เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย 260-267

 ตอนที่ 260 อุบัติเหตุ 


  


รอยยิ้มเธอทั้งสะใจทั้งเ**้ยมเกรียม จิ้นหยวนเห็นแล้วสังหรณ์ใจไม่ดี 


 


 


เขาก้าวยาวเดินไปข้างหน้าเธอ บีบคอเธอแน่น เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เธอคิดจะทำอะไรอีก? พูดมาเดี๋ยวนี้!” 


 


 


หร่วนเซียงเซียงยิ้มหน้าตาบิดเบี้ยว “แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ? ในเมื่อฉันทั้งเจ็บปวดทั้งโชคร้ายขนาดนี้ ฉันก็ต้องหาคนมาเป็นเพื่อนนะสิ คุณว่าดีไหมล่ะ?” 


 


 


จิ้นหยวนหัวใจเย็นวาบ โยนเธอลงบนพื้น คำรามเสียงดังลั่น “เฝ้าเธอไว้ให้ดี!” 


 


 


เขาก้าวยาวๆ ออกจากที่นั่น หร่วนเซียงเซียงตะโกนไล่หลังอย่างบ้าคลั่ง “จิ้นหยวน มันสายไปแล้ว สายไปแล้ว ฮ่าๆๆ…” 


 


 


จิ้นหยวนหวาดกลัวไปหมด เขาขับรถด้วยความเร็วสูงสุด หัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกจากอก 


 


 


เขากดโทรศัพท์โทรออกไม่หยุด แต่กลับไม่มีใครรับสายเขาเลย มันทำให้เขาทรมานมาก อยากจะมีปีกสักคู่จะได้บินไปเร็วๆ ดั่งใจนึก 


 


 


ใช่แล้ว ตอนนี้เขาเดาออกแล้ว เป้าหมายของนักฆ่าที่หร่วนเซียงเซียงส่งไปในคืนนี้ก็คือเฉียวซือมู่ หญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจ 


 


 


เขานึกถึงท่าทางบ้าคลั่งของหร่วนเซียงเซียงแล้วตัวสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาไม่เคยหวาดกลัวขนาดนี้มาก่อน ไม่กล้าคิดด้วยซ้ำว่าถ้าคำพูดของหร่วนเซียงเซียงเป็นจริงขึ้นมาแล้วตัวเองจะเจ็บปวดมากขนาดไหน 


 


 


เขาขับรถไปจอดลงตรงหน้าคฤหาสน์ของตัวเองอย่างรวดเร็ว เห็นข้างในบ้านเปิดไฟสว่างไสว หัวใจเขาหนักอึ้ง 


 


 


ตามปกติถ้าดึกมากขนาดนี้ ในบ้านจะไม่เปิดไฟมากมายแบบนี้ ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าข้างในเกิดเรื่องอะไรขึ้นนะสิ? 


 


 


เขาไม่กล้าเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว รีบก้าวเท้าจ้ำพรวดเข้าไปในบ้าน ร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ “สวรรค์ทรงโปรด ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย ได้โปรด…” 


 


 


เขาเดินเข้าไปในบ้าน แต่ข้างในกลับว่างเปล่าไร้ผู้คน เขาเงยหน้าขึ้น ได้ยินเสียงคนมากมายดังมาจากชั้นบน 


 


 


หัวใจเขาเต้นแรงขึ้น รีบก้าวขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว พลันเห็นบอดี้การ์ดหลายคนยืนอยู่หน้าห้องนอนของเขา แต่ละคนสีหน้าแปลกประหลาด 


 


 


หัวใจเขาเต้นแรงมาก เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว พยายามแหวกบอดี้การ์ดพวกนั้นออก “มู่มู่! มู่มู่!” 


 


 


บอดี้การ์ดหันไปเห็นว่าเป็นจิ้นหยวนจึงแหวกออกเป็นทางอย่างเป็นระเบียบ ทำให้วิสัยทัศน์ของเขากว้างขึ้น เขามองเข้าไปในห้องแล้วถึงกับตะลึงค้าง 


 


 


สิ่งที่ปรากฎตรงหน้าเขาคือเครื่องเรือนที่แสนคุ้นเคย การประดับตกแต่งที่แสนคุ้นเคย และคนที่แสนคุ้นเคยกำลังชายตามองมาที่เขา เฉียวซือมู่ที่ใบหน้าแดงระเรื่อและร่างกายครบสมบูรณ์กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา 


 


 


เขาทั้งโล่งอกทั้งดีใจ ร่างกายเซเล็กน้อย แต่เขาก็กลับมายืนอย่างมั่นคงอย่างรวดเร็ว เขากวาดสายตามองผู้คนโดยรอบ แล้วมองชายปริศนาที่ฟุบอยู่กับพื้น “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” 


 


 


พ่อบ้านยืนเงียบอยู่มุมหนึ่ง ส่วนเฉียวซือมู่อยากจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร จิ้นหยวนสังเกตเห็นแล้วมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย เขาโบกมือไล่บอดี้การ์ดพวกนั้นให้ออกไป จากนั้นชี้ไปยังพ่อบ้าน “ไหนบอกมาซิว่าเกิดอะไรขึ้น?” 


 


 


พ่อบ้านเหลือบมองเฉียวซือมู่แวบหนึ่ง จากนั้นหันไปเอ่ยกับจิ้นหยวนอย่างนอบน้อม “เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ…” 


 


 


มีคนงัดหน้าต่างแล้วปีนเข้ามาในห้องหลังจากเฉียวซือมู่หลับสนิทไปแล้ว แต่ถูกพ่อบ้านที่กำลังเดินเล่นในสวนเห็นเข้าพอดี 


 


 


พ่อบ้านที่ใจเย็นมากจึงโทรศัพท์เรียกตัวบอดี้การ์ดฝีมือดีที่สุดให้มาที่นี่ทันที พอเปิดประตูออกก็เห็นหัวขโมยคนนั้นกำลังจะกระโดดหน้าต่างหนีพอดี พ่อบ้านจึงขว้างตั่งใส่หัวขโมยคนนั้นจนสลบเหมือด 


 


 


เรื่องมันก็มีอยู่แค่นี้ ส่วนเรื่องที่จิ้นหยวนโทรศัพท์เข้ามาแล้วไม่มีคนรับสายนั้น เป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นฉุกละหุกเกินไป ส่วนเฉียวซือมู่ก็เพิ่งถูกพ่อบ้านปลุกให้ตื่นเมื่อกี้นี้เอง เธอเพิ่งจะงัวเงียตื่นขึ้น จึงไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีสายเรียกเข้า 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 261 ลอบสังหาร  


 


 


 


 


 


จิ้นหยวนฟังแล้วเหลือบมองพ่อบ้านแวบหนึ่ง เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ เขาเดินไปหยุดยืนข้างๆ ชายที่กำลังนอนสลบเหมือดอยู่กับพื้น ใช้เท้าเขี่ยไปสองที “ไหนดูซิว่ามันเป็นใคร…” 


 


 


เอ่ยจบแล้วก้มกายลงแกะหน้ากากของชายคนนั้นออก จู่ๆ ชายคนนั้นก็ลืมตาพรึบ สายตาโหดเ**้ยม จิ้นหยวนสังหรณ์ใจไม่ดี รีบก้าวเท้าถอยทันที แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว 


 


 


เฉียวซือมู่กรีดเสียงร้อง พ่อบ้านโถมตัวเข้าใส่ จิ้นหยวนรู้สึกถึงความเย็นบนอกจึงก้มลงดู เห็นมีดใบมีดเงาวับปักอยู่กลางอกตัวเอง ด้ามมีดอยู่ด้านนอก 


 


 


แต่น่าแปลกที่วินาทีนั้นเขาไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย หากแต่เป็นห่วงปฏิกิริยาของเฉียวซือมู่มากกว่า เขาเงยหน้าขึ้น เอ่ยปลอบเธอยิ้มๆ “มู่มู่…” 


 


 


หลังจากทำร้ายจิ้นหยวนแล้วชายคนนั้นก็รีบวิ่งไปยังหน้าต่างที่แตกละเอียด เขากระโดดหน้าต่างหนีโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น จากนั้นตามมาด้วยเสียงดังอึกใหญ่ 


 


 


เสียงสับสนวุ่นวายดังมาจากด้านนอก ส่วนเฉียวซือมู่นั้นสติแตกกระเจิงไปหมดแล้ว เธอถลาเข้าไปหาจิ้นหยวนด้วยความตื่นตระหนก “จิ้นหยวน จิ้นหยวน คุณเป็นยังไงบ้าง?” 


 


 


เธอมองใบหน้าขาวเผือดของจิ้นหยวนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ทั้งรู้สึกผิดทั้งหวาดกลัว หยาดน้ำตาไหลพรั่งพรูไม่หยุด เธอยื่นมือสั่นเทาออกไปกอดเขา พลันสัมผัสถึงของเหลวเหนียวหนืดในมือ ก้มลงมองจึงเห็นว่าเป็นเลือดสีแดงฉาน 


 


 


ทำอย่างไรดี? จิ้นหยวนถูกแทง เธอควรจะทำอย่างไรดี? เป็นเพราะเธอไม่ดีเอง ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ เขาก็ไม่ต้องบาดเจ็บแบบนี้ เธอมันสมควรตาย… 


 


 


เธออกสั่นขวัญหนีจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ร้องไห้น้ำตาไหลพราก จิ้นหยวนยิ้มบางๆ ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้เธอ แต่มือเขากลับไร้เรี่ยวแรงจนตกลงกับพื้น “ไม่ร้องนะ คุณต้องไม่เป็นอะไร ผมเองก็จะไม่เป็นอะไรเหมือนกัน คุณได้ยินหรือเปล่า? ไม่ร้องนะ คุณร้องไห้แล้วผมเจ็บปวดหัวใจ…” 


 


 


เอ่ยจบแล้วลมหายใจเขาค่อยๆ แผ่วลง สติค่อยๆ เลือนราง ดูเหมือนหญิงสาวตรงหน้ากำลังพูดอะไรกับเขาด้วยความตื่นตระหนก แต่เขากลับได้ยินไม่ชัดเลย เขายิ้มขื่น หรือว่าคืนนี้เขาต้องตายอยู่ตรงนี้? 


 


 


เขาพยายามรวบรวมแรงที่มีอยู่หันไปเอ่ยกับพ่อบ้านอย่างยากลำบาก “อย่าให้พ่อแม่รู้…” 


 


 


ชั่ววินาทีก่อนที่สติเขาจะดับวูบลง ดูเหมือนเขาจะได้ยินเสียงหวอรถพยาบาลดังอยู่หน้าบ้าน… 


 


 


ทีมแพทย์ยกร่างจิ้นหยวนออกจากห้อง เธอรู้สึกเหมือนวิญญาณตัวเองจะหลุดลอยตามจิ้นหยวนไปแล้ว เธอลูบอกตัวเอง รู้สึกว่ามันทั้งเย็นทั้งว่างเปล่า ไม่รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจอีกแล้ว 


 


 


นี่เธอเป็นอะไรไป? หรือว่าหัวใจเธอจะหลุดลอยตามจิ้นหยวนไปแล้ว? 


 


 


เธอกลัวจนลนลาน รีบวิ่งออกจากห้อง ทันเห็นจิ้นหยวนถูกหามขึ้นรถพยาบาลพอดี แสงไฟสว่างเจิดจ้า เลือดสีแดงฉานที่ท่วมตัวจิ้นหยวนทิ่มแทงหัวใจเธอ 


 


 


วินาทีนี้ ในสมองเธอมีเพียงความคิดเดียว นั่นคือจิ้นหยวนกำลังจะตาย เขากำลังจะตาย แล้วเธอควรทำอย่างไรดี? เธอจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรหากไม่มีจิ้นหยวน? 


 


 


ไม่ ไม่ได้ เธอขาดเขาไม่ได้ เธอไม่ยอมหรอก ไม่ยอมเด็ดขาด! 


 


 


ไม่รู้ว่าเธอไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ทั้งๆ ที่ยืนแทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว แต่จู่ๆ เธอก็มีพละกำลังขึ้นมา เธอลุกขึ้นยืน วิ่งลงบันไดอย่างรวดเร็ว แต่กลับวิ่งไม่ทันความเร็วของรถพยาบาลที่เพิ่งเคลื่อนตัวออกไป 


ตอนที่ 262 ผู้มาเยือน 


 


 


 


 


 


เฉียวซือมู่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ในใจเต็มไปด้วยความร้อนรน 


 


 


ทำอย่างไรดี? เธอควรทำอย่างไรดี? 


 


 


ในเวลาที่เธอไร้ที่พึ่งที่สุดเช่นนี้ จู่ๆ รถคันหนึ่งขับมาจอดลงข้างกายเธอ พ่อบ้านยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างรถฝั่งที่นั่งคนขับ “คุณเฉียว รีบขึ้นรถเถอะครับ” 


 


 


เธอได้สติ รีบเปิดประตูก้าวขึ้นรถทันที 


 


 


สองมือของพ่อบ้านจับพวงมาลัยรถอย่างมั่นคง ใบหน้าเคร่งเครียดของเขากำลังจับจ้องเส้นทางตรงหน้าอย่างมีสมาธิ ส่วนเฉียวซือมู่เอาแต่ร้องไห้น้ำตาไหลนองหน้า ไม่แม้แต่จะเช็ดน้ำตาออกเสียบ้าง ท่าทางหมดสภาพจนดูน่าสงสาร 


 


 


พ่อบ้านหยิบกระดาษเช็ดหน้าส่งให้เธอ “เช็ดหน่อยนะครับ” 


 


 


ตอนนี้สติสัมปชัญญะของเธอยังกลับมาไม่ครบถ้วน เธอรับมันมาด้วยท่าทางเหม่อลอยแล้วเช็ดน้ำตาราวหุ่นยนต์ที่ปฏิบัติตามตามคำสั่ง 


 


 


เธอเช็ดน้ำตาได้แค่ครึ่งเดียวแล้วเอ่ยขึ้น “ฉันผิดต่อเขา เรื่องนี้เป็นความผิดของฉันคนเดียว ฉันไม่ควรให้เขากลับบ้าน ไม่ควรไม่รับสายเขา ฉัน… ฉันมันสมควรตาย… ตอนนี้ฉันควรทำยังไงดี?” 


 


 


เธอฝังหน้าลงกับฝ่ามือที่ยังถือกระดาษเช็ดหน้า เริ่มร้องไห้อย่างห้ามน้ำตาไม่ไหว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความรู้สึกผิด “จิ้นหยวน ฉันขอโทษ… ขอโทษ…” 


 


 


พ่อบ้านทอดถอนใจอยู่ในอก จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ไม่ครับ นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณ” 


 


 


เธอส่ายศีรษะโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้น 


 


 


พ่อบ้านเอ่ยถามอย่างใจเย็น “หรือว่าคุณรู้จักชายคนนั้น?” 


 


 


เธอชายตาขึ้นมองเขาอย่างสะเทือนอารมณ์ “ไม่ ฉันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนคนนั้นเลยสักนิด” 


 


 


“ถ้างั้นก็ถูกแล้ว แล้วทำไมคุณถึงดึงดันโทษตัวเองว่าที่คุณชายจิ้นบาดเจ็บเกี่ยวกับคุณล่ะครับ?” 


 


 


เธอชะงักไปชั่วครู่ “แต่ว่าเป้าหมายของคนคนนั้นเป็นฉัน…” 


 


 


“แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการที่เขาแทงคุณชายจิ้นจนบาดเจ็บมันจะเกี่ยวข้องกับคุณนี่ครับ” 


 


 


“แต่ว่า… แต่ว่า…” 


 


 


สมองเธอสับสนวุ่นวายไปหมด รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ค่อยถูกต้องนัก แต่ก็ดูเหมือนจะมีเหตุผลที่ฟังขึ้นอยู่เหมือนกัน เธอจึงได้แต่นิ่งอึ้ง 


 


 


พ่อบ้านถอนหายใจเบาๆ “คุณเฉียว ผมเชื่อว่าคุณชายจิ้นจะต้องไม่อยากเห็นคุณทุกข์ทรมานแบบนี้แน่ๆ ครับ” 


 


 


“เหรอคะ?” เธอเอ่ยอย่างอึ้งๆ 


 


 


“ครับ เขาไม่ต้องการเห็นคุณเป็นแบบนี้อย่างแน่นอน” เขาเอ่ยตอบอย่างใจเย็นแล้วจอดรถ “เราถึงโรงพยาบาลแล้วครับ” 


 


 


หลังลงจากรถ เฉียวซือมู่เดินโงนเงนมึนงงอยู่หลังพ่อบ้าน เห็นเขาคุยกับหมอชั่วครู่ จากนั้นพาเธอไปขึ้นลิฟท์ 


 


 


พ่อบ้านเหลือบมองท่าทางเธอแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจเบาๆ เขายื่นกระดาษเช็ดหน้าให้เธอใหม่ “เช็ดเสียหน่อยนะครับ” 


 


 


เธอรับมันมา เอ่ยขอบคุณเสียงอู้อี้ “ขอบคุณค่ะ” 


 


 


ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์ดูแลรูปลักษณ์ของตัวเอง เธอเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ จากนั้นสางผมให้เรียบร้อย 


 


 


ทั้งสองไปถึงหน้าห้องผ่าตัด เธอเห็นดวงไฟสีแดงแสบตาหน้าห้องแล้วเข่าอ่อนจนเกือบทรุดลงกับพื้น โชคดีที่พ่อบ้านมือไวรีบรับตัวเธอเอาไว้ได้ทัน “ระวังครับ ผมพาคุณไปนั่งตรงนั้นนะครับ” 


 


 


เธอพยักหน้าอย่างอ่อนแรง ไม่รู้ว่าเธอตัวเองถูกพาไปนั่งลงบนเก้าอี้ยาวได้อย่างไร เธอได้แต่ส่ายศีรษะ จ้องประตูห้องผ่าตัดที่ถูกปิดสนิทตาเขม็ง ในหัวคิดวนเวียนแต่ว่าถ้าเกิดเขาเป็นอะไรไปแล้วเธอจะทำอย่างไร? 


 


 


ความรู้สึกไร้ที่พึ่งแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองถูกโอบล้อมด้วยความหวาดกลัวจนหาทางออกไม่เจอ 


 


 


พ่อบ้านอยากจะพูดปลอบใจเธอหลายครั้ง แต่กลับพบว่าตัวเองก็หาเหตุผลไปปลอบใจเธอไม่ได้เหมือนกัน เขาจึงได้แต่ถอนหายใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดไปด้วย 


 


 


ถ้าจะหาคนผิดสักคน เขานี่แหละที่ผิดมากที่สุด ตอนที่จับตัวคนร้ายได้เขาชะล่าใจมากเกินไปจนไม่ได้ค้นตัวคนร้าย จนทำให้คุณชายได้รับบาดเจ็บสาหัส จะว่าไปแล้ว เขาคงหนีไม่พ้นต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 263 เป็นอะไรกับเขา  


 


 


 


 


 


พ่อบ้านยิ้มขมขื่น เขามองเฉียวซือมู่ที่กำลังร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจแล้วหันมองไปยังประตูห้องผ่าตัด เริ่มครุ่นคิดว่าควรจะชดใช้ให้กับความผิดของตัวเองอย่างไรดี… 


 


 


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เฉียวซือมู่ที่กำลังร้องไห้น้ำตานองหน้าจนมองอะไรไม่ชัดเจนเห็นหลินจื้อเฉิงวิ่งเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเธอด้วยความร้อนใจ “พี่ใหญ่เป็นอะไรไปครับ?” 


 


 


เธอเอาแต่ส่ายศีรษะ พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว 


 


 


พ่อบ้านเป็นคนเข้าไปรับหน้าแทน เขาพาหลินจื้อเฉิงไปคุยกันเงียบๆ อีกทาง ตอนแรกน้ำเสียงของหลินจื้อเฉิงโกรธมาก แต่ไม่รู้ว่าพ่อบ้านพูดอะไรบ้าง ภายหลังน้ำเสียงเขาจึงค่อยๆ เบาลง 


 


 


เธอไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจพวกเขา สายตาจับจ้องอยู่หน้าห้องผ่าตัดเท่านั้น แต่เธอเห็นเพียงนางพยาบาลที่เข้าๆ ออกๆ แต่กลับไม่เห็นมีใครมาบอกกล่าวให้รู้ว่าสถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไรบ้าง 


 


 


ขณะที่เธอกำลังร้อนใจจนจะเป็นบ้านั้น ในที่สุดนายแพทย์ท่าทางเหนื่อยอ่อนก็เดินออกมาจากห้องผ่าตัดพอดี 


 


 


เธอรีบวิ่งถลาเข้าไปหานายแพทย์คนนั้นทันที เธอจับแขนเสื้อของเขาเอาไว้แล้วเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “เขาเป็นยังไงบ้างคะ? เขาไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมคะ?” 


 


 


นายแพทย์คนนั้นมุ่นหัวคิ้วมองเธอ “คุณเป็นอะไรกับคนไข้เหรอครับ?” 


 


 


“ฉัน… ฉันเป็นแฟนเขา… เขา…” เธอลังเลเล็กน้อย เลือกใช้คำว่าแฟนแทน 


 


 


คุณหมอส่ายศีรษะ เธอเห็นท่าทางของเขาแล้วหัวใจเย็นวาบทันที ตัวสั่นไปทั้งร่าง เอ่ยถามเสียงสั่นเครือด้วยความสิ้นหวัง “หรือว่าเขา… หรือว่าเขา…” 


 


 


คุณหมอมุ่นหัวคิ้ว “หรือว่าอะไรครับ? คนไข้โชคดีที่ถูกแทงไกลหัวใจมาก และไม่ถูกเส้นเลือดใหญ่ด้วย ก็เลยไม่เป็นปัญหาใหญ่อะไร ไม่มีอันตรายถึงชีวิตครับ” 


 


 


เธอฟังแล้วถอนหายใจโล่งอกเฮือกใหญ่ รู้สึกดีใจมาก ปากสั่นเทาเอ่ยถามขึ้นอีก “แล้วที่คุณหมอส่ายหัวเมื่อกี้นี้คือ…” 


 


 


ไม่มีอะไรแล้วส่ายศีรษะทำไม เธอตกใจจนเกือบตายแล้วไหมล่ะ 


 


 


คุณหมอเอ่ย “ผมแค่ทอดถอนใจที่คราวนี้คนไข้โชคดีมาก ถ้าเป็นเคสก่อนหน้านี้ล่ะก็… เฮ้อ…” คุณหมอไม่ได้พูดต่อ หันไปเอ่ยกับเธอใหม่ “คนไข้ไม่ได้เป็นอะไรมาก ให้เฝ้าดูอาการในห้องไอ.ซี.ยู.อีกไม่กี่วัน รอให้คนไข้ฟื้นก็ไม่เป็นไรแล้วครับ” 


 


 


“ค่ะ ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ” เธอรีบขอบคุณเป็นพัลวัน 


 


 


กระทั่งถึงตอนนี้สีหน้าของหลินจื้อเฉิงยังคงดูแย่มากเหมือนเดิม แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ทั้งสามปรึกษากันว่าต่อจากนี้ควรจะทำอย่างไรต่อ หลินจื้อเฉิงจะเป็นคนดูแลงานที่บริษัทแทนเขา ส่วนพ่อบ้านจะกลับไปดูแลทุกอย่างในบ้านเหมือนเดิม เนื่องจากจิ้นหยวนไม่ต้องการให้คนในครอบครัวรู้เรื่องนี้ ดังนั้น หน้าที่ดูแลจิ้นหยวนจึงตกเป็นของเฉียวซือมู่ไปโดยปริยาย 


 


 


เธออยากทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว จึงตกลงรับปากทันที 


 


 


พ่อบ้านครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วตัดสินใจจ้างพยาบาลพิเศษเพิ่มเพื่อช่วยเธอแบ่งเบาภาระ 


 


 


จิ้นหยวนถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัด เธอสังเกตเห็นว่านอกจากสีหน้าที่เผือดซีดแล้วก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากปกติ ดูเหมือนเขาแค่หลับไปเท่านั้น 


 


 


เธอมองดูเขาด้วยความเจ็บปวดหัวใจ เธอรู้ว่าที่เขาเป็นแบบนี้เพราะเสียเลือดมาก มันทำให้เธอหวนนึกถึงภาพจิ้นหยวนที่มีเลือดสีแดงฉานท่วมตัวถูกหามขึ้นรถพยาบาลทันที นึกๆ แล้วน้ำตาก็ไหลรินออกมาอีก 


 


 


พ่อบ้านเอ่ยขึ้น “ถ้าคุณยังร้องไห้อยู่แบบนี้ เดี๋ยวคงต้องแอดมิทเพิ่มอีกคนหรอกครับ” 


 


 


คำพูดของเขากระตุ้นเธอได้ดีมาก ร่างกายที่กำลังอ่อนแรงกระเด้งตัวยืนตรงทันที 


 


 


ใช่แล้ว เธอจะล้มไม่ได้ จิ้นหยวนยังนอนสลบอยู่ในนั้น เธอจะทิ้งเขาไม่ได้ เพราะเขาต้องการเธอ 


 


 


ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คำพูดของพ่อบ้านก็มีอิทธิพลต่อเธอมาก เธอไม่ร้องไห้อีกแล้ว หากแต่ตั้งตาตั้งตาดูแลจิ้นหยวนอย่างดีที่สุด จนกระทั่งหลายวันให้หลัง จิ้นหยวนใกล้จะฟื้นแล้ว จู่ๆ ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมาที่โรงพยาบาล 


ตอนที่ 264 ความรังเกียจของฉินเพ่ยหรง


 


 


 


 


เสียงเคาะประตูดัง “ก๊อกๆๆ” เฉียวซือมู่กำลังเช็ดตัวให้จิ้นหยวนอยู่พอดี เธอรู้ว่าแม้จิ้นหยวนจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ของตัวเองสักเท่าไหร่ แต่ความจริงแล้วเขาเป็นคนที่รักความสะอาดมาก อย่างน้อยต้องอาบน้ำวันละสองครั้ง ตอนนี้เขาต้องนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง จะอาบน้ำก็ไม่ได้ ถ้าเขาตื่นขึ้นมาคงรู้สึกไม่สบายแน่


 


 


ดังนั้น นอกจากการดูแลที่ต้องทำปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์แล้ว เธอยังช่วยเช็ดตัวให้เขาทุกวันอีกด้วย และยังช่วยพลิกตัวให้เขา ร่างกายเขาจะได้ไม่เป็นแผลกดทับ


 


 


วันนี้ก็เช่นเดียวกัน หลังจากเธอเหงื่อชื้นเต็มหน้าเพราะเพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจดูแลจิ้นหยวนในช่วงเช้า จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ฟังดูเร่งรีบมาก จากนั้นตามมาด้วยเสียงเคาะประตูห้อง


 


 


เธอลุกขึ้นด้วยความแปลกใจ พยาบาลพิเศษเดินไปเปิดประตู เธอหันไปมอง ทันใดนั้น สิ่งที่เห็นทำให้เธอตกใจมาก


 


 


ไม่รอให้เฉียวซือมู่ได้ตั้งสติ ฉินเพ่ยหรงเดินลิ่วๆ เข้ามาในห้องราวกับสายลมวูบใหญ่ เธอไม่มองเฉียวซือมู่แม้แต่หางตา ถลาเข้าไปจะกอดจิ้นหยวนท่าเดียว


 


 


เฉียวซือมู่เหงื่อแตกพลั่ก รีบวิ่งเข้าไปกอดเอวเพื่อรั้งฉินเพ่ยหรงเอาไว้สุดแรง “คุณป้า ทำอย่างนั้นไม่ได้นะคะ…”


 


 


“เธอไสหัวออกไปเลยนะ!” ฉินเพ่ยหรงเพิ่งได้ข่าวว่าลูกชายตัวเองได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะเฉียวซือมู่ ในใจทั้งเป็นห่วงลูกชาย ทั้งรังเกียจเฉียวซือมู่ แล้วตอนนี้ยังจะมากีดกันไม่ให้เธอเข้าใกล้ลูกชายอีก เธอจึงอาละวาดทันที “เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ถึงได้กล้าลามปามฉันแบบนี้? ไสหัวออกไปเลยนะ!”


 


 


เฉียวซือมู่ตกใจมาก ถึงจะถูกฉินเพ่ยหรงดุด่าเสียๆ หายๆ แต่เธอก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ ได้แต่กอดเอวฉินเพ่ยหรงเอาไว้แน่น พยาบาลพิเศษที่เพิ่งได้สติรีบเข้ามาช่วยดึงฉินเพ่ยหรง “คุณผู้หญิงท่านนี้ ทำอย่างนั้นไม่ได้นะคะ…”


 


 


“นังสารเลวหน้าไม่อาย ไสหัวออกไปนะ!”


 


 


ฉินเพ่ยหรงทั้งหวาดกลัวทั้งร้อนใจจนสติแทบจะไม่เหลือ พอเห็นเป็นตายร้ายดีอย่างไรเฉียวซือมู่ก็ไม่ยอมให้เธอเข้าใกล้ลูกชาย จึงทำให้เธอเข้าใจผิดคิดว่าต้องเกิดอะไรขึ้นกับจิ้นหยวนแน่ๆ ทีนี้เธอยิ่งกระวนกระวายหนักขึ้นไปอีก ด่าเสร็จแล้วไม่รู้ว่าไปเอาแรงมาจากไหน เธอหมุนตัวแล้วผลักเฉียวซือมู่เต็มแรง แต่เฉียวซือมู่ยังคงกอดเอวเธอแน่นไม่ยอมปล่อย ปากก็พยายามบอก “คุณป้าฟังหนูก่อน…”


 


 


ยังไม่ทันจะได้พูดจบเธอก็ถูกฉินเพ่ยหรงตบหน้าฉาดใหญ่ เฉียวซือมู่ตะลึงนิ่งอึ้ง สองแขนที่กอดเอวฉินเพ่ยหรงเอาไว้คลายออกทันที


 


 


ฉินเพ่ยหรงเห็นว่าเฉียวซือมู่เลิกขัดขวางตัวเองแล้ว จึงรีบสลัดพยาบาลพิเศษออก จากนั้นโถมตัวเข้าไปกอดจิ้นหยวน แต่ก็ถูกพยาบาลพิเศษดึงตัวเอาไว้อีก “คุณผู้หญิง ทำอย่างนั้นไม่ได้นะคะ…”


 


 


“อย่ามายุ่งกับฉัน….” ฉินเพ่ยหรงร้อนใจมาก แต่ก็สลัดพยาบาลพิเศษไม่ออกเสียที


 


 


“พวกคุณทำอะไรน่ะ?” ราวสวรรค์ทรงโปรด นางพยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพอดี “พวกคุณเสียงดังเอะอะขนาดนี้จะให้คนไข้พักผ่อนได้ยังไง? เลิกเอะอะโวยวายได้แล้ว”


 


 


นางพยาบาลคนนั้นไม่สนอะไรทั้งนั้น เทศนาทุกคนถ้วนหน้า


 


 


ฉินเพ่ยหรงโกรธจนหน้าแดงก่ำ เธอเท้าสะเอว “คุณพยาบาลมาพอดีเลย รีบไล่คนพวกนี้ออกไปได้แล้ว”


 


 


“คุณเป็นใครคะ?” นางพยาบาลเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


 


ฉินเพ่ยหรงเอ่ยตอบ “ฉันเป็นแม่เขา เพราะฉะนั้น คุณรีบๆ ไล่คนพวกนี้ออกไปได้แล้ว เดี๋ยวนี้”


 


 


นางพยาบาลส่ายศีรษะปฏิเสธ “ขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้นหรอกค่ะ อีกอย่าง พวกเขาเป็นคนคอยดูแลลูกชายคุณ หลายวันมานี้ลูกชายคุณต้องพึ่งการดูแลจากพวกเขา แล้วตอนนี้คุณกลับปฏิบัติกับพวกเขาแบบนี้เหรอคะ แบบนี้คงไม่ดีหรอกมั้งคะ”


 


 


โบราณท่านว่าลูกวัวไม่กลัวเสือ นางพยาบาลอายุน้อยแต่กลับพูดอย่างเป็นเหตุเป็นผลเป็นฉากๆ


 


 


ฉินเพ่ยหรงหน้าแดงก่ำ “ดูแลอะไร? พวกเขาไม่ยอมให้ฉันแตะต้องตัวลูกชายด้วยซ้ำ แบบนี้มันกินปูนร้อนท้องชัดๆ”


 


 


สิ่งที่เธอคิดคือเฉียวซือมู่คงทำให้ลูกชายได้รับบาดเจ็บสาหัสหนักมาก จึงไม่กล้าให้เธอเข้าใกล้เขา เธอจ้องเฉียวซือมู่ตาเขียวปั๊ด ไม่ว่านางพยาบาลคนนั้นจะพูดอะไรก็ตาม เธอก็ต้องไล่เฉียวซือมู่ออกไปให้ได้


 


 


 


 


ตอนที่ 265 กล่าวโทษ


 


 


 


 


นางพยาบาลสีหน้าประหลาดใจ “คุณก็ต้องระวังสิคะ เพราะ…” ยังเอ่ยไม่ทันจบก็สังเกตเห็นท่าทางของฉินเพ่ยหรง เธอเข้าใจทันที “คุณกำลังจะเข้าไปกอดตัวคนไข้ใช่ไหมคะ? ทำแบบนั้นไม่ได้นะคะ คนไข้ได้รับบาดเจ็บบริเวณหน้าอก ขืนทำแบบนั้น เท่ากับทำให้อาการคนไข้แย่ลงนะคะ”


 


 


ฉินเพ่ยหรงชะงักอึ้ง หันกลับไปมองลูกชายที่ยังคงหลับไม่ได้สติ ไม่เห็นความผิดปกติตรงบริเวณหน้าอกสักนิด


 


 


เธอเดินเข้าไปใกล้ เลิกผ้าห่มออกอย่างระมัดระวัง เห็นบริเวณหน้าอกของจิ้นหยวนถูกพันด้วยผ้าพันแผลหลายชั้น เธอถึงยอมเชื่อคำพูดของนางพยาบาล และรู้สึกเสียใจต่อการกระทำของตัวเอง


 


 


ฉินเพ่ยหรงใจอ่อนลง พอได้กลิ่นน้ำยาระคนกลิ่นคาวเลือดที่ซึมผ่านผ้าพันแผลบนอกจิ้นหยวน ทำให้เธอนึกถึงเรื่องที่ลูกชายตัวเองต้องบาดเจ็บเพราะเฉียวซือมู่ขึ้นมาอีก หัวใจเธอกลับมาแข็งกระด้างอีกครั้ง


 


 


เธอหันกลับไปมองเฉียวซือมู่ที่ยืนนิ่งอยู่อีกทาง เอ่ยอย่างเย็นชา “เมื่อกี้ฉันใจร้อนเกินไปหน่อย”


 


 


ใบหน้าเฉียวซือมู่ยังร้อนผะผ่าว พอได้ยินฉินเพ่ยหรงเอ่ยแบบนั้นจึงรีบละล่ำละลักตอบ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ ไม่เป็นไรค่ะ”


 


 


พี่โจวที่เป็นพยาบาลพิเศษทนดูไม่ไหวอีกต่อไป “ฉันไปเอาน้ำแข็งมาให้นะคะ” เธอเดินไปหยิบก้อนน้ำแข็งในตู้เย็น จากนั้นใช้ผ้าขนหนูห่อน้ำแข็งเอาไว้เพื่อให้เฉียวซือมู่ใช้ประคบหน้า


 


 


เฉียวซือมู่รับผ้าขนหนูห่อน้ำแข็งมาแล้วเอ่ย “ขอบคุณ” เบาๆ จากนั้นใช้ผ้าขนหนูประคบใบหน้าเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด


 


 


พูดตามตรง เมื่อกี้ฉินเพ่ยหรงร้อนรนมากจึงออกแรงเยอะมาก เธอถูกตบจนกล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก ถ้าไม่ได้ผ้าเย็นประคบเอาไว้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะเจ็บมากขนาดไหน เธอรู้สึกขอบคุณพี่โจวมาก จึงหันไปส่งยิ้มให้พี่โจวเป็นการขอบคุณ


 


 


ฉินเพ่ยหรงเห็นรอยยิ้มของเฉียวซือมู่แล้วรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที เธอทำเสียงฮึดฮัด รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นกาลกิณี อยู่กับลูกชายเธอนานขนาดนั้นแล้วแต่ยังไม่มีลูกสักที แถมยังทำให้อาหยวนเจ็บตัวอีก รอให้อาหยวนหายดีก่อนเถอะ เธอจะต้องเกลี้ยกล่อมลูกชายให้ได้ ต่อให้ไม่มีหร่วนเซียงเซียง แต่ก็ไม่ควรอยู่กับผู้หญิงกาลกิณีแบบนี้


 


 


แถมยังเป็นคนเจ้าแผนการอีก อาหยวนบาดเจ็บหนักขนาดนี้แล้วยังไม่คิดจะบอกพวกเธอสักคำ คงกลัวว่าจะถูกเธอด่าละสิ เฮอะ!


 


 


เฉียวซือมู่ไม่รู้เลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ฉินเพ่ยหรงมีอคติกับเธอมาก เธอยังคงคิดจะปรนนิบัติฉินเพ่ยหรงให้ดี เธอรินน้ำชาให้อย่างเอาใจใส่ เอ่ยปลอบเสียงอ่อนโยน “คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ คุณหมอบอกว่าอาการเขาคงที่ อีกไม่นานก็ฟื้นแล้วค่ะ”


 


 


ฉินเพ่ยหรงรับถ้วยน้ำชามา เอ่ยเพียง “อืม” คำเดียว เธอไม่ได้ดื่มน้ำชาที่รับมา หากแต่วางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ สายตามองดูจิ้นหยวนที่ยังหลับไม่ได้สติแล้วถอนหายใจออกมา “เวรกรรม เขายังหลับอยู่แบบนี้แล้วจะมีกะจิตกะใจดื่มชาได้ยังไง ทำไมถึงได้ซวยแบบนี้ ใครกันที่มันกล้าทำแบบนี้”


 


 


เฉียวซือมู่ฟังแล้วรู้สึกผิดมาก “ขอโทษค่ะคุณป้า เพราะฉัน… เขาถึงได้…”


 


 


ฉินเพ่ยหรงได้ยินแล้วหันไปทางเฉียวซือมู่ กวาดสายตามองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จ้องเธอด้วยสายตาคมเฉียบ “เธอรู้ตัวก็ดีแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ เธอยิ่งต้องดูแลเขาให้ดี เข้าใจไหม?”


 


 


แม้ฉินเพ่ยหรงจะพูดจาฟังดูใจร้ายไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้เกินเลยอะไร เฉียวซือมู่จึงพยักหน้าหงึกๆ อย่างว่าง่าย “ค่ะ”


 


 


ฉินเพ่ยหรงเห็นท่าทางโอนอ่อนผ่อนตามของเฉียวซือมู่แล้วพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นหันกลับมองจิ้นหยวนแล้วถอนหายใจออกมาอีก


 


 


ความจริงเธออยากจะอยู่ดูแลลูกชายด้วยตัวเอง แต่พอเห็นว่าเฉียวซือมู่ที่เธอรังเกียจหนักหนาดูแลลูกชายได้เป็นอย่างดี ไม่มีแม้แต่โอกาสให้เธอเข้าแทรก ที่สำคัญ ตาแก่จิ้นเฮ่าที่ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่ยังรอเธออยู่ที่บ้านด้วยสิ


 


 


เพียงไม่นานเธอก็ลุกขึ้นเตรียมตัวกลับบ้าน ก่อนกลับยังอุตส่าห์วางมาดสั่งสอนเฉียวซือมู่ต่างๆ นานา บอกให้เฉียวซือมู่ดูแลจิ้นหยวนให้ดี มิเช่นนั้นเธอได้เห็นดีแน่ เฉียวซือมู่คิดว่าเป็นเพราะเธอเป็นห่วงลูกชายถึงได้เข้มงวดกับตัวเองแบบนี้ จึงไม่ได้คิดอะไรมาก


ตอนที่ 266 ทรมาน


 


 


 


 


หลังจากฉินเพ่ยหรงกลับไปแล้ว เฉียวซือมู่ยังคงดูแลจิ้นหยวนเป็นอย่างดี แต่พี่โจวทนดูไม่ไหวแล้ว เธอบ่นงึมงำ “ว่าที่แม่สามีคนนี้ร้ายใช่เล่น”


 


 


เฉียวซือมู่ได้ยินเสียงงึมงำของเธอแล้วส่ายศีรษะเบาๆ “ไม่หรอกค่ะ ท่านแค่เป็นห่วงจิ้นหยวนมากถึงได้เป็นแบบนี้ ปกติท่านเป็นคนอ่อนโยนมากนะคะ”


 


 


ก่อนหน้านี้พวกเธอเคยเจอกันแล้ว ต่างประทับใจกันไม่น้อย เธอเชื่อว่าที่ฉินเพ่ยหรงพูดจาโหดร้ายแบบนั้นเป็นเพราะสงสารลูกชายที่ได้รับบาดเจ็บมากกว่า ต่อไปต้องดีขึ้นแน่


 


 


แต่เธอคงลืมไปว่าความรู้สึกนึกคิดของคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา


 


 


พี่โจวฟังแล้วเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เธอเคยเห็นแม่สามีตัวร้ายมาไม่น้อย สายตาที่มองลูกสะใภ้มักจะไม่ธรรมดา แววตามักมีแต่ความเกลียดชัง เมื่อเกี้เธอเห็นสายตาของฉินเพ่ยหรงก็ไม่แตกต่างกัน เธอจึงไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก แต่เรื่องนี้มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ เธอแค่เตือนเท่านั้น พอเห็นว่าเฉียวซือมู่ไม่ได้ใส่ใจจึงไม่สนใจอีก


 


 


หลังจากนั้นฉินเพ่ยหรงก็มาที่โรงพยาบาลทุกวัน เธอร้อนใจมากที่จิ้นหยวนยังไม่ฟื้นเสียที จึงโยนความโกรธทั้งหมดไปที่เฉียวซือมู่คนเดียว จับผิดการดูแลของเฉียวซือมู่ทุกอย่าง พี่โจวทนไม่ไหวจนเกือบจะโต้ตอบหลายครั้ง แต่ก็ถูกเฉียวซือมู่ห้ามไว้ด้วยสีหน้านิ่งเฉยอย่างยอมรับชะตากรรมทุกอย่าง


 


 


วันนี้ฉินเพ่ยหรงยังคงนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงจิ้นหยวนเหมือนเดิม คอยนั่งจับผิดเฉียวซือมู่ที่กำลังช่วยพลิกตัวให้จิ้นหยวน คุณหมอกำชับหนักหนาว่าต้องพลิกตัวคนไข้ที่หลับไม่ได้สติบ่อยๆ และต้องคอยนวดตัวให้ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแผลกดทับเพราะเลือดลมไหวเวียนไม่ดี เฉียวซือมู่เป็นคนแบกรับภาระนี้เอาไว้เองทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว


 


 


แต่จิ้นหยวนเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่มาก เขาสูงตั้งหนึ่งร้อยแปดสิบเก้าเซนติเมตร เฉียวซือมู่ที่ตัวเล็กนิดเดียวต้องใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีในการพลิกตัวเขาแต่ละครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องนวดตัวให้เขาเลย จิ้นหยวนเป็นคนที่ออกกำลังกายทุกวัน กล้ามเนื้อแข็งโป๊กอย่างกับก้อนหิน เธอลงแรงนวดทีแทบจะหมดแรงน้ำข้าวต้ม


 


 


เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ต้องพลิกตัวและนวดตัวให้จิ้นหยวนจึงกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากสำหรับเฉียวซือมู่ ปกติพี่โจวจะเป็นคนช่วยเธอ แต่ก็ทนคำพูดกระแนะกระแหนของฉินเพ่ยหรงไม่ไหว “ไหนเธอบอกว่าจะดูแลอาหยวนให้ดีไม่ใช่หรือไง? ทำไมต้องให้คนอื่นช่วยด้วย?”


 


 


พี่โจวจึงต้องหลบไปอีกทาง คอยดูเฉียวซือมู่ที่พยายามพลิกตัวคนไข้ตัวใหญ่ยักษ์บนเตียงด้วยความยากลำบากจนเหงื่อแตกพลั่ก ส่วน “แม่สามี” ใจร้ายกลับนั่งดูอย่างเย็นชา เธอเห็นแล้วรู้สึกโมโหมาก เสนอตัวเข้าไปช่วยแต่ก็ถูกเฉียวซือมู่จอมดื้อปฏิเสธ เธอโมโหจนต้องหนีออกไปนั่งรอนอกห้อง ตาไม่เห็นใจจะได้ไม่นึกถึง


 


 


เฉียวซือมู่พยายามมากขนาดนั้นแล้ว แต่ฉินเพ่ยหรงยังคงตำหนิว่าเธอทำได้ไม่ดี เธอได้แต่ปิดปากเงียบ พยายามนวดตัวให้จิ้นหยวนสุดความสามารถ


 


 


เนื่องจากเธอต้องออกแรงเป็นเวลานาน ทำให้ตอนนี้เหงื่อแตกไปทั้งตัว เธอรู้สึกเหนียวเหนอะหนะจนไม่สบายตัว จึงเอ่ยกับฉินเพ่ยหรง “ช่วยปรับแอร์ให้เย็นลงอีกหน่อยได้ไหมคะ หนูร้อนน่ะค่ะ”


 


 


ฉินเพ่ยหรงครางเสียงฮึ่ม สีหน้ารังเกียจ “อาหยวนยังนอนสลบอยู่ เธออยากทำให้เขาเป็นหวัดหรือไง?”


 


 


เฉียวซือมู่เหลือบมองจิ้นหยวนแล้วลังเลชั่วครู่ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ความจริงจิ้นหยวนสวมเสื้อผ้าหนาพอสมควร ตอนนี้อุณหภูมิในห้องค่อนข้างสูง ปรับอุณหภูมิให้ลดลงอีกนิดหน่อยก็คงไม่เป็นไร แต่ท่าทางฉินเพ่ยหรงจะไม่ยอมแน่


 


 


ช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา เฉียวซือมู่ดูออกแล้วว่าฉินเพ่ยหรงไม่ชอบเธอ เห็นเธอขัดหูขัดตาไปเสียทุกอย่าง แต่เธอไม่เคยคิดจะต่อต้านท่านเลยแม้แต่นิดเดียว ก็ใครใช้ให้ฉินเพ่ยหรงเป็นคุณแม่ของจิ้นหยวนล่ะ นั่นมันคุณแม่ของชายที่เธอรักนะ ที่สำคัญ เรื่องนี้ก็เป็นความผิดเธอด้วย เพราะฉะนั้น หากท่านจะใจร้ายไปบ้างก็สมควรอยู่หรอก รอให้จิ้นหยวนหายดีแล้วเดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง…


 


 


 


 


ตอนที่ 267 ฟื้นคืนสติ


 


 


 


 


เฉียวซือมู่ปลอบใจตัวเอง พยายามนวดคลายกล้ามเนื้อให้จิ้นหยวนสุดกำลัง ขณะที่เธอกำลังนวดแขนให้เขาอยู่นั้น เธอสังเกตเห็นเปลือกตาเขากระตุก


 


 


เธอชะงักกาย หยุดนวดโดยอัตโนมัติ


 


 


“คุณป้าคะ เขาขยับแล้วค่ะ” เธอรีบเอ่ยบอกด้วยความตื่นเต้นดีใจ


 


 


ฉินเพ่ยหรงรีบลุกขึ้น “จริงเหรอ?”


 


 


“จิ้นหยวน? จิ้นหยวน?” เฉียวซือมู่เรียกชื่อเขาอยู่ข้างหู แต่กลับไร้ปฏิกิริยาตอบรับใดๆ จากเขาอีก


 


 


แปลกจัง หรือว่าเธอจะตาฝาดไป? เฉียวซือมู่ชักไม่แน่ใจเสียแล้ว


 


 


ฉินเพ่ยหรงที่ถลาเข้าไปหาจิ้นหยวนเอ่ยเสียงเข้ม “นี่เธอคิดจะอู้งานใช่ไหม ไม่เห็นเขาขยับอย่างที่เธอพูดสักนิด”


 


 


“ไม่ใช่นะคะ เมื่อกี้ฉันเห็น…” เอ่ยได้เพียงครึ่งพลันเห็นเปลือกตาของจิ้นหยวนขยับอีก  


 


 


“คุณป้าดูสิคะ ขยับอีกแล้ว” เธอเอ่ยอย่างตื่นเต้น


 


 


เอ่ยจบพลันเห็นจิ้นหยวนขยับเปลือกตาแล้วลืมตาขึ้น เขาพยายามโฟกัสการมอง “มู่มู่? ทำไมคุณถึงอยู่บนตัวผม?” เขาเอ่ยเสียงแหบแห้ง


 


 


เธอดีใจมากจนลืมตัวว่าตัวเองกำลังนั่งทับอยู่บนตัวเขา พอได้ยินแบบนั้นจึงหน้าแดงซ่าน รีบขยับกายจะลงไป แต่กลับถูกเขาห้ามเอาไว้ “เดี๋ยวก่อน ไหนขอผมดูหน่อยซิว่าตกใจมากหรือเปล่า?”


 


 


“ฉัน… ฉันไม่เป็นไรค่ะ…” เธอขยับกายด้วยความกระวนกระวายใจ คุณป้ายืนอยู่ข้างหลังนะ


 


 


ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยปากเขาก็เอ่ยแทรกขึ้น “คุณไม่เป็นไรก็ดีแล้ว…”


 


 


เขาเอ่ยจบปุ๊บ เฉียวซือมู่รู้ทันทีว่าแย่แน่แล้ว ก่อนหน้านี้ฉินเพ่ยหรงไม่พอใจเธอเพราะจิ้นหยวนช่วยเธอเอาไว้ ตอนนี้มาได้ยินเขาพูดแบบนี้คงโกรธเธอมากขึ้นกว่าเดิมแน่


 


 


และเป็นไปตามคาด เสียงไม่พอใจของฉินเพ่ยหรงดังขึ้น “ลูกก็เลยต้องยอมเจ็บตัวเพราะเธออย่างนั้นเหรอ?”


 


 


จิ้นหยวนหันไปมองฉินเพ่ยหรงด้วยความประหลาดใจ “คุณแม่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ?” เขากำชับกับพ่อบ้านแล้วนี่ว่าห้ามบอกคุณพ่อคุณแม่


 


 


ฉินเพ่ยหรงกลับเข้าใจความหมายเขาผิดไปใหญ่ “นี่ลูกเจ็บตัวขนาดนี้ไม่คิดจะบอกแม่สักคำใช่ไหม ทำไมลูกต้องปกป้องผู้หญิงคนนี้มากขนาดนี้ด้วย?”


 


 


จิ้นหยวนมุ่นหัวคิ้ว “นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลยนะครับ”


 


 


การพูดทำให้กระเทือนถึงบาดแผลของเขา เขาจึงชักหัวคิ้วชนกันแน่นเพราะรู้สึกไม่สบาย


 


 


เฉียวซือมู่เห็นสีหน้าเขาแล้วตกใจ รีบกดปุ่มเรียกคุณหมอทันที ฉินเพ่ยหรงปิดปากเงียบทันที รู้สึกเสียใจที่ตัวเองตำหนิลูกชายทันทีที่เขาฟื้นขึ้นมา


 


 


ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบทันที คุณหมอเข้ามาในห้อง ลงมือตรวจอาการเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ร่างกายคนไข้ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่บาดแผลค่อนข้างลึก จึงต้องนอนรักษาตัวอยู่บนเตียงอีกสักครึ่งเดือน พวกคุณต้องดูแลคนไข้ให้ดี อย่ากระตุ้นให้คนไข้อารมณ์แปรปรวนหรือรุนแรง และห้ามทำอะไรที่มันต้องใช้แรงมาก ไม่อย่างนั้นแผลอาจจะฉีกได้”


 


 


 พอคุณหมอบอกแบบนี้ ต่อให้ฉินเพ่ยหรงไม่พอใจมากแค่ไหน เธอก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก เพราะตอนนี้สุขภาพของจิ้นหยวนคือสิ่งที่สำคัญที่สุด


 


 


หลังจากฉินเพ่ยหรงยอมสงบศึก เฉียวซือมู่ก็สบายขึ้นเยอะ แม้เธอจะยังคงแอบถลึงตาใส่เฉียวซือมู่ในยามที่จิ้นหยวนเผลออยู่บ่อยๆ แต่โดยรวมแล้วเธอก็ไม่ได้จับผิดอะไรอีก


 


 


เฉียวซือมู่โล่งอก แต่จิ้นหยวนกลับไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย แม้จิ้นหยวนจะขยับตัวไม่ได้ แต่เขายังคงพูดคุยหัวเราะกับเฉียวซือมู่โดยไม่สนใจบาดแผลของตัวเองสักนิด


 


 


พ่อบ้านทำหน้าที่ส่งซุปไก่ที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการมาให้ที่โรงพยาบาลตรงเวลาทุกวัน จากนั้นเฉียวซือมู่รับหน้าที่ป้อนซุปให้จิ้นหยวน สีหน้าเขาดีวันดีคืน แต่เธอกลับสังเกตเห็นว่าเวลาที่เขามองพ่อบ้านนั้น สีหน้าเขาไม่สู้ดีนัก


 


 


เธอถามจิ้นหยวนด้วยความสงสัย แต่เขาแค่ทำเสียงฮึ่มแล้วบอกว่าพ่อบ้านไม่ฟังคำสั่ง


 


 


ไม่ฟังคำสั่ง? เธอไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่จิ้นหยวนตอบเพียงแค่นั้น และทำท่าไม่ยอมอธิบายอะไรอีก เธอจึงได้แต่แอบเก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจ


 


 


ต่อมาภายหลังเธอจึงแอบถามพ่อบ้าน พ่อบ้านยิ้มขื่นแล้วเล่าที่มาที่ไปให้เธอฟัง เธอถึงได้เข้าใจ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม