วาสนาบันดาลรัก 265-271
ตอนที่ 265 คืนดี
หลัวเทียนเฉิงยิ่งเดินเข้าไปลึกเพียงใดจิตใจก็ยิ่งลิงโลดมากขึ้นเท่านั้น ความรู้สึกเช่นนี้คล้ายได้ทำความดีอันใดบางอย่างแล้วกำลังไปหาท่านอาสี่เพื่อรับรางวัลในยามเด็กกระนั้น
อารมณ์เบิกบานลิงโลดนี้ชะงักไปทันทีเมื่อเห็นแมวและนกกำลังกรีดร้องวิวาทกันชุลมุนอยู่ข้างฝ่าเท้าตน
ด้านหลังยังมีสาวใช้วิ่งตามมาเป็นพรวน ครั้นเห็นหลัวเทียนเฉิงทุกคนก็หยุดฝีเท้าแล้วหันมามองนางกันทันที ครู่หนึ่งก็พร้อมใจกันย่อกายคารวะเขา
ในช่วงเวลานี้เอง แมวกับนกก็วิวาทฟัดเหวี่ยงกันกลิ้งหลุนๆ ไปไกลแล้ว
สาวใช้ต่างวิ่งวุ่นเข้าไปจับแมวกับนก หลัวเทียนเฉิงกำมือขึ้นป้องปากแล้วเอ่ยถามเสียงขรึม “นี่มันเรื่องอันใดกัน?”
เขาไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าแมวที่ถูกถอนขนเป็นกระจุกๆ นั้นคือแมวที่มีลักษณะคล้ายสิงโตน้อยที่เขาทุ่มเทเวลาในการตามหาอยู่เป็นนาน
สาวใช้นามว่าเจี้ยงจูที่ยืนอยู่ข้างหน้าผู้ที่มีความสุขุมที่สุดย่อกายคารวะคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เรียนซื่อจื่อจิ่นเหยียนกับไป๋เสวี่ยทะเลาะกันอีกแล้วเจ้าค่ะ”
“อีกแล้ว?” หลัวเทียนเฉิงเอะใจกับคำนี้ขึ้นมา
เจี้ยงจูกลับเอ่ยด้วยสีหน้าดุจเดิมว่า “ตั้งแต่ที่ไป๋เสวี่ยมาอยู่ที่นี้ หากจิ่นเหยียนออกจากกรงมาบินเล่น พวกมันก็จะวิวาทกันทุกคราเจ้าค่ะ”
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกสังหรณ์ใจอยู่ลึกๆ เขาเอ่ยด้วยความคาดหวังในใจว่า “ต้าไหน่ไหน่รู้เรื่องนี้กระมัง?”
สาวใช้ทั้งหลายพร้อมใจกันส่งสายตาเห็นใจไปให้เขา
เชวี่ยเอ๋อร์ที่ค่อนข้างไร้เดียงสาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ต้าไหน่ไหน่ย่อมทราบดีเจ้าค่ะ หลายวันมานี้ที่พวกมันวิวาทกันทำกระโปรงต้าไหน่ไหน่ขาดปรุไปหมด มีครั้งหนึ่งถึงกับกระชากปอยผมต้าไหน่ไหน่หลุด…”
ดีมาก!
หลัวเทียนเฉิงเดินเข้าไปด้านในอย่างคนที่จะร้องไห้ออกมาแล้ว
เจินเมี่ยวกำลังตอบเทียบเชิญอยู่ เมื่อได้ยินเสียงก็ชะงักไป ครั้นเห็นหลัวเทียนเฉิงยืนอยู่ตรงนั้นไม่พูดจา แม้แต่เสื้อคลุมก็ไม่ยอมถอดเพียงยืนมองหน้าคล้ายอยากจะเอ่ยสิ่งใดจึงรู้สึกแปลกใจยิ่ง นางวางพู่กันไว้ด้านข้างแล้วเดินเข้าไปถามว่า “มีอันใดหรือ?”
หลัวเทียนเฉิงถอนหายใจแต่ไม่พูดสิ่งใด เขาคว้ามือเจินเมี่ยวเดินเข้าในห้อง
“ท่านจะทำอันใด?” เจินเมี่ยวตกใจยิ่ง
ท้องฟ้าสว่างโร่เช่นนี้ แต่ครั้นพบหน้าก็ลากนางเข้าห้อง เป็นผู้ใดก็ล้วนเข้าใจผิดทั้งสิ้น
ดั่งคาด…หลัวเทียนเฉิงก็เริ่มถอดเสื้อผ้าโดยไม่พูดสิ่งใดสักคำ
ครั้งนี้เจินเมี่ยวโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว นางตบเตียงคราหนึ่ง “หลัวเทียนเฉิง ท่านยังกล้าถอดอีกหรือ!”
น่าเสียดายที่นางพูดช้าไปกว่าการกระทำของเขาเสียอีก ในเวลาเพียงชั่วขณะนี้เองร่างกายท่อนบนของอีกฝ่ายก็วางเปล่าไร้อาภรณ์แม้เพียงตัวเดียว
ยังไม่พอ หลัวเทียนเฉิงมองไปโดยรอบ เขายื่นมือไปหยิบไม้ขนไก่บนโต๊ะขึ้นมา
เจินเมี่ยวเบิกตากลมโตขึ้นทันที
เกิดอันใดขึ้น เขาคิดจะตีนางงั้นหรือ?
คงมิใช่เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกกระมัง?
เจินเมี่ยวใจเต้นระรัว นางกวาดตาไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่พบสิ่งใดที่เหมาะมือนางจึงยกเก้าอี้ตัวไม้ตัวเล็กขึ้น
หลัวเทียนเฉิงบิดเบ้มุมปาก “เจี๋ยวเจี่ยว รีบวางลงเถิด เก้าอี้ไม้หนักยิ่ง ประเดี๋ยวหล่นทับเท้าตนหรอก”
“ท่านวางไม้ขนไก่นั้นลงก่อนค่อยคุยกัน!”
หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไป รู้สึกทั้งขบขันทั้งโมโห “เจี๋ยวเจี่ยว หรือเจ้าคิดว่าข้าจะตีเจ้า? ต่อให้มีเรื่องอันใดข้าก็ไม่มีทางตบตีภรรยาดอก”
เจินเมี่ยวลอบกลอกตาไปมา
มิตบตีภรรยา? วันนั้นผู้ใดกันที่ทรมานนางจนแทบสิ้นชีวี!
ครั้นเห็นท่าทีไม่เชื่อถือของเจินเมี่ยวแล้ว หลัวเทียนเฉิงก็ยิ้มอย่างจนใจออกมามิได้ เขาเอาไม้ขนยัดไว้กับกางเกงที่ด้านหลัง
เจินเมี่ยวเห็นหลัวเทียนเฉิงยัดไม้ขนไก่ยัดไว้ด้านหลังก็รู้สึกยินดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์อันตึงเครียดนั้นก็ลดลงหลายส่วน นางจึงเอาเก้าอี้วางลงไม่ไกลมือนัก แล้วจ้องมองว่าเขาจะทำสิ่งใด
หลัวเทียนเฉิงเดินไปคุกเข่าลงหน้าเตียง กระแอมไอออกมาคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้าว่าจะยอมให้ลงโทษมิใช่หรือ เจ้าเห็นหรือไม่ว่าข้าจริงใจเพียงใด เรื่องในคืนนั้นก็ให้มันผ่านไปเถิด”
เดิมคิดว่าแมวตัวนั้นแล้วจะทำให้ภรรยาเบิกบานใจได้ เขาก็มิต้องทำเช่นนี้แล้ว ตอนนี้หรือ…แค่กๆ ไม่มีโทษเพิ่มขึ้นมีอีกหนึ่งคดีเขาก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว
เจ้าสัตว์มีปีกนั้นเขาต้องหาโอกาสเหมาะๆ จับมันถอนขนแล้วย่างกินเสียให้เข็ด เพราะมันตั้งแง่เป็นศัตรูกับเขามาตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว!
“ยอมรับการลงโทษทุกรูปแบบหรือ?” เจินเมี่ยวมองพิจารณาขึ้นลง “เครื่องมือลงทัณฑ์เล่า?”
หลัวเทียนเฉิงชี้ไปที่ไม้ขนไก่ด้านหลังตน
เจินเมี่ยวขยับริมฝีปากคราหนึ่ง ครั้นคิดจะเอ่ยเยาะหยันเขาสักหน่อยหันไปเห็นความหวาดหวั่นน้อยๆ ในแววตาอันล้ำลึกคู่นั้นของหลัวเทียนเฉิง พลันเอ่ยปากไม่ออกเสียแล้ว
วาจานั้นของฮูหยินผู้เฒ่าดังขึ้นข้างหูอีกครา
‘ความสัมพันธ์ของสามีภรรยานั้นมักค่อยๆ ถอยห่างกันออกไปอย่างไม่รู้ตัว เมื่อหันกลับมาอีกคราก็มิอาจเป็นเช่นเดิมได้แล้ว ดั่งคำกล่าวที่ว่าทั้งชิดใกล้ทั้งห่างไกลนั้นไซร้คือสามีภรรยา’
ครั้นเห็นเจินเมี่ยวมิเอ่ยสิ่งใดเสียที ความหวาดหวั่นในดวงตาอันล้ำลึกนั้นก็เปลี่ยนเป็นขมขื่นทันที
เพราะเขาเองที่ทำร้ายนางจนเจ็บช้ำเพียงนั้น ควรแล้วที่จะได้รับโทษอย่างสาสม เขาลงมือทำลายความชิดใกล้ที่เพิ่งก่อตัวขึ้นมานั้นด้วยตนเองแท้ๆ
แต่ในเมื่อเข้าใจถึงจิตใจอันแท้จริงของตนแล้ว ไม่ว่าต้องเจอกับอุปสรรคที่ยากเพียงใดก็จะไม่กลัวเด็ดขาด
มือเย็นข้างหนึ่งวางลงบนมือใหญ่นั้น หลัวเทียนเฉิงเงยหน้าขึ้นโดยพลัน
รอยยิ้มบางเบาแต่ไร้เดียงสาของเจินเมี่ยวสะท้อนอยู่ในม่านตาเขา นางกะพริบตาปริบๆ แล้วแบมือออกมา “ในเมื่อไม้ขนไก่คือเครื่องมือลงทัณฑ์ก็รีบส่งมันมาเถิด”
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกเพียงว่าอารมณ์ตนในขณะนี้คล้ายกำลังลอยขึ้นไปบนฟ้า ทำให้คนไม่รู้จะทำเช่นใด แต่กลับหัวเราะออกมาเสียงดังสามครา แล้วส่งไม้ขนไก่ให้นาง คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยกำชับอย่างประหม่าว่า “อย่าตีใบหน้า”
ครานี้เจินเมี่ยวกลับกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ได้จริงๆ
ความจริงแล้วสามีของนางก็นับว่าน่ารักไม่น้อย
อย่างไรเสียในยุคสมัยนี้ หากนางต้องพบกับบุรุษที่ยั่วให้นางโมโหแล้วก็มิสนใจความเป็นตาย ไม่ไยดีต่อความรู้สึกของนางจริงๆ นอกจากค่อยๆ สงบอารมณ์ตนเองอยู่เงียบๆ แล้วใช้ชีวิตต่อไป นางยังจะมีวิธีใดที่ดีกว่านี้อีกหรือ?
หย่า? หึๆ พวกเขาทั้งสองเป็นตระกูลใหญ่ การแต่งงานคือการสานสัมพันธ์อันดีระหว่างสองตระกูล หากฝ่ายสตรีขอหย่าทั้งที่บุรุษมิได้ทำความผิดใหญ่หลวงอันใด เกรงว่าคงถูกผู้คนว่าร้ายจนจมกองน้ำลายตายเป็นแน่
เจินเมี่ยวหยิบไม้ขนไก่หลากสีนั้นขึ้นมา สายตามองไปยังร่างท่อนบนอันเปล่าเปลือยนั้นแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา นางใช้ไม้ขนไก่กวาดไปบนหน้าอกของเขาให้เขารู้สึกจั๊กจี้
หลัวเทียนเฉิงกลับซูดปากคราหนึ่ง แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เจี๋ยวเจี่ยว?”
“ห้ามส่งเสียง ในเมื่อยอมรับการลงโทษ ก็ต้องให้ข้าตีท่านสักร้อยครั้งเถิด”
“มากเพียงนั้น?” รอยยิ้มหลัวเทียนเฉิงแฝงด้วยความขมขื่น
หากนางตีเขาจริงๆ ก็ล้วนไปเถิด แต่มาจั๊กจี้เช่นนี้ก็เท่ากับต้องการชีวิตเขาชัดๆ!
เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยสีหน้าดุจเดิม “อืม เดิมก็มิจำต้องตีหลายคราถึงเพียงนี้ แต่ท่านต้องรับโทษแทนแมวที่ท่านส่งมาตัวนั้นอีกครึ่งหนึ่ง”
หลัวเทียนเฉิงกำหมัดแน่นเสียงดังกร๊อบๆ
กลับไปเขาจะจับเจ้าสัตว์ปีกนั้นมาสังเวยเสียแล้วสิ้นเรื่อง!
หากไม่มีมัน แมวที่เขาส่งมาจักต้องได้รับความโปรดปรานอย่างที่สุดเป็นแน่
เจินเมี่ยวจั๊กจี้เขาได้เพียงไม่กี่คราก็ถูกหลัวเทียนเฉิงที่กลั้นหัวเราะไว้อย่างยากเย็นนั้นแยกเอาไม้ขนไก่ไป เขาโยนมันลงพื้นแล้วรั้งนางเข้าไปกอดทั้งจุมพิตจนนางสติเลื่อนลอยไปหมด
อาจเพราะวาจานั้นของฮูหยินผู้เฒ่าหรืออาจเพราะหลายวันมานี้ที่หลัวเทียนเฉิงเพียรส่งของขวัญเพื่อเอาใจนางอย่างไม่ตระหนี่ ครั้งนี้เจินเมี่ยวกลับมิได้หลีกหนีหรือโกรธเคือง จากท่าทีขัดขืนเมื่อแรกเริ่มนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคล้อยตาม กระทั่งร้องเสียงแผ่วออกมาคราหนึ่งอย่างกลั้นไว้ไม่ได้
หลัวเทียนเฉิงกลับปล่อยนางคล้ายถูกไฟฟ้าสถิตกระนั้น ครั้นค่อยๆ ปรับลมหายใจและอารมณ์ให้เป็นปกติได้ก็รับรู้ได้ถึงแววตาประหลาดใจของเจินเมี่ยว เขาจึงกอดนางแน่นขึ้นอีกแล้วยิ้มขื่นพลางกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนี้ต่อไปข้าต้องเผลอทำร้ายเจ้าอีกแน่”
เจินเมี่ยวรับรู้ได้ถึงวัตถุแข็งขึงบางอย่างที่ดุนดันร่างนางอยู่ อีกฝ่ายเปลือยท่อนบนอยู่แต่ร่างเขากับร้อนดั่งเหล็กหลอมทำให้ใจกระทั่งใบหน้าของนางร้อนผ่าวตามไปด้วยจึงเบี่ยงกายไปอีกทางอย่างไม่รู้จะทำฉันใด
“เจี๋ยวเจี่ยว จี้เหนียงจื่อบอกหรือไม่ว่าเจ้าต้องกินยาไปถึงเมื่อใด?”
เจินเมี่ยวเอ่ยขึ้นอย่างประหม่าว่า “ต้องกินไปก่อนสักสามเดือนค่อยดูอาการอีกที”
สามเดือน!
หลัวเทียนเฉิงได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างนุ่มนิ่มในอ้อมกอดตนแล้วรู้สึกย่ำแย่อย่างที่สุด
มีผู้ใดแต่งภรรยาแล้วต้องกลัดกลุ้มใจเช่นเขาบ้าง!
“เอาล่ะ รีบสวมเสื้อผ้าเถิด เอาแต่อยู่ในห้องหับเช่นนี้ หากมีข่าวแพร่ออกไปคงไม่ดีกระมัง?”
“ผู้ใดกล้า!” หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้น แต่สุดท้ายก็สวมใส่เสื้อผ้า ลุกขึ้นดื่มชาที่เย็นชืดนั้นเพื่อระงับไฟในกายลงเสีย “เจี๋ยวเจี่ยว ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับเจ้าสักหน่อย”
“ท่านว่ามาเถิด” เจินเมี่ยวลูบเสื้อผ้าที่ยับยู่นั้นให้เรียบและจัดระเบียบทรงผมตนคราหนึ่ง
“หลัวเป้าองครักษ์ประจำตัวข้า ชมชอบจื่อซูสาวใช้เจ้าจึงขอให้ข้ามาเจรจาให้ ไม่รู้ว่าเจ้าคิดเห็นเช่นไร?”
“หลัวเป้าหรือ?” เจินเมี่ยวลอบยิ้ม นางกำลังคิดอยู่เชียวว่าเหตุใดองครักษ์ผู้นั้นจึงยังเงียบเฉยอยู่ คงมิใช่ว่าถูกความงามของอาหลวนทำให้เปลี่ยนใจไปแล้วกระมัง หากเป็นเช่นนั้น นางจะสอนให้เขารู้เองว่าอันใดที่เรียกว่าไก่บินหนีไปไข่ก็แตก[1]
“วันนั้นที่เรียกเขามาพบในศาลาเล็กก็ดูไม่เลวเลย แต่ไม่ทราบว่าที่บ้านเขาเป็นเช่นไรหรือ”
“ปู่เขาเคยติดตามปู่ข้า ยามนี้เกษียณแล้วจึงใช้ชีวิตอยู่กับบุตรคนรองที่เป็นพ่อบ้านในจวนแห่งหนึ่ง บิดาหลัวเป้าเป็นบุตรคนโตซึ่งติดตามบิดาข้า ต่อมาก็เสียชีวิตในครั้งที่ไปร่วมรบกับบิดาข้า มารดาจากไปตั้งแต่คลอดเขาออกมา หลัวเป้าจึงอยู่กับอาของเขามาตลอด”
“หลัวเป้าเป็นเด็กกำพร้าหรือ?” เจินเมี่ยวคิดไม่ถึงว่าบุรุษหนุ่มแน่น ท่าทีร่าเริง สดใสจะมีภูมิหลังที่น่าสงสารเช่นนี้
“ใช่ แต่อาและอาสะใภ้ของเขาเลี้ยงดูเขาดั่งบุตรตน” ไม่ทราบว่าหลัวเทียนเฉิงคิดอันใดขึ้นมาได้จึงถอนหายใจแผ่วเบาขึ้น “อาของเขามีบุตรสาวสามคน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีบุตรชายเลย”
เจินเมี่ยวพยักหน้าคราหนึ่ง
ฟังเช่นนี้แล้วก็รู้สึกไม่เลวเลย ไม่มีแม่สามีที่แท้จริงอยู่ จื่อซูแต่งเข้าไปก็สามารถตัดสินใจเรื่องในบ้านตนได้อย่างเด็ดขาด ทั้งยังมีซื่อจื่อและนาง บุรุษหนุ่มนั้นย่อมมิกล้าทำตัวเหลวไหลแม้นจะไม่มีผู้อาวุโสค่อยเฝ้าดู
“เช่นนั้นก็รอให้ถึงเดือนสามยามวสันต์ เราค่อยจัดพิธีมงคลให้พวกเขาเถิด” จื่อซูที่ติดตามนางมานานมีอนาคตที่ดี อารมณ์ของเจินเมี่ยวจึงสดใสขึ้นไม่น้อย นางเอ่ยถามขึ้นอีกว่า “มิได้พบอาหู่นานแล้ว ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
ครั้นคิดถึงเด็กหนุ่มที่ติดตามพวกเขามาจากหุบเขาแห่งนั้นแล้ว หลัวเทียนเฉิงก็เผยรอยยิ้มเบิกบาน “ไม่เลวเลย เป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดี อนาคตอาจกลายเป็นมือธนูยิงไกลพันลี้ก็เป็นได้ แต่น่าเสียดายเจ้าเด็กนั้นคิดแต่จะเป็นคนขับรถม้าให้เจ้าท่าเดียวเลย”
เจินเมี่ยวโบกมือคราหนึ่ง “บุรุษดีย่อมทำคุณประโยชน์ให้ใต้หล้า อาหู่มิใช่บ่าวไพร่ในจวน จะมาเป็นคนขับรถม้าให้ข้าทำไม?”
“ทุกคนล้วนมีปณิธานของตน ในสนามรบดาบไร้ตา ไม่แน่ว่าการเป็นคนขับรถม้าจะมีอิสระมากกว่าสักหน่อยก็เป็นได้ เอาล่ะ รอให้ฝึกอาหู่จนสำเร็จแล้ว ข้าจะบอกข้อดีข้อเสียกับเขาให้ชัดเจน ค่อยดูว่าเขาจะเลือกทำอันใดเถิด ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ระยะนี้มีเรื่องใดเกิดขึ้นที่จวนบ้างหรือ”
เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในจวนกั๋วกงระยะนี้คือเรื่องที่บ้านรองมีสาวใช้ทงฝังที่งดงามราวนางฟ้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนและอนุภรรยาผู้มีฐานะพิเศษกว่าอนุทั่วไปของบ้านสี่มาถึงจวนแล้ว
เจินเมี่ยวเอ่ยเล่าออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ
หลัวเทียนเฉิงฟังแล้วก็หัวเราะออกมาแต่มิได้เอ่ยถามอันใด
ใกล้จะถึงเทศกาลวันตรุษแล้ว ขุนนางน้อยใหญ่จึงไม่ใคร่มีสิ่งใดให้ทำนัก โดยเฉพาะขุนนางที่รับหน้าที่อันไร้แก่นสารยิ่งมิจำเป็นต้องไปศาลาว่าการด้วยซ้ำและนายท่านรองสกุลหลัวก็เป็นเช่นนั้นแล
ครั้นได้ยินว่านายท่านรองสกุลหลัวไปที่เรือนฝั่งตะวันตกอีกแล้ว นางเถียนก็เขวี้ยงถ้วยใบหนึ่งออกไปโดยแรงและตกลงข้างเท้าของหลัวจื้อหยาที่มาหามารดาเข้าพอดี
——
[1] ไก่บินหนีไปไข่ก็แตก เป็นการเปรียบเปรยว่าสูญเสียทั้งสองอย่าง ไม่ได้อะไรเลย
ตอนที่ 266 อาละวาด
“ท่านแม่…” หลัวจือหยาสะดุ้งตกใจคราหนึ่ง นางยกกระโปรงเดินหลบเศษกระเบื้องที่แตกกระจายไปทั่วบริเวณเข้าไปในห้อง
“หยวนเหนียง มิได้บาดเจ็บใช่หรือไม่?” นางเถียนเห็นว่าผู้ที่เข้ามาคือบุตรสาวก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา จึงรีบจูงหลัวจือหยานั่งลง แล้วพิจารณาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ครั้นเห็นว่ามีเพียงกระโปรงที่เปื้อนคราบน้ำชาก็ผ่อนลมหายใจโล่งออกมา “ใกล้จะถึงวันตรุษแล้ว ประเดี๋ยวแม่จะเชิญช่างตัดเย็บมาวัดตัวตัดชุดให้เจ้า”
ในจวนแห่งนี้ อาภรณ์ที่หลัวจือหยาใส่เป็นประจำนั้นล้วนมีแต่ใหม่ไม่มีเก่า นางย่อมมิได้ใส่ใจอันใด เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงเพียงยิ้ม “ขอบพระคุณท่านแม่เจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มจางๆ นั้นของบุตรสาว นางเถียนก็ยิ่งเสียใจ
สำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนปิดภาคเรียนแล้ว เจ้ารองกับเจ้าสามกลับไม่เห็นแม้แต่เงา ส่วนเจ้าหาก็ไม่รู้ด้วยเหตุใดระยะนี้จึงชอบไปที่เรือนอวี้หยวนนัก
ส่วนบุตรสาวของอนุผู้นั้นยิ่งมิต้องเอ่ยถึงเลย ยามนี้มีแค่หยวนเหนียงที่ใส่ใจนางที่สุด
ทว่าบุตรสาวที่รักเอาใจใส่นางผู้นี้ไม่นานก็ต้องแต่งออกไปดินแดนหมานเหว่ยอันแสนไกล ชั่วชีวิตมิอาจพบหน้า
ครั้นคิดถึงตรงนี้ นางเถียนก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ
ช่วงเวลานี้ช่างยากจะผ่านพ้นไปได้จริงๆ!
สีหน้านางเถียนยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก หลัวจือหยาประคองแขนนางไว้ “ท่านแม่ เขาไปเรือนฝั่งตะวันตกอีกแล้วหรือ?”
นางเถียนขมวดคิ้วขึ้นตามสัญชาตญาณ “หยวนเหนียง นั้นบิดาของเจ้านะ เรียก ‘เขา’ ได้อย่างไร หากเรื่องนี้แพร่ออกไปผู้คนคงขบขันยิ่ง”
“เขายังนับเป็นบิดาผู้ใดได้?” ในแววตาหลัวจือหยาแรงแค้นออกมา แต่ก็เลือนหายไปอยากรวดเร็ว นางแค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “ในใจของเขาจะเคยคิดถึงบุตรสาวที่ต้องแต่งออกเรือนไปแดนไกลเช่นข้าสักนิดหรือไม่? เกรงว่าใจของเขาคงมีแต่นางปีศาจจิ้งจอกผู้นั้นกระมัง!”
ความผิดหวังและเสียใจครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ท่าทีอ่อนโยนนั้นของหลัวจือหยาค่อยๆ เลือนหายไป แววตาเ**้ยมเกรียมขึ้นอย่างที่มิอาจพบเห็นได้ในคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไป
ครั้นได้ยินบุตรสาวถึงเรื่องนี้ นางเถียนก็โกรธเสียจนหัวใจเจ็บปวดไปหมด
ตั้งแต่ตัวภัยพิบัตินั้นเข้าเรือนมา ท่านพี่ก็มิเคยไว้หน้านางเลยแม้แต่น้อย ไปค้างแรมที่นั่นทุกคืนยังพอว่า แม้แต่กลางวันก็ยังห้ามขาตัวเองมิให้วิ่งไปที่นั่นมิได้!
ยามนี้หรือ อย่าว่าแต่ออกนอกจวนเลย แค่ระหว่างทางที่เดินไปเรือนฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกอยู่ตลอดว่าบ่าวไพร่กำลังหัวเราะขบขันนาง!
“ท่านแม่ ท่านย่าก็มิจัดการให้หรือ?”
นางเถียนเอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “ท่านย่าเจ้ายังพูดเป็นเชิงเหน็บว่าข้าทำตนเองด้วยซ้ำ!”
หึ หญิงชรานั้นลำเอียงเกินไปแล้ว แม้นนางจะวู่วามไปบ้างแต่ตนเป็นถึงผู้อาวุโสจะไม่ช่วยจัดการให้จริงๆ หรือ? แต่เมื่ออนุที่มีบุญคุณช่วยชีวิตนายท่านสี่ทั้งยังมีบุตรชายด้วยกันอีกเข้าจวนมา นางกลับให้ท้ายนางหูมากกว่า ครั้นถึงทีนางกลับปล่อยปละไม่สนใจ!
นางเถียนคิดแล้วก็โมโหนัก แต่วาจาของฮูหยินผู้เฒ่าในวันนั้นก็นับว่าเข้าหูนางอยู่บ้าง
แม่นมเถียนเองก็เคยเตือนนางว่าฮูหยินผู้เฒ่าพูดมีเหตุผล นางจิ้งจอกนั้นงดงามเกินคนทั่วไปยิ่ง หากใช้อำนาจไปบังคับผลลัพธ์คงไม่ดีนัก มิสู้ให้ท่านพี่ละเล่นจนเบื่อหน่ายแล้วค่อยว่าอีกที
นางเข้าใจเหตุผลนี้ดี ทว่าทุกคราที่ได้เห็นท่านพี่ผู้แต่ก่อนน้อยนักจะไปหาสาวใช้ทงฝังทำตัวไม่ห่างจากเรือนฝั่งตะวันตกอยู่ทุกเช้าค่ำก็เจ็บปวดดั่งมีมีดมากรีดที่ใจกระนั้น
ถึงตอนนี้นางเถียนจึงรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมา
หากรู้เช่นนี้แต่แรกก็จะมิเอามาไว้ใต้หนังตาให้มันถือมีดกรีดใจนางทุกวันเป็นแน่
ตามอุปนิสัยของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว หากอนุนอกเรือนมีบุตรขึ้นมา จวนกั๋วกงจักต้องไม่ยอมรับเด็ดขาด
“ท่านแม่ แล้วท่านเล่า ท่านจะให้สาวใช้ทงฝังผู้หนึ่งนั่งทับศีรษะหรืออย่างไร?” หลัวจือหยาไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามารดาที่ดูแลจวนมานับสิบปี บ่าวไพร่ในจวนทุกคนต่างก็เชื่อฟังกลับมิอาจจัดการได้แม้แต่สาวใช้ทงฝังผู้หนึ่ง
นางเถียนถอนหายใจ “ประเดี๋ยวก็วันตรุษแล้ว หรือจักต้องก่อเรื่องจนเป็นที่น่าขบขันขึ้นมาให้ได้? ผ่านไปอีกสักระยะค่อยว่ากันเถิด”
ถึงตอนนี้นางยิ่งรู้สึกว่าตนออกจะวู่วามเกินไปอยู่บ้าง
มีวาจาประโยคหนึ่งที่หญิงชรานั้นพูดถูกยิ่ง
ต่อให้เป็นเรื่องเดียวกันแต่ก็ต้องดูรายละเอียดปลีกย่อยของมันด้วย มิอาจจัดการตามวิธีเดิมที่เคยทำได้
หากสตรีผู้นั้นที่เรือนฝั่งตะวันตกคือซูเหนียง นางคงมิต้องแม้แต่จะชักสีหน้าก็จัดการได้เสียอยู่หมัด
หากมีซูเหนียงที่เข้าเรือนมาก่อนหน้านี้อยู่ ท่านมีคงไม่กล้าเลี้ยงอนุไว้นอกเรือนอีกคนแน่
แต่นางก็ไม่ยอมท่าเดียวจนต้องขายซูเหนียงออกไป ครั้นหากเยียนเหนียงเข้ามาอยู่ในจวนอีกแล้วฮูหยินผู้เฒ่ายังช่วยจัดการแทนนางอีก คนทั่วเมืองหลวงคงได้นินทาว่านางเป็นคนใจคอคับแคบขี้อิจฉาเป็นแน่
หลัวจือหยาฟังวาจาเช่นนี้ของนางเถียนแล้วกลับรู้สึกว่ามารดาอ่อนแอเกินไป
นางกัดฟันคราหนึ่งแต่ก็มิได้เอ่ยอันใดอีกเพียงอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยกับนางเถียนครู่หนึ่งก็กลับ
ครั้นกลับถึงเรือนตนแล้วก็กำชับสาวใช้คนสนิทว่า “ไปเฝ้าสังเกตดูสิว่านายท่านจะออกจากเรือนเมื่อใด แล้วรีบมาบอกข้า”
ยังมิทันถึงยามเที่ยง สาวใช้ผู้นั้นก็มาเอ่ยบอกเสียงแผ่วว่า “คุณหนูใหญ่ นายท่านส่งคนไปแจ้งฮูหยินว่าจะออกไปเยี่ยมสหายเจ้าค่ะ”
หลัวจือหยาลุกขึ้นยืนทันที แล้วแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ทำดีมาก!”
นางมองสาวใช้ที่อยู่ทั่วห้องรอบหนึ่งแล้วชี้ไปที่คนทั้งสี่ “พวกเจ้าตามข้าไปเรือนฝั่งตะวันตก!”
“คุณหนูใหญ่!” สาวใช้ที่ติดตามหน้าซีดเผือดไปทันที
คนอื่นๆ ต่างหันไปสบตากัน
หลัวจือหยาเม้มริมฝีปากแน่น แค่นเสียงเย็นว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าล้วนเป็นคนของจวนแห่งนี้ ตามข้าไปคงลำบากใจ แต่วาจาไม่น่าฟังคือต่อจากนี้ต่างหาก ผู้ใดไม่ตามข้าไปก็มิเป็นไร ทว่าหากปากพล่อยแพร่งพรายเรื่องนี้ก็อย่ากล่าวหาว่าข้าไร้น้ำใจแล้วกัน!”
กล่าวจบก็หันไปมองสี่คนนั้นแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าทั้งสี่ล้วนเป็นนางกำนัลจากวังหลวง ปีหน้าก็ต้องตามข้าไปดินแดนหมานเหว่ยแล้ว หากนับถือข้าเป็นนายเพียงหนึ่งเดียวของพวกเจ้าก็ตามข้ามา หากไม่ เช่นนั้นข้าก็จะหาโอกาสทูลต่อหวงโฮ่วว่าบ่าวไพร่ที่ใช้การไม่ได้ข้าคงมิบังอาจรับไว้”
แม้นหลัวจือหยาที่แต่งออกไปดินแดนหมานเหว่ยอันไกลโพ้นจะมิได้ดูสำคัญเท่ากับองค์หญิง แต่ก็มิใช่ไม่สำคัญเลย
อย่างไรเสียองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองก็เป็นพี่น้องที่รักใคร่กันยิ่ง องค์ชายรองเองก็มีอำนาจไม่น้อยในดินแดนหมานเหว่ย ก่อนที่หลัวจือหยาจะออกเรือนย่อมต้องมีโอกาสได้เข้าวังเพื่อรับคำแนะนำอันควรปฏิบัติ
กล่าวคำเหล่านี้จบ หลัวจือหยาก็หมุนกายเดินจากไปทันที
นางกำนัลทั้งสี่มองสบตากัน ทว่าแม่นมหน้าตาดุดันผู้หนึ่งกลับตัดสินใจก่อนผู้ใด นางเดินตามหลัวจือหยาไปแล้วแวะหยิบไม้คบเพลิงที่เรือนปีกข้างด้วย
แม่นมอีกผู้หนึ่งเห็นเช่นนั้นก็ทำตาม
ส่วนนางกำนัลหน้าละอ่อนสองคนกลับมิได้หยิบอันใดไป
หลัวจือหยาชำเลืองกลับมามองคราหนึ่ง นางยิ้มแล้วเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
นางจักต้องอาละวาดให้สะใจที่สุดก่อนที่มารดาจะทราบ มารดาจะได้มิมาขัดขวางนาง!
เยียนเหนียเป็นแค่สาวใช้ทงฝังธรรมดาแต่กลับถูกทะนุถนอมรักใคร่อย่างที่สุด ไม่เพียงมีสาวใช้คอยติดตามดูแลแต่ยังมีสาวใช้ร่างบึกไว้ใช้แรงงานอีกสองคน
เรือนฝั่งตะวันตกเก็บกวาดเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่ง สาวใช้ร่างบึกสองคนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่หน้าประตู
“โธ่ ข้าอยู่ในจวนมาจนอายุปูนนี้แล้ว เห็นนายท่านรองมาตั้งแต่เป็นหนุ่มหน้าหยกกระทั่งถึงยามนี้ แต่มิเคยเห็นนายท่านรองรักใคร่ถนอมหญิงใดเท่านี้มาก่อน”
“ข้าก็ว่าเช่นนั้น นายท่านรองผู้นี้ รักถนอมยิ่ง ใส่ปากไว้ก็กลัวจะลาย ถือไว้ในมือก็กลัวจะทำร่วง ทั้งที่ยังไม่มีบุตรด้วยซ้ำ หากต่อไปมีคุณชายน้อยๆ จักต้องได้เลื่อนเป็นอนุแน่”
สาวใช้ร่างบึกที่เอ่ยพูดก่อนหน้ากลับเผยยิ้มล้ำลึกขึ้นคราหนึ่ง
มีคุณชายหรือ?
หึๆ ตั้งแต่แม่นางท่านนี้เข้าจวนมา นางก็ได้รับคำสั่งให้ใส่ยาคุมกำเนิดผสมลงไปในน้ำแกงบำรุงร่างกายอยู่ทุกวัน
นายท่านรองหลีกเลี่ยงไม่ใช้สาวใช้ที่ฮูหยินรองเลือกแต่กลับไม่รู้ว่านางเป็นคนของฮูหยินผู้เฒ่า
อย่าเห็นว่านางเป็นเพียงบ่าวไพร่ผู้หนึ่ง ไม่รู้จักอักษรแม้สักตัวแต่นางกลับเข้าใจความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าได้เป็นอย่างดี
ผู้มีศักดิ์เป็นย่า ไหนเลยจะไม่อยากมีลูกหลานเพิ่มพูน แต่ผู้ใดจะมีบุตรก็ได้แต่ต้องมิใช่สตรีผู้นี้
สตรีที่งดงามจนแทบล่มเมืองได้เช่นนี้ หากให้กำเนิดคุณชายน้อยขึ้นมาสักคนนั้นย่อมง่ายต่อการชักนำหายนะมาสู่จวนได้จริงๆ นั้นแล
นางรู้ดีแก่ใจว่าสตรีผู้นี้คงมิอาจให้กำเนิดบุตรได้ไปตลอดชีวิต แต่ปากกลับเอ่ยคล้อยตามสาวใช้ผู้นั้น “ข้าก็คิดเช่นนั้น หากแม่นางท่านนี้มีบุตรชายขึ้นมา นายท่านคงต้องรักใคร่ทะนุถนอมยิ่งเป็นแน่”
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นก็เห็นหลัวจือหยาเดินอาดๆ เข้ามา สาวใช้สองคนจึงอดมองอย่างตกตะลึงมิได้
ช่วงเวลาที่มัวอึ้งงันอยู่นั้น หลัวจือหยาก็เดินมาถึงตรงหน้าแล้ว นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เยียนเหนียงอยู่ข้างในหรือไม่?”
“อยู่เจ้าค่ะ” สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าพูดขึ้นก่อน
“หึ พวกเราเข้าไปกัน” หลัวจือเดินอ้อมสาวใช้สองคนเข้าไปด้านใน
สาวใช้อีกผู้หนึ่งเริ่มลนลาน จึงรีบเข้าไปขวางพลางเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ ท่านจะ…”
“บังอาจ!” ข้าแค่มาเยี่ยมเยียนเหนียง เจ้ากล้ามาขวางหรือ? หลัวจือหยาเอ่ยถามเสียงกร้าว
สาวใช้สกุลหลี่เห็นที่เกรี้ยวกราดเช่นนั้นของหลัวจือหยาก็ไม่กล้าขวางอีก
นางเถียนดูแลจวนมานับสิบปี คุณหนูใหญ่ท่านนี้เป็นบุตรของฮูหยินในจวนกั๋วกง หากบอกว่าไม่มีอำนาจให้บ่าวไพร่ยำเกรงสักนิดนั้นคงเป็นไปไม่ได้
หลัวจือหยาพาคนของนางเดินเข้าไป
ส่วนสาวใช้สกุลซุนที่เอ่ยตอบในตอนแรกนั้นกลับคิดจะขวางไว้อีก แต่ถูกแม่นมที่ติดตาม หลัวจือหยามาผลักออกไปเสียก่อน
เสียงเอะอะโวยวายดังเพียงนี้จึงทำให้คนภายในห้องตกใจ สาวใช้น้อยผู้นี้ที่ยืนอยู่หน้าห้อง ร้องเอ็ดขึ้นว่า “เสียงดังอันใด รบกวนเวลาพักผ่อนของอี๋เหนียงรู้หรือไม่”
ครั้นเห็นว่าเป็นหลัวจือหยาก็ตกใจจนถึงกับเอ่ยตะกุกตะกัก “คุณ..คุณหนูใหญ่”
หลัวจือหยาแค่นยิ้มเย็น “อี๋เหนียง เหตุใดข้าจึงไม่รู้ว่าบ้านรองยังมีอนุอีกคนเล่า?”
สาวใช้ผู้นั้นตกใจหน้าเหลอหลา
เยียนเหนียงมิได้มีตำแหน่งอันใด ความหากเปรียบกันแล้วสาวใช้ทงฝังก็มีฐานะสูงกว่าสาวใช้ทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เห็นมาตลอดว่านายท่านรองรักใคร่ถนอมนางยิ่ง ทุกคนต่างก็ทราบกันดีจึงเรียกนางว่าอี๋เหนียงเพื่อเป็นการประจบเอาใจไว้ก่อน
มิเช่นนั้นคงไม่มีทางเรียกว่าอี๋เหนียงแน่
หลัวจือหยาเดินผ่านสาวใช้น้อยนั้นเข้าไปด้านใน
มีสตรีชุดเขียวผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ห้องด้านนอก นางย่อกายทำความเคารพคราหนึ่ง “คารวะคุณหนูใหญ่”
นางก้มหน้างุด น้ำเสียงถ่อมตน ท่าทีนบน้อม แต่แผ่นหลังกลับตรงดุจพู่กันประหนึ่งต้นเหมยเกิดในหุบเขาสูงเมื่อลักษณะเฉพาะของดอกเหมยเข้าไปก็ดูงดงามขึ้นอีกหลายส่วน
ความงามนั้นแม้แต่หลัวจือหยาที่เป็นดรุณีน้อยยังคล้ายต้องมนต์สะกด กระทั่งอดมองอยู่หลายครามิได้
แต่ไม่นานนางก็ได้สติคืนมา มิรอให้เยียนเหนียงเอ่ยปากอีกก็โบกสะบัดมือขึ้น “พังให้หมด!”
บิดาช่างรู้จักรักถนอมคนนัก การตกแต่งภายในห้องนี้นั้นมิด้อยไปกว่าห้องนางสักเท่าใดเลย
ไม่สิ แจกันดอกเหมยที่วางอยู่ข้างหน้าต่างนั้น นางเคยเห็นมันถูกวางอยู่ในห้องตำราของบิดา นางเห็นครั้งแรกก็ชอบทันที แต่บิดาก็มิเคยเอ่ยว่ายกมันให้นาง
สตรีผู้นี้ งดงามจนน่ากลัว หากนางมิระบายแค้นแทนมารดาก่อนออกเรือน ต่อไปคงไม่มีโอกาสอีก อย่างไรเสียเมื่อมีคนใช้คำว่า ‘อี๋เหนียง’ วันนี้ก็นับว่ามีเหตุผลในการลงมือแล้ว!
เสียงเพล้งพล้างดังขึ้นคราหนึ่ง ทุกอย่างภายในห้องระเนระนาดไปหมด
เยียนเหนียงเพียงเม้มปากยืนนิ่งมิเอ่ยวาจา
นางเถียนทราบข่าวก็รีบนำคนมาทันที “หยุดเดี๋ยวนี้!”
เดิมก็ทุบพังข้าวของจนเกือบหมดแล้ว เมื่อหลัวจือหยาร้องไห้หยุดก็ชำเลืองมองเยียนเหนียงคราหนึ่ง แล้วเอ่ยกับนางเถียนว่า “ท่านแม่ ท่านมาได้อย่างไร?”
“เจ้าลูกคนนี้ ช่างทำตัวเหลวไหลจริงๆ รอบิดาเจ้ากลับมาจักต้องทำโทษเจ้าอย่างหนักเป็นแน่ ไป ตามแม่ไปรับผิดกับฮูหยินผู้เฒ่า”
นางเถียนปลอบใจเยียนเหนียงสองสามคำก็กำชับให้คนมาเก็บกวาดเรือนฝั่งตะวันตกแล้วพาหลัวจือหยาไปที่เรือนอี๋อาน
ตอนที่ 267 ความเจ็บปวดของฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่ากุมหน้าอกตนพลางมองคุณหนูใหญ่ที่นั่งคุกเข่าอยู่กลางห้องโถงแล้วเอ่ยถามนางเถียนว่า “หยวนเหนียงทำลายข้าวของในห้องเยียนเหนียงหรือ?”
วันนี้เจินเมี่ยวทำขนมจึงนำมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าและพูดคุยเล่นกัน หากจะเดินหนีไปก็กระไรจะอยู่ก็ไม่ควร แต่สุดท้ายก็คิดได้ว่าตนมิใช่คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คงไม่มีผู้ใดสนใจจึงค่อยๆ ขยับออกมาด้านข้าง ตาก็มองหลัวจือหยาตามสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าไป
หลัวจือหยาได้ยินคำถามของฮูหยินผู้เฒ่าก็เม้มริมฝีปากแน่นไม่เอ่ยสิ่งใด บนใบหน้ามิได้มีท่าทีประหม่าอย่างที่คุณหนูทั้งหลายมักเป็นเมื่อก่อเรื่องให้ผู้อาวุโสขุ่นเคืองแต่แทนที่ด้วยท่าทีสบายอกสบายใจที่ได้ระบายโทสะ
“เป็นความผิดของสะใภ้เอง…” นางเถียนรีบออกรับแทนทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าถามต่อว่า “เยียนเหนียงมิได้บาดเจ็บใช่หรือไม่?”
“ไม่เจ้าค่ะ แต่ไรมาหยวนเหนียงเป็นคนมีเหตุผล ครานี้ที่ทำลงไปก็เพราะสะใภ้แท้ๆ แต่นางมิได้ทำอันใดเยียนเหนียงเลย ฮูหยินผู้เฒ่าทุกอย่างเป็นความผิดของสะใภ้เอง…”
ครั้นได้ยินว่าเยียนเหนียงมิได้รับบาดเจ็บ แววตาของฮูหยินผู้เฒ่าก็ทอประกายวาบขึ้นคราหนึ่ง
เจินเมี่ยวเห็นแล้วต้องยกมุมปากขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่า…สายตาแสดงความเสียดายที่ผ่านวูบไปเมื่อท่านได้ยินว่านางทำลายแต่ข้าวของมิได้ทำร้ายเยียนเหนียงนั้นคือสิ่งใดกัน?
สีหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากลับมาปกติเช่นเดิมแล้ว นางเอ่ยเสียงเรียบว่า “คุณหนูใหญ่ลงมือทำลายข้าวของเช่นนี้มันสมควรแล้วหรือ? ของพวกนั้นมิใช่ใช้เงินซื้อมาแต่ลมหอบมางั้นหรือ? อีกอย่างสิ่งของมันไม่รู้ดอกว่าคนกำลังโกรธ เจ้าทำลายมันก็เปลืองแรงตนเองเปล่าๆ”
หลัวจือหยาได้ฟังวาจาอันเสียดแทงของฮูหยินผู้เฒ่าก็ถึงกับหน้าแดง ความอึดอัดคัดข้องจุกแน่นอยู่ในอกจนรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
ฮูหยินผู้เฒ่าดูเหมือนจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง นางเอ่ยกับนางเถียนว่า “นางเถียน อีกไม่นานหยวนเหนียงก็จะออกเรือนไปแล้ว งานมงคลของบุตรชายสองคนของเจ้าก็ต้องรีบกำหนดได้แล้ว ต่อไปก็ทุ่มเวลาในการอบรมบุตรชายและบุตรสาวให้มาก นั้นแลคือความสุขในภายหลัง”
“เจ้าค่ะ สะใภ้ทราบแล้ว” นางเถียนกลับรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่บุตรสาวกระทำการวู่วามไร้กฎระเบียบเช่นนั้น แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับเพียงจับยกขึ้นที่สูงแล้วค่อยๆ วางลงพื้นอย่างแผ่วเบาเช่นนั้น ในใจก็เกิดความรู้สึกเสียดายขึ้นมาหลายส่วน
ไม่แน่ว่าแม้นหยวนเหนียงจะทำร้ายนางแพศยานั้น ฮูหยินผู้เฒ่าก็อาจจะไม่ตำหนิเอาผิดสักคำก็เป็นได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางเถียนก็เกือบจะตบหน้าขาตนสักฉาดใหญ่เพราะนึกได้ขึ้นมา
ใช่แล้ว ตอนนั้นเหตุใดจึงเอาแต่ทุบทำลายข้าวของเล่า เหตุใดจึงมิสั่งสอนนางแพศยานั้นให้รู้สำนึก!
หยวนเหนียงในยามนี้มีฐานะไม่เหมือนเดิมแล้ว ต่อให้เป็นท่านพี่ก็คงไม่กล้าแตะต้องนางแม้แต่ปลายก้อย เหตุใดตนจึงนึกไม่ถึงเล่า!
ไม่คิดก็รู้ว่านี้เป็นการกระทำอย่างไม่สนผลลัพธ์ แม้นการที่หยวนเหนียงไปอาละวาดกับนางแพศยานั้นจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าฟังนัก อย่างไรก็เป็นการทำเพราะกตัญญูต่อมารดาทั้งยังเป็นครั้งแรก แต่หากมีครั้งที่สองคงทำให้ผู้คนคิดว่านางช่างป่าเถื่อนนัก แม้แต่มารดาเช่นตนก็ต้องพลอยเสื่อมเสียถูกกล่าวว่ามิสั่งสอนบุตรเป็นแน่
ชั่วขณะนั้นนางเถียนถึงกลับเสียใจจนลำไส้ขมวดเกร็งไปหมด
ครั้นเห็นนางเถียนหน้าเปลี่ยนสีไป ฮูหยินก็ทราบว่านางคิดได้แล้วจึงอดลอบถอนหายใจออกมามิได้
นางเถียนมีชาติกำเนิดที่มิได้สูงส่งนัก แม้นปกติจะมีท่าทีสุขุมใจเย็น แต่เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาอย่างแท้จริงกลับมิอาจตั้งสติรับมือได้ ใจคิดอยากจะแสดงท่าทีใจกว้างอ่อนโยนแต่กลับมิอาจกดเก็บโทสะเอาไว้ได้ สุดท้ายสิ่งที่แสดงออกมาจึงแปลกพิกลยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าอดนึกถึงนางซ่งสะใภ้คนที่สามกับนางชีสะใภ้คนที่สี่มิได้
นางซ่งเกิดในตระกูลบัณฑิตเป็นคนเรียบง่ายถ่อมตนยิ่ง ทว่านางจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่เจ้าลูกเหลวไหลผู้นั้นไปตามติดคุณหนูน้อยผู้หนึ่งเพราะต้องการวาดภาพเหมือน สุดท้ายถูกซ้อมทั้งยังต้องจ่ายเงินให้ฝ่ายนั้น นายท่านสามจึงเผยฐานะตนแล้วพอคนพวกนั้นไปหานางซ่งที่กำลังเลือกเครื่องประดับอยู่ที่ร้านเป่าหวา
นางซ่งไม่ลังเลสักนิดที่จะตำหนิว่าคนพวกนี้เป็นนักต้มตุ๋นทั้งยังกล่าวหาว่าสามีตนก็เป็นพวกเดียวกันแต่อาศัยว่าหน้าตาคล้ายคลึงอยู่หลายส่วนจึงมาหลอกเอาเงินตน เมื่อกล่าวว่าเสร็จก็ให้บ่าวไพร่ไล่คนพวกนั้นไปแล้วกักเอาตัวสามีคนไว้บอกว่าจะนำตัวไปแจ้งความ
ครั้งนั้นเองที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับทอดถอนใจด้วยความนับถือในตัวสะใภ้สามที่เดิมตนคิดว่ามีอุปนิสัยอ่อนโยนยิ่งผู้นั้นและทำให้ตนต้องเปลี่ยนความคิดที่มีต่อสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้ามาผู้นี้ไปในทันที
ส่วนนางชีนั้นหลังจากทราบว่าสามีตนหายสาบสูญนางก็หมดสติไป หลังจากฟื้นขึ้นก็ทราบว่าตนตั้งครรภ์ แม้นจิตใจตนเจ็บปวดจนแทบสลายแต่ก็ยังฝืนกินข้าว
กระทั่งยามนี้นางยังจำภาพที่นางชีกินข้าวไปแล้วก็อาเจียนออกมา อาเจียนเสร็จก็กินเข้าไปใหม่ได้ดี มันช่างเป็นภาพที่ทำให้รู้สึกขมขื่นจนต้องถอนหายใจออกมาเลยทีเดียว
ยังมีนางจั้งมารดาของหลัวเทียนเฉิงอีกคน ปีนั้นที่เสียสามีไป นางเอ่ยอย่างหนักแน่นด้วยดวงตาแดงก่ำกับตนว่า “ท่านแม่วางใจเถิด มีหมิงเกออยู่ ไม่ว่าอย่างไรสะใภ้ก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไป คอยเฝ้ามองเขาเติบใหญ่ แต่งงาน มีบุตร เช่นนี้จึงจะไม่ผิดต่อท่านพี่”
ต่อมากลับพบศพของนางหูในทะเลสาบ กระทั่งถึงตอนนี้นางยังไม่เชื่อว่านางจั้งจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย
“ฮูหยินผู้เฒ่า…” นางเถียนร้องเรียกขึ้น ด้วยห่วงบุตรสาวที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น แม้นจะมีผ้าปูรองแต่อากาศที่เหน็บหนาวเข้ากระดูกเช่นนี้จะมีคุณหนูตระกูลใดทนได้บ้าง
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงตื่นจากภวังค์ แล้วหันมองหลัวจือหยาที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ก็ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
นางเชื่อว่าหยวนเหนียงที่มีฐานะเป็นคุณหนูใหญ่ทั้งยังเป็นบุตรของภรรยาเอกย่อมมิใช่คนโง่ แต่นางมองบางอย่างแคบไปเท่านั้น หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเพราะการถูกอบรมเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กทำให้นางมิเคยคิดว่าจะลงมือทำร้ายสาวใช้ทงฝังหรืออนุภรรยาของบิดาหรือเรื่องอันใดทำนองนี้เลย
“หยวนเหนียง เรื่องวันนี้จะถูกหรือผิด เจ้ารู้อยู่แก่ใจ ย่าไม่คิดจะพูดอันใดให้มากความ แต่อีกไม่นานเจ้าก็จะแต่งไปยังดินแดนหมานเว่ยแล้ว ต่อไปคงไม่มีผู้อาวุโสคอยชี้แนะ ย่าจึงขอพูดสิ่งที่ผู้อาวุโสมิควรสอนสักประโยค เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เถิด”
“ท่านย่า…” หลัวจือหยาอึ้งไปเล็กน้อย
นางเคยคิดว่าท่านย่าคงผิดหวัง รังเกียจตน แต่ก็มิได้ยี่หระสิ่งนั้น คาดไม่ถึงว่าท่านย่ากลับมองนางด้วยสายตาล้ำลึกเช่นนี้ มันมีทั้งความสงสาร ความจนใจ ยังมีอีกหลายความรู้สึกที่มองอย่างไรนางก็ไม่เข้าใจ
แม้แต่เจินเมี่ยวก็ยังอดนั่งตัวตรงตั้งใจฟังถ้อยคำที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะเอ่ยมิได้
“โลกใบนี้เดิมก็โหดร้ายกับสตรีเช่นเราๆ อยู่แล้ว ดังนั้นหากเจ้าจะทำเรื่องที่แหวกกฎเกณฑ์ จักต้องกระทำในสิ่งที่ได้มากกว่าเสีย หากทำไปเพียงเพื่อระบายโทสะนั้นเป็นเรื่องโง่เขลาสิ้นดี หากเจ้าทำไม่ได้เช่นนี้ก็พึงระวังรักษากฎเกณฑ์ที่ควรปฏิบัติต่อไปเถิด”
ระหว่างที่เอ่ยฮูหยินผู้เฒ่าก็มองหลัวจือหยาด้วยแววตาล้ำลึกคราหนึ่ง “หยวนเหนียง เจ้าลุกขึ้นเถิด ย่าหวังว่าเจ้าจะจดจำวาจานี้ไว้ มันอาจมีประโยชน์กับเจ้าในภายหน้าเมื่อต้องไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง”
“เจ้าค่ะ” หลัวจือหยาก้มหน้ารับคำ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับท่าทีเช่นนี้ของฮูหยินผู้เฒ่า โทสะและความดุร้ายในใจนางกลับหาที่มาที่ไปไม่ได้เลย
ฮูหยินผู้เฒ่านวดคลึงขมับตนแล้วเอ่ยว่า “นางเถียน พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว”
นางเถียนย่อกายคราหนึ่งแล้วจูงมือหลัวจือหยาออกไป
กระทั่งคนจากไปแล้วครู่หนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าจึงยกชาขึ้นดื่ม
เจินเมี่ยวรีบรินน้ำชาส่งไปให้อีกถ้วยทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าดื่มชาร้อนๆ ไปอึกหนึ่ง จิตใจจึงสงบลงได้หลายส่วน เมื่อส่งสัญญาณให้คนรับใช้ภายในห้องออกไปหมดแล้วจึงเอ่ยถามว่า “หลานสะใภ้ หากเจ้าเป็นหยวนเหนียง เจ้าจะทำเช่นไร?”
“ข้า?” เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ นางเป็นแค่คนผ่านทางเท่านั้นเหตุใดจึงดึงนางเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเล่า
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้ม “ให้เจ้าพูดเจ้าก็พูดเถิด ย่าจะได้แนะนำเจ้าถูกในตอนนี้ที่ยังมิทันสติเลอะเลือน หากผ่านไปอีกสักสองสามปี ไม่แน่ว่าย่าอาจจะเป็นเช่นท่านปู่แล้วก็ได้ ต่อให้คิดจะแก้ไขอันใดแทนพวกเจ้าก็คงทำไม่ได้แล้ว”
หลานสะใภ้ผู้นี้มิใช่คนจิตใจซับซ้อน ว่าไปแล้วก็คงมิอาจเป็นผู้ดูแลจวนที่โดดเด่นเก่งกาจ แต่ตอนตนยังอยู่ในวัยสาวก็ใช่ว่าจะเป็นคนที่เก่งกาจและรู้ทันคนเช่นนี้เมื่อใดกัน?
สำหรับตระกูลสูงศักดิ์เช่นพวกเขาแล้ว การที่กระทำเรื่องใดๆ ใหญ่เล็กอย่างผู้มีสตินั้นกลับเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของฮูหยินผู้เฒ่า เจินเมี่ยวจึงมิกล้าตอบอย่างขอไปทีได้ นางตอบความคิดที่แท้จริงของตนออกไปว่า “หากหลานเป็นหยวนเหนียงก็อาจจะเข้าไปทุบตีเยียนเหนียงแทนกระมัง อย่างไรเสีย…อย่างไรจะทุบทำลายของหรือทุบทำร้ายคนก็คือการทุบทำลายเช่นเดียวกัน…”
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มออกมา “หลานสะใภ้ นี่คือความหมายของประโยคที่ย่าบอกแก่หยวนเหนียงไปเมื่อครู่อย่างไรเล่า ในเมื่อคิดจะแหกกฎแล้วก็ต้องได้รับผลประโยชน์มากที่สุด มิเช่นนั้นการกระทำอันแหกกฎนี้ก็ไร้ความหมายมิใช่หรือ?”
เจินเมี่ยวพยักหน้าโดยแรง
ในที่สุดนางก็ทราบแล้วว่าความเสียดายในดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อครู่นี้คืออันใด
คิดไม่ถึงว่าประโยคต่อมาของฮูหยินผู้เฒ่ากลับทำให้นางตกใจจนคางแทบร่วงตกพื้นยิ่งกว่าเสียอีก
“หลานสะใภ้ ย่าอยากจะบอกเจ้าอีกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าเรื่องใดต้องคิดให้ดีก่อนจะลงมือทำ หากไม่แน่ใจก็มิสู้อยู่เฉยๆ ท่านอารองเจ้ากลับมาจักต้องโกรธมากแน่ หยวนเหนียงจะออกเรือนแล้วคงมิได้รับการลงโทษอันใดดอก แต่ก็ยากจะหลีกเลี่ยงอาการพาลพาโลไปถึงอาสะใภ้รองได้ แต่นั่นกลับมิใช่เรื่องสำคัญที่สุด”
“แล้วสิ่งใดสำคัญที่สุดเล่าเจ้าคะ?” เจินเมี่ยวเอ่ยถาม
“ที่สำคัญที่สุดน่ะหรือ…” เอ่ยถึงตรงนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในใจ “ที่สำคัญที่สุดคือสาวใช้สองคนที่คอยดูแลเรือนคงถูกอารองเจ้าไล่ออกมาเพราะดูแลเยียนเหนียงไม่ดีพอ”
“เรื่องนี้…” เจินเมี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
เทพเซียนวิวาทภูตผีเดือดร้อนก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ
ฮูหยินผู้เฒ่ากระแอมไอคราหนึ่ง แล้วเอ่ยต่อว่า “สาวใช้สองคนในเรือนนั้น มีผู้หนึ่งที่เป็นคนของย่า ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจให้เยียนเหนียงมีบุตรเด็ดขาด”
เจินเมี่ยวซูดปากคราหนึ่ง
“เป็นอันใด ตกใจหรือ?”
เจินเมี่ยวส่ายหน้า
“ไม่ว่าเจ้าจะตกใจหรือหวาดกลัว แต่ต่อไปจวนกั๋วกงอันใหญ่โตนี้ก็ต้องส่งมอบให้เจ้าดูแล เรื่องบางเรื่องย่าก็ไม่อยากปิดบังเจ้า”
“หลานสะใภ้เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ “แต่นางเสียดายที่หยวนเหนียงก่อเรื่องนี้ขึ้นมา ต่อไปแม้นย่าอยากช่วยก็ไร้หนทางแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงพูดต่อว่า “หลานสะใภ้ เรื่องนี้เจ้าได้พูดไปเชียว หากอาสะใภ้รองเจ้ารู้เข้าคงกินข้าวไม่ลงแน่”
เจินเมี่ยวเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา นางได้แต่ฝืนรับคำไป แต่ในใจกลับลอบจุดเทียนอวยชัยให้สองแม่ลูกนั้น
มิใช่ว่านางรู้สึกสุขใจเมื่อเห็นผู้อื่นมีทุกข์ แต่การมีคนโง่เขลาเป็นสหายนั้นน่ากลัวกว่าการเป็นศัตรูกับเทพเซียนเสียอีก!
ฮูหยินผู้เฒ่าพูดไม่มีผิด หากเรื่องใดไม่แน่ใจว่าทำได้ก็มิสู้อยู่นิ่งๆ จะดีกว่า
แหะๆ นางถึงมิเคยกระทำการใดเลยอย่างไรเล่า!
หลังจากที่นายท่านรองสกุลหลัวกลับมาและทราบเรื่องที่หลัวจือหยาทำก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแต่ก็ทำอันใดบุตรสาวตนมิได้ สุดท้ายจึงเอาโทสะไปลงที่บ่าวไพร่และขายหญิงรับใช้สองคนนั้นไปอย่างที่ฮูหยินผู้เฒ่าคาดการไว้ไม่มีผิด แล้วซื้อสาวใช้คนใหม่เข้ามาปรนนิบัติเยียนเหนียง
มิทราบว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือความตั้งใจ นางเถียนที่เป็นผู้ดูแลหลักในจวนกลับไปทราบมาว่าหญิงรับใช้สกุลซุนมักลอบไปเอายาคุมกำเนิดจากห้องยาผสมใส่กับน้ำแกงที่เยียนเหนียงดื่มทุกวัน และเมื่อหันไปมองเรือนฝั่งตะวันตกที่แน่นหนาประหนึ่งถังเหล็ก ความคับแค้นใจนั้นจุกแน่นอยู่ในอก ผ่านไปเพียงสองวันก็ล้มป่วย
วันนี้คุณชายรองมีธุระจึงมีเพียงคุณชายสามที่มาเยี่ยมมารดา เขากินข้าวเย็นด้วยแล้วค่อยเดินกลับเรือนตน แต่กลับบังเอิญชนเข้ากับคนผู้หนึ่งที่มุมเลี้ยวหลังหุบเขาจำลอง
ตอนที่ 268 เข้าใจผิด
“ผู้ใดไร้ตาเช่นนี้?” คุณชายสามเพิ่งกลับมาจากเรือนนางเถียน ครั้นเห็นสีหน้าซูบซีดยามเจ็บไข้ของนางแล้วก็พาลคิดถึงการกระทำอันเลอะเลือนของบิดา แต่เขาเป็นบุตรมิอาจพูดสิ่งใดได้ เดิมก็มิใคร่อารมณ์ดีนักเมื่อเดินชนกับคนผู้หนึ่งเข้าโทสะจึงระเบิดออกมา
แต่เมื่อเขาหันไปมองว่าเป็นผู้ใด ร่างทั้งร่างก็พลันแข็งค้างขึ้นมา
สตรีผู้นั้นสวมเสื้อเอ่าเข้าชุดกับกระโปรงหม่าเมี่ยนสีเขียวเรียบง่ายอย่างที่สุด มีเพียงต่างหูไข่มุกชมพูเม็ดเล็กที่แกว่งกระทบเข้ากับข้างแก้มอันขาวผ่องดุจหยกงามอย่างซุกซน ทำให้ความงามดุจธิดาสวรรค์ของคนตรงหน้าดูคล้ายภาพฝันก็มิปาน
เวลานี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว พระอาทิตย์คล้อยต่ำมีเพียงลำแสงสีแดงสายหนึ่งที่ยังทาบทับท้องฟ้าไว้ครึ่งหนึ่งคล้ายอาลัยอาวรณ์ยิ่งทำให้ท้องฟ้าในยามเหมันต์นี้มีแสงสว่างอันขมุกขมัวเหลืออยู่บ้าง
อาภรณ์เขียวผมดำขลับ ผิวขาวราวหิมะ เมื่อมาอยู่ท่ามกลางอาทิตย์อัสดงนี้แล้วก็คล้ายมีแสงเรืองรองรายล้อมอยู่รอบตัวก็มิปาน
คุณชายสามรู้สึกดั่งตนฝันไป เขาอ้าปากเอ่ยถามขึ้นประโยคหนึ่ง “เจ้า เจ้าเป็นคนหรือปีศาจ?”
หลังจากสบตากันในเวลาอันสั้นนั้นแล้ว สตรีชุดเขียวก็ไม่มองคุณชายสามอีก นางเพียงก้มหน้าวิ่งตรงไปข้างหน้า
คุณชายสามชมชอบศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เล็ก มือเท้าย่อมว่องไว แต่เวลานี้เขาจึงเผลอยื่นมือออกไปคว้าข้อมือขาวผ่องของสตรีผู้นั้นไว้ แล้วถามซ้ำอีกครั้ง “เจ้าเป็นคนหรือปีศาจ?”
สตรีชุดเขียวมองคุณชายสาม ขอบตาที่แดงก่ำแต่เดิมนั้นยิ่งแดงก่ำขึ้นไปอีก หากขนตาอันงอนยาวนั้นกะพริบลงเมื่อใด หยาดน้ำตาใสคงร่วงตกลงมาเป็นแน่ แต่มันกลับดึงดูดสายตาได้มากกว่าไข่มุกสีชมพูที่ซุกซนนั้นเสียอีก
คุณชายสามจ้องมองหยาดน้ำตาใสนั้นนิ่งคล้ายคนถูกกระแสไฟพุ่งเข้าโจมตีก็มิปาน
ในขณะที่เขากำลังอึ้งงันอยู่นั้น สตรีชุดเขียวก็สะบัดมือเขาออกแล้ววิ่งหนีไปแสนไกล
กระทั่งไม่เห็นแม้แต่เงาคนเหลือเพียงแต่กลิ่นหอมและอากาศหนาวเย็นลอยวนอยู่รอบกาย คุณชายสามจึงตื่นจากภวังค์ เขารีบวิ่งตามไปแต่กลับไม่พบแม้เพียงร่องรอย
ไม่ทราบด้วยเหตุใดคุณชายสามมิเคยสนใจเรื่องระหว่างบุรุษสตรี กระทั่งสาวใช้ทงฝังก็ไม่มีแม้เพียงสักคนกลับรู้สึกใจคอโหวงเหวงขึ้นมาเป็นครั้งแรก เขาเดินกลับไปที่ที่คนทั้งสองเดินชนกัน
คุณชายสามยืนนิ่งอยู่ที่นั่นเป็นนาน ท้องฟ้ากำลังจะมืดสนิทลงแล้ว ลมหนาวลอดมุดเข้าไปในคอเสื้อ แม้นจะสวมเสื้อผ้าหนาแต่ก็ยังรู้สึกทนไม่ไหว
“นางเป็นคนหรือปีศาจกันแน่?” คุณชายสามพึมพำกับตนเอง “จักต้องเป็นปีศาจแปลงตัวมาแน่ มิเช่นนั้นจะงดงามถึงเพียงนี้ได้อย่างไร”
คุณชายสามยกเท้าเตรียมจากไปแต่สายตากลับเหลือบไปเห็นวัตถุสีขาวที่ขยับไปมาอยู่บนพื้นจึงอดก้มลงเก็บมันขึ้นมามิได้ เพราะแสงจันทราช่างกระจ่างนักทำให้มองเห็นว่ามันเป็นผ้าเช็ดหน้าทรงสี่เหลี่ยมขาวสะอาดผืนหนึ่ง ตรงมุมผ้าปักลายดอกเหมยไว้ครึ่งดอก
คุณชายสามสูดดมมันคล้ายต้องมนต์ก็มิปาน แล้วพับมันอย่างดียัดเก็บไว้ในอกเสื้อจึงเดินกลับเรือนตนไป
ผ่านไปอีกหลายวันก็ยังคงมีท่าทีเหม่อลอยครุ่นคิด คุณชายรองซึ่งเป็นพี่ชายฝาแฝดย่อมต้องสัมผัสได้เป็นธรรมดา เขาจึงหาโอกาสเหมาะๆ เอ่ยปากถาม “น้องสาม หลายวันมานี่เจ้าเป็นอันใดหรือ?”
คุณชายสามมีอุปนิสัยตรงไปตรงมามาตั้งแต่เยาว์วัย ไม่มีเรื่องใดที่เขาจะปิดบังพี่ชายฝาแฝดผู้นี้เลย แต่เมื่อได้ยินพี่ชายเอ่ยถามเขาก็ลังเลครู่หนึ่งแล้วลองหยั่งเชิงไปว่า “พี่รอง ท่านเชื่อว่าโลกนี้มีปีศาจหรือไม่?”
คุณชายรองเลิกคิ้วขึ้น “น้องสาม แม้นขงจื่อยังไม่พูดเรื่องภูตผี แล้วเจ้าคิดเหลวไหลอันใดอยู่หรือ?”
พี่น้องที่เติบโตด้วยกันมาย่อมมิจำเป็นต้องปิดบังอันใด เมื่อคุณชายสามได้ยินคุณชายรองเอ่ยเช่นนั้นก็พลันร้อนใจขึ้นมา “พี่รอง ข้าเห็นจริงๆ นะ!”
คุณชายรองเห็นท่าทีร้อนใจที่เขาไม่เชื่อถือของคุณชายรองก็อดถอนหายใจออกมามิได้ “น้องสาม เจ้าเล่ามาทีว่าปีศาจนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร?”
เมื่อถูกถามเช่นนี้คุณชายสามกลับชะงักไป ไม่ทราบเหตุเขาจึงไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่านางมีหน้าตาเช่นไร
ครั้นเห็นคุณชายสามไม่พูด คุณชายรองก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “น้องสาม ข้าคิดว่าเจ้าคงว่างเกินไปจึงได้คิดฟุ้งซ่าน ระยะนี้ท่านแม่ล้มป่วยอยู่ หากเจ้าไม่มีเรื่องใดก็ไปเยี่ยมพูดคุยกับท่านแม่บ้างจะดีกว่า”
คุณชายสามเอ่ยอย่างไม่อ่อนข้อว่า “ระยะนี้ข้าไปเยี่ยมท่านแม่ทุกวัน ท่านต่างหากที่ไม่เคยเห็นแม้เพียงเงา”
ตั้งแต่ที่เขาชนเข้ากับสตรีผู้นั้นเพราะกลับมาจากเยี่ยมนางเถียนก็ไปเยี่ยมมารดาทุกวัน เขาอยากไปเยี่ยมมารดาจริงๆ แต่ก็อยากพบนางอีกสักครั้งด้วยเช่นกันทำให้มีความกระตือรือร้นเพิ่มขึ้นมาอีกสักหน่อย แม้แต่นางเถียนที่อารมณ์ไม่ค่อยจะดีนักมาตลอดเห็นบุตรชายกตัญญูเช่นนี้ก็อารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย
คุณชายรองถูกคุณชายสามตอกหน้ากลับมาเช่นนั้น แต่แม้นเขาไปจะเยี่ยมนางเถียนทุกเช้าเย็นก็ไม่มีทางเทียบได้กับน้องสามที่ไปเฝ้าอยู่ที่นั่นอยู่ครึ่งค่อนวันเป็นแน่
“พี่รอง ข้ายังมิได้ถามท่านเลย หลายวันมานี่ท่านยุ่งอันใดหรือ?”
“ก็แค่นัดพบพูดคุยกับสหายนักกวีทั้งหลายเท่านั้นเอง” คุณชายรองมิคิดพูดอันใดมาก เพียงตอบอย่างขอไปทีเท่านั้น
คุณชายสามก็มิได้สนใจไต่ถามอันใดต่อไปอีก
แม้นเขากับพี่รองจะผูกพันกันอย่างลึกซึ้งแต่อุปนิสัยนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง พวกเขามีสหายกลุ่มเดียวกันก็จริงแต่ก็มีสหายอีกกลุ่มของตนด้วยเช่นกัน
ยากนักที่สองพี่น้องจะได้มีโอกาสพูดคุยกันเช่นนี้ คุณชายสามเพียงรู้สึกว่าสองสามวันมานี่ตนมีบางอย่างที่แปลกไปคล้ายไม่เป็นตัวของตัวเองจึงอดถามพี่ชายมิได้ว่า “พี่รอง ท่านมีสตรีในดวงใจหรือไม่?”
ครานี้คุณชายรองจึงเริ่มสนใจขึ้นมาทันที เขาเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยถามคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “น้องสาม หรือเจ้ากำลังมีความรัก? บอกพี่รองมา เจ้าชมชอบคุณหนูตระกูลใด?”
คุณชายสามรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย “พี่รอง ข้าถามท่านอยู่ เหตุใดท่านจึงมาถามข้าแทนเล่า”
คุณชายรองหัวเราะหึๆ “ข้ามีสตรีในดวงใจที่ใดกันเล่า ออกจวนไปก็พบแต่บุรุษ ในจวนก็มีแต่ญาติพี่น้องทั้งสิ้น”
สายตาคุณชายสามเป็นประกายขึ้นมาทันที
ญาติหรือ?
หากสตรีผู้นั้นมิใช่ปีศาจ นางก็อาจจะอยู่ในจวนแห่งนี้?
คุณชายสามอุปนิสัยตรงไปตรงมา ยามนี้ในหัวกลับกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที
สตรีผู้นั้นสวมอาภรณ์เรียบง่ายธรรมดายิ่ง อายุมิได้มากอันใด เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นสาวใช้ของเรือนใดเรือนหนึ่งในจวน!
ควรต้องทราบว่าคุณชายเช่นพวกเขาหากอายุครบสิบปีก็ต้องย้ายมาพักอยู่เพียงลำพังที่เรือนหน้า นอกจากต้องไปเยี่ยมคารวะท่านย่าและมารดาแล้วก็น้อยนักที่จะไปเรือนหลัง การที่เขาไม่รู้จักสาวใช้ในเรือนก็เป็นเรื่องธรรมดายิ่ง
ครั้นคิดได้เช่นนี้หัวใจของคุณชายสามก็ลอยละลิ่วขึ้นมาทันที เขาลูบหน้าอกตนในตำแหน่งที่เก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไว้แล้วผลิยิ้มโง่งมออกมา
“น้องสาม…” คุณชายรองยื่นมือไปสะกิดคุณชายสาม “เสียสติไปแล้วหรือ?”
“แหะๆๆ” คุณชายสามยิ้มแห้งๆ ออกมา แม้นคุณชายรองจะเอ่ยถามอันใดเขาก็มิพูดตอบอีก
เมื่อนางเถียนเริ่มมีอาการดีขึ้น คุณชายสามที่คอยดูแลรินน้ำชาให้นางเถียนก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป “ท่านแม่ ลูก ลูกอยากจะ…”
“อยากทำอันใดหรือ?” นางเถียนมีบุตรชายสามคนบุตรสาวอีกหนึ่ง เดิมก็มิได้รักใคร่บุตรชายคนที่สามเท่าใดนักอยู่แล้ว พูดกันตามตรงแล้วนางย่อมต้องให้ความสำคัญกับบุตรชายคนโตที่สุด หากจะเอ็นดูก็คงไม่พ้นบุตรชายคนเล็กที่อายุไม่ถึงหกปีผู้นั้น และที่นางรักถนอมที่สุดก็คือหลัวจือหยาบุตรสาวเพียงคนเดียวของนางเอง บุตรคนที่สามซึ่งแทรกอยู่ระหว่างกลางมิได้รับความรักที่มากเป็นพิเศษนั้นเป็นเรื่องที่พบเห็นอยู่ทั่วไป
เพียงแต่ระยะหลังมานี่หากนับดูแล้วคุณชายสามเป็นคนที่มาหานางบ่อยที่สุด ดูแลนางไม่ขาดตกบกพร่องที่สุด หัวใจของผู้เป็นมารดาจึงเริ่มเอนเอียงมาหาเขาอย่างช้าๆ ครั้นเห็นบุตรชายพูดจาอึกอักก็มิได้แสดงท่าทีรำคาญแต่กลับเผยรอยยิ้มที่ยากนักจะพบเห็นในหลายวันมานี่
คุณชายสามเองก็รับรู้ได้ว่ามารดาอารมณ์ดีไม่น้อย แม้นจะเขินอายยิ่งแต่หลังจากที่ได้ผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกเหมยครึ่งดอกนั้นมาครอบครอง ทุกคราที่หยิบขึ้นมาสูดดมภาพของสตรีชุดเขียวนั้นก็ประทับลงในหัวใจเขามากขึ้นทุกขณะ กระทั่งนอนไม่หลับอยู่ทุกค่ำคืนโดยไม่รู้ตัว
ถึงเวลานี้แล้ว ความเขินอายเหล่านั้นมีหรือจะสู้ความปรารถนาในใจตนได้ คุณชายสามจึงแข็งใจเอ่ยไปว่า “ท่านแม่ ลูกอยากได้คนมาอยู่ในเรือนเพิ่ม…”
นางเถียนอึ้งงันไป รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหายทันที
ในปีที่พวกเขาอายุครบสิบสี่ นางก็ได้จัดแจงเลือกสาวใช้ทงฝังให้บุตรชายทั้งสองไว้คนหนึ่ง บุตรชายคนรองรับไว้โดยมิเอ่ยปฏิเสธใดๆ แต่บุตรชายคนที่สามกลับไม่ต้องการ บอกว่ายุ่งยากเปล่าๆ
คุณชายที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์เช่นพวกเขานั้นมิอาจแต่งอนุได้ แต่จะจัดสรรสาวใช้ทงฝังที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีให้ไว้หนึ่งคน เพราะกลัวว่าคุณชายทั้งหลายมิเคยลิ้มลองแล้วจะทนสิ่งยั่วยุเหล่านี้ไม่ไหวจนไปเรียนรู้สิ่งผิดๆ มาจากข้างนอก
แต่หากบุตรชายยังมิพร้อมผู้เป็นมารดาก็ย่อมมิบังคับฝืนใจ อย่างไรเสียการที่บุรุษเอาใจไปทุ่มเทกับเรื่องพวกนี้เร็วเกินไปก็มิใช่เรื่องดีนัก
แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้บุตรชายจะเอ่ยกับนางด้วยตนเอง
นางรู้สึกกังวลใจอยู่บ้างเพราะเกรงว่าบุตรชายจะเอาใจไปมอบให้แก่สาวใช้ทงฝังชั้นต่ำจริงๆ
อย่างไรเสียการคัดเลือกสาวใช้ทงฝังให้บุตรกับการที่บุตรชมชอบและเลือกสรรด้วยตนเองนั้นย่อมเป็นคนละเรื่องกัน
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่นางเถียนทนไม่ได้
แม้นยามนี้ท่านพี่จะถูกนางปีศาจจิ้งจอกนั้นทำให้ลุ่มหลงจนหัวปักหัวปำแต่สมัยที่ยังหนุ่มแน่นกลับประพฤติตนในกฎระเบียบทุกอย่าง
แต่นางเถียนก็เริ่มเข้าใจเรื่องนี้ขึ้นมาอยู่บ้าง ตอนนั้นพวกเขาสองสามีภรรยามีความปรารถนาบางอย่างร่วมกัน ท่านพี่ย่อมต้องสำรวมกิริยา แต่ยามนี้ต้าหลังกลับมีตำแหน่งใหญ่โตเป็นคนหนุ่มที่มีอนาคตไกล ความหวังในแผนการทุกอย่างที่พวกเขาวางไว้ก็ค่อยๆ มอดดับลง ท่านพี่จึงได้เอาจิตใจทุกอย่างไปวางไว้กับอิสตรีงาม
แต่บุตรชายของนางกำลังเติบโตอย่างสง่างาม นางจะไม่ยอมให้เขาทำตัวเหลวไหลเด็ดขาด
“เจ้าถูกใจคนใดเล่า?” นางเถียนเอ่ยถามอย่างไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ต้องเผชิญกับเรื่องที่ตนปรารถนามากที่สุดก็ย่อมต้องรู้จักสังเกตไปโดยปริยาย แม้แต่คุณชายสามเองก็รับรู้ได้ว่านางเถียนมิใคร่พอใจนัก จึงพลิกลิ้นกลืนวาจาที่เดิมคิดพูดออกไปลงคอทันที “ท่านแม่ ลูกมิได้ถูกใจผู้ใดแต่ลูกอายุสิบเจ็ดแล้ว สหายทุกคนต่างก็มีเช่นเดียวกัน ยามพูดคุยเล่นกันลูกกลับมิอาจร่วมสนทนาด้วยได้ทั้งยังถูกหัวเราะเยาะอีก”
นางเถียนพลันอึ้งไป
เป็นนางเองที่ละเลย เวลาล่วงมาถึงสามปี จากเด็กหนุ่มก็กลายเป็นหนุ่มน้อยเสียแล้ว เขาย่อมต้องรู้สึกใคร่รู้เรื่องระหว่างชายหญิงเป็นธรรมดา
ครั้นเห็นทราบว่าบุตรชายมิได้ถูกตัวอัปรีย์คนใดทำให้ลุ่มหลง นางเถียนก็ผ่อนคลายลง นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ประเดี๋ยวแม่จะเลือกที่ดีๆ สักคนให้เจ้า แต่ขออย่างเดียว อย่าทำให้เสียการเรียนเด็ดขาด”
“ท่านแม่ ท่านพูดอันใดกัน!” คุณชายสามหน้าแดงขึ้นมา ตามด้วยรอยยิ้ม “ลูกเชื่อในสายตาของท่านแม่ว่าท่านจักต้องเลือกคนที่งามที่สุดให้กับลูก”
นางเถียนยกนิ้วขึ้นจิ้มหน้าผากคุณชายสาม “เจ้านี่เอาใหญ่แล้วนะ!”
“ท่านแม่ ลูกจะมิเอาก็ได้ แต่หากจะเอาต้องเอาที่สวยที่สุดในจวนขอรับ ต่อไปหากพวกเขาหัวเราะเยาะอีก ลูกก็จะได้โต้ตอบกลับทันที ท่านคงไม่ทราบ…มีครั้งหนึ่งเราไปฟังดนตรีที่โรงน้ำชา มีแม่นางน้อยผู้หนึ่งขึ้นมาเล่นพิณ สหายผู้หนึ่งมองอย่างตกตะลึงกระทั่งชาหกรดตนก็มิรู้ตัวจนถูกล้อเรื่องนี้อยู่นานเลยทีเดียว”
ความจริงนี้เป็นเรื่องที่คุณชายสามหลอกนางเถียน ผู้ที่ไปฟังดนตรีที่โรงน้ำชานั้นคือพี่รองมิใช่เขา เขาแค่ฟังพี่รองเล่าถึงสหายผู้นี้ด้วยความขบขันจึงนำมาเล่าให้นางเถียนฟังเท่านั้น
“เอาล่ะ สวยที่สุดอันใดกัน อายุยังน้อยแท้ๆ อย่าได้ไปเรียนอันใดผิดๆ มา ประเดี๋ยวแม่จะช่วยดูให้ก็แล้วกัน”
คุณชายสามได้ยินเช่นนี้ก็ทราบทันทีว่านางเถียนรับปากตนแล้ว
กระทั่งคุณชายสามจากไป นางเถียนมานั่งคิดดูแล้วก็ถึงกับปวดศีรษะ
สาวใช้ที่รูปโฉมงดงามที่สุดในจวน มิใช่อาหลวนสาวใช้ข้างกายนางเจินผู้นั้นหรอกหรือ?
ตอนที่ 269 ถูกตบหน้าอีกครา
นางเถียนเพิ่งจะอาการดีขึ้น นางจึงออกไปนั่งครุ่นคิดถึงเรื่องที่บุตรชายพูดกับตนอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวหน้าห้องนอน คิดไปคิดมาก็โกรธจนแทบจะหายใจไม่ทัน
คุณชายหนุ่มถูกใจสาวใช้คนสนิทของพี่สะใภ้ หากแพร่ออกไป ชื่อเสียงคงมิใคร่ดีนัก!
ต่อให้นางจะรักใคร่บุตรชายมากไปกว่านี้ก็มิอาจยอมกระทำเรื่องโง่งมอันน่าอับอายเช่นนั้นได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่วงเวลากำลังจะหาคู่ครองให้กับเจ้ารองกับเจ้าสามเช่นนี้
บุตรสาวเพียงคนเดียวจักต้องแต่งไปอยู่บ้านป่าเมืองเถื่อน ท่านพี่ถูกลดตำแหน่งต่อมายังไปลุ่มหลงปีศาจจิ้งจอกนั้นอย่างหัวปักหัวปำอีก ยามนี้กลับต้องมารับรู้ว่าบุตรชายที่กำลังจะหมั้นหมายนั้นถูกใจสาวใช้คนสนิทของพี่สะใภ้ตน
เมื่อนางเถียนครุ่นคิดเรื่องอันอลวนอลหม่านเหล่านี้ ความไม่สบายก็ย่างกรายเข้าหา นางรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาทันที
นางนวดคลึงขมับตนไปพลางลอบด่าอยู่ในใจด้วยโทสะ
ตั้งแต่นางเจินเข้าจวนมานั้นไม่มีเรื่องดีเลยจริงๆ นางเห็นสาวใช้มานักต่อนักแต่ก็ไม่มีสาวใช้ตระกูลใดจะงดงามหยาดเยิ้มเช่นสาวใช้ของนางเลย นี่มิใช่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ!
หากเอ่ยถึงอาหลวนแล้วนั้นอย่าว่าแต่สาวใช้ในจวนกั๋วกงเลยต่อให้รวมสาวใช้ทั่วเมืองหลวงเข้าไปด้วย ผู้ที่มีรูปโฉมโดดเด่นกว่านางนั้นนับว่ามีไม่มากนัก ตั้งแต่นางติดตามนางเจินเข้ามาในจวนก็มีแม่สื่อแม่ชักหลายรายเข้ามาขอร้องนางให้ไปพูดกับหลานสะใภ้เพื่อขอนางให้บรรดาชายหนุ่มทั้งหลาย
ที่ผ่านมานางมิเคยรับปากผู้ใดเลยแต่เมื่อคิดถึงรูปโฉมของอาหลวนแล้ว ภายหน้าอาจจะกลายเป็นผู้แทรกกลางระหว่างต้าหลางกับนางเจินก็ได้ แต่คิดว่าบุตรชายตนจะเกิดถูกใจนางรวดเร็วเพียงนี้ ช่างเป็นหายนะที่ร่วงลงจากฟ้าโดยแท้!
นางเถียนเรียกแม่นมเถียนเข้ามาปรึกษาคราหนึ่ง ครั้นถึงเช้าวันต่อมานางก็ไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางก็เอ่ยตำหนิว่า “นางเถียน อาการเจ้าเพิ่งดีขึ้น เหตุใดจึงมินอนพักอีกสักหน่อย อากาศหนาวเช่นนี้เจ้ามาทำอันใดที่นี่แต่เช้าตรู่เล่า?”
นางเถียนเอ่ยด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ทุกคนต่างกำลังวุ่นวายกัน แต่สะใภ้กลับไร้ประโยชน์ ทั้งยังทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นห่วง หากมิทำอันใดเป็นการตอบแทนบ้างก็คงมิอาจกินอยู่หลับนอนอย่างสบายใจได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยอีกสองสามประโยคแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอื่นไป
“เจ้าเจ็ดดูจะสดใสขึ้นมากแล้ว”
ครั้นจังเกอผ่านการดูแลอย่างดีมาสักระยะก็เริ่มแข็งแรงขึ้นจึงได้ตามนางชีมาน้อมทักทายทุกวัน เมื่อนับตามลำดับแล้วทุกคนในจวนจึงเรียกเขาว่าคุณชายเจ็ด
เมื่อเห็นคุณชายหกกับคุณชายเจ็ดยืนจับมือกันอยู่ด้านข้างนางชีแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็โล่งอก รอยยิ้มบนใบหน้าจึงกว้างมากขึ้นไปอีก “เจ้าหก ย่าได้ยินมาว่าระยะนี้เจ้าคอยดูแลน้องชายอยู่ตลอดใช่หรือไม่?”
ปกติคุณชายหกก็มักมีท่าทีคล้ายผู้ใหญ่คนหนึ่งอยู่แล้ว เมื่อได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนั้น ใบหน้าก็ยังคงเคร่งขรึมอยู่เช่นเดิม “ท่านแม่เคยบอกว่า พี่ใหญ่ดุจบิดาขอรับ”
ครั้นเมื่อเด็กน้อยเอ่ยวาจาเยี่ยงอย่างเป็นทางการเยี่ยงผู้ใหญ่ ทุกคนภายในห้องก็พลอยอมยิ้มไปตามๆ กัน
ฮูหยินผู้เฒ่านั้นหัวเราะไม่หยุดทีเดียวและยิ่งรู้สึกพอใจในตัวนางชีมากขึ้นไปอีก แต่เมื่อเห็นท่าทีขลาดกลัวและรูปร่างเล็กผอมของจังเกอก็ยิ่งรู้สึกสงสารจึงอดขมวดคิ้วขึ้นมิได้ นางเรียกให้หลานชายทั้งามและคุณหนูสามหลัวจือเจินเข้ามาหาแล้วส่งสายตาให้หงฝู
หงฝูเข้าใจทันทีจึงไปที่ห้องด้านข้างหยิบเอาไข่ม้วนถั่วแดงที่วางอยู่บนเตายกเข้ามา
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยขึ้นว่า “ลองชิมดูสิ นี่เป็นสูตรที่ได้มาจากพี่สะใภ้ของพวกเจ้า หลี่ว์จู๋เป็นคนทำเอง”
เจินเมี่ยวชอบทำอาหาร ไม่ว่านางจะทำขนมอันใดล้วนส่งมาที่เรือนอี๋อานเสมอ แต่ก็ใช่ว่าจะมีทุกวัน
เจินเมี่ยวรับรู้ได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าชอบกินไข่ม้วนถั่วแดงมากที่สุด จึงเขียนสูตรให้หลี่ว์จู๋สาวใช้ในเรือนที่เชี่ยวชาญการทำอาหารที่สุดโดยมิรอให้ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปาก
อย่างไรเสียผู้มีฐานะอาวุโสกว่าก็ยากจะให้เอ่ยขอ นางเอกก็คงมิอาจทำขนมมาส่งให้ได้ทุกวัน การสอนสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด
แต่การทำขนมนั้นก็บอกได้เพียงแค่ว่าต้องใส่เกลือ น้ำตาล น้ำเท่าใด ผสมแป้งอย่างไรแต่มีหลายอย่างที่อธิบายออกมาเป็นสูตรมิได้ เมื่อหลี่ว์จู๋ทำออกมารสชาติจึงแตกต่างจากเจินเมี่ยวอยู่นิดหน่อย
แน่นอนว่าสำหรับฮูหยินผู้เฒ่าที่ปกติกินขนมแค่เพียงไม่พี่คำนั้นก็นับว่าเพียงพอแล้ว เพราะหากเปรียบกับขนมที่กินมานับสิบปีพวกนั้น สิ่งนี้ก็นับว่าเป็นรสชาติที่แปลกใหม่น่าลิ้มลองยิ่งแล้ว
ว่าไปแล้วในบรรดาเด็กน้อยทั้งหลาย คุณชายห้าเป็นคนที่ซุกซนที่สุด แม้นนางเถียนจะมิได้ลงมือกลั่นแกล้งเจินเมี่ยวแต่ก็ห้ามมิให้บุตรชายไปหาเจินเมี่ยว ทั้งมิอาจอธิบายเหตุผลให้ฟังได้ด้วยเกรงว่าหากเด็กน้อยหลุดปากพูดไปคงไม่ดีแน่
คุณชายห้าที่อายุยังน้อยนักย่อมมิเข้าใจความคิดของผู้เป็นมารดาแน่ ครั้นได้ยินว่าขนมนี้มีความเกี่ยวข้องกับพี่สะใภ้ที่ทำอาหารเก่งที่สุดก็ขยับเข้ามาหยิบขนมไข่ม้วนถั่วแดงเป็นคนแรก
“อร่อยมากเลย! ” เมื่อขนมแสนอร่อยเข้าปาก คุณชายสามก็ผลิยิ้มออกมาทันที
นางเถียนโกรธที่บุตรชายไม่เชื่อฟังทำให้เจินเมี่ยวได้หน้า ทว่าผู้คนอยู่มากมายเช่นนี้นางย่อมมิอาจทำอันใดได้ จึงทำเพียงถลึงตาใส่คุณชายห้า
ผู้ใดจะทราบว่าเด็กน้อยจะตาไวเพียงนั้น เมื่อคุณชายสามเห็นเข้าก็เอ่ยถามอย่างน้อยใจว่า “ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงถลึงตาใส่ข้า?”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวาดมองไปด้วยสายตาไม่พอใจ นางเถียนลอบสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยว่า “น้องชายสองคนของเจ้ายังมิทันกินด้วยซ้ำเจ้าก็หยิบกินก่อนแล้ว”
คุณชายห้ายิ่งรู้สึกน้อยใจมากขึ้นไปอีกแต่ก็มิรู้จะเอ่ยสิ่งใด
เวลานี้เองคุณชายหกก็เดินเข้าไปหยิบไข่ม้วนถั่วแดงขึ้นมากินอย่างเป็นธรรมชาติ
หลานชายผู้นี้มีท่าทีสุขุมมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อนางเถียนเอ่ยเช่นนั้นขึ้นมาเขาควรนิ่งเฉยและไม่กระทำสิ่งใด ฮูหยินผู้เฒ่าพลันหวาดหวั่นใจขึ้นมา
หรือเพราะบิดากลับมาแล้ว เด็กผู้ได้รับความรักเอ็นดูอย่างมากมายจึงเริ่มผยองขึ้นมา?
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงผลิยิ้มพลางเอ่ยถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าหก เจ้าไม่กลัวมารดาเจ้าถลึงตาให้หรือ?”
เพราะเป็นเพียงคำเย้าเล่น นางเถียนจึงมิได้เอ่ยสิ่งใด เพียงกลับลอบยิ้มเฝ้ารอว่าคุณชายหกจะตอบเช่นไร
คุณชายหกกลืนขนมลงคอไปหมดแล้วจึงหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากค่อยเอ่ยตอบอย่างจริงจังว่า “ท่านแม่ไม่มีทางถลึงตาให้หลานแน่นอน ขนมนั้นท่านย่าเป็นผู้มอบให้ ของที่ผู้อาวุโสให้ผู้น้อยมิอาจปฏิเสธ”
ฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับตกตะลึงไป แล้วมองคุณชายหกอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลานชายที่อายุเพียงเท่านี้จะเอ่ยเช่นนั้นออกมาได้
แต่เพราะนั้นเป็นวาจาของเด็กน้อยจึงสามารถตอบหน้านางเถียนโดยแรงได้ สีหน้าของนางในยามนั้นย่ำแย่ยิ่ง นางต้องใช้พลังอย่างยิ่งยวดในการควบคุมท่าทีตนเอาไว้แต่ในใจกลับโกรธจนแทบจะขาดใจตายแล้ว
เมื่อคุณชายหกเอ่ยเช่นนี้ยิ่งทำให้เห็นว่าเขาฉลาดล้ำยิ่งกว่าคุณชายห้าที่นิ่งเงียบเป็นใบ้ไปแล้วเมื่อครู่นี้ยิ่ง ทั้งยังบอกว่ามารดาเขาไม่มีทางถลึงตาใส่เขาแน่ ผู้ใดก็ทราบว่าเมื่อครู่นางถลึงตาใส่คุณชายห้า เช่นนี้ยิ่งทำให้เห็นชัดว่านางอบรมบุตรไม่ดีเท่านางชีใช่หรือไม่!
นางเถียนลอบสูดลมหายใจเข้าลึก สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นเจินเมี่ยวที่นั่งอมยิ้มอยู่ตรงนั้นแล้วก็อดกัดฟันกรอดมิได้
นางรู้อยู่แล้วว่าหากเรื่องใดเกี่ยวพันกับคนอัปรีย์เช่นนั้นย่อมไม่มีเรื่องดีแน่!
หากมิใช่เพราะนางเขียนสูตรขนมนั้นให้กับฮูหยินผู้เฒ่า วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็คงไม่มีขนมแปลกใหม่มาเอาใจเด็กน้อย นางก็คงไม่ต้องขายหน้าเช่นนี้
ขณะที่นางเถียนกำลังพยายามกดข่มโทสะตนไว้ คิดไม่ถึงว่าคุณชายเจ็ดกลับทำให้นางต้องประหลาดใจ
คุณชายเจ็ดเพียงกัดกินไปคำหนึ่งก็คายออกมา “ไม่อร่อย!”
ทุกคนภายในห้องพลันตกตะลึงไป
ฮูหยินผู้เฒ่าหุบยิ้มไวกว่าผู้ใด แล้วมองคุณชายเจ็ดด้วยท่าทีนิ่งขรึม
แม้นคุณชายเจ็ดจะอายุยังน้อยก็สามารถรับรู้ได้ว่าบรรยากาศที่แปลกไปทำให้เขาเริ่มลนลาน แต่ในเรื่องอาหารการกิน เขามิอาจกินสิ่งที่ไม่ชอบได้จริงๆ จึงขอบตาแดงเรื่อขึ้นมาทันใด แล้ววิ่งไปยืนตรงหน้าเจินเมี่ยว เงยหน้าขึ้นเอ่ยกับนางด้วยหยาดน้ำตานอง “ไม่อร่อยเหมือนหมานโถวกุหลาบรสมันม่วงที่พี่สะใภ้ทำ!”
แม้นนางจะนั่งอยู่ดีๆ ก็ยังพลอยโดนไปด้วยใช่หรือไม่?
สายตาของคนทั้งหลายที่หันมองมาที่นางล้วนมีแววล้ำลึกซ่อนอยู่
นางเถียนพลันเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อนใครว่า “ที่แท้หลานสะใภ้ก็เคยทำหมานโถวกุหลาบรสมันม่วงให้เจ้าเจ็ดกินด้วย มีทั้งกุหลาบมีทั้งมันม่วง แล้วหน้าตาของหมานโถวนั้นเป็นเช่นไรกันแน่? แม้แต่ข้าก็ยังอยากรู้ มิน่าเจ้าเจ็ดถึงฝังใจเพียงนั้น”
นางซ่งนั่งนิ่งไม่พูดจาดั่งไม่มีเรื่องใดเกี่ยวกับตนก็มิปาน
ทว่านางชีกลับเริ่มสับสนขึ้นมาในใจเล็กน้อย
ครั้งนั้นเจินเมี่ยวได้ส่งสูตรขนมที่หูอี๋เหนียงขอเพื่อจังเกอมาให้นางที่เรือน เป็นการแสดงท่าอันชัดเจนยิ่ง แต่เมื่อเห็นท่าทีของจังเกอแล้วก็เป็นไปได้ว่าหลานสะใภ้อาจจะเอ็นดูจังเกอเป็นพิเศษ
ควรต้องทราบว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนเรานั้นย่อมต้องดูที่วาสนา
หากผู้อื่นดีต่อจังเกอนางก็คงมิสนใจ แต่นางเจินไม่เหมือนผู้อื่น นางไม่เพียงแต่เป็นฮูหยินใหญ่ของจวนกั๋วกงในอนาคต แต่ยังมีบรรดาศักดิ์เป็นถึงเซี่ยนจู่อีกด้วย หากนางเอ็นดูจังเกอเป็นพิเศษ เช่นนั้นภายหน้าบุตรของนางก็ยากจะมีที่ยืนแล้ว
แม้นปกติแล้วนางชีจะนิ่งเฉยต่อทุกสิ่ง แต่เมื่อสิ่งใดเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของบุตร ในฐานะมารดาก็อดคิดมากมิได้
คุณชายเจ็ดช่างเลือกกินนัก ทั้งยังเอาแต่ใจ เจินเมี่ยวมิชอบเด็กเช่นนี้ที่สุด ทว่ายามนี้เมื่อเห็นดวงหน้าน้ำตาคลอเบ้านี้แล้วก็คล้ายสุนัขตัวน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกจึงมิอาจทนรับความหวาดกลัวใดๆ ได้ ก็เอ่ยวาจาตำหนิไม่ออกแม้เพียงคำ กระทั่งรู้สึกสงสารเด็กน้อยขึ้นมาอีกหลายส่วน
ผู้ใหญ่ทั้งหลายค่อยๆ เลือกเส้นทางของตนมาทีละขั้นกระทั่งมาถึงสถานการณ์ที่ยากจะแก้ไขได้ในวันนี้ แต่เด็กน้อยนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์
เจินเมี่ยวยิ้มให้กับคุณชายเจ็ดแล้วเอ่ยว่า “อาสะใภ้รองมิเคยเห็นหมานโถวกุหลาบรสมันม่วง รอกลับเรือนแล้วหลานสะใภ้จะทำมาให้ทุกคนลองชิม”
หลังจากนั้นจึงหันไปกะพริบตาปริบๆ ให้ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างซุกซน “ท่านย่า ท่านคงไม่ทราบว่าตอนนั้นท่านพี่หลอกว่าตนเป็นผู้อื่นเพื่อเข้าไปในเรือนของท่านอาสี่ หลานสะใภ้กลัวว่าจะถูกไล่ออกมาจึงได้ทำขนมเอาใจจังเกอ ดั่งคำที่ว่าหากทำดีต่อผู้อื่น ผู้อื่นย่อมทำดีตอบแทนอย่างไรเล่า”
“เจ้านี้ช่างร้ายนัก” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยว่าด้วยรอยยิ้ม พูดจบก็หันไปมองนางชี “นางชี ในเมื่อเจ้าเจ็ดอยู่ในความดูแลของเจ้า สิ่งใดควรต้องอบรมก็ต้องอบรม เขาอายุยังน้อยมีสิ่งใดไม่เหมาะสมก็ค่อยๆ บอกค่อยสอนไปก็พอแล้ว”
“เจ้าค่ะ” นางชีเอ่ยรับคำ
ทว่าคุณชายหกพลันเอ่ยขึ้นว่า “ท่านย่า น้องเจ็ดมิได้อยู่กับข้า ทุกครั้งข้าเป็นคนไปหาเขาที่เรือนฝั่งตะวันตกเองขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้นก็หน้าเครียดขึ้นมาทันที แต่เพราะมีหลานๆ อยู่ด้วยจึงมิอาจเอ่ยสิ่งใด เพียงหันไปบอกเจินเมี่ยวว่า “หลานสะใภ้ เจ้าบอกว่าจะทำหมานโถวกุหลาบรสมันม่วงมิใช่หรือ รีบพาน้องๆ ไปดูเจ้าทำเถิด พวกเขาจะได้มิงอแงอีก”
“เจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวรับคำแล้วลุกขึ้นพาเด็กๆ เดินออกไป
นางเถียนจ้องเจินเมี่ยวที่เดินออกไปอย่างรวดเร็วนั้นแล้วก็ปวดใจขึ้นมาอีก
วันนี้นางฝืนพาร่างอันอ่อนแอของตนมาน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าแต่เช้าตรู่ก็เพื่อหาโอกาสพูดเรื่องอาหลวน
แต่นางมิทันได้มีโอกาสพูดด้วยซ้ำ เจินเมี่ยวก็ไปเสียแล้ว ทั้งยังถูกวาจาของเด็กน้อยตบจนหน้าชาอีก คงเป็นดั่งคำที่ว่าคนโชคร้ายแม้นดื่มน้ำยังติดฟันกระมัง?
กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าพูดขึ้น นางเถียนจึงละสายตาจากเจินเมี่ยวด้วยความเสียดาย
“นางชี กล่าวเช่นนี้หมายความเจ้าเจ็ดอยู่กับหูอี๋เหนียงงั้นหรือ?”
“เจ้าค่ะ” นางชีก้มหน้ารับคำเสียงต่ำ
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยโทสะว่า “เหลวไหล ในเมื่อเจ้าเจ็ดถูกจดรายนามให้เป็นบุตรเจ้าก็เท่ากับเป็นบุตรของภรรยาเอกครึ่งหนึ่ง มิให้เจ้าอบรมเลี้ยงดูแต่ให้อยู่กับอนุ เช่นนี้มิเท่ากับขัดขวางอนาคตของเด็กหรอกหรือ?”
นางชีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นเอ่ยตามตรงว่า “เป็นความต้องการของท่านพี่เจ้าค่ะ”
ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องนี้แล้ว ย่อมต้องสืบได้แน่ว่าเหตุใดคุณชายเจ็ดจึงไปอยู่กับหูอี๋เหนียง นางจึงมิจำเป็นต้องเอ่ยเช่นนี้ เพื่อนายท่านสี่จะได้มิต้องตำหนินางในภายหลัง
นางเพียงรับเอาความผิดไว้กับตัวเสีย นายท่านสี่ก็ย่อมต้องรู้สึกผิดเป็นแน่ แต่นางชีมิอยากทำเช่นนั้น
การใช้เล่ห์กลกับสามีตนเพียงเพราะอนุผู้หนึ่งทำให้นางรู้สึกน่าสมเพชและไร้ความจำเป็นยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็รู้สึกแปลกใจในความตรงไปตรงมาของนางชีเช่นกัน นางอึ้งงันไปครู่หนึ่งจึงบอกให้ทุกคนแยกย้าย
อีกไม่นานก็จะถึงวันตรุษแล้ว ศาลาว่าการต่างๆ ล้วนปิดทำการ นายท่านสี่สกุลหลัวเองก็กลับมาจากห้าค่ายแล้ว เพียงแต่ยังต้องไปเยี่ยมเยือนสหายหลายคนจึงออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว
ครั้นเขากลับมาถึงจวนก็ถูกเรียกตัวไปพบที่เรือนอี๋อาน ฮูหยินผู้เฒ่าด่าว่านายท่านสี่สกุลหลัวเสียยับเยินจนเขาหน้าแดงก่ำไปหมด
“กลับถึงเรือน เจ้าต้องย้ายเจ้าเจ็ดไปไว้ที่เรือนนางชีทันทีรู้หรือไม่!”
แม้นนายท่านสี่จะรู้สึกอับอายและขุ่นเคืองแต่น้ำเสียงที่เอ่ยกลับแน่วแน่ยิ่ง “ท่านแม่ ลูกมิอาจผิดคำพูดขอรับ”
“ผิดคำพูด?” ฮูหยินผู้เฒ่าเลิกคิ้วสูง “เจ้ารับปากเรื่องเหลวไหลเช่นนี้กับอนุผู้หนึ่ง เจ้าเคยคิดถึงนางชีบ้างหรือไม่?”
“ท่านแม่ แต่ข้าติดค้างหูอี๋เหนียง”
“แล้วนางชีเล่า?”
นายท่านสี่สกุลหลัวหน้าแดงเห่อคล้ายรู้สึกเขินอายขึ้นมา แต่หากมิตอบมารดาคงไม่ยอมเป็นแน่ จึงจำเป็นต้องเอ่ยความจริงออกมา “นางชีเป็นภรรยาข้า ข้าย่อมมิต้องตอบแทนอันใดนาง ทำได้เพียงใช้ชีวิตอยู่กับนางไปชั่วชีวิตเท่านั้น”
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงวางใจลงได้ รู้สึกปีติไม่น้อย “ขอเพียงเจ้ามิกระทำการเลอะเลือนก็พอแล้ว”
ครั้นนายท่านสี่กลับถึงเรือนอวี้หยวนก็มองไปยังเรือนฝั่งตะวันตก พลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา เขาถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปในห้องนางชี
ความจริงนางชีเองก็กำลังเฝ้ารอให้นายท่านสี่กลับมาเสียที
นางรู้สึกใจหวิวและสับสน นางกำลังคิดว่าหากท่านพี่เข้ามาแล้วเอ่ยตำหนินางทันทีตั้งแต่ประโยคแรก นางควรจะพูดเช่นไร แต่กลับคิดไม่ออก
นายท่านสี่กุมมือนางชีไว้มิได้เอ่ยอันใดถึงการกระทำที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการฟ้องฮูหยินผู้เฒ่าของนางแม้เพียงคำ เพียงพูดว่า “ซีเหนียงข้าทำให้เจ้าต้องเป็นทุกข์แท้ๆ”
นางชีน้ำตาคลอเอ่อ ในที่สุดหัวใจที่มิกล้าลอยขึ้นฟ้าทั้งมิกล้าร่วงลงดินนั้นก็รู้เสียทีว่ามันควรจะไปอยู่ที่ใด
ที่จริงแล้วนางต้องการใช้เรื่องในครานี้ดูจิตใจที่แท้จริงของนายท่านสี่นั้นเอง! การเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ช่างคุ้มค่ายิ่งนัก
เจินเมี่ยวนึ่งหมานโถวกุหลาบรสมันม่วงเสร็จแล้วก็ส่งไปให้ทุกเรือนได้ชิม
หากเป็นหลัวจือหยา หลัวจือฮุ่ยที่อายุไล่เลี่ยกันนั้นส่งสาวใช้น้อยสักคนไปก็พอแล้ว แต่หากไปส่งให้ผู้อาวุโสก็ต้องเป็นสาวใช้ที่ถูกฝึกมาอย่างดี ช่างบังเอิญเหลือเกินที่สาวใช้ผู้ไปเรือนซินหยวนคืออาหลวน
ครั้นนางเถียนเห็นอาหลวน อารมณ์ก็เริ่มจะขุ่นเคืองขึ้นมาจึงได้แต่ลอบด่าอยู่ในใจ
ตัวอัปรีย์นี้คงมิคิดใฝ่สูงเกินศักดิ์กระมัง?
ใช้แล้วหากมิใช่เพราะตัวอัปรีย์นี้ยั่วยวน บุตรชายของนางจะเกิดความคิดเช่นนั้นได้อย่างไร ทั้งที่เขามิเคยใส่ใจกับเรื่องระหว่างชายหญิงพรรค์นั้นเลย
กระทั่งถึงวันถัดมา หลังจากที่ทุกคนเข้ามาน้อมทักทายเรียบร้อยแล้ว นางเถียนก็แสร้งพูดกับเจินเมี่ยวต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าว่า “หลานสะใภ้ เมื่อวานที่เจ้าส่งสาวใช้ที่ชื่ออาหลวนไปส่งขนมที่เรือนข้านั้นช่างงดงามอย่างที่สาวใช้คนในเรือนข้าก็มิอาจเทียบได้เลยจริงๆ แม่นมเถียน แม่นมของข้าขอให้ข้ามาเจรจาขออาหลวนให้แต่งงานกับหลานชายของนาง”
นางเถียนได้จัดการยกเลิกการเป็นทาสให้กับบุตรของแม่นมเรียบร้อยแล้วทั้งยังให้พวกเขาทั้งบ้านย้ายไปอยู่ในเรือนอันเป็นสินทรัพย์ก่อนแต่งงานของนางอีกด้วย หลานชายคนโตของแม่นมอายุยี่สิบกว่าแล้ว แม้มิได้เป็นซิ่วไฉแต่ก็เป็นถงเซิง[1] ซึ่งสอบผ่านทั้งระดับอำเภอและระดับจังหวัด
แม้นมิได้มีพรสวรรค์ด้านการศึกษานักจึงมิคิดสอบอีกแล้ว แต่จะมีทาสที่ใดจะสามารถพลิกชีวิตตนเองได้ถึงเพียงนี้เล่า
ผู้ใดต่างทราบว่านางเถียนนั้นดีต่อหลัวเทียนเฉิงยิ่ง เมื่อฝ่ายชายมีคุณสมบัติพร้อมถึงเพียงนี้ นางผู้เป็นอาสะใภ้เอ่ยปากทาบทามสาวใช้ผู้หนึ่งด้วยตนเองเช่นนี้ หากเจินเมี่ยวปฏิเสธก็ออกจะดูไร้เยื่อใยไปสักหน่อยแล้ว
นางเถียนเอ่ยถามต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเพราะต้องการจะดูว่าเจินเมี่ยวจะตอบเช่นไร
อย่างไรเสียหากเจินเมี่ยวไม่รับปาก จนเกิดสถานการณ์ย่ำแย่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า นางก็มีวิธีอื่นเตรียมไว้แล้ว
——
[1] ถงเซิง บัณฑิตรุ่นเยาว์คือบัณฑิตที่สอบผ่านระดับอำเภอและระดับจังหวัดในระบบการสอบเคอจวี่ (จอหงวน) เมื่อได้เป็นถงเซิงก็มีโอกาสสอบในสนามสอบอื่นๆ หากสอบผ่านก็จะถูกเรียกว่าซิ่วไฉ
ตอนที่ 270 หน้าระบมไปหมดแล้ว
“แม่นมเถียน?” เจินเมี่ยวครุ่นคิด “ใช่แม่นมเถียนที่ข้าเผลอทำนางกระดูกหักเมื่อคราไปพบข้าที่เรือนชิงเฟิงหรือไม่?”
รอยยิ้มของนางเถียนพลันแข็งค้างไป แล้วพยักหน้ารับคำ
เจินเมี่ยวรีบส่ายหน้าทันที “จากที่อาสะใภ้รองกล่าวมา ฝ่ายชายนั้นมีคุณสมบัติที่ดียิ่ง แต่การแต่งงานสำคัญที่วาสนา ทว่าแม่นมเถียนไปหาข้าครั้งแรกก็ถูกทับจนกระดูกหักลุกไม่ได้เป็นเดือนๆ ข้าจึงรู้สึกว่ามันเป็นนิมิตหมายที่มิใคร่จะดีนัก”
นางเถียนบิดเบ้มุมปากตนโดยแรง
แม่นมของนางถูกทับจนกระดูกหักเพราะผู้ใดกัน ยังกล้ามาพูดเรื่องนิมิตหมายอีกหรือ!
“ท่านย่า ท่านว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
เจินเมี่ยวเพิ่งอายุสิบห้า เล่ห์กลใดก็มิใคร่มีมากนัก ดวงตาจึงใสบริสุทธิ์ยิ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วสบายตายิ่ง จึงพยักหน้าคล้อยตาม “หลานสะใภ้พูดมีเหตุผล”
คนเราเมื่ออายุมากแล้วส่วนมาก็ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ยิ่งคนที่พูดคือหลานสะใภ้ที่ตนชมชอบไม่น้อยด้วยอีก
นางเถียนกล้ำกลืนโทสะตนลงไปแล้วคลี่ยิ้มออกมา “เพราะเป็นหลานของแม่นม ข้าจึงรู้มีความเอนเอียงอยู่บ้าง ความจริงผู้ที่มาร้องไห้ข้าช่วยสู่ขออาหลวนนั้นมีอยู่หลายคนทีเดียว”
นางเถียนจึงเอ่ยขึ้นอีกหลายตระกูล หากมิใช่หลานชายของพ่อบ้านผู้ดูแลจวน ก็เป็นหลานของเถ้าแก่ร้านค้า หรือไม่ก็หลานชายของหัวหน้าชุมชน แต่ไม่ว่าอย่างไรบุรุษทุกคนที่กล่าวมาก็นับว่ามีคุณสมบัติที่ดีจริงสำหรับสตรีผู้หนึ่งที่มีชาติกำเนิดเป็นเพียงสาวใช้
เจินเมี่ยวคอยสังเกตท่าทีจริงใจที่แสดงออกเต็มหน้าของนางเถียน ในใจก็เริ่มหวาดระแวง
จู่ๆ ก็มาดูแลเอาใจใส่ แต่นางเป็นสาวใช้ของตน ผู้อื่นจะมาห่วงใยอันใดหนักหนา!
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าฟังบุรุษที่เอ่ยมาทั้งหมดแล้วก็เริ่มสนใจ จึงเอ่ยเย้าว่า “หลานสะใภ้ สาวใช้คนสนิทของเจ้าหลายคนก็อายุไม่น้อยแล้ว ถึงเวลาต้องหาคู่ครองให้แล้วกระมัง”
หากเก็บสาวใช้ไว้ข้างกายนานเกินไปเกรงว่าจะเหิมเกริมปีนขึ้นเตียงคุณชายลับหลังนายตนก็เป็นได้
ฮูหยินผู้เฒ่าคิดถึงรูปโฉมของอาหลวนแล้วก็พาลหวาดหวั่นขึ้นมา
สาวใช้ผู้นั้นงดงามจริงๆ เก็บไว้นานเกินไปย่อมมิใช่เรื่องดีแน่
บางทีอาหลวนอาจจะเป็นสาวใช้ที่จวนเจี้ยนอานปั๋วเตรียมไว้เพื่อทำหน้าที่สาวใช้ทงฝังก็เป็นได้ เพียงรอให้นางเจินตั้งครรภ์เสียก่อนเท่านั้น
เจินเมี่ยวไม่ทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่าคิดมากเกินไปแล้วจึงเอ่ยเพียงว่า “สาวใช้ทั้งสองนั้นข้าล้วนจัดแจงไว้หมดแล้ว รอให้จื่อซูออกเรือนไป อาหลวนก็จะขึ้นมารับหน้าที่แทนนาง อย่างไรก็คงต้องอยู่อีกสักสองสามปี”
พูดแล้วก็หันไปยิ้มให้นางเถียน “แต่ชิงเกอนั้นแม้นนางจะอายุยังน้อย แต่เกรงว่าหากชักช้าอาจจะหาผู้ที่เหมาะสมกับนางมิได้ หากอาสะใภ้รองมีผู้ที่ดูเหมาะสมก็แนะนำให้ข้าสักหน่อยเป็นไร?”
ชิงเกอ?
ในหัวของนางเถียนพลันปรากฏภาพของสาวใช้ร่างอ้วนที่ความสูงกับความกว้างมีขนาดเท่าๆ กันแล้วก็พาลจะเป็นลม
เจินเมี่ยวตบมือตนคราหนึ่ง “ใช่แล้ว อาสะใภ้รอง หลานชายของแม่นมที่ท่านเอ่ยขึ้นก่อนใครนั้นก็ไม่เลวเลย แม้นชิงเกอจะสวยน้อยกว่าอาหลวนเล็กน้อย แต่หลานของแม่นมเถียนเป็นถึงบัณฑิตคงเข้าใจหลักเหตุผลการแต่งภรรยาย่อมต้องเลือกผู้มีจรรยา มิใช่ลุ่มหลงความงามเป็นแน่”
ครั้นเห็นเจินเมี่ยวมองตนด้วยดวงตาเป็นประกาย นางเถียนก็ยิ่งรู้สึกหน้ามืดหนักขึ้นไปอีก
ไม่ยอมให้อาหลวนแต่งออกไปยังพอทำเนาแต่ถึงกับฉวยโอกาสเร่ขายสาวใช้ร่างอ้วนนั้นอีกหรือ?
นางเคยเห็นคนไร้ยางอายแต่ก็มิเคยเห็นที่ไร้ยางอายถึงเพียงนี้!
นางยังกล้าบอกว่าชิงเกอสวยน้อยกว่าอาหลวนเล็กน้อย นั้นเรียกว่าเล็กน้อยหรือ! ห๊ะ?
“อาสะใภ้รอง ท่านไปเจรจากับแม่นมเถียนดูสักหน่อยเถิด” เจินเมี่ยวยิ้มอย่างเขินอาย
“เรื่องนี้…” นางเถียนถึงกับพูดไม่ออก
หากตอบปฏิเสธไปเช่นนั้นก็เท่ากับยอมรับว่าหลานชายของแม่นมเถียนมองเพียงรูปลักษณ์ นางเจินย่อมพูดได้ว่านางมิอาจวางใจให้อาหลวนแต่งไปกับคนที่เห็นแก่รูปโฉมเป็นสำคัญ
หากตอบรับหรือ ย่อมเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!
สาวใช้นั้นอวบอ้วนยังไม่พอแต่ยังมีกำลังมากยิ่ง หากพลั้งมือทำสิ่งใดไปคงได้เกิดเหตุผมหงอกส่งผมดำเป็นแน่ อย่างไรเสียแม่นมเถียนก็เป็นแม่นมของนาง!
“ชิงเกอ…ชิงเกออายุน้อยไปสักหน่อย…”
“อาหลวนก็โตกว่าชิงเกอแค่ปีสองปีเท่านั้น ช่างเถิด ข้ามิได้เร่งรีบอันใด ท่านว่าใช่หรือไม่ อาสะใภ้รอง?”
เหอะๆ ผู้ใดกล้าคิดจะมาขออาหลวน นางก็จะยกชิงเกอให้ก่อน!
“ก็จริง…” นางเถียนฝืนเอ่ยออกมาได้เพียงไม่กี่คำ
หัวข้อสนทนานี้จึงเป็นอันตกไป
กระทั่งกลับถึงเรือน นางเถียนต้องนั่งหอบหายใจอยู่หลายคราจึงเรียกแม่นมเถียนมาพบ
เมื่อได้ยินว่าเจินเมี่ยวเกือบจะยัดเยียดชิงเกอมาเป็นหลานสะใภ้ตน แม่นมเถียนก็ตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก
หลานชายผู้นั้นของนางแม้นบอกว่าเรียนตำรามาหลายเล่ม แต่ความจริงนั้นมีแต่คนเอาอกเอาใจหากแต่งชิงเกอให้ หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรเขาก็คงไม่ยอมแน่
คนทั้งสองปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง แม่นมเถียนก็ออกจากห้องไป
ว่าไปแล้วก็แปลกนัก ตั้งแต่วันที่นางเถียนเอ่ยปากทาบทามอาหลวนก็คล้ายดวงเนื้อคู่ของนางมีการเคลื่อนไหวขึ้นมาแล้วกระนั้น เพราะมีคนไม่น้อยทยอยกันเข้ามาทาบทามอาหลวน บางคนถึงกับไปขอร้องฮูหยินผู้เฒ่าด้วยซ้ำ
ฮูหยินผู้เฒ่าทราบว่าเจินเมี่ยวคิดจะเก็บอาหลวนไว้อีกสองสามปี อย่างไรก็เป็นสาวใช้ของหลานสะใภ้ นางเป็นเพียงย่ามิอาจตัดสินใจแทนได้จึงได้ปฏิเสธไป
ในจวนเอก็มีข่าวลือแพร่สะพัดออกมาเรื่อยๆ
วันนี้อาหลวนและไป่หลิงเดินกลับเรือนมาด้วยกัน ในขณะที่เดินผ่านพุ่มดอกไม้ก็ได้ยินเสียงซุบซิบของสาวใช้น้อยสองคน
“ได้ข่าวหรือไม่ อาหลวนเรือนชิงเฟิงผู้นั้นต้าไหน่ไหน่เตรียมไว้สำหรับซื่อจื่อ”
“จริงหรือ นั้นมิใช่สาวใช้คนสนิทของต้าไหน่ไหน่หรอกหรือ?”
“เจ้าโง่หรือไร ก็เพราะเป็นสาวใช้คนสนิทอย่างไรเล่า รอให้ต้าไหน่ไหน่ตั้งครรภ์ค่อยยกให้ซื่อจื่อ อย่างไรก็ดีกว่าปล่อยให้ซื่อจื่อไปเรือนฝั่งตะวันตกนัก”
“พี่สาวท่านช่างรอบรู้นัก คริๆ”
สาวใช้ที่เอ่ยขึ้นก่อนหน้ากลับพ่นวาจาออกมาว่า “รอบรู้อันใด ข่าวนี้มันแพร่สะพัดไปทั่วจวนแล้วมิใช่หรือ? วันนั้นข้ายังเห็นสาวใช้ทงฝังที่ชื่อเฉินอวี๋มาแอบร้องไห้อยู่ที่นี่ด้วย”
อาหลวนนิ่งฟัง สีหน้าขาวเผือด
ไป่หลิงกุมมือนางแล้ว แล้วเอียงคางชี้ไปด้านข้าง
ที่นั่นมีคนสวนที่กำลังใช้กรรไกรอันใหญ่ตัดแต่งกิ่งไม้อยู่
อาหลวนเห็นแล้วก็สงบอารมณ์ตนไว้
ไป่หลิงจูงมือนางกลับไปที่เรือนแล้วเอ่ยปลอบว่า “อาหลวน เจ้าอย่าได้เอามาใส่ใจเลย คนพวกนั้นก็พูดเหลวไหลไปเรื่อย”
“พวกนางกำลังจะโยนข้าเข้ากองไฟอยู่รอมร่อแล้ว!” อาหลวนกัดฟันพูด
“ไป เราไปพูดกับต้าไหน่ไหน่เดี๋ยวนี้เลย”
อาหลวนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
นางเองก็ไม่แน่ใจว่าหลังจากที่ต้าไหน่ไหน่ได้ฟังวาจาเหล่านี้แล้วจะคิดเช่นไร อาจจะระแวงในตัวนางก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้น นางยังมีความหมายใดอีกต่อไปเล่า
อาหลวนรู้สึกโกรธแค้นในรูปโฉมของตนอีกครั้งที่ทำให้นางต้องลำบากเช่นนี้
ครั้นไป่หลิงเล่าข่าวลือที่เกี่ยวกับอาหลวนจบ เจินเมี่ยวกลับยิ้มออกมา นางเรียกสาวใช้ที่มีขั้นตำแหน่งเข้ามาในห้อง นอกจากสาวใช้ที่ติดตามตนออกเรือนมาแล้วยังมีอวิ๋นหลิ่วและอวิ๋นเยี่ยนอีกสองคน
เจินเมี่ยวมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “คิดว่าทุกคนคงทราบข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วจวนในระยะนี้หมดแล้ว วันนี้ข้าจึงขออธิบายตามตรงว่า สาวใช้ที่ติดตามข้ามาจากจวนเจี้ยนอานปั๋ว ภายหน้าข้าย่อมจัดการเรื่องคู่หมายให้ ไม่มีสาวใช้คนใดที่ข้าคิดจะเตรียมไว้เป็นสาวใช้ทงฝังแม้เพียงสักคน ส่วนผู้ที่คอยปรนนิบัติรับใช้ซื่อจื่ออยู่แล้ว หากคิดจะเป็นสาวใช้ทงฝังข้าก็จะไม่กีดกันพวกเจ้า ขอเพียงซื่อจื่อพอใจเท่านั้น”
ครั้นวาจานี้ถูกเล่าออกไป คำวิจารณ์เกี่ยวกับอาหลวนก็ลดน้อยลงทันที
แต่เมื่อหลัวเทียนเฉิงกลับมาก็เอ่ยถามเจินเมี่ยวด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจี๋ยวเจี่ยว ข้าได้ยินว่า ขอเพียงข้าพอใจ เจ้าก็ไม่ถือสาหากสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติข้าจะกลายมาเป็นสาวใช้ทงฝัง?”
เจินเมี่ยวผลิยิ้ม “ข้าบอกว่าจะไม่กีดกัดพวกนางมิได้หมายความว่าข้าไม่ถือสา”
“เช่นนั้นเจ้าหมายความว่าอย่างไรเล่า?” หลัวเทียนเฉิงมึนงงเล็กน้อย เขารู้สึกยิ่งว่าคำกล่าวที่ว่า ‘จิตใจสตรียากแท้หยั่งถึง’ นั้นมีเหตุผลยิ่ง
เจินเมี่ยวแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง “เฉินอวี๋ ลั่วเยี่ยน ปี้เย่ว์ ซิ่วฮวาที่มีมาก่อนหน้านี้นั้นก็แล้วไปเถิด ผู้ใดให้ท่านเรียกใช้พวกนางก่อนที่ข้าจะมาที่นี่กันเล่า แต่หากคิดมีสาวใช้ทงฝังเพิ่มอีกก็อย่าโทษข้าที่จะไม่ละเว้นขาข้างที่สามของท่านแล้วกัน!”
ห๊ะ?
หลัวเทียนเฉิงกะพริบตาปริบๆ รู้สึกมึนงงอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นสายตาของเจินเมี่ยวร่วงตกลงไปยังที่แห่งหนึ่งก็เข้าใจความหมายของคำว่าขาข้างที่สามขึ้นมาทันที
ชั่วขณะนั้นหลัวเทียนเฉิงรู้สึกเสียวแปลบที่ขาข้างที่สามอันไร้ความผิดนั้นขึ้นมา เขาอดเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่นขึ้นมามิได้ว่า “เจี๋ยวเจี่ยว ข้าสู้สาวใช้ที่คิดจะปีนขึ้นเตียงเหล่านั้นไม่ได้เลยหรือ เจ้าไม่กีดกันพวกนางแต่กลับจะตีขะ…ขาข้างนั้นของข้า?”
พูดพลางหุบขาชิดเข้าด้วยกันโดยไม่รู้ตัว
คนที่มีชีวิตน่าสงสารเช่นเขา คงมีไม่มากแน่!
เจินเมี่ยวถอนหายใจ “ข้าไม่อยากพูดวาจาที่ขัดใจตนเช่น ‘เหตุใดสตรีต้องมารังแกพวกเดียวกัน อันใดเทือกนั้น’ สตรีที่จ้องจะแย่งสามีข้า ข้าย่อมไม่มีความรู้สึกดีๆ ให้แม้เพียงสักนิด แต่ต้นเหตุแห่งหายนะก็คือท่าน หากท่านรักษาตนให้ดี ย่อมไม่มีผู้ใดต้องเดือดร้อน หากท่านทำไม่ได้ ข้าก็ต้องเหนื่อยไปคอยกีดกันสตรีอื่น”
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกร้องไห้มิออกหัวเราะมิได้ “เจ้าไปเอาตรรกะเพี้ยนๆ นี้มาจากที่ใด?”
“หัวใจไม่ผิดเพี้ยนก็พอแล้ว”
หลัวเทียนเฉิงรั้งเจินเมี่ยวเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แล้วประทับจุมพิตลงบนริมฝีปากนางพลางเอ่ยเสียงต่ำว่า “ช่างเป็นสตรีที่โง่งมจริงๆ”
แต่เขาก็ยังคงชอบอยู่ดี!
ส่วนนางเถียนกลับกำลังร้อนใจดุจไฟเผา
นางแอบปล่อยข่าวออกไปทำให้คนที่คิดจะมาทาบทามอาหลวนเพิ่มมากขึ้น หากไม่มีผู้ใดทำสำเร็จ ข่าวลือที่ว่าอาหลวนถูกเก็บไว้เพื่อเตรียมเป็นสาวใช้ทงฝังก็ย่อมต้องแพร่ออกไปเป็นธรรมดา
นางคิดอาศัยโอกาสนี้ทำให้เจินเมี่ยวระแวงแล้วไล่อาหลวนออกไปนั้นเป็นเหตุผลที่หนึ่ง
ยุยงให้อาหลวนเกิดความคิดที่จะเป็นสาวใช้ทงฝังขึ้นมาจริงๆ หากนางกลายเป็นคนของต้าหลังแล้ว บุตรนางก็ย่อมต้องยอมจำนน นั้นเป็นเหตุผลที่สอง
เจินเมี่ยวเอ่ยออกมาด้วยตนเองว่าจะให้อาหลวนเป็นสาวใช้ขั้นหนึ่ง เมื่อมีข่าวลือเช่นนี้ออกมาก็ไม่แน่ว่าสาวใช้ของเจินเมี่ยวที่คิดแย่งตำแหน่งอยู่อาจจะลอบขัดขาอาหลวนก็เป็นได้ นั้นเป็นเหตุผลที่สาม
สาวใช้ทงฝังทั้งสามคนในเรือนชิงเฟิงเห็นอาหลวนที่งดงามจนทำให้คนเกลียดชังแล้วกระทำการบางอย่างขึ้น นั้นเป็นเหตุผลที่สี่
แผนของนางแม้นเรียบง่ายแต่กลับขว้างหินครั้งเดียวได้นกสี่ตัว
ต่อให้มิเป็นไปตามที่คาดหมดทุกข้อ แต่หากมีสักข้อที่เป็นจริงขึ้นมาก็ย่อมต้องสร้างความยุ่งยากให้กับนางเจินไม่น้อย แต่คิดไม่ถึงว่านางจะกระทำการว่องไวตรงไปตรงมาเช่นนี้ เมื่อได้ยินข่าวลือก็รีบเผยเจตจำนงว่าจักต้องให้สาวใช้ตนได้ออกเรือนทุกคน ทำให้สิ่งที่ตนทำลงไปนั้นสูญเปล่าทันที
นางเถียนโกรธเคืองแต่ทำอันใดไม่ได้ ทั้งหลัวว่าบุตรตนจะอดรนทนไม่ไหวจนเกิดข่าวลือว่าคุณชายในจวนถูกใจสาวใช้ของพี่สะใภ้ตน เช่นนั้นเกียรติยศของบ้านรองคงไม่เหลือแล้ว
เมื่อมีเรื่องกังวลอัดแน่นอยู่ในใจมากมายเช่นนี้ สุขภาพที่เพิ่งจะดีขึ้นของนางเถียนก็ทรุดลงอีก นางนั่งพิงพนักเก้าอี้ตัวยาวอย่างไร้เรี่ยวแรง มีคนผลัดกันมาเยี่ยมไม่ขาดสาย
“ฮูหยิน เยียนเหนียงกับหลี่ว์เอ๋อร์มาเยี่ยมเจ้าค่ะ”
สาวใช้ทงฝังหลายคนของนายท่านรองต่างก็ถูกไล่ออกไปหมดแล้วหลังจากเริ่มมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น ยามนี้จึงเหลือเพียงสองคนเท่านั้น
ผู้หนึ่งคือหลี่ว์เอ๋อร์ที่คอยรับใช้นางเถียนแต่ต่อมากลักลอบปีนขึ้นเตียงนายท่านรอง ส่วนอีกผู้หนึ่งคือเยียนเหนียง
“ให้พวกนางเข้ามา”
เมื่อคนทั้งสองเข้ามานางเถียนก็สั่งให้ประคองนางกินยา
เยียนเหนียงยกถ้วยยาขึ้นโดยไม่เอ่ยสิ่งใด นางใช้ช้อนตักยาป้อนใส่ปากนางเถียน แต่นางกลับพ่นออกมาทันที แล้วเอ่ยด้วยโทสะว่า “ร้อนเกินไป!”
เยียนเหนียงจึงตักอีกช้อนแล้วค่อยๆ เป่าให้เย็น
นางเถียนลอบแค่นหัวเราะอยู่ในใจ
ต่อให้ท่านพี่จะดูแลดั่งสมบัติล้ำค่าแล้วอย่างไร หากนางคิดจะทรมานสาวใช้ทงฝังสักคนย่อมต้องมีหนทางมากมาย
สายตาที่จ้องมองเยียนเหนียงของหลัวจือหยาสาดประกายเย็นเยียบขึ้นวูบหนึ่ง
เวลานี้เองสาวใช้ก็มารายงานว่าคุณชายรองและคุณชายสามมา
เมื่อคุณชายสามเดินเข้าประตูมา สายตาก็เปล่งประกายขึ้นทันที เขาเอ่ยอย่างอารมณ์ดีว่า “ท่านแม่ ที่แท้สาวใช้ที่งามที่สุดก็เป็นคนของท่านนี่เอง ท่านยกนางให้ลูกเถิดขอรับ”
ตอนที่ 271 บทสรุปอันขมขื่น
ภายในห้องเงียบไปทันที ครั้นถ้วยยาในมือเยียนเหนียงตกแตกกระจายเต็มพื้นจึงรู้สึกแสบแก้วหูอย่างที่สุด
แต่เวลานี้ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้แล้วเพราะทุกคนต่างหันไปมองคุณชายสามอย่างตกตะลึงตาค้าง
นางเถียนเบิกตากว้างถลนคล้ายเห็นผีก็มิปาน นางหาเสียงตนแทบไม่เจอ “เจ้า…เจ้าสาม เจ้าว่าอันใดกัน?”
แม้นคุณชายสามจะรู้สึกว่าบรรยากาศแปลกไปแต่เขาคิดว่าเป็นเพราะตนเอ่ยเถรตรงเกินไปเท่านั้น
ทว่าเขาเป็นคุณชายสามแห่งจวนกั๋วกง การเอ่ยปากขอโดยตรงนั้นอาจจะดูมุทะลุไปบ้าง แต่สาวใช้ผู้นี้เป็นคนของมารดาก็มินับว่าผิดแปลกอันใด ส่วนน้องสาวที่นั่งอยู่ด้านข้างนั้นกลับลืมมองไปเลย
คุณชายสามรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วย่อมมิอาจย้อนกลับไปได้ จึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านแม่ ก่อนหน้านี้ท่านรับปากลูกว่าจะหาคนมาเพิ่มที่เรือนลูกมิใช่หรือ คงเป็นนางกระมัง”
“เด…เดรัจฉาน!” นางเถียนนั่งตัวตรงขึ้นแล้วชี้นิ้วด่าคุณชายสาม ภาพตรงหน้าก็มืดไปแล้วนางก็ล้มพับลง
“ฮูหยิน!” แม่นมเถียนรีบเดินเข้ามาประคองok’เถียนไว้อย่างรวดเร็วนางจึงมิได้ร่วงตกพื้นไป
สาวใช้ภายในห้องหลายคนต่างก็หน้าซีดเผือด ไม่ว่ายามปกติจะฉลาดสดใสหรือนิ่งเงียบเรียบง่าย เวลานี้ต่างไม่กล้าหายใจออกมาด้วยซ้ำ
คุณชายสามไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางเถียนจึงได้โกรธจนหมดสติไป เขามองหน้าคุณชายรองอย่างงวยงง แล้วก้าวเท้าเดินเข้าไปหานางเถียน
หลัวจือหยาพลันลุกขึ้นยืน หน้าอกกระเพื่อมไหวไม่หยุด “แม่นมเถียน ท่านรีบไปบอกให้สาวใช้ไปเชิญท่านหมอเฝิงมาเร็ว!” พูดพลางกวาดตามองสาวใช้ที่อยู่ในห้องทุกคน แล้วเอ่ยเน้นย้ำทีละคำ “ไม่อนุญาตให้ผู้ใดออกไปจากห้องนี้แม้เพียงสักคน”
หลี่ว์เอ๋อร์ตกใจจนแทบร่วงกับพื้น
สวรรค์ คุณชายสาม คุณชายสามถูกใจเยียนเหนียงหรือนี่ แต่นางเป็นสาวใช้ทงฝังของนายท่าน!
เวลานี้เองหลี่ว์เอ๋อร์กลับรู้สึกสุขใจขึ้นมาหลายส่วนที่ได้เห็นผู้อื่นทุกข์บ้าง แต่ความรู้สึกนี้ก็หายวับไปอย่างรวดเร็วดุจฝนดาวตก เหงื่อเย็นเฉียบกลับซึมออกมาแทน
นางรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้เช่นนี้ ฮูหยินยังจะละเว้นนางหรือ?
นี้มันถ้ำเสือถ้ำหมาป่าชัดๆ นางต้องออกไปเดี๋ยวนี้!
หลี่ว์เอ๋อร์กุมท้องตนไว้แล้วร้องโอดโอยขึ้น “คุณหนูใหญ่ บ่าวรู้สึกไม่สบายอยากจะไปห้องปลดทุกข์สักหน่อยเจ้าค่ะ”
หลัวจือหยาย่นคิ้วทันที นางแค่นเสียงเย็นว่า “ข้าบอกแล้วว่าไม่อนุญาตให้คนในห้องนี้ไปไหนทั้งสิ้น ต่อให้ปวดท้องก็ปล่อยมันในห้องนี้แล!”
“น้องสาว เป็นสตรีเหตุใดจึงพูดจาขวานผ่าซากเช่นนี้เล่า?” ภายในห้องมีเพียงคุณชายรองที่นับว่ายังสุขุมอยู่ได้จึงเอ่ยถามสีหน้าเคร่งขรึม
หลัวจือหยาจึงมองเห็นผู้ที่จะมาช่วยนางแล้ว
นางทราบดีแก่ใจว่า หากวาจานั้นของพี่สามแพร่ออกไปภายนอก เขาคงไร้หนทางมีชีวิตต่อแน่
ชมชอบสตรีของบิดา ไม่ว่าพี่สามจะเป็นหรือตายก็คงไม่มีชื่อเสียงเหลืออยู่แล้ว
ยามนี้ท่านแม่หมดสติมิอาจเป็นเสาหลัก นางจึงจำเป็นต้องออกหน้าข่มขวัญทุกคนในห้องไม่ให้พวกนางออกไปข้างนอก
ในห้องนี้มีเพียงแม่นมเถียนที่เชื่อถือได้แต่สาวใช้คนอื่นๆ นางไม่ทราบว่าผู้ใดเชื่อถือได้บ้าง ส่วนสาวใช้ที่เฝ้าหน้าประตูและยกน้ำชานั้นย่อมมิอาจเก็บเอาไว้ได้
ส่วนสาวใช้ทงฝังสองคนนั้นนางก็มิอาจปล่อยไปได้ อย่างไรก็ต้องรอให้มารดาฟื้นเสียก่อน แต่นางคนเดียวคิดจะข่มขวัญคนทั้งห้องคนเป็นเรื่องยากไม่น้อย
หลัวจือหยาครุ่นคิดมากมายอยู่ในหัวแต่นางกลับมิคาดหวังอันใดกับคุณชายสามเพียงเอ่ยกับคุณชายรองว่า “พี่รอง ท่านเชื่อน้องสาวเถิด เรามิอาจให้ผู้ใดก็ตามในห้องนี้ออกจากห้องไปได้”
คุณชายรองขมวดคิ้วทันที “ที่แท้มันเรื่องอันใดกันแน่เล่า?”
ครั้นต้องเอ่ยวาจานั้นออกมานางก็รู้สึกอับอายจนแทบทนไม่ไหวแต่จำต้องพูดออกมา หลัวจือหยาจึงยกเท้าหันไปชี้ที่เยียนเหนียง “นางเป็นสาวใช้ทงฝังคนใหม่ของบิดา!”
ดั่งอัสนีผ่าฟาดลงมาใส่สองพี่น้องพร้อมกันในวันท้องฟ้าแจ่มใสก็มิปาน
คุณชายรองมีสติมากกว่าใคร เขาไปลากตัวหลี่ว์เอ๋อร์ที่ค่อยๆ ย่องออกไปทางประตูกลับเข้ามาในห้องเช่นเดิม แล้วหันมองคุณชายสามด้วยสีหน้าดำคล้ำ
คุณชายสามมึนงงไปหมด ท่าทางเหม่อลอยดุจคนเสียสติไปแล้วก็มิปาน
เขาอึ้งงันมึนงงอยู่นาน ในที่สุดก็มีสติคืนมาเสียที เขาพลันชักกริชที่เหน็บไว้ที่เอวออกมา
คุณชายรองคอยจ้องคุณชายสามอยู่ตลอดมาตั้งแต่แรก เมื่อเห็นการกระทำเช่นนี้ของเขาก็เข้าใจทันทีว่าต้องการทำสิ่งใดจึงรีบยืนมือออกไปขวางกริชที่คุณชายสามคิดจะแทงเข้าที่หัวใจตนเองไว้
โลหิตสายหนึ่งพุ่งออกมาทันใด นางเถียนที่เพิ่งฟื้นลืมตาขึ้นมาเห็นเหตุการณ์นี้ก็ตาเหลือกหมดสติไปอีก
หลัวจือหยากรีดร้องเสียงแหลม “พี่สาม ท่านทำอันใด!”
คุณชายรองกุมมือไว้ที่แขนตน หายใจหอบถี่ “น้องสาม เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?”
เมื่อทำไม่สำเร็จ คุณชายสามก็สูญเสียความกล้าที่จะปลิดชีพตนอีก จึงได้แต่ยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้นคล้ายคนไร้วิญญาณ
เวลานี้เองสาวใช้ก็มารายงานว่า “ท่านหมอเฝิงมาแล้วเจ้าค่ะ”
“เข้ามา!” สามพี่น้องต่างยังนิ่งงันอยู่ แม่นมเถียนจึงเป็นผู้ร้องเรียกขึ้น
เสียงประตูเปิดออกและตามด้วยเสียงปิด ท่านหมอเฝิงเดินถือกล่องยาเข้ามาแล้วก็ได้แต่อึ้งงัน
ฮูหยินรองเวียนหัวหมดสติมิใช่หรือ แต่เหตุใดคุณชายรองถึงมีเลือกเต็มกายเช่นนั้นเล่า
ท่านหมอเฝิงจึงยืนมึนงงอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน
แต่คุณชายรองมีสติขึ้นก่อนผู้ใด จึงเอ่ยเสียงเย็นว่า “ท่านหมอเฝิงรีบไปดูท่านแม่เถิด”
หมอเฝิงเดินเข้าไปฝังเข็มให้นางเถียน ในที่สุดนางก็ฟื้นขึ้นมา เขาจึงค่อยไปพันแผลให้คุณชายรอง เขาทำไปด้วยใจที่เต้นระรัว ถึงกับเลือดตกยางออก เรื่องนี้คงร้ายแรงไม่น้อย
หรือพี่น้องทะเลาะกันทำให้ฮูหยินรองโกรธจนหมดสติไป?
“ท่านหมอเฝิง สิ่งใดควรพูดไม่ควรพูด ท่านก็น่าจะรู้กระมัง?” นางเถียนที่เริ่มดีขึ้นแล้วเอ่ยน้ำเสียงเย็นเยียบ
หมอเฝิงลอบกลอกตาไปมา สตรีผู้นี้ตื่นขึ้นมาก็ข่มขู่เขาทันที ไม่รู้หรือไรว่าหมอเช่นเขานั้นโตมากับคำขู่ขวัญ!
ฮึ หากรู้เช่นนี้คงฝังเข็มให้ลึกอีกนิดจะดีกว่า!
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงวาจาที่หมอเฝิงพร่ำบ่นอยู่ในใจ แต่สีหน้ากลับแสดงออกถึงความหวาดกลัว “ทุกอาชีพล้วนต้องมีจรรยาบรรณ ข้าน้อยเข้าใจดี ฮูหยินรองวางใจเถิด”
นางเถียนพยักหน้า
นางซื้อตัวหมอเฝิงผู้นี้มาหลายปีแล้ว เรื่องมากมายที่เกิดขึ้นในจวนมีสักกี่ครั้งกันที่เขามิร่วมลงมือด้วย คิดดูแล้วคงมิกล้าเอ่ยอันใดออกมาเพียงคำแน่
“แม่นมเถียนไปส่งท่านหมอเฝิงด้วย” นางเถียนส่งสายตาให้แม่นมเถียน
แม่นมเถียนเข้าใจทันที “ท่านหมอเฝิงเชิญ”
รอจนออกไปแล้วจึงหาสถานที่เงียบสงบแห่งหนึ่งพูดกับท่านหมอเฝิงว่า “ท่านหมอมียาที่ทำให้คนพูดไม่บ้างหรือไม่?”
หมอเฝิงสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
“ท่านหมอเฝิง…” วาจาของแม่นมเถียนเต็มเปี่ยมไปด้วยการข่มขู่
ท่านหมอเฝิงสะดุ้งขึ้นคราหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “มี”
นางเถียนนั่งเงียบอยู่ภายในห้อง สาวใช้หลายต่างตัวสั่นงันงก
ไม่นานแม่นมเถียนก็เข้ามา ด้านหลังยังมีหญิงรับใช้ร่างบึกบึนอีกหลายคน
นางเถียนเชิดคางขึ้น “เอาตัวทุกคนออกไปให้หมด ยกเว้นหลี่ว์เจวียน”
‘พลั่กๆ’ เสียงคุกเข่าโขกศีรษะร้องขอชีวิตของสาวใช้หลายคนดังขึ้น “ฮูหยินโปรดละเว้นด้วย โปรดละเว้นบ่าวด้วยเจ้าค่ะ”
“ยังไม่รีบปิดปากพวกนางไว้อีก!” นางเถียนร้องขึ้น
ไม่ทราบว่าหญิงรับใช้ร่างบึกทั้งหลายเอาผ้ามาจากที่ใด ไม่นานก็จัดการปิดปากสาวใช้ทุกคนอย่างแน่นหนา
หลี่ว์เจวียนปิดปากไว้แน่นสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง ความน่ากลัวเช่นนั้นทำให้นางอยากจะกรีดร้องออกมาแต่กลับร้องไม่ออกสักคำ คล้ายว่ามีสิ่งใดอุดปากนางไว้กระนั้น แล้วนางก็หันไปมองหลี่ว์เอ๋อร์กับเยียนเหนียง พลันได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจของนางเถียนดังขึ้น “เอาตัวหลี่ว์เอ๋อร์ไปด้วย”
เวลานั้นความยินดีในใจของหลี่ว์เจวียนกลับสามารถกดข่มความกลัวเอาไว้ได้
ก่อนหน้านี้นางเคยแอบอิจฉาหลี่ว์เอ๋อร์อยู่หลายครา ทั้งที่เป็นสาวใช้ของฮูหยินเช่นกันแต่หลี่ว์เอ๋อร์ กลับได้เป็นสาวใช้ทงฝัง ภายหน้าหากมีบุตรชายก็จะมีเกียรติยศและความมั่งคั่งไปชั่วชีวิต แต่นางกลับยังคงเป็นเพียงสาวใช้ที่คอยยกน้ำชาของฮูหยินเช่นเดิม
แต่ยามนี้นางกลับรู้สึกดีใจยิ่งที่ไม่ได้มีความกล้ามากเท่ากับหลี่ว์เอ๋อร์
เมื่อเห็นว่าหญิงรับใช้ร่างบึกนั้นเดินเข้ามาหาตน หลี่ว์เอ๋อร์ก็พยายามจะขัดขืน “ฮูหยิน ข้าเป็นคนของนายท่าน หากท่านจะจัดการข้าก็ต้องให้นายท่านทาบก่อน…”
สาวใช้ที่จับหลี่ว์เอ๋อร์ไว้นั้นพลันชะงักไป
น้ำเสียงเย็นเยียบของนางเถียนดังขึ้น “ไม่ได้ยินที่ข้าบอกหรือไร หรือพวกเจ้าอยากจะรับผิดแทนหลี่ว์เอ๋อร์?”
หญิงรับใช้ร่างบึกเหล่านั้นไม่กล้าลังเลอีก เมื่อผ้าที่ติดตัวมาหมดแล้ว จึงกวาดตามองคราหนึ่ง แล้วหยิบเอาผ้าเช็ดโต๊ะที่วางอยู่บนโต๊ะมายัดใส่ปากหลี่ว์เอ๋อร์ แล้วพานางออกไปโดยไม่สนใจท่าทีขัดขืนนั้นเลย
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้นางเถียนก็เหนื่อยจนแทบไม่ไหว นางจับมือแม่นมเถียนไว้นั่งหอบหายใจไม่หยุด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงมีแรงคืนมา นางชี้หน้าด่าเยียนเหนียงทันที “เจ้ามันเป็นปีศาจจิ้งจอกที่คอยแต่จะหว่านเสน่ห์ไปทั่วจริงๆ แค่ไม่กี่วัน เจ้าถึงกับ ถึงกับยั่วยวนคุณชายเสียแล้ว!”
“ท่านแม่!” คุณชายสามคุกเข่าลงดังพลั่ก มือกำกริชไว้แน่น “ท่านอยากให้ลูกตายตรงหน้าท่านจริงๆ หรือ?”
กริชนั้นยังมีโลหิตติดอยู่ นางเถียนทั้งโกรธทั้งกลัวกระทั่งไม่กล้าสูดลมหายใจเข้าแล้ว
หลัวจือหยานั่งคุกเข่าลงตรงหน้านางเถียนทันทีเพื่อปลอบให้นางใจเย็น คุณชายรองยกเท้าขึ้นเตะคุณชายสามคราหนึ่ง กริชในมือจึงกระเด็นไปตกที่ตรงหน้าหลัวจือหยา
หลัวจือหยาหยิบกริชนั้นขึ้นมาแล้วเดินตรงไปยังเยียนเหนียง
“ท่านแม่พูดถูก เจ้ามันเป็นปีศาจ มีแต่ตายเท่านั้นจึงจะจบปัญหา!”
หลัวจือหยาจ้วงกริชเข้าใส่เยียนเหนียง เยียนเหนียงยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ แต่กลับมีคนเข้ามาขวางไว้
“พี่สาม?” หลัวจือหยามีสีหน้าไม่เชื่อ
คุณชายสามทั้งอายทั้งรู้สึกผิด เขาไม่กล้ามองตาเยียนเหนียงและน้องสาวเลย เขาถือกริชเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้านางเถียน “ท่านแม่ ลูกผิดเอง แต่นางมิได้ยั่วยวนอันใดลูกเลย เป็นลูกเองที่…ที่…”
‘ชอบสตรีของบิดา’ เป็นตายอย่างไรเขาก็จะไม่เอ่ยคำนี้ออกมาเด็ดขาด
คุณชายรองรีบเอ่ยตามขึ้นมาทันที “ท่านแม่ น้องสามเห็นสตรีผู้นั้นแล้วรู้สึกว่างดงามยิ่งและคิดว่านางเป็นสาวใช้จึงได้เกิดเหตุน่าขบขันเช่นนั้นขึ้น”
พูดพลางหันไปหาคุณชายสาม “ใช่หรือไม่น้องสาม?”
วาจาประเภทที่ว่าเกิดหลงรักสตรีของบิดาอันใดเทือกนั้นย่อมมิอาจพูดออกมาเด็ดขาด
คุณชายสามอึ้งงันไปแล้วพยักหน้ารับ
“ท่านแม่ ลูกแค่อยากได้หญิงงามสักคนไปไว้ที่เรือน ตอนเดินเข้ามาเห็นนางก็คิดว่าเป็นที่ท่านเตรียมไว้ให้ จึงได้พูดไปเช่นนั้น ขอท่านโปรดลงโทษด้วย!”
คุณชายสามโขกศีรษะโดยแรงไปหลายครา
นางเถียนจ้องมองบุตรชายแล้วทั้งห่วงใยทั้งโกรธเคือง แม้นจะทราบดีว่าเรื่องคงมิได้ธรรมดาอย่างที่เขากล่าวแต่ก็มิอาจไม่ยอมรับ
ครั้นนายท่านรองสกุลหลัวมาสอบถามด้วยความโมโหว่าเหตุใดจึงลงมือกับหลี่ว์เอ๋อร์ นางเถียนก็ได้แต่อดกลั้นโทสะไว้แล้วบอกไปว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าสามให้ข้าหาสาวใช้ทงฝังให้ บังเอิญว่าวันนี้เขามาเยี่ยมข้าแล้วเห็นเยียนเหนียงกำลังป้อนยาข้า เจ้าสามเข้าใจผิดคิดว่านางเป็นคนที่ข้าเตรียมไว้ให้ จึงเอ่ยวาจาเหลวไหลออกมา แม้นเจ้าสามจะมิได้เจตนาแต่ก็มีหลายคนที่ได้ยิน หากเรื่องนี้แพร่ออกไปคงไม่ดีแน่ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันข้าจึงต้องจัดการกับคนพวกนั้นเสียก่อน”
แม้นจะเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด แต่นายท่านรองสกุลหลัวก็โมโหยิ่งจึงหยิบเอาเชือกหนังไปที่เรือนคุณชายสามแล้วฟาดเขาอย่างแรงไปหลายหน
คุณชายสามกำลังไม่สบายใจอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงกระอักเลือดออกมาและล้มป่วยลง ส่วนนางเถียนจากที่ไม่สบายอยู่แล้วก็เป็นหนักมากขึ้นไปอีก ใกล้จะถึงวันตรุษแล้วแต่เจ้านายบ้านรองกลับล้มป่วยไปถึงสองคน ช่างน่าเวทนานัก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น