เนตรเซียนทะลุสมบัติ 265-271

 ตอนที่ 265 แม่เลี้ยง


แม่หยางเดินอยู่บนถนนอย่างเหม่อลอย ด้านหลังกลับมีลุงของหยางหล่างเดินตามอยู่


” พี่สาว ผลการตัดสินออกมาแล้ว พี่เขยกับหยางหลางก็นับว่าได้รับบทเรียนแล้ว ครั้งนี้พวกเขาทำเรื่องไม่ระวังเกินไป หยางหลางติดคุกปีหนึ่ง พี่เขยติดแค่ครึ่งปี เวลาก็สั้นมากๆ ไม่นานก็ออกมาได้แล้วละ “


แม่หยางหันหน้ามามองลุงของหยางหลาง ใบหน้าขมขื่น ” ฉันก็รู้ว่าหยางโปจะไม่กลับมาแล้ว ! ไอ้เด็กสารเลว ตอนที่เสี่ยวหล่างกับพ่อของเขาด่าเขาแบบนี้ ฉันยังปกป้องเขา คิดดูแล้วการเลี้ยงดูเขามาหลายปีขนาดนี้มันเสียข้าวสุกจริงๆ ! “


คุณลุงยืนอยู่ด้านข้าง สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย พอเนิ่นนานถึงค่อยเอ่ยปากกล่าว ” พี่สาว เรื่องครั้งนี้ เสี่ยวโปได้จัดการให้แล้วนะ “


” จัดการให้แล้ว ? ” แม่หยางกล่าวอย่างโมโห ” จัดการให้แล้ว ยังจะติดคุกเหรอ ? “


 


” ถ้าหากเขาไม่ได้จัดการให้ พวกนั้นจะไม่ได้ติดคุกแค่หนึ่งปีหรอกนะ ! ” คุณลุงเอ่ยเสียงหนัก


” พี่สาว หรือว่าพี่ยังไม่เข้าใจความจริง ? ” ลุงจ้องมองแม่หยาง ” เรื่องนี้เป็นพวกเขาพ่อลูกทำ แต่ในช่วงระยะนี้ อย่าบอกนะว่าพี่กล้าไปบอกกับฉันว่าพี่ไม่ได้บังคับเสี่ยวโป ? ถ้าหากพวกพี่ไม่ได้บังคับ อย่าบอกนะว่าเขาทำแบบนี้เอง ? “


” เสี่ยวโปเป็นเด็กกตัญญู ทำเรื่องอะไร ในใจเขาย่อมรู้ดี ! ตอนเดือนพฤษภา เขาเก็บเงินมาช่วยค่ารักษาของพี่เขย ช่วงนั้นพวกพี่ทั้งบ้านไม่ดีใจมากหรอกเหรอ ทำไมเวลาสั้นๆ แค่สามเดือนถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้ นี่ควรจะต้องโทษใคร ? “


แม่หยางฟังคำพูดของลุงแล้วก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เธอส่ายหน้าพลางยิ้มขมขื่น ” ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้ ! “


 


” พี่เขยโลภไม่มีสิ้นสุด เสี่ยวหลางก็เติมเชื้อไฟ แต่พี่กลับเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ วิธีการของพวกเขาทำให้เสี่ยวโปผิดหวังก็ไม่แปลก ! ” ลุงเอ่ยโทษ


” ผมก็คิดไม่ถึงว่าพี่เขยจะทำถึงขั้นนี้ ถึงกับคิดจะขโมยของของหยางโป ! หรือว่าเขาคิดว่านี่ไม่ใช่การขโมย ? อย่าบอกนะว่าเขาคิดว่าเสี่ยวโปจะไม่กล้าแจ้งความ ? เขาทำแบบนี้ คิดจะทำลายความสัมพันธ์กับหยางโปแล้วล่ะแบบนี้ ! ” ลุงเอ่ยอย่างขื่นขม


แม่หยางจ้องมองถนนใหญ่ตรงหน้า มองแนวต้นไม้ที่อยู่ข้างถนน นัยน์ตาสับสนไร้หนทาง


” พี่สาว ไปเถอะ พวกเรากลับบ้านกัน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ” ลุงเอ่ย


” ไม่ ฉันจะรอเสี่ยวหลาง ” แม่หยางกล่าว


 


” พี่รอไม่ได้แล้ว ไม่ต้องรออีกแล้ว ! “


” ฉันจะรอเขา ฉันจะรอเขา ! “


….


หลีหมิ่นนั่งอยู่ในบ้าน คิดถึงเรื่องที่ชุยซื่อหยวนบอกกับตัวเองวันนั้น ก็โมโหอย่างที่สุด ก่อนหน้าที่เหล่าชุยจะแต่งงาน ถึงกับมีลูกนอกสมรส ! ยี่สิบปีมานี้ เขาถึงกับไม่อธิบายสักประโยค ทั้งยังลอบคิดจะตามหาลูกนอกสมรสคนนั้นกลับมา นี่มันจะรังแกคนมากกันเกินไปแล้ว !


เพราะว่าเหล่าชุยได้รับบาดเจ็บจนเป็นหมันไปนานแล้ว ยี่สิบปีมานี้ตัวเธอเองติดตามเขามาตลอด จนไม่มีสิทธิได้ทำหน้าที่ของภรรยา ไม่มีลูกหลานไว้คอยดูแล ทุกครั้งที่มองเห็นเด็กของบ้านอื่นวิ่งเล่นสนุก เธอก็หวังจะมีลูกเป็นของตนเองบ้าง เด็กคนนี้ไม่ต้องเฉลียวฉลาด ไม่ต้องน่ารักใคร่เอ็นดูนักก็ได้ !


 


เธออายุมากขนาดนี้แล้ว เธอจึงไม่สามารถตั้งครรภ์ได้แล้ว แต่เหล่าชุยจู่ๆ ก็มีลูกชายอายุยี่สิบปีคนหนึ่ง ! นี่มันไม่ยุติธรรมกับเธอเลย เธอเฝ้ารอด้วยเลือดเนื้อมายี่สิบปี ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็กลายเป็นศูนย์ไปจนหมดสิ้น !


เธอคิดจะให้ห้าวซวนเขามาดูแลยามแก่เฒ่า ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ได้รับภัยคุกคามอย่างร้ายแรงแล้ว ! หลังจากคุณพ่อของเธอจากโลกนี้ไป บ้านเดิมก็ค่อยๆ ตกต่ำลง ถึงแม้ครอบครัวจะยังร่ำรวยล้นเหลือ แต่ถ้าหากไม่มีผู้สนับสนุนที่มีพลังอำนาจ ก็จะกลายเป็นเนื้ออ้วนๆ ก้อนหนึ่งให้คนมาหาประโยชน์ !


คิดมาถึงตรงนี้ หลี่หมิ่นก็สั่นเทาด้วยความกลัว !


หลี่หมิ่นลุกขึ้นหยิบกระเป๋าถือ เธอจะต้องลงมือ เธอจะนั่งรอความตายอยู่เฉยๆไม่ได้ หยางโปเป็นลูกชาย หลานชายของตระกูลชุย แต่กลับไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับเธอ นั่นไม่ใช่ลูกชายของเธอ !


 


เธอโทรศัพท์หาน้องชายซ่งฉีหู่ ในน้ำเสียงของซ่งฉีหู่แฝงไปด้วยความรับไม่ได้หลายส่วน ทำให้หลี่หมิ่นโมโหมาก


เธอจึงไปหาน้องชายถึงที่บ้าน หลี่หมิ่นนั่งลงดื่มชาไปอึกหนึ่งแล้วก็เอ่ยปากทันทีว่า ” ชุยซื่อหยวนมีลูกนอกสมรสก่อนจะแต่งงาน และมีลูกอายุได้ยี่สิบปีแล้ว ! “


ซ่งฉีหู่เดิมกำลังเอนอยู่บนโซฟา พอได้ยินคำนี้ก็ลุกขึ้นยืนดัง ” ฟึบ ” ” อะไรนะ ?​ ชุยซื่อหยวนเขามีลูกชาย ! “


หลี่หมิ่นไม่ได้เอ่ยปาก สายตาจ้องมองไปด้านหน้าอย่างเหม่อลอย


ซ่งฉีหู่พลันโมโหขึ้นมา ” ชุยซื่อหยวนนะชุยซื่อหยวน เขาทนมาได้จริงๆ หลายปีขนาดนี้แล้ว เขาถึงกับไม่ได้พูดออกมาสักคำ ! “


” ถ้าหากทนไม่ได้ เขาจะปีนป่านได้เร็วขนาดนี้ได้ยังไง ? ” หลี่หมิ่นกล่าว


 


ซ่งฉีหู่ได้ยินคำพูดนี้ก็พลันโกรธเกรี้ยว ถึงแม้ครอบครัวจะร่ำรวยเป็นร้อยล้าน แต่ชุยซื่อหยวนอยู่ตำแหน่งสูงส่งแล้ว ทรัพย์สินเพียงเท่านี้ในสายตาของชุยซื่อหยวนแล้วก็ไม่มากเท่าไหร่ ! อีกอย่างตั้งแต่หลายปีก่อนที่ตำแหน่งของชุยซื่อหยวนจะสูงขึ้น ตอนที่เขาพูดคุยกับชุยซื่อหยวนก็ไม่กล้าทำตามใจเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว


” พี่สาว พี่ว่ามาเถอะ พวกเราควรจะทำยังไง ! ” ซ่งฉีหู่หันกลับมามอง เขารู้และเห็นด้วยกับแผนการของพี่สาว ห้าวซวน เป็นเลือดเนื้อเพียงคนเดียวของตระกูลซ่ง มีแค่สืบทอดเส้นสายความสัมพันธ์ของชุยซื่อหยวน และติดตามอยู่ด้านหลังชุยซื่อหยวนถึงจะสามารถรับประกันการเติบโตในอนาคตของตระกูลซ่งได้ !


 


” ถ้าหากฉันรู้ว่าควรจะทำยังไง ฉันจะยังมาหานายเหรอ ? ” หลี่หมิ่นส่ายหน้า เอนตัวบนโซฟา เธอรู้สึกจนปัญญา พวกเขามีแค่พี่สาวและน้องชายสองคน เธอใช้แซ่ตามมารดา นิสัยก็แทบไม่ต่างกับแม่แท้ๆ ซ่งฉีหู่ใช้แซ่ตามบิดา นิสัยก็แทบจะเหมือนพ่อแท้ๆ มีความอารมณ์ร้อนสายหนึ่ง สมองก็ไม่ทำงาน !


เขาถอนหายใจเล็กน้อยแล้วหลี่หมิ่นก็เอ่ยว่า ” ยังดีที่ตอนนี้พวกเขายังไม่ได้นับญาติกัน พวกเรายังมีโอกาสขัดขวางได้อยู่ ! “


” ไม่ได้นับญาติกัน ? นี่เป็นไปได้ยังไง ? อย่าบอกนะว่าพี่เขยยังสืบเรื่องเด็กคนนั้นอยู่ ? ” ซ่งฉีหู่กล่าวอย่างสงสัย


” เป็นเด็กคนนั้นที่ไม่ยอม ” หลี่หมิ่นเอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี


ซ่งฉีหู่ประหลาดใจ ” เป็นไปได้ยังไง ? ตระกูลชุยมีอิทธิพลมากขนาดนั้น อย่าบอกนะว่าเขาไม่รู้จัก พอนับญาติแล้วเขาก็จะได้รับการช่วยเหลือมากมายเลยนะ ? เด็กคนนี้โง่หรือยังไง ? “


 


กล่าวจบ ซ่งฉีหู่ถึงกับหัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมา


หลี่หมิ่นมองซ่งฉีหู่ เธอส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้ เธอก็ไม่รู้เหตุผลที่หยางโปไม่นับญาติ แต่เธอรู้ว่าโอกาสที่ตนเองจะขัดขวางมีไม่มาก อีกทั้งยังไม่สามารถให้ตาแก่รู้เรื่องนี้ได้ ยังไงก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับตระกูลชุย !


” ฉันจะบอกชื่อเขาให้นาย นายไปสืบมาหน่อย สืบประวัติความเป็นมาของเขาให้ละเอียด พวกเราจะต้องรู้ประวัติตั้งแต่เด็กจนโตของเขา ! ” หลี่หมิ่นกล่าว


ซ่งฉีหู่พยักหน้า ” พี่ไม่รู้ว่าเขาทำงานอะไรเหรอ ? เขายังเรียนอยู่ไหม ? “


” ไม่ได้เรียน พอจบมัธยมปลายแล้วเขาก็ไม่ได้เรียนต่อ น่าจะเปิดร้านของโบราณอยู่ที่จินหลิง เหล่าชุยอยากจะส่งเขาไปเรียนปริญญาโทด้านโบราณคดีที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง แต่เขาเหมือนจะปฏิเสธ ” หลี่หมิ่นกล่าว


ซ่งฉีหู่พยักหน้า ” อื้ม นิสัยแข็งกร้าวแบบนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็มีแผนการอยู่ ทำแบบนี้เขาอยากจะโก่งค่าเลี้ยงดูเหรอ ? “


 


หลี่หมิ่นส่ายหน้า ” เขาจัดการไม่ได้มากขนาดนี้หรอก ช่วงนี้นายก็เตือน ห้าวซวน หน่อยอย่าไปก่อเรื่องมั่วผู้หญิงพวกนั้นข้างนอก ถ้าหากเขากล้าก่อเรื่องใหญ่อีก ครั้งนี้จะต้องไม่มีคนช่วยเขาแน่ เหล่าชุยมีลูกชายแท้ๆของเขาแล้ว เขาจะยังสนใจ ห้าวซวน อีกเหรอ ? “


ซ่งฉีหู่พยักหน้า ” ได้ ! “


ตอนที่ 266 เซอเจ๋อ


ทุกคนตื่นนอนแต่เช้า กินข้าวเช้า ก่อนจะขับรถไปยังที่ตั้งตามที่ระบุเอาไว้บนแผนที่


ตำบลเค่อเล่อตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอำเภอเฮ่อจาง เส้นทางเป็นถนนบนภูเขาที่ขรุขระ แต่เนื่องจากมีการพบซากโบราณสถานแคว้นเย่หลางที่ตำบลเค่อเล่อ จึงได้มีการสร้างทางหลวงขึ้นหนึ่งสาย ทางหลวงนี้มีเพียงสองเลนเท่านั้น แต่เพราะถนนมีรถใช้งานอยู่น้อยมาก รถจึงวิ่งได้อย่างคล่องตัว


ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า พวกหยางโปทั้งสี่คนก็ลงจากรถ พวกเขาได้มาถึงตำบลเค่อเล่อแล้ว


ที่ที่รถจอดอยู่ตรงข้ามกับประตูทางเข้าเทศบาลพอดี คนเฝ้าประตูคงจะคิดว่าเบื้องบนลงมาตรวจ จึงรีบเปิดประตู ก่อนจะมองมาทางทั้งสี่คน ” พวกคุณจะเข้ามาไหมครับ ? “


 


หยางโปลงจากรถ ก่อนจะหันมองไปรอบด้าน อาคารบ้านเรือนของที่นี่ค่อนข้างเตี้ย สิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดก็คือตึกขนาดเล็กสามชั้นของเทศบาลนั่นเอง พอได้ยินคนเฝ้าประตูถามอย่างคลุมเครือ หยางโปก็อดไม่ได้ที่จะโบกมือ ” พวกเราไม่เข้าไปหรอกครับ ขอบคุณครับ “


พูดจบ หยางโปก็ยื่นมือไปหาลัวย่าวหัวก่อนจะพูดว่า ” ขอบุหรี่ซองหนึ่ง “


เมื่อรับซองบุหรี่จงหัวที่ลัวย่าวหัวโยนมาแล้ว หยางโปก็เดินไปทางห้องคนเฝ้าประตู ก่อนที่เขาจะเอาบุหรี่ทั้งซองส่งให้คุณปู่ที่เฝ้าประตู ” ปู่ครับ ปู่รู้ทางไปหมู่บ้านชื่อสุ่ยไหมครับ ? “


ปู่คนเฝ้าประตูรับบุหรี่มา มองแวบหนึ่ง ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างออกมาทันที โชว์ฟันเหลืองเต็มปาก เขาเคยเห็นคนใหญ่คนโตในเมืองที่มาตรวจที่นี่สูบกัน ห่อหนึ่งราคาหกสิบหยวน ค่าจ้างของเขาเดือนหนึ่งได้แค่ห้าหกร้อยหยวนเท่านั้นเอง


 


” หมู่บ้านชื่อสุ่ยเหรอ พวกเธอขับรถไปทางตะวันตก จะมีถนนเส้นหนึ่งไปทางนั้น ใช้เวลาสองสามชั่วโมงก็ถึงแล้ว ” ปู่คนเฝ้าประตูกล่าว


หยางโปประหลาดใจ ” ปู่ครับ จากอำเภอมาเค่อเล่อพวกเราใช้เวลาแค่ชั่วโมงกว่า จากที่นี่ไปหมู่บ้านข้างหน้า ทำไมถึงได้นานขนาดนั้นล่ะ ? “


” เพราะเป็นหมู่บ้านชื่อสุ่ยไงล่ะ ! ” ภาษาจีนกลางของปู่คนเฝ้าประตูไม่ดีนัก คำพูดจึงไม่ค่อยชัด ” มีแค่ถนนของอำเภอถึงจะสร้างเอาไว้ดี ส่วนถนนเส้นนี้มันขรุขระ พอพวกเธอไปถึงแล้วก็จะรู้เอง “


หยางโปฟังแล้วก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย จึงผงกศีรษะ


” พวกเธอจะไปหมู่บ้านชื่อสุ่ยกันทำไมเหรอ ? ” ปู่คนเฝ้าประตูถาม


 


หยางโปโบกมือไปมา ” พวกเราไปหาเพื่อนน่ะครับ “


ขณะที่พูด หยางโปก็เข้าไปนั่งในรถ ลัวย่าวหัวที่นั่งอยู่ที่นั่งคนขับก็หันมองมาทางหยางโป ” เมื่อกี้เขาบอกว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่นะ ฉันฟังไม่ถนัด “


” ต้องใช้เวลาสองสามชั่วโมง ” หยางโปบอก


” ห๊ะ ? สองสามชั่วโมง ! ” ลัวย่าวหัวตื่นตกใจขึ้นมาทันที จากเฮ่อจางมาเค่อเล่อ เป็นเขาที่ขับรถมาตลอดทาง ตอนนี้เขาก็รู้สึกล้าไปหมดแล้ว


หยางโปรีบพูดว่า ” เดี๋ยวฉันขับรถต่อเอง นายไปพักเถอะ “


 


พูดจบ หยางโปก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรอีกเขาดึงลัวย่าวหัวออกไป ส่วนเขาก็เข้าไปนั่งที่ตำแหน่งคนขับ


รถก็เคลื่อนไปทางทิศตะวันตก ผ่านตลาดที่ซื้อขายกันกลางแจ้ง ด้านในมีกลุ่มคนมารวมตัวกันอยู่ ดูแล้วคึกคักเป็นอย่างยิ่ง


” ตลาดเหรอ ? พวกเราลงไปดูกันหน่อยไหม ? ” ลัวย่าวหัวเอ่ยปาก


หยางโปที่กุมพวงมาลัยอยู่กลับไม่ได้หยุดรถ ” พอแล้ว รีบเดินทางกันต่อดีกว่า “


ไม่นาน รถก็มาถึงสุดเขตทางหลวง ถนนเปลี่ยนเป็นถนนลูกรัง ผิวถนนเดี๋ยวนูนเดี๋ยวเว้าไม่เรียบสม่ำเสมอ สภาพเป็นหลุมเป็นบ่อ หยางโปขับรถไม่เร็วนัก ทำให้ภายในรถเริ่มส่ายซ้ายส่ายขวาอย่างช่วยไม่ได้


 


นั่งอยู่ในรถก็เหมือนนั่งอยู่บนเรือ ทุกคนนั่งโคลงไปเอนมาไม่มั่นคง


ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ตาอ้วนหลิวก็ทนไม่ไหว เขากุมอก หันไปพูดกับหยางโปว่า ” ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันเมารถแล้ว จอดรถแล้วให้ฉันไปขับแทนเถอะ “


หยางโปเหยียบเบรก ยังคงไม่รู้สึกรู้สาอะไร ” ยังโอเคอยู่นะครับ ผมขับรถได้นับว่ามือนิ่งมากเลยนะ “


” มือนิ่ง เธอมือนิ่งเกินไปแล้ว และขับช้าเกินไปแล้ว เพราะอย่างงั้นรถถึงได้โคลงเคลงมากไง พอเป็นอย่างนี้แล้ว สำหรับคนที่นั่งรถก็ถือว่าทรมาทรกรรมเกินไป ” ตาอ้วนหลิวกล่าว


ทั้งสองคนเปลี่ยนตำแหน่งกัน ไม่นานตาอ้วนหลิวก็คุมรถอย่างชำนิชำนาญ หยางโปได้ใบขับขี่มาไม่นาน ไม่มีทางจะรู้สึกว่าฝีมือการขับรถของตัวเองนั้นย่ำแย่ ตัวเองยังรู้สึกว่าขับได้ดี แต่ไม่คิดว่าหลูตงซิงจะพูดออกมาตรงๆ ว่า ” มือเก๋ายังดีกว่าอยู่ดี เทียบกับเมื่อกี้แล้วรู้สึกดีกว่าเยอะเลย “


 


พริบตาเดียวหยางโปก็ได้รับบาดแผลนับพัน นี่เป็นการโจมตีโดยไม่ให้เขาได้ตั้งตัวชัดๆ


ลัวย่าวหัวหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดังอย่างทนไม่ไหว


ในแผนที่ หมู่บ้านชื่อสุ่ยห่างจากตำบลเค่อเล่อไม่ไกลนัก เดิมทีหยางโปยังคิดว่าปู่คนเฝ้าประตูพูดเกินจริง แต่พอมาอยู่บนถนนจริงๆแล้ว เขาถึงได้พบว่า ปู่คนเฝ้าประตูยังนับว่าพูดออกมาไม่หมด


ขณะที่ระยะทางจากตำบลเค่อเล่อยิ่งไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ถนนก็ยิ่งยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ตอนที่


หยางโปขับนั้น ก็ขับด้วยความเร็วสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ตาอ้วนหลิวคิดว่ามันช้ามาก ก็เลยเพิ่มความเร็วเป็นหกสิบกิโลเมตร แต่เพียงไม่นานก็ต้องลดความเร็วลงมา


 


หนทางยากลำบาก ตอนที่มาได้ถึงครึ่งทาง พวกเขาก็ต้องหยุดพัก ก่อนจะเปลี่ยนให้หยางโปมาขับอีกช่วงหนึ่ง รอจนพระอาทิตย์ขึ้นถึงกลางฟ้า ในที่สุดทุกคนก็เห็นหมู่บ้านชาวเขาแห่งหนึ่ง


หมู่บ้านที่ล้อมด้วยรั้วสี่ด้านตั้งอยู่กลางเนินเขา ทางบนเขาราบเรียบ รถเคลื่อนตามถนนที่คดเคี้ยวขึ้นไปทางด้านบน ขับไปได้ครึ่งทางก็ไม่สามารถไปต่อได้อีก จึงได้แต่ทิ้งรถแล้วปีนเขาขึ้นไป


ปีนมาได้ครึ่งเนิน ยังไม่ทันได้เข้าไปในหมู่บ้าน ทั้งสี่คนก็ถูกชายวัยกลางคนที่ร่างสวมชุดป่าคนหนึ่งขวางเอาไว้ เขาถลึงตามองมาทางทั้งสี่คน พลางดุด่าเสียงแสบแก้วหู


เพราะอีกฝ่ายใช้ภาษาของชนกลุ่มน้อย พวกหยางโปทั้งสี่คนจึงฟังไม่เข้าใจ


 


หลูตงซิงเดินขึ้นไปข้างหน้าก่อนจะกล่าวว่า ” สวัสดีครับ พวกเรามาจากปักกิ่ง อยากจะมาพบคนในครอบครัวของจื่อมู่ “


ชายวัยกลางคนถลึงตามองมา ก่อนจะใช้ภาษาจีนแปร่งๆ ถามว่า ” พวกเธอจะมาหาคนในครอบครัวจื่อมู่ทำไม ? “


” พวกเราเอาข่าวจื่อมู่มาแจ้งให้ทราบครับ ” หลูตงซิงบอก


” ห๊ะ? ข่าวของจื่อมู่ ? ” ชายวัยกลางคนอุทานอย่างตกใจขึ้นมาทันที เขาเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วจับแขนของหลูตงซิงเอาไว้ ” พวกเธอเจอจื่อมู่ที่ปักกิ่งเหรอ ? ทำไมเขายังไม่กลับมา ? “


 


การกระทำของชายวัยกลางคนทำให้ทุกคนล้วนหน้าเปลี่ยนสี แต่พอได้ยินเขาพูดอย่างนี้ ทุกคนถึงระบายลมหายใจออกมาได้


” พวกเราอยากจะเจอคนในครอบครัวของจื่อมู่ ถึงจะบอกข่าวของจื่อมู่ให้คนในครอบครัวของจื่อมู่ทราบได้ ” หลูตงซิงบอก


” ฉันเซอเจ๋อเป็นพี่ชายของจื่อมู่ ! ” ชายวัยกลางคนกล่าว


ทุกคนมองตากันแวบหนึ่ง ต่างก็รู้สึกประหลาดใจ หลูตงซิงพูดขึ้นทันทีว่า


” คุณเซอเจ๋อ อายุของพวกคุณดู… “


 


ชายวัยกลางคนยิ้ม ” วันนี้ฉันเพิ่งสามสิบ จื่อมู่เป็นน้องชายคนที่สาม เขาฉลาดมาตั้งแต่เด็ก ก่อนจะไป เขายังโทรมาที่บ้านบอกให้พวกเราไม่ต้องกังวล บอกว่าอีกเดี๋ยวเขาก็จะรวยแล้ว ให้พวกเรารอเขา แล้วเขาจะมารับคนในบ้านไปอยู่ที่อำเภอ ! “


หยางโปมองเซอเจ๋ออย่างประหลาดใจ คนคนนี้หน้าดูแก่จริงๆ


หลูตงซิงพยักหน้า เขาเงยหน้ามองไปทางเซอเจ๋อ ” คุณเซอเจ๋อ เรื่องนี้ถ้าจะให้ดีไว้บอกคุณกับครอบครัวพร้อมกันจะดีกว่า “


สีหน้าเซอเจ๋อพลันเปลี่ยนไป เขาหันไปมองหลูตงซิง ” พวกเธอเป็นใคร ? “


 


” คุณเซอเจ๋อ พวกเราเพียงมาส่งข่าวเท่านั้น ” หลูตงซิงบอก


เซอเจ๋อมองมาที่พวกเขา เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ยังพาพวกเขาไปที่หมู่บ้าน


ไม่นาน ทุกคนก็มาถึงหน้าบ้านซึ่งก่อด้วยหินก้อนใหญ่หลังหนึ่ง


ตอนที่ 267 เช็คอิน


ตั้งแต่ที่เข้ามาในหมู่บ้าน หยางโปก็สังเกตเห็นว่า บ้านเรือนในหมู่บ้านเกินกว่าครึ่งล้วนก่อมาจากหินก้อนใหญ่ บ้านจื่อมู่เองก็ไม่ได้ต่างจากที่คาดไว้ หินก้อนใหญ่ประเภทนี้ก็หาได้ในพื้นที่ สามารถใช้ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วเป็นอย่างมาก


เมื่อเดินเข้าไปในลานบ้าน เซอเจ๋อก็รีบตะโกนว่า ” พ่อ แม่ พวกเขาบอกว่าจะเอาข่าวของจื่อมู่มาบอก ! “


ไม่นาน พ่อกับแม่ของเซอเจ๋อ รวมทั้งน้องชายน้องสาวคู่หนึ่งก็เดินออกมา แม่รีบมองไปทางพวกหยางโป


” จื่อมู่กลับมาแล้วเหรอ ? “


หยางโปรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ก็ได้คาดถึงสถานการณ์แบบนี้เอาไว้เหมือนกัน แต่เขาก็ยังรู้สึกยากที่จะเอ่ยปากบอกอยู่ดี


 


หลูตงซิงก้าวขึ้นมาด้านหน้าหนึ่งก้าว ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ ” ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ครับ พวกผมนำข่าวร้ายมาแจ้งพวกคุณ “


แม่รีบก้าวออกมา ” เกิดอะไรขึ้น ? จื่อมู่เขาเกิดเรื่องใช่ไหม ? “


หลูตงซิงพยักหน้า ” พวกจื่อมู่สามคนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ปักกิ่ง และโชคร้ายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุครับ “


แม่สีหน้าซีดเผือด มือทั้งคู่กดไปที่หัวใจ ดูท่าทีเจ็บปวดรวดร้าวเป็นอย่างมาก


เซอเจ๋อรีบก้าวออกมาประคองแม่ ส่วนน้องชายน้องสาวของเขาก็ประคองพ่อ แม่ร้องไห้เสียงหลงอย่างเจ็บปวด


 


เซอเจ๋อรีบเอ่ยปากถามว่า ” ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ ? จะเป็นไปได้ยังไง ? “


หลูตงซิงส่ายศีรษะ ” ผมคิดว่าพวกคุณน่าจะเตรียมใจไว้บ้างแล้วสินะครับ ? “


เซอเจ๋อเอ่ยปากถามว่า ” นายหมายความว่ายังไง ? “


” พวกเราซื้อของของจื่อมู่มา ตอนนี้เหมือนกับว่าพวกเรากำลังต้องคำสาปกันอยู่ เจอเคราะห์ร้ายไม่หยุดไม่หย่อน ผมไม่เชื่อว่าเมื่อก่อนพวกจื่อมู่จะไม่มีสภาพแบบเดียวกันกับพวกเราแน่ ? ” หลูตงซิงจ้องเซอเจ๋อพลางถาม


สีหน้าเซอเจ๋อดำคล้ำ ดวงตากลับเบิกกว้างขึ้นพริบตาหนึ่ง ครอบครัวจื่อมู่ต่างเบิกตาจ้องมองพวกเรา


เซอเจ๋อถามอย่างอดไม่ได้ว่า ” พวกคุณซื้อของของจื่อมู่ เลยเคราะห์ร้ายไม่หยุดไม่หย่อนอย่างงั้นเหรอ ? “


 


หลูตงซิงพยักหน้า ” ที่พวกเรามาที่หมู่บ้าน ก็เพื่อมาหาซูหนี พวกเราอยากจะพบเขาเพื่อที่พวกเราจะได้ขจัดเรื่องพวกนี้ออกไป ! “


ครอบครัวของเซอเจ๋อยังรู้สึกเจ็บปวดไม่หาย เซอเจ๋อจ้องมองหลูตงซิง ” จื่อมู่เขาตายยังไงกันแน่ ? “


” เป็นตอนที่พวกเขาขับรถตู้อยู่ ทั้งสามคนประสบอุบัติเหตุพร้อมกัน ถูกรถบรรทุกชนตาย ” หลูตงซิงอธิบาย


ใบหน้าเซอเจ๋อปรากฎความโศกเศร้า เขาหันไปมองพ่อแม่แวบหนึ่ง ก่อนจะมองไปทางพวกหยางโป


” ไป ฉันจะพาพวกเธอไปเจอซูหนีเอง “


พูดจบ เขาก็ตบเบาๆ ที่ไหล่น้องชาย น้องชายของเขาดูแล้วเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดปี ได้รับคำสั่งไร้เสียงจากเขาก็วิ่งออกไปอย่างรู้กัน พริบตาเดียวก็หายวับไป


 


ทั้งสี่คนมองตากันแวบหนึ่ง ล้วนต่างก็ประหลาดใจ ระหว่างพวกเขานั้นส่งท่าทีอย่างรู้กัน ทำให้ทุกคนคิดว่าเรื่องนี้พวกเขาเตรียมตัวกันมาก่อนแล้ว หรือแม้กระทั่งการที่พวกเขาอาจจะรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วก็เป็นไปได้อย่างมาก


หยางโปช้อนตามองไป เห็นแม่และพ่อของจื่อมู่ทั้งสองคนหยุดสะอึกสะอื้นแล้ว แม้จะดูแล้วยังคงปวดใจ แต่กลับรู้สึกเบาบางลงเป็นอย่างมาก


จากนั้นพวกเขาก็ตามเซอเจ๋อออกไปจากลานบ้าน ทั้งกลุ่มกำลังเดินอยู่ในหมู่บ้าน หยางโปเห็นได้ถึงความยากจนข้นแค้นของที่นี่ คนส่วนมากล้วนสวมชุดประจำเผ่าของเผ่าอี๋ แต่บรรดาหญิงสาวของที่นี่ที่ใส่เครื่องประดับเงินกลับมีอยู่น้อยมาก เสื้อผ้าเป็นแบบง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีบางคนที่เสื้อผ้ามีรอยปะชุน


 


เซอเจ๋อพาทั้งหมดเดินผ่านหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านที่พบเห็นต่างก็มองมาอย่างสงสัยใคร่รู้ ไม่นานพวกเขาก็เดินเข้ามาในลานของบ้านที่อยู่กึ่งกลางหมู่บ้าน ลานบ้านนี้เทียบกับลานอื่นแล้วนับว่าใหญ่กว่าเล็กน้อย บ้านดูแล้วก็สูงกว่าเล็กน้อยเช่นกัน นอกจากเรื่องพวกนี้แล้วก็ไม่มีอะไรที่พิเศษอย่างอื่น


เซอเจ๋อเคาะประตู ไม่นานด้านในก็มีเสียงตอบกลับมา ” เชิญเข้ามา ! “


ทั้งกลุ่มเรียงแถวกันเข้าไปราวปลาว่ายตามกัน สิ่งที่ดึงดูดสายตาก็คือน้องชายของเซอเจ๋อที่พาวัยรุ่นหกเจ็ดคนมายืนอยู่กลางลานบ้าน ราวกับกำลังรอคอยคำสั่ง หยางโปถึงนึกขึ้นได้ เขาคิดว่าน้องชายของเซอเจ๋อเพียงมาแจ้งเรื่องให้ซูหนีทราบ ไหนเลยจะคาดว่าเขาจะวิ่งไปบอกวัยรุ่นคนอื่น นี่คงเพื่อรักษาความปลอดภัยของซูหนีสินะ


 


ไม่นาน ชายชราที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยก็เดินออกมาจากในบ้าน ศีรษะโพกผ้าสี่เหลี่ยม บนร่างของเขาสวมชุดสีขาวเรียบ ใช้ไม้เท้าก้าวเดินออกมาอย่างเชื่องช้า การก้าวเท้าเบาช้าแต่ทรงพลัง


เขาเดินออกมา ก่อนจะจ้องมองกลุ่มของหยางโป แล้วเบือนสายตาอย่างช้าๆ มองไปทางเซอเจ๋อ ” เป็นเรื่องของจื่อมู่ใช่ไหม ? “


เซอเจ๋อพยักหน้า กลางดวงตาปรากฏหยาดน้ำ ” ซูหนี จื่อมู่เขาจากไปแล้ว “


ซูหนีพยักหน้า ใบหน้าปรากฏความเศร้าโศก เขาหันศีรษะมองไปทางพวกหยางโป ” จื่อมู่เขาจากไปยังไง ? “


หลูตงซิงบรรยายเรื่องราวในวันนั้นอีกครั้ง แล้วเล่าเรื่องที่พวกตนกำลังถูกคำสาปเล่นงาน


 


พูดจบ หลูตงซิงก็มองซูหนี ” ท่านคือผู้ทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าซึ่งรู้ทุกสรรพสิ่ง พวกผมอยากจะหลุดพ้นจากสภาพอย่างนี้ ไม่ทราบว่าจะต้องทำยังไงดี “


ซูหนีผงกศีรษะ ” ในเมื่อพวกคุณมาถึงที่นี่แล้ว ก็พูดได้ว่าได้แก้ปัญหานั้นแล้ว ไม่อย่างนั้นคงจะเดินทางกันมาไกลขนาดนี้ไม่ได้ “


” แต่ตอนนี้เป็นเพียงการบรรเทาให้เบาบางเท่านั้น พวกเรายังไม่มีวิธีที่จะแก้ไขได้อย่างแท้จริง ” หลูตงซิง


กล่าว


ซูหนียื่นมือออกมา ” แผนที่สมบัติคงอยู่ในมือพวกคุณใช่ไหม ? “


 


หยางโปลังเลเล็กน้อย แต่ยังล้วงแผนที่สมบัติออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะส่งให้ ถึงยังไงเช็คที่เขาจ่ายไปใบนั้นยังไม่ทันได้เอาไปขึ้นเงินก็กลายเป็นขี้เถ้าไปแล้ว แม้จะส่งแผนที่สมบัติคืนไป เขาเองก็ไม่ได้เสียเปรียบ


ซูหนีรับแผนที่สมบัติมา ก่อนจะอุทานเสียงเบา แล้วหันหน้ามองไปทางพวกหยางโป ” นี่เป็นของอัปมงคล ทุกคนที่ได้ถือหรือได้ดูแผนที่สมบัตินี้ ล้วนจะถูกสาป “


เป็นไปตามที่หยางโปคิด เขาไม่มีทางเชื่อพวกนี้อย่างเด็ดขาด แต่สำหรับครั้งนี้ เขาไม่อาจไม่เชื่อได้ เขามองซูหนี ” ซูหนีครับ แผนที่สมบัติแผ่นนี้ใช้อะไรวาดขึ้นมากันแน่ ทำไมถึงอยู่มาได้นานขนาดนี้ได้ ? “


ซูหนีมองมา ก่อนจะดูแผนที่สมบัติอีกครั้ง ” ใช้เลือดสัตว์ผสม แล้วยังใช้การวาดแบบพิเศษสร้างขึ้นมา “


 


ซูหนีตอบอย่างคลุมเครือ หยางโปเองก็ไม่อาจจะถามให้ละเอียดได้


” ซูหนี พวกเราต้องทำยังไงถึงจะหลุดไปจากสภาพอย่างนี้ได้ครับ ? ” ลัวย่าวหัวถามอย่างทนไม่ไหว


ซูหนีมองไปทางทั้งสี่คน ไม่เปิดปากเอ่ยวาจา เพียงแต่จ้องมองทั้งสี่คน


หยางโปยังไม่ทันได้มีท่าที ตาอ้วนหลิวก็เอ่ยปากว่า ” ซูหนี พวกเรายอมจ่ายเงินสองแสน และยังช่วยหมู่บ้านตั้งโรงเรียนประถมที่หนึ่งให้คุณว่ายังไง “


ซูหนีมองพวกเขา ใบหน้าปรากฏความตกตะลึง เขาไม่คิดว่าทั้งสี่คนนี้จะมือเติบอย่างนี้


” ได้ พรุ่งนี้ฉันจะทำพิธีให้พวกคุณ ” ซูหนีกล่าว พูดจบ เขาก็ใช้ไม้เท้าเดินเข้าไปในบ้านอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน ในบ้านนั้นมืดตื๋อ ดูแล้วเหมือนเป็นปากขนาดใหญ่ที่กำลังอ้ากว้าง เพื่อกลืนผู้คน


 


ด้านในมีเสียงที่ไม่เร่งไม่รีบของซูหนีดังออกมา ” เซอเจ๋อ พวกเธอมาจัดที่พักและอาหารให้พวกเขาซะ “


” ครับ ” เซอเจ๋อผงกศีรษะ


คนอื่นๆ ล้วนมองเซอเจ๋ออย่างอิจฉา


พวกหยางโปยังไม่รู้ว่าทุกคนหมายถึงอะไรกันแน่ รอจนพวกเขามาถึงบ้านของเซอเจ๋อ เมื่อได้เห็นที่พักแล้ว ต่างก็เปลี่ยนสีหน้า


เนื่องจากห้องข้างในที่เซอเจ๋อพาพวกเขาเข้ามานั้น อยู่ข้างบนเล้าหมู ที่สำคัญก็คือพื้นมีบางแห่งเป็นลายฉลุ ในห้องจึงสามารถได้กลิ่นเหม็นที่รุนแรงเข้มข้น และสามารถได้ยินเสียงหมูที่ดัง ” อู๊ด อู๊ด ” อยู่รอบๆ ได้อย่างชัดเจน


ตอนที่ 268 อาหารเลิศรสเผ่าอี๋


หยางโปมองไปทางเซอเจ๋อ ” ให้พวกเราอยู่ที่นี่เหรอ ? “


เซอเจ๋อพยักหน้า ” คืนละร้อยหยวนต่อคน “


พวกหยางโปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ต่างก็คาดไม่ถึงว่าจะเจอเรื่องพรรค์นี้


” หนึ่งร้อยหยวน ? นี่นายโกงคนอื่นอยู่ชัดๆ เลยนะ ! ” ลัวย่าวหัวพูดอย่างอดไม่อยู่


เซอเจ๋อมองลัวย่าวหัวแวบหนึ่ง ” ถ้าพวกเธอมีเงิน ฉันก็สามารถพาพวกเธอไปพักที่ที่ดีกว่านี้ได้ “


” นายพาพวกเราไปดูหน่อย ” ลัวย่าวหัวกล่าว


เซอเจ๋อออกจากห้องข้างๆ ก่อนจะเดินไปยังห้องที่อยู่อีกด้าน เขาชี้ไปที่ด้านใน ” เป็นห้องห้องนี้ “


 


เมื่อพวกหยางโปเดินเข้าไป ก็ได้กลิ่นอับของเชื้อราอย่างรุนแรง แม้ห้องจะใช้หินก่อขึ้นมา แต่ด้านในยังคงเป็นดิน พอเปิดไฟฉายที่มือถือ ก็เห็นว่าที่มุมห้องกองขยะเอาไว้กองหนึ่ง


” คืนละห้าร้อยหยวนต่อคน ” เซอเจ๋อพูด


พวกหยางโปต่างก็ขมวดคิ้วแน่น สภาพอย่างนี้ พวกเขาไม่ยอมนอนแน่ เพียงแต่ตอนนี้เป็นต้นฤดูหนาว อากาศข้างนอกตอนกลางคืนของมณฑลเฉียนโจวมีอุณหภูมิต่ำกว่าสิบองศา ถ้าอยู่ข้างนอกก็จะเป็นหวัดได้ง่าย


” ตอนกลางคืนอยู่บนรถเอาแล้วกัน ! ” หยางโปเสนอความคิดเห็น


 


” คงต้องนอนบนรถแล้วล่ะ ” ลัวย่าวหัวเองก็เอ่ยปากพูด


เซอเจ๋อร้อนใจขึ้นมาทันใด ” อย่าเลย รถเล็กเกินไป พวกเธอสี่คนจะอยู่กันได้ยังไง ? ทางนี้มีห้องให้ ฉันยังลดราคาลงให้ได้อีกหน่อยนะ “


มองสภาพภายในห้องแล้ว ตาอ้วนหลิวก็ส่ายหน้า ” ไม่เอาแล้ว นอนบนรถยังจะดีกว่า “


ใบหน้าเซอเจ๋อจนปัญญา ” แต่พวกเธอก็ต้องกินข้าวกันล่ะมั้ง ? “


” พวกนายมีเมนูพิเศษไหม ? ” ตาอ้วนหลิวเงยหน้าถาม


 


” มีสิ ลูกหมูย่าง ไก่ผัดพริกแห้ง หมูหนาว อะไรก็มีทั้งนั้นแหละ ” เซอเจ๋อกล่าว


ตาอ้วนหลิวกลืนน้ำลาย ” ราคาเท่าไหร่ล่ะ ? “


เซอเจ๋อลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า ” ลูกหมูย่างห้าร้อยหยวน ไก่ผัดพริกแห้งสองร้อยหยวน หมูหนาวก็สองร้อยหยวน “


หยางโปกลอกตา ราคานี้ไม่ใช่แค่แพงนิดแพงหน่อยแล้ว แต่ทุกคนมองตากันแวบหนึ่ง ต่างก็ผงกศีรษะตอบตกลง


” เอาไก่ผัดพริกแห้งสองชุด อย่างอื่นก็เอามาอย่างละชุด แล้วก็เอาปิ่งหรือข้าวมาให้พวกเราสักหน่อย ” หลูตงซิงเอ่ยปาก


 


” ได้เลย ! ” ใบหน้าเซอเจ๋อแสดงการดีใจขึ้นมาทันที อาหารไม่กี่อย่างพวกนี้จริงๆ แล้วไม่ได้มีต้นทุนอะไรมากมาย ลูกหมูหันกับไก่ก็ล้วนเลี้ยงเอาไว้ที่บ้าน ใช้เงินไปไม่มากเท่าไหร่ เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็นับว่าได้กำไรเกือบทั้งหมด !


เมื่อมองเซอเจ๋อที่จากไปด้วยความดีอกดีใจ หยางโปก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย ถามเสียงเบาว่า ” ครอบครัวพวกเขาทำไมไม่เห็นจะเสียใจกันเลย ? “


ลัวย่าวหัวชะงัก หลูตงซิงกลับพยักหน้าแล้วพูดว่า ” เรื่องนี้มีอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ เป็นไปได้ไหมว่าเป็นเพราะพวกเขารู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว ? “


” เป็นไปได้นะ ” ตาอ้วนหลิวพยักหน้า ” แต่ยังมีอีกอย่างที่น่าจะเป็นไปได้ เป็นไปได้ไหมว่าจื่อมู่ยังไม่ตาย ? “


 


” ไปไกลๆ เลย ! ” ลัวย่าวหัวกล่าว ” นายอย่ามาทำให้ฉันตกใจ สองวันนี้ฉันถูกทำให้ตกใจจนหัวใจรับไม่ไหวแล้ว ถ้าคนายทำฉันตกใจอีก ฉันจะยันเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ แล้วนะ”


หยางโปหัวเราะฮ่าฮ่า ” อย่าคิดมากเลย เป็นไปไม่ได้หรอก ตอนนั้นนายก็ได้รับการรับรองจากโรงพยาบาลไปแล้ว จะมีเรื่องพรรค์นี้ได้ยังไง ? ฉันยังคิดว่าที่เถ้าแก่หลูพูดมีเหตุผลกว่า “


” เผ่านี้ลึกลับซับซ้อน ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าถึงตัวจะใส่ชุดเผ่าอี๋ แต่ในขนบธรรมเนียมมีบางอย่างที่ไม่เหมือนกันนะ ? ” หลูตงซิงกล่าว


หยางโปมองไปทางหลูตงซิง หลูตงซิงขึ้นเหนือล่องใต้มาหลายปีขนาดนี้ ประสบการณ์ของเขาย่อมมากมาย และมองได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง


 


” เอาล่ะ ไม่ต้องคิดแล้ว พวกเราค่อยๆ คิดไปก็แล้วกัน หวังว่าพิธีพรุ่งนี้จะได้ผล ” ตาอ้วนหลิวพูด ” แต่ว่าต้องจ่ายเงินสองแสนและสร้างโรงเรียนประถมนี่มันช่างทำให้คนปวดใจจริงๆ เลย “


คาดเดากันอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายพวกเราก็ยังไม่เข้าใจเหตุผล เมื่อออกมาจากห้องข้างๆ พวกเราก็เห็นครอบครัวเซอเจ่อกำลังออกันอยู่ที่ห้องเล็กๆ ที่มุมทางตะวันตกเฉียงเหนืออย่างรีบร้อน ในนั้นมีห้องครัวเล็กๆ สร้างเอาไว้ห้องหนึ่ง พวกเขาหนึ่งครอบครัวห้าคน ทั้งแก่ทั้งเด็กออกันอยู่ในนั้น กำลังจุดไฟทำอาหาร


เป็นครั้งแรกที่หยางโปได้เห็นเมนูพิเศษของเผ่าอี๋ เขาเห็นพ่อของเซอเจ๋อเข้าไปในเล้าหมู แล้วก็เห็นเขาหิ้วลูกหมูตัวหนึ่งออกมาด้วยมือข้างเดียว ลูกหมูตัวเล็กมาก ดูแล้วหนักแค่ยี่สิบสามสิบชั่ง ชายชาวเผ่าอี๋ดูแล้วผอมดำ แต่กลับมีแรงมาก มือหนึ่งข้างเท้าหนึ่งข้างก็คุมลูกหมูเอาไว้อยู่แล้ว ส่วนอีกมือก็ถือมีดเล่มหนึ่งเอาไว้


 


จากมีดขาวออกมาเป็นมีดแดง เลือดหนึ่งสายทะลักกระเด็นตามคมมีด ก่อนเสียงร้องโหยหวนของลูกหมูจะดังตามมาติดๆ ชายเผ่าอี๋คนนี้ได้เชือดหมูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


น้องชายคนเล็กของเซอเจ๋อถืออ่างรองเลือดหมูอยู่ด้านหนึ่ง เลือดหมูไหลทะลักออกมา กระเด็นเปื้อนเขาทั้งตัว เขาขยับหลบ ในที่สุดเลือดหมูก็ไหลช้าลง


เซอเจ๋อถือมีดไปเชือดไก่หนึ่งตัว ไม่นาน ก็เอาไก่ที่ตายแล้วไปถอนขนในน้ำต้มเดือด ผ่าอกและท้องควักเอาเครื่องในออกมา


…….


ครอบครัวเซอเจ๋อวุ่นกับงาน หยางโปเห็นได้ว่าเบ้าตาพ่อแม่เซอเจ๋อแดงก่ำ แต่เด็กชายที่เล็กที่สุดในบ้านอายุยังน้อย จึงไม่ได้เศร้าเสียใจมากนัก ดวงตาของเขาจ้องมองหมูและไก่อยู่ตลอดเวลา และกลืนน้ำลายไม่หยุด


 


ลูกหมูเอามาย่าง ไก่ก็เอามาผัด หมูหนาวก็เป็นหมูเย็น เมนูนี้ทำเสร็จเอาไว้ก่อนแล้ว พอหั่นออกมาก็สามารถกินได้แล้ว


ทั้งหมดยุ่งจนถึงสี่ห้าโมงเย็น พวกหยางโปถึงได้กินข้าวเที่ยง


ลูกหมูย่าง ไก่ผัดพริกแห้ง ยังมีหมูหนาว ทั้งสามอย่างนี้ล้วนนับเป็นเมนูพิเศษ หลังจากทำเสร็จก็ยกมาขึ้นโต๊ะ เนื่องจากอากาศที่เฉียนโจวชื้น ดังนั้นจึงกินพริกได้มาก อาหารทั้งสามอย่างนี้ล้วนใส่พริก ดูแล้วสีแดงแจ๋ สีและกลิ่นครบถ้วน ทำเอาพวกเขาน้ำลายไหลอยากกิน


น้องชายของเซอเจ๋อยืนห่างออกไปไม่ไกล จับจ้องมาทางนี้ ทำให้พวกหยางโปยกตะเกียบขึ้นแต่กลับยากที่จะคีบอาหารกินได้


 


หยางโปลุกไปจ่ายเงินให้เซอเจ๋อ แล้วจึงดึงน้องชายอายุน้อยของเซอเจ๋อมาที่โต๊ะ ตอนนี้พวกลัวย่าวหัวทั้งสามคนก็กินจนเหงื่อท่วมหัวไปเรียบร้อยแล้ว


น้องชายเซอเจ๋อหันไปมองหยางโปแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองทางพ่อแม่ ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถหนีความดึงดูดของอาหารเลิศรสไปได้ จึงลงมือกินคำใหญ่คำแล้วคำเล่า


อาหารทั้งสามอย่างล้วนมีรสเผ็ด แต่รสชาติยอดเยี่ยม แม้หลูตงซิงที่เคยกินมาก่อนแล้ว ก็ยังยกนิ้วมือให้เช่นกัน ” ดั้งเดิม ! นี่ถึงจะเป็นอาหารเลิศรสแบบต้นตำรับของเผ่าอี๋ ! “


ทั้งห้าคนกินราวหมาป่าขย้ำเสือกลืน ลูกหมูหนึ่งตัว ไก่สองตัว ยังมีหมูเย็นสองชุด พวกเขากินกันจนสะอาดเกลี้ยง !


 


หลังจากเช็ดมือแล้ว หยางโปถึงเพิ่งมีโอกาส เขามองไปทางน้องชายของเซอเจ๋อ ” เธอชื่ออะไร ? “


” เอ่อร์ป๋อ “


” เอ่อร์ป๋อ ? ” หยางโปพยักหน้า ” นานเท่าไหร่บ้านพวกเธอถึงจะกินเนื้อกันสักครั้งหนึ่ง ? “


เอ่อร์ป๋อชะงัก คิ้วตาลู่ลง หน้าแดงด้วยความอาย ” มีงานเทศกาลถึงจะได้กิน หมูพวกนั้นต้องขุนให้อ้วนแล้วเอาไว้ขาย ไก่ก็ต้องเอาไว้ออกไข่ ไม่ได้มีเอาไว้กิน “


ทั้งสามคนที่กำลังยุ่งกับการแคะฟันชะงัก หันกายมองมาทางด้านนี้ ลัวย่าวหัวไม่เคยพบความยากจนข้นแค้นพรรค์นี้ จึงเอ่ยปากถามว่า ” ปีหนึ่งมีเทศกาลกี่ครั้ง ? “


เอ่อร์ป๋อชะงักเล็กน้อย ยื่นมือออกมาชูนิ้ว ” สี่ครั้ง “


พอหยางโปได้ยิน ก็เจ็บแปลบที่ใจ ทันใดนั้นก็นึกถึงเรื่องของจื่อมู่ได้ เขาเงยหน้าถามว่า ” จื่อมู่พี่สามของนายหาเงินอยู่ข้างนอกตลอดเลยเหรอ ? เขาเคยส่งกลับมาที่บ้านบ้างไหม ? “


ตอนที่ 269 แหวนทองลิมิเต็ด


เอ่อร์ป๋อส่ายหน้า ” แม่บอกว่าพี่อยู่ข้างนอกหาเงินได้มาก พี่สามที่ทางเข้าหมู่บ้านส่งเงินให้ที่บ้านเยอะแยะ แต่พี่ไม่เคยส่งมาให้เลย แม่บอกว่าพี่เขาอยู่ข้างนอกยังเรียนรู้ได้ไม่ดีพอ “


หยางโปหันไปมองพวกลัวย่าวหัวทั้งสามคน ทุกคนล้วนเข้าใจในทันที ไม่แปลกที่พอจื่อมู่ตาย ครอบครัวของเขาจะดูแล้วไม่เหมือนกับเสียใจมากนัก หากพูดถึงความสามารถในการหาเงินของเขา แต่ละปีย่อมสามารถส่งเงินกลับมาได้ไม่น้อย มากพอที่จะทำให้สภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้น แต่เขากลับไม่ส่งกลับมา แต่เอาไปใช้กินดื่มเที่ยวเล่นอย่างมีความสุขอยู่ข้างนอก


” เอ่อร์ป๋อ ซูหนีในหมู่บ้านกับพี่ชายของเธอสนิทกันมากไหม ? ” หยางโปถามต่อ


” พวกเขา… “


 


” เอ่อร์ป๋อ รีบมาทำงานเร็ว ! ” เซอเจ๋อพลันโผล่มาทางด้านหลัง ตะโกนเรียกเอ่อร์ป๋อ


” โอ๊ะ ” เอ่อร์ป๋อยิ้มให้หยางโปอย่างอายๆ ไม่ทันได้พูดต่อก็วิ่งจากไป


หยางโปรู้สึกเศร้าเล็กน้อย ที่ไม่สามารถเอาข่าวออกมาจากปากของเอ่อร์ป๋อมากกว่านี้ได้ และก็ไม่รู้เช่นกันว่าพรุ่งนี้ซูหนีเตรียมจะทำอะไรกันแน่ ?


พวกเขาไม่ได้รั้งอยู่ต่อ ด้วยอิทธิพลในหมู่บ้านของซูหนี พวกเขาเองก็ไม่อาจถามอะไรออกมาได้ และก็ยากที่จะให้คนอื่นช่วยเหลือ


รถจอดอยู่ที่นอกหมู่บ้าน ทั้งสี่คนกลับไปที่รถ ล็อครถจากด้านใน ก่อนจะเปิดช่องซันรูฟด้านบน แล้วจึงจะเปิดแอร์ในรถ


 


หยางโปนั่งอยู่ที่นั่งด้านหลัง ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดสนิท หยางโปหันมองไปยังทิศทางของหมู่บ้าน ทั่วทั้งหมู่บ้านมีแสงไฟหร็อมแหร็ม เมื่อมองจากที่ไกลๆ หมู่บ้านและความดำมืดของภูเขาจึงผสานเป็นหนึ่งเดียว !


ในรถคับแคบ เมื่อต้องนั่งหลับก็ไม่สบายตัวเลย ถ้าสามารถที่จะกลับไปที่ตำบลเค่อเล่อได้พวกเขาก็ยินยอม แต่ไม่ต้องพูดถึงว่าหนทางนั้นยาวไกล แถมถนนบนภูเขายังขรุขระ พอฟ้ามืด รถก็ขับลำบาก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องยอมลำบากกันไปก่อน


เขาเกือบไม่ได้นอนทั้งคืน ในความพร่าเลือน เมื่อหยางโปลืมตาขึ้น ท้องฟ้าก็สว่างมากแล้ว


เนื่องจากไม่ได้เตรียมตัวเอาไว้ล่วงหน้า ดังนั้นจึงไม่มีแปรงสีฟัน ทุกคนได้แต่ใช้น้ำประปากลั้วปาก ก่อนจะไปที่ริมแม่น้ำ แล้วใช้น้ำในแม่น้ำล้างหน้า จึงจะกินคุ้กกี้รองท้อง


 


แปดเก้าโมง พวกหยางโปก็มาที่หมู่บ้านอีกครั้ง ครั้งนี้พวกเขาเดินตรงไปยังใจกลางหมู่บ้านที่ซูหนีอาศัยอยู่


พอเดินไปถึงหน้าประตู พวกหยางโปก็พบว่า ในลานบ้านของซูหนีมีคนอยู่ไม่น้อย เมื่อก้าวเข้าประตูไปด้านใน ทุกคนก็ไม่ได้พูดอะไร ยืนรออยู่ที่กลางลานบ้าน


ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของซูหนี ลัวย่าวหัวมองเข้าไปด้านในห้องของซูหนีอย่างกระสับกระส่าย ประตูห้องปิดสนิท ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น


หลูตงซิงส่ายหน้า เตือนว่า ” ย่าวหัว อย่าร้อนใจไป นายต้องเชื่อในซูหนี ในเมื่อเมื่อวานเขาพูดอย่างนั้นแล้ว เขาก็ต้องทำได้อย่างแน่นอน อีกเดี๋ยวพอเจอเขาแล้ว ยิ่งต้องระวังคำพูดและน้ำเสียง อย่าให้เกิดการเข้าใจผิดกันได้ “


 


ลัวย่าวหัวพยักหน้า ” คุณวางใจเถอะ ผมจะระวัง “


หยางโปเงยหน้ามองไปที่ประตู ก็เห็นซูหนีเดินเข้ามาจากด้านนอกพอดี มือหนึ่งถือไม้เท้า ส่วนอีกมือถือขวานเอาไว้ด้ามหนึ่ง ด้านหลังคล้ายจะยังแบกของมาด้วย


ซูหนีเดินเข้ามาทีละก้าวๆ จากทางด้านใต้ ด้านหลังแบกแสงอาทิตย์ แสงอาทิตย์ฉายอยู่เหนือร่างเขา ดูแล้วน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก ทุกคนในลานเงียบเสียงลงทันที


หยางโปจ้องมองซูหนี จนกระทั่งเขาเข้ามาในลานบ้าน ถึงได้เห็นว่าด้านหลังของเขาแบกไม้หงซานมาด้วยท่อนหนึ่ง ไม้หงซานที่ยังมีกิ่งก้านถูกเขาแบกกลับมา


พอพวกเด็กหนุ่มเผ่าอี๋เห็นซูหนีเดินเข้ามา ก็รีบล้อมเข้าไป ก่อนจะช่วยรับไม้หงซาน


 


ซูหนีมองไปทางพวกหยางโป ” ทำให้พวกคุณรอนานแล้ว “


พวกหยางโปรีบส่ายหน้า ตอนนี้เองถึงได้รู้ว่าซูหนีออกไปตัดไม้ตั้งแต่เช้าแล้ว


” ลำบากซูหนีแล้ว “หยางโปกล่าว


ซูหนีผงกศีรษะ ” ฉันต้องทำของไว้ใช้ในพิธีกรรมให้พวกเธอ ของในพิธีชิ้นนี้ต้องรอจนเย็นถึงจะทำเสร็จได้ “


” ลำบากซูหนีแล้ว พวกเรารอกันได้ครับ ” หลูตงซิงกล่าว


ซูหนีผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มบางๆ ” เด็กๆ ในหมู่บ้านต้องรู้สึกขอบคุณพวกเธอมากแน่ๆ “


 


ลัวย่าวหัวยิ้ม ” ต่อไปไว้พวกเราจะมาดูบ่อยๆ นะครับ สภาพแวดล้อมของชื่อสุ่ยไม่เลวเลยจริงๆ ถ้าสามารถพัฒนาให้เป็นจุดท่องเที่ยวชมวิวได้ คงจะมีคนมาเที่ยวมากมายแน่ “


” ไม่ได้ ! ” ซูหนีกระทุ้งไม้เท้าที่ถือเอาไว้ไปบนพื้นหนักๆ เอ่ยปากชี้แจงว่า ” ทำอย่างนี้จะเป็นการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ! โรคภัยที่คนภายนอกนำมานั้นเจ็บปวดทรมาน ! “


หยางโปดึงลัวย่าวหัวทีหนึ่ง ขวางเขาไม่ให้พูดอะไรอีก ก่อนจะหันไปพูดกับซูหนีว่า ” ซูหนี เขาพูดจาไม่เป็น คุณอย่างได้ใส่ใจเลยครับ “


ซูหนีแค่นเสียงเย็นชาทีหนึ่ง หมุนกาย ก่อนเดินเข้าไปในบ้าน


 


หยางโปจ้องมองแผ่นหลังของเขา รอจนเขาเดินไปไกลแล้ว จึงจะถามเสียงค่อยว่า ” ทำไมฉันถึงคิดว่าแหวนบนนิ้วซูหนีดูคุ้นๆ กันนะ ? “


” แหวน ? ” ตาอ้วนหลิวมองมาอย่างประหลาดใจ เมื่อกี้เขาไม่ได้สนใจหน้าตาแหวนบนนิ้วมือของซูหนีเลย


” นั่นเป็นแหวนทองคำรูปเสือชีตาห์ของคาร์เทียร์ที่เป็นลิมิเต็ดทั่วทั้งโลก ! ” หลูตงซิงพลันเงยหน้าพูดเสียงค่อย


ตาอ้วนหลิวตกใจมาก เขามองหลูตงซิง ” ต้องราคาสักสองสามแสนล่ะมั้ง ? “


หลูตงซิงพยักหน้า ” สามแสนกว่าหยวน ! ฉันมีอยู่รุ่นหนึ่ง ! “


หยางโปมองไปทางทั้งสี่ด้านของลานบ้าน ในลานนี้คนมากมายที่มาล้วนเป็นช่างไม้ พวกเขากำลังตัดไม้หงซานเป็นท่อนเล็กๆ มีคนที่ถือมีดและเริ่มลงมือแกะสลักแล้ว พวกเขาไม่สนใจที่จะคุยกับพวกหยางโปเลย


 


” ของสมัยใหม่ขนาดนี้ เขาจะมีได้ยังไง ? ” ลัวย่าวหัวพูดอย่างตกใจ


คาร์เทียร์เป็นแบรนด์อัญมณีที่หรูหราของฝรั่งเศส เข้ามาตั้งฐานในประเทศจีนเกือบสองปี แต่ซูหนีอยู่ในแถบตะวันตกเฉียงใต้ จะไปมีแหวนที่ทันสมัยขนาดนี้ได้ยังไง ? หรือว่ามันจะบังเอิญเหมือน ?


หลูตงซิงส่ายหน้า ” ครึ่งหลังของปีที่แล้วฉันถึงจะซื้อมาได้ แหวนวงนั้นดูเก่าแล้ว แต่ก็ยังมองออกว่ามีร่องรอยของการขัดเงา ไม่ใช่บังเอิญเหมือนอย่างแน่นอน ! “


” สามแสน ! ” หยางโปพูดเสียงต่ำ


สามแสนนั้นไม่ได้มากมาย แต่สำหรับหมู่บ้านยากจนแถบตะวันตกเฉียงใต้แล้ว นี่เป็นราคาที่สูงเสียดฟ้าอย่างแน่นอน !


 


” เอาล่ะ พวกเราอย่าไปคิดอะไรมาก รีบเสร็จเรื่องของพวกเรา แล้วก็รีบไปจากที่นี่กัน ฉันไม่คิดจะไปสำรวจขุมสมบัติของแคว้นเย่หลางอีกแล้วล่ะ ” ตาอ้วนหลิวกล่าว


ลัวย่าวหัวลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดว่า ” ฉันเองก็คิดว่าพวกเราอย่าไปสำรวจเลย แค่เพิ่งเริ่มก็พิลึกขนาดนี้แล้ว “


หลูตงซิงมองไปทางหยางโป หยางโปพูดว่า ” ฉันเห็นด้วย “


หลูตงซิงพยักหน้า ” งั้นก็ดี พวกเราจะรีบออกไปให้เร็วที่สุด “


พูดจบ ทุกคนก็ไม่พูดอะไรอีก


 


เมื่อทุกคนหันกายไปมองคนกลุ่มนั้น ก็เห็นว่าหลังจากที่พวกเขาเอาไม้หงซานไปตัดเรียบร้อยแล้ว ในมือทุกคนก็ถือท่อนไม้เอาไว้ท่อนหนึ่ง อีกมือหนึ่งก็ถือมีดแกะสลักแล้วเริ่มลงมือแกะ


ต้นหงซานนั้นโตช้า เนื้อมีความแข็งเป็นอย่างยิ่ง ในคนสี่คนที่แกะสลักมีวัยรุ่น และก็มีคนแก่ ความเร็วในการใช้มีดแกะสลักของพวกเขาจึงช้ามาก ดูแล้วเหมือนว่าพวกเขาจะแกะเป็นรูปสัตว์


หยางโปหันมองไปทางชายแก่ที่ทำงานได้เร็วที่สุด เห็นมีดแกะสลักในมือเขาโฉบไปมา ทุกครั้งที่ลงมีด ล้วนสามารถขูดเอาขี้เลื่อยออกมาได้ไม่น้อย


ไม่นาน สัตว์แกะสลักตัวนั้นเป็นรูปเป็นร่าง หัวเหมือนกับหมาป่าตัวหนึ่ง !


ตอนที่ 270 เหวยทู ของใช้ในพิธี


หยางโปเห็นวัยรุ่นคนหนึ่งมือว่าง เขาจึงเดินเข้าไป แล้วถามเด็กหนุ่มคนนั้นว่า ” น้องชาย นี่คืออะไรเหรอ ? “


เด็กหนุ่มหันมามองหยางโปแวบหนึ่ง หยางโปส่งบุหรี่ให้มวนหนึ่ง เด็กหนุ่มคนนั้นเหลือบมองแวบหนึ่ง ก่อนจะรับไปอย่างยินดี


หยางโปไม่กล้าเมินเฉยคนอื่น จึงรีบแจกจ่ายบุหรี่ให้


มีบางคนรับไป แต่ก็มีบางคนไม่ได้รับไป เมื่อแจกจ่ายเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มก็เห็นว่าในมีหยางโปยังมีเหลืออยู่ไม่น้อย จึงพูดยิ้มๆ ว่า ” ให้ผมเถอะ เดี๋ยวผมช่วยคุณแจกเอง “


หยางโปยิ้ม ก่อนจะส่งให้ไป


 


” นี่เป็นบุหรี่อย่างดีเลยนะ ตอนฉันทำงานเป็นช่างไม้อยู่ข้างนอก ต้องหาเงินสองสามวันถึงจะซื้อบุหรี่ได้หนึ่งซอง ! ” เด็กหนุ่มสูบบุหรี่ไปพลางพูดไปพลาง


” แล้วทำไมถึงไม่อยู่ข้างนอกล่ะ ? ” หยางโปเองก็ไม่ได้เร่งร้อน


” ทำงานข้างนอกลำบากมาก ที่สำคัญพอสิ้นปี หัวหน้าผู้รับเหมาก็จะดึงเวลาไม่ยอมจ่ายค่าแรงให้ ” เด็กหนุ่มกล่าว


หยางโปพยักหน้า สองปีมานี้เรื่องค้างเงินค่าจ้างมีมากจริงๆ ในสื่อเองก็มีรายงานข่าวไว้มากมาย ” ครั้งหน้าไปจินหลิง ก็มาหาผมได้ ถ้ามีใครค้างเงินค่าจ้างคุณ ผมช่วยคุณเอาเงินคืนมาได้นะ “


” จริงเหรอ ? ” เด็กหนุ่มตกใจระคนดีใจในทันใด


 


เดิมหยางโปแค่พูดตามมารยาท แต่พอเห็นท่าทีอย่างนี้ ก็รู้ว่าตัวเองแทงโดนปัญหาเข้าแล้ว แต่เขาเองก็ไม่กลัว ” จริงแท้แน่นอน “


เด็กหนุ่มพุ่งพรวดไปด้านหลังพลางตะโกนว่า ” พี่น้องทุกคน คุณคนนี้เขาบอกว่าสามารถช่วยพวกเราเอาค่าจ้างคืนมาได้นะ ! “


หยางโปเห็นคนครึ่งหนึ่งล้วนหันหน้าขวับมองมา พวกเขาจ้องมองหยางโป ในดวงตาสว่างไสว


หยางโปมองอีกฝ่าย ก่อนจะอธิบายว่า ” ผมอยู่ที่จินหลิง ดังนั้นจึงสามารถแก้ปัญหาได้แค่เฉพาะที่จินหลิงเท่านั้นนะครับ “


 


” พวกเราก็อยู่ที่จินหลิง ! ” เด็กหนุ่มกล่าว


หยางโปพยักหน้า ” งั้นก็ดีเลย พอจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว พวกคุณก็ไปที่จินหลิงกับผม ขอแค่หาเถ้าแก่เจอ ผมก็จะช่วยพวกคุณทวงหนี้ได้ ! “


” จริงสิ พวกคุณทำงานที่ไซต์งานก่อสร้างไหน หรือว่าเป็นที่ตึกที่กำลังก่อสร้างตึกไหนเหรอ ? ” หยางโปถามมากขึ้นอีกประโยค


” เป็นตึกที่กำลังสร้างของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ซู่เซิง ! ” เด็กหนุ่มกล่าว


หยางโปชะงักเล็กน้อย หันไปมองหลูตงซิงแวบหนึ่ง ” เรื่องนี้มอบให้ผมเถอะ ! “


” จริงสิ ที่พวกคุณทำอยู่เรียกว่าอะไรเหรอ ? ” หยางโปถาม


 


” ของใช้ในพิธีประเภทนี้เรียกว่า เหวยทู ” เด็กหนุ่มได้ยินหยางโปสัญญาว่าจะช่วยทวงค่าจ้างให้ ก็เป็นมิตรขึ้นมาทันใด อธิบายว่า ” ตอนที่ทำของใช้ในพิธีนี้ ซูหนีจะต้องเลือกวันมงคลก่อน แล้วถึงจะแบกเหล้า เดินเท้าข้ามเขาลึกป่าทึบ ต้องไปค้นหาที่ที่ไม่ได้ยินไก่ขัน ไม่ได้ยินหมาเห่า บนเทือกเขาที่สูงที่สุด ไกลที่สุดซึ่งไม่เห็นบ้านเรือนผู้คน แล้วจึงหาต้นหงซานสมบูรณ์ต้นหนึ่ง ซูหนีต้องยืนอยู่หน้าต้นไม้ ใช้เหล้าถวายต้นไม้ต้นนี้ แล้วก็ภาวนาอย่างเคร่งขรึมตามพิธี ถึงจะตัดต้นไม้ต้นนี้ลงมาด้วยตนเอง แล้วนำกลับมาท่อนหนึ่งได้ ! “


พูดจบ เด็กหนุ่มก็พลันมองมาทางหยางโป ” ทำไมคุณถึงได้กล้าบอกว่าจะสามารถช่วยพวกเราทวงเงินค่าจ้างกลับมาได้แน่ๆ ล่ะ ? “


 


ทุกคนล้วนหยุดงานในมือแล้วหันมองมา หยางโปยิ้ม เมื่อหันหน้าไปก็เห็นความกระอักกระอ่วนบนใบหน้าของหลูตงซิง จึงไม่ดึงเขาออกมา แต่พูดว่า ” พวกคุณวางใจเถอะ ตอนนี้ขอให้พวกคุณบอกผมว่า อยู่ที่ไซต์งานไหน ทำงานมากน้อยเท่าไหร่ หัวหน้ารับเหมาค้างเงินเอาไว้เท่าไหร่ก็พอ “


พอเห็นคนครึ่งหนึ่งลุกขึ้น หยางโปก็รีบบอกว่า ” ทุกคนอย่ารีบร้อน มาคนเดียวก็พอแล้ว ตอนนี้ผมต้องใช้เวลาในการประสานงาน บางทีพอทุกคนช่วยผมทำเหวยทูเสร็จแล้ว เรื่องนี้ก็น่าจะเรียบร้อยพอดี ! “


หยางโปปลอบขวัญทุกคน ก่อนจะให้เด็กหนุ่มเอารายละเอียดมาแจ้งเขา ส่วนเขาก็เอารายละเอียดพวกนี้ส่งให้หลูตงซิง แม้ว่าบนเขาสัญญาณจะค่อนข้างแย่ แต่ในมือหลูตงซิงเป็นโทรศัพท์ดาวเทียม สัญญาณชัดเป็นอย่างยิ่ง มีสายโทรกลับมา เขาเป็นคนจำกัดงานนี้ ที่เหลือก็ต้องอาศัยให้ลูกน้องของเขาเป็นคนทำ


 


เวลาผ่านไป งานในมือของทุกคนก็ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง หยางโปเห็นได้ว่าที่ทุกคนแกะสลักออกมานั้นมีรูปร่างเป็นสัตว์สามชนิด ได้แก่ หมาป่า เสือ และยังมีแกะอีกหนึ่งตัว


สัตว์ทั้งสามชนิดมีทั้งหมดสิบสองตัว การแกะสลักมีความยากเป็นอย่างมาก เมื่อถึงบ่ายสาม ก็เสร็จสิ้นไปส่วนใหญ่แล้ว เหลือเพียงขั้นตอนการขัดเงาให้กับสามตัวสุดท้ายเท่านั้น


ด้วยการกดดันเป็นทอดๆ ในที่สุดด้านหลูตงซิงก็มีโทรศัพท์โทรกลับมา ทางนั้นให้เบอร์มือถือมาหนึ่งเบอร์ หยางโปเอาเบอร์มือถือส่งให้เด็กหนุ่ม ” นายโทรไปเบอร์นี้ “


เด็กหนุ่มลังเลเล็กน้อย ” โทรไปแล้วเขาจะให้เงินผมเหรอ ? “


 


เมื่อถามประโยคนี้ออกมา งานแกะสลักในลานต่างก็หยุดลง หยางโปพยักหน้า ” นายวางใจได้เลย “


เด็กหนุ่มลังเลเล็กน้อย ก่อนจะรับมือถือจากหยางโป เขาถือเบอร์มือถือเอาไว้ แล้วจึงต่อสายอย่างเงอะๆ งะๆ พวกเขาไปทวงค่าแรงมาด้วยกัน ใช้เวลาไปเกินกว่าครึ่งเดือน และใช้ไปทุกวิถีทาง ล้วนไม่สามารถทวงเงินคืนมาได้ เขาไม่กล้าเชื่อเลยจริงๆ ว่า พวกหยางโปเพียงแค่โทรศัพท์ก็จะได้เรื่องแล้ว


เมื่อโทรศัพท์ต่อสายติด ก็ได้ยินปลายสายพูดด้วยเสียงร้อนใจ ” อากั่วใช่ไหม ? ฉันเหล่าสือเอง ! “


” เถ้าแก่สือ สวัสดีครับ ! สวัสดี ! ” เด็กหนุ่มอากั่วพูดอย่างมีมารยาท


” อากั่ว เธอไม่ต้องเกรงใจฉันมากมายขนาดนี้ พี่ชายต้องขอโทษพวกเธอด้วย ที่ดึงเวลาพวกเธอมานานจนขนาดนี้ ตอนนี้เธอยังอยู่ที่จินหลิงรึเปล่า ? “


 


” ผมไม่ได้อยู่จินหลิงแล้วครับ ตอนนี้ผมกลับมาที่บ้านเกิดแล้ว ” อากั่วบอก


” เอางี้ อากั่ว ตอนนี้ให้เธอบอกเลขบัตรธนาคารมาให้ฉัน เดี๋ยวฉันจะคืนเงินค่าจ้างให้พวกเธอ อีกอย่าง ฉันค้างพวกเธอมาปีหนึ่ง ในหนึ่งปีนี้ฉันจะให้ดอกเบี้ยพวกเธอสิบเปอร์เซ็นต์อีกด้วย ” เถ้าแก่สือพูดอย่างมีมารยาทเป็นอย่างมาก


อากั่วชะงักค้าง ” เถ้าแก่สือ ทำไมถึงยังมีดอกเบี้ยด้วยล่ะ ? “


” อากั่ว พวกเราอย่าล้อเล่นกันขนาดนี้เลย พี่ชายอย่างฉันขอโทษพวกเธอด้วยจริงๆ ครั้งนี้ขอให้พวกเธอเมตตาผ่อนผัน ปล่อยพี่ชายไปสักครั้งเถอะนะ ! “


 


” เถ้าแก่สือ… “


อากั่วตื่นตระหนก เขาหันไปมองพวกหยางโป ถึงได้พบว่า พลังของสามสี่ท่านนี้เกินกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มากจริงๆ !


งานช่วงท้ายใกล้เสร็จแล้ว อากั่วแจ้งเลขบัตรธนาคารไปแล้ว เขาทนไม่ไหวคิดอยากจะไปไปรษณีย์ที่ตำบลแล้วถอนเงินออกมา เพียงแต่ฟ้ามืดแล้ว เขาไม่สะดวกที่จะไปแล้ว


เสียง ” เอี๊ยด ” ดังขึ้น ซูหนีเปิดประตูออกมาก่อนจะปรากฏกาย เขาหันไปมองพวกหยางโปทั้งสี่คนแวบหนึ่ง ด้านหลังแบกถุงตาข่ายมาใบหนึ่ง เขาเอาไม้ที่แกะสลักทั้งสิบสองชิ้นวางลงไปเป็นคู่ๆ แล้วเดินออกไปด้านนอก


 


อากั่วเดินขึ้นไปข้างหน้า ” ซูหนี เย็นขนาดนี้แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปเถอะครับ ! “


” เพื่อเด็กในหมู่บ้าน ฉันต้องไปให้เร็วสักหน่อย ” ซูหนีกล่าว


พูดจบ เขาก็เดินจากไป


ทุกคนในเผ่าอี๋จ้องมองทิศทางที่ซูหนีจากไป ส่งเขาด้วยดวงตา และเดินตามไปอีกพักหนึ่ง


พวกหยางโปทั้งสี่คนมองตากันแวบหนึ่ง ล้วนดูออกถึงอิทธิพลของซูหนีในหมู่บ้านว่าไม่ธรรมดาเลย !


 


พวกหยางโปทั้งสี่คนไม่รู้ว่าซูหนีไปที่ไหน และไปทำอะไร รอจนท้องฟ้าหม่นสี ถึงได้เห็นซูหนีกลับมา ซูหนีเอาโซ่ที่ใช้ทองแดงบางๆ ผูกเอาไว้สี่เส้นให้ทั้งสี่คน ปากก็พร่ำว่า ” ขอให้สวรรค์ให้อภัยผู้ไม่รู้เหล่านี้ ให้อภัยในการล่วงเกินของพวกเขา… “


ซูหนีอ่านออกมาด้วยภาษาเผ่าอี๋ทำให้พวกเขาฟังไม่เข้าใจ แล้วจึงหันมาพูดกับทั้งสี่คนว่า ” ต่อไปพวกคุณอย่าได้ทำเรื่องที่ลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อีก แล้วจะอยู่อย่างสงบสุขอย่างแน่นอน “


ตอนที่ 271 แรมคืน


หยางโปสวมโซ่ทองแดงเอาไว้ที่คอของเขาและก็ไม่รู้ว่ามันมีผลทางจิตวิทยาหรือไม่ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกผ่อนคลายอยู่พักหนึ่ง ความสว่างสุกใสหลั่งไหลมาที่หน้า เมื่อหยางโปเห็นลัวย่าวหัวยืนอยู่ด้านหน้าเขา ทันใดนั้นมีหมอกสีดำลอยขึ้นมาจากหัวของเขาและมันก็หายไปในพริบตา


เมื่อเห็นอย่างนี้ หยางโปก็แปลกใจ อย่างไรก็ตามในที่สุดเขาก็รู้สึกโล่งใจ เพราะคำสาปที่เป็นมาหลายวันได้ถูกล้างไปแล้วในที่สุด


ดูเหมือนว่าทั้งสี่คนจะมองหน้ากันด้วยความรู้สึกประหลาดใจ


ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ทุกคนล้วนมีรอยยิ้มบนใบหน้า ตาอ้วนหลิว ไม่ใช่คนตระหนี่ เขาหันไปพูดกับซูหนี


” ฉันจะบริจาคสองแสนหยวนให้แก่คุณได้ยังไง ? “


 


ซูหนีหันหน้าไปมองรอบๆเมื่อไม่เห็นชนกลุ่มน้อย เขาก็พึมพำกับตัวเองเล็กน้อย พวกคุณไปที่เมืองแล้วเอาเงินมาให้ฉัน


” จ่ายเป็นเช็คได้ไหม ? ” ตาอ้วนหลิวคิดอยู่พักหนึ่งแล้วรู้สึกว่าถนนขรุขระเกินไปไม่สะดวกเท่ากับการจ่ายด้วยเช็ค


ซูหนีส่ายหน้า ” มันควรเป็นเงินสด พวกคุณควรมอบเงินให้ในวันพรุ่งนี้ ฉันจะได้ช่วยพวกคุณทำขั้นตอนสุดท้ายให้เสร็จ


” ขั้นตอนสุดท้ายเหรอ ? “


ทั้งสี่คน มองด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นซูหนีหันกลับและเดินขากะเผลกเข้าไปในบ้านแล้ว แต่มันดูเหมือนเขาจะควบคุมอารมณ์ได้ดี


” เขาไม่ได้ช่วยพวกเราแก้ปัญหาเหรอ ? ” ลัวย่าวหัวมองไปที่หยางโป ” แต่ฉันรู้สึกผ่อนคลายอย่างชัดเจนในตอนนี้เลยนะ “


 


หยางโปพยักหน้า ” ฉันรู้สึกผ่อนคลายมากเลย เมื่อได้สวมเหวยทูอันนี้ ฉันรู้สึกว่าร่างกายของฉันมีน้ำหนักเบากว่าสองเท่า ยังมีขั้นตอนสุดท้ายนี่คือข้อควรระวังสำหรับพวกเรารึเปล่า ?


ทั้งสี่คนไม่รู้แต่พวกเขาไม่กล้าละเลยคำสั่งของซูหนี เมื่อออกจากหมู่บ้านแล้วพวกเขาก็ขับรถเข้าไปในเมือง


ออกเดินทาง บ่ายสี่โมงครึ่งแล้ว รถก็ผ่านมาได้ครึ่งทางแล้วก็มืด เมื่อเปิดไฟหน้ารถจะขับยากขึ้น


หยางโปนั่งอยู่ในรถมองไปที่ด้านหน้าอย่างตั้งใจ เขามองทางให้กับตาอ้วนหลิว กลัวสิ่งกีดขวางบนถนนหรือที่หน้าผา


หมู่บ้าน ชื่อสุ่ย อยู่เหนือระดับน้ำทะเลมากกว่าสองพันเมตร ถนนสู่เมือง เค่อเล่อ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยถนนคอนกรีต ถนนบนภูเขาขรุขระและหากไม่ใส่ใจจะพบกับหน้าผาริมถนน


 


เมื่อมาที่นี่เพราะมันเป็นเวลากลางวันสามารถมองเห็นได้ชัดเจน แต่ถ้าท้องฟ้าสลัวขึ้นมาถนนจะมืดมากจนยากที่จะบอก นั่นก็เป็นสาเหตุที่พวกเขาไม่ได้ออกไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้


” ฉันรู้ว่าเราจะกลับไปคืนนี้กับคนสองคนถอนเงิน ” ตาอ้วนหลิวนั่งอยู่ในที่นั่งคนขับดวงตาจ้องมองไปข้างหน้า


” กลับไปสองคนเหรอ ? ” หยางโปงงเล็กน้อย


ตาอ้วนหลิวจ้องไปที่ด้านหน้า ” ใช่ แบบนี้ ถ้า…… “


” ผ้างจื่ออย่าพูดสิ่งเหล่านี้ ตอนนี้เราทุกคนกำลังเดินทางกลับไป แม้ว่าพวกเราจะไป พวกเราก็สามารถจากที่นี่ไปได้ ! ” หลูตงซิง กล่าว


ตาอ้วนหลิวกัดริมฝีปากไม่ได้พูดอะไรมาก


 


ทันใดนั้นหยางโปก็นึกถึงผู้คุ้มกันของ หลูตงซิง เขาหันไปมอง เถ้าแก่หลู คุณไม่ได้มีบอดี้การ์ดเหรอ ? คงจะดีถ้าให้พวกเขาไปส่งพรุ่งนี้เช้า


หลูตงซิง ส่ายหน้าแล้วพูดว่า ” ฉันส่งพวกเขาออกไปสอบสวนและตอนนี้ฉันไม่มีใครอยู่ในมณฑลนี้เลย “


” อะไรนะ ? ” ลัวย่าวหัวแปลกใจมาก ” คุณกำลังสืบสวนอะไรอยู่ ? “


หลูตงซิง พึมพำเล็กน้อยและกล่าว ” ไม่ใช่ว่าฉันต้องการซ่อนจากพวกนาย เป็นเพราะแหวนทองคำที่มีรูปร่างเป็นรูปเสือชีตาห์คาร์เทียร์ทำให้ฉันประหลาดใจมาก ฉันส่งพวกเขาออกไปเมื่อเช้านี้และพวกเขาไม่ได้อยู่ใน


เหอฟาง “


หยางโปพยักหน้า นี่เป็นข้อสงสัยที่สำคัญและการสอบสวนของ หลูตงซิง นั้นเป็นที่เข้าใจได้


ลัวย่าวหัว เอ่ยปากกล่าว ” ถ้าอย่างนั้นแผนที่นี่ไม่ควรเป็นของซูหนีเหรอ ? “


 


ใครจะไปรู้ ? เป็นไปได้ที่จะคว้ามันมา ทำไมฉันคิดว่าเผ่านี้มีความชั่วร้ายเพราะฉันไม่เคยเห็นชนเผ่าดั้งเดิมมากกว่านี้เลย ตาอ้วนหลิวกล่าว


มันเป็นสิ่งดั้งเดิมจริงๆ หลูตงซิง พยักหน้าตอบกลับ ภายในรถก็เงียบลงอีกครั้ง


การเดินทางแสนลำบาก แต่ตอนนี้สามทุ่มกว่าแล้ว พวกเขายังขับรถไปที่เมือง ในเวลานี้มีเพียงไฟไม่กี่ดวงเท่านั้นที่ยังคงเปิดอยู่ ลังเลเล็กน้อย พวกเขายังขับรถมาจนถึงประตูเมือง


ชายชราผู้เฝ้าประตูสังเกตเห็นไฟหน้ารถ ด้านนอกสวมสูทแล้ววิ่งออกมา หยางโปยืนอยู่ข้างนอกและส่งบุหรี่หนึ่งซองให้ ” คุณปู่มีโรงแรมในเมืองแถวนี้ไหม ? “


” โรงแรมเหรอ ? ” ปู่ยาม ค่อยๆมองลงมา เห็นว่ามันเป็นยาสูบจีนทันใดนั้นเขาก็มีความสุขและเลิกสูบบุหรี่


 


” ที่นี่ไม่มีคนนอกมาหรอก จะมีโรงแรมที่ไหนกัน ? “


” ไม่มีคนนอกเหรอ ? ” หยางโปก็แปลกใจ เขาอยากถามว่ามันมีเว็บไซต์อยู่ที่นี่ได้ยังไงในเมื่อไม่มีคนนอก แต่ก็เกรงว่าประโยคนี้จะทำให้เกิดความเข้าใจผิด เขาต้องกล้ำกลืนคำพูดเอาไว้


” ถ้าเป็นแบบนั้นจะอยู่ที่ไหนได้อีกครับ ? “หยางโปถาม พูดแล้วเขาเห็นแสงจากสำนักงานเขตการปกครองอีกครั้ง จึงชี้ไปที่ด้านใน ” คุณปู่ คุณช่วยหาที่พักให้เราที่นี่หนึ่งคืนได้ไหม ? “


ปู่ยามมองพวกเขาทั้งสี่คน แล้วลังเล ” พวกคุณเพิ่งออกมาจากหมู่บ้านชื่อสุ่ยเหรอ ? “


หยางโปรีบพยักหน้า ” ใช่ครับ “


 


คิดไม่ถึงเลยว่าปู่ยามจ้องมองแล้วก้มหน้า ” ไม่ได้ อยู่ที่นี่ไม่ได้ พวกคุณจะต้องอยู่ในรถตลอดทั้งคืน !


หยางโปประหลาดใจเล็กน้อย แต่ยังคงพยายามพูด ” คุณปู่ พวกเราจะพักที่นี่หนึ่งคืน หาสถานที่อุ่นๆ


พื้นที่ในรถมันเล็กเกินไป “


ปู่ยามยืนกราน ” ไม่ได้ ไม่ได้ ! “


หยางโปหยิบกระเป๋าออกมา คิดว่าในกระเป๋ายังมีเงินอยู่พันกว่าหยวน เขากำลังจะหยิบเงินออกมา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีลำแสงสว่างขึ้น ” เหลากู่เกิดอะไรขึ้นเหรอ ? “


ปู่ยามหันไปมองทันทีและพูดว่า นายกเทศมนตรี พวกเขากำลังส่งสัญญาณขอทางครับ


หยางโปหันไปมอง พบว่าเขายังเป็นคนหนุ่มอยู่ แต่เนื่องจากแสงสว่างจ้า เขาไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ เขาไม่สนใจยามและรีบโบกมือต่อชายคนนั้น ” สวัสดีครับ นายกเทศมนตรี เราเป็นนักท่องเที่ยวจากที่อื่น เนื่องจากมันสายเกินไปที่จะกลับไปที่ตัวเมือง ตอนนี้เลยไม่มีที่อยู่ เราสามารถอยู่ในห้องประชุมของคุณ หนึ่งคืนได้รึเปล่า ? “


 


เมื่อได้ยินคนกำลังถามทาง นายกเทศมนตรีดูเหมือนจะหันหลังกลับและต้องการจะออกไป แต่สิ่งที่หยางโปพูดก็ทำให้เขาหยุด เขาหันกลับมามองดูลังเลเล็กน้อย เหลากู่ปล่อยให้พวกเขาเข้ามา ข้างนอกหนาวขนาดนี้ฉันไม่อยากให้พวกเขาแข็งตาย


ปู่ยามมองไปที่นายกเทศมนตรีด้วยความลังเล


ลัวย่าวหัวทั้งสามคนเห็นว่า หยางโปนั้นช้าในการถามทาง หลังจากลงจากรถเห็นหยางโปกวักมือเรียก


” พวกเราเข้าไปกันเถอะ ! “


หลูตงซิงเดินเข้ามา ” แต่ที่นี่ไม่มีโรงแรมนะ ? “


” อืม คนข้างหน้านั่นคือนายกเทศมนตรี ผมขอยืมห้องประชุมหนึ่งคืนกับเขาและเขาก็อนุญาต ” หยางโปตอบ


หลูตงซิงก็พยักหน้า ” อย่างนี้ก็ดี ยังสบายดีกว่าอยู่ในรถเยอะเลย “

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม