รักเล่ห์เร้นใจ 260-266

ตอนที่ 260 วิกฤตบริษัท

 

เซียวจิ่งสืออยู่ที่ห้องทำงาน เดิมทีน่าจะนั่งเล่นมือถืออย่างสงบอยู่ที่หน้าโต๊ะคอมคอมพิวเตอร์ เหมือนกับเขาทำงานอยู่เหมือนเคย


 


 


แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถนั่งอย่างสุขสบายบนเก้าอี้ได้อีกแล้ว เขาเดินไปเดินมาในห้องทำงานตัวเอง ทอดถอนใจเป็นครั้งคราว


 


 


เดิมทีภายใต้การบริหารของ ‘หนุ่มแจกันดอกไม้ [1] ’ อย่างเขา บริษัทตกต่ำลงไปจริงๆ อยู่แล้ว บวกกับหลินหว่านแอบโยกย้ายเงินทุนไปจนหมด ระยะนี้สถานการณ์ของบริษัทยิ่งย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ ตัวเขาเองก็ไม่รู้เรื่องงานในบริษัทเอาซะเลย ในวงการธุรกิจก็ไม่มีเพื่อนที่ไหนด้วย


 


 


ถึงเขาจะเชื่อถือและมอบหมายงานของบริษัททั้งหมดให้กับอี้อวิ๋นฉัง แต่ดูท่าว่าการดำเนินงานของบริษัทไม่ราบรื่นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว


 


 


เขาคิดจะหาตัวหลินหว่านมาปรึกษาเรื่องนี้ ฝ่ายหลินหว่านนับตั้งแต่รู้ว่าเซียวจิ่งสือเป็นตัวปลอม ก็โยกย้ายเงินทุนและหุ้นของบริษัทไปจนหมด นับแต่นั้นหลินหว่านก็ไม่เคยมาหาเขาอีก


 


 


เซียวจิ่งสือกลับมานั่งที่เดิมของตัวเอง โทรออกไปสายหนึ่ง “ฮัลโหล ที่รักครับ คุณอยู่ที่ไหนเหรอ? ผมมีเรื่องอยากจะพบคุณน่ะ” เซียวจิ่งสือพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ


 


 


“ฉันอยู่ที่บ้านค่ะ มีอะไรหรือคะ” หลินหว่านคิดในใจว่าดูซิว่าเขาจะทำอย่างไร


 


 


“หาคุณก็แน่นอนว่าต้องมีเรื่องสำคัญอยู่แล้ว งั้นตอนนี้ผมไปหาคุณที่บ้านนะครับ เรื่องด่วนมาก แล้วเราก็ต้องพูดคุยกันต่อหน้าด้วย” เซียวจิ่งสือพูด


 


 


“งั้นก็ได้ค่ะ”


 


 


“งั้นผมจะไปหานะ คุณรอผมก่อนนะ!” เซียวจิ่งสือพูด


 


 


เซียวจิ่งสือเอาของฝากมาด้วยหลายอย่าง ด้วยความที่เป็นเซียวจิ่งสือตัวปลอม เขาไม่รู้ว่าหลินหว่านชอบอะไร จึงซื้อผลไม้ชั้นดีหน่อยเอามาด้วยหลายอย่าง


 


 


พอได้พบหน้าหลินหว่านก็เข้ามาเอาอกเอาใจ “ผมซื้อผลไม้มาฝากคุณนะ ได้ยินว่าผลไม้ไม่เพียงช่วยเสริมวิตามินในร่างกาย ยังช่วยเสริมความงามอีกด้วยนะ”


 


 


“เอาละค่ะ คุณเข้ามาเถอะ” หลินหว่านพูด


 


 


“จะดื่มอะไรดีคะ?”


 


 


“น้ำเปล่าก็พอครับ” เซียวจิ่งสือในตอนนี้ยังจะมีกะจิตกะใจจะดื่มอะไรกันอีกเล่า แค่หลินหว่านช่วยพยุงฐานะบริษัทเขาไว้ได้ก็พอแล้ว ตอนนี้ความหวังเดียวของเขาก็คือหลินหว่าน


 


 


“คุณนั่งที่โซฟานี่สักครู่นะคะ ฉันจะไปเทน้ำมาให้” หลินหว่านพูด


 


 


“เอาล่ะ คุณมีเรื่องอะไรจะปรึกษากับฉันหรือคะ?” หลินหว่านเทน้ำกลับมาก็เปิดฉากพูดกับเขาเรื่องนี้


 


 


เนื่องจากเจ้าตัวเองรู้แล้วว่าเซียวจิ่งสือเป็นตัวปลอม จึงไม่มีอะไรจะคุยกับเขา


 


 


“เรื่องบริษัทน่ะ ระยะนี้คุณรู้เรื่องหรือยัง?” เซียวจิ่งสือพูดด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มเป็นกังวล


 


 


“ระยะนี้บริษัทมีเรื่องอะไรหรือคะ? คุณก็จัดการได้ดีมาตลอดไม่ใช่หรือคะ” หลินหว่านพูดวางหมากกับเขา ถ้าหากจะขอให้เธอช่วยบริษัทก็ต้องให้เขาเอ่ยปากด้วยตัวเอง ไม่สิ ต้องบอกชื่อจริงของเขาออกมาด้วยตัวเอง


 


 


และต่อให้เธอยอมช่วยบริษัทให้กลับมาเป็นปกติอีก นั่นก็ไม่ใช่เพราะเขา แต่นั่นเป็นแรงกายแรงใจของเซียวจิ่งสือ ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับเขาสักนิด แค่คนที่แทรกเข้ามาระหว่างทางเท่านั้น


 


 


“ระยะนี้บริษัทดูภายนอกยังทำงานเป็นปกติเหมือนเดิม แต่ความจริงไม่เหมือนกับเหมือนก่อนอีกแล้ว ถ้าไม่มีเหลยลี่มาช่วยไว้ละก็ ไม่อยากจะคิดเลยว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้าบริษัทจะเปลี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง?” เซียวจิ่งสือพูดอย่างรวบรัดชัดเจน ไม่มียืดเยื้อ


 


 


“เหลยลี่? คุณแน่ใจหรือคะว่าเขาช่วยบริษัทได้?” หลินหว่านพูดอย่างไม่แน่ใจ


 


 


“ได้สิ ถ้าเขายอมช่วยบริษัทของเรา ต้องได้อยู่แล้ว” เซียวจิ่งสือรีบผงกศีรษะรับ


 


 


“แต่ผมไม่ค่อยสนิทกับเขานัก อันที่จริงความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ค่อยจะดีนัก เรื่องนี้คุณก็รู้ดีอยู่นี่” หลินหว่านไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยมาตลอด มาถึงตอนนี้ เธอจะเอาเรื่องนี้มาใส่ตัวทำไมกันเล่า?


 


 


“ผมรู้สึกว่าพวกคุณมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ถ้าคุณไปขอให้เหลยลี่มาช่วยบริษัท บริษัทก็น่าจะมีหวังอย่างมากเลย” เซียวจิ่งสือพูดอย่างอัดอั้นตันใจ


 


 


“ที่จริงเหลยลี่ก็ไม่ได้สามารถอะไรมากนัก และถ้าเป็นเรื่องของบริษัท ฉันว่าคุณน่าจะเป็นคนออกหน้าจะดีกว่านะคะ” หลินหว่านพูด


 


 


ถึงแม้เซียวจิ่งสือจะมาหาหลินหว่านถึงบ้าน แต่หลินหว่านรู้อยู่นานแล้วว่าเขาไม่ใช่เซียวจิ่งสือที่เธอเคยรู้จัก ดังนั้นหลินหว่านจึงโยนปัญหาทั้งหมดกลับไปที่เซียวจิ่งสือ


 


 


เซียวจิ่งสือพอฟังว่าหลินหว่านพูดแบบนี้ ก็ยิ่งร้อนใจ เดิมทีเขาเห็นหลินหว่านเป็นยาเม็ดช่วยชีวิตระยะสุดท้าย แต่เธอกลับบอกเขาว่าเธอช่วยไม่ได้


 


 


เซียวจิ่งสือในตอนนี้เหมือนกับ ‘มดในกระทะร้อน’ นั่งไม่ติดแล้ว จึงเริ่มเดินพล่านไปมาในห้องรับแขกบ้านหลินหว่าน ตอนแรกที่เขาเข้าแทนที่เซียวจิ่งสือ จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า ที่แท้ผู้บริหารของบริษัทหนึ่งมันยุ่งยากลำบากขนาดนี้


 


 


พอเห็นเซียวจิ่งสือยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของบริษัท หลินหว่านเห็นว่าน่าจะได้เวลาเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาแล้ว


 


 


“ตอนนี้คุณรู้สึกหรือยังว่าการบริหารจัดการบริษัทมันยากนะ?” หลินหว่านพูดหยั่งเชิง รู้สึกว่าเปิดโปงเขาง่ายๆ มันง่ายกับเขาเกินไป


 


 


ทีตอนแรกเธอไปหาเขาที่ห้องทำงาน เขายังคิดจะเอาเปรียบเธอด้วย ต้องให้เขาขายหน้าบ้าง


 


 


“ใช่เลย ตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเองแก่แล้วเลย เมื่อก่อนการจัดการบริษัทก็ไม่เห็นจะยากลำบากแบบนี้เลย” เซียวจิ่งสือแม้จะยุ่งยากใจ แต่ยังรีบตั้งสติรับมือ ไม่ยอมตกหลุมพรางหลินหว่าน


 


 


“คุณว่าไหมทำไมฉันรู้สึกว่าตอนนี้คุณไม่หล่อเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ? แล้วยังรู้สึกว่าตอนอยู่กับคุณไม่ได้มีความรู้สึกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว?” หลินหว่านพูดพลางจ้องมองเซียวจิ่งสือด้วยสายตาสำรวจตรวจสอบ


 


 


“ทำไมจะไม่หล่อเหมือนเมื่อก่อนล่ะ? ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมหล่อขึ้นเรื่อยๆ เลยนะเนี่ย หรือว่าคุณเปลี่ยนใจแล้ว?” เซียวจิ่งสือพูดกับหลินหว่าน


 


 


“คงไม่น่าจะเกี่ยวกับหน้าของคุณกระมัง? แค่รู้สึกว่าพักนี้คุณแต่งตัวดูแย่ลงนะ ดูสิคุณใส่ชุดอะไรนะ?” หลินหว่านจงใจพูดแบบนี้กับเซียวจิ่งสือ อยากจะยั่วโมโหเขา


 


 


“ทำไมคุณถึงรู้สึกว่ารสนิยมการแต่งตัวของผมแย่ลงล่ะ? ผมรู้สึกว่าเมื่อก่อนต่างหากที่แต่งตัวน่าเกลียดนะ” เซียวจิ่งสือแน่นอนว่าต้องคัดง้างกับเธอในด้านนี้


 


 


จะพูดอย่างไรดีล่ะ ทั้งสองโต้เถียงกันเรื่องนี้ไม่จบเลยทีเดียว


 


 


“เรื่องบริษัทคงทำให้คุณยุ่งหัวหมุนเลยสินะคะ? ใครใช้ให้คุณมอบหมายงานทั้งหมดให้อี้อวิ๋นฉังกันเล่า” หลินหว่านใช้น้ำเสียงคาดคั้นเอากับเซียวจิ่งสือ


 


 


“ที่ให้อี้อวิ๋นฉังทำก็เพราะเธอมีความสามารถไง ผมเห็นว่าเธอทำงานนี้ได้” เซียวจิ่งสือยังคิดจะอธิบายแบบเอาสีข้างเข้าถูกับหลินหว่าน


 


 


“คุณไม่รู้สึกว่าการบริหารบริษัทจนเป็นแบบตอนนี้ คุณก็ควรจะทบทวนตัวเองบ้างหรือคะ?” หลินหว่านพูด


 


 


“ผมก็ไม่รู้ว่าพักนี้บริษัทเป็นอะไรไป ผมพบว่าตอนนี้พวกพนักงานทำงานกันไม่ได้เรื่องเลย ผมนั่งอยู่ที่ห้องทำงานทุกวัน อ่านเอกสารพวกนั้นอย่างตั้งใจแล้วนา”


 


 


 


 


——


 


 


[1] แจกันดอกไม้ ใช้เป็นคำเปรียบเปรยว่าเป็นเพียงไม้ประดับ ดูสวยแต่ไม่มีประโยชน์ ทำอะไรไม่ได้ 

 

 


ตอนที่ 261 ความจริง

 

“แต่ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม สถานการณ์ของบริษัทถึงได้ย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ผมยังหาสาเหตุไม่เจอเลย” เซียวจิ่วสือทำเป็นพูดอย่างเคร่งเครียดเป็นกังวล


 


 


“พวกเราก็พูดกันมาจนถึงขั้นนี้แล้ว คุณยังไม่คิดจะพูดความจริงกับฉันอีกหรือคะ?” หลินหว่านหัวเราะออกมาเบาๆ


 


 


“นี่เป็นความจริงนะ! ผมพยายามทำงานอย่างตั้งใจแล้วจริงๆ คุณก็รู้จักผมนี่ ผมจริงจังกับการทำงานมาตลอดเลย” เซียวจิ่งสือพูดพลางเดินเข้าหาหลินหว่าน สองมือวางบนไหล่ของเธอ


 


 


“คนในบริษัทดูไม่ออก คุณยังคิดว่าฉันเป็นคนโง่ด้วยรึไงกัน?” หลินหว่านรีบปัดมือเขาออก


 


 


“เพราะผมเชื่อในตัวคุณถึงได้มาหาคุณ แต่วันนี้คุณเป็นอะไรกันแน่ ทำไมพูดจาทิ่มแทงทำร้ายใจกันแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า”


 


 


“บริษัทเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผมมาหาคุณ คุณไม่ช่วยไม่พอยังจะพูดแบบนี้กับผมอีก” เซียวจิ่งสือพูดอย่างโมโห


 


 


“ทำไมฉันต้องพูดแบบนี้กับคุณ คุณไม่รู้จริงหรือคะ?” หลินหว่านถามเซียวจิ่งสือ


 


 


“ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้กับผม ผมจะไปรู้ได้ยังไงกัน” เซียวจิ่งสือพูดอย่างคนที่ยังไม่เข้าใจ


 


 


“เพราะว่าแท้จริงแล้วคุณไม่ใช่เซียวจิ่งสือ” หลินหว่านพูด


 


 


“คุณหมายความว่ายังไง? ผมฟังไม่รู้เรื่อง” เซียวจิ่งสือพูด


 


 


“ฉันหมายความว่ายังไงคุณเองยังไม่รู้หรือคะ? ฉันบอกว่าคุณมันตัวปลอม” หลินหว่านพูด


 


 


“คนจะปลอมกันได้ด้วยเหรอ?” เซียวจิ่งสือพูด


 


 


“หรือว่าคุณไม่ใช่ตัวปลอม? ตั้งแต่ฉันไปหาคุณที่ห้องทำงานแล้วพบว่าคุณไม่รู้เรื่องของบริษัทเลยยังไงล่ะ” หลินหว่านพูด


 


 


“คุณเข้าใจว่าทุกคนจะหลอกได้ง่ายอย่างนั้นหรือคะ? ต่อให้เลขาของจิ่งสือไม่รู้ ด้วยความสัมพันธ์ของฉันกับจิ่งสือที่ผ่านมา ฉันจะไม่เข้าใจเขางั้นเหรอ? คนคนหนึ่งจะต่างกันขนาดนี้ได้ยังไงกัน?” หลินหว่านพูด


 


 


“อีกอย่างเรื่องของอี้อวิ๋นฉังฉันก็รู้แล้ว ถ้าคุณเป็นเซียวจิ่งสือจริง ทำไมคุณถึงมอบอำนาจในบริษัทให้กับอี้อวิ๋นฉัง? คราวที่แล้วฉันคุยกับคุณเรื่องการลงโทษอี้อวิ๋นฉัง คุณก็อิดเอื้อนเลื่อนไปเรื่อย ฉันจึงพบว่ามันผิดปกติยังไงเล่า”


 


 


ในเมื่อพูดกันจนถึงขั้นนี้แล้ว งั้นก็พูดเรื่องทุกอย่างออกมาเลยก็แล้วกัน ทุกคนจะได้สะสางกันไปซะที


 


 


“ทำไมคุณสงสัยทำได้ล่ะ? คนเรายังเปลี่ยนกันได้หรือไง?” เซียวจิ่งสือยังไม่กล้ายอมรับตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง


 


 


“ฉันก็ไม่อยากสงสัยคุณหรอกนะ แต่คุณมีพิรุธมากเกินไป” หลินหว่านพูด


 


 


“งั้นผมบอกคุณก็ได้ คุณสงสัยผิดคนแล้ว บางทีคุณคงไม่เคยเข้าใจผมมาก่อนเลยก็ได้” เซียวจิ่งสือพูด


 


 


“คุณรู้ไหมคะ? ตอนนี้ฉันอับจนมาก ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้อีก ฉันจะไม่เห็นแก่หน้าคุณอีกแล้วนะ” หลินหว่านพูด


 


 


“ทำไมคุณพูดอะไรไม่รู้เรื่องตั้งมากมาย ผมมาหาคุณเพื่อจะให้คุณช่วยผมเรื่องบริษัทนะ” เซียวจิ่งสือพูด


 


 


“จะทำไปทำไมคะ? คุณบอกความจริงมาบางทีฉันยังจะช่วยคุณ ถ้าคุณยังพูดแบบนี้อีก เราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว” หลินหว่านหมดความอดทนกับการเล่นซ่อนหากับเซียวจิ่งสือแล้ว


 


 


“งั้นถ้าผมพูดความจริงออกมา คุณจะยอมช่วยผมใช่ไหม?” เซียวจิ่งสือพูดวิงวอน รู้สึกว่าบริษัทมีความหวังขึ้นมาทันที


 


 


“ฉันต้องทำความเข้าใจเรื่องราวก่อน จึงจะช่วยคุณได้ ตอนนี้ทั้งที่ควรและไม่ควรรู้ฉันก็รู้มาบ้าง” หลินหว่านพูด


 


 


“ที่แท้คุณก็รู้อยู่แล้ว” เซียวจิ่งสือไม่คิดจะปิดบังต่อไปอีก


 


 


“เรื่องที่คุณมาหาฉันคราวนี้ ฉันก็พอจะคาดเดาได้ว่าคุณจะมาหาฉัน แต่คุณไม่ใช่เซียวจิ่งสือ ทำไมฉันยังต้องช่วยคุณด้วยล่ะ?” หลินหว่านพูด


 


 


“ฉันอยากรู้ว่าคุณเป็นใครกันแน่? บริษัทเป็นแบบนี้แล้ว คุณก็พูดความจริงมาเถอะ ปิดบังต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร” หลินหว่านไล่จี้ถาม


 


 


“ผมคือฮั่วเทียนอวี่” หลังจากผ่านการซักฟอกของหลินหว่าน จึงได้รู้ว่าเซียวจิ่งสือในตอนนี้ที่แท้แล้วก็คือฮั่วเทียนอวี่ปลอมตัวมา


 


 


“งั้นเซียวจิ่งสือตัวจริงตอนนี้อยู่ที่ไหน?” หลินหว่านเริ่มร้อนใจแล้ว


 


 


“เซียวจิ่งสือถูกอี้อวิ๋นฉังพาตัวไปแล้ว” ฮั่วเทียนอวี่พูด


 


 


“ช่างบ้ากันได้สุดติ่งจริงๆ ” หลินหว่านพอฟังว่าเซียวจิ่งสือถูกคนเอาตัวไปก็โกรธจัดจนเขวี้ยงถ้วยชาลงพื้น


 


 


“คุณไปซะเถอะ ฉันยังมีเรื่องอื่นต้องทำอีก” หลินหว่านพูด


 


 


“งั้นเรื่องบริษัททำยังไงดี?” ฮั่วเทียนอวี่คิดว่าหลินหว่านไล่เขาไป เขาก็ย่อมต้องถามเรื่องของบริษัท


 


 


“จัดการเอาเองแล้วกัน” หลินหว่านคิดในใจว่าตอนนี้ฉันไม่ลงโทษคุณก็นับว่าดีแล้ว ยังจะมีหน้าให้ฉันช่วยเรื่องบริษัทอีก


 


 


ฮั่วเทียนอวี่เห็นเธอเป็นแบบนี้ ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่กลับไปอย่างหมดรูป


 


 


หลินหว่านพอได้ฟังข่าวนี้ก็ไล่ฮั่วเทียนอวี่ไป จากนั้นเธอก็รีบติดต่อลูกน้องคู่ใจทันที


 


 


“คุณไปหาวิธีสืบเรื่องของอี้อวิ๋นฉังมาหน่อย ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเธออยู่ที่ไหน ฉันมีเรื่องสำคัญ”


 


 


“ครับ ผมจะไปสืบเดี๋ยวนี้เลย” พูดพลางกำลังจะวางสาย


 


 


“รีบด่วนด้วย!” หลินหว่านย้ำ


 


 


หลังวางสายแล้ว หลินหว่านก็ขมวดคิ้วตลอด นั่งนิ่งงันอยู่บนโซฟา ไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว เธอกำลังคิดว่าเซียวจิ่งสือจะไปอยู่ที่ไหนได้บ้าง? รังของอี้อวิ๋นฉังจะอยู่ที่ไหนอีก? เธอเฝ้ารอข่าวจากลูกน้อง


 


 


“กริ๊ง! กริ๊ง!” มือถือของหลินหว่านเพิ่งจะดังขึ้น เธอก็ได้สติจากอาการเหม่อลอยทันที แล้วรับโทรศัพท์ด้วยความเร็วสูงสุด


 


 


“คุณคะสวัสดีค่ะ พวกเรามาจากฝ่ายบริการลูกค้าของห้าง อยากทราบว่าคุณ…” เสียงตามสายดังมา


 


 


หลินหว่านพอฟังว่าเป็นโทรศัพท์ก่อกวน ก็โพล่งว่า “บ้าฉิบ!” แล้ววางสายไป


 


 


เธอกรอกน้ำลงคอไปแก้วหนึ่ง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจ้อง…จ้องอย่างไม่ละสายตา เหมือนกับมีปมแค้นลึกล้ำอะไรกับมือถือ


 


 


ในที่สุด โทรศัพท์สายที่เธอรอก็มาถึง


 


 


“บอกมาเร็วเป็นยังไงบ้าง โทรมาจนได้นะ” หลินหว่านนิ่งรอฟังอยู่ เหมือนกับผ่านเวลาเป็นศตวรรษ หรือบางทีนี่ก็คือที่ว่ากันว่าผ่านวันประดุจปีกระมัง


 


 


“ครับ! เราสืบทราบตำแหน่งที่อยู่ของอี้อวิ๋นฉังแล้ว เดี๋ยวผมจะส่งไปให้คุณครับ”


 


 


“ดี” หลินหว่านพูดจบก็วางสายไป


 


 


ในเมื่อหลินหว่านสืบทราบที่อยู่ของอี้อวิ๋นฉังแล้ว ก็รีบแต่งตัวแล้วออกจากบ้านไป


 


 


“ฮัลโหล ตอนนี้คุณมีเวลาไหม? ฉันมีเรื่องสำคัญ หาตัวเซียวจิ่งสือพบแล้ว พวกเราไปที่พักของอี้อวิ๋นฉังด้วยกันหน่อย ที่อยู่ของเธอฉันไปสืบมาแล้ว” หลินหว่านคว้าเสื้อนอกของตัวเองพลางโทรหาเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่เธอไว้ใจ


 


 


เพื่อนร่วมงานนั้นรับฟังเธอบอกตำแหน่งที่อยู่ หลินหว่านขับรถแทบจะบินไปตลอดทาง ไม่นานนักเธอก็มาถึงบ้านของเพื่อนร่วมงาน


 


 


“เร็ว ไปกัน!” หลินหว่านพูด


 


 


เพื่อนร่วมงานแม้จะอึ้งๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ถามเธอ เพราะเธอรู้ว่าตอนนี้ในใจของหลินหว่านเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของเซียวจิ่งสืออย่างมาก ถ้าเธอยังคอยถามหลินหว่าน ยิ่งจะทำให้เธอวุ่นวายใจมากขึ้นไปอีก


 


 


เธออยู่ด้วยกันกับหลินหว่านบ่อยๆ ย่อมจะรู้นิสัยเธอ ถ้าหลินหว่านอยากพูด ก็จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดออกมาเอง 

 

 


ตอนที่ 262 คืนสติ

 

ขณะที่เพื่อนร่วมงานกำลังคิดอยู่นั้น หลินหว่านก็พูดกับเขาเรื่องนี้ เธอเล่าที่มาที่ไปของเรื่องให้เขาตั้งตั้งแต่ต้นจนจบ


 


 


เพื่อนร่วมงานฟังแล้ว พูดปลอบว่า “เขาต้องไม่เป็นไรแน่ ถึงยังไงก็จะรู้ผลอยู่แล้วนี่”


 


 


หลินหว่านผงกศีรษะ ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดอยู่ รถก็แล่นมาถึงที่อยู่ของอี้อวิ๋นฉัง พวกเขาจอดรถอยู่ห่างๆ เห็นแค่บ้านหลังหนึ่ง นั่นก็คือสถานที่ที่พวกเขากำลังจะไป


 


 


ที่อยู่ของอี้อวิ๋นฉังเป็นบ้านที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองด้านนอกมีสวนดอกไม้ มีต้นไม้ใบหญ้าจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ดูจากภายนอกแล้วดูน่าอยู่มาก อันที่จริงหลินหว่านก็ชอบอยู่กับต้นไม้ใบหญ้า แต่หลินหว่านไม่ทันได้ชื่นชมบ้านหลังนี้ เพราะเธอมีเรื่องสำคัญต้องไปทำ รถยังไม่ทันจอดสนิท กุญแจรถยังไม่ดึงออก เธอก็รีบร้อนลงจากรถไปแล้ว


 


 


แต่พอเธอผลักประตูเปิดจะบุกเข้าไปนั้น เพื่อนร่วมงานที่มากับหลินหว่านรั้งตัวเธอไว้ “ถ้าคุณยังคิดจะรู้ความจริง พวกเราก็อย่าเพิ่งบุกเข้าไปแบบนี้ ถึงยังไงซะก็รู้แน่แล้วว่าเขาอยู่ที่นี่ เราก็ไม่ต้องร้อนใจแล้ว แค่อีกนิดเดียว”


 


 


พอหลินหว่านได้ฟังคำของเพื่อนร่วมงาน ก็ไม่ได้ลุยเข้าไป “คุณมีวิธีอะไรไหม?”


 


 


สามารถมองผ่านหน้าต่างเข้าไปข้างในได้ แต่ภาพที่เห็นทำให้เธอสิ้นหวัง เซียวจิ่งสือกับอี้อวิ๋นฉังไม่รู้ว่าหลินหว่านจะมา ดูเหมือนทั้งคู่จะนอนอยู่ด้วยกัน


 


 


“พวกเราเห็นแล้วว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันข้างใน ผมคิดได้วิธีหนึ่ง พวกเราใช้วิธีหลอกซ้ายโจมตีขวากัน?” เพื่อนร่วมงานเสนอความคิดขึ้น


 


 


“งั้นเอาอย่างนี้นะ คุณไปทางด้านนั้น ฉันไปด้านนี้” หลินหว่านชี้นิ้วบอกทิศทาง


 


 


“ได้เลย”


 


 


พวกเขาใช้วิธีหลอกซ้ายจู่โจมขวา ช่วยเซียวจิ่งสือออกมาได้ในที่สุด


 


 


พอเซียวจิ่งสือได้สติ “ผมออกมาได้ยังไงเนี่ย?” เขายังอึ้งๆ อยู่ ต่อมารู้ว่าหลินหว่านฟื้นความทรงจำแล้ว ก็ดีใจมาก


 


 


“คุณได้ความทรงจำกลับมาแล้ว! เป็นเรื่องที่ดีมากจริงๆ คุณจำได้ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ?” เซียวจิ่งสือถามหลินหว่านอย่างตื่นเต้นดีใจ


 


 


“บอกมาเร็วสิ! นั่นหมายความว่าตอนนี้คุณจำเรื่องเมื่อก่อนของเราได้แล้ว!” เซียวจิ่งสือเขย่าหัวไหล่หลินหว่านอย่างตื่นเต้น


 


 


แต่หลินหว่านกลับนั่งเงียบไม่พูดจาอยู่ที่นั่น เหมือนกับเซียวจิ่งสือเป็นอากาศธาตุ มีเพียงสายตาที่เหม่อลอยจ้องตรงไปยังกำแพงสีขาวตรงหน้า


 


 


“คุณเป็นอะไรไป?” จู่ๆ เซียวจิ่งสือก็พบว่าเขาพูดมาตั้งมากมาย แต่หลินหว่านกลับไม่พูดเลยสักคำ


 


 


เขาคิดว่าหลินหว่านคงจะมีเรื่องอะไรสักอย่าง จึงโกรธเขา หรือว่าเมื่อครู่เขาทำอะไรผิดไปกระมัง?


 


 


“มันเรื่องอะไรกันแน่? พวกเราไม่ได้เจอหน้ากันมาตั้งนาน ไม่คิดถึงผมเลยรึไง? ผมยังคิดถึงคุณเลย” เซียวจิ่งสือพูดอย่างน้อยใจ


 


 


“ถ้าคุณมีเรื่องอะไรก็พูดสิ อย่าเก็บไว้ไม่สบายใจคนเดียวแบบนี้” เซียวจิ่งสือร้องขอ


 


 


“ไม่มีอะไรจริงๆ” หลินหว่านตอบ


 


 


“หรือว่าระหว่างเรายังมีเรื่องอะไรที่พูดไม่ได้อีก? ถ้าผมทำอะไรผิดไปจริงๆ ก็หวังว่าคุณจะพูดออกมา” เซียวจิ่งสือพูดย้ำซ้ำคำพูดนี้ไปหลายรอบ เขาหวังว่าหลินหว่านจะพูดกับเขาได้ทุกเรื่อง


 


 


“ไม่มีนี่ คุณคิดมากไปเอง” หลินหว่านพูดพร้อมกับส่งยิ้มปลอมๆ ให้


 


 


“ทำไมเอาแต่มองกำแพงตลอด คุณไม่ยอมมองผมเลยนี่นา? ผมทำผิดอะไรไป หรือพูดผิดอะไร คุณบอกกับผมตรงๆ ด้วยความสัมพันธ์ของเราสองคน คุณไม่ต้องเก็บความโมโหไว้ มันไม่ดีต่อสุขภาพคุณนะ” เซียวจิ่งสือพูดอย่างไม่สบายใจ เขายังไม่ทันรู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รู้สึกว่าเธอเหมือนมีเรื่องปิดบังอะไรอยู่ ทำไมตั้งแต่เขาพบกับหลินหว่าน เธอจึงดูอึดอัดไม่มีความสุขตลอดเลย


 


 


“งั้นทำไมตั้งแต่เจอหน้ากันคุณถึงเย็นชากับผมนักล่ะ?” เซียวจิ่งสือพูดพลางขยับเข้าหาหลินหว่าน โอบไหล่ของเธอไว้


 


 


“ฉันไม่เป็นไร จะมีเรื่องอะไรได้ ถ้ามีเรื่องฉันก็บอกคุณไปแต่แรกแล้วนี่ใช่ไหม?” หลินหว่านพูดกลบเกลื่อนไปโดยไม่พักจะคิดสักนิด จากนั้นก็ขยับห่างออกมาจากเซียวจิ่งสือ


 


 


“ใช่ มีเรื่องอะไรคุณก็บอกกับผมแต่แรก ถ้าไม่มีเรื่อง ทำไมคุณถึงทำท่าไม่อยากเข้าใกล้ผมแบบนี้ล่ะ”


 


 


“อย่าอยู่ห่างผมอย่างนี้ มันไม่เหมือนกับที่เราเคยอยู่ด้วยกันมาเลย ความรู้สึกมันบอกผมว่าคุณต้องโกรธอยู่แน่เลย” เซียวจิ่งสือขยับเข้าใกล้หลินหว่านอีก


 


 


“งั้นก็ได้ ผมจะไปเทน้ำให้คุณนะ ดูแล้วระยะนี้ผิวคุณดูไม่ดีเลย เป็นเพราะคุณนอนดึกไปหรือเปล่า? หรือว่างานบริษัทยุ่งมากเกินไป คุณเลยไม่สบายใจ” เซียวจิ่งสือพูดพลาง เดินไปเทน้ำให้หลินหว่านแก้วหนึ่ง


 


 


เขายื่นน้ำอุ่นให้หลินหว่าน หลินหว่านคิดว่าไหนๆ เขาก็เทมาให้แล้ว ก็อย่าปฏิเสธเขานักเลย อีกอย่างเรื่องในตอนนี้ยังไม่กระจ่างชัดเลย


 


 


“คุณดื่มคำหนึ่งนะ ผมจะได้แน่ใจว่าคุณไม่ได้โกรธผมแล้ว” เซียวจิ่งสือพูด


 


 


หลินหว่านรับแก้วน้ำมาแล้วดื่มลงไปอึกใหญ่ “ได้รึยังคะ?” เธอพูดพร้อมกับมองเซียวจิ่งสืออย่างอ่อนใจ


 


 


“ในเมื่อคุณดื่มน้ำที่ผมยื่นให้ งั้นมีเรื่องอะไรคุณก็พูดกับผมมาตรงๆ เลยเถอะ คุณชอบปิดผมแบบนี้เรื่อยเลย ผมก็รู้สึกไม่ดีนะ คุณว่าใช่ไหมล่ะ?” เซียวจิ่งสือตื้อเอากับหลินหว่าน


 


 


“ไม่มีอะไรจริงๆ นี่คะ คุณแค่คิดมากไปเองเท่านั้น” หลินหว่านยิ้มให้เซียวจิ่งสือ แต่เซียวจิ่งสือทำไมจะไม่เข้าใจหลินหว่าน? จากรอยยิ้มของเธอก็เห็นได้ว่าเธอไม่ได้สบายใจจริงๆ แค่กลบเกลื่อนไปพอเป็นพิธีเท่านั้น


 


 


“งั้นถ้าคุณไม่มีอะไรจริงๆ คุณมองตาผมสิ แล้วบอกผมว่าคุณไม่ได้โกรธผม” เดิมทีหลินหว่านไม่ได้หันหน้าไปทางเขาด้วยซ้ำ จึงถูกมือทั้งคู่ของเซียวจิ่งสือจับให้หันกลับมา


 


 


แต่หลินหว่านจะ “ยอมแพ้” ง่ายๆ ได้ยังไงกัน? หลินหว่านก็ดึงดันหันศีรษะกลับไป เพราะเธอรู้ว่าไม่มีทางจะพูดประโยคนั้นออกมา


 


 


“คุณมองตาผมแล้วบอกผมว่าคุณไม่ได้โกรธผม” เซียวจิ่งสือคิดว่าในเมื่อเธอหันศีรษะไป งั้นเขาก็จะไปอยู่ตรงหน้าเธอซะเลย เซียวจิ่งสือลุกขึ้นจากโซฟา สองมือจับไหล่หลินหว่านเอาไว้ สบตาหลินหว่านพูดด้วยน้ำเสียงเอาจริง


 


 


“ได้ ฉันบอกคุณก็ได้ว่าฉันไม่ได้โกรธคุณ” หลินหว่านคิดว่าอีกเดี๋ยวเธอยังมีงานต้องทำ จึงไม่คิดจะพัวพันกับเซียวจิ่งสืออยู่ที่นี่ต่อไป เธอจับมือเซียวจิ่งสือยกออกจากบ่าของตัวเอง หลินหว่านในตอนนี้รู้สึกรังเกียจสัมผัสจากเซียวจิ่งสือ


 


 


ถ้าเธอยังอารมณ์บูดต่อไป คิดว่าเซียวจิ่งสือคงไม่สบายใจไปด้วยกระมัง ที่สุดแล้วหลินหว่านยังคำนึงถึงเซียวจิ่งสืออยู่ดี นาทีนี้ใจของหลินหว่านสับสนยุ่งเหยิงไปหมด เธออยากจะบอกเรื่องนี้กับเขา อยากจะถามเซียวจิ่งสือว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่?


 


 


แต่สุดท้ายเธอต้องกลืนคำพูดลงท้องไป หลินหว่านเลือกที่จะไม่พูด เธอยังชอบเก็บทุกอย่างไว้ในใจ หลินหว่านคิดดูแล้ว ในเมื่อเซียวจิ่งสือเธอยังหาตัวกลับมาได้ อย่างนั้นก็น่าจะได้เวลาติดต่อฮั่วเทียนอวี่แล้ว


 


 


“ฉันยังมีธุระต้องออกไปข้างนอก คุณพักผ่อนเถอะค่ะ” หลินหว่านคิดแล้วลุกขึ้นยืนพูดกับเซียวจิ่งสือ


 


 


“ธุระอะไรเหรอ? อยากให้ผมไปด้วยกันไหม” เซียวจิ่งสือพูด


 


 


“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไปเองคนเดียวก็ได้ค่ะ” หลินหว่านพูด


 


 


“โอเค งั้นคุณกลับมาเร็วๆ นะ” เซียวจิ่งสือยิ้มให้เธอ 

 

 


ตอนที่ 263 คำสารภาพ

 

พอหลินหว่านลงจากตึกแล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกมา โทรหาฮั่วเทียนอวี่ “ตอนนี้คุณว่างไหม? ออกมาหน่อยสิคะ ฉันมีธุระนิดหน่อยอยากจะคุยกับคุณ”


 


 


“ได้ครับ ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้” ฮั่วเทียนอวี่ตอบรับทันที


 


 


ก่อนที่หลินหว่านจะไปสถานที่แห่งหนึ่ง เธอไปเบิกเงินจากธนาคารมาก้อนใหญ่ จากนั้นขับรถไปหาฮั่วเทียนอวี่


 


 


พอหลินหว่านมาถึงสถานที่นัดหมาย ฮั่วเทียนอวี่นั่งรออยู่ที่นั่นนานแล้ว


 


 


“ดูสิวันนี้ผมรักษาเวลาใช่รึเปล่า” ฮั่วเทียนอวี่พูดกับหลินหว่านด้วยรอยยิ้ม


 


 


“ใช่ค่ะ ดีมากเลย” หลินหว่านพูดพลางนั่งลง


 


 


“จะดื่มอะไรหน่อยไหม วันนี้ผมเลี้ยงเอง” ฮั่วเทียนอวี่พูด


 


 


“ไม่ต้องหรอก เรามาคุยกันก่อนเถอะ” หลินหว่านพูด


 


 


“ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นหรอก คิดว่าเซียวจิ่งสือคงถูกคุณช่วยออกมาแล้วกระมัง”


 


 


“เป็นยังไง? คุณหาตัวเซียวจิ่งสือเจอแล้ว ผมไม่ได้หลอกคุณใช่ไหมเล่า?” ฮั่วเทียนอวี่พูด


 


 


“ใช่ค่ะ ฉันหาเขาเจอแล้ว” หลินหว่านพูดกับฮั่วเทียนอวี่ไปพลาง ทำท่าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างไปพลาง


 


 


“เป็นไรไป ดูท่าทางคุณเหมือนมีความในใจอยู่นะ หาตัวเซียวจิ่งสือพบแล้ว คุณยังไม่ดีใจอีกรึไง?” ฮั่วเทียนอวี่เห็นท่าทีของหลินหว่านไม่ปกติอยู่บ้าง และยังรู้สึกว่าเธอมีความในใจอีก ดังนั้นจึงลองถามดู


 


 


“มันแน่อยู่แล้วว่าฉันดีใจ ฉันยังจะคิดเรื่องอะไรอีกเล่า ก็เรื่องบริษัทพวกนั้นไง” หลินหว่านหัวเราะ เหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ใครก็ดูออกว่าหลินหว่านแค่พูดกลบเกลื่อน


 


 


แต่ในเมื่อฮั่วเทียนอวี่ถามไม่ได้ความอะไร เขาก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะถามต่อไป ในเมื่อคนเขาไม่อยากจะพูด ถามต่อไปก็คงไม่ค่อยดีนัก


 


 


ถ้าเธอคิดจะบอกอะไรกับเขา ก็ย่อมจะพูดออกมาเอง ถ้าเธอไม่คิดจะพูด จะถามยังไงก็คงไม่ได้คำตอบ


 


 


“ใช่แล้ว นี่ให้คุณค่ะ” หลินหว่านพูดพลางหยิบถุงใบหนึ่งจากเก้าอี้ด้านข้างเอามาให้ฮั่วเทียนอวี่


 


 


ฮั่วเทียนอวี่มองถุงด้วยท่าทางประหลาดใจมาก “นี่มันอะไรน่ะ?”


 


 


“นี่ก็คือเงินก้อนหนึ่งที่ฉันให้คุณ เรื่องของเซียวจิ่งสือคราวนี้คุณช่วยเราให้ทำสำเร็จโดยราบรื่น ฉันหวังว่าคุณจะกลับไปยังสถานที่ที่คุณควรจะไปนะ” หลินหว่านพูด


 


 


“กลับไปที่ที่ผมควรไป? แต่ตอนนี้ผมยังมีเรื่องบางอย่างยังทำไม่เสร็จ” ฮั่วเทียนอวี่พูด


 


 


“คุณยังมีเรื่องอะไรทำไม่เสร็จกัน? บริษัทคุณก็อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว” หลินหว่านพูด


 


 


“เพราะผมรักคนคนหนึ่ง นานมาแล้วผมพบว่าเธอดีมากเลย อันที่จริงเธอนุ่มนวลต่อคนที่เธอชอบมากเลย แต่กลับเย็นชาต่อผมมาตลอด”


 


 


“เธอเป็นคนประเภทที่ยอมทุ่มเทเพื่อคนที่เธอรักโดยไม่สนใจตัวเอง ตอนนี้ผมอยากจะตามจีบเธออย่างเป็นทางการ” ฮั่วเทียนอวี่พูดพลางจ้องหลินหว่าน


 


 


“คุณคิดจะตามจีบใครฉันไม่สน แต่ตอนนี้คุณต้องกลับไปที่ของคุณแล้ว” หลินหว่านพูดกับเขาอย่างเย็นชา ถ้าไม่เห็นแก่ข่าวที่เขาให้มา ช่วยให้เธอหาตัวเซียวจิ่งสือพบ เธอคงไม่เปลืองน้ำลายกับเขาให้มากความหรอก


 


 


“แต่ตอนนี้คุณให้ผมกลับไป ผมก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนนี่ อีกอย่างผมมีความคิดนี้แล้ว ต่อให้กลับไปก็ไม่ยอมหรอก” ฮั่วเทียนอวี่พูดดึงดัน


 


 


“ทำไมเมื่อก่อนฉันไม่รู้ว่าคุณมีนิสัยเป็นแบบนี้นะ? คุณนี่ทำอะไรดื้อหัวชนฝาซะจริง” หลินหว่านพูด


 


 


“นั่นก็เพราะตอนนี้ผมคิดมานานมากแล้วว่าผมจะตามจีบเธอ ถึงแม้ว่าเธออาจเคยชินแล้วที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น พึ่งพาคนอื่น แต่ผมยังอยากจะลองดูสักตั้ง” ฮั่วเทียนอวี่พูดอย่างครุ่นคิด


 


 


“คนเขามีคนที่ชอบแล้ว คุณยังจะมัวฝันหวานอยู่ที่นี่ ในความคิดฉัน คุณปล่อยเธอไปซะเถอะ ควรจะทำอะไรที่ตัวเองชอบนะ” หลินหว่านพูดกับฮั่วเทียนอวี่


 


 


“แม้ว่าเมื่อก่อนเธอมีคนรักแล้ว แต่ก็ห้ามผมตามจีบเธอไม่ได้หรอก”


 


 


“ฉันเชื่อคุณจริงๆ เลย ผู้ชายอย่างคุณนี่มันหน้าด้านหน้าทนซะจริง” หลินหว่านเบะปาก พูดอย่างไม่รู้จะทำอะไรได้


 


 


หลินหว่านกำลังถกเรื่องคนที่เขาจะตามจีบ แต่จู่ๆ เธอกลับนึกถึงเซียวจิ่งสือโดยไม่รู้ตัว นึกถึงตอนที่เธอกับเซียวจิ่งสือกว่าจะมารักชอบกัน ตอนนั้น เธอติดเซียวจิ่งสือแจ เหมือนกับโลกทั้งใบมีแต่เขาเพียงคนเดียว หัวใจไม่อาจมีผู้ชายคนที่สองได้อีก


 


 


แต่ตอนนี้ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ถึงแม้เธอจะหาตัวเซียวจิ่งสือได้อย่างยากลำบาก แต่คิดไม่ถึงว่าตอนเธอร้อนรนค้นหาตัวเขา เป็นห่วงกังวลความปลอดภัยเขานั้น กลับได้เห็นเขากับผู้หญิงอื่นนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน เรื่องนี้ผู้หญิงคนไหนก็ไม่อาจยอมรับได้ทันที และไม่อาจยอมรับได้ด้วย


 


 


ถึงแม้หลินหว่านจะเป็นคนเข้มแข็งยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าเรื่องอะไรเธอก็มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่จะอย่างไรสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็คือ หลินหว่านเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง มีเวลาที่เธอรู้สึกต้องการความช่วยเหลือ และหวาดกลัว ช่วงเวลานี้เซียวจิ่งสือไม่อยู่ข้างกาย ไม่เพียงเรื่องของบริษัทที่เธอต้องจัดการ ยังต้องคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของเซียวจิ่งสืออยู่ทุกเวลานาทีด้วย


 


 


เธอเองระหว่างนี้ก็พยายามอย่างหนัก ความยากลำบากที่ได้รับจะมีใครเข้าใจเธอนะ? ตอนนี้เธอเครียดสุดๆ แต่ไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้


 


 


“ทำไมคุณถึงกล่าวหาว่าผมเป็นผู้ชายหน้าด้านหน้าทน อย่างผมนี่เรียกว่ามุ่งมั่นเพื่อความรัก คุณเข้าใจหรือเปล่า?” ฮั่วเทียนอวี่อธิบายอย่างโมโห


 


 


“คุณเข้าใจความรู้สึกของผมหน่อยได้ไหม คุณอาจไม่ได้ผ่านประสบการณ์แบบผมในช่วงเวลานี้ คุณเลยไม่เข้าใจจิตใจของผมกระมัง” ฮั่วเทียนอวี่พูด


 


 


“เฮ้ๆ คุณรู้จักให้เกียรติกันหน่อยไม่ได้รึไง คุณได้ฟังหรือเปล่าหือ?” เมื่อครู่หลินหว่านนึกถึงเรื่องเซียวจิ่งสือขึ้นมา จึงมัวแต่ใจลอย ฮั่วเทียนอวี่เห็นสายตาของหลินหว่าน เหมือนจะนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น จึงยกมือขึ้นโบกต่อหน้าเธอ เพื่อเรียกสติหลินหว่านกลับคืนมา


 


 


“คุณมาโบกอะไรต่อหน้าฉัน คุณพูดอะไรบ้างฉันก็ได้ยินหมดแล้ว พูดต่อไปสิ” หลินหว่านพูด ยังไม่ยอมรับง่ายๆ ว่าตัวเองคิดเรื่องอื่นอยู่ อาการเหม่อลอยไม่ใช่เป็นนิสัยของหลินหว่าน


 


 


“คิดไม่ถึงว่าผมจะพูดความในใจกับคุณ ยังจะทำให้คุณหวนระลึกถึงความหลังได้? หลินหว่านก็เป็นคนมากน้ำใจเหมือนกันนี่” ฮั่วเทียนอวี่ยิ้มเยาะหลินหว่าน


 


 


“คุณอย่าพูดมั่วสิ คุณไม่ใช่หนอนในท้องฉันซะหน่อย คุณจะรู้ได้ยังไงว่าคำพูดของคุณทำให้ฉันระลึกถึงความหลัง” หลินหว่านพูด


 


 


“ทำไมผมจะมองไม่ออกล่ะ เรื่องความรักผมก็ผ่านลมผ่านฝนมา เป็นคนมีความหลังเหมือนกันนะ” ฮั่วเทียนอวี่โอดครวญ


 


 


“เอาล่ะ ฉันไม่มีเวลาจะพูดมากกับคุณอยู่ที่นี่ ฉันไม่สนหรอกว่าคุณจะตามจีบหรือไม่ตามจีบใคร มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันสักนิด ตอนนี้ฉันแค่อยากให้คุณได้กลับไปยังที่ที่ควรไป ไม่ว่าอย่างไร คุณกลับบริษัทไม่ได้แล้ว คิดให้ดีว่าทำอย่างไรจึงจะดีที่สุดสำหรับคุณ?” หลินหว่านพูด


 


 


“คุณบอกว่ากลับไม่ได้ก็กลับไม่ได้งั้นรึ ผมช่วยให้คุณช่วยเซียวจิ่งสือออกมา คุณจะไม่ช่วยให้ผมสมปรารถนารึไง?” ฮั่วเทียนอวี่เริ่มลำเลิกบุญคุณที่ช่วยหลินหว่าน


 


 


“หรือว่าคุณไม่อยากรู้ว่าคนที่ผมพูดถึงเป็นใคร? คนคนนี้ที่จริงคุณก็รู้จักดีมากเลยนะ”


 


 


“ใครล่ะ? คนที่ฉันรู้จักซะด้วย คุณคงไม่ไปชอบคนในบริษัทเข้ากระมัง?” หลินหว่านพูดอย่างประหลาดใจ เรื่องที่เขาพูดนี้กลับดึงความสนใจของหลินหว่านได้อย่างแรง


 


 


“คนที่ผมพูดถึงนั่นคุณอยากรู้จักไหม? ถ้าคุณอยากรู้ผมจะบอกคุณ” ฮั่วเทียนอวี่พูด


 


 


“คุณอยากบอกก็พูดมาเร็วหน่อย ฉันไม่อยากอยู่นี่นานนัก ฉันไม่ชอบคนวกวนอ้อมค้อมที่สุดเลย” หลินหว่านพูด


 


 


“คนคนนั้นชื่อ…แต่เราตกลงกันแล้วนะ ถ้าผมพูดออกมาแล้วคุณจะไม่โกรธ” ฮั่วเทียนอวี่พูด


 


 


“เธอกับฉันเกี่ยวอะไรกันเล่า? คุณรีบพูดเถอะ พูดออกมาก็แล้วกัน” หลินหว่านเริ่มรำคาญอยู่บ้างแล้ว


 


 


“คนคนนั้นก็คือหลินหว่าน” ฮั่วเทียนอวี่พูด


 


 


“คุณพูดอะไรกันน่ะ? เรื่องของคุณเกี่ยวอะไรกับฉันเล่า?” หลินหว่านขมวดคิ้วพูด รู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งถูกหลอก ให้ตั้งใจฟังแบบนั้น


 


 


“ผมไม่ได้พูดผิดนะ คนคนนั้นก็คือคุณ ผมหวังว่าคุณจะให้โอกาสผมตามจีบคุณ” ฮั่วเทียนอวี่พูดแบบไม่กลัวตาย และไม่รู้ว่าเขาไปได้ความกล้ามาจากไหน


 


 


“เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้คุยกัน ฉันพูดกับคุณไปชัดเจนมากแล้ว คุณเอาเงินก้อนนี้ไป แล้วระหว่างพวกเราก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันอีก”


 


 


“ถ้าหากคุณทำตัวดีๆ เมื่อก่อนเรื่องที่คุณทำไว้นั่น ฉันจะไม่เอาผิดอีก” หลินหว่านพูด สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา


 


 


“ทำไมคุณถึงได้เย็นชาขนาดนี้นะ?” ฮั่วเทียนอวี่มองเธอ คิดในใจว่าเมื่อกี้ยังดีๆ อยู่แท้ๆ ทำไมตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วล่ะ?


 


 


หลินหว่านพูดจบก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง


 


 


“คุณ!” ฮั่วเทียนอวี่ยังร้องเรียกเธอจากด้านหลัง แต่เห็นหลินหว่านไม่มีทีท่าอะไรเลย อีกทั้งภายในร้านนี่ก็เงียบสงบมาก เขาจึงไม่กล้าร้องเรียกอีก


 


 


ขณะที่ฮั่วเทียนอวี่พูดกับตัวเองว่าจะทำอย่างไรดีนั้น อี้อวิ๋นฉังก็โผล่มาพอดี


 


 


“ทำไมคุณอยู่นี่ได้?”


 


 


“ฉันก็อยากบอกคุณว่า ที่หลินหว่านไม่อยากอยู่กับคุณ ก็เพราะคุณไม่มีเงินไม่มีอำนาจไงล่ะ” อี้อวิ๋นฉังพูด 

 

 


ตอนที่ 264 ข้อตกลง

 

หลังจากอี้อวิ๋นฉังจากไปแล้ว ฮั่วเทียนอวี่ยังนั่งคิดอยู่ที่เดิมอีกนานมาก ในหัวเขามีภาพความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลินหว่าน มันช่างสวยงามปานนั้น แต่ตอนนี้เธอได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้ว เธอเย็นชากับเขา ถึงกับคิดจะให้เงินเขาก้อนหนึ่งเพื่อตัดความสัมพันธ์ของพวกเขา ช่างใจร้ายซะจริงเลย


 


 


ฮั่วเทียนอวี่ปิดตาลง คำพูดของอี้อวิ๋นฉังยังดังสะท้อนไปมาอยู่ในหัวสมอง


 


 


ฮั่วเทียนอวี่ลืมตาขึ้น มองตรงไปข้างหน้า คุณไม่ชอบผม ไม่ยอมอยู่กับผม เพราะผมไม่มีเงินไม่มีอำนาจงั้นเหรอ


 


 


ถ้าหากผมมีเงินมีอำนาจเหมือนกับเซียวจิ่งสือ คุณจะเลือกอยู่กับผมหรือเปล่า เสี่ยวเสี่ยว


 


 


ฮั่วเทียนอวี่ตัดสินใจได้ มุมปากยกขึ้นเผยรอยยิ้มชั่วร้าย ความรู้สึกเจ็บปวดทรมานหายวับไป เขากลับบ้านด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ พิมพ์บางอย่างบนแป้นคีย์บอร์ดอย่างเร็ว ไม่นานนัก ประวัติย่อที่งามพร้อมสมบูรณ์ก็ถือกำเนิดขึ้น


 


 


ฮั่วเทียนอวี่ตรวจสอบใบเรซูเม่อย่างละเอียดรอบหนึ่ง จากนั้นค้นหาเว็บไซต์บนเน็ต ส่งใบเรซูเม่ของเขาไปยังกล่องจดหมายของบริษัทคู่แข่งของเซียวจิ่งสือ…อันซวี่กรุ๊ป


 


 


ฮั่วเทียนอวี่รู้ว่าพวกเขาจะต้องรับเขาแน่ ไม่ว่าเขาจะเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร พวกเขาก็จะรับเขาไว้


 


 


แค่ตอนที่เขานั่งตำแหน่งประธานแทนเซียวจิ่งสือ ได้รับทราบข่าวสารข้อมูลมาก็เพียงพอที่จะแลกตำแหน่งที่ไม่เลวเลย ยิ่งไปกว่านั้น คนที่สามารถทำหน้าที่ประธานแทนเซียวจิ่งสือ จะเป็นคนไม่มีความสามารถได้ยังไงกันเล่า?


 


 


เขาข้ามห้วยไปบริษัทของพวกเขา เกรงว่าพวกเขาจะอยากได้จนตัวสั่นเลยกระมัง


 


 


แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เพียงแค่ไม่กี่วัน ขณะที่ฮั่วเทียนอวี่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาในบ้าน พลันก็ได้ยินเสียงเตือนดังมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะหนังสือ เขาปิดหนังสือ ฮั่วเทียนอวี่เข้ามาที่หน้าโต๊ะคอมฯ อย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง เปิดกล่องรับจดหมาย แล้วเห็นว่ามีจดหมายแจ้งให้เขาไปทำงานในวันพรุ่งนี้ กลายเป็นพนักงานของบริษัทโดยข้ามขั้นตอนการสัมภาษณ์และทดลองงานไปเลย


 


 


นี่คือความจริงใจที่พวกเขาแสดงต่อเขาเพื่อให้ได้ข้อมูลงั้นรึ? ฮั่วเทียนอวี่หัวเราะเบาๆ แต่…แต่ก็แค่พนักงานคนหนึ่งเท่านั้น เขายังไม่พอใจแค่นี้หรอก


 


 


วันรุ่งขึ้น ฮั่วเทียนอวี่สวมชุดสูทมาที่บริษัท ทักทายกับบรรดาพนักงานรุ่นเก่าตามมารยาท แล้วรีบลงมือทำงาน แม้จะเป็นวันแรกที่มาทำงาน แต่ฮั่วเทียนอวี่ก็คุ้นเคยกับงานในหน้าที่มาก พอเจอกับเรื่องที่ไม่เข้าใจก็ขอความรู้กับพวกพนักงานที่อยู่มาก่อนอย่างนอบน้อมถ่อมตัว พูดได้ว่าความขยันเอาจริงและเชื่อฟังของฮั่วเทียนอวี่สร้างความรู้สึกที่ดีให้กับบรรดาพนักงานรุ่นใหญ่ได้จริงๆ


 


 


ฮั่วเทียนอวี่ทางหนึ่งก็ดูดซับความรู้ด้านต่างๆ ราวกับเป็นฟองน้ำ อีกด้านหนึ่งก็รอดูท่าทีอย่างเงียบๆ ใกล้แล้ว อีกไม่นานหรอก เขาทนไม่ได้หรอก เขาต้องมาหาเขาแน่ รออีกหน่อย


 


 


แล้วก็เป็นดังคาด บ่ายที่แสนจะธรรมดาวันหนึ่ง ขณะฮั่วเทียนอวี่กำลังก้มหน้าก้มตาเตรียมเอกสารอย่างตั้งใจ ก็มีเงาร่างคนคนหนึ่งปรากฏอยู่บนกระดาษของเขา ฮั่วเทียนอวี่กะพริบตา วางมือจากเอกสาร เงยหน้าขึ้น มองดูเลขาที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา เผยรอยยิ้มหวาน เขาแทบกลั้นใจไม่อยู่ ถามออกไปทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า “สวัสดีครับ มีอะไรให้ช่วยครับ?”


 


 


“ท่านประธานให้คุณไปพบค่ะ” เลขาพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เขายืนอยู่ที่เดิม รอให้ฮั่วเทียนอวี่จัดเอกสารเสร็จวางกลับคืนที่เดิมแล้ว ก้าวยาวๆ ไปทางลิฟท์ ฮั่วเทียนอวี่รีบก้าวตาม ก่อนที่เลขาจะกดเลือกชั้น เขากดปุ่ม แล้วส่งยิ้มให้กับเลขาที่ยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


 


 


เลขานิ่งงันไป แล้วพูด “ขอบคุณค่ะ” เสียงเรียบกับฮั่วเทียนอวี่


 


 


พอถึงชั้นบนสุด เลขาเคาะประตู พูดว่า “ท่านประธานคะ พาเขามาแล้วค่ะ”


 


 


“ให้เขาเข้ามา แล้วคุณก็ไปจัดการกับเอกสารต่อเถอะ” อันหลินอี๋ถือถ้วยกาแฟ ตามองคอมพิวเตอร์อยู่ พอได้ยินก็วางถ้วยกาแฟลง แล้วสั่งการ


 


 


“ค่ะ” เลขาถอยไปก้าวหนึ่ง ในสัญญาณฮั่วเทียนอวี่เข้ามา พอฮั่วเทียนอวี่เข้าไปแล้วก็ปิดประตูลงอย่างเบามือ


 


 


“นั่งสิ ได้ยินชื่อคุณมานานนะ คุณฮั่ว” อันหลินอี๋พูดพลางมองฮั่วเทียนอวี่ยิ้มๆ พร้อมกับชี้มือไปที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน


 


 


แน่นอนว่าฮั่วเทียนอวี่คงไม่หาเรื่องให้ตัวเองลำบาก ยืนเซ่ออยู่ตรงนั้น เขานั่งลงอย่างไม่ลังเล พูดว่า “คุณอันชมเกินไปแล้ว คราวนี้ไม่ทราบว่าเรียกผมมามีธุระอะไรหรือครับ?”


 


 


“ผมเรียกคุณมาด้วยเรื่องอะไร คุณก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? คุณฮั่ว” กาแฟที่อันหลินอี๋วางไว้บนโต๊ะยังมีควันลอยกรุ่น ไอน้ำที่ลอยขึ้นมาบดบังแววตาของอันหลินอี๋ให้ดูเลือนราง ฮั่วเทียนอวี่ไม่อาจเห็นสายตาของเขาได้ชัดนัก


 


 


“เอ่อ ก็ใช่ครับ” ฮั่วเทียนอวี่ยิ้มจืดๆ “ข้อมูลของผมคุณคงไปสืบมาพอสมควรแล้วสินะครับ คุณจะเสนอให้อย่างไรครับ”


 


 


“โอ้ว คุณฮั่วพูดอะไรน่ะ บริษัทเราจะสืบข้อมูลของพนักงานตัวเองได้ยังไงกัน” อันหลินอี๋แกล้งพูดอย่างแปลกใจ


 


 


“หึ” ฮั่วเทียนอวี่มองอันหลินอี๋ แค่นหัวเราะออกมา ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ผมรู้สึกว่าบริษัทคุณไม่ค่อยมีความจริงใจเลยนี่? งั้นพรุ่งนี้ผมคงต้องลาออกแล้ว ผมคิดว่าบริษัทอื่นคงยินดีรับผมเข้าทำงานแน่”


 


 


พูดจบฮั่วเทียนอวี่ก็หมุนตัวจะเดินออกไป 1…2…3


 


 


“เดี๋ยวก่อน” อันหลินอี๋ลุกพรวดขึ้น พูดว่า “สิบล้าน บอกข้อมูลที่คุณรู้ให้ผม คุณว่ายังไง”


 


 


“สิบล้านเหรอ ฟังดูก็ไม่เลวนะ” รอยยิ้มของฮั่วเทียนอวี่หายวับไป เขาหมุนตัวมาสบตาอันหลินอี๋ พูดว่า “แต่ว่า…”


 


 


“ไม่พอเหรอ? คุณอยากได้เท่าไหร่?” อันหลินอี๋พูดพลางขมวดคิ้ว “ถึงแม้คุณจะเป็นประธานแทนเซียวจิ่งสืออยู่หลายวัน แต่พูดกันจริงๆ แล้วก็แค่ไม่กี่วัน ข้อมูลข่าวสารที่ได้มีจำกัด ผมไม่ทราบว่าราคาที่คุณฮั่วคิดไว้เป็นเท่าไหร่ แต่อยากจะบอกคุณฮั่วสักคำว่า คนเราโลภมากไปก็ไม่ดีนักนะ”


 


 


“อือฮึ? นี่คุณมองผมแบบนี้รึคุณอัน ช่างน่าเสียใจจริงๆ เลยนะ” ฮั่วเทียนอวี่เลิกคิ้วมองอันหลินอี๋ พอเห็นเขาขมวดคิ้วแน่นก็ถอนใจ พูดว่า “ผมน่ะ ก็ไม่หวังอะไรมาก คุณอันให้ผมทำงานอยู่ที่บริษัทต่อไป ให้ตำแหน่งผู้จัดการกับผมก็พอแล้ว”


 


 


“คุณต้องการแบบนี้รึ? คุณคิดจะทำอะไร? ไม่ต้องการเงิน ก็เพื่อตำแหน่งผู้จัดการนี่นะ?” อันหลินอี๋มองดูผู้ชายตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจความคิดของเขา


 


 


“อือฮึ” ฮั่วเทียนอวี่ผงกศีรษะเป็นทียอมรับ “ง่ายๆ แค่นี้เอง ข้อตกลงแลกเปลี่ยนนี้คุณอันเห็นว่ายังไงครับ?”


 


 


“ได้” อันหลินอี๋ตกลง เขาคิดดูแล้วพูดว่า “คุณกลับไปทำงานต่อก่อนเถอะ อีกสองสามวันผมจะแจ้งตำแหน่งงานใหม่ให้คุณทราบ”


 


 


“ได้ครับ งั้นขอตัวไปทำงานก่อนครับท่านประธาน” ฮั่วเทียนอวี่ยิ้มพลางพูด พอออกจากห้องแล้ว จู่ๆ ก็โผล่ศีรษะมาพูดว่า “พอได้เวลาแล้ว ผมจะส่งมอบข้อมูลให้คุณ กรุณารอด้วยใจสงบครับ”


 


 


พอฮั่วเทียนอวี่ลงลิฟท์ไปแล้ว พวกเพื่อนร่วมงานก็มุงกันเข้ามา รุมถามว่า “เทียนอวี่ ท่านประธานเรียกคุณไปทำอะไรน่ะ” “เรื่องงานรึเปล่า?” “เขาต่อว่าอะไรคุณไหมนะ”


 


 


“ทุกคนอย่างคิดมาก ท่านประธานแค่เรียกผมไปอธิบายเรื่องบางอย่างเท่านั้น พวกคุณก็รู้ว่าเมื่อก่อนผมทำงานอยู่บริษัทฝ่ายตรงข้าม จู่ๆ ลาออกมาอยู่ที่นี่ ท่านประธานก็อดคิดมากไม่ได้น่ะ”


 


 


“จะว่าไป เทียนอวี่ได้ยินมาว่าดูเหมือนคุณกับหลินหว่านที่เป็นแฟนของเซียวจิ่งสือสนิทกันอยู่นะ”


 


 


ไม่รู้ว่าใครพูดโพล่งออกมา ทำเอาทุกคนเงียบกริบกันไปหมด 

 

 


ตอนที่ 265 ทะเลาะ

 

เสี่ยวเสี่ยวไม่ใช่ของเซียวจิ่งสือ เธอเป็นของผม เสี่ยวเสี่ยวเป็นของผมคนเดียวเท่านั้น


 


 


ฮั่วเทียนอวี่กัดฟัน ข่มความโกรธเอาไว้ พูดด้วยสีหน้าเป็นปกติว่า “หว่านเอ๋อร์สนิทกับผมจริง พวกเราทานข้าวด้วยกัน คุยกันบ่อยๆ จะว่าไปแล้ว ตอนแรกพวกเรายังอยู่ด้วยกันเลย แต่ตอนหลัง…” 


 


 


ฮั่วเทียนอวี่หรุบตาลงต่ำ ท่าทางเจ็บปวด ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ปล่อยช่องว่างเอาไว้ให้คนอื่นได้จินตนาการ ผู้คนรอบข้างสบตากัน เขานี่มันยอมได้ทุกอย่างเพราะรัก เฮ้อ ไม่รู้หลินหว่านคิดยังไงถึงได้ยอมทิ้งฮั่วเทียนอวี่


 


 


แต่มาคิดๆ ดูฮั่วเทียนอวี่แม้จะดีแต่เซียวจิ่งสือก็เป็นถึงประธานบริษัท หน้าตาหล่อเหลา เป็นคนหนุ่มที่ร่ำรวย หลินหว่านเลือกเซียวจิ่งสือก็ไม่แปลก


 


 


“เทียนอวี่ อย่าคิดเรื่องพวกนี้แล้ว หลายวันมานี้เรื่องที่คุณถามฉัน คุณทำความเข้าใจกับรู้วิธีจัดการแล้วหรือยัง จะให้ฉันสอนคุณอีกรอบไหม” ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มกลอกตาแล้วเข้ามาพูด


 


 


“ใช่ๆ ใช่แล้ว เทียนอวี่ฉันซื้อของกินมาใหม่ คุณจะลองชิมดูหน่อยไหม”


 


 


เพื่อนร่วมงานรอบข้างพากันพูดขึ้น คิดจะปลอบใจเพื่อนร่วมงานคนใหม่ของพวกเขา


 


 


“ขอบใจนะ” ฮั่วเทียนอวี่ยิ้มพลางตอบรับคำพูดของพวกเขา


 


 


เรื่องนี้ผ่านไปไม่นาน ก็เล่าลือกันไปทั่วบริษัทว่าหลินหว่านทิ้งฮั่วเทียนอวี่ไปหาเซียวจิ่งสือ ทุกคนต่างก็พากันซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์กันว่าสมัยนี้คนอ่อนโยนมีความสามารถเทียบไม่ได้กับคนมีเงิน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะนึกดูถูกหลินหว่านอยู่บ้างที่เธอเหยียบเรือสองแคม


 


 


ไม่รู้ว่าใครเป็นคนหลุดปาก เสียงเล่าลือขยายวงกว้างออกไป ต่อมาถึงกับมีนักข่าวหลายคนได้ยินเข้า รู้สึกว่าน่าจะเป็นที่สนใจ จึงสัมภาษณ์คนจำนวนหนึ่ง เติมไข่ใส่สีแล้วเร่งเขียนเป็นข่าวออกมา เพียงไม่นานข่าวที่หลินหว่านเหยียบเรือสองแคมก็แพร่กระจายออกไป


 


 


กว่าเซียวจิ่งสือจะรู้เรื่องข่าวนี้ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว


 


 


เขาให้ผู้ช่วยไปซื้อนิตยสารมาหลายเล่มด้วยสีหน้าไม่ดีนัก แล้วนั่งรออยู่ในห้องทำงานอย่างสงบ


 


 


พอผู้ช่วยมาถึง ผลักประตูเปิด เห็นสีหน้าของเซียวจิ่งสือ ก็แอบคิดว่าคราวนี้คุณหลินคงตกที่นั่งลำบาก ทางหนึ่งก็พูดว่า “ท่านประธานครับ นิตยสารซื้อมาแล้ว”


 


 


“วางไว้แล้วออกไปเถอะ” เซียวจิ่งสือพูดแล้วกวาดตามองผู้ช่วยแวบหนึ่ง


 


 


ผู้ช่วยพอวางหนังสือนิตยสารลงก็รีบเผ่นออกไปจากสถานที่ความกดอากาศต่ำนี้โดยเร็ว ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เซียวจิ่งสือได้สติกลับคืนมา เขาเดินมาที่หน้าโต๊ะ หยิบนิตยสารขึ้นมาอ่านช้าๆ ยิ่งอ่านสีหน้าเขาก็ยิ่งคล้ำเครียดลงไปทุกที พออ่านจบเขาก็เหวี่ยงหนังสือลงบนโต๊ะ นึกถึงหลินหว่านที่หลายวันมานี้ทำตัวห่างเหินจากเขา ก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่นิตยสารพูดนั้นถูกต้อง เขาอ่านนิตยสารอีกหลายเล่ม โกรธจนทำอะไรไม่ถูก


 


 


ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ เซียวจิ่งสือถึงกับคิดว่าหรือว่าหลินหว่านรักฮั่วเทียนอวี่เข้าแล้ว? ตอนนี้แค่ฝืนใจอยู่กับเขาเท่านั้น


 


 


เฮอะ กล้าสวมเขาให้คนอย่างเซียวจิ่งสือ หลินหว่านนับเป็นคนแรกเลยทีเดียว


 


 


เซียวจิ่งสือหยิบนิตยสารขึ้นมา เดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง ไม่เรียกคนขับรถ เขาไปที่โรงรถหารถมาคันหนึ่ง คิดจะขับไปหาหลินหว่านเพื่อคุยกับเธอด้วยตัวเอง


 


 


เขาก็อยากดูว่าเธอจะอธิบายยังไง


 


 


เซียวจิ่งสือขับรถซิ่งมาตลอดทาง ไม่นานก็ถึงบ้านหลินหว่าน พอเข้าไป เขาเห็นหลินหว่าน ยิ้มแข็งทื่อออกมา พูดว่า “หลายวันนี้มีความสุขดีไหม?”


 


 


“คุณเป็นอะไรไปคะ?” หลินหว่านเห็นสีหน้าเซียวจิ่งสือไม่ค่อยดีนัก แล้วยังถามคำถามประหลาดแบบนี้อีก จึงย้อนถามอย่างสงสัย


 


 


“ผมเป็นอะไรไป? งั้นคุณบอกสิว่าคุณเป็นอะไรไป คุณดูเองเถอะ” เซียวจิ่งสือขี้เกียจจะพูดมาก โยนนิตยสารลงบนโต๊ะ หลินหว่านเห็นท่าทางเซียวจิ่งสือพลุ่งพล่านดาลเดือดมาก็รู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง พอเธอได้อ่านเรื่องของตัวเองในนิตยสารแล้ว ก็รู้ว่าเรื่องไปมายังไง และแน่ใจได้เลยว่าเขาคงโกรธเพราะข่าวลือพวกนี้ซะแปดในสิบส่วน แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เลิกคิ้วพลิกอ่านเรื่องของเธอตามเลขหน้าที่ระบุไว้ เธอก็แปลกใจอยู่ว่าสื่อพวกนี้พูดถึงเธอว่าอย่างไรบ้าง


 


 


เซียวจิ่งสือก็มองดูหลินหว่านเงียบๆ ยืนพิงผนัง รอให้หลินหว่านอ่านจบ


 


 


“พวกเขาพูดมั่วน่ะ ชิ คุณเชื่อจริงๆ หรือคะ?” หลินหว่านอ่านนิตยสารเล่มนี้จบ ก็รู้แล้วว่านิตยสารเล่มอื่นๆ จะเขียนว่าอย่างไร เธอก็ไม่มีอารมณ์จะอ่านต่อไปแล้ว มองเซียวจิ่งสือแล้วพูดอย่างไม่สนใจ


 


 


“พูดมั่วเหรอ?” เซียวจิ่งสือพอฟังคำนี้ของหลินหว่าน ข่มเพลิงโทสะไว้ไม่อยู่ ก้าวพรวดๆ เข้ามาเห็นหลินหว่านมีท่าทีไม่ใส่ใจก็คว้าแขนหลินหว่านเอาไว้ ไม่สนว่าเธอจะดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด ดึงเธอเข้ามาหา พูดว่า “นิตยสารตั้งหลายเล่มพูดแบบนี้กันทั้งนั้น ตอนนี้มีคนรู้เรื่องตั้งมากมาย พวกเขาพากันหัวเราะเยาะว่าผมถูกสวมเขา”


 


 


“ปล่อยนะ” หลินหว่านพยายามดิ้นให้หลุด เซียวจิ่งสือไม่อยากทำร้ายเธอ จึงคลายมือออก แขนหลินหว่านตำแหน่งที่ถูกเซียวจิ่งสือคว้าไว้แดงช้ำเป็นแถบ รอยนิ้วมือปรากฏบนผิวสีขาวอย่างถนัดชัดตา หลินหว่านนวดแขนไปพลาง ก้มหน้าลงพูดเสียงเรียบว่า “พวกนิตยสารนั่นเขาเขียนตามลมกัน เรื่องเล็กๆ แค่นี้ยังเขียนซะตื่นตาอลังการออกมาได้ เรื่องนี้คุณไม่รู้หรือไงกันคะ? แค่พวกนั่งเทียนเขียนออกมา คุณก็เชื่องั้นเหรอ?”


 


 


“แต่หลังจากคุณกลับมา ก็เย็นชากับผมจริงๆ ตอนนี้ผมสับสนมึนงงไปหมด หลินหว่าน ผมไม่รู้ว่าช่วงที่คุณกับฮั่วเทียนอวี่อยู่ด้วยกันนั้น ได้คิดถึงผมหรือเปล่า คุณกับเขาเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ผมไม่รู้เลยสักนิด บางทีผมยังคิดว่าคุณจะชอบเขาเข้าจริงๆ หรือเปล่า? คุณเข้าใจผมไหม?” เซียวจิ่งสือหลับตาลง ถามอย่างเหนื่อยล้า


 


 


“ฉันชอบหรือไม่ชอบเขา คุณดูไม่ออกหรือคะ?” หลินหว่านรู้สึกน้อยใจสุดๆ เซียวจิ่งสือในตอนนี้ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี คิดมากแล้วยังดื้อดึงดันแบบกู่ไม่กลับอีก พอเห็นท่าทางเซียวจิ่งสือตั้งท่าอาละวาด หลินหว่านย้อนถามกลับว่า “คุณบอกว่าคุณพลาดช่วงเวลานั้นของฉัน คุณไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน แล้วฉันล่ะ? ฉันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณงั้นสิ? ฉันยังไม่ได้พูดอะไรคุณเลย ในเมื่อคุณถามฉันแบบนี้ งั้นฉันก็ต้องถามคุณบ้าง คุณบอกมาซิ ระหว่างที่ฉันสูญเสียความทรงจำ คุณได้ทำอะไรเกินเลยไปกับตัวปลอมของฉันหรือเปล่า? คุณกล้ายืนยันไหมคะ”


 


 


“ผมไม่ใช่คุณนี่ ไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นอยู่แล้ว” เซียวจิ่งสือเบิกตากว้าง สองแขนกอดอก พูดกับหลินหว่านด้วยรอยยิ้มเย็น


 


 


“เหอะ คุณบอกว่าไม่มีก็ไม่มีรึ?” หลินหว่านถากถางกลับ คำพูดของเซียวจิ่งสือไปสะกิดบาดแผลของเธอเข้า หลินหว่านมองเซียวจิ่งสือแล้วพูดว่า “คุณพิสูจน์ได้ไหม?”


 


 


“อ้อ คุณเป็นถึงท่านประธานใหญ่เซียว พวกนักข่าว พนักงานพวกนั้น จะพูดอะไรได้ พูดอะไรไม่ได้ ก็ต้องเชื่อฟังคุณอยู่แล้วนี่”


 


 


“คุณ…” เซียวจิ่งสือพูดไม่ออก


 


 


“พูดไม่ออกใช่ไหมเล่า คำตอบของฉัน ก็เหมือนกับคุณนั่นล่ะ” หลินหว่านตอบ เห็นว่าเซียวจิ่งสือยังคิดจะดึงดันอาละวาดต่ออีก หลินหว่านหยิบกระเป๋าถือ พูดกับเซียวจิ่งสือว่า “ฉันว่าตอนนี้พวกเราไม่ควรจะคุยกันต่อแล้ว สงบสติอารมณ์สักหน่อยเถอะ ฉันไปก่อนล่ะ”


 


 


พูดพลาง หลินหว่านลุกขึ้นจะออกไป เซียวจิ่งสือเข้ามาคว้าเธอไว้ พูดยั่วโมโหว่า “โมโหแล้วรึไง? คิดจะไปหาฮั่วเทียนอวี่ละสิ?”


 


 


“คุณอย่าเกินไปนักนะ” หลินหว่านถลึงตาใส่เซียวจิ่งสือ พูดจบก็ผลักเซียวจิ่งสือออก หันกายจากไป


 


 


ทิ้งให้เซียวจิ่งสืออยู่ที่เดิมเพียงลำพัง มองตามทิศทางที่หลินหว่านจากไปด้วยสีหน้าไม่ดีนัก 

 

 


ตอนที่ 266 ทรมาน

 

หลินหว่านลุกขึ้นนั่งบนเตียง นั่งนิ่งคอตกอยู่เป็นนาน ขอบตาล่างดำคล้ำอย่างเห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนเธอไม่ได้นอน หลินหว่านนวดศีรษะที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง อยากให้สมองทำงานอย่างมีสติกว่านี้ 


 


 


“โอยแย่แล้ว ขอบตาดำปี๋เลย” หลินหว่านส่องกระจกตอนแปรงฟัน ถูกเงาตัวเองในกระจกทำเอาสะดุ้งเฮือก เธอขยับเข้าชิดเพ่งมองดูผิวของตัวเองในกระจก “อ๊าๆๆๆ ตายแน่เลย!” 


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะอีตาบ้าเซียวจิ่งสือนั่น เธอจะนอนไม่หลับได้ยังไงกัน! เธอจะไปชอบฮั่วเทียนอวี่ได้ยังไง หัวสมองเขาถูกเตะจนบื้อเป็นสมองหมูไปแล้ว! 


 


 


“ว้า ผุยๆๆ” หลินหว่านคิดแบบนี้แล้วก็รีบผุยปากขับไล่ความโชคร้าย “อยู่ดีๆ แช่งเขาทำไมกันนี่” ถึงอย่างไร…สรุปแล้ว…เซียวจิ่งสือก็เป็นตาทึ่มอยู่ดี! 


 


 


แต่ฮั่วเทียนอวี่ตัวดีนั่น ถึงกับกล้าใส่ร้ายเธอ บอกว่าเธอคบซ้อน…กะผีนะสิ! ไม่รู้จักดูตัวเองซะเลยว่าเป็นใครมาจากไหน ต่อให้เธอโง่เง่าเต่าตุ่น มีตาไร้แววขนาดไหน จะยอมขึ้นเรือโจรของเขาได้ยังไงกัน ฝันไปเถอะ! จริงเลยนะ! 


 


 


“แต่ตาบื้อนั่นกลับเชื่อซะอีก! มันน่าโมโหแทบตายแล้ว!” หลินหว่านถูน้ำล้างหน้าอย่างขุ่นเคือง ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห “ฮั่วเทียนอวี่ คอยดูต่อไปเถอะ” เงาหลินหว่านในกระจกสายตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ท่าทางอย่างกับจะไปออกรบ 


 


 


“กริ๊งๆๆ …” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น 


 


 


“พี่หว่านเอ๋อร์ อรุณสวัสดิ์ค่ะ เช้านี้พี่จะทานอะไรดี? ฉันจะได้ไปซื้อมาให้ค่ะ” เป็นสายจากผู้ช่วย โทรมาได้จังหวะเวลาพอดิบพอดี สมกับที่คุ้นเคยการใช้ชีวิตของหลินหว่าน 


 


 


“อรุณสวัสดิ์ อะไรก็ได้ อย่าให้มันเกินไปเป็นใช้ได้” หลินหว่านตอบไร้อารมณ์ 


 


 


“พี่หว่านเอ๋อร์ หลับไม่สนิทหรือคะ?” 


 


 


“อืม ก็ดีนี่” 


 


 


“งั้นก็เอาเหมือนเดิมนะคะ? แล้วก็ข้าวต้มอีกหน่อยไหม?” 


 


 


“ได้” 


 


 


พอวางสาย หลินหว่านคิดดูแล้ว หยิบบทละครขึ้นมาอ่านเตรียมตัวสำหรับบทของเธอ ก็ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือเปล่า พอดีพลิกมาถึงฉากดราม่าของตัวประกอบหญิงกับพระเอก นางเอกแกล้งตาย พระเอกไม่รู้ความจริง จึงใช้เหล้าดับทุกข์ เห็นตัวประกอบหญิงเป็นนางเอก จึงอ่อนโยนกับตัวประกอบหญิง 


 


 


ตอนนั้นอ่านถึงตรงนี้ หลินหว่านไม่ได้คิดมากอะไร แต่ตอนนี้ ในหัวเธอนึกถึงอี้อวิ๋นฉังกับเซียวจิ่งสือเป็นตัวประกอบหญิงกับพระเอกโดยอัตโนมัติ เอาเอารู้สึกตะครั่นตะครอไปทั้งตัว! 


 


 


“ตัวประกอบหญิงเทเหล้าปริ่มจอกยกให้กับพระเอกอย่างเอาใจ พระเอกดื่มรวดเดียวหมด หลายจอกผ่านไป พระเอกมึนเมาอยู่บ้าง หันไปมองคนที่ยื่นจอกเหล้าให้อีกครั้ง กลับกลายเป็นนางเอกกลับมา เขาดึงเธอเข้าสู่อ้อมอก…”  


 


 


“ดึงเข้าสู่อ้อมอก?” หลินหว่านอ่านทวนเสียงดังอีกรอบ 


 


 


“…ตัวประกอบหญิงทนไม่ได้ที่พระเอกเสียใจ จึงแสร้งทำเป็นนางเอก หมายจะจูบเขา…” 


 


 


“จ…จูบ จูบรึ?!” หลินหว่านทำเสียงสูงขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ 


 


 


พวกเขาทำอะไรกัน! หรือว่าเซียวจิ่งสือกับอี้อวิ๋นฉัง…พวกเขา…พวกเขา! 


 


 


“จูบอะไรหรือคะ?” ตอนนั้นเองผู้ช่วยถืออาหารเช้าเข้ามา ได้ยินเสียงหลินหว่านพูดเสียงดัง ก็แปลกใจ เข้ามาดูเห็นหลินหว่านถือบทละคร ก็พูดอย่างเข้าใจว่า “อ้อ พี่หว่านเอ๋อร์ พี่อ่านบทอยู่หรือคะ?” 


 


 


“อ๋า อ้า ใช่!” หลินหว่านพับบทละครอย่างขัดเขิน ยิ้มพลางว่า “บทละคร” 


 


 


บริษัทของเซียวจิ่งสือ 


 


 


“ฮัดเช้ย!” เซียวจิ่งสือจามอย่างแรง 


 


 


“เจ้านาย เป็นหวัดรึครับ?” เลขาถามอย่างเป็นห่วง 


 


 


“ไม่มีอะไร นายว่าต่อซิ” เซียวจิ่งสือดึงกระดาษเช็ดมือแผ่นหนึ่ง 


 


 


“ครับ อันซวี่กรุ๊ป…” เลขารายงานต่อ เรื่องโครงงานของบริษัท และเรื่องเกี่ยวกับศิลปินค่ายอื่นๆ เซียวจิ่งสือแม้จะไม่ได้ลงในรายละเอียดเหมือนอย่างผู้จัดการของศิลปิน แต่ก็ต้องทำความเข้าใจในภาพรวม 


 


 


อันซวี่กรุ๊ป พอรับฟังถึงอันซวี่กรุ๊ป เซียวจิ่งสือก็อดนึกถึงฮั่วเทียนอวี่นั่นไม่ได้! เจ้าหมอนั่นมีอะไรดีนะ หลินหว่านจึงได้สนใจเขา?! 


 


 


ยิ่งคิดก็ยิ่งขัดใจ อารมณ์ของเซียวจิ่งสือในตอนนี้ก็เหมือนเด็กที่ถูกแย่งของเล่นชิ้นโปรด หน้าบูดบึ้งอย่างไม่พอใจ 


 


 


“เจ้านาย? ” เสียงรายงานของเลขาเบาลงไป ไม่รู้ว่าตัวเองพูดผิดที่ตรงไหน เรียกเจ้านายเสียงเบาหวิว 


 


 


“พูดจบแล้ว?” เซียวจิ่งสือตอนไม่หัวเราะ ดูน่ากลัวอยู่บ้าง โดยเฉพาะตอนที่เขาตั้งใจจะให้เป็นอย่างนี้ 


 


 


“ครับ สถานการณ์โดยรวมก็มีแค่นี้ครับ ดูปกติดี นอกจาก…” ตอนแรกเลขาพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ต่อมากลายเป็นลังเลอยู่บ้าง 


 


 


“นอกจากอะไร?” เซียวจิ่งสือหน้าบูด เขายังคิดถึงเรื่องของหลินหว่านอยู่เลย 


 


 


“นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับ…ข่าวลือของคุณหลิน” เซียวจิ่งสือเคยสั่งไว้ว่าเรื่องที่เกี่ยวกับหลินหว่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรต้องรายงานให้เขาทราบทั้งหมด ถึงแม้เลขารู้ว่าพูดไปเขาอาจถูกด่า แต่ไม่พูดก็คงถูกด่าเหมือนกัน จึงตัดใจพูดออกมา 


 


 


“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว” แน่นอนว่าเซียวจิ่งสือรู้เรื่องข่าวลือนั่น! เขานึกขึ้นมาทีไรก็จุกอกทุกที อยากจะรีบโทรหาหลินหว่าน แต่พักนี้เธอกลับตีตัวออกห่างเขา เลยทำให้เขาไม่มั่นใจนัก เงียบกันไปครู่หนึ่ง เซียวจิ่งสือก็โบกมือให้เลขาออกไปได้ เขายังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ 


 


 


“สวัสดีคะ ฉันเอง ไปบริษัท? ตอนนี้เหรอ?” หลินหว่านแปลกใจอยู่บ้าง 


 


 


เนื่องจากไม่มีงานอะไร ผู้ช่วยจึงไม่ต้องคอยติดตามเธอ หลินหว่านกำลังเตรียมตัวถ่ายละคร ช่วงนี้ไม่มีงานอะไร พอได้ฟังว่าเจ้านายเรียกหาเธอ ก็สงสัยอยู่บ้าง 


 


 


“อ้า ไม่เป็นไร ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” เจ้านายเรียกหาต้องมีธุระอะไรแน่ หลินหว่านรีบตอบรับ 


 


 


ต่อให้ไม่ได้ร่วมงานอีเวนท์อะไร ดาราก็ไม่กล้าจะปล่อยหน้าเปล่าออกข้างนอก ถึงแม้หลินหว่านจะเป็นคนสวย แต่ก็ใส่ใจกับการแต่งหน้ามาก โดยเฉพาะยังมีขอบตาดำพวกนี้อีก 


 


 


“อยู่ที่ห้องทำงานของคุณแน่ะ” ผู้จัดการเห็นหลินหว่านก็เข้ามาทักทาย ชี้มือไปห้องด้านใน 


 


 


“ค่ะ ขอบคุณ” หลินหว่านกวาดตามอง แล้วถามอีกว่า “ใครเหรอ? มีเรื่องอะไรน่ะ?” 


 


 


“คุณเข้าไปก็รู้เองแหละ” 


 


 


อ๋าย ลึกลับปานนั้นเชียว? แต่ท่าทางไม่น่าจะเป็นเรื่องร้าย ไม่อย่างนั้นผู้จัดการน่าจะพุ่งเข้าไปก่อนแล้ว 


 


 


“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบ…” หลินหว่านเข้าไปแล้ว ก็เอ่ยถามขึ้นก่อน พออีกฝ่ายหันกลับมาจึงเห็นว่าเป็น…อันจี๋ถิง “คุณหาฉันหรือคะ?” 


 


 


“หว่านเอ๋อร์…” อันจี๋ถิงเดินเข้ามาหาอย่างตื่นเต้น ดึงมือสองข้างของหลินหว่านไว้ พูดอย่างพลุ่งพล่านว่า “หว่านเอ๋อร์ลูกแม่…” อันจี๋ถิงเพ่งพิจดูหน้าหลินหว่านอย่างละเอียด เหมือนอยากจะค้นหาอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ยอมแพ้ มองอีกฝ่ายอย่างสงสาร มือข้างหนึ่งกุมเอาไว้ พูดกลั้นสะอื้นว่า “หว่านเอ๋อร์ แม่ผิดต่อลูก แม่ผิดเอง ทำให้ลูกต้องลำบาก ต่อไปไม่เป็นไรแล้วนะ ต่อไปแม่จะดูแลลูกเอง…” 


 


 


ยังไม่ทันที่อันจี๋ถิงจะพูดจบ หลินหว่านก็ดึงตัวเองออกมา ขยับไปด้านข้าง รักษาระยะห่างจากอันจี๋ถิง มองดูอันจี๋ถิงด้วยสายตาสับสนว้าวุ่น 


 


 


“หว่านเอ๋อร์ แม่รู้ว่าเรื่องเมื่อก่อนแม่เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว และก็ไม่ขอแก้ตัวอะไรด้วย แค่หวังว่าต่อไป…” อันจี๋ถิงพูดด้วยท่าทีวิงวอนขอร้อง 


 


 


“ต่อไปจะเป็นยังไงคะ ชดเชยให้ฉันเหรอ?” หลินหว่านชิงพูดขัดขึ้น เห็นอีกฝ่ายดวงตาเป็นประกายวาบขึ้น ก็รู้สึกหนาวเยือก “ชดเชยฉันหรือเพื่อให้คุณหายรู้สึกผิดกันแน่ ถ้าคุณคิดจะทำเพื่อฉันจริง ตอนแรกทำไมหลอกฉันว่าคุณตายไปแล้ว คุณนึกถึงฉันบ้างหรือเปล่า? เห็นฉันเป็นลูกสาวของคุณจริงๆ งั้นหรือ?” 


 


 


“ระหว่างพวกเราเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว ไม่ต้องเสียแรงเปล่าหรอก” พูดจบหลินหว่านก็จากไป 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม