปอีก พร่ำพูดเพียงว่ามิบังอาจ


 


 


 


 


——


 


 


[1] เทพหม่าหวัง เป็นเทพในลัทธิเต๋า ตามตำนานกล่าวไว้ว่ามีดวงตาสามดวง


 


 


 


 


ตอนที่ 270 ไปหาแม่นางไม่อาจหลีกเลี่ยงได้


 


 


 


 


ที่มาวันนี้ถือว่าได้ผลเกินคาด ตอนแรกเขาเพียงจะสืบข่าวเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าสามคนนี้จะส่ง ‘ของขวัญชิ้นใหญ่’ ให้ตัวเองเช่นนี้ เพียงแต่ก็ดี ในราชสำนักมีคนของตนเองทำอะไรก็สะดวกขึ้น ไม่ถึงกับถูกมัดมือมัดเท้า เพียงแต่คนพวกนี้ไม่ฉลาดนัก ควบคุมปากตนเองไม่ได้ไม่ช้าก็เร็วต้องมีเรื่องแน่นอน ก็ใช้ชั่วคราวไปก่อน หากใช้ได้ดีก็ให้พวกเขามีชีวิตต่อเสียอีกหน่อย ด้วยคำพูดของพวกเขาเมื่อครู่นั้น เขาก็ไม่อาจปล่อยให้พวกเขามีชีวิตได้ เพียงแค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น หากใช้เป็นประโยชน์ได้ก็ดี


 


 


สามคนที่ชะตาถึงฆาตนั้นถอนหายใจด้วยความโชคร้าย ทั้งแสดงความภักดีทั้งสาบาน อย่างไรเสียก็ถือว่าได้รักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ได้


 


 


ก่อนที่เฝิงเยี่ยไป๋จะไปก็เตือนพวกเขาอีก “ทำงานให้มีสติหน่อย ไม่แน่ว่าก่อนจะได้ประโยชน์ใดจะผลักตัวเองเข้าแท่นประหารเสียก่อน หากข้าได้ยินคำพูดพวกนี้อีกครั้ง ข้าจะประหารทั้งตระกูลเจ้าเสีย”


 


 


ตอนแรกยังคิดว่าท่านอ๋องผู้นี้รังแกได้ง่ายๆ ที่แท้ก็เป็นพวกคมในฝัก ไม่ยอม ไม่ยอมแล้วจะทำอย่างไรได้ อย่างไรเสียก็ต้องกระดิกหางเพื่อเอาใจ จะกระดิกหางให้ใครก็เป็นการกระดิกหางมิใช่หรือ


 


 


สถานที่เริงรมย์เช่นนี้เขาไม่อยากอยู่ต่อแล้ว กลิ่นแป้งชาดเต็มไปหมด เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินลงไปอย่างรวดเร็ว


 


 


แม่เล้าเห็น ‘เทพเงินทอง’ ไปแล้วก็รู้สึกไม่ยอม จึงรีบเข้าไปพูดว่า “นายท่าน ท่านเป็นอะไรหรือ ไฉนถึงจะไปเสียแล้ว เป็นเซียงจือของพวกเราปรนนิบัติท่านไม่ดีใช่หรือไม่ พวกเรานี้ยังมีแม่นางอีกมากมาย ท่านเลือกเสียอีกหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”


 


 


พูดจาไพเราะอย่างไรก็หนีไม่พ้นคำว่าเงิน เขาหยิบตำลึงทองก้อนใหญ่สองก้อนจากถุงเงินข้างเอวออกมาแล้วโยนไปข้างหลัง แม่เล้ารีบเข้าไปเก็บอย่างรีบร้อน พอเก็บกลับมาก็เอาฟันกัด สวรรค์! นี่เป็นของจริง ว่าแล้วว่าต้องเป็น ‘เทพเงินทอง’ ของจริง พอตั้งสติกลับมาคิดจะรั้งเขาไว้อีก เพียงพริบตาเดียว ‘เทพเงินทอง’ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความร่ำรวยก็หายไปเสียแล้ว น่าเสียดายนัก หากอยู่ต่ออีกเล็กน้อย ไม่แน่อาจจะได้มากกว่านี้อีก


 


 


เขาเดินลงบันไดมาที่ชั้นสอง เมื่อครู่ตอนที่ขึ้นมาก็เห็นแล้ว ขนมที่นี่ไม่เลว เขาจึงหาที่นั่งใกล้ๆ แล้วทรุดกายลงนั่ง แล้วสั่งคนต้อนรับเอาขนมชั้นดีใส่ห่อนำกลับบ้าน นั่งดื่มชาดูละครไปพลาง


 


 


ที่แสดงบนเวทีนั้นเป็นปาอ๋องลาสนม [1]ทำเอาคนดูร้องไห้ไม่น้อย มีบ้างที่ว่าสนมน่าสงสาร มีบ้างที่บอกว่าเซี่ยงอวี่น่ารังเกียจ ร้อยคนมีร้อยปาก ความชอบย่อมต่างกัน เขาก็คิดเช่นกันว่า หากเป็นเขาที่วันหนึ่งต้องตกอยู่ในสถานการณ์ถูกล้อม เฉินยางจะทำอย่างไร จะมีความกล้าเหมือนดั่งสนมคนนั้นหรือไม่


 


 


“ท่านอ๋อง” ขณะกำลังคิดอย่างใจลอย จู่ๆ ก็ได้ยินว่าข้างหูมีคนเรียกเขา พอหันศีรษะไปมอง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นน่าอวี้


 


 


“แม่นางเจี่ยง…”


 


 


น่าอวี้ย่อตัวคำนับด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “ข้าน้อยคารวะท่านอ๋อง”


 


 


เขาประคองศอกของนางให้ลุกขึ้น “แม่นางเจี่ยงไม่ต้องมากพิธี” แล้วชี้ที่นั่งข้างๆ “นั่งเถิด”


 


 


สีหน้าของน่าอวี้ดีขึ้นจากเดิมมาก พอยิ้มขึ้นมาบนหน้าก็มีลักยิ้มจางๆ สองข้าง นางไม่ถามเขาก่อนว่าเหตุใดจึงอยู่ที่นี่ ทว่ามองไปรอบๆ แล้วแลบลิ้นด้วยความขี้เล่น ขยับตัวเข้ามาพูดใกล้ๆ เขาว่า “ข้ามากับลูกพี่ลูกน้องของข้า” นางชี้นิ้วไปข้างบน แล้วบุ้ยปากถามเขาว่า “ข้างบนนั้นมีแม่นางคนงามอยู่มากมายใช่หรือไม่ พี่เขยไม่กลับบ้านมาหลายวันแล้ว พี่สาวข้าบอกว่านี่เรียกว่าดอกไม้ในบ้านไม่หอมเท่าดอกไม้ป่า พวกผู้ชายอย่างท่านเป็นเช่นนี้กันหมดเลยหรือ”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋พยักหน้าไม่ปฏิเสธ “ผู้ชายส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้…เพียงแต่ก็ไม่ทั้งหมด ต้องดูว่าคนที่บ้านนั้นเป็นคนที่เขารักอยู่ในใจหรือไม่ หากใช่ ต่อให้เจ้าไล่ก็ไล่ไม่ไป หากไม่ใช่ จะไปหาแม่นางก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”


 


 


 


 


 ——


 


 


[1] ปาอ๋องลาสนม เป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ปาอ๋องหรือเซี่ยงอวี่ถูกข้าศึกล้อมเอาไว้และได้ดื่มเหล้าลาสนม จากนั้นสนมฆ่าตัวตาย เซี่ยงอวี่ฝ่าวงล้อมออกไปถอยไปอยู่ข้างแม่น้ำอู ด้วยความรู้สึกที่ไม่มีหน้าไปพบคนบ้านเกิด จึงได้ฆ่าตัวตาย




ตอนที่ 271 ท่านอ๋องมาหาแม่นางหรือมาดื่มชา 


 


 


 


 


 


น่าอวี้ตอบ ‘อ้อ’ ด้วยท่าทางที่เหมือนจะเข้าใจ สายตาของนางมองวนไปวนมาที่เขา “เช่นนั้นแล้วท่านอ๋องมาที่นี่คือมาหาแม่นางหรือมาดื่มชาดูละครหรือ” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว จงใจแกล้งนาง “ข้าว่าพี่เขยของเจ้านั้นมีตาหามีแววไม่ น้องสาวหน้าตาเช่นนี้ พี่สาวเองก็คงงดงามไม่แพ้กัน ที่บ้านมีดอกโบตั๋นไม่รัก กลับออกไปเด็ดดอกเบญจมาศ ไม่รู้จักของดี ยังจะหาเขาทำไมอีก” 


 


 


ชมคนเช่นนี้นางเพิ่งเคยเจอครั้งแรก ชมจนตัวลอยอย่างไร้ร่องรอยนัก หญิงสาวคนใดฟังแล้วไม่ชอบบ้าง อย่างไรเสียนางก็ดีใจ ในใจมีความสุขดั่งดอกไม้บาน รอยยิ้มก็กดลึกลงไปอีก นางเอาผ้าเช็ดหน้าป้องปาก ดวงตาหยีโค้งเหมือนพระจันทร์ที่แขวนอยู่บนฟ้า 


 


 


เขานึกถึงรอยยิ้มของเฉินยางขึ้นมา นางยิ้มแล้วดูใสซื่อ คนอื่นยิ้มแล้วดวงตาโค้งดั่งพระจันทร์ นางยิ้มขึ้นมาแล้วไม่เห็นตาเลย เพียงแต่ยิ้มได้หวานนัก ทำเอารู้สึกอบอุ่น พอคิดไปตัวเองก็เผยรอยยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว 


 


 


น่าอวี้เห็นเขายิ้มก็พูดอีกว่า “ท่านอ๋องนี่ก็ไม่รู้เสียแล้ว ผู้หญิงมักจะรักลึกซึ้งกว่าผู้ชาย ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคน ทว่าผู้หญิงไม่ได้ ยอมรับเขาแล้วก็คือทั้งชีวิต หัวใจล้วนอยู่ที่ตัวเขาแล้ว เขากลับพาไปหาของรักของหวงของเขา สนเพียงความสุขตัวเอง จะไปสนความรู้สึกของภรรยาที่บ้านที่ตั้งตารอเสียที่ไหนกัน” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋พอได้ยินนางพูดเช่นนี้ ในใจก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น พยักหน้าเห็นด้วยว่า “แม่นางเจี่ยงมองออกแล้วจริงๆ” 


 


 


“ไม่ใช่มองออก ข้าเป็นผู้หญิง ย่อมยืนอยู่ฝั่งผู้หญิงคิดถึงปัญหา ในบ้านแต่งไปห้าหกคนยังไม่พอ ยังต้องไปหาข้างนอกให้ได้ ข้าไม่เข้าใจยิ่งนัก หัวใจดวงเดียวจะรักได้มากมายเช่นนั้นจริงหรือ เรียก ‘ที่รัก’ อยู่ทั้งวัน พูดเรื่องจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตได้ง่ายดายนัก เพียงแต่ผ่านสองวันความสดใหม่หายไปแล้ว แม้แต่ชื่อของแม่นางก็ยังจำไม่ได้เลยมิใช่หรือ” 


 


 


นางยิ่งพูดยิ่งโกรธ พูดจนสุดท้ายราวกับไม่ได้มาร้องทุกข์แทนพี่สาวของนางอยู่ กลับเหมือนร้องทุกข์ให้ตัวเองอย่างไรนั้น เฝิงเยี่ยไป๋ป้องปากหัวเราะ พอฟังนางจบก็พูดตามต่อว่า “เช่นนั้นแล้วหากวันหน้าสามีของเจ้าก็เป็นเช่นนี้ เจ้าไม่ต้องนอนกันทั้งวันทั้งคืนเลยหรอกหรือ คอยกังวลว่าเขาจะไปทำดีกับคนนี้ แล้วกังวลว่าเขาจะไปมุดห้องคนนั้น หัวใจไม่พอให้เป็นห่วง ไม่ถึงสองปีความงามนี้ก็คงร่วงโรย” 


 


 


น่าอวี้เป็นหญิงที่ยังไม่แต่งงาน พูดเรื่องเช่นนี้กับผู้ชายจึงออกจะไม่เหมาะสมอยู่ อวี๋เอ๋อร์จึงเตือนนางเสียงเบา ให้นางระวังเสียหน่อย นางกลับไม่สนใจ พูดด้วยความเจ็บแค้นว่า “หากวันหน้าข้าได้แต่งกับชายเช่นนั้น จะตัดรากฐานของเขาเสียก่อน ดูว่าหลังจากนั้นเขาจะออกไปข้างนอกมั่วได้อย่างไร” 


 


 


ตายจริง คำพูดนี้ช่างพูดได้อย่างไม่รักษาหน้ายิ่งนัก คุณหนูตระกูลข้าราชการไฉนถึงพูดเช่นนี้ออกมาได้ ไม่ใช่ว่าควรมีความอ่อนโยนมารยาทอยู่ตลอดเวลาหรอกหรือ คราวนี้กลับทำเอาชื่อเสียงดีๆ เสียหมดเพราะประโยคเดียวของนาง อวี๋เอ๋อร์รีบย่อตัวพูดว่า “ท่านอ๋องโปรดอภัย คุณหนูของข้าปากไวใจซื่อ ที่พูดออกมานั้นล้วนไม่ได้ตั้งใจ” 


 


 


“ไม่เป็นไร” เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ได้ใส่ใจนัก ถึงขั้นรู้สึกว่าน่าอวี้ผู้นี้น่าสนใจนัก ยิ่งหัวเราะออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ชมนางว่าเป็นวีรสตรี จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก 


 


 


บรรยากาศเงียบลงเช่นนี้ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อแล้ว น่าอวี้คิดไปก็พูดอีกว่า “ข้ายังไม่ได้ขอบคุณบุญคุณที่ท่านอ๋องช่วยชีวิตไว้เลย ท่านอ๋องไม่ขาดสิ่งใด ข้าก็ไม่รู้ควรจะตอบแทนท่านอ๋องอย่างไร เพียงแต่ที่ฉื่อเจียนฝูเซิงนี้ของขึ้นชื่อที่สุดก็คือสุรา เช่นนั้นให้ข้าเลี้ยงสุราท่านอ๋องดีหรือไม่” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 272 ที่นี่ข้าอยู่ไม่ได้ย่อมมีที่ที่ให้ข้าอยู่ 


 


 


 


 


 


หากจะตอบแทน เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้นางตอบแทนโดยสิ้นเชิง ตอนแรกไม่ได้คิดจะช่วยนาง เพียงแต่ตอนหลังได้ยินว่าท่านพ่อของนางคือเจี่ยงเหว่ยเสนาบดีกรมทหาร คิดว่าวันหลังย่อมใช้ประโยชน์ได้ ถึงได้สร้างบุญคุณกับนางไว้ นอกจากนั้นแล้วเขาก็ไม่คิดจะมีความผูกพันกับน่าอวี้มากมายนัก 


 


 


อีกอย่างที่บ้านเขานั้นยังมีคนที่เขาเฝ้าคิดถึงอยู่ ตอนนี้เวลายังไม่ดึก หลับไปยังสามารถกอดภรรยาบนเตียงได้ อยู่ดื่มเหล้าที่นี่ อย่างไรเสียก็รู้สึกเสียเวลา “ไม่ล่ะ ความตั้งใจของแม่นางเจี่ยงข้าขอรับไว้ ข้าเพียงแค่ช่วยเหลือเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องใส่ใจนัก” 


 


 


คนต้อนรับโค้งตัวส่งขนมที่ใส่ห่อเรียบร้อยแล้วให้เฝิงเยี่ยไป๋ เฝิงเยี่ยไป๋จึงโยนตำลึงทองให้เขาสองก้อน ลุกขึ้นเตรียมจะไป ก่อนจะไปเหมือนนึกสิ่งใดขึ้นมาได้จึงพูดว่า “เมื่อครู่แม่นางเจี่ยงถามข้าว่าผู้ชายล้วนชอบหาแม่นางข้างนอกใช่หรือไม่ ที่ข้าอยากจะบอกคือ ผู้ชายส่วนมากเป็นเช่นนั้น เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าดอกไม้ที่บ้านอาจหอมไม่สู้ดอกไม้ป่าจริง แต่ดอกไม้ป่าไม่งามเท่าดอกไม้บ้านแน่นอน” 


 


 


เขาเชิดหน้าก้าวเท้าไป แม้จะไม่มองหน้า เพียงเงาหลังของเขาก็เพียงพอที่จะทำให้หลงใหลได้แล้ว ช่างเป็นคนดีเสียนี่กระไร ข้างนอกมีแม่นางมากมายก็ไม่อาจผูกเขาไว้ได้ นึกถึงแต่เพียงภรรยาที่บ้านเท่านั้น ภรรยาของเขานั้น ก็ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วทำบุญใหญ่หลวงอะไร ชาตินี้ถึงได้แต่งกับผู้ชายดีๆ เช่นนี้ แม้แต่นางเองพอเห็นแล้วก็ยังรู้สึกอิจฉา 


 


 


อวี๋เอ๋อร์มองเงาหลังของเฝิงเยี่ยไป๋ บ่นด้วยความเสียดายว่า “ท่านดู คนเขาไม่สนใจเลย คงจะรังเกียจที่เมื่อครู่ท่านพูดจาไม่มีมารยาท” 


 


 


น่าอวี้กลับหัวเราะที่นางไม่เข้าใจ “หากเขารังเกียจที่ข้าพูดจาไม่มีมารยาท ไฉนถึงยังนั่งคุยกับข้าอยู่นานเช่นนี้ เขาคิดถึงคนที่บ้านคนนั้น จึงไม่อยากเสียเวลาต่างหาก” 


 


 


“เช่นนั้นท่านก็ยิ่งไม่มีโอกาสเลยไม่ใช่หรือ เบื้องบนสั่งมาแล้ว ให้ท่านรีบเร่งมือเข้า” 


 


 


“ให้ข้ารีบเร่งมือ แล้วพวกเขาไปทำอะไรเสียตั้งนาน” ในมือน่าอวี้กำแก้วชาที่เมื่อครู่เฝิงเยี่ยไป๋ใช้อยู่ ชาที่เหลือยังคงอุ่นอยู่ เป็นชาที่เขาดื่มไปครึ่งแก้วนั้น “ไม่ใช่ว่าจะทำก็ต้องทำให้ดีหรอกหรือ ที่นี่ข้าอยู่ไม่ได้ย่อมมีที่ที่ให้ข้าอยู่ อวี๋เอ๋อร์…พวกเราก็ต้องคิดเผื่อตัวเองด้วยแล้ว” 


 


 


อวี๋เอ๋อร์เป็นคนไม่ฉลาด นางพูดจาอ้อมไปมาตนฟังไม่เข้าใจ อ้าปากคิดจะถาม เพียงแต่คิดไปแล้วก็ล้มเลิกเสีย คุณหนูให้นางทำอะไรนางทำตามก็พอแล้ว อย่างไรเสียก็ไม่ถูกเอาเปรียบ 


 


 


กลับมาที่เฝิงเยี่ยไป๋ ระหว่างทางเหม่อลอยอยู่ตลอด พอกลับมาถึงจวน ถามสาวใช้ว่าเฉินยางหลับไปแล้วหรือยัง สาวใช้บอกหลับไปแล้ว เดินไม่ถึงสองก้าวก็นึกถึงเรื่องที่เว่ยหมิ่นมาหาเขา บอกว่าจะมาเอาของกับเขา ก็ไม่ได้บอกว่าเอาสิ่งใด รอแล้วเขาไม่มาจึงได้กลับไปเสียก่อน 


 


 


เว่ยหมิ่นจะมีอะไรลืมไว้ที่เขาได้อีก ที่พูดเช่นนั้นคาดว่าคงเป็นข้ออ้าง ที่มาหาเขาคงจะมีเรื่องจะหารือ ตอนนี้ทั้งสองบ้านไปมาหาสู่ไม่สะดวก จะพูดคุยกันก็ลำบาก ต่อหน้าทุกคนเหมือนยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด เพียงแต่ความจริงแล้วกลับต้องใช้ชีวิตดั่งนักโทษในคุก ความจนใจนี้มีใครเข้าใจบ้าง อีกอย่างเว่ยหมิ่นใช้ชีวิตอยู่ในวังหลายปีเช่นนี้ ฮ่องเต้นั้นเพื่อจะป้องกันนางมาหาเขา จึงต้องแอบส่งคนมาจับตานางไว้อยู่ หลายปีมานี้นางก็ผ่านมาเช่นนี้ ตัวเองเพิ่งจะมาไม่นาน เทียบกับนางแล้ว ช่างไม่น่าพูดถึงนัก 


 


 


ช่างเถอะ พรุ่งนี้ค่อยหาโอกาสคุยแล้วกัน 


 


 


เขาโบกมือให้สาวใช้ถอยกลับไป ตัวเองผลักประตูเข้าห้อง ในห้องมีเพียงเทียนที่ยังสว่างอยู่ คิดว่านางคงหลับไปแล้ว เขาหิ้วขนมเดินไปยังเตียงด้านใน ในผ้าห่มห่อคนจนรูปร่างกลายเป็นผอมยาว นางนอนตะแคง ดูเหมือนจะหลับสนิทไปเสียแล้ว 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม