หวานรักจับหัวใจท่านประธาน 263-270

 ตอนที่ 263 ละครฉากหนึ่ง 


 


 


“ล่ามหวาง ระวัง!” เหนียนเสี่ยวมู่ยืนอยู่ใกล้กับหวางเมี่ยวเมี่ยวที่สุด เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนไม่อยู่แล้ว จึงยื่นมือไปประคองเอาไว้ 


 


 


พร้อมด้วยรอยยิ้มหวานเชื่อมบนใบหน้า 


 


 


“ไม่ใช่แค่ต้องระวังเวลาเดินนะคะ ตอนพูดก็ยิ่งต้องระวังด้วย โดยเฉพาะเรื่องสำคัญอย่างการไปรับลูกค้าที่สนามบินแบบนี้ บอกเวลาสิบโมงเป็นสิบเอ็ดโมง ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยนะคะ” 


 


 


“…” 


 


 


“อีกอย่าง ความหมายของล่าม คือช่วยคนที่ไม่เข้าใจในภาษานั้นๆ สื่อสารได้ดียิ่งขึ้น ไม่ใช่ให้คุณทำเรื่องเจ้าเล่ห์ หรือคอยขัดคอ ถ้าไม่มีจรรยาบรรณในวิชาชีพ ยังไงคุณก็ต้องเสียงานนี้ไปไม่ช้าก็เร็ว และต้องได้รับผลกรรมที่ตัวเองทำ!” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ประคองหวางเมี่ยวเมี่ยวอยู่ ทั้งสองคนแทบจะตัวติดอยู่ด้วยกัน 


 


 


เธอพูดเสียงเบา ให้หวางเมี่ยวเมี่ยวได้ยินชัดเจนเพียงคนเดียวเท่านั้น 


 


 


หลังจากพูดจบ ก็ปล่อยล่ามสาวเหมือนไม่ได้ตั้งใจ 


 


 


ทันใดนั้นทุกคนเห็นหวางเมี่ยวเมี่ยวถอยหลังไปเองหลายก้าว ก่อนจะนั่งนิ่งสนิทอยู่บนพื้นพร้อมสีหน้าซีดขาว 


 


 


“เป็นไปไม่ได้…ทำไมเธอถึง…” 


 


 


หวางเมี่ยวเมี่ยวเหมือนถูกกระตุ้นอะไรบางอย่าง เธอดึงสติกลับมา แล้วรีบมองไปทางเหวินหย่าไต้ 


 


 


จริงสิ เธอยังมีตัวช่วย! 


 


 


เหวินหย่าไต้เป็นผู้จัดการของแผนกประชาสัมพันธ์ ถึงแม้เหนียนเสี่ยวมู่เก่งแค่ไหร ก็ต้องยอมให้หัวหน้าของตนเอง 


 


 


ครั้งนี้เธอประเมินศัตรูต่ำเกินไป คิดไม่ถึงว่าซูเปอร์ไวเซอร์ตัวเล็กๆ จะพูดภาษาอิตาลีได้ด้วย 


 


 


แต่ขอเพียงมีเหวินหย่าไต้อยู่ เธอไม่มีทางถูกไล่ออก… 


 


 


“ผู้จัดการเหวิน ฉัน…” 


 


 


“เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ยังไง ฉันจะขอคำแนะนำจากคุณชายหาน ให้เขาตรวจสอบให้ชัดเจน ปกปิดเพราะเห็นแก่เพื่อนไม่ได้ ส่วนเธอ ในเมื่อซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนพูดภาษาอิตาลีได้ ก็ไม่ต้องให้เธอคอยแปลแล้ว เธอถูกพักงานชั่วคราว รอการตรวจสอบ” 


 


 


เหวินหย่าไต้ขัดจังหวะคำพูดของหวางเมี่ยวเมี่ยวอย่างเย็นชา เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะพูดมาก 


 


 


จากนั้นก็ส่งสายตาเตือนไปอีกครั้งหนึ่งด้วย เพื่อให้ล่ามสาวออกไปก่อน 


 


 


สุดท้ายก็หันไปมองเหนียนเสี่ยวมู่ 


 


 


“ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน งานต่อไปคงต้องลำบากคุณแล้ว” 


 


 


“เป็นความรับผิดชอบของฉันอยู่แล้วค่ะ” 


 


 


สายตาของเหนียนเสี่ยวมู่มองผ่านหวางเมี่ยวเมี่ยวไป และมองเหวินหย่าไต้เป็นคนสุดท้าย 


 


 


สายตานั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย 


 


 


เธอรู้สึกไปเองอย่างนั้นเหรอ 


 


 


คิดไม่ถึงว่าเหวินย่าไต้ที่ปฎิบัติกับคนอื่นอย่างอ่อนโยน และชอบปกป้องเพื่อนร่วมงาน จะจบเรื่องได้อย่างเด็ดขาดเป็นพิเศษในวันนี้ 


 


 


ราวกับกลัวว่าหวางเมี่ยวเมี่ยวจะพูดมากกว่านี้… 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ตาเป็นประกาย แต่ไม่นานสายตาของเธอก็สงบนิ่งดังเดิมอย่างรวดเร็ว 


 


 


จากนั้นก็เรียกเพื่อนร่วมงานกลุ่มย่อย พามิสเตอร์ลอมบาร์ดีเริ่มเยี่ยมชมบริษัทตระกูลอวี๋… 


 


 


อำนาจของบริษัทตระกูลอวี๋นั้น ไม่จำเป็นต้องสงสัยเลย 


 


 


หลังจากทั้งสองฝ่ายเจรจาด้านการดำเนินงานต่างๆ แล้ว มิสเตอร์ลอมบาร์ก็ตกลงร่วมงานอย่างอารมณ์ดี และเซ็นชื่อบนสัญญาทันที 


 


 


“ขอบคุณที่คุณไว้วางใจค่ะ เชื่อว่างานในอนาคตจะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน” เหนียนเสี่ยวมู่มองลายเซ็นบนสัญญา พลางยื่นมือออกไปด้วยความดีใจ 


 


 


เมื่อคิดดูแล้ว เธอก็เสริมอีก 


 


 


“ไม่ใช่แค่การร่วมมือในครั้งนี้นะคะ ยังมีละครที่คุณร่วมเล่นเมื่อตอนกลางวันด้วย” 


 


 


ถ้ามิสเตอร์ลอมบาร์ดีไม่ยอมร่วมมือกับเธอ และตั้งใจแสดงท่าทีโมโหอย่างสุดขีดตอนจะไป หวางเมี่ยวเมี่ยวก็คงไม่ติดกับง่ายดายอย่างนี้ 


 


 


นั่นทำให้ล่ามสาวคิดว่าการร่วมมือครั้งนี้พังแล้ว และรีบร้อนกลับมารายงานพฤติกรรมของเธอที่บริษัท 


 


 


“ไม่ต้องขอบคุณหรอก” 


 


 


มิสเตอร์ลอมบาร์ดีลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ ก่อนจะจับมือของเธอพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม 


 


 


จากนั้นก็พูดด้วยภาษาอิตาลีขนานแท้ “จัดการปัญหาของคุณแล้ว ก็เป็นข้อดีต่อการร่วมงานของพวกเรา ตอนนี้ผมคาดหวังมาก ว่าในอนาคตคุณจะพาผมไปกินอาหารอร่อยๆ ที่ไหน” 


 


 


มิสเตอร์ลอมบาร์ดีชะงักไป แล้วมองเธอทันที 


 


 


“ขอถามสักหน่อยได้ไหม คุณเรียนภาษาอิตาลีกับใคร ถ้าฟังแค่เสียงของคุณ ผมยังคิดว่าคุณเป็นคนอิตาลีเลยนะเนี่ย” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 264 ลูกสาวของคุณเหมือนคุณจริงๆ 


 


 


“…” 


 


 


เมื่อได้ยินมิสเตอร์ลอมบาร์ดีพูดอย่างนั้น เหนียนเสี่ยวมู่ก็เหม่อลอยไปในทันที 


 


 


ในหัวของเธอมีบทสนทนาที่คุยกับเสี่ยวเสี่ยวในตอนแรกแวบเข้ามา 


 


 


ตอนนั้นเธอพูดไม่ได้ และเธอไม่ได้โกหก เธอไม่มีความประทับใจกับภาษาอิตาลีมากนักจริงๆ 


 


 


จนกระทั่งได้ศึกษาข้อมูลของมิสเตอร์ลอมบาร์ดี เธอถึงพบว่าตนเองมีความคุ้นเคยต่อภาษาอิตาลีอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


หลังจากนั้นก็พบว่าหวางเมี่ยวเมี่ยวขัดขาอีก… 


 


 


ภาษาอิตาลีเหมือนซ่อนอยู่ในส่วนลึกของสมองเธอ ค่อยๆ ถูกกระตุ้นออกมาทีละนิด 


 


 


“ขอบคุณที่ชมค่ะ!” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ดึงสติกลับมา ก่อนจะกะพริบตาอย่างขี้เล่น 


 


 


มิสเตอร์ลอมบาร์ดีไม่ได้ถามต่อ เขาปล่อยมือ และส่งสัญญาที่เซ็นเรียบร้อยแล้วให้คนที่อยู่ข้างๆ 


 


 


จากนั้นก็กอดเหนียนเสี่ยวมู่ด้วยความกระตือรือร้นครั้งหนึ่ง 


 


 


“ทีมของผมขอตัวก่อนนะ เมื่องานร่วมมือเดินหน้าแล้ว เชื่อว่าต้องได้พบกันอีกแน่” 


 


 


“ฉันรอคอยที่จะได้พบกับคุณครั้งหน้านะคะ เดี๋ยวฉันออกไปส่งพวกคุณเองค่ะ” เหนียนเสี่ยวมู่เดินอยู่ข้างหน้า นำมิสเตอร์ลอมบาร์ดีและสมาชิกทีมของเขาออกจากแผนกประชาสัมพันธ์ไป 


 


 


ระหว่างทางเธอแนะนำอาหารจีนให้มิสเตอร์ลอมบาร์ดีด้วย 


 


 


ทั้งสองคนเหมือนเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน ทั้งๆ ที่พบกันเป็นครั้งแรก ก่อนจะจากกันก็นัดเรียบร้อยว่าเจอกันครั้งหน้าจะกินอะไรดี 


 


 


“ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน ไม่ต้องส่งแล้วล่ะ” ผู้ช่วยของมิสเตอร์ลอมบาร์ดีเห็นว่าเหนียนเสี่ยวมู่มาส่งพวกเขาถึงริมถนนแล้ว จึงเอ่ยปากอย่างมีมารยาท 


 


 


หลังจากเปิดประตูรถ มิสเตอร์ลอมบาร์ดีกำลังจะบอกลาเหนียนเสี่ยวมู่ แต่อยู่ๆ ก็เห็นรถมินิแวนหรูราคันหนึ่งจอดที่ข้างทาง 


 


 


ป้ายทะเบียนรถอันโอเวอร์ เหนียนเสี่ยวมู่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นรถของใคร 


 


 


ขณะกำลังอึดอัดใจ ว่าทำไมอวี๋เยว่หานึงได้ปรากฏตัวที่นี่ในเวลานี้ เธอก็เห็นประตูรถถูกเปิดออก 


 


 


เงาร่างเล็กนุ่มนิ่มลอดออกมาจากในรถ 


 


 


เด็กหญิงมัดผมมวยน่ารัก ใส่กระโปรงเจ้าหญิงน่ารักด้วย 


 


 


ใบหน้าเล็กสะสวยเจือสีแดงระเรื่อ 


 


 


ดวงตากลมโตโค้งตามรอยยิ้ม.. 


 


 


“พี่สาวคนสวย!” เสี่ยวลิ่วลิ่วเห็นเหนียนเสี่ยวมู่ที่ยืนอยู่ข้างทางทันทีที่ลงจากรถ ก่อนจะวิ่งถลาเข้ามาหาเธอด้วยความตื่นเต้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง 


 


 


ก่อนจะโผเข้ามาในอ้อมกอดของเธอ 


 


 


แขนขาเล็กๆ เกี่ยวอยู่บนตัวของเธอ เหมือนกับจี้ที่อยู่บนขา พลางทำท่าน่ารักบ้องแบ๊ว 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” 


 


 


“นี่ลูกสาวของคุณเหรอ” มิสเตอร์ลอมบาร์ดีฟังภาษาจีนไม่รู้เรื่อง เห็นเสี่ยวลิ่วลิ่วสนิทกับเหนียนเสี่ยวมู่ขนาดนี้ จึงถามออกมาตามสัญชาตญาณ 


 


 


เขาไม่รอให้เหนียนเสี่ยวมู่ตอบ ก่อนจะยิ้มเอ็นดู 


 


 


แล้วยื่นมือมาลูบหัวของเสี่ยวลิ่วลิ่ว “เหมือนคุณจริงๆ” 


 


 


“คุณว่าอะไรนะคะ” เหนียนเสี่ยวมู่เพิ่งก้มลงอุ้มเหนียนเสี่ยวมู่ขึ้นมา จึงถามออกไปโดยจิตใต้สำนึก เพราะไม่ทันฟังเขาพูดให้ชัดเจน 


 


 


มิสเตอร์ลอมบาร์ดีพูดทวนทันที “ผมบอกว่าลูกสาวของคุณเหมือนคุณจริงๆ ไม่ได้เหมือนที่หน้าตานะ แต่นิสัยเหมือนกัน” 


 


 


“…” 


 


 


“ฉลาดแสนซนเหมือนกัน ส่วนตอนยิ้มเนี่ย ในตาเหมือนมีทะเลดวงดาว” 


 


 


มิสเตอร์ลอมบาร์ดีพูดภาษาอิตาลี 


 


 


เสี่ยวลิ่วลิ่วยังเด็ก แถมยังฟังไม่รู้เรื่อง เพียงแต่รับรู้ได้รางๆ ว่ามีคนกำลังชมตนเองอยู่ 


 


 


ใบหน้ารูปไข่สีแดงระเรื่อหันไปมองมิสเตอร์ลอมบาร์ดี เหมือนจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากเสียงหวาน 


 


 


“สวัสดีค่ะคุณปู่!” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ถูกเสียงสดใสเรียกสติกลับมา และระลึกได้ว่าต้องอธิบาย 


 


 


ขณะที่จะบอกว่าเธอไม่ใช่แม่ของเสี่ยวลิ่วลิ่ว ก็พบว่าเด็กหญิงที่อยู่ในอกพาดตัวอยู่บนไหล่ของเธอ กำลัวเรียกคนที่อยู่ข้างหลังด้วยความดีใจ 


 


 


“ปาปา พวกเราอยู่ตรงนี้!” 


 


 


“…” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่หันกลับไป เห็นอวี๋เยว่หานที่อยู่ห่างจากเธอเพียงไม่กี่ก้าว ก่อนจะตัวแข็งทื่อไปในทันที! 


 


 


ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองคือ เขาคงไม่ได้ยินที่มิสเตอร์ลอมบาร์ดีพูดเมื่อครู่หรอกใช่ไหม 


ตอนที่ 265 ต้องทะนุถนอมอย่างดี 


 


 


ถูกคนคิดว่าเป็นแม่แท้ๆ ของเด็กคนหนึ่ง แถมยังถูกพ่อของเด็กได้ยินเข้าด้วย 


 


 


มีอะไรน่าอายกว่านี้ไหม 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เงยหน้าขึ้น มองชายหนุ่มสูงส่งเหมือนเทพเต้าในชุดสูททั้งตัว 


 


 


เขาเดินออกมาจากในบริษัท น่าจะออกมารับเสี่ยวลิ่วลิ่ว 


 


 


บนใบหน้าหล่อเหลาไม่มีความรู้สึกใด แม้แต่สายตาก็เรียบเฉย 


 


 


เขามองผ่านเธอไปยังมิสเตอร์ลอมบาร์ดีที่อยู่ริมทาง พลางเลิกคิ้วเล็กน้อย 


 


 


อยู่ๆ เหนียนเสี่ยวมู่ก็นึกขึ้นได้ เขาอาจจะไม่รู้ภาษาอิตาลี 


 


 


อย่างนั้นถึงแม้เมื่อครู่เขาได้ยินที่มิสเตอร์ลอมบาร์ดีพูด ก็คงฟังไม่รู้เรื่องว่าหมายความว่าอะไร 


 


 


ดีมาก! 


 


 


ขณะที่เธอลอบถอนหายใจนั้น เขาก็ขยับริมฝีปากพูด 


 


 


เป็นการใช้ภาษาอิตาลีขนานแท้กล่าวทักทายมิสเตอร์ลอมบาร์ดี 


 


 


ทำเอาเหนียนเสี่ยวมู่ตัวแข็งทื่อไปทันที! 


 


 


เธอหันหน้าไปมองชายหนุ่มที่เพิ่งกล่าวทักทายมิสเตอร์ลอมบาร์ดี ก่อนจะเบิกตาโพลงเท่าระฆังทองแดง 


 


 


หญิงสาวพูดไม่ออกอยู่นาน ราวกับเป็นโรคพูดไม่ได้ 


 


 


ได้แต่จ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น 


 


 


ในหัวกำลังคิดว่า เขาพูดภาษาอิตาลีได้ อย่างนั้นเขาก็คงได้ยินที่มิสเตอร์ลอมบาร์ดีพูดเมื่อครู่สินะ? 


 


 


“เป็นเกียรติของผมเลย ที่ได้พบคุณชายหาน” 


 


 


ประธานบริษัทตระกูลอวี๋ คุณชายอันดับหนึ่งของเมืองเอช 


 


 


คนที่มีความรู้ ไม่มีใครไม่รู้กิตติศัพท์ของอวี๋เยว่หาน 


 


 


มิสเตอร์ลอมบาร์ดีเผยความประหลาดใจบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยวดเครา ก่อนจะมองชายหนุ่มที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เหนียนเสี่ยวมู่ แล้วยื่นมือไปลูบหนวดของตนเอง 


 


 


มุมปากยกโค้งเล็กน้อย 


 


 


หลังจากตอบคำทักทายของอวี๋เยว่หานอย่างมีมารยาทแล้ว เขาก็ชะงักไปประมาณสองวินาที แล้วพูดต่อ 


 


 


“มีภรรยาแบบนี้เนี่ย คุณชายหานต้องทะนุถนอมอย่างดีเลยนะ” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !! 


 


 


ถ้าเมื่อครู่แค่น่าอาย อย่างนั้นตอนนี้สีหน้าของเธอต้องเปลี่ยนเป็นตกใจอย่างสุดขีดแน่นอน! 


 


 


เมื่อเธอดึงสติกลับมาจากความตกใจได้ เธอก็หันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ครั้งหนึ่ง รอให้เขาปฏิเสธ 


 


 


แต่รออยู่หลายวินาทีแล้ว ก็ไม่เห็นเขามีความคิดที่จะเอ่ยปากพูดเลย 


 


 


หรือว่าระดับภาษาอิตาลีของเขา พอจะทักทายได้เท่านั้น? 


 


 


อย่างนั้นเธอก็ทำได้แค่อธิบายเอง… 


 


 


“มิสเตอร์ลอมบาร์ดี คุณอาจจะเข้าใจผิด…” เหนียเสี่ยวมู่เพิ่งเอ่ยปาก อวี๋เยว่หานที่อยู่ข้างๆ ก็ยื่นมือมาตีท้ายทอยของเธอเบาๆ 


 


 


เขาสบสายตางุนงงของเธอ แล้วพูดอย่างเรียบๆ 


 


 


“มียุง” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !! 


 


 


ตอนที่เธออยากจะอธิบายกับมิสเตอร์ลอมบาร์ดีอีกครั้งนั้น อวี๋เยว่หานพลันเดินมาข้างหน้า แล้วยื่นมือออกไปอย่างมีมารยาทและไม่เสียอาการ “เดินทางปลอดภัยนะครับ” 


 


 


“โอเคๆ ไม่ต้องไปส่งแล้วนะ” มิสเตอร์ลอมบาร์ดีโบกมือ ก่อนจะเข้าไปนั่งในรถ 


 


 


ประตูรถค่อยๆ ปิดลง และขับหายไปจากสายตาของพวกเขา 


 


 


ริมทางเหลือเพียงพวกเขาสามคน 


 


 


และยังมีผู้ช่วยที่รับเสี่ยวลิ่วลิ่วมาจากคฤหาสน์ ซึ่งกำลังยืนอยู่ข้างหน้ารถ 


 


 


อวี๋เยว่หานล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยมือข้างเดียว เงาร่างสูงโปรงยืนอยู่ตรงนั้น กลายเป็นภาพที่น่ามองไปโดยปริยาย 


 


 


หลังจากรถของมิสเตอร์ลอมบาร์ดีออกไป เขาก็หมุนตัวจะไปอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่ว 


 


 


เขาช้อนดวงตาสีดำขึ้น เห็นเหนียนเสี่ยวมู่ที่กำลังทำหน้าตาแปลกๆ 


 


 


เหมือนกำลังพูดว่า ‘ฉันอยากอธิบาย แต่ทั้งโลกไม่ให้โอกาสฉันเลย แต่ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว’ 


 


 


อวี๋เยว่หานขมวดคิ้วเป็นปมเล็กน้อย “คุณกินยาผิดมาหรือไง” 


 


 


“คุณชาย เมื่อกี้คุณได้ยินที่มิสเตอร์ลอมบาร์ดีพูดใช่ไหม” เหนียนเสี่ยวมู่กะพริบตาใสแจ๋วเหมือนคริสตัลครั้งหนึ่ง ก่อนจะถามด้วยความจริงจังมาก 


 


 


“ก่อนคุณจะมา…ไม่ใช่สิ หลังจากคุณมา…สรุปว่า คุณได้ยินที่เขาพูดเมื่อกี้หมดเลย!” 


 


 


“คุณอยากพูดอะไรกันแน่” อวี๋เยว่หานเหลือบมองเธอเล็กน้อย พลางรับเสี่ยวลิ่วลิ่วไปจากมือของเธออย่างเย็นชา 


 


 


ในหัวกลับมีใบหน้าตกใจจนตะลึงลานของเธอผุดขึ้นมา ขณะที่เขาเดินเข้ามาเมื่อครู่ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 266 ลูกสาวผมเหมือนผม 


 


 


ตอนนั้นเขาอยู่ค่อนข้างไกล จึงไม่ได้ยินว่ามิสเตอร์ลอมบาร์ดีพูดว่าอะไร 


 


 


แต่ประโยคสุดท้ายนั้น เขาได้ยิน 


 


 


เมื่อเห็นท่าทางร้อนใจอยากอธิบายของเธอ มือของเขาก็ตีท้ายทอยของเธอเบาๆ โดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน 


 


 


เธอตกใจอย่างนั้น เพราะคำพูดนั้นเหรอ 


 


 


อวี๋เยว่หานยื่นมือไปอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วไว้ในอก ก่อนจะหลุบตามองเหนียนเสี่ยวมู่ที่อยู่ข้างหน้าเขา และพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร 


 


 


“ภาษาอิตาลีของผมไม่ค่อยดี พูดได้แค่ทักทายง่ายๆ เท่านั้น” 


 


 


“…” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ที่ตื่นเต้นเมื่อครู่ พลันตะลึงงันไป 


 


 


เธอร้อง “อา” เสียงหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นมือไปเกาหัวตัวเอง ทำหน้าตาเข้าใจในทันที 


 


 


ที่แท้ก็ฟังไม่รู้เรื่องนี่เอง 


 


 


ก็ถูกต้องแล้ว ภาษาอิตาลีในประเทศจีนไม่ได้เป็นที่นิยมเหมือนภาษาอังกฤษ เขาฟังไม่รู้เรื่องก็เป็นเรื่องปกติ 


 


 


ถ้าพูดอย่างนั้น เมื่อครู่เขาไม่ได้อธิบายความสัมพันธ์ของพวกเขา ก็เพราะเขาไม่รู้เลยว่ามิสเตอร์ลอมบาร์ดีพูดว่าอะไร… 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ก้มหน้าลง จ้องมองปลายเท้าของตนเอง 


 


 


ควรจะถอนหายใจด้วยความโล่งใจแท้ๆ 


 


 


แต่ไม่รู้ว่าทำไม กลับรู้สึกอึดอัดใจ 


 


 


“ภาษาอิตาลีของคุณมันยังไงเนี่ย” อวี๋เยว่หานก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว รูปร่างสูงใหญ่ปกคลุมเงาร่างของเธอ 


 


 


ทันทีที่พูดออกมา ในดวงตาสีดำของเขาก็มีความสงสัยพาดผ่านไปด้วย 


 


 


ความชำนาญทางด้านศิลปะอันน่าประหลาดใจของเธอ 


 


 


ความสามารถด้านการประชาสัมพันธ์ที่โดดเด่น 


 


 


ตอนนี้ยังมีพรสวรรค์ทางด้านภาษาที่ทำให้คนแปลกใจอีก… 


 


 


เธอเหมือนกล่องแพนดอรา เตรียม ‘ความประหลาดใจ’ ไว้ให้เขาอีกเท่าไหร่กัน 


 


 


“คุณไม่เคยบอกมาก่อนเลย ว่าคุณพูดภาษาอิตาลีได้” นัยน์ตาของอวี๋เยว่หานวูบไหวเล็กน้อย 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กำลังเหม่อลอย แต่ก็เงยหน้าขึ้นมาตามจิตใต้สำนึกเพราะได้ยินเขาพูด “คุณก็ไม่เคยถามฉันนี่” 


 


 


อวี๋เยว่หาน “…” 


 


 


เขาเลิกขมวดคิ้ว และมองหญิงสาวหน้าตาใสซื่อตรงหน้า 


 


 


สายตาของเขาอบอุ่นขึ้น 


 


 


ความหมายของคำพูดเธอ เขาเข้าใจได้ ถ้าเขาถาม เธอจะพูดความจริงกับเขาสินะ? 


 


 


“เมื่อกี้มิสเตอร์ลอมบาร์ดีพูดว่าอะไร ก่อนที่ผมจะมา” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !! 


 


 


เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างนี้เลยเหรอ ทำไมอยู่ๆ เขาถึงถามขึ้นมาล่ะ 


 


 


แล้วจะต้องตอบอย่างไรดี 


 


 


หรือควรจะพูดว่า ‘ยินดีด้วย มิสเตอร์ลอมบาร์บอกว่าลูกสาวของคุณเหมือนฉัน สืบทอดยีนเด่นของฉันอย่างสมบูรณ์ เป็นนางฟ้าตัวน้อยที่ทั้งสวยทั้งฉลาดจริงๆ!’ 


 


 


เธอกลัวว่าอวี๋เยว่หานจะมองว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ต้องการเป็นแม่เลี้ยงของลูกสาวเขา อย่างนั้นน่าอายจริงๆ! 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่พิจารณาอยู่นาน ถึงจะเค้นคำพูดออกมาได้สักคำ 


 


 


“ก็เปล่า ไม่ได้พูดอะไร เขาชมว่าเสี่ยวลิ่วลิ่วน่ารัก นิสัยดี” 


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋เยว่พลันมองเสี่ยวลิ่วลิ่วที่อิงแอบอยู่ในอกของเขาอย่างมาง่าย ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย 


 


 


“อืม ลูกสาวผมเหมือนผม” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” 


 


 


ถุยๆ! 


 


 


มิสเตอร์ลอมบาร์ดีบอกอย่างชัดเจนว่าเสี่ยวลิ่วลิ่วเหมือนเธอ น่ารักและนิสัยดีเหมือนเธอ ทำไมเขาถึงได้ภูมิใจขนาดนั้น! 


 


 


ถ้าเหมือนเขา ก็ต้องเหมือนก้อนน้ำแข็งสิ! 


 


 


พูดแล้วนิสัยของเสี่ยวลิ่วลิ่วก็ไม่ค่อยเหมือนเขาเอาเสียเลย… 


 


 


เสียงริงโทนขัดจังหวะความคิดของเหนียนเสี่ยวมู่ ทำให้เธอดึงสติกลับมาได้ เธอมองการแจ้งเตือนบนโทรศัพท์ครั้งหนึ่ง “แย่แล้ว ฉันลืมกลับไปรายงานที่แผนก!” 


 


 


“…” 


 


 


เงาร่างสูงโปร่งของอวี๋เยว่หานยังคงอยู่ที่เดิม นัยน์ตาสีดำหยั่งลึก จับจ้องไปที่ตัวเธอ จนกระทั่งเธอหายลับไปจากสายตา 


 


 


ในหัวของเขามีคำพูดของมิสเตอร์ลอมบาร์ดีผุดขึ้นมา 


 


 


เมื่อรู้สึกว่าเธอส่งผลต่อความคิดของตนเองอย่างง่ายดายแล้ว อวี๋เยว่หานก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย 


 


 


“เหนียนเสี่ยวมู่…” 


ตอนที่ 267 ตบหัวแล้วลูบหลัง


 


 


“คุณชาย”


 


 


ผู้ช่วยเห็นเขายืนอยู่อย่างนั้น จึงเดินเข้ามาเตือนอย่างนอบน้อม


 


 


อวี๋เยว่หานได้สติกลับมา เขาหลุบตาลง ใบหน้ากลับมาสงบนิ่งดังเดิม ก่อนจะอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วเดินเข้าไปในบริษัท


 


 


แต่เพิ่งกลับมาถึงประตูห้องทำงานประธานบริษัท เขาก็เห็นเหวินหย่าไต้รออยู่ข้างนอก


 


 


เธอสวมชุดทำงานสีดำทั้งตัว ดูมีเสน่ห์สะอาดสะอ้านและมีความเป็นผู้ใหญ่


 


 


หญิงสาวรวบผมยาวเอาไว้ มีผมหลุดลุ่ยอยู่ข้างหูสองปอย ทำให้เธอดูอ่อนโยนทั้งๆ ที่มีความมืออาชพ


 


 


และทำให้รู้สึกสบายใจมาก


 


 


เมื่อเห็นอวี๋เยว่หาน เธอพลันยิ้มกว้าง แม้แต่สายตาก็มีแต่ความชื่นชม


 


 


เธอกอดเอกสารเดินมาข้างหน้า “คุณชายหาน เจรจางานของมิสเตอร์ลอมบาร์ดีเรียบร้อยแล้วค่ะ เซ็นสัญญากันอย่างราบรื่น พวกเราเพิ่งส่งมิสเตอร์ลอมบาร์ดีไปเมื่อครู่เอง”


 


 


“อืม” อวี๋เยว่หานตอบรับอย่างเย็นชา


 


 


“มิสเตอร์ลอมบาร์ดีบอกกับฉันตลอดเลย ว่าชื่นชมความรู้เกี่ยวกับอิตาลีของฉันมาก แถมยังมีฝีมือในการทำงาน ความจริงแล้วถ้ามีโอกาส เขาอยากพบคุณชายหานด้วยนะคะ แต่ฉันเห็นว่าคงจะไม่ได้”


 


 


เหวินหย่าไต้นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ นัยน์ตาอ่อนโยนจนเกือบจะมีน้ำตาไหลออกมา


 


 


“ฉันเรียนภาษาอิตาลีในตอนนั้น ก็เพราะคุณชายหานพูดภาษาอิตาลีได้มาก เพราะคุณ…”


 


 


“เรื่องเซ็นสัญญาสำเร็จน่ะ ผมรู้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม” อวี๋เยว่หานขยับริมฝีปากบาง ขัดจังหวะคำพูดของเธอ


 


 


เมื่อเข้าไปในห้องทำงาน เขาก็ปล่อยให้เสี่ยวลิ่วลิ่วไปเล่นสนุก


 


 


จากนั้นก็มุ่งหน้าไปนั่งลงตรงหน้าโต๊ะทำงานของตนเอง


 


 


เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย เหลือบมองเธอ


 


 


เหวินหย่าไต้เห็นสายตาแหลมคมของเขาแล้วก็รู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาบ้าง เธอลังเลอยู่หลายวินาที ถึงจะเอ่ยปาก


 


 


“ฉันมีหาคุณโดยเฉพาะ ความจริงแล้วไม่ใช่เพื่อขอความดีความชอบ แต่เพื่อยอมรับผิดค่ะ”


 


 


อวี๋เยว่หานขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อได้ยินดังนั้น ก่อนจะหันไปมองผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆ


 


 


ผู้ช่วยเห็นดังนั้นก็เดินไปข้างๆ เขาทันที และกระซิบอธิบายข่าวที่ได้ยินมาจากแผนกประชาสัมพันธ์ให้เขาฟัง


 


 


“คุณชายหาน ปกติล่ามหวางไม่ใช่คนแบบนั้น เธอทุ่มเทกับการทำงานมาก และไม่เคยทำให้เกิดความผิดพลาดมาก่อน ฉันรู้สึกว่าเธอมีความสามารถโดดเด่น ก็เลยส่งให้เธอไปทำงานกับซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน แต่คิดไม่ถึงว่า…”


 


 


เหวินหย่าไต้เม้มปาก ก่อนจะพูดต่อ


 


 


“พูดตามตรงแล้ว เป็นเพราะฉันเองที่จัดการได้ไม่รัดกุม ถึงได้ทำให้พวกเธอพูดจามั่วซั่ว จนเกือบจะส่งผลกระทบถึงการร่วมมือในครั้งนี้”


 


 


“คุณชายหาน เรื่องสร้างความเข้าใจผิดนั้น หวางเมี่ยวเมี่ยวขอลาออกแล้วครับ” ผู้ช่วยเตือนอยู่ข้างๆ


 


 


คนที่สร้างความเข้าใจผิด ก็คือหวางเมี่ยวเมี่ยว


 


 


ที่จริงพูดขึ้นมาแล้วก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเหวินหย่าไต้


 


 


ถ้าดึงผู้จัดการคนหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเพราะเหตุนี้ ก็เป็นการทำเกินกว่าเหตุอย่างเห็นได้ชัด


 


 


“ก๊อกๆ!” ประตูห้องทำงานประธานบริษัทส่งเสียงดังขึ้นมา


 


 


เลขาเปิดประตูเข้ามา เหนียนเสี่ยวมู่ตามอยู่ข้างหลัง


 


 


“คุณชายหาน ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนมาค่ะ”


 


 


ทั้งสองคนที่เพิ่งแยกจากกัน ได้เจอหน้ากันอีกครั้ง


 


 


แววตาของอวี๋เยว่หานสั่นเครือเล็กน้อย พลางมองเธอด้วยความสงสัย และใช้สายตาสอบถามว่าเธอมาทำอะไร


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่มีสีหน้างุนงง เธอเดินเข้ามาในห้องทำงาน ก่อนจะหยุดลงข้างๆ เหวินหย่าไต้ “ผู้จัดการเหวิน คุณให้ฉันมา มีเรื่องอะไรเหรอคะ”


 


 


“อื้ม ฉันให้ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนขึ้นมา” เหวินหย่าไต้รีบจับมือของเหนียนเสี่ยวมู่ด้วยความกระตือรือร้นหลังจากได้ยินอีกฝ่ายพูด และดึงเธอมาข้างหน้าตนเอง


 


 


ผู้จัดการสาวเงยหน้ามองอวี๋เยว่หาน


 


 


“คุณชายหาน งานร่วมมือในครั้งนี้ โชคดีที่มีซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนค่ะ”


 


 


“…”


 


 


“ตั้งแต่ที่เธอเข้ามาในแผนกประชาสัมพันธ์ของพวกเรา เธอก็มีความสามารถโดดเด่นมากมาโดยตลอด ฉันหวังว่าบริษัทจะตบรางวัลให้เธออย่างงามสักครั้งหนึ่งค่ะ!”


 


 


 


 


ตอนที่ 268 เป็นเด็กดีรอผมกลับมา


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เพิ่งเข้าไปในแผนกประชาสัมพันธ์ ก็ต้องเจรจางานใหญ่อีกสองงานทันที


 


 


เธอทำงานได้ดีมาก


 


 


คำชมของเหวินหย่าไต้ ไม่ได้ชมเกินไปเลย


 


 


กลับเป็นการให้รางวัลและลงโทษอย่างชัดเจน


 


 


“พูดขึ้นมาแล้ว ตอนที่ซูเปอร์ไวเซอร์ลงมาทำงานที่แผนกของพวกเรา ฉันก็สงสัยอยู่บ้าง แต่คิดไม่ถึงว่าเธอไม่เพียงเชี่ยวชาญทักษะด้านการประชาสัมพันธ์ ยังมีพรสวรรค์ทางด้านภาษาดีขนาดนี้ด้วย พูดภาษาอิตาลีคล่องปรื๋อ แทบจะไม่ด้อยไปกว่าคุณชายหานเลย…”


 


 


“แค่กๆ!” อวี๋เยว่หานกระแอมเสียงเบาสองเสียงทันใด


 


 


นัยน์ตาสีดำหรี่ลง ใบหน้าปรากฏความเขินอายเล็กน้อย


 


 


“คุณชายหาน ไม่สบายหรือเปล่าคะ” เมื่อได้ยินอวี๋เยว่หานไอ เหวินหย่าไต้ก็ถามด้วยความเป็นห่วงทันที


 


 


“ผมไม่เป็นไร ผมรับทราบข้อเสนอที่คุณพูดมาแล้ว” อวี๋เยว่หานยกแก้วน้ำขึ้นดื่มคำหนึ่ง จากนั้นถึงจะมองไปยังเหนียนเสี่ยวมู่ที่ตะลึงลานอยู่ข้างๆ เหวินหย่าได้


 


 


เธอได้ยินว่ารางวัล ก็ไม่ได้ยินอย่างอื่นแล้ว


 


 


เมื่อดึงสติกลับมาได้ ดวงตากลมโตใสแจ๋วก็ชุ่มไปด้วยน้ำ แทบจะเปล่งประกาย


 


 


ขาดก็แค่ไม่มีหางส่ายไปมาเดินไปหาเขา


 


 


บนใบหน้ามีคำพูดเขียนไว้ว่า ‘คุณชาย ฉันอยากได้เงิน! โบนัส!’


 


 


อวี๋เยว่หานเห็นท่าทางของเธอแล้ว ก็รู้ว่าเธอแทบจะไม่ได้ยินเรื่องภาษาอิตาลีที่เหวินหย่าไต้พูดถึงเมื่อครู่ จึงวางแก้วน้ำลงพร้อมใบหน้าเรียบเฉย แล้วขยับริมฝีปากบางเล็กน้อย


 


 


“หลังจากงานนี้เสร็จสิ้น จะมีโบนัสสามเดือนเป็นรางวัล”


 


 


“…”


 


 


“ส่วนเรื่องของหวางเมี่ยวเมี่ยว…” อวี๋เยว่หานมีน้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้นเมื่อเปลี่ยนเรื่อง


 


 


ครั้นได้ยินเขาพูดถึงหวางเมี่ยวเมี่ยว เหวินหย่าไต้ก็กำมือแน่น


 


 


ร่างกายแข็งทื่อไปในพริบตา


 


 


เธอมารายงานเรื่องนี้เอง เพราะไม่ต้องการให้อวี๋เยว่หานหลงเลือภาพลักษณ์ที่ไม่ดีไว้ในใจเลยสักนิด


 


 


เธอทิ้งแม้กระทั่งความตั้งใจของตนเอง และขอรางวัลให้กับเหนียนเสี่ยวมู่ด้วยตนเอง


 


 


ให้เขารู้สึกว่าตนเองแบ่งการให้รางวัลและลงโทษอย่างชัดเจน


 


 


เท่านั้นยังไม่พอใช่ไหม


 


 


ในใจของเหวินหย่าไต้กระวนกระวายไปหมด เธอแอบกำหมัดแน่น แต่บนใบหน้ายังคงอ่อนน้อมถ่อมตนดังเดิม


 


 


ราวกับไม่ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร เธอก็จะไม่คัดค้าน


 


 


“เรื่องเซี่ยจิงจิงผมเห็นเป็นอุบัติเหตุ แต่วันนี้เกิดเรื่องหวางเมี่ยวเมี่ยวอีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ลูกน้องของคุณก่อปัญหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า คุณเป็นผู้จัดการ ก็มีต้องมีส่วนรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”


 


 


“…” ผู้จัดการสาวหน้าซีดขาว กัดฟันกรอด


 


 


“เรื่องในครั้งนี้ ผมจะให้คนตรวจสอบให้ชัดเจน ตอนนี้จะไม่ลงโทษคุณ แต่ถ้ามีครั้งต่อไป” อวี๋เยว่หานยังพูดไม่จบ แต่ท้ายประโยคเป็นคำเตือนที่ร้ายแรงที่สุด


 


 


เหวินหย่าไต้มีความสามารถโดดเด่นมาโดยตลอด ตั้งแต่เข้ามาในบริษัทตระกูลอวี๋


 


 


เธอทำงานเก่ง แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้อย่างชัดเจน


 


 


ทุกครั้งที่เข้ามาในห้องทำงานประธานบริษัท เธอจะได้คำชมทุกครั้ง


 


 


แต่ครั้งนี้เธอถูกอวี๋เยว่หานตำหนิ ต่อหน้าเหนียนเสี่ยวมู่…


 


 


เธอก้มหน้าลง สายตาพลันมืดมนลง


 


 


พร้อมทั้งกัดฟันกรอด!


 


 


“ฉันจะจำคำพูดของคุณชายหานเอาไว้ค่ะ ต่อไปจะระวังให้มากขึ้น จะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกค่ะ!”


 


 


หลังจากเห็นว่าอวี๋เยว่หานไม่มีคำสั่งใดอีก เธอก็กลับหลังหันออกจากห้องทำงานประธานบริษัททันทีที่พูดจบ


 


 


ตอนนี้ในห้องทำงานประธานบริษัทเงียบลงในทันที


 


 


กลิ่นอายน่าอึดอัดวนเวียนอยู่ในอากาศ


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ตะลึงอยู่ที่เดิม มองเหวินหย่าไต้ออกไป และดึงสติกลับมาได้หลังจากนั้นหลายวินาที “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันก็จะกลับไปทำงาน…”


 


 


“มีสิ”


 


 


อวี๋เยว่หานขยับริมฝีปากบาง นิ้วเรียวยาวชี้ไปยังเจ้าก้อนข้าวเหนียนที่ฟุบอยู่บนโซฟา “ผมต้องประชุม คุณช่วยผมดูเธออยู่ที่นี่”


 


 


เขาพูดพลางลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ทำงาน


 


 


จากนั้นก็ก้าวเท้ามาหยุดตรงหน้าเหนียนเสี่ยวมู่ มือใหญ่พลันวางลงบนหัวของเธอ “เป็นเด็กดีรอผมกลับมา”


ตอนที่ 269 อ๊ากก เด็กทรยศ!


 


 


“…”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ตะลึงลานอยู่ที่เดิม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย


 


 


อยากจะมองมือใหญ่บนหัวตามจิตใต้สำนึก แต่มือของเขาหนักอยู่บ้าง


 


 


เมื่อสังเกตเห็นท่าทางของเธอ เขาก็ออกแรงขยี้ผมของเธอ ขณะที่เธอจะโมโห เขาก็หดมือกลับไปอย่างเฉยชา


 


 


เธอยังไม่ทันเอ่ยปาก เขาก็ก้าวเท้าเดินผ่านเธอออกจากห้องทำงานไปแล้ว


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !!


 


 


หญิงสาวมองชายหนุ่มทีข้างประตูหายไปจากสายตา แล้วจึงยื่นมือขึ้นไปลูบผมที่เขาทำเละไว้


 


 


ครั้นคิดถึงภาพเมื่อครู่ แก้มของเธอก็พลันแดงระเรื่อ


 


 


เธอใช้สองมือปิดหน้า แล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ำ บิดก๊อกน้ำสาดน้ำเย็นบนใบหน้าของตนเอง


 


 


อ๊ากก!


 


 


จะให้ช่วยเขาดูแลเสี่ยวลิ่วลิ่ว แล้วอยู่ๆ ทำไมต้องลูบหัวฉันด้วย!


 


 


แถมยังพูดว่า ‘เป็นเด็กดีรอผมกลับมา’ ด้วย!


 


 


เธอไม่ใช่เด็กสักหน่อย!


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่มองใบหน้าแดงแจ๋ของตนเองในกระจก ในใจมีความรู้สึกแปลกๆ


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาของอวี๋เยว่กานปรากฏอยู่ตรงหน้าไม่ยอมหยุด…


 


 


หลังจากดึงสติกลับมาได้ เธอรีบออกแรงตบหน้าของตนเอง ไม่ให้ตนเองคิดมั่วซั่วอีก


 


 


จากนั้นเธอก็ดูเวลา เมื่อเช็ดน้ำบนใบหน้าจนแห้ง


 


 


อีกหนึ่งชั่วโมงจะเลิกงานแล้ว


 


 


เธอทำงานของวันนี้เสร็จแล้ว จะกลับหรือไม่กลับแผนกประชาสัมพันธ์ก็ไม่เป็นไร


 


 


จึงถือโอกาสอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวลิ่วลิ่วที่ห้องทำงานประธานบริษัท และกลับไปพร้อมกับอวี๋เยว่หาน


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เดินมาถึงหน้าโซฟา ก่อนจะอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วไว้ในอก พลางเล่นของเล่นไปกับเด็กหญิง


 


 


เวลาผ่านไปเร็วมาก


 


 


พริบตาเดียวก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว เหนียนเสี่ยวมู่รออีกสิบนาที อวี๋เยว่หานก็ยังไม่กลับมา


 


 


ตอนที่กำลังลังเลว่าต้องพาเสี่ยวลิ่วลิ่วกลับไปก่อนหรือไม่นั้น ข้างหูก็เหมือนมีคำพูด ‘เป็นเด็กดีรอผมกลับมา’ ของเขาดังขึ้น


 


 


เธอเพิ่งผุดลุกขึ้นจากโซฟา แต่ก็นั่งลงอย่างว่าง่าย


 


 


หญิงสาวเขี่ยมือเล็กขาวของเสี่ยวลิ่วลิ่วอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะนำมาบีบในมือ แล้วถามหยั่งเชิง


 


 


“เสี่ยวลิ่วลิ่ว หนูหิวหรือเปล่า ไม่งั้นพวกเรากลับบ้านก่อนไหม”


 


 


ถ้าเสี่ยวลิ่วลิ่วหิวแล้ว เธอจะพาเสี่ยวลิ่วลิ่วกลับไปกินข้าว เขาคงไม่โกรธหรอกมั้ง


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ยังไม่ทันได้ทำตามความคิด เจ้าก้อนข้าวใยเหนียวในอกก็ย่นใบหน้าสะสวยแล้ว


 


 


เด็กหญิงเอียงคอมองเธอ พร้อมกับทำหน้าตาจริงจัง “ปาปาให้พวกเรารอ พี่สาวคนสวยดื้อจัง!”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…”


 


 


อวี๋เยว่หานให้เธออยู่ดูแลเสี่ยวลิ่วลิ่วที่ไหนกัน เขาให้เสี่ยวลิ่วลิ่วอยู่จับตามองเธอต่างหาก


 


 


แล้วพี่สาวที่บอกว่าสวยที่สุดล่ะ?


 


 


เด็กทรยศ!


 


 


ไม่นานประตูห้องทำงานประธานบริษัทก็เปิดออก


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ลุกขึ้นจากบนโซฟาทันที แล้วหันหน้าไปมองคนที่เข้ามาจากข้างนอกประตู


 


 


“คุณชายหาน ผมสรุปเนื้อกาการประชุมแล้ว ส่วนทางยุโรป…” ผู้ช่วยตามอยู่ข้างๆ อวี๋เยว่หาน กำลังรายงานงานของเขา


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาของอวี๋เยว่หานเรียบเฉยมาก


 


 


เมื่อเข้ามาในห้องทำงาน เขาก็ยื่นมือดึงทึ้งเนกไทของตนเอง


 


 


จากนั้นถึงจะหันมามองทางโซฟา ราวกับนึกอะไรขึ้นได้


 


 


“ปาปา!” ร่างเล็กนุ่มนิ่มของเสี่ยวลิ่วลิ่วไถลลงจากโซฟาอย่างรวดเร็ว แล้วสาวเท้าถลาเข้าไปหาเขา


 


 


อวี๋เยว่หานดึงเด็กหญิงเข้าไปในอ้อมกอดด้วยมือเดียว


 


 


ส่วนมืออีกข้างประคองเจ้าตัวเล็กไว้อย่างมั่นคง ปล่อยให้ลูกสาวโอบคอของเขาเอาไว้


 


 


สุดท้ายเขาก็เลิกคิ้วมองเหนียนเสี่ยวมู่บนโซฟา


 


 


นัยน์ตาสีดำหยั่งลึก ราวกับกำลังตรวจสอบ ว่าเธอเชื่อฟังคำพูดของเขา เป็นเด็กดีรอเขากลับมาหรือเปล่า


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เพิ่งใจเย็นลงได้ จึงกระวนกระวายขึ้นมาในพริบตา


 


 


เธอกำลังจะถามว่ากลับไปได้หรือยัง ก็ได้ยินเสี่ยวลิ่วลิ่วที่พิงอยู่ในอกของเขาเงยหน้าขึ้น ก่อนจะพูดเสียงเจื้อยแจ้ว “ถ้าปาปาไม่กลับมา พี่สาวคนสวยจะหนีไปแล้ว”


 


 


 


 


ตอนที่ 270 ผมรอคุณอยู่นานแล้ว


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !!


 


 


เธอมองเห็นสายตาของอวี๋เยว่หานเหลือบมองมา พลันยกมือรับประกันโดยไม่ต้องคิด “เปล่านะ! ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน! ฉันกำลังจะพาเสี่ยวลิ่วลิ่วไปหาคุณ ไม่ได้หนีนะ!”


 


 


“…”


 


 


“คุณชายหาน เย็นแล้ว คุณต้องเหนื่อยแน่ๆ ไปๆๆ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ!” เหนียนเสี่ยวมู่พูดพลางเดินไปข้างหน้า ก่อนจะรับเสี่ยวลิ่วลิ่วจากในอกของเขาไป และเดินออกไปข้างนอกโดยไม่พูดอะไรอีก


 


 


เธอไม่ได้สังเกตเลยสักนิด ว่าคำพูดของตนเองเมื่อครู่แปลกไปบ้าง


 


 


เงาร่างสูงโปร่งของอวี๋เยว่หานยืนอยู่ที่เดิม นัยน์ตาสีดำหรี่ลงเล็กน้อย


 


 


เธอบอกว่า พวกเรากลับบ้านกัน…


 


 


ความเยือกเย็นในสายตาของเขาสลายไป มุมปากยกยิ้มในทันที


 


 


จากนั้นก็เดินตามหลังเธอไป


 


 


แต่เพิ่งเดินมาถึงลานจอดรถ ก็เห็นเฉินจื่อซินรออยู่


 


 


เขาสวมชุดสูทสีขาวทั้งตัว ทำให้เขาดูเหมือนเจ้าชายขี่ม้าขาวอยู่หลายส่วน


 


 


หลังจากเห็นเหนียนเสี่ยวมู่ปรากฏตัวที่ลานจอดรถ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็มีรอยยิ้มกว้างประดับอยู่บนนั้นทันใด


 


 


เขาเดินเข้ามาหา “ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน ผมรอคุณอยู่นานแล้ว”


 


 


“รอฉัน?” เหนียนเสี่ยวมู่ตะลึงไป พลางชี้จมูกของตนเองด้วยความงงงัน


 


 


เธอไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ เฉินจื่อซินถึงมาหาเธอ


 


 


“ใช่ครับ!” เฉินจื่อซินพยักหน้าอย่างจรืงจัง จากนั้นบนใบหน้าก็มีอารมณ์ยั่วเย้าผ่านมา และเอ่ยปากด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย


 


 


“เอ่อ คืออย่างนี้ครับ อีกสองวันจะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ผมอยากถามว่าคุณพอจะมีเวลาไหมครับ ผมอยากนัดคุณไปดูหนัง”


 


 


เขาพูดจบก็ควักตั๋วหนังสองใบออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ


 


 


“ผมซื้อตั๋วไว้เรียบร้อยแล้ว”


 


 


“…”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่มองตั๋วในมือของเขา เธอรู้สึกตะลึงลานอยู่บ้าง


 


 


เธอเงยหน้าขึ้นหลังจากรู้ตัว มองไปยังใบหน้าจริงจังของเขา


 


 


ตอนที่เขาเอ่ยปากพูดออกมา เธอได้ยินเสียงเย็นชาดังมาจากข้างหลัง


 


 


“เธอไม่ว่าง!”


 


 


“…” เหนียนเสี่ยวมู่หันกลับไป เห็นอวี๋เยว่หานที่มาช้ากว่าเธอก้าวหนึ่งกำลังเดินเข้ามาพร้อมใบหน้ามืดมน


 


 


มือข้างหนึ่งของเขาล้วงอยู่ในกางเกง นัยน์ตาสีดำยิ่งกว่าน้ำหมึกเสียอีก


 


 


เขาแผ่ความห่างเหินออกมาทั่วร่าง ราวกับว่าทั้งโลกทำผิดต่อเขา


 


 


ชายหนุ่มเหลือบมืองเหนียนเสี่ยวมู่อย่างล้ำลึกครั้งหนึ่ง แล้วถึงจะหันไปมองเฉินจื่อซินที่กำลังตกใจเพราะเขา


 


 


“คุณชายหาน…”


 


 


เฉินจื่อซินเพิ่งจะเตรียมเอ่ยปากทักทายเขา ก็เห็นเขาขยับริมฝีปากบางพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำเสียแล้ว


 


 


“สุดสัปดาห์นี้พวกเราจะไปดูโรงเรียนอนุบาลกับเสี่ยวลิ่วลิ่ว เธอไม่มีเวลาไปดูหนังกับคุณหรอก”


 


 


เฉินจื่อซิน “…”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !!


 


 


นัดกันว่าจะไปโรงเรียนอนุบาลตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเธอไม่รู้


 


 


เมื่อสบสายตาสอบถามของเฉินจื่อซิน เหนียนเสี่ยวมู่ลังเลไปหนึ่งวินาที ก่อนจะพยักหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วพูดเสริมว่า “ใช่ค่ะ สุดสัปดาห์นี้พวกเราต้องไปดูโรงเรียนอนุบาลกับเสี่ยวลิ่วลิ่ว”


 


 


แต่พอพูดจบ เธอรู้สึกว่ามีตรงไหนแปลกๆ


 


 


เธอไปเป็น ‘พวกเรา’ กับอวี๋เยว่หานตั้งแต่เมื่อไหร่


 


 


อวี๋เยว่หานเดินมาข้างหน้า ขวางระหว่างเธอกับเฉินจื่อซินไว้แล้ว โดยที่เธอยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ


 


 


สองมือของเขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกันลม ใบหน้าเฉยชาเชิดขึ้นเล็กน้อย “รองประธานเฉินเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก น่าจะงานยุ่งมาก ถ้าว่างนักล่ะก็ ทุ่มเททำงานจะดีกว่านะครับ ผมเชื่อว่าประธานเฉินน่าจะดีใจมาก”


 


 


คำพูดแฝงความนัยไว้ว่า ‘ดูหนังให้มันน้อยๆ หน่อย!’


 


 


เขาพูดจบแล้วก็ไม่ให้โอกาสเฉินจื่อซินได้พูดอีก


 


 


อวี๋เยว่หานหันไปอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างจูงเหนียนเสี่ยวมู่ที่กำลังตะลึงงัน แล้วเดินไปที่รถมินิแวนซึ่งขับมาแล้ว


 


 


เป็นครั้งแรกที่เขาเปิดประตูให้เหนียนเสี่ยวมู่ขึ้นรถ โดยไม่รอให้คนขับรถมาเปิดให้


 


 


“เดี๋ยวก่อน ฉันลืมบอกลากรองประธานเฉิน…” เหนียนเสี่ยวมู่กล่าวอย่างร้อนใจหลังจากที่เพิ่งนั่งบนรถ


 


 


แต่สิ่งที่เธอได้กลับมา กลับเป็นการปิดประตูรถโดยไม่มีความลังเลใดๆ!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม