ยอดรักชายาอัปลักษณ์ 264-294

ตอนที่ 264

 

ปล่อยข้าเถอะ!

ชายวัยกลางคนสองเคราสีขาวดอกเลากำลังโบกมือด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน หนิงอวี้นิ่งอึ้ง ครั้นแล้วก็ดีใจจนแทบคลั่ง นางรีบเดินเข้ากลับเหลือเพียงความว่างเปล่า


 


 


“ท่านพ่อ?”


 


 


หนิงอวี้มองมือทั้งคู่ของตนอย่างเหม่อลอย หนิงจื้อหย่วนยิ้มดูเมตตาอยู่ไกลๆ


 


 


“อวี้เอ๋อร์ เจ้าฟังพ่อนะ”


 


 


“ไม่ต้องออกตามสืบเรื่องหนิงเฝ่ยแล้ว คอยใช้ชีวิตอยู่กับท่านอ๋องให้ดีเถิด”


 


 


หนิงอวี้พยักหน้าพลางร้องไห้ เงาร่างสีขาวนั้นค่อยลอยจากออกไป


 


 


“ท่านพ่อ อย่าไปนะเจ้าคะ!”


 


 


หนิงอวี้กรีดร้องหนึ่งเสียงแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นก็พบว่าหน้าผากตนเต็มไปด้วยเหงื่อ บนหน้าอกรู้สึกเจ็บหน่วงอยู่ลึกๆ


 


 


แสงเทียนถูกจุดขึ้น สาวใช้ยืนอยู่ข้างเตียง หนิงอวี้หันกายเข้าหาผนังเงียบๆ ท่านพ่อมาเข้าฝันนางหรือ หรือท่านพ่อจะกลับมาจริงๆ ไม่…เป็นไปไม่ได้ คำพูดนั้น! ท่านพ่อเคยพูดก่อนจากไป


 


 


ตอนนั้นนางตกตะลึงจนทำตัวไม่ถูกจึงไม่ได้ฟัง เอาแต่ร่ำไห้คร่ำครวญ ทั้งที่บิดาบอกกับนางไม่ให้ตามสืบเรื่องพี่ชาย คิดดูแล้วท่านคงจะรู้…ว่าท่านพี่คือมู่หรงเหยียน ผู้ซึ่งเป็นเหตุให้ท่านต้องตายโดยอ้อม


 


 


——


 


 


“เมื่อวานแม่นางอารมณ์แปรปรวนรุนแรง จึงสิ้นสติไป กระหม่อมสั่งยาให้สงบอารมณ์แล้ว แต่ยานั้นมีพิษอยู่สามส่วน อย่างไรแม่นางก็ยังต้องพักผ่อนสงบจิตใจพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


มู่หรงเหยียนได้ฟังก็พยักหน้า สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างก้าวเข้ามาแล้วยื่นเงินให้กับหมอแท่งหนึ่ง หมอคุกเข่ากับพื้นกล่าวขอบคุณแล้วแบกกล่องยาจากไป


 


 


เสียงฝีเท้าดังไกลออกไป เสียงปิดประตูดังขึ้น ภายในห้องตกสู่ความเงียบงันอีกครั้ง มู่หรงเหยียนยืนเหม่ออยู่ชั่วครู่ แล้วผินกายตั้งใจจะเดินจากไปก็ได้ยินหนิงอวี้พูดขึ้นว่า “หนิงเฝ่ย”


 


 


มู่หรงเหยียนหยุดฝีเท้า แผ่นหลังสะดุ้งเหยียดตรงยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่กล้าเหลียวกลับไปมอง


 


 


หนิงอวี้ยกถ้วยยาที่อยู่ด้านข้างขึ้นแล้วเป่าลมลงไปอย่างใจเย็น ไอขาวถูกเป่ากระจายไปเผยให้เห็นน้ำยาสีดำ


 


 


“เจ้าจำได้หรือไม่ ว่าเจ้าเคยบอกว่าจะคุ้มครองข้าชั่วชีวิต ไม่ให้ใครอื่นมารังแกข้าได้”


 


 


“จำได้สิ”


 


 


“เจ้ายังจำได้ไหมว่า เจ้าเคยบอกว่าหวังให้ข้ามีความสุขไร้ทุกข์กังวลชั่วชีวิต ไม่ต้องทุกข์ร้อนด้วยเรื่องอันใด”


 


 


มู่หรงเหยียนคะเนได้ว่านางต้องการจะพูดสิ่งใด เสียงในลำคอจึงเริ่มแหบพร่าขึ้นเล็กน้อย “จำได้สิ”


 


 


หนิงอวี้หลับตาทั้งคู่ลงช้าๆ แล้วดื่มน้ำยานั้นจนหมดในอึกเดียว ทั่วปากเต็มไปด้วยรสขมฝาด ทำให้นางรู้สึกคลื่นไส้ นางกลืนยาลงไปสีหน้านิ่งเฉยแล้วพูดขึ้นเสียงเบาด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “ปล่อยข้าไปเถอะ”


 


 


มู่หรงเหยียนหันกายกลับ จ้องตรงมายังนางแล้วปฏิเสธกลับอย่างไม่ลังเล “ไม่ได้”


 


 


หนิงอวี้ลืมตาทั้งคู่ขึ้นโดยพลันแล้วถามด้วยเสียงอันเบา “ข้าไม่เอาความเรื่องการตายของท่านพ่อแล้ว ไยเจ้าจึงดึงรั้งไม่ยอมวางมือเสียที”


 


 


เมื่อคืนนางนอนพลิกตัวไปมาอยู่นาน นางพบว่าท่านพ่อรู้แจ้งแต่แรกแล้ว วิทยายุทธ์ของหนิงเฝ่ยเป็นเขาที่สั่งสอน ท่านปะมือกับเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร ทุกคำพูดของบิดาล้วนแต่สื่อว่าไม่ต้องไปตามหาเขา


 


 


อีกคำพูดหนึ่งของท่านพ่อก่อนสิ้นใจคือให้นางใช้ชีวิตร่วมกับท่านอ๋องด้วยดี นางคิด สิ่งที่นางทำได้คงมีเพียงเรื่องนี้เท่านั้น


 


 


ท่านพ่อมักจะกังวลให้นางเป็นฝั่งเป็นฝา หากนางสามารถร่วมเรียงเคียงข้างกับท่านอ๋อง บิดาที่ปรภพคงตายตาหลับ


 


 


นางไม่กล้าที่จะตามเอาเรื่องและไม่อยากติดตามแล้ว หวังเพียงให้เขาปล่อยให้นางจากไปเท่านั้น เห็นแก่ความผูกพันในอดีต ให้ทั้งสองฝ่ายได้มีทางหนีทีไล่ของตน เขาจะไม่ยินยอมเชียวหรือ


 


 


“ข้าไม่รู้”


 


 


หนิงอวี้ย่นคิ้วชำเลืองขึ้น ก็สบเข้ากับรอยยิ้มเจื่อนบนมุมปากของมู่หรงเหยียนเข้าพอดี


 


 


“ต่อให้เห็นแก่ความผูกพันในอดีต เจ้าก็ไม่ยอมปล่อยข้าไปเลยเชียวหรือ”


 


 


หนิงอวี้พูดเสียงเบา มือข้างที่ยกถ้วยยานั้นสั่นเทาอย่างห้ามมิได้


 


 


มู่หรงเหยียนส่ายหน้าช้าๆ อย่างหนักแน่น หนิงอวี้หัวเราะออกมาด้วยความโกรธแล้วพลิกมือปาถ้วยยากระแทกพื้น


 


 


มู่หรงเหยียนเห็นท่าทีโกรธเกรี้ยวของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะอยากเข้าไปปลอบประโลม ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็หันกายกลับช้าๆ ขอโทษนะ ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้ หากปล่อยเจ้าจากไป ใครจะช่วยให้ข้าหลุดพ้นเล่า

 

 

 


ตอนที่ 265

 

กรุ๊งกริ๊ง ได้รับเชิงเทียนหนึ่งอัน!

ท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงห้องหนังสือที่แสงเทียนจุดสว่าง มั่วหลียืนอยู่ด้านข้างอยู่นาน ได้ยินเสียงเคาะบอกเวลาล่วงเลยยามสามมานานแล้ว ท่านอ๋องกลับไม่คิดจะหยุดพักแม้แต่น้อย จึงกระซิบขึ้นว่า “ท่านอ๋อง พักผ่อนหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


พู่กันขนเพียงพอนในมือเว่ยหยวนหยุดลง ครั้นแล้วก็เขียนต่ออย่างคล่องแคล่ว


 


 


“ให้เจ้าหาบ้าน เตรียมไว้พร้อมแล้วหรือ”


 


 


“ทูลท่านอ๋อง ทั้งหมดเตรียมพร้อมเหมาะสมแล้ว อีกไม่กี่วันก็สามารถเชิญนายหญิงซีเย่ว์เข้าพักได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เว่ยหยวนพยักหน้ารับ มั่วหลีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง ไยจึงเชิญให้นายหญิงซีเย่ว์ไปจากที่นี่หรือพ่ะย่ะค่ะ ให้อยู่ที่ตำหนักอ๋องคอยช่วยธุระ ไม่สะดวกกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“อวี้เอ๋อร์ไม่ชอบ” เว่ยหยวนวางพู่กันลง ครั้นแล้วก็พับหนังสือราชการเก็บ แล้วหยิบหนังสือราชการอีกฉบับออกมาจากกองที่พะเนินราวกับภูเขาลูกเล็กๆ แล้วตรวจงานต่อ


 


 


ประตูถูกแง้มเปิดช้าๆ สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดเข้าสู่ในห้อง ม่านไม้ไผ่ไหวเบาๆ เงาดำร่างหนึ่งปิดบังประตูจนมิด เขาผู้นั้นรีบเดินเข้ามาแล้วคุกเข่าลงบนพื้น


 


 


“ทูลท่านอ๋อง ห้องหนังสือตำหนักหลิงอ๋องไฟไหม้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เว่ยหยวนย่นคิ้ว ครั้นแล้วก็โบกมือเป็นสัญญาณให้ถอยออกไป


 


 


ไม่เป็นอะไร อย่างไรก็มีเงื่อนงำอยู่เล็กน้อย แต่เงื่อนงำอันเล็กน้อยนี้ ตามสืบต่อคงสิ้นเปลืองกำลังไม่น้อย ตอนนี้ได้จังหวะล้มเว่ยหลิง เดิมทีควรวางตัวสุขุมนิ่งแต่เขากลับอดไม่ได้ที่จะร้อนรนใจ


 


 


“มั่วหลี สายสืบที่ลอบแฝงตัวอยู่ในราชวงศ์เหนือ เมื่อไหร่จะส่งข่าวมา”


 


 


“ภายในสามวันพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


——


 


 


ในห้องรกกระจัดกระจาย บนพรมหนังเสือขาวคือหมอนที่ถูกย่ำเป็นรอยสองสามแห่ง ทุกมุมบนผ้าห่มแพรล้วนเต็มไปด้วยจอกน้ำกระจายอยู่


 


 


แผ่นกระดาษที่ติดบนผนัง ลายอักษรบนนั้นล้วนถูกฉีกออกเป็นสองส่วน เสาที่สลักเป็นรูปมังกรคู่หงส์ก็ถูกกระแทกด้วยเชิงเทียนจนเป็นรอยเว้าแหว่ง ดูน่าสังเวชใจยิ่งนัก


 


 


หนิงอวี้นั่งอยู่ท่ามกลางห้องที่รกกระจัดกระจายสีหน้าไร้อารมณ์ ด้านข้างมีสาวใช้นับไม่ถ้วนนั่งคุกเข่าอยู่ แต่ละนางก้มหน้าก้มตาตัวสั่นระริก


 


 


“แม่นาง องค์รัชทายาททรงให้คนนำสาสน์มาส่งเจ้าค่ะ”


 


 


หนิงอวี้ช้อนตาขึ้นอย่างไม่รีบร้อน แววตาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น


 


 


ถาดรองถูกสาวใช้ยื่นเข้ามาเบื้องหน้า จดหมายอันคุ้นตา นั่นคือจดหมายที่เว่ยหยวนเขียนให้นางนั่นเอง! เมื่อหนิงอวี้ยื่นมือออกไปคว้าจดหมายนั้นไว้ในมือแล้ว ถึงยอมเชื่อว่ามู่หรงเหยียนคืนจดหมายให้นาง


 


 


“องค์รัชทายาททรงรับสั่ง ฤดูใบไม้ผลิอากาศเย็นสบาย เหมาะที่จะออกไปเดินเล่น นับแต่นี้ไป แม่นางสามารถเดินเล่นในลานได้ตามใจชอบเจ้าค่ะ”


 


 


“องค์รัชทายาทยังทรงรับสั่ง หวังให้ท่านจะรักษาสุขภาพให้ดีด้วยเจ้าค่ะ”


 


 


มือหนิงอวี้ที่บีบจดหมายอยู่ อดไม่ได้ที่จะสั่นระริก มุมปากนางกลับโค้งยิ้มอย่างเยือกเย็นหนึ่งที สาวใช้ลุกขึ้นยืน แล้วกลับนั่งคุกเข่าลงท่ามกลางหมู่สาวใช้


 


 


หนิงอวี้เปิดจดหมายออก แล้วเปิดอ่านอย่างละเอียดรอบหนึ่ง เมื่อเห็นคำพูดที่คุ้นเคยนั้น สีหน้าจึงค่อยผ่อนลง


 


 


ท่านอ๋องคงกำลังร้อนใจ…ก่อนที่นางจะเดินเข้าสู่สนามรบ นางปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวต่อคำแนะนำที่ให้นางไปจากที่นั่น หากท่านอ๋องทราบต้องพิโรธดั่งอสุนีบาตเป็นแน่ หนิงอวี้คิดมาถึงจุดนี้ ก็รู้สึกหวั่นใจอย่างเลี่ยงมิได้


 


 


ไม่เป็นอะไร ทำผิดไม่เกินสามครั้ง นางเพิ่งทำผิดครั้งที่สาม ต่อให้ท่านอ๋องโกรธ ก็คงตัดใจลงโทษไม่ลง


 


 


หนิงอวี้มือหนึ่งกำจดหมาย อีกมือลูบไปบนท้องน้อยๆ เจ้าเด็กบ้าเอ๋ย เจ้ารอก่อนนะ แม่รับรอง ว่าเจ้าจะได้พบท่านพ่อในเร็ววัน


 


 


ได้เดินเล่นกลางลาน คงต้องใช้โอกาสนี้ให้ดี เพียงแต่ว่าตอนนี้ เหมือนจะยังไม่มีอาวุธติดมือ หนิงอวี้เหลียวมองไปรอบห้อง ทันใดนั้นก็พบเข้ากับเชิงเทียน หลังจากดึงเทียนออกก็คงเป็นอาวุธที่ไม่เลวนักอันหนึ่ง


 


 


หนิงอวี้ยกมือขึ้นลูบหน้าผาก ขมวดคิ้วเล็กน้อย สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างเดินเข้ามา


 


 


“แม่นาง พักสักครู่เถิดเจ้าค่ะ”


 


 


หนิงอวี้พยักหน้ารับ ในขณะที่เดินอยู่นั้นนางก็เตะสองทีไปยังเชิงเทียนจนมันล้มลงข้างเตียง ครั้นแล้วนางก็เอนกายลงบนเตียง ชายกระโปรงยาวมีผ้าซ้อนสลับหลายชั้นจึงปิดบังเชิงเทียนเอาไว้จนมิด


 


 


เหล่าสาวใช้เริ่มจัดการข้าวของที่ระเกะระกะ หยิบข้าวของต่างๆ แล้วเดินออกประตูไปอย่างเงียบเชียบ หนิงอวี้เห็นประตูถูกปิดลงก็รีบลุกขึ้นนั่งอย่างรีบร้อน นางเก็บเชิงเทียนขึ้นมาแล้วซุกมันลงใต้เตียง


 


 


เมื่อจัดการทุกอย่างครบ หนิงอวี้ก็พับจดหมายอย่างเป็นระเบียบแล้วสอดลงใต้หมอนนอนหลับไปอย่างสบายใจ

 

 

 


ตอนที่ 266

 

ใจละเอียดอ่อนดั่งเส้นผม

“ข้าอยากเห็นหนิงเปียน หากต้องการไต่ขึ้นที่สูงแล้วมองออกไปไกลๆ ข้าควรไปที่ใดดี”


 


 


สาวใช้เดินนำทาง หนิงอวี้เดินตามหลังนาง ทุกที่ที่ผ่านไม่มีบ่าวไพร่คนใดไม่คุกเข่าลงกับพื้น


 


 


เมื่อเดินผ่านต้นไม้ในตอนนั้น ใต้ต้นไม้ถูกเปลี่ยนเป็นสาวใช้คนใหม่สองคนไปแล้ว หนิงอวี้สีหน้านิ่งเฉย มือที่ซุกซ่อนไว้ในแขนเสื้อ กุมเหล็กหมาดของแท่นเทียนนั้นไว้แน่น


 


 


เมื่อคืน ตอนที่แสงเทียนดับลงแล้ว นางอาศัยแสงจันทร์ดึงเอาเทียนออกแล้วค่อยๆ บิดเหล็กหมาดแหลมที่เสียบเทียนด้ามนั้นออกทีละนิด


 


 


ขณะที่เดินขึ้นหอสูง เหล่าสาวใช้ต่างรายล้อมรอบรั้วอ้างว่าเพื่อบังลม แท้จริงแล้วคือกังวลว่าหนิงอวี้จะกระโดดลงมา


 


 


หอสูงตั้งตระหง่าน สามารถทอดสายตามองทุกอย่างเบื้องล่าง เพื่อเฝ้าดูนาง มู่หรงเหยียนถึงกับสร้างตำหนักแห่งนี้ขึ้นบนยอดเขาสูงลูกหนึ่ง


 


 


“หนิงเปียนคือทิศใด”


 


 


สาวใช้ชี้ไปยังทิศหนึ่ง หนิงอวี้หันกายมองตามไปยังที่แห่งนั้น ในสมองกลับกำลังหวนนึกถึงเส้นทางที่เพิ่งเดินผ่านมาเมื่อครู่


 


 


กลางป่าเขา แม้จะเดินทางได้ง่าย แต่ไม่ง่ายที่จะหลบหนี เหล่าทหารที่คอยเฝ้าอารักขามีนับร้อยนาย นอกลานยังมีสิ่งก่อสร้างอีกมากมาย ที่ประตูตำหนักยังมีทหารในชุดเกราะสีเงินอีกนับไม่ถ้วน


 


 


หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว เช่นนี้แล้ว…การจะหลบหนีคงยากยิ่งกว่าบินขึ้นฟ้าเสียอีก ไม่สิ…ยังมีวิธีอื่นอีก มุมกำแพงที่อยู่ใกล้หนิงเปียนที่สุดตรงนั้นไง! เพียงปีนข้ามกำแพงก็สามารถหลบเข้าป่าทึบได้โดยตรง


 


 


มิหนำซ้ำ นางยังไปมาสถานที่นั้นเป็นประจำไม่มีใครสงสัยอยู่แล้ว หนิงอวี้รู้สึกว่าปลายนิ้วตนเย็นยะเยือก นางค่อยๆ หันตัวกลับ แม้นิ้วมือจะเย็นเฉียบแต่ใจนางกลับเต้นรัวไม่หยุด นางย่างทีละก้าวไปบนขั้นบันได สอดประสานไปกับจังหวะหัวใจที่เต้น


 


 


นางเดินไปยังมุมกำแพงของเมื่อวานโดยอาศัยความทรงจำแล้วนั่งลงบนก้อนหินทอดสายตามองท้องฟ้า สาวใช้ยืนอยู่ไกลๆ หนึ่งในนั้นก็ถามขึ้นเสียงเบาว่า “ที่นี่ที่ไหนกัน ทำไมแม่นางจึงสีหน้าเศร้าโศกเช่นนี้”


 


 


“หุบปากเสีย มิใช่กงการอะไรของเจ้า”


 


 


สาวใช้ถูกตะคอกตำหนิหนึ่งที ก็สงบคำลงแต่โดยดีแล้วถอยออกไปสองสามก้าว


 


 


หนิงอวี้ได้ยินเสียงดังขึ้นสวบสาบ นางล้วงจดหมายออกมาแล้วดูอย่างพินิจ นางนั่งทอดถอนใจราวครึ่งชั่วยามเช่นนี้ สาวใช้ที่เฝ้าอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มเกียจคร้าน มีสาวใช้สองสามนางเดินออกไปไกลเพื่อหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน


 


 


สาวใช้บางนางก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวกนางเดินออกไปไกลอีกเล็กน้อยอย่างเงียบเชียบ ในใจแอบคิดว่า มัจจุราชหยกที่แท้ก็แค่นี้ การที่องค์รัชทายาทมาดูแลอย่างจริงใจ ดูเหมือนจะไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย


 


 


หนิงอวี้ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกไปไกลก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปร้องไห้ไปข้างกำแพง


 


 


“ถวายบังคมองค์รัชทายาท แม่นางออกไปเดินเล่นเพคะ”


 


 


มู่หรงเหยียนพยักหน้ารับ สาวใช้นางนั้นเดินออกไปแล้วพูดคุยกับสาวใช้นางอื่น ครู่หนึ่งก็เดินกลับเข้าไปในตำหนัก


 


 


“แม่นางอยู่ที่มุมหนึ่งของตำหนักเนี่ยนอันเพคะ เหม่อลอยอยู่เกือบสองชั่วยามแล้ว”


 


 


มู่หรงเหยียนเหยียนพยักหน้าตอบแล้วเดินเข้าไปในห้อง ผ้าห่มนวมบนเตียงเว้าลงเล็กน้อย ดูจากสภาพ อวี้เอ๋อร์คงจะนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนนี้


 


 


ไม่มีคนตามปรนนิบัติ มู่หรงเหยียนนั่งลงบนเตียงแล้วมองพิจารณาไปรอบๆ เมื่อวานอวี้เอ๋อร์อาละวาด ฉีกภาพเขียนมีชื่อขาดกระจุยไปสองสามผืน


 


 


ทันใดนั้น จุดแดงเล็กๆ จุดหนึ่งที่จับตัวแข็งก็ดึงดูดสายตาเขา มันคือน้ำตาเทียนจุดหนึ่งที่เกาะติดอยู่มุมเก้าอี้ มู่หรงเหยียนย่นคิ้วแล้วยื่นมือไปแคะน้ำตาเทียน


 


 


แปลกจริง ไยน้ำตาเทียนจึงอยู่บนเก้าอี้ นางกำนัลที่คอยตามปรนนิบัติล้วนแต่คัดสรรมาจากผู้คนนับพันนับหมื่น ไม่มีทางทำงานผิดพลาดเด็ดขาด นี่ไม่ใช้น้ำตาเทียนนี่นา มันคือขี้ผึ้งต่างหาก


 


 


มู่หรงเหยียนมุ่นหัวคิ้วแล้วตะโกนออกไปเสียงดังว่า “เข้ามา ตอนที่แม่นางอาละวาดเมื่อวาน ได้ทำเชิงเทียนล้มหรือไม่”


 


 


สาวใช้คุกเข่าลงกับพื้น เนื้อตัวสั่นเทา


 


 


“ใช่เพคะ”


 


 


“หลังจากเก็บกวาดเสร็จแล้ว ได้เปลี่ยนเชิงเทียนใหม่หรือไม่”


 


 


“เพคะ”


 


 


“เชิงเทียนอันเก่าอยู่ที่ใด”


 


 


“โอ องค์รัชทายาทขออภัยด้วยเพคะ…”


 


 


“เข้ามา จัดองครักษ์สามร้อยนาย ไปล้อมด้านนอกกำแพงตำหนักเนี่ยนอันไว้ หากมีใครปีนกำแพงออกมา ให้จับเป็นทันที…ห้ามทำร้าย นำทางข้าไป! ข้าจะไปหานางด้วยตัวเอง”

 

 

 


ตอนที่ 267

 

อันตราย

หนิงอวี้ข้ามกำแพงหนีออกไปท่ามกลางสายตาอันประหลาดใจของเหล่าสาวใช้กลุ่มหนึ่ง นางยืนอยู่บนกำแพงเห็นทหารชุดเกราะสีเงินนับไม่ถ้วน อีกด้านคือกลิ่นหอมแป้งชาด อีกด้านคือชุดเกราะสีเงิน หนิงอวี้บนกำแพง ซ้ายมิอาจหลีก ขวาก็มิอาจหลบ


 


 


“ลงมานะ!”


 


 


ไม่ไกลจากที่นั่น มู่หรงเหยียนกระทืบเท้าเดินเข้ามา เขาเม้มริมฝีปากอันบาง ในสายตาเยือกเย็นราวกับเร้นด้วยเกล็ดหิมะ หนิงอวี้ขบฟัน ก็แค่ย่ำไปบนกระเบื้องแค่นั้น ใครกำหนดเล่า ว่ากำแพงจะใช้เป็นทางเดินไม่ได้


 


 


หนิงอวี้ยกมือขึ้นลูบท้องน้อยๆ ครั้นแล้วก็กางสองมือออก สาวเท้าออกเดินไปด้วยความเร็ว มู่หรงเหยียนขมวดคิ้วแน่น เขาจิกเท้าไปบนดินแล้วโผทะยานขึ้นไปทันที


 


 


หนิงอวี้เห็นเขาเข้ามาก็รีบเร่งฝีเท้า แต่นางกลับก้าวไถล ร่างกายแกว่งไปมากลางอากาศ  ครั้นแล้วก็เอนไปทางฝั่งข้างในลานแล้วค่อยๆ ร่วงลงไป


 


 


มู่หรงเหยียนนิ่งชะงักกับที่ หากตกลงมาเช่นนี้ อาจทำให้แท้งลูกเป็นแน่ คิดถึงจุดนี้ เขาที่ยืนนิ่งกับที่ก็สะดุ้งโหยงทันที


 


 


หนิงอวี้ยกมือขึ้นกุมท้องน้อย วินาทีก่อนร่วงสู่พื้นดินกลับถูกคนผู้หนึ่งรวบตัวเอาไว้ในอ้อมกอด กลิ่นหอมดูล้ำค่า เจือด้วยกลิ่นอายอันเยือกเย็นจางๆ จนแทบไม่รู้สึก


 


 


มู่หรงเหยียนโอบคนในอ้อมกอดเอาไว้แน่นแล้วทิ้งกายล้มลงกับพื้นสนามหญ้า ลูกของนางกับเว่ยหยวนอาจแท้งออกมาได้ แต่เขาจะไม่ยอมให้มันเป็นเช่นนั้น


 


 


ยามนี้ความคิดทุกอย่างของนางสลายสิ้น แล้วเขาจะแย่งชิงความคิดเพียงหนึ่งเดียวที่เหลือของนางได้อย่างไร หนำซ้ำนางยังบาดเจ็บไม่ทันหายดี ร่างกายจะทนลำบากได้ถึงไหนกันเชียว


 


 


ทั้งสองคนร่วงลงบนพื้นหญ้าพร้อมกัน มือทั้งคู่หนิงอวี้ป้องท้องน้อยเอาไว้แน่น แต่ยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรง คงเป็นเพราะเหล็กหมาดนั่น แทงทะลุแขนเข้า


 


 


เลือดสดข้นหนืดไหลออกมา มู่หรงเหยียนได้กลิ่นคาวเลือดก็รีบลุกขึ้นนั่งอย่างร้อนรนแล้วสำรวจจนทั่ว เลือดนั้นกลับไหลย้อมชายเสื้อ เมื่อนึกถึงเชิงเทียนที่ถูกดึงเหล็กหมาดขึ้นได้ มู่หรงเหยียนก็ยื่นมือออกไปหมายจะสำรวจ


 


 


หนิงอวี้ยกมือข้างที่ปกติสมบูรณ์ดีข้างนั้น เตรียมพร้อมปัดป้องเขา มู่หรงเหยียนกำลังคิดจะอธิบายก็ถูกความเยือกเย็นในแววตานางนั้นทำให้ไหวหวั่นขึ้นมา


 


 


“ให้ข้าดู ว่าบาดเจ็บหรือไม่” ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่หรงเหยียนจึงกล่าวขึ้น


 


 


หนิงอวี้ใช้มือข้างที่ปกติกดไปบนบาดแผลนั้นแล้วส่ายหน้าอย่างใจเย็น มู่หรงเหยียนมุ่นหัวคิ้ว เห็นเลือดไหลออกมาไม่หยุดก็โผเข้าไป


 


 


สองสามวันนี้ได้ปะทะฝีมือ นางไม่อาจทัดเทียมเขาได้ หนำซ้ำตอนนี้มือข้างหนึ่งก็มาบาดเจ็บเสีย มู่หรงเหยียนตรึงมือนางทั้งคู่เอาไว้ได้อย่างง่ายดายแล้วล้วงเอาเหล็กหมาดอาบเลือดออกมาจากแขนเสื้อ


 


 


เขาโยนเหล็กหมาดไปบนพื้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “อย่าทำเช่นนี้อีก” เขาพยายามสะกดความเจ็บบนแผ่นหลังเอาไว้ แล้วหันกายเดินจากไป


 


 


“ทำไม เจ้าเป็นห่วงหรือ”


 


 


หนิงอวี้อ้าปาก สายตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ราวกับได้ยินเรื่องตลกที่สุดบนโลกนี้


 


 


เงากายมู่หรงเหยียนที่กำลังจากไปหยุดลง ราวกับจะยอมรับคำพูดนั้นเงียบๆ หนิงอวี้หัวเราะออกมาดัง “ฮ่าๆ” น้ำตาไหลซึมออกจากหางตา


 


 


“ฮ่าๆๆ เจ้าสังหารท่านพ่อ จองจำข้าไว้ที่นี่ ตอนนี้ เจ้ากลับบอกกับข้า ว่าเจ้าเป็นห่วงข้าหรือ”


 


 


“หนิงเฝ่ย…ไม่สิ…มู่หรงเหยียน คำพูดเจ้าช่างน่าขันนัก มันมากพอที่จะทำให้ข้าขบขันไปชั่วชีวิตเลย”


 


 


มู่หรงเหยียนหันกลับมองไปยังหญิงสาวที่กำลังนั่งบนพื้นหญ้า หัวเราะออกมาจนหน้าแหงนขึ้นแล้วอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา “สถานการณ์กำลังวุ่นวาย เจ้าควรอยู่ที่นี่ไปก่อน”


 


 


เมื่อจบประโยคนั้น ก็เห็นหนิงอวี้ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ เขาจึงพูดเสริมอีกหนึ่งประโยคว่า “นี่ล้วนแต่ดีต่อเจ้า” ยังไม่ทันขาดคำ เขาก็หันกายเดินจากไปอย่างรีบร้อน


 


 


หนิงอวี้นิ่งอึ้ง นางมองไปยังชายเสื้อที่ถูกย้อมด้วยเลือดจนเป็นสีแดงคล้ำแล้วโคลงศีรษะพลางหัวเราะออกมา


 


 


“ดีกับข้าอย่างนั้นหรือ”


 


 


ดีกับข้า ในวันไว้อาลัยเจ็ดวันกลับส่งชุดกระโปรงแดงมาให้หรือ


 


 


ดีกับข้า แล้วเจ้าก็ทำร้ายชีวิตคนรักข้าหรือ


 


 


ดีกับข้า เจ้าจึงพาข้ามาคุมขังไว้ยังที่แห่งนี้ กักกันอิสรภาพของข้า หมายจะเอาไปขายในราคาสูงหรือ


 


 


“หนิงเฝ่ย ข้ากลัวแล้ว ที่เจ้าดีกับข้า มันช่างทารุณเหลือเกิน”


 


 


หนิงอวี้พูดเสียงอ่อย ทันใดนั้นก็นึกถึงเมื่อครั้งยังเด็กที่นางหลบอยู่หลังม่านในโถงพิธีดูหนิงเฝ่ยที่เนื้อตัวฟกช้ำกำลังคุกเข่าอยู่หน้าป้ายวิญญาณบรรพชน


 


 


เด็กชายเยาว์วัยในความทรงจำจับสังเกตสายตานางได้ ก็เงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วฝืนปั้นหน้ายิ้ม แต่กลับกระเทือนเข้ากับบาดแผลโดยไม่ทันคิดจึงร้องออกมาด้วยความเจ็บ


 


 


ราวกับบางสิ่งแตกร้าวลง หนิงอวี้ยกมือขึ้นกุมแก้ม หมายจะปิดบังน้ำตาของตน

 

 

 


ตอนที่ 268

 

ลอบจุมพิต

แสงจันทร์นวลผ่อง มู่หรงเหยียนเดินเข้าห้องอย่างเงียบเชียบ สาวใช้ยังไม่ได้ปิดหน้าต่าง สายลมพัดเข้ามาอยู่หวิวๆ ทำให้ปอยผมข้างหูหนิงอวี้ไหวริกตามลม


 


 


แสงจันทร์สาดแสงอ่อนโยนลงบนหน้านาง ทำให้แม้แต่รอยแผลเป็นก็ดูจางลงไปเล็กน้อย มู่หรงเหยียนบอกกับตัวเองว่าควรไปเสียที


 


 


จังหวะช่างประจวบเหมาะ เขาไม่เพียงแต่ไม่หันกายกลับ แต่เขายังนั่งลงริมขอบเตียง ก้มหน้าลงจดจ้องดวงหน้าของหนิงอวี้


 


 


นี่คือหญิงสาวที่เขาเห็นนางเติบโตมา เมื่อยังเล็กนางงอแงให้เขาช่วยหวีผมให้ ทั้งจูงมือเขาทั้งขอให้สอนขี่ม้า พอร่วงลงกับพื้นก็ร้องไห้อ้ามือทั้งคู่ออกร้องขอให้เขาอุ้ม


 


 


เขาเคยป้องนางไว้ข้างหลัง ยินยอมต่อสู้กับทุกอย่างบนโลกนี้เพื่อนาง เพียงแต่ ความรู้สึกนี้ค่อยๆ บ่มเพาะ ไม่ใช่เพียงความรู้สึกอยากปกป้องในฐานะพี่น้องอีกต่อไป แต่…


 


 


นางอยากไป อยากจากไป อยากกลับคืนสู่อ้อมอกของเว่ยหยวน เขาควรเห็นด้วย ที่จริงในหมู่เชื้อพระวงศ์ราชวงศ์เหนือเต็มไปด้วยความรุนแรงและความโกลาหล เขาเองก็เพิ่งจะตั้งหลักได้ หนำซ้ำในใจนางก็มีแค่เว่ยหยวนเท่านั้น


 


 


คิดถึงจุดนี้ มู่หรงเหยียนก็ยกมุมปากยิ้ม รอยยิ้มดูขื่นขม หากตอนแรก ไม่ตกลงยอมเป็นบุตรบุญธรรม ไม่จงใจเปิดเผยชาติกำเนิดตน เขาและนาง เติบโตมาด้วยกัน บริสุทธิ์จริงใจต่อกัน จุดจบคงไม่เหมือนที่เป็น


 


 


เขาจำได้เลือนรางถึงแววตาของเด็กหญิงผมเผ้ากระเซอะกระเซิงนางหนึ่งที่กำลังยื่นหวีไม้มาให้เขา เขาได้แต่กลืนคำปฏิเสธลงคอไปแล้วหยิบหวีขึ้นอย่างว่าง่ายด้วยท่าทีดูงุ่มง่าม


 


 


มู่หรงเหยียนโน้มตัวลง ยกมือขึ้นทัดปอยผมของหนิงอวี้ไว้หลังหู มือนั้น ค่อยๆ เลื่อนออกจากใบหน้า จากนั้นก็เลื่อนไปยังริมฝีปาก ปากแดงเล็กจุ๋มจิ๋ม มู่หรงเหยียนหัวใจเต้นรัว


 


 


เขาโน้มตัวลงแล้วจุมพิตลงอย่างบางเบา ริมฝีปากทั้งสองเฉียดผ่าน เบาดั่งแมลงปอแตะผิวน้ำ สัมผัสอันนิ่มนวลกลับเจือด้วยหวานละมุน มู่หรงเหยียนราวกับสะดุ้งจากฝันแล้วรีบหันกายเดินจากไปอย่างรวดเร็ว


 


 


เสียงปิดประตูดังขึ้น หมัดที่กำแน่นภายใต้ผ้าห่มของหนิงอวี้ก็คลายออก นางลืมตาขึ้นช้าๆ ความหวาดกลัวในตอนแรกนั้นได้ผ่านไปแล้ว นางยกมุมปากยิ้มเยาะ


 


 


——


 


 


“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ดื่มยา! ออกไปซะ!”


 


 


หนิงอวี้ถลึงตาใส่สาวใช้นางนั้นอย่างดุดัน สาวใช้พยักหน้ารับ แต่มือที่ประคองถ้วยน้ำแกงยานั้นกลับนิ่งไม่ขยับ


 


 


“ถวายบังคมองค์รัชทายาท”


 


 


เสียงเบาๆ ดังแว่วเข้ามา หนิงอวี้แค่นเสียงเยาะหนึ่งที


 


 


เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ หนิงอวี้ช้อนตาขึ้นมองเขาหนึ่งทีแล้วหันหน้าหลบไม่พูดจา มู่หรงเหยียนหัวเราะเบาๆ เขายื่นมือไปยกถ้วยน้ำแกงยานั้นขึ้นแล้วเดินไปด้านหน้านาง


 


 


“ยังจะทำตัวเป็นเด็กอีก แผลบนแขนเจ้าโดนเหล็กมา เสี่ยงจะติดเชื้อนะ โอ๋ ดื่มยาหน่อยนะ”


 


 


มู่หรงเหยียนนั่งลงข้างขอบเตียง หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว แต่มือเท้ากลับมิได้ขยับหลีก นางหดตัวเข้ามุมเตียง มู่หรงเหยียนหลุดเสียงหัวเราะออกมาแล้วยึดตัวขยับเข้าไป เขายื่นช้อนไปจรดริมฝีปากนาง


 


 


หนิงอวี้อ้าปาก นางไม่ได้สนใจมองน้ำแกงยาถ้วยนั้น แต่จ้องไปยังนัยน์ตาเขาพลางพูดขึ้นเสียงเบา “หากดีต่อข้า ก็ปล่อยข้าไปเสียเถอะ”


 


 


รอยยิ้มบนมุมปากมู่หรงเหยียนพลันเหือดไป มือที่ถือช้อนสั่นเบาๆ หนึ่งที ครั้นแล้วก็หดมือกลับ เขาวางช้อนกลับลงไปในกลางถ้วย


 


 


เขาส่ายหน้าช้าๆ รอยยิ้มมุมปากเลือนหายไป หนิงอวี้แค่นเสียงหนึ่งทีแล้วปะทะสายตากับเขา นางถาม “ด้วยเหตุใด”


 


 


เงียบอยู่ครู่ใหญ่ หนิงอวี้ก็ยกมือขึ้นป้องหน้า ถามด้วยเสียงแผ่ว “เจ้าเป็นใครกันแน่”


 


 


“มู่หรงเหยียน”


 


 


“ดีมาก”


 


 


หนิงอวี้พยักหน้าพลางปล่อยมือลงแล้วเหยียดปากยิ้มหนึ่งที มู่หรงเหยียนขมวดคิ้ว เขาตักน้ำแกงขึ้นมาแล้วยื่นไปที่ริมฝีปากนาง


 


 


หนิงอวี้ส่ายหน้า นางยืดตัวขยับเข้าไปด้วยความเร็วเหนือเสียงดั่งสายฟ้าแล้วใช้ผ้าแพรบางรัดคอเขาเอาไว้ มู่หรงเหยียนคลายมือ ถ้วยยาในมือหล่นลงบนผ้าห่มนวม น้ำแกงยาเปียกซึมเป็นรอยคล้ายดอกโบตั๋น


 


 


“อ๊ะ! ใครก็ได้ มาช่วยองค์ชายที!”


 


 


สาวใช้กรีดร้องเสียงแหลม รีบวิ่งไปยังประตู หนิงอวี้ดึงรัดผ้าแพรบางในมือแน่น พลางกดเสียงต่ำ “ปล่อยข้าไปซะ”

 

 

 


ตอนที่ 269 ตายใจ

 

มู่หรงเหยียนสีหน้าสงบนิ่ง ไม่เผยให้เห็นความตื่นกลัวแม้แต่น้อย ชั่วอึดใจเดียว ประตูห้องก็ถูกเตะเปิด ทหารในชุดเกราะสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนดาหน้ากันเข้ามา


 


 


หัวหน้านางกำนัลขมวดคิ้ว เดินเข้ามาสองสามก้าว หนิงอวี้ทำเสียงหัวเราะเย้ย แล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ถอยไป”


 


 


สาวใช้ขมวดคิ้ว เมื่อเห็นมู่หรงเหยียนขยับนิ้วจึงถอยหลังไป ผ้าแพรบางรัดแน่น มู่หรงเหยียนใบหน้าแดงก่ำ แม้อยู่ท่ามกลางความเป็นความตาย แววตาเขากลับยังนิ่งเฉยสุขุมนิ่งอย่างที่สุด


 


 


“ข้าจะรัดเจ้าให้ตาย เจ้าบอกเอง ว่าเจ้าไม่ใช่หนิงเฝ่ย เจ้าเป็นเพียงมู่หรงเหยียน”


 


 


“ไม่ว่าข้าจะเป็นผู้ใด ตอนนี้เจ้าจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ ตอนนี้ราชวงศ์ใต้…เว่ยหยวนเองบางที อาจจะห่วงแต่ตนเองจนไม่มีเวลาที่จะ….”


 


 


หนิงอวี้ได้ยินคำพูดอันหนักแน่นนั้น ก็พูดแทรกคำพูดเขาด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “หุบปาก!”


 


 


“ฟังนะ อวี้เอ๋อร์ ข้า…”


 


 


หนิงอวี้จิตใจว้าวุ่น นางดึงรัดผ้าแพรบางนั้นเอาไว้แน่น “พอแล้ว อย่าพูดเรื่องโกหกแบบนี้อีก”


 


 


มู่หรงเหยียนใบหน้าแดงก่ำ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววความตื่นกังวลเล็กน้อยปลาบหนึ่ง


 


 


“ข้า มีสติอยู่”


 


 


หนิงอวี้ยกมุมปากยิ้ม เผยให้เห็นรอยยิ้มอันเย็นชาออกมาหนึ่งที ใบหน้าอันสงบของมู่หรงเหยียนเริ่มแตกสลายกลับกลายเป็นสีหน้าลนลานทำตัวไม่ถูก


 


 


“อย่าเสแสร้งอีกเลย หากไม่อยากให้มีคนรู้ ก็อย่าทำแต่แรกสิ”


 


 


ท่ามกลางความเงียบอันยาวนาน ทันใดนั้นมู่หรงเหยียนก็หัวเราะออกมาเบาๆ จนผ้าแพรบางที่รัดบริเวณลำคอสั่นไหว เขาเลิกคิ้ว มุมปากยกยิ้มบาง ใบหน้าที่สุขุมองอาจในตอนแรก บัดนี้กลับเจือด้วยความชั่วร้าย


 


 


เขาขยับตัวเข้าไป หนิงอวี้ขบฟัน มือดึงรัดผ้าแพรบางในมือนั้น แล้วพูดข่มขู่ว่า “ถอยออกไป”


 


 


มู่หรงเหยียนหัวเราะเบาๆ เขาไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว แต่กลับขยับเข้าประชิดใกล้หนิงอวี้


 


 


“ใช่สิ เจ้ารู้แล้ว ดีจริง ในที่สุดข้าก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป”


 


 


สาวใช้สังเกตเห็นความผิดปกติ ก็โบกมือให้ทุกคนถอยออกไป นางเองก็เดินจากไป พลางผลักประตูห้องปิดลง


 


 


หนิงอวี้เบื่อที่จะตอแย ได้แต่ออกแรงมือ คราวนี้ สองแก้มมู่หรงเหยียนแดงขึ้นมา สายตาเริ่มเลื่อนลอย พอตั้งสติได้ก็จ้องนิ่งมายังนาง ดูราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจ้องเขม็งไปยังเหยื่อ


 


 


“ปล่อยข้าไป ไม่เช่นนั้น”


 


 


หนิงอวี้ดึงผ้าแพรบางแน่น พูดข่มขู่เสียงเบา มู่หรงเหยียนหัวเราะร่าเสียงดัง แต่เพราะด้วยผ้าแพรบางตรึงรัด เสียงหัวเราะจึงขาดหายเป็นช่วง ฟังแหบพร่าน่าหวาดกลัว


 


 


“ฆ่า…ข้า…สิ”


 


 


หนิงอวี้ขมวดคิ้วพลางขบริมฝีปาก มู่หรงเหยียนยกมุมปากยิ้มน้อยๆ เขายกมือขึ้นลูบหน้านาง หนิงอวี้แค่นเสียงเยาะหนึ่งที นางดึงผ้าแพรบางรัดจนแน่น


 


 


มู่หรงเหยียนหน้าแดงก่ำ ลมหายใจเริ่มขาดหาย มุมปากกระตุกไม่หยุด หนิงอวี้ออกแรงมือ ดวงตากลับแดงขึ้นอย่างห้ามมิได้ ขอร้องสิ ขอร้องมา บอกว่าเจ้าจะปล่อยข้าไป บอกว่าเราสองคนขาดกัน


 


 


“ข้า…ชนะแล้ว”


 


 


ผ้าแพรบางปลิวร่วง ปลายทั้งสองหล่นบนดอกโบตั๋น หนิงอวี้หางตาแดงก่ำ มือทั้งคู่โอบกอดตัวเอง แล้วถามขึ้นว่า “ทำไมกัน”


 


 


“ข้ารักเจ้า”


 


 


มู่หรงเหยียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทั้งประโยคพูดออกมาอย่างหนักแน่นลื่นไหล คำพูดนี้ เขาเก็บซ่อนไว้ในใจมานานแล้ว ในที่สุดก็ได้โอกาสเปิดเผยมันออกมาเสียที


 


 


หนิงอวี้หลับตาทั้งคู่ลง น้ำไหลรินออกจากหางตา ไหลผ่านรอยแผลยาว มู่หรงเหยียนยกมือขึ้น ลูบไปบนแก้มนาง เช็ดคราบน้ำตานางออกไปเบาๆ


 


 


“หนิงเฝ่ย เจ้าตายไปแต่แรกแล้ว เจ้า…ไม่ใช่พี่ชายข้าอีกแล้ว”


 


 


“ข้าก็หวังเช่นนั้น”


 


 


มู่หรงเหยียนฝืนยกมุมปากยิ้ม ทั้งๆ ที่นี่คือสิ่งเขาคอยเฝ้าปรารถนา แต่ด้วยเหตุใด เมื่อได้ฟังคำพูดนั้น เขากลับอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ


 


 


เด็กสาวในความทรงจำนั่งยองกับพื้น ยื่นมือทั้งคู่มายังเขา นางร้องไห้จนตาแดงก่ำ เมื่อเห็นเขาเข้ามาก็ห้ามน้ำตาเอาไว้ เผยอปากอย่างน้อยใจ “ท่านพี่ อุ้มข้าที”


 


 


วินาทีนั้น ความคิดต่างๆก็พลันสลายไป เขาอุ้มนางขึ้น รู้สึกราวกับโอบกอดโลกทั้งใบเอาไว้


 


 


แต่ทว่า ตอนนี้โลกใบนั้นพังทลายลงไปแล้ว มู่หรงเหยียนลุกขึ้นยืน กวาดสายตามองนางปราดหนึ่งอย่างสงบนิ่ง ต่อให้ไม่มีคำพูดนั้น มันก็พังลงมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ย้อนกลับไปเมื่ออดีต ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความเพ้อฝัน



ตอนที่ 270 ท่านอ๋องจอมหึงออกโรง


 


 


“ท่านอ๋อง คนที่หน้าด่านราชวงศ์เหนือมีข้อมูลลับส่งมากราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เว่ยหยวนพยักหน้า พลางมองไปยังดอกทานตะวันที่เบ่งบาน เขาพูดขึ้นเสียงเบาว่า “อ่านมา”


 


 


มั่วหลีกลืนน้ำลายดังอึก แล้วกางจดหมายออก


 


 


“ไม่กี่วันก่อน องค์ชายรองมู่หรงเหยียนสังหารข้าศึกมีความชอบ ได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท”


 


 


ประโยคต่อจากนี้ เขาไม่กล้าอ่าน เว่ยหยวนย่นคิ้ว ชำเลืองขึ้นมองเขาปราดหนึ่ง มั่วหลีพยักหน้า แล้วอ่านต่ออย่างตะกุกตะกัก


 


 


“มู่หรงเหยียนพำนักอยู่ที่ตำหนักบนเขาแห่งหนึ่ง ในที่แห่งนั้น…มีสตรีนางหนึ่งถูกซ่อนเอาไว้


 


 


“ราชวงศ์เหนือต่างลือกันให้ทั่ว ว่านั้นคือคนที่…เขาหมายตา”


 


 


มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเว่ยหยวนกำหมัดแน่น แต่ใบหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ออกมา


 


 


“มู่หรงเหยียนส่งทหารชั้นดีหนึ่งพันนายเฝ้าอารักขา ถึงตอนนี้ยังคงมิอาจได้ข่าวคราวรายละเอียดแม้แต่น้อย”


 


 


มั่วหลีพับจดหมายแล้วชูขึ้นเหนือหัวส่งให้ เว่ยหยวนแค่นเสียงออกจมูกหนึ่งที ริมฝีปากบางเม้มแน่น เขายกมือขึ้นหยิบจดหมายนั้นขึ้นแล้วกวาดสายตาดูปราดหนึ่งอย่างใจเย็น ครั้นแล้วก็ฉีกจดหมายนั้นเป็นเสี่ยงๆ


 


 


“ท่านอ๋อง จดหมายนี้ต้องเก็บเข้าเล่มนะพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“มีกฎเกณฑ์ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!”


 


 


เว่ยหยวนตอบกลับอย่างเยือกเย็น มั่วหลีสงบปากลงอย่างว่าง่าย ท่านเป็นคนตั้งกฎเองนี่ แล้วไย…


 


 


“แม้แต่คำล่ำลือ คำพูดไร้สาระเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ยังบันทึกลงบนจดหมายลับ คนที่หน้าด่าน ไร้ความสามารถสิ้นดี ไม่ได้ไปสืบหารายละเอียดให้ถ่องแท้ กลับเอาคำพูดเหลวไหลเหล่านี้มาเขียน”


 


 


เว่ยหยวนขมวดคิ้วแน่น การพูดจาเสียความระวังและกระชับไม่เหมือนดั่งที่ผ่านมา มั่วหลีโค้งคำนับแล้วพยักหน้า เว่ยหยวนแค่นเสียงออกจมูกหนึ่งทีแล้วสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป


 


 


“คำพูดเหลวไหลไร้สาระ! เหลวไหลทั้งสิ้น!”


 


 


เว่ยหยวนโกรธจัด จนผลักโต๊ะเอกสารราชการล้มคว่ำกับพื้น ประตูไม้เปิดออก แสงสว่างแถบหนึ่งส่องลอดเข้ามาในห้องหนังสืออันมืดสลัว


 


 


เว่ยหยวนมุ่นหัวคิ้ว ชำเลืองมองเขาปราดหนึ่งแล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “เปลี่ยนประตูซะ!! เสียงดังเช่นนี้ รบกวนข้าจัดการงานราชการ”


 


 


มั่วหลีสองตาเบิกโพลง เมื่อครู่นี้ไม่ได้เกิดเสียงดังอันใดแม้แต่น้อย


 


 


เขาอ้าปากกำลังจะเอ่ยคำ ท้ายที่สุดก็หุบปากลงสงบคำอย่างว่าง่าย เขาแอบกลอกตาเย้ย พูดไม่ได้ หากพูดไป เกรงว่าแม้แต่เขาก็ต้องถูกเปลี่ยนไปด้วย


 


 


“เจ้าสิบหก ออกมา!”


 


 


คนผู้หนึ่งในเงามืดเดินออกมาคุกเข่ากับพื้น มั่วหลีเดินเข้าไปเก็บเศษกระดาษขึ้นทีละชิ้น เว่ยหยวนนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วยื่นมือไปขัดหยกประดับบนเอว คลายโทสะลงเล็กน้อย


 


 


คนที่หมายตาอะไรกัน ฮึ ต่อให้เจ้าหนิงเฝ่ยเป็นคางคกคิดอยากกินเนื้อหงส์ ก็ต้องข้ามเขาไปก่อน ยิ่งกว่านั้น หงส์เองก็ไม่ยินยอมหรอก


 


 


หยกประดับผิวเนียนลื่น เว่ยหยวนสีมือไปมาบนลวดลายของพื้นผิว แล้วออกคำสั่งเสียงทุ้ม “เฝ้าจับตามองหลิงอ๋องไว้ แล้วจับตามองจวนสกุลฉู่ไปพร้อมกัน”


 


 


“ไปหาห้องหนังสือนายพลฉู่ เรื่องมันสมคบคิดกับข้าศึกล้วนแต่เป็นที่รู้กันถ้วนหน้า เจ้าแค่ค้นหาหนังสือที่มันรับคำสั่งหลิงอ๋องมาก็พอ”


 


 


เจ้าสิบหกพยักหน้ารับพลางเดินสองสามก้าวไปยังประตู เขาเปิดประตูไม้ออก ลอดผ่านช่องที่แง้มออกไป แล้วหายไปท่ามกลางเงามืดในเพียงชั่วพริบตา


 


 


มั่วหลีเก็บหนังสือราชการขึ้น แล้วจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ เว่ยหยวนจ้องไปยังข้าวของที่กองอยู่นานก็หลับตาลงเพื่อพักสายตา ผ่านไปชั่วครู่ มั่วหลีเข้าใจว่าเขาคงพักหลับไปแล้ว ในขณะที่กำลังผินกายเตรียมจากไปก็ได้ยินเสียงเขาอ้าปากเอ่ยขึ้น


 


 


“ปลูกต้นความ…ต้นดอกทานตะวัน ปลูกให้ทั่วเรือนพระชายา”


 


 


มั่วหลีนิ่งอึ้ง ครั้นแล้วสีหน้าก็กลับมาสงบนิ่ง เขาตอบเสียงเบาว่า “แต่ตอนนี้จะเข้าช่วงเหมันต์ ไม่เหมาะกับการเติบโตของดอกทานตะวันนะพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้ปลูก…”


 


 


มั่วหลีเห็นสีหน้าเว่ยหยวนดูบึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ จึงตัดบทพูดที่ยังไม่จบของตนทิ้ง แล้วโค้งคำนับพลางกล่าว “พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เสียงฝีเท้าดังไกลออกไป เว่ยหยวนลืมตาทั้งคู่ขึ้นช้าๆ ในห้องเงียบวังเวง ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความระทมเศร้าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง


 


 


ใกล้ฤดูหนาวแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้ายังอยู่ดีหรือไม่ คงเศร้าโศกอยู่สินะ คนที่เจ้าตามหาด้วยความยากลำบาก ท้ายที่สุดกลับเป็นรัชทายาทของฝ่ายศัตรู


 


 


“ฮึ ไม่ลำบากบ้างเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าดีต่อเจ้า…แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ข้าก็ตัดใจให้เจ้าต้องทนลำบากไม่ได้”


 


 


ทันใดนั้น เสียงดังกรอบแกรบเสียงหนึ่งดังแว่วเข้ามา เว่ยหยวนมุ่นหัวคิ้ว เหลียวตามไปมองก็เห็นเจ้าดำกำลังเลื้อยมาตามทาง


 


 


“เจ้าขยะไร้ประโยชน์ ปกตินางกอดเจ้าจูบเจ้า สุดท้ายก็ทิ้งเจ้าไปราวกับรองเท้าที่เก่าขาด ข้าเก็บเจ้าไว้มีประโยชน์อันใด แม้คนเพียงคนเดียวเจ้ายังรั้งเอาไว้ไม่ได้” เว่ยหยวนพล่ามตำหนิ สีหน้าคลายลงเล็กน้อย


 


 


ทันทีที่พูดจบ เขาก็พบว่าตนเสียกิริยา จึงรู้สึกโมโหอยู่ในใจ เขาทั้งโกรธทั้งละอาย ครั้นแล้วก็ยกมือขึ้นพลิกหนังสือราชการ




ตอนที่ 271 แผนแตก


 


 


“นี่มันอะไรกัน! เจ้าอธิบายให้เราฟังเสียดีๆ!”


 


 


ฮ่องเต้ทรงพิโรธ ปาฎีกาลงพื้นอย่างแรง


 


 


จดหมายฉบับหนึ่งที่สอดแนบอยู่ในฎีการ่วงออกมา เว่ยหลิงคุกเข่าลงกับพื้น กระเถิบร่างเข้าไป มือทั้งคู่ของเขาสั่นเทา เขาเปิดจดหมายออก ครั้นแล้วสีหน้าก็ซีดเผือดขึ้นมา


 


 


ให้ตายเถอะ ส่งองรักษ์ลับไปทำลายหลักฐานให้หมดแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมีหลงเหลืออยู่ เว่ยหลิงพับจดหมายในมือ แล้วโค้งคำนับพร้อมเอ่ยขึ้น “เสด็จพ่อ นี่เป็นการใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฮ่องเต้ทรงแค่นเสียงออกพระนาสิกหนึ่งที แล้วสะบัดพระหัตถ์ ผู้เฒ่าในชุดขุนนางหนวดขาวดอกเลา เดินเข้ามาช้าๆ แล้วคุกเข่าลงกับพื้น


 


 


“ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถ กระหม่อมกับนายพลหนิงเป็นสหายรักกัน”


 


 


“นับแต่เขาทรยศแผ่นดิน กระหม่อมก็ตัดสัมพันธ์ด้วย วันก่อน คนในสกุลพวกเขามาพบกระหม่อม แจ้งว่าเขาหาได้ทรยศแผ่นดินด้วยเต็มใจไม่ แต่มีความลำบากใจที่ไม่อาจพูดออกมาได้”


 


 


“กระหม่อมขอบังอาจ ถวายหนังสือฉบับนี้ หนึ่งด้วย เพราะคำขอของพี่สะใภ้ใหญ่ ที่รู้จักรักใคร่กันมานาน สองเพื่อบ้านเมืองและแผ่นดิน ให้ราชวงศ์เรารุ่งโรจน์เกรียงไกรไปหลายร้อยปี”


 


 


“หุบปาก!” เว่ยหลิงตะคอกด้วยความโกรธ “ช่างกล้ามาใส่ความข้า มีโทษประการใดรู้หรือไม่”


 


 


ทันทีที่จบความ เขาก็รีบคุกเข่าลงกับพื้น แล้วโขกหัวลงกับพื้นติดกันจนเกิดเสียงดังสามครั้ง ในท้องพระโรงอันใหญ่โตโอ่อ่า เสียงดังก้องกังวาน


 


 


“เสด็จพ่อขอทรงโปรดให้ลูกเป็นผู้ตัดสินด้วย เรื่องนี้คือการให้ร้ายพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฮ่องเต้ทรงกวาดพระเนตรมองคนทั้งสองปราดหนึ่ง แล้วทรงประทับกลับพระบัลลังก์อย่างอ่อนพระทัย เรื่องนี้ หลิงเอ๋อร์คงเกี่ยวข้องด้วยอย่างไม่มีทางหลุดพ้น สำหรับเจ้าเฒ่าผู้นี้ ช่างกล้าฟ้องร้อง เบื้องหลังคงมีคนคอยบงการอยู่แน่นอน ไม่ต้องทรงคิดให้มากก็รู้ได้ว่าเป็นเจ้าคนเลวผู้นั้น


 


 


นอกท้องพระโรง จู่ๆ ก็มีเสียงดันผลักแว่วเข้ามา


 


 


“ข้ามีเรื่องกราบทูลฮ่องเต้”


 


 


“พระสนมกุ้ยเฟย พระองค์ทรงเข้าไปไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทตอนนี้ทรงกำลังว่าราชการกับเหล่าขุนนางอยู่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ชั่วอึดใจเดียว พระสนมกุ้ยเฟยผู้งามสง่าชดช้อยหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมแป้งชาด กำลังเดินนวยนาฏเข้ามา นางคุกเข่าลงกับพื้น พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ไม่ละทิ้งความเย้ายวน


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีความผิด มิบังควรถือวิสาสะบุกเข้ามากลางท้องพระโรง”


 


 


“ลุกขึ้นเถิด”


 


 


ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรแผ่นป้ายท้องพระโรงที่แขวนอยู่สูงเหนือพระเศียร ครั้นแล้วก็ทรงหันมาทอดพระเนตรนางปราดหนึ่ง


 


 


“เจ้าก็แค่รักลูกจากใจเท่านั้น”


 


 


มุมปากพระสนมกุ้ยเฟยโค้งขึ้นเล็กน้อย นางเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มอันงามชดช้อนพร้อมด้วยความสง่าภูมิฐานทีหนึ่ง ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรนิ่ง วินาทีถัดมาก็ขยับพระวรกาย ปรับท่าประทับนั่ง


 


 


“หม่อมฉันได้ยินว่า มีคนใส่ความหลิงเอ๋อร์ ฝ่าบาท นิสัยใจคอหลิงเอ๋อร์ พระองค์ทรงแจ้งที่สุด”


 


 


ฮ่องเต้ทรงพยักพระพักตร์ ครั้นแล้วทรงอ้าพระโอษฐ์หมายจะตรัสถ้อยคำ ก็ทรงเห็นหัวหน้าขันทีกำลังวิ่งเข้ามา


 


 


แส้บนมือเขาพริ้วไหวแม้จะไม่มีลม มือข้างหนึ่งกุมม้วนกระดาษม้วนหนึ่งแน่น มืออีกข้างกดลงไปบนหมวกบนศีรษะ เขาคุกเข่าลงกับพื้น หายใจหอบเพียงชั่วครู่ แล้วชูม้วนกระดาษขึ้นถวาย


 


 


“ฝ่าบาท ตอนนี้ในเมืองหลวงเกิดเรื่องวุ่นวาย ท่ามกลางผู้คนปรากฏชายชุดขาว อ้างว่าในมือมี…หลักฐานเอาผิดหลิงอ๋อง คนผู้นั้นถูกจับได้แล้ว หลักฐานอยู่ที่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


รอยยิ้มมุมปากพระสนมกุ้ยเฟยพลันเหือดไป ฮ่องเต้ทรงเม้มพระโอษฐ์ แล้วยกพระหัตถ์ไปรับม้วนกระดาษนั้น


 


 


“ฝ่าบาท ก็แค่ของเล่นไร้สาระของพวกชาวบ้านไร้ความคิดเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ…”


 


 


ม้วนกระดาษถูกกางออก ด้านบนเขียนไว้ว่าบันทึกค่าเสบียงทหาร ด้านล่างมีรายการร้านค้าฉบับหนึ่งติดอยู่ เมื่อเทียบทั้งสองด้วยกัน เสบียงทหารถูกยักยอกไปเสียตั้งแปดหมื่นตำลึง


 


 


เมื่อกางออกอีกฉบับ รายงานลับฉบับหนึ่งถูกเปิดออก บนนั้นเขียนว่า ‘นายพลฉู่ เมืองหลวงรู้ข่าวเรื่องหยวนอีก่อกบฏแล้ว รีบจัดการหนิงจื้อหย่วนโดยเร็วที่สุด’ ด้านล่างรายงานคือตราประทับส่วนตัว


 


 


ผ่านไปครู่ใหญ่ ฮ่องเต้ก็ทรงประทับยืน


 


 


“คุมตัวหลิงอ๋องไปขังยังตำหนักชิงอัน ให้สำนึกผิดสามเดือน ส่งคนไปล้อมตำหนักหลิงอ๋อง หาดูว่าอะไรน่าสงสัย”


 


 


“ฝ่าบาท! หลิงเอ๋อร์บริสุทธิ์นะเพคะ”


 


 


ฮ่องเต้หันพระวรกาย ฉลองพระองค์สีเหลืองทองโฉบผ่านไป เห็นลายมังกรพ่นเมฆอยู่บนนั้น


 


 


เว่ยหลิงลุกขึ้นยืน เขาคว้าสาบเสื้อขุนนางเฒ่าผู้นั้นแล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “เจ้าเฒ่า มันให้สิ่งใดกับเจ้า”


 


 


ขุนนางเฒ่าหวาดกลัว ตะโกนร้องไม่ขาดปากว่า “ช่วยด้วย! หลิงอ๋องลงมือกับข้า!”


 


 


พระสนมกุ้ยเฟยขมวดคิ้ว นางเดินสองสามก้าวเข้าไปด้านหน้าเว่ยหลิงแล้วฟาดฝ่ามือลงกลางหน้าเขาอย่างแรงหนึ่งฉาด


 


 


“เจ้าคนไร้ประโยชน์ นี่เจ้าคิดทำอะไรอยู่กันแน่”


 


 


เว่ยหลิงคลายมือทั้งคู่ออก พยายามสะกดตนให้นิ่งสงบ ไม่เป็นอะไร เขาได้ทำลายสิ่งของพวกนั้นไปจนหมด หาได้มีใครพบไม่


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 272 แพร่ข่าวลือ


 


 


เช้าตรู่วันเหมายัน[1] ต้นไม้ใบหญ้าสาดย้อมสีสันแห่งฤดูใบไม้ร่วง น้ำค้างแข็งสีขาวแข็งตัวจับเป็นจุด ดอกกุ้ยฮวากลางเมืองหลวงต่างร่วงโรย เหลือเพียงกิ่งแห้งสีเหลือง


 


 


ช่วงเวลายามเช้า นักเดินทางผู้หนึ่งถือชะลอมใส่ไข่ไก่สองใบ กำลังเดินอย่างระมัดระวังไปยังประตูหน้าตำหนักหลิงอ๋อง ไม่มีใครอื่น ไข่ไก่เศษผักต่างกระจัดกระจายไปทั่วพื้น ยามเดินจึงต้องระวังให้มาก


 


 


“แปลกจัง ตำหนักหลิงอ๋องแห่งนี้ ทำมาถึงเป็นสภาพนี้ไปได้”


 


 


เขาพูดพึมพำหนึ่งที สาวใหญ่เดินขากะเผลกนางหนึ่งทำสีหน้าเข้าใจ


 


 


“ไม่ใช่ชาวเมืองหลวงสินะเจ้า”


 


 


“ใช่ๆๆ ผู้น้อยมาเมืองหลวงเพื่อเยี่ยมญาติ”


 


 


สาวใหญ่ได้ยินแววตาทั้งคู่เกิดประกาย แล้วรีบยื่นมือไปยื้อเขาไว้ นางพูดขึ้นเสียงเบา “เจ้าไม่รู้สินะ”


 


 


คนเดินทางป้องชะลอมไข่ไก่บ้านทั้งสองไว้ แล้วฟังอย่างตั้งใจ สาวใหญ่เลิกคิ้วสูง แล้วกดเสียงต่ำพูดราวกับกำลังพูดเรื่องราวใหญ่โตในราชสำนัก “หลิงอ๋องทรยศแผ่นดิน ต้องโทษตัดคอประหาร!”


 


 


ยังไม่ทันครบความ นางก็ใช้มือข้างหนึ่งขึ้นสีคอทำท่าทางเปรียบเทียบ


 


 


“นี่มัน?” คนเดินทางสีหน้าประหลาดใจ “หลิงอ๋องเป็นพระราชโอรสมิใช่หรือ ไยจึงต้องทรยศต่อแผ่นดิน”


 


 


“เบาเสียงหน่อยสิ อย่าให้ใครได้ยินเชียว สองสามวันก่อน มีจอมยุทธ์ชุดขาวถือหลักฐานเรื่องเขาขายชาติออกมา! ในจดหมายนั้น เขาสั่งให้คนสังหารแม่ทัพหนิง! แม่ทัพหนิงเลยนะ เจ้ารู้ไหม”


 


 


“รู้ๆ ขุนพลใหญ่อันดับหนึ่งของบ้านเมืองเรา สู้รบตัวตายกลางสมรภูมิ สละชีพเพื่อแผ่นดิน”


 


 


“ใช่นะสิ” ใบหน้าสาวใหญ่เริ่มแดงขึ้นระเรื่อ ครั้นแล้วก็ทอดถอนใจ “ในวันเดียวกันที่จอมยุทธ์ชุดขาวปรากฏตัว คืนนั้นก็มีเหล่าทหารมาค้นตำหนักอ๋อง จนถึงตอนนี้ หลิงอ๋องผู้นั้นก็ยังไม่กลับมาเลย”


 


 


“ช่างน่าเสียดายท่านแม่ทัพหนิงนัก”


 


 


สาวใหญ่พูดเสริมอีกคำ แล้วถอนหายใจยาวออกมา นางหันกายเดินจากไปอย่างคล่องแคล่ว นักเดินทางหน้านิ่ว หันกายหมายจะสอบถาม ก็เหยียบไปบนผักเน่าเข้า จนลื่นล้มกองกับพื้น


 


 


ไข่ไก่สดใหม่ที่เปรอะไปด้วยมูลไก่ แตกละเอียดในชะลอม นักเดินทางโอดครวญขึ้นมาหนึ่งครั้ง แล้วหอบชะลอมที่ใส่เปลือกไข่และเศษไข่ขึ้นมา


 


 


ในจังหวะเดียวกันนั้น รถม้าคันหนึ่งก็ขับเข้ามาช้าๆ เว่ยหยวนแง้มม่านบนรถม้าออก แล้วทอดสายตาออกไปปราดหนึ่ง ประตูไม้บานใหญ่สีแดงชาด เลอะเป็นคราบด้วยเศษสิ่งสกปรก


 


 


มั่วหลีนั่งอยู่ด้านข้างกำลังชูหนังสือขึ้นหมายจะมอบให้ เขาพูดเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง การลงมือครั้งนี้ของท่านจะบุ่มบ่ามไปหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เว่ยหยวนส่ายหน้าเบาๆ ปล่อยม่านลง แล้วพูดตอบ “ข้าย่อมรู้อะไรควรมิควร”


 


 


ครั้งนี้ เผยไต๋ออกมาไม่น้อยจริงๆ แต่คนผู้นั้น ตอนนี้จะมีกำลังอะไรมาเล่นงานเขาได้อีกเล่า คาดว่าเพียงแค่เรื่องบุตรชายคนเก่งของตนขายชาติ ก็คงเหน็ดเหนื่อยจนสิ้นแรงทั้งกายใจไปแล้ว


 


 


ไม่เป็นอะไร เขาไม่ได้ชอบตนมาแต่แรกแล้ว คราวนี้ได้ดำเนินการเรื่องราวอย่างลับๆ แล้ว แม้ว่าจะมีการส่งหลักฐานออกไปอย่างเปิดเผยก็เถอะ เช่นนั้นแล้วจะอย่างไรต่อเล่า


 


 


แม้ไม่ได้รับการสืบทอดตามอย่างราชประเพณี เขาก็ไม่ได้สนใจ จะแย่งชิงหรือปิดล้อมวัง ล้วนแต่ทำได้ เว่ยหยวนเลิกคิ้ว รอยยิ้มมุมปากดูสุขุมเยือกเย็น มั่วหลีสัมผัสได้ถึงความยะเยือกอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมาก็หดคอลงโดยไม่รู้ตัว


 


 


“ไม่พอ”


 


 


มั่วหลีชำเลืองขึ้น มองไปยังท่านอ๋องอย่างแปลกใจ


 


 


“อะไรไม่พอหรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ได้ยินพระสนมกุ้ยเฟย เมื่อครั้งยังเยาว์เคยต้องไปยังราชวงศ์เหนือ จากไปอยู่นาน ด้วยเหตุผลบางอย่าง เอาเรื่องนี้ไปกระจายบอกต่อให้ทั่วทุกถนนซอกซอย คิดว่าต้องเกิดเรื่องสนุกขึ้นแน่”


 


 


กลางตำหนักอ๋อง ค้นเจอตราประทับอันหนึ่ง ทำการตรวจสอบแน่ชัดว่าไม่ผิดอัน เขาได้ส่งเจ้าสิบหก ออกไปสร้างจดหมายเท็จแจ้งข่าวไปยังข้าศึกสองสามฉบับ ล้วนแต่ถูกตรวจพบทั้งหมด แต่แม้เป็นเช่นนี้ คนผู้นั้นยังคงเลือกที่จะปกป้องเว่ยหลิง


 


 


กักบริเวณสามเดือน ตัดเงินเดือนสามปี เว่ยหยวนหัวเราะเบาๆ การลงโทษเช่นนี้ เหมือนกับการเกาคัน โทษทรยศบ้านเมือง ตามกฎหมายต้องโดนบั่นเศียร ประหารเก้าชั่วโคตรต่างหาก


 


 


ความจริงเขาผู้นั้นรู้แจ้งแก่ใจ เขาไม่ต้องการให้ตนสืบทอดราชบัลลังก์ จึงได้ปล่อยเว่ยหลิงไป เว่ยหยวนเลิกคิ้ว ดีเหมือนกัน เช่นนั้นก็ให้เขาแบกรับฉายางดงามว่า ‘คนสารเลว’ ไป


 


 


เขาอยากรู้เสียจริง ว่าในสายตาคนผู้นั้น ‘สารเลว’ หรือ ‘ชั่วช้า’ คำไหนจะดีกว่ากัน


 


 


 


 


——


 


 


[1] วันเหมายัน วันที่กลางคืนยาวที่สุดในรอบปี




ตอนที่ 273 บังคับ ป้อนข้าวต้ม


 


 


เช้าตรู่น้ำค้างจับตัวแข็ง แม้เตาไฟจุดอยู่ในห้องแต่บรรยากาศกลับดูเย็นยะเยือก หนิงอวี้ใบหน้าซีดเผือด หดตัวมุดอยู่ในมุมไม่พูดไม่จา


 


 


บนผืนพรมหนังสัตว์อันหรูหราเกาะหนึบด้วยคราบข้าวต้ม ถ้วยชามสองสามใบตกกระจัดกระจาย มู่หรงเหยียนสะบัดมือลุกขึ้นยืน ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด


 


 


สาวใช้ก้าวสั้นเดินเข้ามา แล้วยื่นน้ำข้าวต้มให้ หนิงอวี้ขบฟันแน่นไม่ยอมอ้าปาก ริมฝีปากซีดขาวเป็นลายพร้อยด้วยรอยฟัน มู่หรงเหยียนอยู่ด้านข้างนิ่งเงียบไม่พูดสิ่งใด จ้องนิ่งไปยังหนิงอวี้สีหน้าเรียบเฉย


 


 


หนิงอวี้รู้สึกถึงสายตาของเขา ก็หัวเราะเย้ยหนึ่งทีแล้วยกมือปัดข้าวต้มคว่ำ ถ้วยสีเขียวมรกตกลิ้งไปบนพื้น น้ำข้าวต้มสาดกระจายไปทั้งพื้น


 


 


มู่หรงเหยียนสะบัดแขนเสื้อ แล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “ไปเอามาอีกถ้วย” หนิงอวี้จ้องตรงไปยังดวงตาทั้งคู่ของเขา แล้วแค่นเสียงหัวเราะออกมาเสียงหนึ่งแล้วหันกายกลับ


 


 


เพียงครู่เดียว สาวใช้ก็ยกข้าวต้มเข้ามา มู่หรงเหยียนยกมือขึ้นรับข้าวต้ม แล้วโบกมือให้ผู้คนออกไป ห้องที่แน่นแออัดในตอนแรกกลับโล่งขึ้นมาในทันใด หนิงอวี้เห็นความโมโหที่ซ่อนอยู่ในแววตาเขาอย่างชัดเจน จึงถอยกลับมุมเตียงอย่างไม่รู้ตัว


 


 


“เจ้าจะกินเอง หรือให้ข้าป้อน”


 


 


หนิงอวี้ขบริมฝีปาก นางส่ายหน้าช้าๆ


 


 


มู่หรงเหยียนพยักหน้า แล้วหันตัวไปวางน้ำข้าวต้มลง หนิงอวี้รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย กลับเห็นเขาหันกายกลับในวินาทีถัดมา บรรยากาศรอบตัวแตกต่างไปจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง


 


 


เขาประชิดมาใกล้ หนิงอวี้ผลักเขาโดยสัญชาตญาณ แล้วหดตัวซุกเข้าในมุมเตียง ยกมือขึ้นหมายจะดึงม่านหน้าต่าง แต่นางท้องหิวมาทั้งวันแล้ว ร่างกายบาดเจ็บทั้งยังมีครรภ์ จิตใจฟุ้งซ่านจนไม่ได้หลับมาตลอดคืน มือทั้งคู่ของนางจึงไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่นิด


 


 


มู่หรงเหยียนเดินเข้าไป เขายื่นมือไปคว้ามือทั้งคู่ของหนิงอวี้อย่างใจเย็น หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว ความหวาดกลัวและเดือดดาลฉายผ่านแววตาปลาบหนึ่ง นางยกเท้าขึ้นหมายจะถีบเขา


 


 


มู่หรงเหยียนหลบลูกถีบที่ไร้เรี่ยวแรงและเชื่องช้านั้น มุมปากยกยิ้มน้อยๆ กลางแววตาเหมือนฉายแววบางอย่างขึ้นมา เขายื่นมือไปตรึงแขนทั้งคู่ของหนิงอวี้ แล้วชูขึ้นเหนือศีรษะนาง มืออีกข้างของเขาดึงทึ้งม่านหน้าต่างนั้นลงมา


 


 


หนิงอวี้โกรธจัด ก้มหน้าลงกัดไหล่เขาไว้ มู่หรงเหยียนชะงักนิ่ง ชั่วอึดใจเดียวก็รวบมัดมือทั้งคู่ของนางเอาไว้ เมื่อเสร็จสิ้น ลมหายใจเขายังคงสงบนิ่ง สีหน้าเหมือนกับปกติ


 


 


เขาลุกขึ้นยืนแล้วหันกายกลับไปยกข้าวต้ม เขาตักขึ้นมาหนึ่งช้อนแล้วยื่นไปจรดริมฝีปากหนิงอวี้ หนิงอวี้หางตาแดงระเรื่อ แต่ไม่ยอมหลั่งน้ำตา นางได้แต่ขบริมฝีปาก จ้องถมึงทึงไปยังเขาอย่างดุดัน


 


 


หางตาหนิงอวี้แดงระเรื่อ แววตาเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เหมือนกับสัตว์ตัวน้อยที่ตกลงกลางกับดักนายพรานโดยไม่ระวัง ฉุนเฉียวทั้งไร้เดียงสา ไม่ได้รู้ถึงความอำมหิตของนายพรานแม้แต่น้อย


 


 


มู่หรงเหยียนเห็นสีหน้ารังเกียจของนางอย่างชัดเจนก็ยกมุมปากเย้ยหยันแล้วโยนช้อนลงกับพื้น เขาใช้มือข้างหนึ่งยกถ้วย มืออีกข้างบีบกรามหนิงอวี้เอาไว้


 


 


หนิงอวี้ถูกบังคับให้อ้าปาก น้ำข้าวต้มถ้วยนั้นถูกกรอกเข้ามา นางสำลักจนอดไม่ได้ที่จะย่นคิ้ว หลังจากน้ำข้าวต้มที่ถูกบังคับให้ดื่มหมดถ้วยแล้ว มู่หรงเหยียนก็คลายมือออก


 


 


หนิงอวี้ก้มหน้า กดมือไปบนหน้าอกแล้วสำลักไอ มู่หรงเหยียนไม่กล่าวสิ่งใด เขาวางถ้วยลงแล้วยื่นมือไปตบหลังนางเบาๆ ทันใดนั้น มือของเขาก็ถูกหนิงอวี้ปัดออก


 


 


“หากเจ้าไม่กินอาหาร ข้าก็คงได้แต่ใช้วิธีนี้ป้อนเจ้า”


 


 


หนิงอวี้อาเจียนน้ำข้าวต้มออกมาเล็กน้อย หางตาชื้นไปด้วยน้ำตา มู่หรงเหยียนเห็นนางน้ำตารื้น ก็ยกมือขึ้นมาหมายจะซับนางตาให้นางโดยไม่รู้ตัว มือที่ยื่นไปกลางอากาศกลับถูกหนิงอวี้กัดเข้าอย่างแรง


 


 


เนื้อปริแตกในปาก เลือดไหลออกมาไม่หยุด หนิงอวี้อาศัยความโกรธกัดลงไป ไม่เหลือความคิดผูกพันแม้แต่น้อย


 


 


มู่หรงเหยียนเห็นสภาพจนตรอกของนางเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ครู่หนึ่งก็หัวเราะออกมาเบาๆ อย่างอดมิได้ เป็นเช่นนี้ซ้ำๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยื่นมือออกไปแล้วลูบไปบนเรือนผมนาง ราวกับนั่นคือครั้งแรก


 


 


หนิงอวี้รู้สึกถึงความอุ่นบนศีรษะก็คลายฟันออก นางปิดปากลง รสชาติเลือดเหมือนสนิมเหล็กกลบไปทั่วปาก ผสมเข้ากับรสหวานจางๆ ของน้ำข้าวต้มเมื่อครู่ รู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างยิ่ง


 


 


นางทำปากเป็นคำว่า “ไสหัวไป” ครั้นแล้วก็หลับตาลงอย่างเบื่อหน่าย เอนกายลงพิงกับผนัง ช่วยไม่ได้ คงได้แต่คิดหาวิธีหนี มู่หรงเหยียนเป็นบ้าไปแล้ว…อยู่ต่อไป นางเองก็คงบ้าไปด้วย


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 274 ข้าจะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง


 


 


ดึกดื่นค่ำคืน หนิงอวี้ลืมตาทั้งคู่ขึ้นช้าๆ รู้สึกตาสว่าง นางบิดเหล็กแผ่นเหล็กบนมือนางแน่น มันคือเหล็กที่นางดึงออกมาจากสลักกลอนของลิ้นชัก


 


 


บนหัวเตียงมีตะเกียงอยู่ดวงหนึ่งส่องแสงสลัวอ่อนโยนออกมา หนิงอวี้เหลือบตาขึ้นมอง แววตาเยือกเย็นอย่างมาก มู่หรงเหยียนสั่งคนให้ทำตะเกียงเทียนแสงไฟดวงนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ บอกว่านางกลัวความมืด


 


 


หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว ก็เพียงแค่เมื่อนางยังเล็กในตอนที่ตื่นขึ้นมากลางดึกตกใจกับความมืดจนร้องไห้ วิ่งไปหาเขาก็เท่านั้น ในเมื่อไม่ใช่พี่ชายแล้ว จะพูดถึงเรื่องอดีตไปไย…


 


 


ทว่าตะเกียงดวงนี้สะดวกต่อนางเช่นกัน หนิงอวี้ยื่นมือไป แผ่นเหล็กโผล่ออกนอกผ้าห่มนวม สะท้อนแสงเทียนเป็นแสงเงินปลาบหนึ่ง


 


 


นับแต่นางคิดหลบหนี มู่หรงเหยียนก็ห้ามนางก้าวออกนอกประตูแม้เพียงครึ่งก้าว แต่หากนางรีรอต่อไป ลูกในครรภ์ก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้เดินเหินไม่สะดวก


 


 


หนิงอวี้ลุกขึ้นนั่ง ใช้แผ่นเหล็กกรีดผ้าม่านหน้าต่างขาดทีละน้อย แล้วเอาผ้าม่านนั้นมาตัดเป็นริ้วยาวทีละแถบ แผ่นเหล็กอย่างไรก็มิใช่มีด จึงไม่นับว่าคมนัก เพียงครู่เดียว มือทั้งคู่ของหนิงอวี้ก็เริ่มล้า นิ้วถูกบาดเป็นแผล คราบเลือดเลอะเป็นรอย


 


 


เมื่อฟ้าเริ่มสาง หนิงอวี้ก็เอาริ้วผ้ายาวนั้นผูกเป็นเงื่อนตายติดกันทีละแถบ นางหันไปกวาดสายตามองยังประตูห้องปราดหนึ่ง แล้วค่อยๆ ผลักหน้าต่างเปิด


 


 


ลมเย็นยามเช้าพัดปะทะเข้ามาโดยพลัน หนิงอวี้ขมวดคิ้วขบฟัน ยื่นมือไปงัดตะปูที่ตอกติดกับหน้าต่างไม้เหล่านั้น นิ้วติดแน่นกับตะปูเหล็ก เลือดไหลหยดเลอะแผ่นไม้ ไหลเป็นทางยาวตามลายฉลุดูน่ากลัว


 


 


เมื่อมู่หรงเหยียนผลักประตูเข้ามา ก็เห็นหนิงอวี้ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง หนิงอวี้ได้ยินเสียงผลักประตูจึงเร่งลงมือให้เร็วยิ่งขึ้น นิ้วมือที่บาดเป็นแผลเพราะใช้แรงมาก เลือดไหลซึมออกมาไม่ขาด


 


 


มู่หรงเหยียนเดินเข้าไปก็เห็นแผ่นไม้สีเหลืองลายพร้อยไปด้วยรอยเลือด เขาพยายามสะกดความโกรธยกมือขึ้นรั้งหนิงอวี้ หนิงอวี้เห็นแผนการใกล้สัมฤทธิ์แล้วจึงไม่ยอมละทิ้งความตั้งใจ


 


 


นางใช้ทั้งมือและเท้า พยายามดิ้นให้หลุดจากการพันธนาการ มู่หรงเหยียนขมวดคิ้ว รวบตัวนางเข้ามากอดแน่นในอ้อมอกอย่างแรง หนิงอวี้ยกเท้าขึ้น ฉวยจังหวะที่เขาไม่ทันระวัง ถีบไปยังเขา มู่หรงเหยียนรู้สึกเจ็บ ทำให้เรี่ยวแรงในมืออ่อนลงเล็กน้อย


 


 


หนิงอวี้เห็นเสาสลักลายมังกรคู่หงส์นั้น จึงตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่ง่ท ในเมื่อมีชีวิตต่อก็ถูกกักขัง ไม่สู้ไปพบบิดามารดาเร็วหน่อยจะได้ไม่เป็นภาระให้กับท่านอ๋อง


 


 


วินาทีถัดมา นางก็ถูกรั้งเอาไว้ มู่หรงเหยียนคว้าแขนนาง แล้วพูดขึ้นสีหน้าเรียบว่า “อยู่ข้างกายข้าแต่โดยดี ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี”


 


 


“ฮึ” หนิงอวี้หัวเราะออกมาด้วยความโกรธจัด “เจ้าวิปลาสแล้ว”


 


 


มู่หรงเหยียนไม่ตอบ มือข้างหนึ่งตรึงหนิงอวี้เอาไว้ อีกข้างก็หยิบแถบผ้าที่นางใช้เหลือเมื่อครู่ขึ้นมา แล้วมัดมือทั้งคู่ของนางจนแน่น ครั้นแล้วก็ผลักนางไปบนเตียง


 


 


“ไปตามหมอมา”


 


 


มู่หรงเหยียนตะโกนเสียงดัง ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก สาวใช้คุกเข่าลงกับพื้น ครั้นแล้วก็วิ่งก้าวสั้นออกไป


 


 


มือทั้งคู่ของหนิงอวี้ดิ้นกระเสือกกระสน ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกี้ยว


 


 


“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ข้าอยากตายยังไม่ได้หรือ! เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาห้ามข้า มู่หรงเหยียน!”


 


 


มู่หรงเหยียนสีหน้าเรียบเฉย ยกมือขึ้นรินน้ำชาให้ตนเองแล้วดื่มลงไปช้าๆ จากนั้นจึงพูดขึ้นด้วยเสียงอันเบา “ข้าคิดทำอะไรนั้นหรือ ข้าต้องการเจ้าอย่างไรเล่า เจ้าก็รู้ดีมิใช่หรือ”


 


 


“ทำไมกัน…”


 


 


“ข้าไม่รู้ ว่านั่นด้วยเหตุผลอันใด ข้าเพียงทำตามหัวใจเท่านั้น”


 


 


“องค์รัชทายาทเพคะ หมอมาแล้วเพคะ!”


 


 


คนทั้งสองคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว มู่หรงเหยียนพยักหน้าอย่างเฉยชาแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “มือแม่นางมีแผล เมื่อครู่โดนแผ่นเหล็กและตะปูเหล็กเข้า ท่านหมอได้โปรดสั่งยาให้ด้วย”


 


 


ผ่านไปครึ่งเค่อ มู่หรงเหยียนก็ก้มหน้าลงทาขี้ผึ้งยาลงไปทีละนิดอย่างใส่ใจ หนิงอวี้หลับตาทั้งคู่ลง ไม่ยอมเห็นฉากเช่นนี้ แต่กลับสัมผัสได้ถึงความแสบร้อนบนมือที่ถูกทาทับด้วยความเย็นทีละน้อยอย่างชัดเจน


 


 


“อย่าทำร้ายตัวเองเลย ประเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง”




ตอนที่ 275 องค์หญิงผู้เกิดมาเพื่อแต่งงาน


 


 


“ที่นี่คือที่ไหน”


 


 


หนิงอวี้ขมวดคิ้ว มือทั้งคู่ยังคงพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ แม้ว่ามือทั้งคู่จะถูกพันห่อราวกับบ๊ะจ่าง นางในชุดสีแดงสดทั้งตัวท่วงทีสง่างดงาม มือทั้งคู่กับถูกห่อเป็นบ๊ะจ่าง ถูกมัดเข้าไว้ด้วยกันอย่างดิบดี


 


 


ณ ตำหนักเก่าโทรมอันรกร้าง ในนั้นมีผีเสื้อสีเทามอซอโบยบินอยู่สองสามตัว ทันใดนั้น ผีเสื้อสีสันสดใสตัวหนึ่งก็บินขึ้น แล้วเกาะอยู่บนปลายจมูกของหนิงอวี้


 


 


หนิงอวี้ประสานสายตากับมัน แล้วค่อยๆ เลื่อนสายตาออก ผีเสื้อกางปีกกระพือแล้วบินจากไปช้าๆ มู่หรงเหยียนเห็นนางกำลังจะดิ้นหลุดออกจากผ้าฝ้ายสีขาวที่พันห่อเอาไว้ จึงยื่นมือไปดึงรัดแถบผ้าบนมือนางให้กระชับ


 


 


“ที่นี่คือตำหนักของท่านแม่เจ้า”


 


 


มู่หรงเหยียนหันกาย แล้วยื่นมือไปเด็ดดอกกุหลาบเลื้อย ดอกกุหลาบเลื้อยที่ไม่มีใครดูแลเลย จึงมีดอกน้อยแต่หนามมาก รกรุงรังอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่าเพราะด้วยดอกน้อยหนามมาก สีสันจึงดูสดใสเย้ายวนเป็นพิเศษ


 


 


หนิงอวี้นิ่งอึ้งเล็กน้อย หากเป็นเช่นนั้น…ตอนนั้นบิดาเองก็คงรู้เรื่องนี้ เป็นไปได้อย่างไรกัน มารดาเป็นเพียงสตรีทั่วไปนางหนึ่งที่หนิงเปียน จะไปเป็นเชื้อพระวงศ์สูงส่งของราชวงศ์เหนือได้อย่าไร หากนางสตรีชั้นสูงจริง ไยจึงต้องหลบหนีไปยังพรมแดนของฝ่ายข้าศึกเล่า


 


 


มู่หรงเหยียนหันกายกลับ เห็นสีหน้าหนิงอวี้ประหลาดใจก็ยิ้มบาง เมื่อสายตาสบเข้ากับปากเล็กจุ๋มจิ๋มสีแดงปลั่งของนาง ไม่รู้ด้วยเหตุใด อยู่ๆ เขากลับนึกขึ้นว่า หากนางทัดดอกกุหลาบเลื้อยนี้ ต้องงามสะคราญชวนหลงใหลแน่


 


 


“ท่านแม่เจ้าเป็นเชื้อพระวงศ์ห่างๆ ของราชวงศ์เหนือ เพราะด้วยเป็นที่ต้องตาของไทเฮาจึงได้เข้าวัง”


 


 


“นางนามว่าอะไร…”หนิงอวี้ยื่นมือไปลูบบนรั้วเก่าๆ นั้น ยื่นมือไปถู ฝุ่นนับไม่ถ้วนก็เกราะติดบนนิ้ว


 


 


“มู่หรงเซียง”


 


 


“ไยนางจึงต้องหลบหนี”


 


 


หนิงอวี้ผลักประตูไม้เสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ประตูไม้สีลอกเป็นรอยด่าง ดูจากสภาพ เห็นได้ชัดว่าที่แห่งนี้ในตอนแรกงดงามโอ่อ่าเพียงใด


 


 


“บอกว่าเป็นที่ต้องตา นั้นเพียงแค่ข้ออ้าง ตอนนั้นมีองค์ชายหลายพระองค์ แต่องค์หญิงกลับมีน้อยนัก ทว่าประเทศเล็กประเทศน้อยตามชายแดนราชวงศ์เหนือก่อจลาจล การจะส่งกำลังทหารไปกำราบสิ้นเปลืองกำลังและความคิด…”


 


 


หนิงอวี้ขมวดคิ้ว แล้วพูดต่อคำพูดเขา “ดังนั้น นางก็เลยถูกเลือก กลายเป็นเครื่องเซ่นทางการเมือง กำหนดให้เสียสละชีวิตตนอย่างนั้นหรือ!”


 


 


ข้าวของในตำหนักล้วนแต่เก่าแก่มีฝุ่นจับเขลอะไปทั่ว หลายแห่งยังมีหยากไย่เกาะ นางเดินเข้าไปในตำหนัก คิดย้อนกลับไปยังช่วงเวลาเมื่อมารดายังสาว


 


 


“นางหลบหนีออกไปในวันมงคล”


 


 


มู่หรงเหยียนกดเสียงต่ำพูดออกมา เขายังคงจำได้เลือนลางถึงความงดงามของนางเมื่อครั้งยังสาว มงกุฎหงส์บนผ้าคลุมหน้าสีทองเจิดจรัส ผิวกายขาวผ่องนุ่มนวลดั่งหิมะ เรือนผมดำขลับเป็นมันเช่นไม้มะเกลือ


 


 


หญิงสาวนางนั้นยิ้มหวานจดจ้องไปยังท้องฟ้า ริมฝีปากแดงสดดั่งเลือด เขามองนางอยู่ไกลๆ อึ้งตะลึงกับความงดงามดั่งนางสวรรค์ ที่อยู่ข้างกายนางคือกษัตริย์ชราผู้เป็นเจ้าบ่าว


 


 


หนิงอวี้พยักหน้า ดูจากเรื่องหาทางหลบหนี นางกับมารดาคล้ายกันอย่างมาก แต่คำพูดที่ออกมาจากปากมู่หรงเหยียน นางจึงยังคงรู้สึกเคลือบแคลงใจอยู่บ้าง


 


 


มู่หรงเหยียนเห็นความสงสัยหวาดระแวงจากก้นบึ้งของแววตานางอย่างชัดเจน เขาตบมือเรียกแม่เฒ่านางหนึ่งออกมา แม่เฒ่าคุกเข่ากับพื้นอย่างซวดเซ


 


 


“ถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ”


 


 


มู่หรงเหยียนพยักหน้า แม่เฒ่าจึงลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือไปชี้หนิงอวี้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่นปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา


 


 


“เจ้า…เจ้าคือ? บุตรีองค์หญิงอวิ๋นเซียงหรือ ใบหน้าดวงนั้น ช่างเหมือนกันราวกับเป็นคนเดียวกัน”


 


 


“องค์หญิงตอนนั้นโปรดชุดกระโปรงแดง แต่ไทเฮาทรงรับสั่งว่าชุดกระโปรงแดงดูประเจิดประเจ้อไป อย่างไรใส่สีครามน้ำทะเลสาปดูงามสุขุมกว่า”


 


 


แม่เฒ่าสีหน้าอ่อนโยน ท่าทางราวกับดำดิ่งสู่ความทรงจำเมื่อครั้งอดีต


 


 


หนิงอวี้มิใช่เด็กอายุสามขวบ นางถามขึ้นเสียงเบาว่า “ยังมีอะไรมายืนยันอีกหรือไม่” แม่เฒ่านึกเพียงชั่วครู่ ก็ยื่นมือออกมาปรบหนึ่งที นางเดินเข้าไปพลางบ่นพึมพำ “ในวันเกิดขององค์หญิง ได้เชิญช่างวาดมาเขียนรูปผืนหนึ่ง”


 


 


มู่หรงเหยียนมองร่างหญิงชราเดินจากไป มุมปากก็ยกยิ้มน้อยๆ แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความเศร้าระทม “เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ”


 


 


หนิงอวี้ถามกลับ สายตานางจ้องนิ่งไปยังดวงตาทั้งคู่ของเขา “ไยจึงต้องเชื่อเจ้า”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 276 ข้าก็ทุกข์ใจ เจ้าเชื่อหรือไม่


 


 


แม่เฒ่าถือม้วนภาพวาดม้วนหนึ่งออกมา นางปัดฝุ่นบนโต๊ะออกแต่ยังคงรู้สึกว่าสะอาดไม่พอ จึงใช้แขนเสื้อเช็ดหนึ่งที นางกางม้วนภาพอออกช้าๆ บนกระดาษที่กลายเป็นสีเหลืองไปบ้างนั้นคือภาพหญิงสาวถือดอกไม้


 


 


ดวงหน้างดงามดั่งภาพวาด เผยให้เห็นถึงความอ่อนเยาว์ มุมปากยกยิ้มบาง ในแววตากลับซ่อนความโศกเศร้าเอาไว้


 


 


หญิงสาวผู้นี้ นางเคยเห็นในภาพของบิดามานับครั้งไม่ถ้วน หนิงอวี้รู้สึกแสบปลายจมูกเหมือนจะร้องไห้ หญิงสาวบนภาพวาดของบิดานั้นช่างสุขุมงามสง่า ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม


 


 


แม่เฒ่าม้วนภาพเก็บอย่างระวังมือแล้วยื่นไปในมือหนิงอวี้ นางวางมือลงไปบนมือหนิงอวี้พลางพูดขึ้นว่า “บ่าวเมื่อครู่แค่เห็นก็รู้ทันที ว่าท่านคือธิดาองค์หญิงอวิ๋นเซียง”


 


 


“องค์หญิงอวิ๋นเซียงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข… นางหนีงานแต่งครั้งนั้น ถูกประกาศจับไปทั่วทุกแห่ง”


 


 


หนิงอวี้อ้าปาก ลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “นางมีความสุขดี นับแต่ไปจากราชวงศ์เหนือ ได้พบกับชายที่หมายปองที่ชายแดน และแต่งงานกับเขา”


 


 


“นางชอบดื่มสุรา ชอบร้องรำ ดื่มพันจอกก็ไม่เมา ลูกคอไพเราะเพราะพริ้ง นางชอบใส่ชุดกระโปรงแดง นิสัยออกจะใจร้อนหน่อย ได้พบกับท่านพ่อก็ดื่มสุราอ้างว่าคือวาสนา”


 


 


ใบหน้าที่ยับย่นของแม่เฒ่าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รอยย่นยิ่งดูชัดเจนยิ่งขึ้น คิ้วนางโค้งเล็กน้อย ช่างเป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา


 


 


“เช่นนั้นองค์หญิงอวิ๋นเซียงช่วงนี้ยังอยู่ดีหรือ”


 


 


น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความยินดีของหนิงอวี้ราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นกลับกลายเป็นความหดหู่ขึ้นมาฉับพลัน นางส่ายหน้าช้าๆ ลังเลใจอยู่ชั่วครู่แล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ท่านแม่จากไปนานแล้ว…คลอดยากจึงตกเลือดหนัก เหลือเพียงข้าเท่านั้น”


 


 


แม่เฒ่าทอดถอนใจออกมาหนึ่งทีอย่างเศร้าใจ ยกมือขึ้นกุมมือนางแน่น


 


 


“เด็กโชคร้าย โถ่ องค์หญิงอวิ๋นเซียงเอ๋ย ท่านอย่าเก็บไปใส่ใจเลยนะ นี่ล้วนแต่เป็นชะตากรรม”


 


 


“อืม”


 


 


หนิงอวี้พยักหน้า แต่กลับมิอาจปิดบังความโศกเศร้าในใจได้ มู่หรงเหยียนเห็นนางหน้านิ่วคิ้วขมวดก็เบะปากพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ออกไปเถอะ”


 


 


แม่เฒ่าเดิมทีมีคำพูดตั้งใจจะบอกเล่า กลับได้แต่พยักหน้ารับคำ นางตบมือหนิงอวี้ ยอบกายคำนับแล้วเดินจากไป


 


 


หนิงอวี้ลูบภาพวาดในมือหนึ่งที สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันละเอียดนุ่ม วินาทีถัดจากนั้น นางช้อนตาขึ้น สายตาไม่ได้อ่อนโยนอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นความตื่นระวัง


 


 


“เจ้าพาข้ามาที่นี้ ต้องการอะไร”


 


 


“ข้าจำได้ วันเกิดอายุเก้าขวบของเจ้าได้ขอพรว่า อยากกินขนมข้าวเหนียวทุกวัน ข้าแอบเห็นเจ้าแตะไปบนโคมไฟ แล้วเขียนไปบนนั้น ว่าเจ้าอยากพบท่านแม่”


 


 


มู่หรงเหยียนยิ้มอย่างอ่อนโยน ยกมือขึ้นหมายจะลูบเรือนผมนาง มือที่เพิ่งยกขึ้นก็ถูกหนิงอวี้เลี่ยงหลบอย่างตื่นตัว มู่หรงเหยียนยิ้มเจื่อนแล้วปล่อยมือลง


 


 


“ข้ามิอาจทำให้คนตายฟื้นคืนได้ ทำได้เพียงพาเจ้ามาที่นี่”


 


 


“แม่เฒ่าผู้นี้เมื่อวานข้าสั่งคนให้ไปตามหา สองสามวันนี้มีคนมาดูแลตำหนัก จึงไม่เป็นที่สังเกต ข้าหาได้มีความคิดอื่น แค่อยากมอบของขวัญวันเกิดให้เจ้าสักชิ้นเท่านั้น”


 


 


หนิงอวี้นิ่งอึ้งอยู่นาน ครู่หนึ่งก็เค้นคำพูดออกมาหนึ่งประโยคว่า “เจ้ามิใช่หนิงเฝ่ย ไม่ควรมอบของขวัญวันเกิดข้า”


 


 


มู่หรงเหยียนขบขำพลางส่ายหน้า ดอกกุหลาบเลื้อยที่ถือแน่นในมืออยู่นานร่วงลงสู่พื้น เขาหัวเราะอยู่นานแล้วโน้มตัวลงเก็บกุหลาบเลื้อยที่ก้านเลอะไปด้วยคราบเลือดนั้นขึ้น ยื่นไปข้างมือหนิงอวี้


 


 


“ข้าใช่ และไม่ใช่…เรื่องท่านแม่ทัพหนิง ข้าก็ทุกข์ใจ เจ้าเชื่อหรือไม่”


 


 


หนิงอวี้อ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นมือออกไป แต่กลับหยุดค้างกลางอากาศ ท้ายที่สุดก็หดมือกลับช้าๆ


 


 


มู่หรงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย มือที่กำกุหลาบเลื้อยเอาไว้แน่น ก้านดอกไม้เต็มไปด้วยเสี้ยนหนามปักซ้ำลงไปบนบาดแผลที่เลือดไหลออกมาซิบๆ บนฝ่ามือเขาอีกครั้ง


 


 


“เชื่อหรือไม่เชื่อ มาถึงตอนนี้ ไม่มีความหมายใดแต่นิด” หนิงอวี้จ้องเขาอย่างสงบ “เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว จะตามหาเหตุผลเพื่ออันใด เจ้าคือหนิงเฝ่ยก็ดี ไม่ใช่หนิงเฝ่ยก็ดี พวกเราอย่างไรก็ไม่อาจหวนกลับแล้ว มิใช่หรือ”


 


 


มู่หรงเหยียนหัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้า ในดวงตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า




ตอนที่ 277 เดินหนึ่งก้าวคิดหนึ่งก้าว


 


 


หนิงอวี้นั่งลงบนเก้าอี้โยกที่โคลงเคลงตัวหนึ่ง กวาดมองไปรอบห้องอันวังเวง แม้บิดาจะเป็นขุนพลราชวงศ์ใต้ ภรรยากลับเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์เหนือ บุตรบุญธรรมเป็นถึงรัชทายาทราชวงศ์เหนือ


 


 


โทษกบฏนั้น มิใช่การใส่ร้ายจริงๆ แต่จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังคงเฝ้าปกปักรักษาชายแดนราชวงศ์ใต้ ถึงขั้นยอมสละชีวิตเลือดเนื้อเพื่อสิ่งนี้ ทว่า ท่านอ๋องจะคิดเช่นไร


 


 


หัวใจนางจมดิ่งอย่างไร้ที่สิ้นสุด นางเองนับได้ว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์เหนือผู้หนึ่ง ราชวงศ์เหนือใต้เป็นอริต่อกัน หากวันหนึ่งท่านอ๋องรู้เรื่องนี้เข้า จะไม่ถือสาเลยจริงหรือ หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้วแล้วสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป


 


 


เดิมที มือนางก็เลอะไปด้วยเลือดของเพื่อนร่วมชาตินับไม่ถ้วน หนิงอวี้ลุกขึ้นยืนแล้วเลิกม่านลูกปัดที่ขาดรุ่งริ่งขึ้น ลูกปัดหลายเม็ดแตกร่วงกับพื้นเกิดเสียงดังกังวานใส


 


 


โครงไม้ปักผ้าหลังหนึ่ง แคร่สนมตัวหนึ่ง ด้านข้างยังมีภาพวาดอยู่ผืนหนึ่ง คือภาพเจาจวิน[1]ออกนอกด่านกำลังเหลียวมองกลับ เคยได้ยินเพียงว่ามารดาเป็นคนโผงผางรักคุณธรรม แต่กลับไม่เคยได้ยินมาก่อนว่านางจะชอบปักผ้าด้วย


 


 


บนโครงไม้ปักผ้า มีลายปักนกเป็ดแมนดารินคู่หนึ่งที่ปักค้างไว้ มีฝุ่นจับเขลอะ คิดไปแล้ว คงเพราะนางต้องทนใช้ชีวิตที่ถูกจำกัดแบบนี้มาสิบกว่าปี หลังจากหลบหนีจึงได้เลือกหนทางชีวิตที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกระมัง


 


 


ณ ดินแดนข้าศึกนี้ แตกต่างจากหนิงเปียนอันอบอุ่นเป็นมิตร ทำให้นางรู้สึกอึดอัดไม่เป็นอิสระ


 


 


หนิงอวี้ถอนหายใจยาวหนึ่งทีแล้วเดินออกประตูตำหนักช้าๆ จังหวะที่เหยียบลงธรณีประตู นางชำเลืองขึ้นมอง หญิงสาวแววตาเต็มไปด้วยความเศร้าในภาพวาดนั้นกำลังนั่งปักลายอยู่หน้าโครงปักผ้า นางกำลังก้มหน้า ใบหน้าคร่ำเคร่ง


 


 


องรักษ์ที่เฝ้าประตูใหญ่ของตำหนักเดินเข้ามา เชื้อเชิญนางขึ้นเกี้ยว หนิงอวี้นั่งอยู่ในเกี้ยว ไม่จำเป็นต้องแหวกม่านขึ้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินติดตามจำนวนนับไม่ถ้วนได้


 


 


มู่หรงเหยียน สำหรับนางแล้วไม่เคยคิดละความระวังแม้แต่น้อย ต่อให้วันนั้นนางปีนกำแพงหนีสำเร็จ เกรงว่าคงถูกตามตัวกลับมาได้อยู่ดี


 


 


หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว แต่หากไม่หนี มู่หรงเหยียนก็คงไม่ยอมปล่อยนางไป หากนางมิอาจหาทางรอดให้ตัวเองได้ เกรงว่าคงต้องอยู่ยังตำหนักกลางเขาลึกชั่วชีวิต


 


 


นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อย เจ้าเด็กบ้าเอ๋ย คงไม่ได้พบท่านพ่อเจ้าแล้ว


 


 


ไม่ได้ ต้องหนี แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ นางหลบหนีสองครั้ง มู่หรงเหยียนย่อมระวังขึ้นอย่างมาก แต่หากรอต่อไป อายุครรภ์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทุกวัน นางยิ่งเดินเหินลำบากมากยิ่งขึ้น…


 


 


อย่างน้อยตอนนี้ ต้องบำรุงร่างกายให้ดี หนิงอวี้คลึงหน้าผาก ความลำบากในช่วงที่ผ่านมาทำให้ร่างกายอ่อนเพลียไปไม่น้อย


 


 


——


 


 


ยามเช้าตรู่ เว่ยหยวนยืนอยู่กลางลานเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีขาวไปทั้งแถบ ใกล้ฤดูหนาว ดอกทานตะวันดูเ**่ยวเฉาไปไม่น้อย ดูคล้ายกำลังจะแข็งตายด้วยความหนาว ช่างสวนจนปัญญาจึงใช้กระดาษติดล้อมทั่วลาน ตั้งเตาผิงจุดไฟกลางลานขึ้นสองสามเตาเพื่อให้มั่นใจว่ารักษาอุณหภูมิไว้ได้


 


 


เว่ยหยวนยืนอยู่กลางลานครู่หนึ่งก็รู้สึกอึดอัด จึงหันกายเดินกลับเข้าห้อง หนิงอวี้จากไปนานแล้ว กลิ่นหอมของเรือนผมนางจากหมอนค่อยจางไป เว่ยหยวนกอดหมอนไว้ในอ้อมอก แล้วเอนกายนอนหงายบนเตียง


 


 


ตอนนี้เจ้า กำลังทำอะไรอยู่หรือ กลางคืนยามนอนห่มผ้าดีหรือไม่ เว่ยหยวนหลับตาทั้งคู่ลงสีหน้านิ่งเฉย ในหัวกลับครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด


 


 


เขาไม่กล้าหลับ กลัวจะเห็นภาพหนิงอวี้ตายจากไปในความฝัน ภาพดาบโค้งแทงอกนางปรากฏซ้ำนับพันครั้ง ทุกๆ ครั้งนั้น แม้เขารู้ดีว่าเป็นเพียงความฝันแต่กลับอดมิได้ที่จะโผเข้าไป ทว่าในทุกครั้ง เขากลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย


 


 


เขาไม่กล้าตามหาข่าวคราวแม้แต่น้อยว่านางใช้ชีวิตที่สมรภูมิรบอย่างไร คงต้องลำบาก เสบียงขาด รองแม่ทัพทำการกบฏ ข้าศึกบุกโจมตีอย่างหนักหน่วง


 


 


ความรู้สึกอับจนหมดหนทางนี้ เขาเคยลิ้มรสมาครั้งหนึ่งเมื่อยังเป็นเด็ก ปวดร้าวถึงขั้วหัวใจ เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว คิดไปว่ามีสิทธิ์มากพอที่จะคอยเฝ้าคุ้มครองนาง คิดไม่ถึงว่า เขายังคงเป็นเด็กชายผู้อ่อนแอไร้ความสามารถผู้นั้นเหมือนเดิม


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] หวังเจาจวิน หนึ่งในสี่ยอดหญิงงามในประวัติศาสตร์จีน


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 278 ยอมแพ้


 


 


“ฝ่าบาท เรื่องหลิงอ๋องสบคบกับข้าศึกเป็นเพียงเรื่องไม่มีมูลเท่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงโปรดคิดถึงรากฐานนับร้อยปีของราชวงศ์เราด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“กระหม่อมรู้ว่าพระองค์ทรงรักพระโอรสดั่งดวงใจ แต่เรื่องนี้ไม่ควรเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เว่ยหยวนโค้งคำนับเล็กน้อย เขายืนท่ามกลางผู้คนโดยไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด คำวิจารณ์อันดุเดือดของประชาราษฎร์นับหมื่น คำทัดทัดทานของขุนนางที่มาเข้าเฝ้านับร้อย คราวนี้ ชายผู้นั้นยืนยันความคิดตนโดยไม่ยอมรับฟัง เลือกยืนตรงข้ามความคิดของผู้คนที่โหมซัดเข้ามา


 


 


“เลิกเข้าเฝ้า! เว่ยหยวนอยู่ก่อน”


 


 


ชายผู้อยู่ในฐานะฮ่องเต้ในที่สุดก็ตรัสออกมา เสียงแหบพร่าฟังระคายหู เว่ยหยวนเดินออกจากแถว โค้งคำนับแล้วคุกเข่ากับพื้น ขุนนางนับร้อยทยอยตามกันเดินจากไปช้าๆ ขันทีนางกำนัลที่เฝ้าถวายการปรนนิบัติ โค้งคำนับแล้วตามกันถอยออกไป


 


 


ไม่นานนัก ท้องพระโรงอันหรูหราโอ่โถง ก็เหลือเพียงพวกเขาสองคน


 


 


 “เจ้ากำลังคิดทำอะไรอยู่กันแน่”


 


 


เว่ยหยวนก้มหน้าคำนับ น้ำเสียงกลับเป็นกลางมินอบน้อมหรือแข็งกร้าว


 


 


“กระหม่อมหาทราบไม่ว่าฝ่าบาททรงรับสั่งเรื่องใดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เสียงสรวลอันแหบพร่าไม่น่าฟังนั้นดังขึ้น ฮ่องเต้ทรงเอนไปบนบัลลังก์มังกร พระเนตรทั้งคู่สิ้นแววดั่งที่เคยเป็นมา เว่ยหยวนชำเลืองขึ้นอย่างสงบนิ่ง เห็นรอยย่นบนหางตาเขา ก็ยิ้มน้อยๆ อย่างไม่รู้ตัว


 


 


ลูกรักทรยศต่อตน สมคบกับข้าศึกที่จงเกลียดจงชัง สตรีที่ทรงโปรดปราน กลับมิได้บริสุทธิ์…เสียเกียรติถึงที่สุด ต่อให้คิดจะกลั้นเอาไว้ แต่ทั้งราชสำนักและไพร่ฟ้าต่างก็รู้กันทั่วอยู่ดี แต่ถ้าจะแสดงความพิโรธเกรี้ยวกราด นั่นก็เท่ากับยอมรับตนโดนสวมเขาจริงๆ


 


 


ฮ่องเต้ทรงจ้องไปยังเว่ยหยวนอย่างดุดัน แล้วรับสั่งขึ้นด้วยสุรเสียงอันทุ้ม “เจ้าหมายจะได้ราชบัลลังก์หรือ แต่เจ้าหาได้เหมาะสมไม่ เจ้ามันแค่เจ้าคนชั้นต่ำ แค่บุตรนางชีนางหนึ่งเท่านั้น”


 


 


“สายเลือดของเจ้าเช่นนี้ หากครองตำแหน่งฮ่องเต้ จะมิเป็นความอัปยศอดสูของบ้านเมืองทั้งปวงหรือ”


 


 


“ต่อให้เว่ยหลิงทำไม่ถูกเพียงใด ตำแหน่งนี้ ก็มิอาจไปถึงเจ้า พุทโธ่ แม่เป็นเช่นไรบุตรย่อมเป็นเช่นนั้น เ**้ยมโหด อำมหิต สอพลอ”


 


 


หัวใจเว่ยหยวนเย็นเฉียบขึ้นมาทีละน้อย เขารู้ดีว่าในสายตาของฮ่องเต้ เขาเป็นเพียงคนชั้นต่ำ แต่พอมาได้ยินเข้าจริงๆ ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกเสียใจ


 


 


เขาดูหมิ่นตนได้ แต่จะมาดูหมิ่นมารดามิได้ หญิงสาวผู้ใสซื่อไร้เดียงสาในตอนแรกนั้น อยู่กลางป่าเขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสันต์ไร้ทุกข์กังวลชั่วชีวิต ไม่ต้องพัวพันกับเรื่องทางโลกให้เดือดร้อนใจ


 


 


นางผิดอะไรจึงต้องจองจำนางไว้ยังมุมหนึ่งในวังหลวง บีบคั้นให้กระโดดบ่อน้ำปลิดชีพตน เว่ยหยวนคิดกลับไปมา นางผิดเพียงเรื่องเดียว นั่นคือการไม่รู้ซึ้งใจคน แต่กลับไปหลงรักเขาผู้นั้น


 


 


แผ่นหลังที่โค้งอยู่เล็กน้อยของเว่ยหยวนเหยียดตรงขึ้น เขาชำเลืองขึ้นมองไปยังชายผู้นั้นอย่างเย็นชา แล้วพูดเสียงเบา “เสด็จแม่ทำผิดอันใดกัน ในเมื่อพระองค์ไม่รักนาง ไยต้องพานางเข้าวังด้วย”


 


 


ฮ่องเต้ขมวดพระขนง ทรงสะบัดพระหัตถ์แล้วรับสั่งด้วยความหงุดหงิด “ก็แค่หาสิ่งแปลกใหม่ นางทำผิดอะไรนั่นหรือ นางกล้าดีคิดฆ่าตัวตาย นี่ไม่เท่ากลับหักหน้าเราหรอกหรือ”


 


 


“ทุกสิ่งใต้หล้านี่ แต่ไหนแต่ไรก็ล้วนแต่เป็นของเรา เราอยากรักสตรีนางใด มันก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว แม่เจ้า ช่างโง่เขลา คิดเล่นละครเบื่อชีวิตเสาะหาที่ตาย รังแต่ทำให้เรารู้สึกสะอิดสะเอียนยิ่งนัก!”


 


 


เว่ยหยวนชะงักอึ้ง ครั้นได้ฟังคำตอบเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง น้ำตาเอ่อซึมหางตา ที่แท้ ที่แท้เหตุผลที่เขาค้นหามาหลายต่อหลายปีมานี้ แต่กลับไม่กล้าสัมผัสนั้น แท้จริงแล้วกลับเป็นเช่นนี้เองหรือ


 


 


ง่ายดายเสียเหลือเกิน ช่างผิวเผินเสียจริง ฮ่าๆๆ ท่านแม่ ช่างมาหลงรักคนต่ำทรามเช่นนี้ได้


 


 


เขาหัวเราะเสียงดัง จนทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัย พระองค์ขมวดพระขนง ทอดพระเนตรไปยังเว่ยหยวนที่กำลังหัวเราะจนลืมตัว ทันใดนั้นก็สังเกตได้ว่าหน้าตาของเขาดูละม้ายหญิงสาวผู้นั้นอยู่บ้าง ช่างน่าอัปมงคลยิ่งนัก


 


 


“โอหัง เจ้าหัวเราะเยาะเราหรือ”


 


 


“มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยหยวนยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนหางตา ใบหน้าที่แดงระเรื่อพลันกลับมาเยือกเย็นในทันใด “กระหม่อมเพียงอยากทูลถามคำถามสุดท้าย ฝ่าบาททรงจำได้หรือไม่ว่านางมีนามว่าอะไร”


 


 


ความเงียบเกิดขึ้นอยู่นาน เว่ยหยวนโค้งคำนับ มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มเย้ยหยัน


 


 


“กระหม่อมขอทูลลา”


 


 


เขาเดินออกไปยังประตูท้องพระโรง ลมหนาวพัดปะทะใบหน้าเขา เว่ยหยวนชำเลืองมองออกไปไกล ท่านแม่ ท่านเสียใจหรือเปล่า




ตอนที่ 279 เพื่อหญิงงาม


 


 


“ท่านอ๋อง ข้าน้อยได้ยินข่าวคราวเรื่องหนึ่งมาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


มั่วหลีชำเลืองขึ้นมองเว่ยหยวน ครั้นแล้วก็หลุบสายตาลงพลัน


 


 


“เรื่องเกี่ยวกับสมรภูมิรบ เหตุการณ์เกี่ยวกับพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เว่ยหยวนใบหน้าแดงก่ำไปทั่ว ได้ยินคำพูดนี้ก็เกิดความรู้สึกพูดไม่ถูกไปชั่วขณะ เขายกนิ้วชี้ไปยังมั่วหลี แล้วส่ายหน้าอย่างลำบาก เขาพูด “ข้า…มิใช่ว่าข้าบอกเจ้าว่ามิให้ยุ่งเรื่องนี้หรือ!”


 


 


เว่ยหยวนพูดจบ ก็ยกมือขึ้นดึงจุกผ้าแดงบนไหสุราไหหนึ่งออก เขาออกแรงมากเกินไป จนเผลอชนไหสุราสองสามไหบนโต๊ะล้ม ไหสุราตกสู่พื้น เศษกระเบื้องแตกออกเป็นเสี่ยง


 


 


กลางศาลาภายใต้แสงจันทร์ส่องสว่าง เว่ยหยวนนั่งกอดไหร่ำสุราอยู่หน้าโต๊ะหินเพียงลำพัง ข้างโต๊ะมีเศษกระเบื้องแตกกระจายอยู่นับไม่ถ้วน จุกผ้าแดงปะปนอยู่ในนั้นหลายจุก


 


 


“พระชายา ตั้งครรภ์พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“เจ้าว่าอะไร”


 


 


เว่ยหยวนยั้งมือ ไหสุราที่ยกขึ้นหยุดอยู่ริมปาก มั่วหลีเห็นความประหลาดใจในแววตาเขา จึงพูดซ้ำอีกครั้ง “พระชายา มีครรภ์มาเดือนกว่าแล้ว หลังจากหยวนอีก่อกบฏไม่นาน นางเป็นลมล้มพับได้หมอตรวจจนแน่ชัด”


 


 


ไหสุราร่วงลงกับพื้นส่งเสียงดังกังวาน สุราสาดกระจายเลอะไปบนชายเสื้อของเว่ยหยวน ในความคิดเขาเกิดความสับสนว่างเปล่าขึ้นมา เขายื่นมือขึ้นมาดึงแขนมั่วหลีแล้วถามเสียงทุ้ม “ไยไม่บอกแต่แรก”


 


 


ยังมิทันขาดคำ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าตนออกคำสั่งห้ามเรื่องนี้เอง เว่ยหยวนนั่งลงบนเก้าอี้หินอย่างหดหู่ มือทั้งคู่ยกขึ้นกุมหน้า


 


 


“ไปซะ”


 


 


มั่วหลีถอนใจแล้วเดินเข้าไปในพุ่มดอกไม้ข้างศาลาอย่างรวดเร็ว


 


 


นางจะเสียใจมากเพียงใด จะถูกข้าศึกโอบล้อมจะทนหนาวอดอยากก็ช่าง แต่นางสูญเสียครอบครัวจนสิ้น กลับยังต้องพาลูกในครรภ์เดินสู่สนามรบ เขียนทิ้งไว้เพียงจดหมายสั่งเสีย


 


 


“เว่ยหยวน เจ้าทำอะไรอยู่กันแน่!”


 


 


เว่ยหยวนตะโกนออกมาหนึ่งเสียง มือข้างหนึ่งกำหมัดทุบลงบนโต๊ะหิน ปรากฏเป็นรอยยุบ รอยร้าวค่อยๆ แตกออกรอบรอยยุบนั้น


 


 


ท่ามกลางความเงียบอันยาวนาน บนรอยยุบนั้นเต็มล้นไปด้วยเลือด เว่ยหยวนเก็บมือกลับสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำแต่มิอาจซ่อนความตั้งมั่น


 


 


“มั่วหลี จัดกำลังทหารสามพันนาย อีกเรื่อง แจ้งไปที่หัวหน้าองครักษ์วังหลวงด้วย”


 


 


มั่วหลีได้ยินอย่างชัดเจน รู้สึกตื่นตระหนกจนห้ามมิได้ นี่มัน…จะก่อปฏิวัติหรือ เขารีบก้าวเข้าไปแล้วคุกเข่าลงข้างเท้าเว่ยหยวน


 


 


“ท่านอ๋อง มิได้เด็ดขาดเลยนะพ่ะย่ะค่ะ หากแพ้ขึ้นมา ท่านจะไม่สามารถกลับลำได้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“เวลานี้โอกาสยังมิสุกงอม หากทำเช่นนั้น ต้อง…”


 


 


“มั่วหลี”


 


 


เว่ยหยวนตัดบทคำพูดเขา


 


 


“ข้า มิอาจได้บังลังก์โดยชอบธรรมเนียม”


 


 


“แต่ว่า! หากทำเช่นนั้น มันจะ…” มั่วหลีขบฟัน “หากเรื่องนี้ถูกตรวจพบ ท่านจะถูกตราหน้าข้อหาปิตุฆาต ถูกไพร่ฟ้าครหาได้”


 


 


ราวกับเว่ยหยวนไม่ได้ยิน เขาเพียงแต่สะบัดแขนแล้วลุกขึ้นยืนพลางจ้องออกไปไกลๆ ดวงจันทร์ส่องสว่างอยู่กลางเวหา ไม่รู้ว่าดวงจันทร์ ณ ที่หนิงอวี้อยู่นั้น จะเป็นเช่นนี้หรือเปล่า


 


 


“ท่านอ๋อง! โปรดใคร่ครวญด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“มั่วหลี ข้าตัดสินใจแล้ว”


 


 


ชั่วชีวิตนี้ มีสตรีเพียงสองนางเท่านั้นที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา ผู้หนึ่งกระโดดบ่อต่อหน้าเขา อีกผู้หนึ่งออกสู้รบกลางสมรภูมิ ทั่วตัวเต็มไปด้วยบาดแผล เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังไม่รู้


 


 


เมื่อครั้งมารดาเขาตายจากไป เขายังเป็นเพียงเด็กไร้ประโยชน์คนหนึ่ง ได้แต่มองตาปริบๆ ดูนางค่อยๆ จมน้ำตาย ค่อยๆ ขาดใจ ค่อยๆ ซีดขาว


 


 


ในเวลาที่หญิงสาวที่เขารักที่สุดกำลังสิ้นหวัง เขากลับอยู่ห่างไกลนับพันลี้ ไม่อาจทำสิ่งใดได้ ได้เพียงแต่อาศัยถ้อยคำเพียงน้อยนิด แล้วคิดถึงภาพนางที่กำลังคลุ้มคลั่ง พยายามดิ้นรนอย่างหมดหวัง


 


 


เขาสูญเสียมารดาไปแล้ว ไม่อยากสูญเสียนางไปอีกคน เวลาสิบกว่าปีผ่านไป เขามิใช่เด็กชายอ่อนแอไร้ประโยชน์คน ที่ได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญนั้นอีกแล้ว


 


 


เขาอยากได้นางกลับคืน อยากกอดนางเอาไว้แล้วจุมพิตนาง โอบนางไว้ในอ้อมอกประทับจุมพิตอันอ่อนโยนแต่เร่าร้อนลงไป


 


 


หากเขาคิดจะนั่งลงเดิมพันกับหมากกระดานนี้ ก็ต้องมีเบี้ยจำนวนมหาศาล เช่นนี้ ถึงจะได้นางกลับคืนมาได้ เว่ยหยวนก้มหน้าลงสีหน้านิ่งเฉย เมื่อเห็นสายตาร้อนรนของมั่วหลี จึงพูดขึ้นเสียงทุ้ม “ข้าจำต้องทำเช่นนี้ มิเช่นนั้นคงต้องเสียใจชั่วชีวิต”


 


 


“ส่งองครักษ์ลับออกไปสืบว่าหญิงสาวที่มู่หรงเหยียนจองจำไว้ผู้นั้นเป็นผู้ใด ปล่อยข่าวออกไปให้ทั่วและตามหาไปพร้อมๆ กัน”


 


 


“ท่านอ๋อง นี่มัน…”


 


 


เว่ยหยวนสีหน้าสงบเยือกเย็น ตรงข้ามกับมั่วหลีที่สั่นเทิ้มด้วยความตื่นตกใจ


 


 


“เจ้าคิดว่า ความหมายของการมีชีวิตอยู่ของข้าคืออะไร”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 280 ปิตุฆาต


 


 


กลางท้องพระโรงอันกว้างขวางว่างเปล่าไร้ผู้คนมีเพียงแสงเทียนเท่านั้นที่ส่องสว่าง ฮ่องเต้ทรงตื่นบรรทม แล้วรับสั่งด้วยพระสุรเสียงอันทุ้ม “ใครก็ได้ รินน้ำมาให้เราสักจอก”


 


 


พระองค์ตรัสไปพลางยกพระหัตถ์ขึ้นคลึงพระขนง คืนนี้ พระทัยเคร่งเครียด รู้สึกผิดปกติไม่น้อย


 


 


“เข้ามา? ไปไหนกันหมด! รีบโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้”


 


 


ไม่มีผู้ใดตอบ พระองค์ทรงลุกขึ้น เลิกผ้าแพรต่วนสีเหลืองทองอร่าม เมื่อทรงทอดพระเนตรขึ้นก็นิ่งอึ้งกับที่ ด้านหน้าพระแท่นบรรทมมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ สวมชุดสีขาว ราวกับวิญญาณกลางคืนตนหนึ่ง


 


 


ไฟเทียนถูกเป่าดับ ครั้นแล้วก็ปรากฏเงาตะคุ่มที่กำลังหยุดนิ่ง ใต้แสงเทียนสีแดงเร่าร้อนค่อยๆ ดับลง ฮ่องเต้ทรงยื่นพระดัชนีอันสั่นเทาออกไป


 


 


“เจ้าคนชั้นต่ำ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ใครก็ได้! เข้ามา โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้”


 


 


เว่ยหยวนสีหน้านิ่งสงบ เดินเข้าไปสองสามก้าว ฮ่องเต้บัดนี้ทรงไม่ใส่ใจธรรมเนียมมารยาท วิ่งออกนอกพระราชฐานด้วยพระบาทเปล่า แต่เขากลับถูกราชองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูอารักขาแบกกลับเข้ามาห้องบรรทม


 


 


“เจ้าซื้อตัวหัวหน้าทหารวังหลวงแล้วสินะ” ฮ่องเต้ทรงย่นพระขนง พระพักตร์เคร่งขรึม “เจ้าคิดทำอะไรกัน ที่แท้เราประมาทเจ้าไป”


 


 


เว่ยหยวนจ้องไปยังฮ่องเต้สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์อยู่นสน เขาจ้องเขม็งจนฮ่องเต้ทรงเย็นพระขนองวาบ แล้วพูดขึ้นเสียงทุ้มว่า “แค่เพียงทูลขอฝ่าบาททรงช่วยยืนยัน ว่าจะลงโทษเว่ยหลิงในโทษทรยศขายชาติพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ไม่ได้ เจ้าเลิกคิด…เรื่องใดๆ ล้วนแต่หารือตกลงกันได้ เจ้าไปก่อน เรื่องนี้ พรุ่งนี้ค่อยหารือเป็นอย่างไร”


 


 


ฮ่องเต้ทรงขบพระทนต์ ทรงยอมอ่อนข้อให้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อทอดพระเนตรเห็นเว่ยหยวนสีหน้าไม่เปลี่ยน ทรงได้แต่ใช้อำนาจและผลประโยชน์มาล่อ “มีอะไรพรุ่งนี้ค่อยพูด เราอย่างไรเสียก็เป็น…พ่อเจ้า เรารู้ พระชายาจิ่นอ๋องหายตัวไปทำให้เจ้าวุ่นวายสับสน เราจะช่วยเจ้าสืบ พลิกแผ่นดินค้นหาให้”


 


 


เว่ยหยวนส่ายหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินจากพระโอษฐ์ฮ่องเต้ว่าเขาเป็น ‘ลูกชาย’ ของพระองค์ มิใช่คนชั้นต่ำที่มีสายเลือดต่ำต้อย


 


 


ฮ่องเต้พระพักตร์ถอดสีครั้งแล้วครั้งเล่า กลับได้แต่ขบพระหัตถ์อดทน เมื่อทรงชำเลืองเห็นเงาร่างอวบอ้วนร่างหนึ่งปรากฏ จึงตะโกนขึ้นมาอย่างร้อนรนว่า “ช่วยด้วย!”


 


 


เงาร่างอวบอ้วนนั้นเดินเข้ามา เดินเข้ามากลางความมืดจึงเห็นว่าเขาถือสุราพิษไว้ในมือจอกหนึ่ง เว่ยหยวนยกมือขึ้นยกสุราพิษจอกนั้นแล้วยื่นไปด้านหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้


 


 


ฮ่องเต้ทรงเห็นข้าทาสคู่ใจถูกซื้อตัวเสียแล้วก็พิโรธจนแทบประชวรพระวาโย ครั้นแล้วก็เห็นเจ้าคนชั้นต่ำนั้นยื่นสุราพิษจอกหนึ่งเข้ามา ฮ่องเต้ทรงกริ้วจัดยกพระหัตถ์ขึ้นปัดสุราพิษจอกนั้นคว่ำ


 


 


จอกร่วงลงกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้น สุราข้นในจอกหกเลอะบนพื้น กัดกร่อนก้อนอิฐกดกรอนเป็นควันขาวนับไม่ถ้วน


 


 


มาถึงจุดนี้แล้ว ฮ่องเต้ทรงคร้านที่จะเสแสร้งอีกต่อไปจึงรับสั่งขึ้นไม่ขาดคำว่า “เจ้าลูกทรพี เจ้าลูกทรพี! ทรพีไร้ซึ่งคุณธรรม ช่างกล้าสังหารบิดา! ในสายตาเจ้า มีศีลธรรมอยู่บ้างหรือไม่”


 


 


เว่ยหยวนโบกมือ บอกเป็นนัยให้ขันทีออกไปรินสุรา บนหน้าหัวหน้าขันทีประดับด้วยรอยยิ้มอันอ่อนน้อมแต่สอพลอ เขาพูดตอบเสียงเบา “ท่านลงมือเร็วหน่อยเถิด ฟ้าใกล้สางแล้ว”


 


 


เว่ยหยวนพยักหน้า เสียงฝีเท้าดังไกลออกไป เขาค่อยๆ ขยับเข้าประชิดฮ่องเต้ที่ทรงกำลังสั่นเทิ้มแล้วถามขึ้นเสียงเบา “บอกกระหม่อมที ว่าท่านแม่มีนามว่าอะไร”


 


 


เขาเพียงอยากรู้ว่าคนรักที่ท่านแม่เฝ้าคิดถึง คนผู้ซึ่งทำลายชีวิตของนางจะจำชื่อของนางได้ไหม แม้จะเพียงแค่ตัวอักษรเดียวก็ตาม


 


 


“เรา…เราจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า…หลีเย่ว์…ไม่สิ…หนิงซวง…”


 


 


เว่ยหยวนสูดหายใจเข้าลึก ท่านแม่ ท่านดูสิ ต่อให้ใช้ความตายมาบังคับ เขาก็จำชื่อท่านไม่ได้


 


 


หัวหน้าขันทียกจอกสุราเดินเข้ามา เว่ยหยวนมือหนึ่งยกจอกสุรา มือหนึ่งง้างพระหนุฮ่องเต้ ฮ่องเต้หมายจะดิ้นรน แต่ด้วยพระชันษามากกว่าครึ่งร้อยแล้ว ทั้งยังเอาแต่หมกมุ่นนารี มีหรือจะสู้กำลังของเว่ยหยวนได้


 


 


จนกระทั้งสุราไปจรดพระโอษฐ์ พระองค์จึงทรงลนลานขึ้นมา


 


 


“ปล่อยเรา เราจะแต่งตั้งเจ้าเป็นรัชทายาท! เจ้าจะว่าสิ่งใดเราล้วนแต่รับปากทั้งนั้น ฮือๆๆ เจ้าลูกทรพี”


 


 


“สายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตำแหน่งรัชทายาทนั้นต่ำเกินไป กระหม่อมไม่ต้องการ”




ตอนที่ 281 ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี


 


 


เว่ยหยวนกรอกสุราลงในพระศอฮ่องเต้ ใบหน้าเขาเลือดเย็นอย่างมาก แม้กระทั่งการลงมือเช่นนี้ มือเขากลับมิได้สั่นเทาแม้แต่น้อย


 


 


สุราหยดสุดท้ายหยดลงพระศอ เว่ยหยวนปล่อยมือแล้ววางจอกลงบนถาดรองบุผ้าสีแดง เขายื่นมือไปหยิบผ้าไหมสีเหลืองทองผืนหนึ่งขึ้นมาเช็ดมือ


 


 


“ลูกทรพี! สมกับเป็นลูกนางคนชั้นต่ำนั้นจริงๆ กล้าคิดสังหารบิดา! เราจะฆ่าเจ้า หลิงเอ๋อร์! หลิงเอ๋อร์จะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”


 


 


“ข้าราชสำนักและไพร่ฟ้าทั้งหลายจะค้นพบ! เจ้ามันก็แค่คนชั้นต่ำโดยแท้ คู่ควรเพียงแค่ความฉาวโฉ่ชั่วหมื่นปี ความโสมมของเจ้าจะถูกบันทึกลงพงศาวดาร”


 


 


ฮ่องเต้ทรงซวดเซล้มลงกับพื้นแล้วรีบร้อนลุกขึ้นประทับนั่งสองพระหัตถ์กุมพระโอษฐ์แผดพระสุรเสียงกร่นด่า พระเกศายุ่งเหยิง เครื่องทรงไม่เป็นระเบียบ ดูราวกับทรงวิปลาส


 


 


“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เว่ยหยวนย่อเข่าลงนั่งระดับเดียวกันกับสายตาองค์ฮ่องเต้แล้วอธิบายอย่างอดทน


 


 


“พรุ่งนี้ก็จะมีข่าวออกไปว่า เรื่องของเว่ยหลิงขายชาติถูกเปิดโปง เขาแหกคุกออกมาวางยาปลงพระชนม์พระราชบิดา”


 


 


“จิ่นอ๋องทราบข่าวจึงตามมาช่วยแต่ไม่ทันการ พบเพียงพระบรมศพองค์ฮ่องเต้ หลิงอ๋องหลบหนี ถูกสังหารระหว่างตามจับ สำหรับมูลเหตุที่ลอบวางยาพระองค์นั้น เพราะว่าเขาเป็นผู้สืบสันติวงศ์แห่งราชวงศ์เหนือ”


 


 


“เจ้า!”


 


 


ทันทีที่ฮ่องเต้ทรงรับสั่งจบ พระโลหิตก็กระอักขึ้นกลบพระโอษฐ์ เว่ยหยวนไม่หลบ ปล่อยให้เลือดสดสาดกระทบลงบนหน้าเขา


 


 


“เรา…จะ…สาป…แช่ง…เจ้า”


 


 


“มิเป็นไรพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยหยวนเช็ดเลือดบนหน้าอย่างใจเย็น “ลืมกราบทูลพระองค์อีกเรื่อง เว่ยอวิ้น เป็นข้าเองที่สังหาร มันล่วงเกินหนิงอวี้ กระหม่อมจึงได้แต่ลงมือส่งมันไปปรโลก”


 


 


ฮ่องเต้พระเนตรค้าง ไม่สามารถรับสั่งออกมาได้แม้เพียงประโยคเดียว หัวหน้าขันทีที่อยู่ด้านข้างโค้งคำนับ พยายามหดร่างกายอันอวบอ้วนของต้นให้เล็กลง เพื่อทำตัวเหมือนไม่อยู่ที่นั้น


 


 


แต่โบราณ จักรพรรดิทุกประองค์ที่ขึ้นครองราชย์ ล้วนแต่เหยียบบนหนทางที่เต็มไปด้วยเลือด ฮ่องเต้ ไม่สิ ไท่ซ่างหวง[1]เองก็พระหัตถ์เลอะด้วยเลือดพระเชษฐาพระอนุชานับไม่ถ้วน แต่เขาคิดไม่ถึงว่า จิ่นอ๋อง ไม่สิ ฮ่องเต้จะทรงโหดเ**้ยมเพียงนี้ พี่น้องและบิดาล้วนไม่ไว้ชีวิตสักคน


 


 


ราชวงศ์ใต้ กำลังจะมีจักรพรรดิผู้แข็งแกร่ง เขาโค้งคำนับแล้วคุกเข่าลงกับพื้นมอบทุกสิ่งถวายด้วยท่าที่อ่อนน้อมจริงใจ


 


 


เว่ยหยวนเช็ดเลือดออกจนสะอาดแล้วสบเข้ากับสายตาชายผู้สติเลือนรางแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “นางชื่อหลีเกอ นางมอบทุกสิ่งให้กับท่าน”


 


 


“นางเติบโตจากกระท่อมน้อยตีนเขาสำนักชี ปลูกผักหาฟืน จนวันหนึ่ง นางก็ได้พบชายผู้หนึ่ง แล้วมอบทั้งดวงใจให้เขา มอบให้แม้ชีวิต”


 


 


ฮ่องเต้ทรงสติเลื่อนลอย ภาพหญิงสาวผู้นั้นปรากฏขึ้นในความคิดอย่างเรือนลาง บนร่างหญิงสาวมีกลิ่นหอมอ่อนของดอกไม้ คอยยิ้มอ่อนหวานมายังเขาเสมอ


 


 


“นางไม่สนคำทัดทานของซือไท่ ยืนยันที่จะตามเขาผู้นั้นเข้าวัง หมายจะอยู่เคียงข้างกับเขา น่าเสียดาย นับจากปีที่นางให้กำเนิดทารกเป็นต้นมา นางก็ไม่เป็นที่โปรดปราน ไม่สิ หมดความแปลกใหม่แล้ว”


 


 


“ข้าจำได้ ในวันอันหนาวเหน็บนั้น ข้าเดินเข้าไปในตำหนัก ฟ้ายังไม่ทันสาง พระจันทร์มีเพียงครึ่งเสี้ยว นางส่งยิ้มมายังข้าแล้วรีบเดินไปยังปากบ่อ แล้วจากนั้น…ก็ไม่ลืมตาขึ้นมาอีกเลย”


 


 


เว่ยหยวนพูดจบคำพูดนั้น ก็ลุกขึ้นช้าๆ แล้วเดินออกนอกท้องพระโรง สายลมพัดเข้าปะทะ คราบเลือดที่ถูกเช็ดออกเหลือเป็นคราบจุดบนใบหน้าเขาเริ่มแข็งตัว ดูราวกับรอยไฟประทับไหม้


 


 


“ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”


 


 


เว่ยหยวนยืนอยู่หน้าท้องพระโรง มองไปยังท้องฟ้าสีเทาสลัว เขาในชุดผ้าบางสีขาว สายลมพัดอย่างรุนแรง ริมฝีปากอันบางของเขาเม้มแน่น มีรอยเลือดสามทาง ดูราวกับเป็นอสูรจากนรก ทั้งยังเหมือนผีที่หวนคืนจากความตาย


 


 


เว่ยหยวนเลื่อนสายตากลับแล้วพูดด้วยเสียงอันเบาราวกับเสียงยุง “ไม่เป็นอะไร ข้าไม่กลัวว่าจะถูกครหานับหมื่นปี ถูกฟ้าดินประณามด่า ข้าล้วนแต่ไม่ใส่ใจ”


 


 


“ข้ากลัวแต่เพียงยามที่เจ้าลำบากแล้วข้ามิได้อยู่เคียงข้าง ข้ากลัวเพียงฝันร้ายจะปรากฏซ้ำ เพราะข้ารั้งมือท่านแม่ไว้ไม่อยู่ ข้าเพียงแค่กลัวว่าบนโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ข้าจะไม่มีตัวตน”


 


 


เสียงนกร้องเสียงแรกแห่งวันดังขึ้น เว่ยหยวนปรับสีหน้าแล้วหันกายเดินไปตามโถงทางเดินที่ยืดยาวจากไป


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 282 เ**้ยมหาญเด็ดเดี่ยว


 


 


“ฝ่าบาท ไยพระองค์จึง…เฮ้อ!”


 


 


“ฝ่าบาท…ฮือๆๆ”


 


 


“เจ้าเว่ยหลิงน่าชัง ช่างกล้าลงมือกับฝ่าบาทได้”


 


 


เว่ยหยวนคุกเข่าลงบนเบาะอ่อนสีหน้าเรียบ ฟังเสียงเหล่าขุนนางผู้ใหญ่เหล่านั้นเสแสร้งร้องไห้คร่ำครวญ ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกรำคาญใจ


 


 


“ฝ่าบาท เว่ยหยวน ต้องเป็นเจ้าที่คิดชั่วเป็นแน่!”


 


 


พระสนมกุ้ยเฟยเผ้าผมรุงรังบุกเข้ามากลางโถง ชี้นิ้วร้องด่าเว่ยหยวนเสียงดัง


 


 


เสียงร่ำไห้ทั้งโถงเงียบลงโดยฉับพลัน เว่ยหยวนลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าสงบนิ่ง แล้วพูดขึ้นเสียงเบา “อย่าได้ก่อเรื่องวุ่นวายไม่เลิก เว่ยหลิงคิดชั่วลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้แล้วหลบหนี เห็นแก่ท่านตำแหน่งเป็นถึงพระสนมกุ้ยเฟย จึงได้ปฏิบัติด้วยมารยาท มอบผ้าขาวยาวสามศอกให้ท่านทำอัตวินิบาตกรรม”


 


 


“เจ้ามีหลักฐานอะไร!”


 


 


มือทั้งคู่ของพระสนมกุ้ยเฟยถูกคนตรึงเอาไว้ ปิ่นบนศีรษะร่วงลงกับพื้น แต่นางยังคงตะโกนร้องอย่างคลุ้มคลั่ง


 


 


“ทหาร ยังไม่ลากนางออกไปอีก จะได้มิรบกวนความสงบของฮ่องเต้!”


 


 


หัวหน้าขุนนางกรีดนิ้วก้อยบีบเสียงแหลมพูดออกมา องรักษ์นิ่งอึ้งครั้นแล้วก็ลากนางออกไป พระสนมกุ้ยเฟยพยายามดิ้นกระเสือกกระสนสุดกำลัง แต่กลับถูกลากไปตามทาง


 


 


เว่ยหยวนมองนางถูกลากไปสีหน้าเรียบ แล้วหันมากวาดสายตาไปยังพระโกศไม้อันสวยงามหรูหราปราดหนึ่งอย่างสงบนิ่ง เห็นไหมเล่า ที่ท่านคิดว่าสายเลือดสูงส่งนั้น ท้ายที่สุดก็ไม่ต่างกับสุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น คลานหมอบใต้เท้าข้าแล้วตายไป


 


 


ผู้คนมองตากันไปมา ครั้นแล้วก็ร้องไห้คร่ำครวญต่อ ละครฉากนี้ทุกคนล้วนแต่รู้แก่ใจดี บางทีที่พระสนมกุ้ยเฟยกล่าวอาจเป็นความเท็จ ที่หัวหน้าขันทีพูดบางทีอาจเป็นความจริง


 


 


เรื่องราวต่างๆ ผู้คนล้วนมีตราชั่งในใจ ก็แค่จิ่นอ๋องได้ครองใต้หล้าแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหลิงอ๋องก็หนีโทษกบฏ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าพูดเท่านั้น


 


 


เช้านี้ เชื้อสายฝ่ายมารดาของพระสนมกุ้ยเฟยถูกล้างตระกูล ซากศพเกลื่อนไปทั่วสารทิศ ไฟลุกโหมโชติช่วง ไฟไหม้อยู่สองชั่วยาม กลางเมืองหลวงไม่มีทหารขุนนางผู้ใดออกมาตรวดตรา


 


 


จิ่นอ๋องทำการเ**้ยมหาญเด็ดเดี่ยว ทำให้ผู้คนไม่กล้าโกรธเคือง ไม่กล้าพูดกล่าว ต่อให้มีความสงสัยนับร้อยพันอยากถาม ก็ได้แต่เก็บเอาไว้ลึกๆ ในใจ


 


 


“ใต้เท้าทุกท่าน” หัวหน้าขันทีสะบัดแส้ในมือ “เอ่อ บ้านเมืองมิอาจไร้กษัตริย์แม้วันเดียว แม้ฮ่องเต้จะสวรรคตแล้ว แต่ก่อนสิ้นพระชนม์ได้มีพระราชโองการโดยพระโอษฐ์ ให้จิ่นอ๋องสืบทอดบัลลังก์”


 


 


“ใช่ กงกงคิดรอบคอบ จิ่นอ๋องช่วยเหลือพระองค์มีความชอบ สวรรค์ทรงเลือกแล้ว”


 


 


“จิ่นอ๋องเพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ ไม่มีใครอื่นให้เลือกอีกแล้ว”


 


 


“เจ้าพวกมันเศษสวะขาดเขลาไร้ความสามารถ!”


 


 


เสียงตะโกนหนึ่งดังขึ้น ทำลายความสันติจอมปลอมนั้นลง


 


 


เว่ยหยวนชำเลืองขึ้นมองแล้วแค่นเสียงออกจมูกหนึ่งที ขุนนางผู้ใหญ่คนนั้นตะโกนเสร็จก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป วันต่อมา ตอนที่ขุนนางคนนั้นเดินออกไปข้างนอก ก็ถูกรถม้าชนเข้าโดยบังเอิญ สิ้นใจอยู่กลางถนน


 


 


——


 


 


“ท่านอ๋อง ไยบอกว่าท่านไปช่วยฮ่องเต้ เช่นนี้ ยิ่งไม่ทำให้ผู้คนสงสัยหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


มั่วหลียื่นรายงานลับมอบให้ คำถามที่เก็บไว้อยู่นานในที่สุดก็ถูกถามออกมา


 


 


“ข้าจงใจ”


 


 


เว่ยหยวนพลิกรายงานลับเปิด บนจดหมายแจ้งว่าพวกเขาใช้ผลประโยชน์บีบบังคับหมอผู้นั้น จึงได้รู้ว่าหญิงสาวลึกลับผู้นั้นตั้งครรภ์พร้อมกันนั้นบนตัวยังบาดเจ็บหนัก บนแก้มซ้ายนางมีรอยแผลยาวรอยหนึ่ง ร่างกายผ่ายผอม


 


 


เว่ยหยวนคิดเหม่อไปยังร่างอันผ่ายผอมนั้นครู่ใหญ่ ครั้นแล้วก็ยิ้มเศร้า หากนางรู้ความจริงต้องเสียใจเป็นแน่


 


 


“จงใจ! ท่านอ๋อง ท่านรู้หรือไม่…”


 


 


 “เว่ยหลิงเป็นอย่างไรบ้าง” เว่ยหยวนตัดบทมั่วหลีแล้วพับรายงานลับ “จับเขาได้แล้วหรือ”


 


 


มั่วหลีเห็นจิตสังหารที่พลุ่งพล่านในดวงตาของท่านอ๋องอย่างชัดเจน จึงรีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างร้อนรน


 


 


“ข้าน้อยทำงานไร้ความสามารถ เมื่อคืนตอนที่นำคนไปคุมตัวนั้นเขาแอบลอบหนีไปได้ ข้าน้อยได้ส่งคนออกตามจับแล้ว ทว่า…”


 


 


เว่ยหยวนขมวดคิ้ว เขายื่นมือไปขัดสีหยกประดับบนเอว สะกดความโกรธเอาไว้ ครั้งนี้เว่ยหลิงเจ็บหนัก คงต้องหนีไปไกลแล้วคิดวางแผนล้างแค้น การมีอยู่ของเขา เป็นเหมือนกับระเบิดเวลาลูกหนึ่ง


 


 


อีกทั้ง อวี้เอ๋อร์ยังเคยรักเขา เว่ยหยวนขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น มั่วหลีชำเลืองขึ้นมองเขาปราดหนึ่งแล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ทว่าเขาข้ามแม่น้ำหนีไป ข้าน้อยส่งคนออกไปติดตาม ทั้งยังกระจายประกาศตามจับ ขอท่านอ๋องโปรดวางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ไท่ซั่งหวง เป็นตำแหน่งของฮ่องเต้ผู้สละราชสมบัติให้ผู้สืบสันตติวงศ์แล้ว




ตอนที่ 283 ทหารร่วมรบ 


 


 


“องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้ราชวงศ์ใต้สิ้นพระชนม์ หลิงอ๋องหนีโทษกบฏ จิ่นอ๋องกำลังจะขึ้นครองราชย์!” ชายชุดดำคุกเข่ากับพื้น “หากเขารู้ข่าว คงต้อง…ไม่สู้ใช้นางเป็นหมาก แลกเอาผลประโยชน์ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


มู่หรงเหยียนหุบม้วนภาพวาดอันงามประทับใจลงอย่างใจเย็น เลื่อนสายตาลงมองเขาปราดหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ ก็เห็นแผนการร้ายในแววตาเขาได้อย่างชัดเจน 


 


 


เมื่อนึกถึงการตายของบิดาบุญธรรม เมื่อนึกถึงความพยาบาทที่หนิงอวี้มีต่อตน ก็ทำให้ดวงใจเขาเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มอย่างมิอาจคณา แต่เขาก็ได้เพียงอดกลั้นเอาไว้ 


 


 


“ข้า ห้ามเจ้าแตะต้องนาง” 


 


 


สองมือคนชุดดำวางบนพื้น ก้มศีรษะหมอบ เขาตะโกนดังว่า “องค์ชาย กระหม่อมทำเพื่อพระองค์เท่านั้น” 


 


 


“พระคุณขององค์ชายที่ช่วยชีวิต ข้าน้อยชั่วชีวิตมิอาจทดแทน ทำได้แค่บุกน้ำลุยไฟ ต่อให้ตายก็ไม่ถอย คอยกำจัดอุปสรรคเพื่อพระองค์” 


 


 


รอยโค้งยิ้มบนมุมปากของมู่หรงเหยียนตกลง เขามองคนผู้นั้น ไม่รู้ว่าควรดีใจกับความจงรักภักดีของเขา หรือโกรธกับการตัดสินใจโดยพลการของเขาดี 


 


 


โกวเย่ว์ตัดสินใจโดยพลการ ฟันเข่าบิดาบุญธรรมจนขาด แอบเสริมไฟให้เหตุการณ์ ทำให้เขาต้องออกไปขัดขวางหนิงอวี้หาสมุนไพร มู่หรงเหยียนแอบสั่งลงโทษโบยเขาแปดสิบไม้ โบยเขาจนเลือดอาบ ความโกรธจึงคลายลงเล็กน้อย เขาหลงคิดไปว่าโกวเย่ว์จะรู้จักจำขึ้นบ้าง คิดไม่ถึงว่าเขาจะรับโทษแล้วก็ลืมไปเสีย 


 


 


มู่หรงเหยียนลุกขึ้นยืนแล้วเหยียบเท้าลงบนศีรษะเขา 


 


 


“หนิงอวี้ เจ้าห้ามแตะต้อง หากเจ้าต้องตัวนางแม้เพียงนิ้วเดียว ข้าจะสับร่างเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น” 


 


 


โกวเย่ว์ไม่ต้องเงยหน้า แต่ก็รับรู้ถึงแววตาอันโหดเ**้ยมของนายเหนือหัวอย่างชัดเจน จึงได้แต่ตอบรับไม่ขาดเสียง 


 


 


มู่หรงเหยียนทำเสียงคำรามในคอหนึ่งทีนั่งกลับลงบนเก้าอี้แล้วกางม้วนภาพวาดออก เด็กสาวบนภาพวาดน่ารักไร้เดียงสา สวมชุดกระโปรงสีแดงแซมด้วยสีขาว มือถือก้านไม้สั้นๆ ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ นางม้วนผมเป็นจุกกลม กลับยิ่งขับดุนให้หน้าดูเล็กเรียว สองแก้มแดงระเรื่อดูน่ารักยิ่ง 


 


 


—— 


 


 


หนิงอวี้เอนกายนอนอยู่บนแคร่สนมกินเห็ดหูหนูขาวต้มน้ำตาลอย่างเบื่อหน่าย นางอ้าปาก สาวใช้ก็ยื่นช้อนตักน้ำแกงมาจรดริมปาก 


 


 


นับแต่นางตัดสินใจคลายความหวาดระแวงต่อมู่หรงเหยียน นางก็สงบนิ่งไม่ก่อเรื่องซ้ำอีก ทุกวันกินน้ำแกง ขนม และน้ำชา เบื่อที่จะอดอาหารประท้วงแล้ว 


 


 


ในเมื่อจะไปจากที่นี่ก็จำเป็นต้องดูแลร่างกายให้ดี หนิงอวี้ก้มหน้าแล้วลูบไปบนท้องน้อยๆ ที่โปนออกมา เกือบจะสองเดือนแล้วแต่ขนาดกลับเท่าๆ กับหญิงท้องเพียงเดือนเดียว 


 


 


แต่ไหนแต่ไรนางก็บอบบาง ทั้งยังร้องไห้เศร้าอาลัยกับการตายของบิดา จิตใจไม่สงบ กินนอนไม่ได้จึงผ่ายผอมลงมาก รอยดาบบนอก ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ทันหายดี ช่วงเวลาที่นางอดอาหารนั้น ที่จริงแล้วควรจะรักษาร่างกายให้ดี 


 


 


สองสามวันมานี้ นางไม่ได้ฝันถึงบิดา แต่นางกลับฝันถึงท่านอ๋องอยู่หลายครั้ง 


 


 


เขายืนอยู่ข้างพุ่มดอกไม้สีเหลืองสด ยื่นมือมายังนางพร้อมรอยยิ้ม เวลากลางดึกเขาสะสางเอกสารราชการอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ บางครั้งได้พักลุกขึ้นยืนมองไปยังลายอักษรที่เขียนหวัดไปมานั้น เขานั่งบนเก้าอี้ไม้ที่กระท่อมน้อยเชิงเขา มองเด็กสาวผู้หนึ่งหัวเราะร่าเสียงดัง 


 


 


หนิงอวี้ยิ้มเศร้า คิดถึงคนึงหา จนเฝ้าฝันหาแม้ยามหลับไหล? ไม่รู้ว่ายามนี้ท่านอ๋องจะเป็นเช่นใด ไม่รู้ว่าเหิงโส่วถูกตีแตกหรือยัง หนิงอวี้ส่ายหน้า นางมิใช่สตรีที่ดีและก็มิใช่มารดาที่ดี ซ้ำยังมิใช่นายพลที่ดีด้วย 


 


 


“แม่นาง หมอมาวัดชีพจรเจ้าค่ะ” 


 


 


“คารวะแม่นาง” 


 


 


หนิงอวี้พยักหน้า ชายชราลุกขึ้นยืนตัวสั่นไหวๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าไหมผืนหนึ่งออกมาวางบนมือนาง 


 


 


ระหว่างที่ทำการตรวจก็สัมผัสโดนหลังมือนางโดยไม่ตั้งใจอยู่สองสามครั้ง หนิงอวี้ขมวดคิ้ว ก็เห็นชายชรากระพริบตาให้นาง มองไปยังหลังมือ คิดตามสักครู่จนแน่ชัดว่านั่นคืออักษรคำว่า ‘เว่ย’ 


 


 


“ข้าอยากกินขนมถวนหยวน” 


 


 


หนิงอวี้หันหน้าไปสั่งสาวใช้ สาวใช้ขมวดคิ้ว ขานตอบเสียงเบาแล้วค้อมกายคำนับเดินจากไป 


 


 


ด้านข้างยังมีสาวใช้อีกนาง หนิงอวี้ออกคำสั่งต่อว่า “ประเดี๋ยวข้าจะไปสวนดอกไม้” 


 


 


“เพคะ” 


 


 


สาวใช้ที่อยู่อีกสี่มุมไม่อาจออกคำสั่งให้ออกไปได้ มิเช่นนั้นจะถูกสงสัยเอาได้ 


 


 


ระหว่างที่วัดชีพจร ก้อนกระดาษขยุ้มก้อนหนึ่งหล่นจากแขนเสื้อหมอมายังขอบเตียง หนิงอวี้ยื่นมือไปด้วยความเงียบ ใช้แขนเสื้อปกปิดก้อนกระดาษแผ่นนั้นไว้ 


 


 


“ถวายบังคมองค์รัชทายาท ขอองค์รัชทายาททรงพระเจริญพันปี พันๆ ปี” 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 284 รักแท้ เคียงข้างกันจนวันตาย 


 


 


หนิงอวี้ประสานตากับผู้เฒ่าก็เห็นความตื่นตระหนกกลางนัยน์ตาเขา นางพยายามสงบอารมณ์แล้วพยักหน้าเบาๆ ผู้เฒ่าแววตาจ้องนิ่ง หลังจากประสานสายตากับนางก็คุกเข่าลงกับพื้น 


 


 


“ถวายบังคมองค์รัชทายาท ขอจงทรงพระเจริญพันปีพันๆ ปี” 


 


 


หนิงอวี้ยื่นเหยียดมือในแขนเสื้อที่กว้างแล้วซ่อนก้อนกระดาษเอาไว้ บนใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มเรียบๆ เจือด้วยความเย้ยหยัน 


 


 


“องค์รัชทายาท จะให้หญิงสาวชาวบ้านถวายบังคมด้วยหรือไม่เพคะ” 


 


 


มู่หรงเหยียนถูกโจมตีด้วยคำพูดหนึ่งประโยค สีหน้ายังคงเดิมไม่เปลี่ยน เขานั่งลงข้างกายหนิงอวี้อย่างสงบนิ่งแล้วพูดเสียงเบากับหมอที่กำลังคุกเข่ากับพื้น 


 


 


“ข้าเห็นนางดูมีน้ำมีนวลไม่น้อย คงได้รับการดูแลมาอย่างดี เพียงแต่กลางคืนมักจะสะดุ้งตื่นตลอด ท่านหมอพอจะสั่งยาสงบอารมณ์สักสองสามตัวให้บ้างได้หรือไม่” 


 


 


หนิงอวี้ได้ยินคำพูดเขาก็ทำเสียงเยาะ นับแต่ถูกจับได้ว่านางลอบฉีกผ้าหมายจะหลบหนีในวันนั้น กลางคืนข้างเตียงก็จะมีสาวใช้เพิ่มขึ้นอีกสองนาง ไม่ว่าจะยามใด เมื่อนางลืมตาทั้งคู่ขึ้น มักจะเห็นดวงตาเป็นประกายสองคู่ท่ามกลางความมืดมิด 


 


 


“เอ่อ…” 


 


 


มือทั้งคู่ของหมอสั่นเทาอย่างไม่รู้ตัว ครั้นแล้วก็พยายามสงบอารมณ์ 


 


 


“ดูแลได้ไม่เลว ชีพจรสงบ ตอนสะดุ้งตื่นกลางดึก มีเหงื่อออกปากแห้งบ้าง มือเท้าเย็นหรือไม่” 


 


 


หนิงอวี้ส่ายหน้า หมอผู้นั้นโค้งคำนับ 


 


 


“ในเมื่อเช่นนี้ ข้าจะจ่ายน้ำแกงยาให้สองสามตัว เพียงแต่ ไข้ใจนี้มิต้องการหมอยา ทุกวันหากแม่นางทำใจให้สงบ ก็จะหายได้ดั่งใจ” 


 


 


สาวใช้หยิบเสื้อคลุมเข้ามา มู่หรงเหยียนขมวดคิ้ว 


 


 


“วันนี้อากาศหนาว พักอยู่ในห้องไม่ดีกว่าหรือ” 


 


 


หนิงอวี้กวาดสายตามองเขาแล้วยื่นมือขึ้นไปคว้าเสื้อคลุมขึ้นสวม 


 


 


สาวใช้สัมผัสได้ถึงความโกรธเคืองของรัชทายาท มือที่ถือถาดอยู่ก็สั่นขึ้นอย่างห้ามมิได้ ครู่หนึ่ง กลับได้ยินรัชทายาทผู้ซึ่งพูดคำไหนคำนั้นพูดจู้จี้จุกจิกออกมาว่า “ในเมื่อเช่นนั้น เปลี่ยนเป็นหนังจิ้งจอกดีหรือไม่ จะได้อุ่นขึ้นสักหน่อย” 


 


 


หนิงอวี้สีหน้าเรียบเฉย นางเดินไปยังประตูช้าๆ กลับถูกองครักษ์ที่เขาพามาด้วยขวางเอาไว้ หนิงอวี้รู้สึกโมโหขึ้นมาเล็กน้อย ชั่วอึดใจ สาวใช้ก็หยิบผ้าคลุมไหล่หนังจิ้งจอกสีขาวดั่งหิมะเข้ามา 


 


 


มู่หรงเหยียนหยิบผ้าคลุมไหล่มา เดินไปยังนางแล้วแกะสายรัดผ้าคลุมไหล่ จากนั้นเอาผ้าคลุมหนังจิ้งจอกนั้นพันรอบคอนาง หนิงอวี้รู้สึกปวดร้าวใจ บนหน้ากลับยิ้มเยาะขึ้นมาหนึ่งที 


 


 


 “องค์รัชทายาทไยจึงต้องเสแสร้งแกล้งทำ หากพระองค์ปล่อยหญิงชาวบ้านเช่นหม่อมฉันไป ต่อให้หม่อมฉันหนาวตายท่ามกลางหิมะก็จะไม่ถือโทษโกรธแค้นเลย” 


 


 


มือที่กำลังโบกของมู่หรงเหยียนหยุดลง ใบหน้าที่เรียบเฉยปรากฏความโกรธเกรี้ยวขึ้น หนิงอวี้เลิกคิ้ว แล้วผินกายจากไป 


 


 


 “อวี้เอ๋อร์ อย่าสร้างปัญหาเลย” 


 


 


เสียงที่คุ้นหู คำพูดที่คุ้นเคย หนิงอวี้ยั้งฝีเท้า ที่จริงนางก็อยากหันกลับไป กลับไปสู่อดีตเมื่อนานมาแล้ว 


 


 


กลับไปยังคืนก่อนปีใหม่วันนั้น นางคีบอาหารให้ท่านอ๋องแล้วดูพวกเขาทั้งสามคนดื่มสุราพูดคุยกัน ตอนนั้น นางมีทั้งรักและครอบครัว ตอนนี้ ครอบครัวตายจากไปแล้ว รักก็อยู่ห่างจากนางไกลแสนไกล 


 


 


ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เจ้ามอบให้ข้าหรือ แต่เจ้ากลับบอกข้า ว่าอย่าสร้างปัญญา หนิงอวี้ดวงตาแดงระเรื่อ นางหันกายกลับช้าๆ แล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “คนที่สร้างปัญหาคือเจ้ามาโดยตลอดต่างหาก” 


 


 


นางพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นเหมือนจะร้องไห้ มู่หรงเหยียนชะงักเล็กน้อย ครั้นแล้วก็โบกมือส่งสัญญาณให้ผู้คนให้ถอยออกไป สาวใช้ทยอยเดินตามกันออกไป ประตูถูกปิดลง เหลือไว้เพียงความเงียบงัน 


 


 


 “การตายของท่านพ่อบุญธรรม หาใช่สิ่งที่ข้าต้องการไม่” 


 


 


“หนิงอวี้ชำเลืองขึ้นจ้องเขาพลางพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “การตายของท่านพ่อเกี่ยวข้องกับเจ้า หรือว่ามิใช่” 


 


 


มู่หรงเหยียนอึ้งงันอยู่นาน แล้วจึงพยักหน้าช้าๆ 


 


 


“เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า การตายของท่านพ่อ เจ้าได้ประโยชน์หรือไม่” 


 


 


มู่หรงเหยียนกลืนน้ำลายดังเอือก กลับได้แต่พยักหน้ายิ้มเจื่อน ใช่แล้ว เขาได้ประโยชน์ เขามีส่วนร่วม แล้วจะบอกว่าตนบริสุทธิ์ได้อย่างไร 


 


 


“แต่…” 



ตอนที่ 285 แผ่นดินกว้างใหญ่ มิอาจเทียบรอยยิ้มหญิงงาม


 


 


หนิงอวี้จ้องเขาอย่างสงบ ครั้นแล้วมู่หรงเหยียนก็รู้สึกขึ้นมาอย่างชัดเจนว่าเบื้องหลังใบหน้าอันนิ่งสงบนั้นคือความดิ้นรนอย่างเจ็บปวด


 


 


“พูดสิ”


 


 


หนิงอวี้เหยียดมุมปาก น้ำตาไหลพรั่งพรู


 


 


“พูดสิ พูดมาว่าเจ้าไม่ได้คลั่งไคล้ตำแหน่งนี้ พูดมาว่าเจ้าไม่เคยคิดอยากให้ท่านตาย”


 


 


“พูดว่าเจ้า ไม่เคยคิด ที่จะใช้ศีรษะท่านแลกกับตำแหน่ง!” หนิงอวี้ตะโกนดังทั้งร้องไห้ น้ำตาไหลอาบ “บอกข้าว่า เจ้าไม่มีความคิดนี้เลยแม้แต่น้อย!”


 


 


แผ่นหลังมู่หรงเหยียนเหยียดตึงชะงักอึ้งกับที่ หนิงอวี้หัวเราะออกมาเสียงดัง นางชี้นิ้วไปยังเขาพลางระเบิดเสียงหัวเราะจนตัวสั่น น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย


 


 


“มู่หรงเหยียนเอ๋ยมู่หรงเหยียน แล้วแบบนี้ เจ้าจะบอกว่าเจ้าบริสุทธิ์ได้อย่างไร”


 


 


มู่หรงเหยียนหลุบสายตาลง เห็นหนิงอวี้ที่กำลังร้องไห้สลับหัวเราะ ท่าทีดูคลุ้มคลั่งอย่างมาก นางหัวเราะจนแก้มเริ่มแดง  เผยให้เห็นลักยิ้ม น้ำตาเอ่อรื้นหางตา ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความระทมเศร้า


 


 


เขาควรพูดอย่างไรดี ความคิดชั่วช้าเช่นนี้ เขาเคยมี แต่ชั่ววินาทีเขาก็ปฏิเสธความคิดนั้น ทั้งยังส่งหมอออกไปรักษา แต่น่าเสียดาย…ที่ถูกจับได้ก่อน ดังนั้นเขาจึงถูกส่งไปปิดล้อม


 


 


แต่นี่จะมีความหมายอย่างไร หลังจากการต่อสู้กันเองในจิตใจ เขาก็ยังคงนำทหารออกไปปิดล้อมหนิงอวี้


 


 


หนิงอวี้หัวเราะอยู่นาน หัวเราะจนปวดท้องน้อยจึงได้อ้าปากเอ่ยคำด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาทั้งคู่ของนางเย็นชาดั่งน้ำแข็ง  จ้องนิ่งไปยังมู่หรงเหยียน


 


 


“จำเป็นเช่นไร ทั้งที่ตัวเองเต็มไปด้วยความคิดชั่วร้าย แล้วจะมาทำทีเป็นบริสุทธิ์เพื่ออะไร”


 


 


หนิงอวี้ย่นคิ้ว แล้วหมุนตัวเดินจากไป


 


 


มู่หรงเหยียนลำบากใจยิ่งนัก เขายกมือขึ้นค้ำผนัง


 


 


——


 


 


 “ฝ่าบาท มิได้เด็ดขาดเลยนะพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“ฝ่าบาท ทรงใคร่ครวญด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ฝ่าบาท เรื่องราวยังไม่ปรากฏข้อสรุปชัดเจน มิควรปะทะกับราชวงศ์เหนือนะพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ฝ่าบาท ไม่นานก่อนหน้านี้เรารบมาแล้วหนึ่งครั้ง หากออกทัพอีกครั้ง จะสิ้นเปลืองกำลังพลและเงินทองมากมายพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เว่ยหยวนในชุดคลุมลายมังกร กำลังนั่งอย่างสง่างามบนบัลลังก์มังกร เขามองไปยังเหล่าขุนนางที่คุกเข่าขมวดคิ้วเล็กน้อยบนพื้น ที่แท้ก็รู้สึกเช่นนี้เอง ราวกับก้มมองดูขบวนมด ขุนนางที่มาเข้าเฝ้า ยังเป็นเช่นนี้ แล้วประชาชนเล่าจะเป็นเช่นไร


 


 


เสียงทัดทานของเหล่าขุนนางดึงความคิดเขากลับมา เว่ยหยวนฟังคำพูดจู้จี้น่ารำคาญของผู้คนแล้วแค่นเสียงออกจมูกหนึ่งที


 


 


เสียงนั้นแผ่วเบาแต่มันกลับทำให้เหล่าขุนนางสงบปากลง เว่ยหยวนกวาดสายตามองผู้คนไปรอบด้วยใบหน้านิ่งเฉยแล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “เราตัดสินใจแล้ว หากใครกล้าขัดขวาง โบยให้ตายทันที”


 


 


เหล่าอาลักษณ์ต่างมองด้วยสายตาขุ่นเคืองแล้วขยับมือบันทึกเรื่องราวในวันนี้ ครั้นแล้วก็พูดออกมาเสียงเบาว่า “ทรราช” ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทั้งท้องพระโรงก็เงียบลงพลัน ได้ยินเพียงเสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันดังขึ้น


 


 


เว่ยหยวนยกมุมปากยิ้มแล้วลุกขึ้น ผู้คนต่างรอดูจนลืมหายใจ อาลักษณ์กุมพู่กันในมือแน่น ใบหน้าเผยให้เห็นความสัตย์ซื่ออย่างมิกลัวตาย


 


 


เสียงฝีเท้าดังขึ้น กลับเป็นเขาที่หันกายเดินจากไป เว่ยหยวนจดจ้องอีกฝ่าย ในใจกลับยังคงคิดถึงคำว่า “ทรราช” นั้น เขายอมรับและยังเห็นด้วย ทั้งไม่ใส่ใจว่าจะถูกครหาไปอีกหมื่นปี


 


 


ทำเช่นนี้ เหมือนกับกษัตริย์ไร้ความสามารถทอดทิ้งบ้านเมืองเพื่อหญิงงามโดยแท้ แต่ชั่วชีวิตนี้ที่เขาปรารถนามีเพียงแค่นางเท่านั้น


 


 


ได้ครองใต้หล้านั้นแม้จะดี แต่ที่สุดแล้วก็เทียบไม่ได้กับความงามชดช้อยของนางเลย เทียบไม่ได้แม้กระทั่งกอดอันแผ่วเบา ยามนางสะดุ้งตื่นกลางดึก


 


 


เขาต้องการครองแผ่นดินจริงๆ แต่นั้นเพียงเพื่อยืนยันว่าเขามิได้อ่อนแอไร้ความสามารถเท่านั้น


 


 


เขาเคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจคิดว่าตนไม่คู่ควรกับนาง นางมีปณิธานแน่วแน่ ทั้งฉลาด ทั้งมีไหวพริบ ทุกถ้อยคำที่สวยหรูก็ยังยากที่จะบรรยายความงามพร้อมของนางได้ แต่ตัวเขานั้น ไร้ค่า ต่ำต้อย อ่อนแอ…


 


 


เขาอยากโอบกอดนาง ปกป้องนาง ดังนั้นเขาจึงอยากมีตัวตนเหนือผู้คนนับหมื่น อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง เช่นนั้นแล้วจึงจะปกป้องนางได้ เช่นนี้จึงจะสามารถล้างภาพตนเองที่อ่อนแอไร้ความสามารถในอดีตได้


 


 


เลือกแผ่นดินหรือหญิงงาม ล้วนเป็นตัวเลือกอันยากสำหรับผู้เป็นกษัตริย์แต่โบราณมา แต่สำหรับเขานั้น ไม่จำเป็นต้องลังเลแม้เพียงชั่ววินาที


 


 


แผ่นดินก็ดี แต่เทียบมิได้กับกระโปรงแดงที่ปลิวไสวของอวี้เอ๋อร์ เทียบมิได้แม้คิ้วคมบางของนางที่เลิกขึ้น


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 286 ฆ่าตัวตายมิสำเร็จ


 


 


“วันนี้ยามจื่อ จะมีคนมาช่วยเจ้าหนี” หนิงอวี้กำแผ่นกระดาษแน่น พยักหน้าไปยังท่านหมอด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ท่านหมอสีหน้าหนักแน่น คุกเข่าลงกลับพื้นแล้วจากไป


 


 


“แม่นาง ลำไยตุ๋นลูกบัวเจ้าค่ะ”


 


 


สาวใช้เดินเข้ามาแล้วยกถาดขึ้นเหนือหัว หนิงอวี้กินมันอย่างไม่ใส่ใจ เพียงเพื่อฆ่าเวลารอเวลาจากไปเท่านั้น


 


 


เพื่อไม่ให้นางฟุ้งซ่าน หนิงอวี้รับลำไยตุ๋นลูกบัวมาแล้วใช้ช้อนตักขึ้นมาหนึ่งคำ หมอบอกว่าคืนนี้ยามจื่อ จะมีคนมาช่วยนาง เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มือข้างที่ถือช้อนแกงของนางก็อดมิได้ที่จะสั่นระริก


 


 


สงบสติ อย่าให้คนอื่นจับสังเกตได้ หนิงอวี้พยายามทำตัวให้สงบ แต่หัวใจกลับเต้นรัวไม่หยุด นางหลุบสายตาลง ช้อนตักแกงคำหนึ่งนั้นยังมิทันเข้าปาก ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาเป็นขบวน


 


 


หนิงอวี้วางช้อนลงในถ้วย ชำเลืองขึ้นมองยังประตู องครักษ์ชุดดำหมายจะบุกเข้ามาในห้อง แต่ถูกองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ขวางเอาไว้ คนผู้นั้นสีหน้านิ่งเฉย เขาล้วงแผ่นป้ายคำสั่งออกมาจากแขนเสื้อ


 


 


หนิงอวี้รู้สึกได้ว่าสถานการณ์กำลังไม่ดีจึงขยับถอยหลังโดยไม่รู้ตัว นางกวาดสายตามองทั่วห้องเพื่อหาอาวุธ สาวใช้ย่นคิ้วแล้วโบกมือไปยังสาวใช้ที่อยู่ด้านนอก สาวใช้นางนั้นจึงแอบลอบออกไปทางประตูข้าง


 


 


พลทหารองครักษ์เห็นดังนั้นก็ได้แต่สบตากัน ครั้นแล้วก็คุกเข่าลงกับพื้น องครักษ์ชุดดำโบกมือสีหน้าเรียบเฉย องครักษ์นับร้อยนายที่ตามหลังมาก็กรูกันเข้ามาในห้อง


 


 


องครักษ์ในชุดเกราะสีดำนับร้อยนาย ห้องที่กว้างขวางในตอนแรกกลับแออัดขึ้นมาจนอากาศไม่อาจถ่ายเท หนิงอวี้ค้นหาไปรอบๆ ก็หาอาวุธใดไม่พบ ได้ยินเพียงเสียงสอบถามอันเบาว่า “ผู้ที่มาคือใคร”


 


 


หัวหน้าองครักษ์โค้งคำนับ


 


 


“ท่านไปแล้วจะรู้เอง”


 


 


หนิงอวี้ได้ฟังก็มุ่นหัวคิ้ว ป้ายคำสั่งที่คนผู้นั้นล้วงออกมาสามารถทำให้องครักษ์ยอมปฏิบัติตาม เห็นได้ว่าเจ้าของป้ายคำสั่งป้ายนี้ที่อยู่เบื้องหลังต้องมีอำนาจสูงส่งเสียดฟ้าแน่


 


 


ในราชวงศ์เหนือ ผู้ที่มีอิทธิพลสูงกว่ารัชทายาท กล้าส่งคนบุกเข้ามายังตำหนักของชนชั้นสูงอย่างรัชทายาทได้…เห็นจะมีเพียงฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหนือเท่านั้น


 


 


หนิงอวี้ถอยหลังเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความตื่นตัวระวัง เขาคิดจับตัวนางคงมีแผนการบางอย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องคิดมาก ก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเกี่ยวข้องกับเว่ยหยวน


 


 


หัวหน้าองครักษ์ค่อยๆ ก้าวประชิด หนิงอวี้ก้าวถอยแต่หลังชนเข้ากับกำแพงซึ่งไร้ทางหนี หากว่า…หากว่าต้องเป็นภาระให้กับเว่ยหยวน…สู้เอาศีรษะโขกฆ่าตัวตายเสียดีกว่า


 


 


หนิงอวี้เห็นท่อนไม้ที่ตอกไว้แน่นบนหน้าต่าง ในใจก็พลันเกิดความเกี้ยวกราดปะทุขึ้นมากลางใจ บิดามารดาต้องตายเพราะนาง บนโลกนี้ไม่เหลือญาติพี่น้องอีกแล้ว นางอยากหวนกลับไปข้างกายท่านอ๋อง คิดไม่ถึงว่ากลับต้องมากลายเป้นภาระของเขา


 


 


เขาทนลำบากมาสองชาติ ชาติก่อนเขาต้องพ่ายแพ้เพราะนาง หรือแม้ชาตินี้ เขาต้องมาคอยเกรงกลัวกังวลเพราะนาง จนถูกผู้คนบีบบังคับ


 


 


หนิงอวี้หันกายกลับ นางอาศัยจังหวะที่ผู้คนไม่ทันตั้งตัวใช้ความเร็วดั่งสายฟ้าพุ่งชนโครงไม้ ตะปูบนโครงไม้ส่องแสงสะท้อน จนทำให้นางขมวดคิ้วขบฟัน เพียงแต่เด็กคนนี้ต้องมาพลอยรับทุกข์…ไม่มีโอกาสได้เห็นแสงตะวัน


 


 


หน้าผากเจ็บอย่างรุนแรง ชั่วอึดใจเดียว นางก็ถูกคนคว้ากลับ องครักษ์ชุดดำคว้าชายกระโปรงอันใหญ่โตหรูหราตัวนั้นและตรึงแขนทั้งสองของนางเอาไว้


 


 


มือทั้งคู่ของหนิงอวี้ถูกคว้าจนเกิดเจ็บขึ้นมา หน้าผากปวดแสบ หางตายังมองเห็นเลือดไหลผ่านอยู่ร่ำไร เจ็บ เจ็บไปหมดเลย หนิงอวี้ออกแรงถีบเท้าไปยังคนผู้นั้น องครักษ์ชุดดำไม่ทันระวังตัวจึงคลายแรงลงเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ได้รับ


 


 


หนิงอวี้ดิ้นหลุดจากมือเขาแล้วยืนขึ้นโซเซกำลังตั้งท่าจะพุ่งชนไปยังตะปูเหล็กนั้น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้นว่า “หยุดนะ! หยุดกันให้หมด!”


 


 


หนิงอวี้เหลียวกลับ มองไปยังมู่หรงเหยียนที่กำลังเดินเข้ามาอย่างรีบร้อนปราดหนึ่ง แล้วยิ้มบางหนึ่งที ครั้นแล้วก็หันกลับ พุ่งไปยังตะปูเหล็กนั้น องครักษ์ชุดดำยื่นมือออกไปคว้าชายเสื้อนางไว้ เสียงผ้าขาดดังขึ้น มู่หรงเหยียนเย็นสันหลังวาบ รีบจิกปลายเท้าลงพื้นโผเข้าไปทันที


 


 


วินาทีที่รอยแผลบนหน้าผากสัมผัสกับตะปู เดิมทีหนิงอวี้คิดว่าต้องกล่าวลาโลกนี้แล้ว คิดไม่ถึงว่า0tถูกมู่หรงเหยียนโผเข้ามาจนนางล้มลงกับพื้น


 


 


“อวี้เอ๋อร์ อย่า…อย่าทำโง่ๆ นะ!”


 


 


มู่หรงเหยียนลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน เขายื่นมือที่สั่นเทิ้มเช็ดเลือดที่ไหลอยู่บนหน้าผากนาง


 


 


“องค์รัชทายาท ฮ่องเต้ทรงส่งกระหม่อมมารับพระชา…หนิงอวี้กลับไปพ่ะย่ะค่ะ”



ตอนที่ 287 ตัดสินใจ


 


 


“ข้าจะไปด้วย ไปกราบทูลท่านพ่อ”


 


 


มู่หรงเหยียนใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดสดบนหน้าผากนางด้วยสีหน้าบึ้งตึง


 


 


“เจ้าวางใจนะ ข้าจะคุ้มครองเจ้าให้ดี”


 


 


หนิงอวี้ช้อนตาขึ้นมอง จดจ้องไปยังเขาด้วยแววตาเยือกเย็นไร้อารมณ์ ครั้นแล้วก็ใช้แขนเสื้อปิดไปบนแผลแล้วเดินไปยังประตู


 


 


พูดฟังดูดี เขาทรยศขายบิดา มาตอนนี้ บิดาของเขา ยังคิดจะขายนางอีกหรือ สมกับเป็นพ่อลูกกัน หนิงอวี้สัมผัสได้ถึงความปวดแสบบนหน้าผาก นางค่อยๆ คลายมือออก


 


 


ภายใต้แสงอาทิตย์ หนิงอวี้หรี่ตามองไปยังผู้คนที่เรียงแถวเป็นแนวกั้นอยู่ตลอดทางด้านหน้า มู่หรงเหยียนเดินไปยังข้างกายนาง จูงมือนางเข้าไปในรถม้าพร้อมกันโดยมีแขนเสื้อคั่นกลาง


 


 


เส้นทางบนเขาโคลงเคลง หนิงอวี้หลับตาทั้งคู่ลง


 


 


“คิดจะเอาข้าแลกกับอะไร องค์รัชทายาทคงคำนวณค่าตัวหม่อมฉันดีแล้ว หากเรียกราคาสูงมาก เกรงว่าฝ่าบาทคงไม่ยอมจ่ายนะเพคะ”


 


 


“…ข้าไม่เคยคิดเรื่องนี้ เรื่องในวันนี้ ข้าก็ไม่รู้ด้วย”


 


 


มู่หรงเหยียนกดเสียงต่ำพูด คิ้วขมวดแน่นเข้าด้วยกัน


 


 


“ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าก็จะคิดอยู่ดี”


 


 


หนิงอวี้ลืมตาทั้งคู่ขึ้น แววตาเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์แม้แต่นิด มู่หรงเหยียนก้มหน้า มือที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อกำหมัดแน่น


 


 


“เว่ยหยวนขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ พระราชโองการแรกของเขา คือประกาศศึกกับราชวงศ์เหนือ”


 


 


ความประหลาดใจปรากฏผ่านนัยน์ตาหนิงอวี้ปลาบหนึ่ง ครั้นแล้วก้มก็หน้าลงปิดซ่อนอารมณ์ตัวเอง


 


 


เมื่อมู่หรงเหยียนกล่าวคำพูดนี้จบก็ชำเลืองขึ้นสำรวจปฏิกิริยา จากมุมของเขาไม่อาจเห็นอารมณ์ของนางได้อย่างชัดเจนนัก เห็นเพียงขนตาที่สั่นระริกของนาง


 


 


“เขาอยากให้ราชวงศ์เหนือมอบตัวเจ้า มิเช่นนั้นชายแดนราชวงศ์เหนือก็จะเจิ่งนองไปด้วยเลือด”


 


 


หนิงอวี้ยื่นมือไปเค้นมุมหนึ่งของกระโปรง เหลวไหล เช่นนี้แล้ว มิต้องถูกตราหน้าเป็นคนบาปไปชั่วพันปีหรอกหรือ


 


 


แม้จะเป็นเช่นนั้น ในใจนางกลับรู้สึกยินดีขึ้นมาเล็กน้อย แสบปลายจมูกเหมือนจะร้องไห้ น้ำตาเกือบเล็ดออกมา เขาไม่เคยทอดทิ้งนาง ต่อให้เบื้องหน้ามีแต่ขวากหนามก็ตาม


 


 


เขาขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ คงต้องผ่านศึกอันเลวร้ายมาแล้วแน่ นางถึงกับไม่กล้าคิดว่าเขาแย่งตำแหน่งฮ่องเต้มาจากเว่ยหลิงได้อย่างไร


 


 


บางที นี่อาจเป็นโอกาสที่นางจะได้กลับไปข้างกายเขา หรือบางที นี่อาจเป็นวันแห่งความตายทิ้งชีวิตไปสู่ปรภพของนาง ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหนือ อำมหิตเจ้าเล่ห์ คงไม่หยุดเพียงแค่นี้แน่


 


 


รถม้าหยุดลงช้าๆ หนิงอวี้เดินลงรถม้าโดยมีสาวใช้คอยประคอง เบื้องหน้าคือหมัวมัวเฒ่านางหนึ่งกำลังเดินมาแล้วยอบกายคำนับอย่างอ่อนช้อย


 


 


“คารวะองค์รัชทายาท คารวะท่านนายพลหนิง”


 


 


มู่หรงเหยียนสีหน้าเคร่งเครียด ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวป้องนางเอาไว้หลังกาย เห็นท่าทีระวังตื่นตัวเช่นนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าหมัวมัวกลับไม่ได้น้อยลงแม้แต่นิด


 


 


“ฝ่าบาททรงให้เชิญพระองค์มาหารือด้วยเพคะ แม่นางนายพลหนิง เชิญตามข้าน้อยไปจิบชาที่ตำหนักด้านข้างก่อนนะเจ้าคะ”


 


 


“ดูแลนางให้ดี” มู่หรงเหยียนกำชับเสียงทุ้ม ความโหดเ**้ยมฉายผ่านแววตาปลาบหนึ่ง “หากบกพร่องแม้เพียงน้อย ข้าจะเอาชีวิตเจ้า”


 


 


“เพคะ”


 


 


มู่หรงเหยียนหันกลับแล้วยิ้มปลอบประโลมไปยังหนิงอวี้หนึ่งที


 


 


“เจ้ารอข้าก่อนนะ ข้าจะรีบกลับมา”


 


 


หนิงอวี้สีหน้านิ่งเฉยไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ นางยกมือขึ้นใช้ผ้าปิดลงบนแผล ราวกับด้านหน้านางนั้นว่างเปล่าไร้ผู้คน


 


 


มู่หรงเหยียนไม่ได้รับคำตอบอย่างที่หวัง จึงได้แต่ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน ครั้นแล้วก็รีบเดินเข้าไปยังท้องพระโรงอย่างรวดเร็ว หมัวมัวยอบกายคำนับแล้วนำทาง หนิงอวี้คอยตามอยู่ด้านหลัง


 


 


ตอนแรกคิดว่าคืนนี้เวลายามจื่อก็จะสามารถไปจากที่นี่ได้ คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน


 


 


สงบอารมณ์ไว้ จะต้องไม่เป็นภาระให้กับเว่ยหยวนเป็นอันขาด การจะหนีไปจากที่นี่ จะเป็นไปได้หรือไม่นั้น คำตอบนั้นแสนง่าย ที่นี่เป็นถึงวังหลวง มีองครักษ์อยู่นับพันนาย


 


 


หรือว่า นางจะได้แต่นั่งรอความตายหรือ รอจนสองพ่อลูกนั้นหารือค่าตัวนางเสร็จ แล้วขายนางให้กับเว่ยหยวนหรือ หนิงอวี้ขบริมฝีปาก ไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้นางตาย นางก็จะไม่ยอมให้พวกเขาได้สมหวัง


 


 


ศีรษะของบิดาทำให้เขาได้เป็นรัชทายาทในชุดมังกร นางจะไม่ยอมเป็นหมากในมือเขาเป็นอันขาด


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 288 นางตั้งครรภ์โอรสของลูก


 


 


กลางท้องพระโรงอันหรูหราโอ่อ่า มู่หรงเหยียนเดินเข้าไปสองสามก้าว คุกเข่าลงกับพื้น แล้วตะโกนขึ้นเสียงดัง “ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อ”


 


 


คนบนบัลลังก์มังกรสวมชุดคลุมสีสว่าง ร่างกายดูผ่ายผอม ใบหน้ากลับดูเต็มไปด้วยความฉลาดหลักแหลม เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปด้านหน้ามู่หรงเหยียน


 


 


“ลุกขึ้นเถิด บุตรแห่งเรา เจ้ามีเรื่องจะหารือกับพ่อหรือ”


 


 


“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ลูก…มาเพราะเรื่องของหนิงอวี้”


 


 


แย้มพระโอษฐ์บนพระพักตร์ฮ่องเต้ไม่เปลี่ยนไป ทรงโบกพระหัตถ์แล้วรับสั่ง “วันนี้เราได้รับรูปวาดมีชื่อผืนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเหยียนเอ๋อร์จะชอบหรือไม่”


 


 


หัวหน้าขันทีสะบัดแส้ในมือ ขันทีสองนายก็ยกม้วนภาพม้วนหนึ่งเดินเข้ามา ทั้งสองยืนอยู่ข้างปลายทั้งสอง แล้วค่อยๆกางภาพออก


 


 


 “เสด็จพ่อ…”


 


 


“เหยียนเอ๋อร์ดูภาพนี้สิ เพียงแค่ขยับพู่กันเพียงไม่กี่ทีก็สามารถวาดออกมาได้ยิ่งใหญ่ทรงพลังยิ่งนักแล”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


มู่หรงเหยียนเห็นพระองค์ไม่มีพระทัยจะหารือ จึงได้แต่รับคำ


 


 


“เป็นภาพวาดที่เยี่ยม!” ฮ่องเต้ทรงกล่าวชมไม่ขาด “เอาไปเก็บไว้ในห้องเก็บภาพ”


 


 


หัวหน้าขันทีขานรับ ขันทีทั้งสองนายม้วนภาพเก็บแล้ววางลงใน**บไม้


 


 


มู่หรงเหยียนกระแอม เตรียมจะเอ่ยคำก็ได้ยินพระองค์รับสั่งว่า “เจ้าอยากพูดอะไร”


 


 


“ลูกหวังที่จะ…ให้หนิงอวี้อยู่ต่อพ่ะย่ะค่ะ ประการแรก นางมีเลือดเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์เหนือ ประการที่สอง เว่ยหยวนเจ้าเล่ห์เพทุบาย อาจจะยอมเผชิญการครหาของผู้คนของทั่วหล้าเพียงเพื่อสตรีเพียงนางเดียว ลูกคิดว่า เรื่องนี้ต้องเป็นแผนโดยแน่ เว่ยหยวนจิตใจเก็บซ่อนความชั่วร้าย…”


 


 


“รัชทายาท เจ้าดูภาพวาดเมื่อครู่ ช่างถูกใจเรายิ่งนักแต่แล้วนั่นอย่างไรเล่า” ฮ่องเต้ยื่นพระหัตถ์ ประคองมู่หรงเหยียนที่กำลังคุกเข่ากับพื้นลุกขึ้น “ก็เพียงของสะสมที่ถูกเก็บไว้ในห้องภาพ เพื่อดูเล่นยามว่าง”


 


 


“ภาพวาดที่สวยยิ่งกว่า สามารถแทนที่มัน หรือไม่ก็ หากวันหนึ่งมันถูกเก็บรักษาไว้ไม่ดี ย่อมสูญเสียอรรถรสไปตามกาลเวลา”


 


 


“เข้าใจหรือไม่ เพียงแต่กุมอำนาจไว้ในมือ ภาพวาดจึงยิ่งงามยิ่งดี…”


 


 


มู่หรงเหยียนส่ายหน้าช้าๆ แต่หนักแน่น เขาพูดขึ้นเสียงเบา “นางไม่ใช่เช่นนั้น”


 


 


นางมิใช่ของเชลย ซ้ำมิใช่ของสะสม นางคือหนิงอวี้ ต่างจากนางในทั้งสามพันนางในวังหลัง ต่างจากหญิงงามอรชรทั่วไป


 


 


แน่นอน การมีอำนาจ ยิ่งได้มาซึ่งสิ่งที่มากกว่า ดั่งเช่นภาพวาด ดั่งเช่นหญิงงาม ทว่า เขาล้วนไม่ต้องการ


 


 


ฮ่องเต้ทรงเม้มพระโอษฐ์ พระโอษฐ์ที่แย้มน้อยๆ ดูมากเล่ห์ที่ปรากฏเลือนรางนั้นก็พลันหายไป รัชทายาทของพระองค์ แค่มองก็ทะลุปรุโปร่ง เพื่อที่จะป้องกันมิให้รัชทายาทถูกรักครอบงำ พระองค์จึงทรงตั้งใจชี้แนะ คิดไม่ถึง ว่าเขาได้ฟังอย่างชัดเจนแล้ว กลับไม่ยอมปฏิบัติตาม


 


 


“บอกเหตุผลเรามาสักข้อ เพื่อยืนยันว่านางมีคุณค่าอย่างมากกว่านี้”


 


 


มู่หรงเหยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดโพล่งออกมาสองสามคำว่า “นางตั้งครรภ์โอรสของลูกพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฮ่องเต้ทรงหรี่พระเนตร จดจ้องนิ่งไปยังเขาอย่างพินิจ ราวกลับทรงมองทะลุความคิดเขา


 


 


“เราจำได้ ว่าเจ้าสังหารขุนพลหนิง”


 


 


ความเจ็บปวดปรากฏกลางนัยน์มู่หรงเหยียนปลาบหนึ่ง มือทั้งคู่ที่กำหมัดของเขาสั่นขึ้นเบาๆ


 


 


“นางเกลียดลูก แต่ก็มิอาจหยุดความรักที่ลูกมีต่อนางพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“นางเป็นพระชายาในจิ่นอ๋อง”


 


 


กลางพระเนตรฮ่องเต้เต็มไปด้วยความสงสัย ทรงชำเลืองขึ้นมองไปยังหัวหน้าขันทีปราดหนึ่ง หัวหน้าขันทีเข้าใจความหมาย จึงหันกายเดินจากไป


 


 


“ลูก…ขืนใจนางพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อหากมิทรงเชื่อ จะส่งคนมาตรวจก็ได้ นางตั้งครรภ์มาเดือนกว่าแล้ว ตรงกับช่วงเวลาที่ลูกพานางมาพอดี”


 


 


อวี้เอ๋อร์ผ่ายผอม แม้จะได้รับการบำรุงบ้างแล้ว แต่ขนาดท้องกลับแตกต่างกับสตรีอายุครรภ์สองเดือนโดยทั่วไป


 


 


หากหมอหลวงดูไม่ออก นั่นก็น่ายินดีอย่างยิ่ง หากหมอหลวงดูออก ขอเพียงเขาเจรจากับอวี้เอ๋อร์ให้ดี กำหนดวันที่ชัดเจน อาจจะลองพูดว่าอายุครรภ์ยังน้อย ระบุไม่ชัดเจนย่อมเป็นเรื่องปกติ


 


 


มู่หรงเหยียนคุกเข่าลงกับพื้น เพื่อแสดงออกซึ่งการตัดสินใจแน่วแน่สีหน้าสัตย์ซื่อ แต่ในใจกลับกำลังใคร่ครวญว่าจะเชิญหมอหลวงคนใดมายืนยันคำพูดตนดี


 


 


เวลาผ่านไปก็เนิ่นนาน ยากที่จะไม่เป็นที่สังเกตว่าสถานการณ์ในตอนนี้ การให้อวี้เอ๋อร์อยู่ที่แห่งนี้ต่อย่อมไม่ดีอย่างแท้จริง…แต่หากเขาปล่อยนางจากไป…เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!


 


 


คิดถึงเลือดสดที่ไหลอาบหน้าผากนาง รอยยิ้มอันเย็นชาเมื่อนางกระโจนเข้าสู่ความตาย มู่หรงเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกหวั่นไหวไม่น้อย



ตอนที่ 289 ปล่อยเจ้าไป


 


 


หนิงอวี้ถือจอกด้วยใบหน้าซีดขาว ท้องฟ้าดำสลัวไปทั่ว หมัวมัวบนโลกนี้ล้วนแต่โหดร้ายตามคาด


 


 


“อวี้เอ๋อร์ เจ้าสบายดีหรือไม่”


 


 


มู่หรงเหยียนรีบเดินเข้ามา ใบหน้าเป็นกังวลอย่างมิอาจปิดซ่อน หนิงอวี้พยักหน้า หมัวมัวที่อยู่ไม่ห่างจากที่นั่นส่งยิ้มอย่างอ่อนน้อม


 


 


“องค์รัชทายาททรงกำชับ หม่อมฉันจึงระวังเป็นพิเศษเพคะ”


 


 


ทันทีที่เข้าสู่ห้อง นางก็ถูกสตรีร่างใหญ่แรงเยอะสองสามนางคว้าตัว หมัวมัวสำรวจท้องนาง ลูบเคาะดูอายุครรภ์ หนิงอวี้รู้สึกอับอายถึงที่สุด นางไม่ตอบคำถามใดๆ สักคำ


 


 


ครู่หนึ่งผ่านไป หมัวมัวก็สวมชุดให้นางแล้วยกน้ำชามาให้ หนิงอวี้นึกถึงฉากเมื่อครู่ก็อดไม่ได้ที่จะมือสั่น จนน้ำชาในจอกกระเพื่อมขึ้นมา


 


 


มู่หรงเหยียนรู้แก่ใจดี เขาชำเลืองมองหมัวมัวปราดหนึ่งด้วยสีหน้าอันนิ่งเฉย รอยยิ้มมุมปากอันภาคภูมิของหมัวมัวพลันเหือดไป นางรีบค้อมกายลง


 


 


“ประเดี๋ยวฮ่องเต้จะเสด็จ จะทรงถามบางเรื่องจากเจ้า…เจ้าแค่คล้อยตามคำพูดข้าก็พอ”


 


 


ไม่ทันที่หนิงอวี้จะถามกลับ ก็ได้ยินเสียงแหลมเสียงหนึ่งตะโกนเสียงดังขึ้นจากประตู “ฮ่องเต้เสด็จ” ผู้คนในห้องต่างคุกเข่าลงกับพื้น มีเพียงหนิงอวี้เท่านั้นที่ยืนอยู่อย่างหยิ่งผยอง


 


 


นางเป็นนายพลราชวงศ์ใต้ เป็นถึงพระมเหสีองค์แรกของฮ่องเต้ราชวงศ์ใต้ จะคุกเข่าได้อย่างไร มู่หรงเหยียนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เขายกมือขึ้นดึงชายเสื้อนาง หนิงอวี้ปล่อยให้เขาสะกิดบอกสัญญาณ ยังคงยืดตัวหลังตรงตระหง่านอยู่อย่างนั้น


 


 


บรรยากาศดูตึงเครียด เสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้นทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนั้น ฮ่องเต้ราชวงศ์เหนือทรงสรวลพร้อมลูบไปบนพระมัสสุ หัวหน้าขันทีคอยตามติดพระวรกายยิ้มรับอย่างเจ้าเล่ห์


 


 


“หนิงอวี้ เจ้าเหมือนกันกับเซียงเอ๋อร์มาก”


 


 


หนิงอวี้พยักหน้าอย่างสงบนิ่ง ดูแล้วฮ่องเต้จะทรงรู้เชื้อสายของนางเป็นอย่างดี แต่แล้วอย่างไรเล่า มารดาเป็นเพียงเชื้อสายห่างๆ กับเชื้อพระวงศ์รางวงศ์เหนือ ทั้งยังต้องเสียสละความสุขตน เพื่อไปแต่งงานกับกษัตริย์อาณาจักรเล็กๆ แห่งหนึ่ง


 


 


บนกายนาง มิได้มีเพียงสายเลือดราชวงศ์เหนือแต่ยังมีเลือดราชวงศ์ใต้ด้วย นางไม่เชื่อ ว่าคนที่อยู่เบื้องหน้านางผู้นี้จะยอมปล่อยนางไป หนิงอวี้ยกมือขึ้นลูบบนเอวโดยสัญชาตญาณ แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า


 


 


“ตอนนั้นเซียงเอ๋อร์จากไปไม่หวนกลับ หากรู้ว่าบุตรสาวกลับมา เกรงว่านางคงสะท้อนใจมิน้อย” ฮ่องเต้ทรงเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าก็อยู่ที่นี่อย่างวางใจเถิด รักษาครรภ์ให้ดี”


 


 


หนิงอวี้นิ่งอึ้ง พระองค์จะปล่อยนางไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ รักษาครรภ์…หรือว่าจะทรงคิด ว่านี่คือลูกของมู่หรงเหยียน หนิงอวี้หลุบสายตาลงทั้งประหลาดใจ ก็สบเข้ากับแววตาที่ดูซับซ้อนของมู่หรงเหยียนพอดี


 


 


“ลุกขึ้นมากันเถอะ”


 


 


มู่หรงเหยียนลุกขึ้นยืน แล้วยื่นมือไปจูงมือหนิงอวี้ เหมือนกับสามีที่รักใคร่หวงแหนภรรยา หนิงอวี้เตรียมจะสลัด ก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเขียนบนกลางฝ่ามือ หนิงอวี้พิเคราะห์อยู่ชั่วครู่ จึงรู้ได้ว่านั่นคือคำว่า ‘คล้อยตาม’


 


 


“เราจะเร่งให้ฝ่ายในเตรียมงานมงคลให้พวกเจ้าโดยเร็วเป็นพิเศษ สิ้นเดือนน่าจะแต่งงานได้”


 


 


“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ ลูกรักใคร่อวี้เอ๋อร์มานานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว พอได้สติกลับก็สัมผัสได้ถึงนิ้วมือที่เลื่อนไปมา นั่นคือคำสามคำที่ว่า ‘ปล่อยเจ้าไป’


 


 


‘ปล่อยข้าไป?’ หนิงอวี้ตาเบิกโพลงแล้วหันหน้าไปมองมู่หรงเหยียนอย่างประหลาดใจ มู่หรงเหยียนไม่ใส่ใจ เขายื่นมือไปลูบไล้เรือนผมนางด้วยท่าทางรักใคร่ลุ่มหลงอย่างมาก


 


 


——


 


 


รถม้าวิ่งโคลงเคลง หนิงอวี้เห็นว่าจากออกมาไกลแล้ว จึงได้ถามขึ้นเสียงทุ้ม “หมายความอย่างไรกัน ยอมปล่อยข้าไปแล้วหรือ”


 


 


มู่หรงเหยียนชำเลืองขึ้น เห็นบนหน้าผากที่มีคราบเลือดของนางกำลังขมวดคิ้วน้อยๆ เขาตอบ “อืม ข้าจะหาโอกาส ส่งเจ้าไปเงียบๆ”


 


 


สำหรับเมื่อไหร่นั้น คงบอกได้ยาก หนิงอวี้ตอนนี้จิตใจไม่สงบ ยากจะยืนยันได้ว่านางจะทำอะไรอันตรายขึ้นอีกหรือไม่ โดยนิสัยนางแล้ว หากอยู่ในสภาวะจนตรอกยิ่งใจร้อนเหลือคณา


 


 


แรกสุดคิดฆ่าตัวตาย คงเพราะไม่อยากเป็นภาระให้กับเว่ยหยวน ตอนนี้เพื่อไม่ใช่ภาระของเขาแล้ว หากจะให้นางตอบรับเป็นชายาตน อวี้เอ๋อร์เกลียดเขาเข้ากระดูกดำ ต้องไม่ยอมตอบรับอย่างแน่นอน


 


 


หากไม่ให้ความหวังนางสักหน่อย เกรงว่าคงก่อเรื่องเอะอะใหญ่โต…มู่หรงเหยียนล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วเช็ดคราบเลือดบนหน้าผากนางอย่างระมัดระวัง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 290 ผู้มาเยือนที่ไม่ปรารถนาดี


 


 


“ฝ่าบาท กระหม่อมมิได้ข่าวเว่ยหลิงเลยพ่ะย่ะค่ะ” มั่วหลีก้มลง คุกเข่าลงกับพื้น “ขอฝ่าบาททรงลงอาญาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


พู่กันขนเพียงพอนในมือหยุดขยับ วินาทีถัดมาก็เริ่มเขียนเอกสารราชการอย่างคล่องแคล่วอีกครั้ง เมื่อจบประโยค เว่ยหยวนก็พับเอกสารแล้วถามว่า “ครั้งสุดท้ายปรากฏตัวที่ใด”


 


 


“ชายแดนระหว่างราชวงศ์เหนือและราชวงศ์ใต้ กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ สมควรตายเป็นหมื่นครั้งพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ไม่จำเป็นต้องตายเป็นหมื่นครั้งหรอก งานมงคลเจ้ากับหงหลิงหลังจากนี้อีกไม่กี่เดือนแล้วสินะ”


 


 


มั่วหลีพยักหน้ารับโดยพลัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ


 


 


“ฝ่าบาท นี่….”


 


 


“ออกไป”


 


 


เว่ยหยวนกางจดหมายออก ระงับคำถามเขาไว้อย่างใจเย็น คำสั่งเสียของอวี้เอ๋อร์คือให้หงหลิงได้แต่งงานกับมั่วหลีอย่างสมเกียรติ เขาได้ตระเตรียมการไว้อย่างดี


 


 


แต่อวี้เอ๋อร์ยังมีชีวิต คงจะได้กลับมาในเร็ววัน นางคงหวังจะได้เคียงข้างหงหลิงทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ เว่ยหยวนถอนหายใจหนึ่งที แล้วยื่นมือไปสีหยกประดับบนเอว


 


 


——


 


 


หนิงอวี้เอนกายนอนบนเตียงประดับแก้ว มองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ตำหนักรัชทายาทย่อมหรูหราโอ่อ่ากว่าตำหนักกลางเขาอยู่แล้ว ถ้วยทองตะเกียบเงิน โคมแก้ว ช่างเป็นภาพที่หรูหราฟุ้งเฟ้อฉากหนึ่ง


 


 


ผ่านไปครึ่งชั่วยาม มู่หรงเหยียนก็มารับอาหารเที่ยง บุคลิกงามสุขุม เปี่ยมด้วยความทระนงแห่งรัชทายาท แต่นางกลับอดมิได้ที่จะคิดถึง เด็กชายที่หน้าตามอมแมมไปด้วยฝุ่นดินเพื่อจับไก่ป่าผู้นั้น


 


 


มู่หรงเหยียนบอกว่าจะปล่อยนางไป เรื่องอื่นนั้นไม่ได้กล่าวถึง หนิงอวี้ย่นคิ้ว บางทีอาจเป็นเพียงคำพูดเพื่อป้องกันไม่ให้นางคิดฆ่าตัวตายเท่านั้น เขาคิดสิ่งใดอยู่ นางไม่อาจรู้และคาดเดาไม่ถูก


 


 


“พระชายารองเสด็จ ยังไม่รีบถวายความเคารพอีก”


 


 


“คารวะพระชายารอง”


 


 


หนิงอวี้ช้อนตาขึ้นมองก็เห็นสตรีนางหนึ่งในชุดหรูหราสีสันสดใส บนศีรษะประดับปิ่นดอกไม้ไหวอยู่หลากหลาย จังหวะก้าวเดินแบบบางพลิ้วไหวดั่งต้นหลิวต้องลม มีเสียงหยกกระทบเงินดังขึ้นเป็นระยะ


 


 


หนิงอวี้ลุกขึ้นนั่ง ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอนกายลงนอนต่อ แม้แต่ฮ่องเต้ราชวงศ์เหนือยังไม่ถวายบังคม ไยจะต้องถวายความเคารพสตรีนางนี้ด้วย อีกทั้งนางยังเป็นพระชายารองมู่หรงเหยียน ต้องมาหาเรื่องอย่างแน่นอน แต่หากผู้มาเยือนไม่ปรารถนาดี คงต้องเอาเรื่องที่นางไม่ถวายความเคารพอย่างแน่นอน


 


 


หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว รู้สึกรำคาญใจเต็มประดา


 


 


“บังอาจ! พบพระชายารองแล้วยังไม่คุกเข่าถวายความเคารพอีก!”


 


 


เสียงตะคอกหนึ่งทำเอาหนิงอวี้เกิดปวดศีรษะขึ้นมา จึงได้แต่ลุกขึ้นนั่งแล้วพูดว่า “ข้าเป็นนายพลราชวงศ์ใต้ นางเป็นพระชายารองในรัชทายาทแห่งราชวงศ์เหนือ ไยข้าจึงต้องถวายความเคารพด้วย”


 


 


“นี่…ในเมื่อเจ้าต้องเป็นสนมขององค์รัชทายาทแล้ว ย่อมต้องคุกเข่าคารวะพระชายารอง”


 


 


หนิงอวี้ชำเลืองขึ้นมองบ่าวหญิงนางนั้นปราดหนึ่ง บ่าวหญิงถูกสายตานางทำให้หวาดกลัวจนก้าวถอยหลังสองสามก้าว


 


 


หลังจากบ่าวหญิงนั้นเผยความหวาดกลัวออกมาก็สังเกตเห็นสีหน้าผู้เป็นนายดูไม่ยินดีนัก จึงได้แต่ก้าวเข้ามาข้างหน้าสองสามก้าว


 


 


“เติบโตกลางป่าเขากลางกองค่ายทหาร ไร้การอบรมสิ้นดี”


 


 


“ซวงหวา ไม่ต้องพูดมาก”


 


 


สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้ว พระชายารองรัชทายาทสีหน้ากลับไม่ยินดี


 


 


นางถือกำเนิดในตระกูลขุนนางชั้นสูง คนนับไม่ถ้วนล้วนแต่ให้ความนับถือ ทุกสิ่งอย่างล้วนราบรื่นดั่งสายน้ำ จนปีนป่ายขึ้นสู่ตำแหน่งพระชายารอง เพียงรอให้ถึงวันที่นางให้กำเนิดทายาท ก็จะมีพระราชโองการ แต่งตั้งนางให้เป็นชายาเอก


 


 


ท่ามกลางสายตาผู้คนที่ลอบมอง หญิงสาวป่าเถื่อนจากราชวงศ์ใต้กลับกล้าดูแคลนนาง! พระชายารองรัชทายาทโกรธจัด จนใบหน้าอันงามประณีตดวงนั้นไม่อาจปิดซ่อนความโกรธเอาไว้ได้


 


 


“วันนี้ข้าจะอบรมเจ้าให้ดี ให้เจ้ารู้จักระเบียบสักหน่อย แม้นออกไปภายนอก จะเป็นที่ครหาแก่ผู้คน ว่าธรรมเนียมแบบแผนของตำหนักอุดรนั้นเสื่อมทราม”


 


 


“เข้ามา จับนางคุกเข่าลง!”


 


 


หนิงลู่เห็นนางกำลังโมโห จึงพูดเตือนเสียงเบาว่า “นายหญิง องค์รัชทายาททรงโปรดปรานนางนัก ท่าน…”


 


 


ไม่ต้องเอ่ยก็รู้ เพราะหากกล่าวเรื่องนี้ออกไปพระชายารองคงยิ่งเดือดดาล


 


 


“ฮึ เพียงแค่เป็นที่โปรดปรานก็คิดจะปีนขึ้นเหยียบหัวข้าหรือ เลิกคิดได้เลย!”


 


 


องครักษ์สองสามนายก้าวเข้าไปข้างหน้า หนิงอวี้ลุกขึ้นยืนแล้วกวาดตามอง แล้วคว้าจอกขึ้นมาจากบนโต๊ะประดับแก้ว เหวี่ยงมันไปยังผู้คนอย่างแรง


 


 


“โอ๊ย!”


 


 


เสียงร้องแหลมหนึ่งดังขึ้นกลางผู้คน ครั้นแล้วก็โกลาหลไปทั่ว หนิงอวี้มือหนึ่งกุมท้องน้อย อีกข้างก็หยิบข้าวของปาไปยังผู้คน


 


 


ผู้มาเยือนไม่ปรารถนาดี หากตกอยู่ในอุ้งมือพวกเขาแล้ว ผลที่ตามมาไม่กล้าแม้แต้จะคาดเดา หนิงอวี้ขบฟัน คว้าเอากระถางดอกไม้กระเบื้องโบราณปาไปยังฝูงชน กระถางดอกไม้กระเบื้องโบราณร่วงสู่พื้น ตกลงหน้าเท้าพระชายารองพอดิบพอดี นางกรีดร้องเสียงแหลมขึ้นมาหนึ่งที “โอ้ย! จับตัวนางเอาไว้ให้ข้า!”



ตอนที่ 291 หนิงอวี้ได้รับความอับอาย


 


 


ของประดับที่จัดวางรายเรียงนับไม่ถ้วนภายในห้อง ในเวลานี้ท้ายที่สุดก็ถูกขว้างปาจนสิ้น ในห้องที่กว้างขวางตอนแรกนั้น กลับถูกอีกฝ่ายยึดไปกว่าครึ่ง หนิงอวี้เคลื่อนไหวไปมาบนพื้นที่ได้เพียงครึ่งเดียว ท้ายที่สุดก็ถูกองครักษ์จับตัวเอาไว้ได้ แล้วนำตัวมายังเบื้องหน้าพระชายารอง


 


 


“เพี๊ยะ” เสียงตบกลางหน้าดังขึ้นกังวานหนึ่งที หนิงอวี้รู้สึกบนใบหน้าร้อนผ่าวไปทั้งแถบ โสตประสาทดูเหมือนจะเลือนลางลง เห็นเพียงริมฝีปากแดงๆ ของพระชายารองที่กำลังขยับขึ้นลง


 


 


“…วันนี้ข้าจะสั่งสอนวินัยกับเจ้าให้ดี ในเมื่อเข้าตำหนักองค์รัชทายาทแล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบประเพณี”


 


 


“มีครรภ์แล้วอย่างไรกัน หากไม่เช่นนั้น เจ้าคงถูกลากออกไปเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนแต่นานแล้ว ข้าเตือนเจ้าให้สำเหนียกฐานะตน อย่าคิดทำการอาจหาญนัก”


 


 


เสียงพูดเล็กใส หนิงอวี้เหยียดมุมปากแต่กระทบเข้ากับแก้มจนรู้สึกปวดแสบอย่างรุนแรง


 


 


“นายหญิงได้โปรดระงับอารมณ์เพคะ มาเสียอารมณ์เพราะนางไม่คุ้มค่ากันนะเพคะ”


 


 


ซวงหวาพูดจาฉอเลาะแล้วหันหน้ามาตะคอกใส่องครักษ์ “ยังไม่รีบให้คุกเข่าลงอีก!”


 


 


ไม่ นางจะไม่คุกเข่าเป็นอันขาด สำหรับนางแล้วราชวงศ์เหนือไม่มีความอบอุ่นแม้เพียงน้อยนิด เท่าที่นางคิด มารดาเองก็คงไม่ชอบราชวงศ์เหนือนี้เช่นกัน


 


 


“ได้! ไม่คุกเข่าใช่ไหม ข้าอยากดูนัก ว่าหัวเข่าเจ้าล้ำค่าเพียงใดกัน! กดนางคุกเข่า!”


 


 


หนิงอวี้ขบฟัน องครักษ์ข้างกายนางทั้งสองกดแขนนางบังคับให้คุกเข่าลง บาดแผลบนแขนที่ถูกเชิงเทียนแทงทะลุนั้นยังไม่หายดี เพราะองครักษ์ใช้แรงทำให้บาดแผลปริแตกอีกครั้ง เลือดสดไหลจึงซึมออกมา


 


 


หนิงอวี้รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด ราวกับแขนถูกฉีกขาด อารมณ์จึงพลุ่งพล่านถึงขีดสุด หน้าผากเริ่มร้อนขึ้นผ่าวๆ


 


 


ในขณะที่ถูกจับตัวเอาไว้นิ่ง ไม่รู้ว่าใครถีบเข่านางจากด้านหลัง หนิงอวี้ย่นคิ้วด้วยความรู้สึกเจ็บจากน้ำแรงอันรุนแรงนั้น ขณะที่ขางอลงเล็กน้อย องครักษ์ทั้งสองข้างก็กดตัวลงอย่างแรง


 


 


ชั่วพริบตา หัวเข่าก็กระแทกเข้ากับพื้นอิฐอันเย็นยะเยือก เกิดเสียงดังหนึ่งที ปวดจนถึงขั้วหัวใจ หนิงอวี้น้ำตาเล็ดออกมาช้าๆ เห็นพระชายารองกำลังกระหยิ่มยิ้มอย่างสะใจ


 


 


“หยุดนะ!”


 


 


หนิงอวี้ค่อยๆ หลับตาทิ้งกายลงนอนกับพื้น เสียงนี้ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน แต่นางหน่ายที่จะแยกแยะ เจ็บ เจ็บไปทุกที่ เจ็บเข่า เจ็บหน้า เจ็บแขน เจ็บหัว หนิงอวี้ครางด้วยความเจ็บออกมาหนึ่งทีโดยไม่รู้ตัว นางขดตัวม้วน


 


 


“เจ้ากำลังทำอะไร!”


 


 


มู่หรงเหยียนตะคอกดังหนึ่งที ยกมือขึ้นคว้าแขนพระชายารอง ใบหน้าอันอ่อนหวานของนางเลือนหายไปสิ้น นางรีบพูดพลางดิ้นกระสนว่า “องค์ชาย พระองค์ทรงทำให้หม่อมฉันเจ็บนะเพคะ”


 


 


มู่หรงเหยียนสะบัดมือ แล้วเดินเข้าไปสองสามก้าว เห็นหนิงอวี้หน้าซีดเผือด แก้มซ้ายนูนแดงออกมา หน้าผากมีเลือดซึมไหลลงถึงหางตา


 


 


มู่หรงเหยียนขมวดคิ้วแล้วอุ้มหนิงอวี้ขึ้นมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง จึงพบว่าแผลเก่าบนแขนนางปริแตก เลือดแดงไหลอาบชายเสื้อ


 


 


 “ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าแน่!” มู่หรงเหยียนทิ้งไว้หนึ่งประโยคแล้วอุ้มหนิงอวี้ไว้มั่นเดินไปยังนอกห้อง “ไปตามหมอหลวง!”


 


 


ผ่านไปหนึ่งเค่อ แผลเก่าหนิงอวี้ก็ได้รับการดูแลให้เข้าที่ มู่หรงเหยียนโบกมือไล่ผู้คนถอยออกไปแล้วนั่งเหม่อลอยข้างเตียง หนิงอวี้หน้าซีดขาว แม้ยามหลับฝันก็ยังขมวดคิ้วแน่น


 


 


มู่หรงเหยียนค่อยๆ ยื่นมือออกไป ลูบคิ้วนางให้เรียบ ครั้นแล้วก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “ดูเหมือนข้าจะทำผิดไป ไม่ควรเอาเจ้ามาไว้ที่นี่”


 


 


“บางที คงผิดตั้งแต่แรก ข้าไม่ควรรักเจ้า หรือบางที เราไม่ควรพบกันเลย”


 


 


“ไม่อยากเห็นเจ้าเป็นทุกข์ แต่กลับตัดใจปล่อยเจ้าไปไม่ได้” มู่หรงเหยียนพึมพำพลางกุมมือนางเอาไว้แน่น “เดิมทีข้าคิดจะปกป้องเจ้า สุดท้ายแล้วกลับทำรายเจ้าอย่างร้ายแรงที่สุด”


 


 


หน้าผากหนิงอวี้ที่พันด้วยผ้าขาวมีเลือดสดซึมออกมาช้าๆ บนผ้าขาวปรากฏเป็นรอยแดงกลมๆ ดวงหนึ่ง มู่หรงเหยียนก้มหน้า รู้สึกว่ารอยแผลนั้นช่างแสลงตายิ่งนัก


 


 


แสงเทียนดับลง มู่หรงเหยียนนั่งลำพังกลางแสงจันทร์อยู่นาน ในที่สุดก็ลุกขึ้นประทับจุมพิตอันร้อนผ่าวลงบนหน้านางหนึ่งที


 


 


“หวังว่าเจ้าจะมีชีวิตอย่างมีความสุข แม้ข้าจะต้องเป็นทุกข์ก็ตาม”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 292 เสด็จออกรบด้วยพระองค์เอง


 


 


“ฝ่าบาท ข่าวคราวล่าสุดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เว่ยหยวนพยักหน้าแล้วรับม้วนหนังแกะนั้นมา มั่วหลีก้มหน้าไม่กล้ามองสีหน้าเขา


 


 


วินาทีถัดมานั้นเอง ฎีกาจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกกวาดตกในมือเดียว หัวหน้าขันทีย่นคิ้ว เดินเข้ามาสองสามก้าว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันแหลมด้วยความใส่ใจว่า “ฝ่าบาท ทรงระวังพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เว่ยหยวนค้ำศีรษะด้วยมือข้างหนึ่ง พยายามสะกดความโกรธ เมื่อรู้สึกสงบลงเล็กน้อย ครั้นพอนึกถึงคำพูดประโยคนั้นเมื่อครู่ก็พลันเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามมิได้


 


 


“น่าเกลียดชังที่สุด”


 


 


เว่ยหยวนโกรธจัด พลิกมือปัดสิ่งของที่เหลือทั้งหมดทิ้ง ที่ทับกระดาษ แท่นฝนหมึก ชั้นวางพู่กัน พู่กันขนเพียงพอนต่างร่วงกระจัดกระจายกับพื้น น้ำหมึกสาดเลอะจนดำ เหมือนกับสีหน้าเว่ยหยวนในขณะนี้


 


 


ช่างกล้านัก! กล้าดีที่ให้หนิงอวี้ออกเรือนกับมู่หรงเหยียน ซ้ำยังประกาศทั่วหล้าอย่างหน้าชื่นตาบาน ว่านางตั้งครรภ์บุตรของมู่หรงเหยียน? มือเว่ยหยวนเส้นเลือดปูดโปนขึ้น เขากำหมัดเอาไว้แน่น


 


 


“เข้ามา เรียกขุนนางมาเข้าเฝ้าหารือ!”


 


 


“ฝ่าบาท ตอนนี้กลางดึกยามสองแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หัวหน้าขุนนางเงยหน้าขึ้น กลับถูกสีหน้าเว่ยหยวนทำให้กลัวจนตัวหด


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ท่ามกลางความมืด เหล่าขุนนางที่มาเข้าเฝ้าเดินหาวเข้ามาในท้องพระโรง ถวายบังคมก้มลงคุกเข่ากับพื้น เว่ยหยวนโยนรายงานลับลงกับพื้น ให้เหล่าขุนนางผู้ใหญ่ดู


 


 


“ราชวงศ์เหนือประกาศเป็นปฏิปักษ์กับเราอย่างเป็นทางการ ดูหมิ่นเราเหลือที่จะทน เราตัดสินใจแล้ว อีกหนึ่งวันให้หลังออกทัพ!”


 


 


“ฝ่าบาท! มิได้เด็ดขาดเชียวนะพ่ะย่ะค่ะ การรบสิ้นเปลืองเงินในท้องพระคลังทั้งยังลำบากไพร่ฟ้าราษฎร”


 


 


“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่า การศึกครั้งนี้ไม่รบไม่ได้ ราชวงศ์เหนือท้าทายเกียรติภูมิราชวงศ์เราอย่างเป็นทางการ มันช่างเหลือทนยิ่งนัก”


 


 


เว่ยหยวนนั่งบนบัลลังก์มังกร ฟังขุนนางสองฝ่ายโต้เถียงกันไม่หยุด ท่ามกลางเสียงอึกทึก เว่ยหยวนเลื่อนสายตาลงต่ำมองไปยังประตู ท้องฟ้าเริ่มสาง แสงอาทิตย์แสงหนึ่งส่องเข้ามาในท้องพระโรง


 


 


เว่ยหยวนนึกถึงหนึ่งปีก่อนหน้านี้ขึ้นมาโดยฉับพลัน เมื่อเขาพาหนิงอวี้มารับโอวาทครั้งนั้น นางหลุบสายตาลง ดวงตาเต็มเปี่ยมด้วยความระแวดระวัง เมื่อเขาเข้าใกล้ นางก็แผ่หนามทั่วร่างขู่เขาให้ถอย


 


 


“ไม่ต้องถกเถียงกันแล้ว เราจะออกรบด้วยตนเอง เพื่อชิงฮองเฮากลับมา”


 


 


แสงแดดส่องเข้ามาเป็นแถบ หนิงอวี้ยืนอยู่บนอิฐที่แสงแดดสว่างสาดส่องกระทบ กำลังมองขึ้นส่งยิ้มให้เขา


 


 


เว่ยหยวนยกมุมปากขึ้นยิ้ม ชั่วพริบตาเงาร่างนั้นก็เลือนหายไป เว่ยหยวนย่นคิ้วแล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “พรุ่งนี้ออกเดินทาง”


 


 


——


 


 


“นายหญิง ได้ยินว่าทรงมีพระราชโองการแล้ว โปรดให้นางผู้นั้นเป็นชายารองเพคะ”


 


 


ซวงหวาหวีผมให้พระชายารอง นางพูดไปพลางสังเกตสีหน้านายหญิงไปพลางอย่างระวัง


 


 


ใบหน้าอันงามประณีตกลางคันฉ่องบิดเบี้ยว พระชายารองปัดคันฉ่องร่วงกับพื้น หนิงลู่คุกเข่าลงกับพื้น แล้วพูดเสียงเบา “นายหญิง อย่าโกรธเลยนะเพคะ”


 


 


ซวงหวาหยุดขยับหวีไม้ในมือลง แล้วพูดขึ้น “ยินดีช่วยกำจัดทุกข์ให้นายหญิงเพคะ”


 


 


พระชายารองเลิกคิ้ว


 


 


“หนิงลู่บอกว่า ซวงหวาเจ้ามักจะบุ่มบ่าม”


 


 


ซวงหวาหน้าแดงขึ้นมา นางกระแอมเบาๆ หนึ่งที แล้วหวีผมต่อ


 


 


หนิงลู่ก้มหน้าลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ตอนนี้สองฝ่ายรบกันพัลวัน ฮ่องเต้ทรงต้องการใช้หนิงอวี้แลกผลประโยชน์ที่ใหญ่กว่านี้แน่เพคะ ทว่า หนิงอวี้ตั้งครรภ์ขององค์รัชทายาท จึงจำต้องให้นางอยู่ที่ราชวงศ์เหนือต่อ”


 


 


“หากไม่มีเด็กในท้องนางแล้ว ฮ่องเต้ต้องทรงส่งนางกลับราชวงศ์ใต้แน่ ไม่ต้องทำศึกก็ได้รับผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ และนายหญิงเองก็กำจัดมารหัวใจได้”


 


 


พระชายารองกรีดนิ้วนางขึ้น ทัดปอยผมไปหลังใบหู นางหัวเราะอย่างอ่อนหวานเย้ายวนแล้วพูดขึ้น “ดีมาก หนิงลู่ช่างคิดละเอียดตามคาด”


 


 


เสียงเคาะประตูดังขึ้น หนิงลู่ยืนขึ้นสีหน้าเคร่งขรึม ครู่หนึ่งก็ปิดประตูลงแล้วถือจดหมายฉบับหนึ่งมา พระชายารองเปิดจดหมายนั้นอ่าน รอยยิ้มมุมปากดูอ่อนโยน “จดหมายของท่านปู่ คงคิดถึงข้าเป็นแน่”


 


 


หนิงลู่และซวงหวายืนอยู่ด้านข้าง พยักหน้ารับ ชั่วอึดใจเดียว พระชายารองก็ฉีกจดหมายนั้นเป็นเสี่ยงๆ นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน


 


 


“ท่านปู่บอกว่า เมื่อวานยามเช้าตรู่ ราชวงศ์ใต้ส่งคนลอบโจมตีทหารฝ่ายเรา”


 


 


“สองฝ่ายรบพุ่งพัวพัน ท่านปู่บาดเจ็บจนหมดสติ ราชวงศ์ใต้พิชิตกองทัพเรา ยึดไปได้หนึ่งเมือง”



ตอนที่ 293 ยาขับเลือด


 


 


บนแก้มยังคงปวดระบม หนิงอวี้ย่นคิ้ว ยื่นมือไปแตะเบาๆ ก็สัมผัสกับรอยบวมแดงทั้งแถบ ได้ยินว่าเมื่อวาน มู่หรงเหยียนบันดาลโทสะด้วยเรื่องของนาง ตะคอกตำหนิพระชายารองอย่างรุนแรง


 


 


ได้ยินว่าหญิงสาวผู้นั้นชื่อว่าฮ่วนปี้อวี้ เป็นลูกหลานตระกูลนักรบนายพลแห่งราชวงศ์เหนือ หนิงอวี้คิดพลางเอามือเท้าคาง สาวใช้ก็ยกข้าวต้มเข้ามาให้


 


 


หนิงอวี้รับถ้วยมาแล้วตักเข้าปากหนึ่งคำ รสขมฝาดอ่อนๆ แม้จะถูกกลบด้วยรสของเนื้อกุ้งและปลา แต่เมื่อกลืนลงคอแล้ว รสขมนิดๆ นั้นกลับคลุ้งไปทั้งปาก


 


 


หนิงอวี้ขมวดคิ้วแล้ววางช้อนลงในถ้วย หางตาเหลือบมองเห็นสาวใช้ถือถ้วยข้าวต้มมือสั่นเทิ้มไม่หยุด หนิงอวี้ยกถ้วยข้าวต้มนั้นขึ้นมาดมเบาๆ ก็ได้กลิ่นของยาจางๆ จนแทบไม่รู้สึก


 


 


นางวางถ้วยลงบนโต๊ะ เกิดเสียงดังขึ้น หญิงสาวรีบคุกเข่าลงกับพื้นโขกหัวไม่หยุด หนิงอวี้สีหน้านิ่งเฉย หันกายกลับไปยังเตียง มุดเข้ากลางผ้านวมเพื่อนอนหลับ


 


 


ผิดชอบชั่วดี เจ้ามากเล่ห์ข้ามากกล นางเบื่อที่จะคิดอีกแล้ว ใครวางยากันนั้น นางหน่ายที่จะเดา อาจเป็นฮ่องเต้ราชวงศ์เหนือ ได้ยินว่าเว่ยหยวนเอาชนะกองทัพราชวงศ์เหนือได้จึงทรงเสียพระทัย คงคิดกำจัดเด็กในท้องทิ้งแล้วส่งนางกลับไปเพื่อขอสงบศึก


 


 


หรืออาจเป็น ความหึงหวงของพระชายารองปี้อวี้ กลัวว่านางจะให้กำเนิดพระโอรสองค์โตของรัชทายาท หรืออีกคน มู่หรงเหยียนหรือ ไม่ใช่เขาหรอก หนิงอวี้ส่ายหน้า ช่างเถอะ นางไม่อยากเดา ไม่อยากสู้รบ ต้องการเพียงดูแลเด็กคนนี้ ให้ได้พบกับเว่ยหยวนอย่างปลอดภัย


 


 


แต่นางเป็นเนื้อในปากเสือเช่นนี้ จะทำอย่างไรได้หรือ หนิงอวี้เกิดอยากหัวเราะขึ้นมาทันใด หากเกิดเรื่องที่นี่ ผู้ที่จะปกป้องนางได้ ก็มีเพียงแค่มู่หรงเหยียนเท่านั้น


 


 


นางหลับยาวถึงเที่ยง หนิงอวี้ตื่นขึ้นมาสะลึมสะลือ ยื่นมือไปยังหมอน เมื่อคลำพบกระดาษหยาบๆ ใบหนึ่ง ก็ลุกขึ้นนั่งอย่างวางใจ


 


 


“แม่นาง ยาบำรุงครรภ์เจ้าค่ะ”


 


 


หนิงอวี้หาวนอน รับถ้วยยานั้นมาดื่มสองสามคำทั้งตาปรือ ทันใดนั้น เรื่องข้าวต้มเมื่อยามเช้าก็ผุดขึ้นกลางความคิด มือข้างที่ถือถ้วยนั้นเริ่มสั่นระริก


 


 


“ไปตามหมอมา”


 


 


นางพยายามสงบนิ่งแล้ววางถ้วยยาลงด้านข้าง นางลุกขึ้นดื่มน้ำแล้วอาเจียนออกมา ลำบากอยู่พักใหญ่ ยาก็ไม่ได้ถูกอาเจียนออกมา


 


 


ครู่หนึ่ง หมอก็รีบตามมา หนิงอวี้รู้สึกปวดท้องอย่างมาก


 


 


“ท่านหมอ แม่นางดื่มยานี้แล้วก็ปวดท้องไม่หยุดเลย ท่านรีบดูว่ายานี้มีปัญหาอะไรหรือไม่”


 


 


สาวใช้สีหน้าลนลาน เพราะนางเป็นผู้ยกน้ำยานี้เข้ามา หากมีปัญหาใด ยากที่จะหลุดพ้นเป็นคนแรก


 


 


หมอยกถ้วยยามาดมกลิ่นเบาๆ ครั้นแล้วก็จิ้มนิ้วลงไปหนึ่งทีแล้วชิมรส


 


 


“ในนี้ผสมยาสมุนไพรสำหรับขับเลือดอยู่เล็กน้อย”


 


 


หนิงอวี้ปวดจนขาทั้งสองดิ้นพล่าน ได้ยินคำพูดดังนั้นก็น้ำตาซึมออกหางตา นางฝืนลุกขึ้นนั่ง ยื่นมือไปดึงแขนเสื้อหมอ


 


 


“ช่วยลูกข้าด้วยเถิด”


 


 


เขายังไม่ได้เกิดมา ก็ต้องมาทนทรมานกับนางจนสิ้น ยามค่ำคืนเงียบสงัดไร้ผู้คน นางมักจะหลั่งน้ำตาอยู่เงียบๆ เมื่อยื่นมือลูบท้องน้อยแล้วจึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง


 


 


เขายังเล็กนัก ยังไม่ทันมายังโลกนี้ ก็จะต้องจากไปเชียวหรือ หนิงอวี้ขอร้องสีหน้าสัตย์ซื่อ ท่านหมอพยักหน้ารับไม่ขาด หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งขึ้นมาวางบนแขนนางแล้วตรวจวัดชีพจร


 


 


หนิงอวี้เอนกายกลับไปยังเตียง ตะแคงคอมองท่านหมอ น้ำตาไหลพรูไม่ขาด แต่ในใจหนิงอวี้นั้นกลับว่างเปล่า นางจะต้องเสียเขาไปหรือ เขาจะเป็นองค์ชายผู้ร่าเริงแจ่มใสไม่ก็องค์หญิงผู้สุขุมหลักแหลมกันนะ


 


 


เขาคือบุตรของนาง ผลึกแห่งรักระหว่างนางและเว่ยหยวน หนิงอวี้ยกมือขึ้นปิดตาทั้งคู่ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาไม่ขาด


 


 


“อ๊ะ! เลือดไหลแล้ว!”


 


 


หนิงอวี้ดึงมือกลับ ก็เห็นสาวใช้สีหน้าตกตะลึง เลือดออกหรือ หนิงอวี้ประหลาดใจอย่างมาก นางยกศีรษะขึ้นเล็กน้อยก็เห็นชายกระโปรงด้านล่างถูกไหลย้อมด้วยเลือด


 


 


“ใครก็ได้ ยกน้ำมาที เอากระดาษกับพู่กันมา ข้าจะเขียนใบสั่งยา…”


 


 


หนิงอวี้พยายามรวบรวมอารมณ์ครั้งสุดท้าย ยื่นมือไปดึงแขนเสื้อท่านหมอไว้


 


 


“ขอร้องท่านล่ะ ช่วยลูก…”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 294 มู่หรงเหยียนเมามาย


 


 


“นายหญิงเพคะ ที่ตำหนักซีย่วนตอนนี้ผู้คนพลุกพล่าน ครึกครื้นยิ่งนักแลเพคะ”


 


 


ซวงหวาหัวเราะเบาๆ พระชายารองได้ยินก็เลิกคิ้ว ยกมือหยิบปิ่นปักผมด้ามหนึ่งขึ้นปักลงกลางผม แล้วหันไปมองอย่างยังคันฉ่อง


 


 


“จัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง”


 


 


“เพคะ บ่าวฆ่าคนที่รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ขอนายหญิงโปรดวางใจ”


 


 


หนิงลู่คุกเข่ากับพื้น สีหน้าสงบนิ่ง


 


 


ซวงหวาเห็นนางเช่นนั้น ก็อดอิจฉามิได้ นางยิ้มพริ้มพรายพลางพูดขึ้น “พี่หนิงลู่คิดการรอบคอบ กลัวว่านางจะถูกพบกลางครัน จึงใส่ใจเพิ่มความระวังปริมาณยาเป็นพิเศษเลยเพคะ”


 


 


พระชายารองพยักหน้า แม้จะรู้ว่านี่เป็นการทำดีต่อนาง แต่ก็ยากที่จะไม่เกิดความระแวงสงสัยในตัวหนิงลู่ได้ วิธีการโหดเ**้ยมเช่นนี้ หากวันหนึ่งนางคิดแปรพักตร์ล่ะก็…


 


 


พระชายารองย่นคิ้ว วินาทีถัดมาก็คลายสีหน้า ยื่นมือไปหยิบปิ่นดอกไม้ไหวลายผีเสื้อเลี่ยมทองอันหนึ่งขึ้นมา แล้วโยนไปยังหนิงลู่


 


 


“ให้รางวัลเจ้า เรื่องนี้จัดการได้ดีมาก”


 


 


ระวังตัวหน่อยก็พอ ในเมื่อนางเป็นสาวใช้ติดตามมาตั้งแต่ครั้งออกเรือน คงไม่คิดทรยศกันง่ายๆ โหดเ**้ยมก็ดี จะได้ใช้มากำจัดศัตรูเสี้ยนหนาม พระชายารองเลื่อนสายตาขึ้นเห็นสาวงามสะคราญอ่อนหวานกลางคันฉ่อง จึงยิ้มขึ้นมาอย่างภาคภูมิ


 


 


——


 


 


“องค์รัชทายาท เสด็จเข้าไปไม่ได้เพคะ!”


 


 


มู่หรงเหยียนขมวดคิ้ว ดูเหล่าสาวใช้เดินเข้าเดินออกไปมา พวกนางยกอ่างใส่น้ำเข้าไปด้านในใบหนึ่ง ไม่นานก็มีคนยกน้ำเลือดออกมา


 


 


มู่หรงเหยียนพยายามสะกดความกังวลในใจ แล้วถามด้วยเสียงอันทุ้มว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”


 


 


หัวหน้าสาวใช้คุกเข่าลงกับพื้น แล้วพูดตอบ “ได้ยินว่าหลังจากแม่นางดื่มยาบำรุงครรภ์เข้าไปหนึ่งถ้วยแล้ว ก็ปวดท้องไม่หยุด เลือดไหลราวกับเทน้ำเลยเพคะ”


 


 


“ตอนนี้นางเป็นเช่นไรบ้าง”


 


 


“เอ่อ…บ่าวหารู้ไม่เพคะ”


 


 


มู่หรงเหยียนสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วหันกายเดินจากไป ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ เขาก็รู้ได้อย่างชัดเจนว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นผู้อื่นที่ลอบทำร้าย จะเป็นเสด็จพ่อหรือปี้อวี้? มู่หรงเหยียนขบฟันแน่น รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาอย่างรุนแรง


 


 


เดินดุ่มๆ มาตลอดทาง มู่หรงเหยียนไม่ได้ใส่ใจกิริยาท่าทาง ยกเท้าขึ้นถีบประตูเปิดออก องครักษ์ลับในห้องรีบคุกเข่าลงโดยพลัน มู่หรงเหยียนเม้มปาก แล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “ไปสืบให้ถึงที่สุด แล้วรีบมารายงาน”


 


 


คืนนั้นที่เขาตัดสินใจส่งอวี้เอ๋อร์ไปจากที่นี่ แต่เมื่อใคร่ครวญตลอดทั้งคืน ท้ายที่สุดก็ตัดใจไม่ได้อยู่ดี ในขณะที่คิดจะผิดคำสัญญาทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาก็ถูกความจริงตบเข้ากลางหน้าอย่างจัง


 


 


เดิมทีเขาคิดไปว่า ตนสามารถปกป้องนางให้ดีได้ แต่ความจริงแล้ว เขากลับถูกเลือดที่ไหลเจิ่งนองกระชากตื่นจากความฝัน


 


 


“ไปเอาสุรามา!”


 


 


มู่หรงเหยียนตะโกนขึ้นดังหนึ่งที เพียงชั่วครู่ สาวใช้ก็ยกสุรามา มู่หรงเหยียนไม่สนใจจอกเหล้าใบเล็ก เขายกเหยือกสุราขึ้นมาดื่มเสียจนสาแก่ใจ


 


 


จนกระทั้งขวดสุราใบที่เก้าล้มกลิ้ง ไปกระทบกับขวดสุราอื่นที่เหลือจนดังขึ้นกังวาน องครักษ์ลับก็ผลักประตูเดินเข้ามาคุกเข่ากับพื้น


 


 


มู่หรงเหยียนใบหน้าแดงก่ำ แต่สีหน้ากลับยังคงบึ้งตึงเคร่งขรึม


 


 


องครักษ์ลับคุกเข่าลงกับพื้น แล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “ทูลองค์ชาย ข้าน้อยสืบไม่ได้ผลอันใดเลยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“สาวใช้ที่ยกถ้วยยานั้นบอกเพียงว่าทำเช่นปกติ นางไม่ได้ลงมือทำอันใด ข้าน้อยลงทัณฑ์นางอย่างหนัก แต่ยังคงไม่เปลี่ยนคำพูดที่ว่าไว้ในตอนแรก”


 


 


“สาวใช้ที่ต้มยานั้นตายอยู่กลางสระ ว่ากันว่านางกลัวความผิดจึงปลิดชีพตน ส่วนแพทย์หลวงที่สั่งยาก็ไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงแต่บอกว่าตนบริสุทธิ์ ข้าน้อยอาศัยการยืนยันจากคนรอบข้าง ว่าที่เขากล่าวนั้นคือความจริงพ่ะค่ะ”


 


 


“แล้วยามาได้อย่างไรกัน”


 


 


มู่หรงเหยียนมือข้างหนึ่งเท้าคาง พลางมองไปยังองครักษ์ลับที่คุกเข่าอยู่กับพื้นสีหน้าเรียบ องครักษ์ลับก้มหน้า ตอบกลับไปว่า “ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ ทั้งตำหนักไม่มีผู้ใดเอายาเหล่านี้มา ที่ทางเข้าประตูตำหนักมีผู้คนมากมายเข้าออก จำเป็นต้องใช้เวลาสักหน่อยในการค้นหาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“อวี้หนูอยู่ที่ใด”


 


 


“ตำหนักกลางเขาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


มู่หรงเหยียนเหยียดตัวนั่งอย่างคลอนแคลน ยกมือขึ้นรินสุราให้ตนเองจนเต็มจอก


 


 


“ตามนางมาปกป้องคุ้มครองแม่นาง”


 


 


คงได้แต่ปล่อยนางไปเท่านั้นหรือ ความจริงก็ไม่ควรให้นางเข้ามาเกี่ยวพันด้วยตั้งแต่แรกแล้ว มู่หรงเหยียนยิ้มเศร้า นางเกลียดการชิงดีชิงเด่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม