บุปผาเคียงบัลลังก์ 264-271

 ตอนที่ 264 พบกับผิงผิง


 


 


เซียงฉือบอกลาอย่างลนลานแล้วออกจากห้องเครื่องเล็กไป


 


 


พอออกมาถึงด้านนอกก็ชนเข้ากับคนคนหนึ่ง ผิงผิงนั่นเอง


 


 


เซียงฉือตกใจระคนแปลกใจ นางมองดูผิงผิง หญิงสาวที่ปักงานแคล่วคล่อง มีความมั่นใจในงานเย็บปักเต็มเปี่ยมตอนได้พบกันครั้งแรกในครั้งนั้น เซียงฉือต้องคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงจำได้ ตอนนี้ผิงผิงได้เป็นผิงตาอิ้งแล้ว ได้รับการแต่งตั้งยศจากฝ่าบาท อีกทั้งยังได้รับอนุญาตให้เข้าออกตำหนักเจิ้งหยางเพื่อรับใช้ฝ่าบาทได้ตลอดเวลา


 


 


พูดให้ชัดเจนคือผิงผิงในวันนี้เป็นตาอิ้งที่ได้รับราชทินนามจากฝ่าบาท ข่าวที่ฝ่าบาทเสด็จกลับตำหนักในวันนี้ก็ได้ส่งไปถึงนางด้วย


 


 


ทำให้นางนั่งไม่สงบสุขคิดแต่จะมาตำหนักเจิ้งหยาง นางต้องการขอร้องให้ฝ่าบาทรับนางไว้อย่าให้นางต้องกลับเข้าวังหลัง เพราะนางไม่ชอบที่นั่น


 


 


ช่วงเวลาที่นางอยู่ในตำหนักเจิ้งหยาง ทุกคนปฏิบัติต่อนางต่างจากที่แล้วๆ มา สถานะนางแตกต่างจากเดิมอย่างมาก สภาพความเป็นอยู่ต่างกันราวฟ้ากับดิน


 


 


นางจึงได้เข้าใจคำพูดของหมัวหมัวเฒ่าที่บอกกับนางตอนแรกเข้าวังว่า


 


 


‘ทุกสิ่งในวังล้วนเป็นของจอมปลอม มีเพียงความรักความเมตตาของฮ่องเต้เท่านั้นที่เป็นของจริง’


 


 


ตั้งแต่นางย้ายออกจากตำหนักเจิ้งหยาง เกียรติยศที่เคยมีก็หายไปหมดสิ้น เพื่อนที่เคยเกรงใจต่อนางมากในอดีต ตอนนี้ไม่รู้หนีหายไปไหนหมดแล้ว


 


 


นางเคยชินกับความรู้สึกที่ถูกคนห้อมล้อมเอาใจไปแล้ว ถึงแม้หรงจิงมักจะมีสีหน้าเย็นชา แต่ถึงตอนนี้นางจึงได้รู้ว่าหรงจิงใจกว้างกับนางเพียงใด


 


 


ถึงแม้ไม่ได้ให้นางถวายงานบรรทม แต่ก็ทำให้นางได้เป็นผู้หญิงที่คนทั้งหลายในวังหลังพากันอิจฉา


 


 


นางมาที่นี่ในตอนนี้เพราะยินดีจะถวายตัวให้ฝ่าบาท ของเพียงฝ่าบาทเมตตานางดุจก่อน แต่ไม่คิดว่าจะได้พบกับอวิ๋นเซียงฉือที่นี่


 


 


เซียงฉือมองผิงผิง นางกลอกตาแล้วคิดขึ้นได้ว่าตอนนี้นางมีฐานะเป็นผิงตาอิ้ง ตามตำแหน่งงานทั้งคู่มีฐานะเสมอกัน แต่นางเป็นข้าราชสำนักสตรีที่มีอำนาจแท้จริง ส่วนผิงผิงเป็นเพียงสนมแต่ในนาม


 


 


แต่เซียงฉือที่ได้รับการเลี้ยงดูบ่มเพาะมาอย่างดี หลังจากกระอักกระอ่วนกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงคารวะอย่างงดงาม


 


 


“คารวะผิงตาอิ้ง”


 


 


เซียงฉือย่อตัวทำความเคารพผิงผิงเบื้องหน้า


 


 


ส่วนผิงผิงปากไม่ตรงกับใจตอบไปอย่างขอไปที


 


 


“ยินดีกับใต้เท้าอวิ๋นด้วย ไม่ทราบว่าตอนนี้ฝ่าบาทอยู่ในตำหนักหรือไม่”


 


 


วันนี้ผิงผิงกลับไปอยู่ตำหนักจู้เซียง ตามระเบียบแล้วนางเป็นเพียงตาอิ้งจึงต้องไปพักรวมอยู่ในห้องด้านข้างของตำหนักกุ้ยเฟย แต่นางถูกคัดส่งตัวกลับไปตำหนักจู้เซียงของซูเฟย


 


 


ซึ่งที่นั่นเป็นเหมือนฝันร้ายสำหรับนางเลยทีเดียว


 


 


พอนางกลับไปก็ถูกซูเฟยหัวเราะเยาะลงมือลงไม้กับนาง เพราะซูเฟยรู้ว่านางไม่ได้ใจของฝ่าบาท ทำให้คนที่อยู่ในตำหนักอวี้หยวนท่านนั้นสมใจ ซูเฟยจึงได้คล้ายดั่งปีศาจคลุ้มคลั่งเช่นนี้


 


 


ถึงนางจะรู้แต่ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ทนต่อการทารุณกรรมของซูเฟย ความเจ็บปวดและบาดแผลบนร่างกาย ทำให้นางตัดสินใจคิดอยากกลับมาตำหนักเจิ้งหยาง


 


 


แต่ซูเฟยบอกนางว่า


 


 


ในตำหนักเจิ้งหยางนั้นหนึ่งคนก็ต่อหนึ่งตำแหน่ง ไม่มีที่ว่างเกิน


 


 


แต่เดิมซูเฟยต้องทุ่มเทความคิดจึงได้ส่งนางไปถึงข้างกายฮ่องเต้ได้ ทำให้เป็นที่อิจฉาของหญิงสาวในวังหลังจำนวนมาก แต่นางกลับไม่รู้จักถนอมรักษา ทั้งยังออกจากตำหนักเจิ้งหยางไปอย่างสาวบริสุทธิ์อีกด้วย ทำให้เป็นที่ขบขันของซูเฟยกับคนอื่นๆ


 


 


นางอับอายหน้าแดงและรู้ว่าไม่อาจอยู่ในตำหนักจู้เซียงต่อไปได้จึงต้องการจะกลับมา


 


 


แต่นางได้ยินมาว่าอวิ๋นเซียงฉือได้แทนตำแหน่งงานของนางไปแล้ว ดังนั้นเมื่อพบกับนางจึงเกิดความไม่เป็นมิตร


 


 


เซียงฉือไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อผิงผิงถามนาง นางจึงตอบไปว่า


 


 


“ข้าเพิ่งเข้าตำหนักเจิ้งหยางในวันนี้ จึงยังไม่รู้ความเคลื่อนไหวของฝ่าบาท คิดว่าผิงตาอิ้งอยู่กับฝ่าบาทมานานน่าจะรู้ดีกว่านะเจ้าคะ ข้าเองวันหน้ายังต้องขอพึ่งพานายหญิงน้อยอีกเจ้าค่ะ” 


 


 


 


 


ตอนที่ 265 ดูแคลน


 


 


เซียงฉือตอบอย่างง่ายๆ แต่สำหรับหูของผิงผิงแล้วฟังเหมือนเป็นการประกาศชัยชนะของนาง หนำซ้ำยังเหยียดหยามความพ่ายแพ้ของนางอย่างโจ่งแจ้งอีกด้วย


 


 


คำพูดที่ฟังเหมือนไม่ใส่ใจของเซียงฉือทำให้นางพ่นลมออกจมูก พูดขึ้นว่า


 


 


“ใต้เท้าอวิ๋น ถ้าจะพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือข้าราชสำนักสตรี แต่หากพูดตรงๆ ก็เป็นแค่ของเล่นที่ฝ่าบาทเตรียมเอาไว้ ข้าได้ยินมาว่าใต้เท้าอวิ๋นใช้สารพัดวิธีการแม้กับพี่สาวตนเองก็เขี่ยออกไปได้ ถึงได้มีวันนี้”


 


 


“คิดว่าคงจะสะใจมากสินะ แต่เสียดายดอกไม้อย่างไรก็มีวันโรยรา วันนี้เจ้าสามารถเบียดข้าออกไปได้ วันหน้าย่อมต้องมีหญิงสาวที่ฉลาดและงดงามกว่ามาแทนที่เจ้า”


 


 


“ขอเตือนเจ้าไว้ว่าอย่าลำพองนักเลย ถามอะไรเจ้าก็ตอบให้ตรงๆ ตามนั้น”


 


 


เซียงฉือฟังคำพูดนางแล้วรู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง นางไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้ฝ่าบาทอยู่ที่ไหน


 


 


เดิมคิดจะคบหากับนาง เพราะมิตรภาพที่เคยมีอยู่บ้างตอนอยู่ในตำหนักจู้เซียง แต่เซียงฉือไม่เข้าใจว่าเหตุใดผิงผิงจึงพูดจาชั่วร้ายเช่นนี้


 


 


ทำให้นางหวั่นเกรงและลืมตอบโต้ คงยืนตะลึงอยู่กับที่


 


 


กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้พูดออกมา


 


 


“ผิงผิง เจ้าพูดอะไร ระบบการคัดเลือกข้าราชสำนักสตรีมีมาแต่อดีต สตรีในโลกนี้หากเข้าวังแล้วได้รับเลือกเป็นข้าราชสำนักสตรีถือเป็นเกียรติยศ แต่เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”


 


 


“แต่ไม่ว่าอย่างไร คำพูดที่น่ารังเกียจพวกนี้พูดให้น้อยน่าจะดีกว่า พวกเราเป็นสตรี ควรให้ความสำคัญกับการอบรมของครอบครัว…”


 


 


เพียะ!


 


 


เซียงฉือยังพูดไม่จบ ก็ได้ยินเสียงฝ่ามือดังขึ้นอย่างชัดเจนในห้องโถง


 


 


เซียงฉือตกตะลึง นางไม่รู้ว่าผิงผิงเกลียดนางขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร ดวงตากลมของนางเบิ่งกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ


 


 


“ข้าคิดจะทำอะไรก็ทำ คิดจะถามอะไรเจ้าก็ตอบตามนั้น ข้าไม่ใช่สาวปักผ้าในตำหนักจู้เซียงที่ใครต่อใครพากันรังแกได้อีกแล้ว”


 


 


“เรื่องของข้าไม่ต้องให้เจ้ามายุ่ง ไปให้พ้น!”


 


 


คำพูดของผิงผิง หรงฉู่ที่อยู่ด้านในได้ยินอย่างชัดเจน แต่เขาจะไม่ยุ่งกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ สำหรับเขาแล้วงานเมืองที่ยิ่งใหญ่ก็ทำแทบไม่ทัน และหากเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เซียงฉือจัดการไม่ได้ละก็ จะให้นางมาอยู่ข้างกายก็ไม่มีประโยชน์อันใด


 


 


เซียงฉือถึงจะเงอะงะในตอนแรก แต่ได้เห็นชัดถึงแววตาดุร้ายของผิงผิงแล้ว


 


 


“ผิงตาอิ้งหมายความว่าอย่างไร เจ้ากับข้าล้วนอยู่ขั้นที่เก้า แต่เจ้าจัดเป็นสนมนางใน ส่วนข้าเป็นข้าราชสำนักสตรี น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลองอยู่แล้ว เจ้าทำเช่นนี้ช่วยบอกเหตุผลด้วย!”


 


 


เซียงฉือออกแรงน้อยๆ ดึงข้อมือผิงผิงไว้ เมื่อครู่นางคุยกับอีกฝ่ายในฐานะเพื่อนที่คุ้นเคยกันมาก่อน แต่ตอนนี้นางพูดราวกับหญิงเย็นชาไร้น้ำใจคนหนึ่ง


 


 


นางรู้สึกลำบากใจ


 


 


สีหน้าผิงผิงแย่ลงทุกที นางมีชาติกำเนิดต่ำต้อย ครั้งนั้นที่กล้าปฏิเสธฝ่าบาท สาเหตุสำคัญเพราะนางรู้ตัวดีว่าตนเองไม่สามารถเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทได้ รู้ดีว่าไม่ได้มีรูปโฉมงดงาม ร่ายรำได้อ่อนช้อยเช่นซูเฟย ยิ่งไม่มีโฉมหน้าอันประณีตวิจิตรและชาติกำเนิดยิ่งใหญ่เช่นจินกุ้ยเฟย


 


 


แต่ว่านางเริ่มจะไม่อาจตัดใจจากหรงจิงได้ ไม่สามารถไปจากหรงจิงได้แล้ว


 


 


แต่คำพูดเช่นนี้หญิงสาวไม่อาจพูดออกมาได้ และไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นพูดเช่นไร อย่าว่าแต่หรงจิงเป็นถึงประมุขของประเทศเลย แม้จะเป็นเพียงคหบดีคนหนึ่ง นางซึ่งเป็นนางกำนัลเล็กๆ ก็ไม่มีสิทธิ์จะไขว่คว้าถึงแล้ว


 


 


เมื่อครู่เพราะอึดอัดคับอกจึงได้โกรธเคืองพลุ่งพล่าน แต่ตอนนี้ค่อยๆ เยือกเย็นลงแล้ว นางมองดูมือขวาที่รู้สึกชาและสำนึกเสียใจ


 


 


แต่นางไม่มีโอกาสได้สำนึกเสียใจ เพราะเซียงฉือเมื่อได้รับความอยุติธรรมย่อมไม่ยอมปล่อยนางไปง่ายๆ



ตอนที่ 266 โกรธเกรี้ยว


 


 


เซียงฉือดึงแขนนางไว้ รอยนิ้วมือห้านิ้วปรากฏขึ้นเด่นชัดบนใบหน้า นางไม่สนใจและไม่ใส่ใจ เอาแต่ยุดนางไว้ คิ้วขมวดมุ่นและดวงตาเย็นเฉียบ


 


 


เซียงฉือเองก็โกรธ พูดกับนางด้วยเหตุผลแต่นางกลับพาลหยาบคายเช่นนี้ อย่าว่าแต่วันนี้ฝ่าบาทไม่อยู่ที่นี่ และถึงแม้ว่าอยู่ ก็จะต้องให้อธิบายเหตุผลออกมาให้ได้จึงยุดนางไว้ด้วยท่าทางหากไม่ได้รับคำตอบก็จะไม่ยอมปล่อยมือ


 


 


“ตายแล้วๆ แม่นางทั้งสอง ที่นี่เป็นตำหนักเจิ้งหยางนะ และฝ่าบาทกำลังจะเสด็จกลับมาแล้ว พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่ รีบปล่อยมือเสีย!”


 


 


ซูกงกงพอเข้าประตูหน้ามาก็เห็นสตรีทั้งสองกำลังจดจ้องกันอยู่ อุณหภูมิรอบตัวลดลงต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง


 


 


ถึงซูกงกงจะเป็นคนสนิทของหรงจิง แต่ตลอดมาเขาไม่ใช่คนวู่วาม ในเวลานี้ถึงแม้จะสามารถดุให้ทั้งคู่หยุดมือได้ แต่กลับเดินเข้าไปพูดกับหญิงสาวทั้งสองด้วยเสียงเบานุ่มนวล


 


 


“กำลังทำอะไรกันอยู่เล่านี่ ตายแล้ว หน้าแม่นางเซียงฉือไปโดนอะไรมา?”


 


 


ซูกงกงช้อนตาขึ้นก็เห็นรอยแดงห้านิ้วบนใบหน้าเซียงฉือชัดเจน เขาย่อมรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เขามีนิสัยไม่ชอบล่วงเกินพระสนมนายหญิงน้อยทั้งหลาย


 


 


เซียงฉือไม่ยอมปล่อยมือ ผิงผิงถูกเซียงฉือดึงแขนไว้จนรู้สึกเจ็บจึงขมวดคิ้วมองนางแล้วพูดเสียงเย็น


 


 


“ปล่อยมือ!”


 


 


เซียงฉือมีนิสัยแข็งกร้าว ตอบกลับอย่างเย็นชาเช่นกัน


 


 


“ไม่ปล่อย เจ้าต้องขอโทษข้า!”


 


 


เซียงฉือหากทำผิดแล้วถูกเจ้านายต่างๆ ในวังลงโทษนางยินยอมรับ โดยปกติแล้วนางจะไม่ต่อต้าน แต่ตั้งแต่วันแรกที่นางได้เป็นข้าราชสำนักสตรีก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมใช้ชีวิตที่จะให้ใครก็ได้รังแกอีกต่อไป


 


 


ตอนนี้ผิงผิงคิดใช้ฐานะตนเองสั่งสอนเซียงฉือ แต่ว่านางไม่ใช่จะยอมให้รังแกได้ง่ายๆ อีกแล้ว


 


 


ผิงผิงฟังคำของเซียงฉือแล้วราวกับได้ยินเรื่องตลกมาก มองดูท่าทางของเซียงฉือแล้วหัวเราะเสียงดัง


 


 


“เจ้าเนี่ยนะ คิดว่าเป็นข้าราชสำนักสตรีแล้วใหญ่นักหรือ อย่างไรก็เป็นนังสารเลวนั่นแหละ”


 


 


“วันวันแสร้งทำตัวสูงส่ง ก็แค่ชาติกำเนิดต่ำต้อยสามัญ หมายยกระดับขึ้นเป็นหงส์บนยอดไม้!”


 


 


“ถุย ปู่เจ้าก็แค่ขุนนางสุนัขที่ทุจริตผิดกฎหมาย สมองทึบไร้ปัญญา ครอบครัวก็แตกฉานซ่านเซ็นไปถึงไหนแล้ว ยังจะมาเสแสร้งอะไรอีก!”


 


 


เพียะ เพียะ!


 


 


ผิงผิงยังพูดไม่ทันสิ้นเสียง ซูกงกงก็ห้ามไว้ไม่ทัน จึงได้ยินเสียงฝ่ามือแจ่มใสดังอย่างยิ่งขึ้นสองครั้งในตำหนักเจิ้งหยาง


 


 


เซียงฉือเดือดดาลขึ้นแล้วจริงๆ ดวงตานางแดงก่ำ แล้วตบผิงผิงไปสองฉาด


 


 


ไม่ว่าใครต่างมีขีดสุด ตอนนี้ผิงผิงร้ายกาจเช่นนี้ จะว่านางก็ว่าไป แต่กำเริบถึงกับด่าท่านปู่ว่าเป็นขุนนางสุนัข จะไม่ให้นางโกรธได้อย่างไร บุตรที่ไม่อาจกตัญญูปรนนิบัติอยู่ข้างกายบุพการีอย่างเต็มที่ก็คืออกตัญญู ไหนเลยยังจะทนฟังคนข้างๆ ใช้วาจาหมิ่นถึงหัวหน้าครอบครัวได้เช่นนี้


 


 


เซียงฉือปล่อยมือผิงผิง แล้วดึงเสื้อนางกระชากเข้าหาตัวเอง จ้องมองอย่างโกรธเคือง


 


 


“เก็บคำพูดของเจ้าไปซะ มิเช่นนั้นครั้งหน้าข้าจะฉีกปากเจ้าให้ขาด ใครจะสนว่าเจ้าเป็นนายหญิงน้อย ในวังนี้แต่ไรมาไม่เคยขาดสาวงาม”


 


 


“ข้าขอเตือนเจ้าให้ม้วนหางเก็บแล้วกลับมาเป็นคนเสีย ไม่อย่างนั้นข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสชาติอยู่ไม่สู้ตายว่าเป็นเช่นไร”


 


 


หากในยามปกติเซียงฉือย่อมไม่ใช้คำพูดเช่นนี้ แต่ไรมานางไม่ใช่ผู้หญิงอำมหิต แต่วันนี้ผิงผิงกระตุ้นไฟโทสะนางจนความโกรธขึ้นสมองจึงได้เป็นเช่นนี้


 


 


ดวงตาเซียงฉือแดงก่ำ เสียงแหบพร่าและสะกดกลั้นโทสะ เคยคิดว่าเซียงฉือเป็นสุภาพสตรีสงบเสงี่ยมดีงาม แต่ไม่คิดว่ายามนางโกรธขึ้นมาจะน่ากลัวเช่นนี้


 


 


พูดจบเซียงฉือก็ปล่อยมือ ผิงผิงที่ถูกนางกุมอยู่ในมือจึงร่วงตุบลงไปคุกเข่าอยู่ต่อหน้านาง ขาทั้งคู่อ่อนยวบอย่างรุนแรง


 


 


 


 


ตอนที่ 267 ลงมือหมายฆ่า


 


 


ขณะนั้นผิงผิงเกิดความหวาดกลัวอย่างยิ่ง แววตาของเซียงฉือที่นางเห็นเมื่อครู่ทำให้เชื่อสนิทใจว่าหากเมื่อครู่นางไม่ยอมผงกศีรษะละก็ นางคงจะดึงปิ่นออกจากผมแล้วฆ่านางในทันที


 


 


ความรู้สึกนั้นทำให้นางสั่นสะท้าน


 


 


ถึงในใจผิงผิงจะเกรงกลัวอย่างยิ่ง แต่โทสะที่เกิดจากความอับอายนั้นมีมากกว่า


 


 


เซียงฉือนั่นแหละที่มาแย่งหน้าที่และความเป็นคนโปรดไปจากนาง ตอนนี้ยังบังอาจมาข่มขู่นางอีก เมื่อคิดหน้าคิดหลังแล้วจึงไม่ยินยอมอย่างยิ่ง สายตาของนางที่กึ่งนั่งอยู่กับพื้นจึงค่อยๆ เย็นเฉียบขึ้นมา


 


 


เซียงฉือกวาดสายตาไปยังผิงผิงบนพื้น แล้วเบนสายตาไปทางอื่นด้วยไม่ปรารถนาจะมองนางอีก


 


 


ซูกงกงเห็นเหตุการณ์นั้นก็รู้ว่าไม่มีความจำเป็นที่ตนจะต้องตักเตือน แต่เมื่อเห็นรอยนิ้วมือบนแก้มของเซียงฉือแล้วก็เกิดความรู้สึกสงสารจึงพูดว่า


 


 


“ต่างก็เป็นหญิงสาวงดงาม ดูสิมาลงไม้ลงมือกันแล้วเป็นอย่างไร ใบหน้างดงามปานหยกบวมถึงขนาดนี้ อีกสักครู่ก็ต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว มาก่อให้ระคายเคืองพระยุคลบาทเช่นนี้ หากฝ่าบาทตำหนิลงมา จะว่าอย่างไร”


 


 


คำพูดซูกงกงเจือความโกรธอยู่บ้าง แต่เขาไม่ได้ตำหนิเซียงฉือ ตรงกันข้ามกลับรู้สึกเวทนานาง


 


 


เขาขยับกายไปดึงเซียงฉือพาเดินออกไปด้านข้าง ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาให้ลูกศิษย์ที่หน้าประตู ให้เขาเข้าไปปลอบผิงตาอิ้ง


 


 


ผู้ดูแลอาวุโสแห่งตำหนักเจิ้งหยางได้พบเห็นผู้คนสารพัดรูปแบบอยู่ทุกวี่วันจึงย่อมมีวิธีการร้อยแปดในการรับมือ


 


 


“แม่นางเซียงฉือรีบตามข้าไปเอาน้ำแข็งประคบลดความบวมเถิด ถ้าหากฝ่าบาทเห็นเข้าคงต้องแย่แน่ ถึงตอนนั้นหากฝ่าบาทตรัสถามขึ้นมา เจ้าว่าข้าควรจะทูลหรือไม่ทูลดี”


 


 


คำพูดซูกงกงมีเจตนาตักเตือนหญิงสาวที่ถูกความโกรธครอบงำจนทำเรื่องบุ่มบ่ามทั้งสอง สตรีของแคว้นเซียวจิ่งเน้นความประพฤติและคุณธรรม ทั้งคู่ประจันหน้าใส่กันเช่นนี้ เหมือนพวกยายแก่ข้างตลาดที่ชอบใช้กำลังมากกว่าเหตุผล หากเขาทูลฝ่าบาทแล้ว นางทั้งคู่ก็จะมีภาพพจน์ที่ย่ำแย่มากในพระทัยฝ่าบาท


 


 


ซึ่งเรื่องนี้พวกนางทั้งสองต่างก็เข้าใจดี


 


 


แต่ซูกงกงคิดไม่ถึงว่าคำพูดประโยคถัดไปของตน จะกลายเป็นชนวนจุดระเบิดให้ปะทุขึ้นอย่างแท้จริง


 


 


“ตายๆ ดูสิ หน้าเจ้าบวมขึ้นมาแล้ว ฝ่าบาททอดพระเนตรเข้าคงต้องปวดพระทัยแน่!”


 


 


ผิงผิงที่เริ่มเยือกเย็นลงพอได้ยินคำพูดนี้แล้ว ฟังเหมือนซูกงกงเจตนาพูดกับนาง ทำให้นางเสียหน้า ด้วยความโกรธและอาย นางจึงดึงปิ่นออกมาจากผมแล้วพุ่งแทงไปยังเซียงฉือ


 


 


เซียงฉือหันหลังให้ผิงผิงจึงไม่รู้ อีกทั้งการกระทำของนางยังรวดเร็วมาก แม้ขันทีน้อยข้างๆ จะเห็นแต่ก็ขวางไว้ไม่ทัน


 


 


ปิ่นเงินฝังพลอยแดงพุ่งไปยังลำคอเรียวระหงขาวนุ่มของเซียงฉืออย่างรวดเร็วรุนแรง ซูกงกงกงก็หันหลังกำลังหายาให้นางทาจึงไม่รับรู้เหตุการที่เกิดขึ้นด้านหลังเช่นกัน


 


 


ชั่วเวลาเพียงลมหายใจเฮือกเดียว ปิ่นในมือผิงผิงก็เสือกไปถึงข้างกายเซียงฉือ ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้เซียงฉือเหมือนยังไม่รู้สึกตัว ยังคงลูบแก้มตนอย่างเบามือ


 


 


“โอ๊ะ!”


 


 


จู่ๆ ผิงผิงร้องขึ้น เซียงฉือหันหน้ากลับไปทันทีแล้วเบิ่งตาโตด้วยความตกใจและหวาดหวั่น มองดูปิ่นที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมกับมือหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กอีกสองข้าง


 


 


มือเล็กที่กำปิ่นอยู่ถูกฝ่ามือใหญ่จับบิด ไม่เพียงต้องรีบคลายมือ ขณะเดียวกันปิ่นในมือก็ร่วงลงพื้นไปทันที ส่งเสียงดังกังวาน


 


 


เคร้ง!


 


 


พริบตานั้นเซียงฉือตกตะลึงไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย นางไม่คิดว่าผิงผิงจะเหิมเกริมถึงขนาดจะฆ่านางเช่นนี้


 


 


ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวเซียงฉือ เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นความหวาดผวา


 


 


“เจ้า ถึงกับคิดจะฆ่าข้า?”


ตอนที่ 268 หรงฉู่กับหรงจิง


 


 


ดวงตาเซียงฉือเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ นางไม่รู้และไม่มีทางจะเข้าใจได้ว่าทำไม อีกฝ่ายถึงกับคิดจะฆ่านาง


 


 


เป็นเพราะว่านางตบนางไปสองฉาดเช่นนั้นหรือ


 


 


แต่ว่าผิงผิงตบนางก่อนมิใช่หรือ เหตุใดถึงกับต้องฆ่าแกงกันด้วย


 


 


ความหวาดกลัวอย่างยิ่งผุดขึ้นในใจเซียงฉือ นางพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบาว่า


 


 


“นี่เจ้ากำลังจะฆ่าคนหรือ”


 


 


ดวงตาเซียงฉือกระเพื่อมไหวน้อยๆ นางไม่คิดมาก่อนเลยว่าหญิงสาวที่ตนรู้จักจะลุกขึ้นมาใช้ปิ่นฆ่าคนได้เช่นนี้


 


 


นางช้อนตาขึ้น ดวงตาวับวาวด้วยหยาดน้ำตา มองดูเงาดำที่สูงใหญ่เบื้องหน้า


 


 


“หรงฉู่!”


 


 


เมื่อนางมองเห็นว่าผู้ที่มาคือใครแล้ว น้ำตาก็หลั่งลงมา


 


 


คนที่ถูกเซียงฉือเรียกกำลังจับมือผิงผิงอยู่ และมองดูฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาเย็นเฉียบประดุจภูเขาน้ำแข็ง


 


 


ขณะนั้นผิงผิงคล้ายดั่งถูกผู้เยี่ยมยุทธ์ในยุทธภพจี้สกัดจุด ยืนนิ่งค้างมองดูชายหนุ่มเบื้องหน้าปากอ้าเผยอ แววตาเปี่ยมด้วยความตระหนก หวาดกลัวและหวั่นเกรง


 


 


ร่างนางอ่อนยวบลงอีกครั้ง คนคนนั้นไม่จับแขนนางไว้อีกต่อไป ปล่อยให้นางคุกเข่าหมอบอยู่กับพื้น ศีรษะก้มต่ำติดดิน


 


 


ซูกงกงที่ด้านหลังก็ตกตะลึงนิ่งอึ้งไป แล้วเสียงของผิงผิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง


 


 


“ฝ่าบาท ฝ่าบาทหม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ!”


 


 


“ฝ่าบาททรงไว้ชีวิต ไว้ชีวิตด้วยเพคะ”


 


 


ผิงผิงคุกเข่าหมอบอยู่กับพื้นแทบจะฟุบร่างแทรกดิน นางโขกศีรษะอย่างแรงต่อหน้าบุรุษเบื้องหน้า เซียงฉือฟังเสียงตุบๆๆ รัวราวกลองรบลั่นขึ้น นางเบิ่งตาที่วาวด้วยหยาดน้ำตาโตค้าง มองดูบุรุษเบื้องหน้าอย่างไม่เชื่อ


 


 


นี่ไม่ใช่หรงฉู่องครักษ์รักษาพระองค์ที่ช่วยนางจับนกยูง จับหิ่งห้อย พูดคุยและร่วมดื่มสุรากับนางหรอกหรือ


 


 


แล้วเหตุใด เหตุใดผิงผิงจึงเรียกเขาว่าฝ่าบาท


 


 


เซียงฉือมองดูบุรุษตรงหน้า ใบหน้าคมสัน จมูกโด่ง ริมฝีปากบางเม้มสนิท ยิ้มเหมือนไม่ยิ้มมองดูเซียงฉือ เส้นผมดกดำมุ่นไว้ด้วยปิ่นหยก


 


 


เขาสวมชุดคล่องตัวสีดำลายเมฆ รองเท้ายาว เอวห้อยหยกแข็งมังกรขนดสีมรกตทั้งชิ้น เขาก็คือหรงฉู่คนที่นางคุ้นเคย เหตุใดจึงกลายเป็นฮ่องเต้ไปได้


 


 


สมองเซียงฉือเริ่มจะงงงวย นางขยับกายถอยหลังน้อยๆ ผ้าที่ห่อน้ำแข็งในมือร่วงหล่นลงพื้นอย่างไม่ทันระวัง


 


 


ส่วนผิงผิงยังคงโขกศีรษะโป๊กๆ กับพื้นอย่างแรง


 


 


เสียงนั้นเรียกวิญญาณเซียงฉือกลับคืนร่างเมื่อได้ยิน นางรีบคุกเข่าคำนับตามธรรมเนียมปฏิบัติ


 


 


“อวิ๋นเซียงฉือจากกองราชเลขา ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”


 


 


เซียงฉือหดตัวเป็นก้อนเล็กๆ คุกเข่าสองมือแนบพื้น พูดด้วยน้ำเสียงสั่นน้อยๆ


 


 


ในใจนางมีข้อสงสัยนับพัน ปริศนานับหมื่น แต่เวลานี้นางทำในสิ่งที่นางสมควรกระทำ


 


 


หรงจิงก็คือหรงฉู่ที่ติดปากเซียงฉือ


 


 


เขาเป็นหรงฉู่องครักษ์พกอาวุธรักษาพระองค์ธรรมดาคนหนึ่งเฉพาะต่อหน้าเซียงฉือ แต่เป็นหรงจิง ฮ่องเต้ผู้ทรงปราดเปรื่องปรีชา ไม่เห็นสิ่งใดในสายตาเบื้องหน้าของผู้อื่น


 


 


ในใจเซียงฉือราวฟ้าคำราม เปรี้ยงปร้างโลดเต้นรุนแรง ฮ่องเต้มองดูหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นทั้งสอง


 


 


สายตาที่มองดูเซียงฉือเริ่มเหม่อลอย ซูกงกงเมื่อเห็นหรงจิงเช่นนั้นก็ไม่กล้าเอ่ยปากและไม่อาจขอพระกรุณา เพราะเขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงได้แต่ยืนอยู่ข้างหนึ่งด้วยท่าทางปกติ ส่วนใจเริ่มคิดคำนวณ


 


 


 


 


ตอนที่ 269 เข้าเฝ้าฮ่องเต้


 


 


หรงจิงได้ยินคำพูดของเซียงฉือ เขากวาดตามองผิงผิงที่ด้านข้างอีกครั้งด้วยสีหน้าเย็นชา


 


 


“การลอบสังหารในตำหนักเจิ้งหยางมีโทษดั่งกบฏ เจ้ามีกี่หัวพอจะให้ตัด!”


 


 


หรงจิงสะบัดแขนเสื้อแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ เซียงฉือคุกเข่าหมอบอยู่ที่พื้น ในใจประจักษ์ชัดแจ้งขึ้นมาก


 


 


นางลอบเงยหน้ามอง ‘หรงฉู่’ ที่นั่งอยู่แล้วขบริมฝีปาก พยายามกล่อมตนเองในใจว่า


 


 


‘เขาคือหรงจิง ฮ่องเต้แห่งแคว้นเซียวจิ่ง เขาไม่ใช่หรงฉู่ แต่เป็นฮ่องเต้’


 


 


‘เขาคือฮ่องเต้ คือฮ่องเต้’


 


 


เซียงฉือพร่ำท่องอยู่ในใจ กลัวว่าตนเองไม่ระวังจะพลั้งปาก ขณะนั้นหรงจิงเริ่มพูด ส่วนผิงผิงก็โขกศีรษะไม่หยุด แต่พอได้ยินคำพูดนั้นก็ชะงัก ร่างกายสั่นขึ้นมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้


 


 


เซียงฉือไม่กล้าคิดอื่นใดอีก นางลอบมองสีหน้าหรงจิง แล้วมองดูผิงผิงที่คุกเข่า แล้วอธิษฐานให้ตนเองอยู่ในใจ


 


 


ไม่รู้ว่าคืนนี้จะผ่านด่านนี้ไปได้หรือไม่ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะลงโทษนางไหม หากเมื่อครู่ยอมอดทนต่อการถูกตบหน้าฉาดนั้น คงไม่ต้องมาตระหนกตกใจ หวั่นเกรงว่าศีรษะจะหลุดจากบ่าอย่างเช่นในตอนนี้


 


 


เซียงฉือยังคงคิดอยู่ แต่คำถามหรงจิงผ่านไประยะหนึ่งแล้ว ผิงผิงที่คุกเข่าอยู่ยังคงตัวสั่นเทาไม่ตอบอะไรสักคำ ทำให้เซียงฉือรู้สึกเห็นใจนาง


 


 


เมื่อครู่ในพริบตานั้น ตอนนางหันกลับไปก็เห็นปิ่นที่แหลมคมอยู่ห่างจากร่างนางประมาณชุ่นเดียวเท่านั้น หากไม่ใช่หรงจิงที่ลงมือในทันที เกรงว่าตอนนี้นางคงสิ้นชีพลงหลุมไปแล้ว


 


 


ชีวิตคนเปราะบางเสียเหลือเกิน เซียงฉือถึงกับนึกปลง


 


 


รออยู่นานจนหรงจิงหมดความอดทนจึงถีบผิงผิงออกไปแล้วพูดกับเซียงฉือ


 


 


“ไหนเจ้าบอกมาซิว่า ผิงตาอิ้งทำการลอบสังหารในตำหนักเจิ้งหยางและถูกข้าจับได้ สมควรลงโทษอย่างไร”


 


 


เซียงฉือเมื่อถูกหรงจิงถามจึงยืดกายขึ้น คุกเข่าอยู่บนพื้นสายตาสบเข้ากับสายตาหรงจิงทันทีอยู่ชั่วขณะ นางรีบก้มหน้าลงทันที แล้วก็สบเข้ากับสายตาผิงผิงที่หมอบอยู่ ดูน่าเวทนาดั่งลูกสุนัข


 


 


เซียงฉือไม่อาจตัดใจจึงก้มหน้าตอบว่า


 


 


“หากเป็นดั่งที่ฝ่าบาทรับสั่ง เรื่องสำคัญระดับแคว้นเช่นนี้ ควรรีบเรียกรวมเหล่ามหาอำมาตย์ ขุนพลนักรบให้มาปรึกษาหารือจึงสมควรเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงอิสตรี ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าให้เป็นข้าราชสำนักสตรีขั้นที่เก้า มีความรอบรู้เพียงน้อยนิด มิบังอาจกล่าววาจาเพ้อเจ้อเพคะ”


 


 


การสะกดตัวเองของเซียงฉือเริ่มออกฤทธิ์ นางไม่กล้าทำอะไรตามใจชอบต่อหน้าชายผู้นี้ได้อีกแล้ว


 


 


คำพูดแต่ละคำของนางล้วนกลั่นกรองอย่างดีแล้วจากในใจจึงได้พูดออกมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน หรงจิงฟังคำพูดเซียงฉือเช่นนั้นก็รู้ว่านางกำลังล้อเลียนคำพูดของตนอยู่


 


 


ทว่าเขาไม่ยิ้ม แต่สะบัดมือพูดว่า


 


 


“ถ้าหากเจ้าเป็นคนพิจารณาคดีนี้เล่า จะตัดสินอย่างไร”


 


 


เซียงฉือได้ยินคำถามของหรงจิงแล้วก็ก้มหน้า เผยอริมฝีปากตอบเบาๆ ว่า


 


 


“สตรีในวังก่อการวิวาทไม่รักษากิริยาต่อเบื้องพระพักตร์ ให้โบยคนละยี่สิบไม้เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างเพคะ”


 


 


ใจของเซียงฉือรู้สึกไม่เป็นธรรม นางไม่สมควรเป็นคนดีเช่นนี้ ถ้าหากหรงจิงอนุญาตให้โบยยี่สิบไม้จริงๆ นางจะเป็นเช่นไร จะต้องรับการลงโทษนี้หรือ


 


 


เมื่อพูดไปแล้วเซียงฉือจึงได้รู้สึกว่าไม่เข้าที แต่คำพูดที่ออกจากปากไปนั้นเป็นดั่งน้ำที่ถูกสาดออกไป ไม่อาจเก็บกลับได้อีก


 


 


ยิ่งอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ด้วยแล้ว นางยิ่งไม่กล้า


 


 


หรงจิงฟังคำพูดเซียงฉือแล้วนิ่งอึ้งไป แต่แล้วก็หัวเราะออกมา


 


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นสิ เจ้าเป็นผู้หญิงใจอ่อนนี่นะ แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สมควรปล่อยนางไป เจ้าเอาแต่ใจอ่อนอยู่เสมอ ไม่กลัวจะถูกผู้อื่นรังแกเอาหรือ”



ตอนที่ 270 ลงโทษเป็นรางวัล


 


 


คำพูดหรงจิงแฝงความขบขัน เซียงฉือได้ยินแล้วก็อึ้งไป แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมาตอบกลับได้ว่า


 


 


“ฝ่าบาทตรัสล้อเล่นแล้วเพคะ ฝ่าบาททรงปกครองประเทศด้วยเมตตาธรรม ไม่มีใครในแคว้นเซียวจิ่งจะไม่แซ่ซ้องสรรเสริญ ทั้งกฎหมายเคร่งครัด มีการลงโทษและให้รางวัลอย่างชัดเจน ประชาชนได้รับการศึกษา ไม่ใช่อนารยชน พูดกันรู้เรื่องด้วยเหตุผล เข้าใจความถูกผิดได้ชัดแจ้ง”


 


 


“ดังนั้นหม่อมฉันได้รับพระบารมีปกเกล้า คนรอบข้างก็ไม่กล้ารังแกตามอำเภอใจจึงไม่ต้องกังวลเพคะ”


 


 


คำพูดของเซียงฉือเป็นการกล่าวถึงการปกครองของหรงจิงว่าทำให้สังคมสงบสุข จิตใจผู้คนบริสุทธิ์ดีงาม ปฏิบัติตามจารีตประเพณี คนทุจริตกระทำความผิดมีน้อย กฎหมายย่อมให้ความคุ้มครองได้ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกใครรังแก


 


 


เซียงฉือพูดยกยอหรงจิงอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งสายตาของหรงจิงที่มองนางก็เห็นชัดปรุโปร่ง


 


 


เซียงฉือไม่กล้าเอ่ยปากอีก แล้วก็ได้ยินหรงจิงพูดขึ้นว่า


 


 


“ผิงตาอิ้งไร้มารยาทต่อหน้าข้า ให้ลงโทษตีร้อยไม้ จากนั้นส่งเข้าตำหนักเย็น เป็นตายตามชะตากรรม”


 


 


หรงจิงลั่นวาจาแล้ว ซูกงกงขานรับแล้วนำตัวผิงผิงออกไป ส่วนผิงผิงได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าเหมือนดั่งคนตาย ไม่พูดไม่จา เซียงฉือเห็นสีหน้าหรงจิงแล้วไม่กล้าพูดอะไรมากอีก


 


 


ซูกงกงรับบัญชาจากฮ่องเต้แล้วจึงรีบเรียกขันทีจากด้านนอกสองคนให้หิ้วแขนผิงผิงออกจากตำหนักเจิ้งหยางไปราวถุงป่าน


 


 


เซียงฉืออยากขอความกรุณาให้นางแต่เห็นหรงจิงยื่นมือออกมา คำพูดที่ตั้งใจจะพูดจึงต้องกล้ำกลืนลงไป ดังนั้น ตำหนักเจิ้งหยางจึงตกอยู่ในความสงบ


 


 


เมื่อเซียงฉือเรียกสติคืนมาแล้ว ในตำหนักเจิ้งหยางจึงมีเพียงอวิ๋นเซียงฉือคุกเข่าอยู่ต่อหน้าหรงจิงที่นั่งอยู่


 


 


หรงจิงถอนใจยาวแล้วพูดขึ้นก่อนว่า


 


 


“เจ้าก็ลุกขึ้นเถอะ มัวคุกเข่าอยู่เช่นนี้ไม่เจ็บเข่าหรือ”


 


 


เซียงฉือได้ยินแล้วรู้สึกอบอุ่นใจ แต่พอคิดถึงเมื่อครู่ที่หรงจิงประทานโทษตีร้อยไม้แก่ผิงผิงแล้ว การหวดตีในวังนั้นลงมือกันอย่างเต็มแรง สำหรับผู้หญิงที่อ่อนแอแล้วจะสามารถทนได้อย่างไร มิเท่ากับเป็นการเอาชีวิตของนางหรอกหรือ


 


 


คิดแล้วเซียงฉือจึงยังไม่ลุกขึ้น เพียงเงยหน้ามองหรงจิง กัดริมฝีปากแล้วทำความเคารพ พูดขึ้นว่า


 


 


“หม่อมฉันเซียงฉือมีตาแต่หามีแววไม่ ถึงกับไม่รู้จักพระองค์ผู้เป็นจอมราชันย์ หม่อมฉันมีโทษ ขอฝ่าบาทลงโทษด้วยเถิดเพคะ”


 


 


เซียงฉือเพราะผ่านการตกใจมาน้ำเสียงจึงอ่อนเบาราวกับสายไหม ถึงจะเป็นการขอให้ลงโทษ แต่สำหรับหูของหรงจิงแล้ว ฟังดูมีเสน่ห์ เขายิ้มไม่พูด ยื่นมือหยิบขนมขึ้นมา


 


 


“ได้ ข้าขอลงโทษเจ้า กินขนมกรอบอวี้หวงตั้งนี้เสียให้หมด ห้ามไม่ให้เหลือแม้เพียงชิ้นเดียว”


 


 


เซียงฉือได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้น นางเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของหรงจิงจึงตะลึงเล็กน้อยราวกับได้เห็นองครักษ์รักษาพระองค์ต๊อกต๋อยคนนั้น


 


 


ท่าทางนางเหมือนตกสู่ภวังค์ แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมาเป็นปกติ แล้วขอบคุณหรงจิง


 


 


“เป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อเซียงฉือยิ่งนักเพคะ”


 


 


หรงจิงฟังโดยไม่ตอบ เพียงดึงมือนางขึ้นแล้ววางขนมกรอบอวี้หวงลงในฝ่ามือนาง จากนั้นหัวเราะเสียงดังเดินจากไป


 


 


เซียงฉือมองดูขนมกรอบอวี้หวงในมือและแผ่นหลังของหรงจิงที่เดินจากไปด้วยความตระหนก


 


 


จนกระทั่งแผ่นหลังของหรงจิงเลือนหายนางจึงได้ลุกขึ้น ขาทั้งสองอ่อนยวบราวผ้าจนเกือบจะทำจานแตก นางต้องยึดตั่งไว้จึงสามารถทรงกายลุกขึ้นได้


 


 


แต่ขาทั้งสองยังคงสั่นอยู่ แสดงว่าเมื่อครู่ก่อนนางคงตกใจไม่น้อย


 


 


วันนี้ผิงผิงหมายลอบฆ่านางจากด้านหลังทำให้นางตกใจขวัญผวาอย่างยิ่ง ส่วนคนที่ช่วยนาง คือหรงฉู่ที่นางคุ้นเคยคนนั้น และยังเป็นหรงจิงประมุขของแผ่นดินที่นางหวาดกลัวอีกด้วย


 


 


 


 


ตอนที่ 271 ทดสอบลายมือ


 


 


หรงจิงหรงฉู่ ชื่อทั้งสองโรมรันพันตูอยู่ในสมองของนางจนนางเหน็ดเหนื่อย


 


 


นางยัดขนมกรอบอวี้หวงเข้าปากชิ้นละคำใช้ฟันขบเบาๆ ในใจนึกปลงเป็นอย่างมาก


 


 


ผิงตาอิ้งที่เป็นคนโปรดในช่วงนี้ยังถูกส่งเข้าตำหนักเย็นเพราะนางทำเสียมารยาทต่อเบื้องพระพักตร์ ฝ่าบาทโปรดนางมากมิใช่หรือ เซียงฉือมองไปทางที่แผ่นหลังนั้นเลือนหายไปแล้วบังเกิดความหนาวสะท้านขึ้นมา


 


 


ใครๆ ก็พูดว่าอยู่ใกล้ฮ่องเต้มิต่างกับอยู่ใกล้เสือ วันนี้นางได้รู้ได้เห็นแล้ว


 


 


เมื่อกินของว่างแล้วเซียงฉือก็ย่องเบาๆ ไปยังห้องหนังสือด้านใน ยืนอยู่หลังประตูมองเห็นหรงจิงกำลังนั่งทำงานอยู่


 


 


เซียงฉือตบหน้าผากนึกขึ้นได้ว่านางไม่ใช่สนมนางในอีกทั้งไม่ใช่นางกำนัล แต่เป็นข้าราชสำนักสตรีที่ต้องคอยรับใข้งานเอกสารของฝ่าบาท ดังนั้นจึงเดินเข้าไปถึงเบื้องหน้าหรงจิงแล้วทำความเคารพ


 


 


“เจ้าหน้าที่งานอักษรจากกองราชเลขาอวิ๋นเซียงฉือถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”


 


 


เซียงฉือประสานสองมือระดับอก ย่อตัวโน้มกายทำความเคารพ อันเป็นการทำความเคารพของขุนนางในราชสำนักต่อฮ่องเต้อย่างเป็นพิธีการ นางกำลังทำความเคารพตามรูปแบบที่ข้าราชบริพารพึงปฏิบัติ


 


 


หรงจิงรับการคารวะจากนาง แล้วมองเซียงฉือด้วยสายตาแวววาวพูดขึ้นว่า


 


 


“ดีมาก จากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็เป็นคนของข้าแล้ว”


 


 


หรงจิงเลิกคิ้ว สายตาที่มองดูเซียงฉือแวววาว ยิ้มบางๆ ขณะที่พูด เซียงฉือฟังแล้วรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่รู้ว่าแปลกตรงไหน ขณะที่นางยังงุนงงอยู่ หรงจิงก็กวักมือเรียกนาง


 


 


“มาที่ข้างกายข้านี่ ข้ามีงานจะสั่ง”


 


 


เซียงฉือเลิกคิดสงสัยรีบเดินเข้าไป นางยืนอยู่ห่างจากข้างตัวหรงจิงครึ่งช่วงแขน โน้มกายแล้วจับปอยผมทัดหูเบาๆ มองตามทิศทางนิ้วมือของหรงจิง


 


 


“ลายมือเจ้าเป็นอย่างไรบ้างข้ายังไม่เคยเห็น ไหนลองคัดบทความนี้สักรอบซิ”


 


 


เซียงฉือมองตามนิ้วมือหรงจิงก็เห็นอักษรตัวเล็กแน่นขนัดน่าปวดหัวจึงเข้าใจในทันทีว่านี่เองที่เป็นประโยชน์ของข้าราชสำนักสตรีอย่างพวกนาง


 


 


ข้อแรกเพราะตำหนักเจิ้งหยางจัดอยู่ในส่วนวังหลัง ไม่สะดวกที่บุรุษจะเข้าวังมาเป็นเพื่อนอ่านในยามค่ำคืน และตัวอักษรที่เล็กมากยากจะแยกแยะออกได้ในเวลากลางคืนเช่นนี้ ต้องใช้ข้าราชสำนักสตรีมาค่อยๆ แยกแยะ


 


 


ประการที่สองเพราะเอกสารกราบบังคมทูลจากทหารรักษาชายแดนนั้นมักใช้สำนวนผิดพลาด ภาษาที่ใช้ก็หยาบ เซียงฉือจึงต้องค่อยๆ แยกแยะ ค่อยๆ แก้ไขเรียบเรียงจึงจะถวายฮ่องเต้ได้


 


 


เซียงฉือไม่รู้ว่าหรงจิงมีข้อเรียกร้องต่อลายมือสตรีมากมาย แต่สำนวนภาษาที่พวกนักรบใช้มักจะหยาบคายแข็งกร้าวจริงๆ ทว่าพอผ่านมือข้าราชสำนักสตรีแล้วก็จะเขียนออกมาอย่างอบอุ่นนุ่มนวลไปเสียหมด


 


 


ดังเช่น ‘ลมแรงพัดกระหน่ำ ทำให้กลางคืนไม่อาจนอนได้ มีประสงค์ทูลขอให้ฝ่าบาทพระราชทานกระโจมนอน มิเช่นนั้นยากจะนอนหลับ’


 


 


เมื่อผ่านการแก้ไขแล้วจะกลายเป็น ‘ลมยามค่ำคืนที่ชายแดนเย็นสบาย ตกดึกมองจันทร์คิดถึงบ้านเกิดที่จากมา’ ประโยคที่ว่ากลางคืนนอนไม่หลับนั้นถูกพวกนางเปลี่ยนเป็นคิดถึงอดีตบ้านเกิดเมืองนอน ทำให้หรงจิงต้องตกตะลึง ลักษณะที่ว่าไม่ได้มีเพียงเท่านี้ แต่มีหลากหลายรูปแบบ


 


 


แต่ว่าข้าราชสำนักสตรีงานอักษรนี้เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นและไม่อาจล้มเลิก ทั้งไม่สามารถใช้บุรุษรับงานในตำแหน่งนี้ได้ ซึ่งหรงจิงรู้สึกขัดเคืองอย่างมากตั้งแต่วันที่หรงจิงรู้จักกับเซียงฉือที่ริมทะเลสาบ ได้ฟังถ้อยเจรจาพาทีของนางแล้วรู้สึกว่านางมีความรู้ไม่น้อย ตอนนี้จึงส่งเอกสารให้นางพิจารณาแยกแยะเพื่อเรียบเรียงใหม่ เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่า นางจะแตกต่างกับสตรีอื่นอย่างไร


 


 


เซียงฉือรับบัญชาแล้วก็ไม่กล้าชักช้า กลับไปยังโต๊ะเล็กข้างหรงจิง นั่งลงอย่างนอบน้อมแล้วเริ่มอ่านเอกสารทั้งหมดรอบหนึ่งและทำความเข้าใจในความหมายหลังจากคิดพิจารณาครู่หนึ่งแล้วจึงลงมือเขียน


 


 


เซียงฉือไม่ได้จับพู่กันเขียนหนังสือมานาน ตอนนี้ทุ่มเทความคิดจมลงไปราวกับย้อนกลับวัยเยาว์ที่นางนั่งยืดตัวหลังตรงเพียงลำพังริมหน้าต่าง ตั้งใจขีดเขียนท่องอ่านเสียงใส


 


 


วันเวลาช่วงนั้นช่างเบิกบานอย่างยิ่ง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม