ลิขิตฟ้าชะตารัก 259-266

 ตอนที่ 259 มาเยือนยามวิกาล 


 


 


 


 


 


เจาเอ๋อร์เห็นว่านางเริ่มจะเหม่อลอยอีกครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ เลือนหายไป เช่นนั้นจึงทำได้เพียงคีบอาหารใส่ถ้วยของนาง ยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “คุณหนู นี่เป็นอาหารที่ห้องครัวเตรียมมาให้ ก่อนหน้านี้บ่าวได้ลองชิมแล้ว สดใหม่และคล่องคอยิ่งนัก อร่อยมากเลยนะเจ้าคะ” 


 


 


“อย่างนั้นหรือ” อวี้อาเหรากลับไปสนใจอาหารบนโต๊ะในทันที 


 


 


หลังจากที่ทานอาหารมื้อดึกแล้ว เวลาก็ล่วงเลยเข้าไปเสียดึกดื่น ในยุคโบราณเช่นนี้ก็นับว่าเลยเวลาเข้านอนไปนานโขแล้ว 


 


 


เจาเอ๋อร์เพิ่งจะยกถ้วยชามออกไป แล้วจึงหันกลับมาด้วยความตื่นตระหนกว่า “คุณหนู ท่านอ๋องเสด็จมาเจ้าค่ะ” 


 


 


“อ้อ?” อวี้อาเหราเหลือบสายตาขึ้นมอง ผ่านไปเพียงไม่นานนักหลิงอ๋องก็ก้าวเข้ามาในห้องจากม่านรัตติกาล นางรีบถอนสายตากลับมา ลุกขึ้นยืนแล้วถวายบังคมทันใด “ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อเพคะ” 


 


 


“รีบลุกขึ้นเถิด ร่างกายของเจ้าอ่อนแอ ประเดี๋ยวจะหนาวเย็นเสียเปล่าๆ” หลิงอ๋องประคองนาง 


 


 


เช่นนั้นอวี้อาเหราจึงค่อยเงยหน้าขึ้น “ดึกป่านนี้แล้ว เหตุใดเสด็จพ่อจึงยังไม่พักผ่อนอีกเพคะ” 


 


 


“อืม” หลิงอ๋องใช้มือปัดหยดน้ำค้างบนเสื้อผ้าแล้วกุมมือที่เย็นเฉียบของนาง แต่กลับต้องตกใจในทันใด หันกลับมาหาเจาเอ๋อร์แล้วถามว่า “เหตุใดร่างกายของคุณหนูเจ้าถึงได้เย็นเช่นนี้ นี่เจ้าดูแลอย่างไรกัน” 


 


 


“ท่านอ๋อง บ่าวผิดไปแล้ว เป็นเพราะบ่าวเลินเล่อเองเพคะ” เจาเอ๋อร์คุกเข่าลงอย่างตื่นตกใจ 


 


 


อวี้อาเหรารีบพูดขึ้นมาว่า “เสด็จพ่ออย่าโทษเจาเอ๋อร์เลยเพคะ เมื่อครู่ลูกรู้สึกร้อนไปหน่อยถึงถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก แม้ว่ามือจะเย็นอยู่บ้าง แต่ร่างกายก็อุ่นดีนักเพคะ” 


 


 


“เจ้าก็ชอบตามใจพวกบ่าวเสียยิ่งนัก” หลิงอ๋องอดยิ้มอย่างจนใจขึ้นมาไม่ได้ 


 


 


อวี้อาเหราเองก็ยิ้มตามด้วยความโอนอ่อน “แต่ไรมากฎระเบียบของจวนหลิงอ๋องเราก็ไม่เคร่งครัดเท่ากับที่อื่น เมื่อเราทำดีกับบ่าวรับใช้พวกนี้เสียบ้าง พวกเขาก็จะจำใส่ใจ ไม่ต้องกังวลว่าต่อไปพวกเขาจะเป็นเหมือนสุนัขที่แว้งกัดเจ้าของ สิ่งใดควรปล่อยก็ปล่อยไปเสีย สิ่งใดควรเข้มงวดก็ควรที่จะเข้มงวด เมื่อเป็นเช่นนี้จึงสามารถรักษาความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายเอาไว้ได้เพคะ” 


 


 


“อาเหรากล่าวได้ถูกต้องแล้ว” หลิงอ๋องได้ยินในสิ่งที่นางตอบก็พึงพอใจเป็นอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะชื่นชมออกมา ลูกของเขาคนนี้นับตั้งแต่ตกหน้าผาในครั้งนั้น แม้แต่คำพูดคำจาก็ฟังดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก แม้เขาจะไม่ได้สังเกตอย่างละเอียดนักแต่ก็มองเห็นอย่างชัดเจน 


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็เอ่ยปากขึ้น “เดิมทีคืนนี้พ่อก็คิดว่าจะมาดูเจ้าเสียตั้งแต่เนิ่นๆ แต่เป็นเพราะราชกิจมีมากมายนัก ถึงได้ล่าช้ามาจนถึงตอนนี้ ตอนที่มาถึงยังคิดว่าเจ้านั้นหลับไปแล้ว ไม่คิดว่ากำลังทานอาหารอยู่ ทานมากๆ เสียหน่อยก็ดี เห็นเจ้าผอมถึงเพียงนี้แล้วพ่อก็เจ็บปวดใจยิ่งนัก” 


 


 


เอ่อ… 


 


 


เจาเอ๋อร์ที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ ก็อดที่จะหัวเราะขึ้นในใจไม่ได้ เกรงว่าท่านอ๋องนั้นคงจะไม่รู้ว่าความสามารถในด้านการกินของคุณหนูของนางนั้นไปถึงระดับใดแล้ว แน่นอนว่าย่อมอยู่ในระดับที่สูงกว่าผู้อื่นแน่ แต่กลับไม่มีเนื้อมีหนัง ไม่แปลกนักที่คนจะชอบคิดว่านางนั้นไม่ได้กินอะไร แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น 


 


 


อวี้อาเหราถลึงตาจ้องมองเจาเอ๋อร์ที่มีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ยิ้มรับหลิงอ๋องอย่างเสียไม่ได้ “เพคะเสด็จพ่อ ลูกจะทานให้มากๆ เพคะ” 


 


 


เมื่อพูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว หลิงอ๋องก็จากไป 


 


 


อวี้อาเหราเหนื่อยเสียจนลืมตาแทบไม่ขึ้น ทั้งยังปวดเมื่อยไปทั่วทั้งร่างและไร้เรี่ยวแรง วันนี้นางก็ต้องรับมือกับหลายเรื่องนัก ยังไม่มีโอกาสได้พักผ่อนแม้แต่น้อย ทั้งยังทานอาหารเข้าไปอีกหนึ่งมื้อ เมื่อทานอิ่มแล้วก็ไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงอะไรอีก เมื่อหลิงอ๋องจากไปแล้ว นางก็หันไปสั่งเจาเอ๋อร์ว่า “เจ้าไปนอนเถิด พรุ่งนี้ข้าคงจะนอนนานสักหน่อย” 


 


 


“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์ถอยออกไป 


 


 


อวี้อาเหราก้าวขึ้นไปบนเตียง เลิกผ้าห่มขึ้นแล้วสอดตัวลงไปทั้งยั้งสวมเสื้อผ้าอย่างเกียจคร้าน จากนั้นก็ดึงเสื้อนอกออกแล้วนอนหลับลึกอยู่ในกองผ้าห่มอันอบอุ่น  


 


 


ม่านรัตติกาลโรยตัวจนมองอะไรไม่เห็น มีเพียงลมหนาวเย็นที่พัดผ่านจนบาดกระดูก ความอบอุ่นที่วนเวียนอยู่รอบตัวของนางทำให้นางนอนหลับลึก หลับสบายกว่าช่วงเวลาไหนๆ ได้ยินเพียงเสียงใบไม้กระทบกันเบาๆ จากนอกหน้าต่างเท่านั้น 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 260 ซาบซึ้งในบุญคุณ 


 


 


 


 


 


เช้าวันต่อมา อวี้อาเหรายังคงนอนหลับสบายอยู่บนเตียง เจาเอ๋อร์เปิดม่านไข่มุกเข้ามาจากด้านนอก “คุณหนู หานสือองครักษ์ข้างกายของเซิ่นซื่อจื่อมาเจ้าค่ะ เขากล่าวว่าอยากพบท่าน” 


 


 


หานสือ? 


 


 


อวี้อาเหราที่กำลังนอนหลับด้วยอาการงัวเงีย เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางก็รีบลุกขึ้นนั่งในทันที เหม่อมองออกไปด้านนอก ที่หานสือมาหานางแต่เช้าถึงเพียงนี้เป็นเพราะอาการป่วยของฉู่ป๋ายกำเริบขึ้นมาใช่หรือไม่? นางไม่กล้าถ่วงเวลาแม้แต่น้อย เมื่อสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็ลงจากเตียง ก่อนจะออกคำสั่งกับเจาเอ๋อร์ “ให้เขาเข้ามาเถิด” 


 


 


ผ่านไปไม่นานนัก เจาเอ๋อร์ก็เดินนำหานสือเข้ามา 


 


 


อวี้อาเหราลืมเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมา “หรือว่าซื่อจื่อของเจ้า…” 


 


 


“มิได้ขอรับ คุณหนูรองโปรดวางใจ นับตั้งแต่เมื่อวานอาการของซื่อจื่อก็ดีขึ้นมาก เมื่อซื่อจื่อทราบว่าเป็นท่านที่ช่วยเหลือ…” หานสือคิดอยากที่จะพูดต่อ แต่กลับถูกอวี้อาเหราใช้สายตาสั่งให้หยุดพูดเสียก่อน จึงทำได้เพียงเงียบไปอย่างรู้งาน 


 


 


“เจาเอ๋อร์ เจ้าออกไปเตรียมอาหารเช้าเถิด” อวี้อาเหราออกคำสั่ง 


 


 


“เจ้าค่ะ คุณหนู” เจาเอ๋อร์นึกสงสัยอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นท่าทางของทั้งสองราวกับมีเรื่องสำคัญที่จะต้องหารือกันก็ถอยออกมาทันที 


 


 


เมื่อเจาเอ๋อร์ออกไปแล้ว อวี้อาเหราก็กระแอมไอให้คอโล่ง “อย่าได้กล่าวเรื่องที่ข้าไปจวนเซิ่นอ๋องเมื่อวานอีก” 


 


 


“ขอรับ” หานสือไม่เข้าใจว่าเหตุใดจะต้องปิดบังเรื่องนี้ แต่เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของนางแล้ว เขาจึงรู้ว่าตนไม่ควรพูดในเรื่องที่ไม่สมควร เช่นนั้นจึงเปลี่ยนวิธีพูด แล้วเอ่ยเรื่องที่สำคัญขึ้นมาอีกครั้ง “เมื่อวานนี้หลังจากที่ซื่อจื่อทราบว่าท่าน…ได้ใช้หยกเลือดเพื่อช่วยชีวิตเขาไว้ จึงอยากจะเชิญท่านไปที่จวนเพื่อขอบคุณด้วยตัวเองขอรับ” 


 


 


“ขอบคุณด้วยตัวเอง?” มุมปากของอวี้อาเหรายกโค้งขึ้นน้อยๆ เหตุใดวาจานี้ถึงไม่เหมือนคำพูดที่ออกมาจากปากของฉู่ป๋ายเลยแม้แต่น้อยเล่า ไหนเลยเขาจะกลายเป็นคนรู้จักซาบซึ้งถึงบุญคุณคนเช่นนี้กัน 


 


 


“ขอรับ จึงอยากจะเชิญคุณหนูรองไปที่จวนสักครั้ง” หานสือพยักหน้า 


 


 


“ตกลง ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปกับเจ้า เจ้าก็ออกไปรอข้างนอกก่อนเถิด” อวี้อาเหราตอบรับด้วยท่าทีสบายๆ นางเองก็มีเรื่องเกี่ยวกับหยกเลือดที่อยากจะถามฉู่ป๋ายอยู่พอดี นี่ก็ช่างเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมยิ่งนัก 


 


 


เพียงแต่นางยังรู้สึกเหมือนนอนไม่พออยู่เลย 


 


 


อวี้อาเหราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเรียกเจาเอ๋อร์ให้เข้ามา หลังจากเกล้าผมแต่งตัวจนเสร็จแล้วก็เตรียมจะเดินตามกันออกมาจากห้อง 


 


 


เจาเอ๋อร์นิ่งไปนานถึงค่อยมีปฏิกิริยาตอบรับ “คุณหนู ท่านไม่ทานอาหารเช้าหรือเจ้าคะ” 


 


 


“อืม ไม่ทานแล้ว ประเดี๋ยวเจ้าก็ตามข้าไปยังจวนเซิ่นอ๋องด้วยนะ” 


 


 


“เจ้าค่ะ” 


 


 


เจาเอ๋อร์ตอบรับเสียงอ่อน 


 


 


สองนายบ่าวเดินขึ้นไปบนรถม้าที่หานสือเป็นคนบังคับ แล้วออกเดินทางไปยังทิศที่จวนเซิ่นอ๋องตั้งอยู่ 


 


 


เมื่อมาถึงด้านนอกห้องของฉู่ป๋ายแล้ว อวี้อาเหราก็มองเจาเอ๋อร์เรียบๆ “เจ้ารออยู่ที่นี่เถิด ข้าเข้าไปคนเดียวก็พอ” 


 


 


เจาเอ๋อร์จึงทำได้แต่เพียงยืนรออยู่ตรงนั้น 


 


 


หานสือเดินนำนางเข้ามา เห็นคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเตียงจากที่ไกลๆ เงาร่างเปราะบาง ผอมแห้งจนเหมือนไม้ฟืน หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์เมื่อวานมาได้เขาก็ดูราวกับจะผอมลงไปอีก เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามา ฉู่ป๋ายก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แม้ว่าใบหน้าจะยังคงหล่อเหลาสง่างาม แต่ก็ซีดเผือดราวกับแผ่นกระดาษ 


 


 


“ซื่อจื่อ คุณหนูรองมาถึงแล้วขอรับ” หานสือทำความเคารพอย่างนอบน้อม 


 


 


คนที่นั่งอยู่บนเตียงยังคงไม่พูดจา หรือว่าแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะพูดจาสองสามคำก็ไม่มี? 


 


 


ฉู่ป๋ายโบกมือ เป็นเชิงให้หานสือถอยออกไป 


 


 


เมื่อรอจนหายสือถอยออกไปแล้ว อวี้อาเหราถึงค่อยก้าวมาข้างหน้า จ้องมองเขาอย่างพิจารณาเล็กน้อย แล้วถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “เหตุใดเจ้าดูเหมือนจะผอมลงไปอีกแล้ว หรือว่ายังไม่อาจควบคุมโรคกระหายโลหิตได้” 


 


 


“เจ้ารู้แล้ว?” ปากของฉู่ป๋ายถามขึ้นมาเช่นนี้ ทว่าสีหน้าท่าทีกลับเรียบเฉย เพียงแต่เวลาพูดนั้นดูเหนื่อยล้ามากว่าในยามปกติ น้ำเสียงแหบแห้งราวกับต้องเค้นออกมา 


 


 


“อืม หานสือบอกข้าแล้ว” อวี้อาเหราพยักหน้า 


 


 


“รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเขาก็คงปิดไม่มิด…” ใบหน้าของฉู่ป๋ายปรากฏให้เห็นสีหน้าเยาะหยัยน้อยๆ 



ตอนที่ 261 เจ้าไม่กลัวหรือ 


 


 


 


 


 


อวี้อาเหรายกยิ้มมุมปาก และคิ้วเลิกขึ้น “เจ้าเองก็รักษาตัวให้หายดีเถิด ที่หานสือบอกข้านั้นเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ อย่าได้โทษเขาเลย หากไม่ใช่เพราะข้า เจ้าไหนเลยจะมานอนนิ่งๆ อยู่เช่นนี้ได้ คนทั้งใต้หล้าคงจะรู้กันหมดแล้วว่าเจ้าเป็นโรคที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้” 


 


 


ฉู่ป๋ายไม่ตอบคำ เพียงแต่มองนางเงียบๆ จู่ๆ แววตาก็ฉายประกายลึกซึ้งในทันใด “เจ้าไม่กลัวหรือ” 


 


 


“อะไรนะ” อวี้อาเหราชะงักไปเล็กน้อย 


 


 


“เจ้าไม่กลัว…ใบหน้าน่าหวาดกลัวของข้าเมื่อวานนี้หรือ” ฉู่ป๋ายอ้าปาก คิดอยากจะพูดอะไรออกมา จนกระทั่งผ่านไปนานพอควรถึงได้กล่าวออกมาจนจบประโยคได้ หลังจากที่พูดจบ เขาก็ก้มหน้าลงในทันใด ทำให้นางมองใบหน้าขาวราวแผ่นหยกของเขาได้ไม่ชัดเจนนัก 


 


 


“กลัว?” อวี้อาเหรานิ่งไป ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง “ข้าจะกลัวเจ้าทำไมกัน” 


 


 


แม้ว่าเมื่อวานนี้ฉู่ป๋ายจะดูน่ากลัวกว่าปกติอยู่มาก แต่นางที่มาจากยุคปัจจุบันจะไม่เคยเห็นสิ่งน่ากลัวมาเลยหรือ แล้วทำไมถึงจะต้องตกใจเพราะเขาด้วย นางยอมรับว่าก็มีตกใจอยู่บ้างชั่วขณะ แต่หากนางกลัว เช่นนั้นก็คงจะไม่ช่วยให้เขาฟื้นคืนสติด้วยการนำชีวิตตัวเองไปเสี่ยงอันตรายเช่นนี้แน่ 


 


 


เรื่องนี้แม้คิดเล่นๆ ก็คงจะเข้าใจ แล้วคนฉลาดเฉลียวอย่างฉู่ป๋ายก็คงไม่ต้องอธิบายอะไรให้เสียเวลา 


 


 


เมื่อเห็นเขาป่วยเช่นนี้ อวี้อาเหราจึงค่อยมีความอดทนกว่าเดิมขึ้นมาก เมื่อเห็นเขาเงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ ดวงตาใสเหมือนบ่อน้ำที่ไร้คลื่นส่องประกายล้ำค่า จากนั้นก็หัวเราะ “เจ้ามีอะไรให้น่ากลัวกัน นี่ก็เป็นแค่อาการของโรคก็เท่านั้น ที่สูญเสียความควบคุมไปเมื่อวานนี้ไม่ใช่เจ้าตัวจริงเสียหน่อย” 


 


 


“อืม” ฉู่ป๋ายทำราวกับกำลังสั่นสะท้านเพราะคำพูดของนาง แต่ก็ดูราวกับไม่ได้เป็นอะไร ทำเพียงจ้องมองนางด้วยดวงตาดำขลับนิ่งสงบ ราวกับมองเห็นใบหน้าของนางเป็นดอกไม้ดอกหนึ่ง 


 


 


อวี้อาเหราไม่คุ้นชินกับสายตาแปลกๆ เช่นนี้ของเขา ทันใดนั้นก็หลบสายตาไปโดยไม่ตั้งตัว 


 


 


เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นกำไลหยกเลือดที่อยู่บนข้อมือ ทันใดนั้นนางก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “ข้าได้ยินมาจากหานสือว่ามีนักพรตมอบหยกเลือดนี้ให้กับเจ้าหรือ” 


 


 


“ก็ไม่ถือว่ามอบให้ข้าหรอก” ฉู่ป๋ายคิดอย่างถี่ถ้วน มองไปยังหยกเลือกที่อยู่บนข้อมือนาง “ความจริงแล้วเป็นเสด็จแม่ของข้าและเสด็จแม่ของเจ้าที่พบมันด้วยกัน หยกชิ้นนี้มีค่าควรเมือง เพียงมองดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา แต่เดิมคิดว่าจะเอากลับมาที่จวน แต่ภายหลังมีนักพรตผู้หนึ่งกล่าวเอาไว้ว่าหยกเลือดนี้ได้ผูกชะตาคนกลุ่มหนึ่งเอาไว้ หากมอบให้กับผู้ที่ไม่ควรได้รับจะนำพาโชคร้ายมาให้อย่างใหญ่หลวง เพราะอย่างนั้นจึงให้เสด็จแม่ของข้านำหยกเลือดนี้แขวนไว้กับตัวข้าตั้งแต่เด็ก อีกทั้ง…” 


 


 


“อีกทั้งยังส่งมอบให้ข้างั้นหรือ” อวี้อาเหราพึมพำกับตัวเอง 


 


 


ฉู่ป๋ายตกตะลึงในทันใด “เจ้ารู้หรือ” 


 


 


อวี้อาเหรากระแอมเล็กน้อย “ก็ในเมื่อเสด็จแม่ของเจ้าและเสด็จแม่ของข้าพบหยกชิ้นนี้ด้วยกัน เจ้ารู้เรื่องทั้งหมด ข้าเองก็ต้องรู้ด้วยน่ะสิ แต่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จประการใด เพราะอย่างนั้นถึงคิดจะมาถามเจ้า” 


 


 


ความประหลาดใจบนใบหน้าของฉู่ป๋ายค่อยๆ จางหายไป จากนั้นก็พยักหน้าลง “เสด็จแม่ก็ให้ข้าหาโอกาสมอบให้เจ้าจริงๆ” 


 


 


อวี้อาเหราไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก จ้องมองหยกเลือดในมือแล้วก็ปวดหัว เป็นเหมือนที่หนิงจื่อเย่พูดไว้จริงๆ ด้วย ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า…คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริงยังไม่ตาย! 


 


 


หากเจ้าของร่างเดิมกลับมา นางจะทำอย่างไรดีเล่า 


 


 


แต่ว่าร่างที่นางใช้อยู่นี้เป็นของใครกัน เหตุใดถึงได้เหมือนกับคุณหนูรองหลิงและนางในยุคปัจจุบันถึงเพียงนี้! 


 


 


เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นแฝดสาม! 


 


 


อวี้อาเหรารู้สึกสับสนไปหมด ในใจคิดว่าเหตุใดพอเป็นคนอื่น เมื่อได้ย้อนยุคมาแล้วทุกอย่างจึงดูง่ายดายไปเสียหมด อยากได้เงินก็ได้ อยากได้ผู้ชายก็ได้ แล้วนางเล่า เกือบจะถูกสองแม่ลูกนั่นกำจัดอยู่รอมร่อ อีกทั้งตอนนี้ก็ยังจะมีเรื่องแฝดสามอะไรนี่อีก แล้วหนิงจื่อเย่ยังอยากจะให้นางฆ่า… 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 262 ท่านหญิงน้อย 


 


 


 


 


 


ฆ่าฉู่ป๋าย! 


 


 


ชายหนุ่มนั่งพิงเตียง จ้องมองใบหน้าบิดเบี้ยวของนางเงียบๆ  


 


 


อวี้อาเหราขนหัวลุกเพราะสายตาของเขาที่จ้องมองมา จึงเชิดหน้าถามขึ้นมาว่า “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่านักพรตผู้นั้นเป็นใครกัน” 


 


 


“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร” ฉู่ป๋ายส่ายหน้า 


 


 


พูดไปก็ถูก ตัวเขาในตอนนั้นก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเสียหน่อย 


 


 


อวี้อาเหราก้มหน้าลงอย่างเศร้าสร้อย หากพบตัวคนผู้นั้นได้ก็ดีน่ะสิ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการทะลุมิติของนางก็เป็นได้ หากสามารถค้นพบเรื่องที่มีประโยชน์ต่อตัวเองได้บ้าง หนิงจื่อเย่ก็คงไม่อาจบีบบังคับนางได้อีก 


 


 


แต่ว่าตอนนี้ นางไม่อาจหาต้นสายปลายเหตุได้พบเลยแม้แต่น้อย 


 


 


ฉู่ป๋ายเงยหน้าขึ้น “เหตุใดวันนี้ข้าถึงได้รู้สึกว่าเจ้าก็ช่างผิดปกตินัก” 


 


 


“ข้าผิดปกติตรงที่ใดกัน” อวี้อาเหราถามซื่อๆ 


 


 


“ไม่มีอะไร” ฉู่ป๋ายส่ายหน้า มองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ 


 


 


อวี้อาเหราเองก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก เพราะกลัวว่าคำถามเมื่อครู่อาจทำให้เขาเกิดนึกสงสัยขึ้นมา ฉู่ป๋ายนั้นฉลาดเฉลียวปานใด แน่นอนว่าเขาย่อมฉลาดกว่าผู้อื่นหลายเท่านัก คงจะรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างแน่ว่าเหตุใดนางจึงถามคำถามเช่นนี้ขึ้นมา 


 


 


เมื่อเห็นคนทั้งสองพูดคุยกันมาสักพักหนึ่งแล้ว หานสือถึงกล้าที่จะเข้ามาในห้อง “ซื่อจื่อ อาหารเช้าเตรียมไว้พร้อมแล้ว ท่านทานเสียหน่อยเถิดนะขอรับ” 


 


 


ฉู่ป๋ายเม้มปาก หลังจากนั้นก็ฝืนยิ้มขึ้น “ข้าทานไม่ลง อีกอย่างข้ามีสภาพเช่นนี้ หากทานไปก็เสียเปล่า” 


 


 


“ซื่อจื่อ ท่านควรจะทานอะไรบ้างนะขอรับ เมื่อครู่บ่าวได้เชิญท่านหญิงน้อยมาแล้ว อาการป่วยของท่านต้องมีทางควบคุมได้แน่นอนขอรับ” หานสือฝืนแนะนำอย่างหวังดี 


 


 


“เจ้ากลายเป็นคนไม่รู้จักกฎระเบียบตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของฉู่ป๋ายก็พลันแปรเปลี่ยนไป 


 


 


อวี้อาเหราคิดว่าท่านหญิงน้อยพระองค์นี้คงจะเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเขาเป็นแน่ แต่ก็แปลกใจนัก น้องสาวกลับมาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแท้ๆ แต่เหตุใดสีหน้าของเขาถึงดูไม่ยินดีเพียงนั้นเล่า 


 


 


“ซื่อจื่อโปรดอภัย เพื่ออาการป่วยของท่าน ผู้น้อยจำต้องทำเช่นนี้ขอรับ อีกอย่างหากท่านหญิงน้อยรู้ว่าท่านปิดบังนางเช่นนี้ ท่านหญิงคงเสียใจนัก” หานสือคุกเข่าลง เขายังคงหยัดยืนในการกระทำของตัวเอง เพียงเพื่อช่วยชีวิตซื่อจื่อให้ยาวนานเพิ่มอีกสักวัน แม้ว่าจะถูกลงโทษเขาก็ไม่ว่าอะไร 


 


 


อวี้อาเหรามองฉู่ป๋าย แล้วถามขึ้นอย่างแปลกใจ “เหตุใดจ้าถึงไม่อยากให้หานสือไปเชิญท่านหญิงน้อยกลับมาเล่า” 


 


 


สีหน้าของฉู่ป๋ายดูไม่ได้ และไม่สนใจคำพูดของนาง 


 


 


ในห้องพลันเงียบสงัด สายตาของนางจึงเบนหันไปทางหานสือ “เหตุใดกัน” 


 


 


“เพราะซื่อจื่อประชวรเป็นโรคกระหายโลหิต ท่านหญิงน้อยและซื่อจื่อเป็นพี่น้องร่วมมารดา เพราะฉะนั้นโลหิตเพียงหยดเดียวของท่านหญิงน้อยก็สามารถทำให้อาการของซื่อจื่อสงบลงได้ ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ทดสอบแล้ว พบว่ายิ่งใช้ก็ต้องเพิ่มปริมาณ ในภายหลังวรกายของท่านหญิงน้อยก็อ่อนแอลง จนกระทั่งเมื่อซื่อจื่อได้ฝึกวิชาเผาไหม้ตัวตนจึงไม่ต้องใช้อีก แต่เพราะท่านหญิงน้อยนั้นสูญเสียโลหิตมากเกินไปมานานหลายปี เช่นนั้นจึงถูกส่งตัวไปที่ค่ายใหญ่แห่งซีซานเพื่อรักษาพระอาการ เมื่อฝึกวิชายุทธ์แล้วร่างกายก็ดีขึ้นมาก” 


 


 


หานสือตอบคำ 


 


 


ค่ายใหญ่แห่งซีซานอีกแล้วหรือ? อวี้อาเหรารู้สึกประหลาดใจขึ้นมาบ้างในทันที นางจำได้ว่าอวี้จื้อนั้นก็ถูกส่งตัวไปยังที่แห่งนี้ตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งนั้นก็คือที่แห่งเดียวกับที่ท่านหญิงน้อยเซิ่นไปอยู่นี่เอง 


 


 


“เช่นนั้นเป็นเพราะว่าครั้งนี้ซื่อจื่อของเจ้าสูญเสียลมปราณไปเกือบหมดเพราะช่วยเหลือข้า ทำให้มิอาจฟื้นฟูลมปราณของวิชาเผาไหม้ตัวตนได้ใช่หรือไม่ ถึงจำต้องใช้โลหิตของท่านหญิงน้อยเพื่อประคองอาการของเขาไว้” 


 


 


“ใช่แล้วขอรับ” หานสือพยักหน้า 


 


 


อวี้อาเหราชะงักไป โรคกระหายโลหิตนี่ช่างรับมือได้ยากยิ่งนัก…เมื่อคิดไปคิดมา ทันใดนั้นนางก็นึกถึงปัญหาที่สำคัญที่สุดขึ้นมาได้ จึงถามว่า “เช่นนั้นอาการป่วยของซื่อจื่อของเจ้านั้นจะถ่ายทอดไปสู่ทายาทหรือไม่” 


 


 


“แค่กๆ” หานสือกระแอมขึ้นมาสองสามครั้ง ไม่อยากเชื่อว่านางจะถามเรื่องนี้ขึ้นมาโดยที่ใบหน้าไม่แดงก่ำเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขาอยากจะหัวเราะทั้งน้ำตายิ่งนัก 



ตอนที่ 263 ฟังคำเจ้า 


 


 


 


 


 


มองเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของซื่อจื่อตนเองแล้ว เขาก็ทำได้แต่เพียงตอบกลับอย่างจนใจ “โรคชนิดนี้ไม่มีผู้ใดเคยเป็นมาก่อน น้อยเสียจนยากจะพบเห็น จึงไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรขอรับ” 


 


 


“เช่นนี้นี่เอง” อวี้อาเหราพยักหน้าลง แล้วหันกลับไปมองฉู่ป๋าย “เจ้าก็จะไม่ทานอะไรจริงๆ หรือ” 


 


 


ฉู่ป๋ายยังคงส่ายหน้า สีหน้าดูราวกับไม่อยากทานอะไรเลยแม้แต่น้อย 


 


 


สีหน้าของอวี้อาเหราเผยให้เห็นถึงความไม่ยินยอม “ลุกขึ้นมาทานข้าวเถิด รอจนน้องสาวเจ้ากลับมาแล้วเจ้าก็จะได้หายดี อีกอย่างเจ้าเองก็ยืนหยัดมาได้ตั้งหลายปีเพียงนี้แล้ว หากยอมแพ้ไปเสียตอนนี้ จะทำให้ความพยายามของคนพวกนี้สูญเปล่าไปมากเท่าใด และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือตัวเจ้าเองที่อุตส่าห์หยัดยืนมาได้ตั้งหลายปีมิใช่หรือ” 


 


 


วาจาของนางต่างทิ่มแทงจิตใจของเขาทุกถ้อยทุกคำ มิอาจปฏิเสธได้เลย 


 


 


ฉู่ป๋ายลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นว่า “ก็ได้ ข้าฟังคำเจ้า” 


 


 


ทั้งสองคนจึงนั่งร่วมโต๊ะทานอาหารเช้า นับเป็นมื้ออาหารที่สมานฉันท์แบบอย่างยากที่จะได้เห็น ก่อนหน้านี้หากอวี้อาเหราไม่ทานอาหารคนเดียว นางก็จะทานกับหลิงอ๋องและพวกอนุรอง คนเหล่านั้นเมื่อทานอาหารแล้วก็ไม่ลืมจะกล่าววาจาเสียดสี ทำร้ายจิตใจกันตลอดเวลา 


 


 


ตลอดทั้งมื้ออาหารไม่ได้รับรู้ถึงรสชาติแม้แต่น้อย ไหนเลยจะหารสชาติความอร่อยได้ 


 


 


อวี้อาเหรานิ่งงันไปเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลงกัดช้อนเอาไว้ “จริงสิ ท่านหญิงน้อยของพวกเจ้าจะกลับมาเมื่อไรหรือ” 


 


 


“ค่ายใหญ่แห่งซีซานอยู่ไกลถึงเพียงนั้น คาดว่าคงจะกลับมาถึงในช่วงสิ้นปีขอรับ” หานสือตอบคำ จากนั้นก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา “ไม่ทราบว่าคุณหนูรองท่านถามทำไมหรือขอรับ” 


 


 


“ไม่มีอะไร ก็เพียงแค่ถามไปเท่านั้นเอง” อวี้อาเหรากลืนโจ๊กขาวๆ ตรงหน้าไปคำหนึ่ง เอียงคอมองฉู่ป๋ายที่รับประทานด้วยความสุภาพเรียบร้อย เช่นนั้นนางก็เม้มริมฝีปาก “แค่ทานข้าวเจ้าก็ต้องทำท่าไม่อยากกินเช่นนั้นด้วยหรือ” 


 


 


“?” ฉู่ป๋ายมองมาด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าได้รับความทรมานจากโรคกระหายโลหิต แน่นอนว่าย่อมทานอะไรไม่ลง มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าจะผอมแห้งถึงเพียงนี้หรือ” 


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว อวี้อาเหราก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรออกมาอีก 


 


 


ร่างกายผอมบางของเขานางก็เห็นมันกับตามาโดยตลอด เมื่อมองก็รู้สึกว่ารูปร่างของเขาก็ช่างเหมือนกับหนังหุ้มกระดูก อย่ากล่าวเลยว่าเมื่อวานยามที่นางโอบกอดเขาจะรู้สึกกระดูกที่ทิ่มแทงถึงเพียงใด นี่ก็ช่างน่าตกใจเสียจริงๆ ที่แท้แล้วเขาก็ป่วยหนักหนาเสียจนน่าสงสารถึงเพียงนี้ 


 


 


เสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นดีที่เขาสวมใส่อยู่นั้นก็ไม่อาจปิดบังรูปร่างผอมบางของเขาได้เลยแม้แต่น้อย 


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็อดตกตะลึงขึ้นมาไม่ได้ “เจ้าว่าทุกครั้งหยกเลือดนี้จะช่วยชีวิตเจ้า เช่นนั้นก็ไม่แน่ว่าหากนำหยกชิ้นนี้ไว้กับเจ้าแล้วอาจจะทำให้อาการป่วยของเจ้าดีขึ้นใช่หรือไม่” 


 


 


“ไม่หรอก” ฉู่ป๋ายออกปากปฏิเสธ “หากหยกเลือดชิ้นนี้ช่วยข้าได้จริงๆ เหตุใดหลายปีมานี้จึงไม่ดีขึ้นเลยเล่า ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะวิชาเผาไหม้ตัวตนเท่านั้น อีกอย่าง ยามนี้เจ้าสวมเอาไว้ที่ข้อมือ ทำอย่างไรก็ถอดไม่ออก แล้วจะให้ข้าได้อย่างไร” 


 


 


“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก” อวี้อาเหราจำต้องละทิ้งความคิดนี้ไป 


 


 


แต่จะว่าก็แปลก นางก็ใช้หยกเลือดช่วยชีวิตเขามาครั้งแล้วครั้งเล่า 


 


 


แล้วจะไม่มีประโยชน์อะไรแม้แต่น้อยเชียวหรือ? 


 


 


หลังจากนางถึงคิดเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้นางเคยเห็นในบันทึกโบราณเล่มนั้น ราวกับมีเพียงแต่คนที่มีความสามารถพิเศษเท่านั้นจึงจะสามารถใช้หยกเลือดชิ้นนี้ได้ เช่นนั้นนางจึงค่อยเข้าใจว่าเหตุใดถึงอยู่กะฉู่ป๋ายแล้วหยกชิ้นนี้ถึงไม่มีประโยชน์ คงเพียงนางคนเดียวที่ใช้มันช่วยเหลือคนได้ 


 


 


ต้องเป็นเพราะเหตุผลนี้แน่ๆ! 


 


 


ทันใดนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังฉู่ป๋าย “ครั้งก่อนเจ้าที่ฝังเข็มให้ข้าแล้วรีบออกไปจากห้องของข้านั้น เป็นเพราะว่าอาการของโรคกระหายโลหิตของเจ้ากำเริบหรือ” 


 


 


“อืม” เขาพยักหน้าน้อยๆ ยามที่พูดมีแววความเหนื่อยอ่อนอยู่บ้าง เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว หานสือก็เข้ามาตอบคำถามแทน “เป็นเช่นนั้นจริงๆ ขอรับ ครั้งก่อนเป็นเพราะซื่อจื่อถ่ายทอดกำลังภายในให้คุณหนูรองจนหมดจึงทำให้ได้รับบาดเจ็บ” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 264 ยอดฝีมือแห่งยุทธภพ 


 


 


 


 


 


“ทำให้โรคกระหายโลหิตที่ถูกวิชาเผาไหม้ตัวตนควบคุมเอาไว้ได้กำเริบขึ้นมาในรอบหลายปี โชคบังดีที่เพิ่งจะเริ่มต้น ซื่อจื่อจึงสามารถกัดฟันอดทนได้ สองสามวันมานี้อาการยิ่งแย่ลง จนกลายเป็นสภาพที่คุณหนูรองได้เห็นเมื่อคืนนี้…” 


 


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” อวี้อาเหราเข้าใจขึ้นมาในทันที พึมพำเสียงเบาว่า “ข้าก็นึกว่าเป็นเพราะอวิ๋น…” 


 


 


“เจ้าว่าอะไรนะ” ฉู่ป๋ายรวบรวมพละกำลังเล็กน้อย จากนั้นก็จ้องมองนางด้วยความสงสัย 


 


 


“ไม่มีอะไร” อวี้อาเหรายั้งปากเอาไว้ทัน ส่ายหน้าอย่างวุ่นวายใจ 


 


 


แต่หลังจากที่นางเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าในใจเบาขึ้นมากโข ราวกับว่าอารมณ์ความรู้สึกที่แสนอึดอัดนั้นถูกกำจัดออกไปเสียสิ้น จนแม้แต่นางก็ยังแปลกใจตัวเอง 


 


 


ฉู่ป๋ายเห็นว่านางปิดปากแน่นไม่กล่าววาจา จึงถอนสายตาแล้วหันกลับมา แล้วดื่มโจ๊กเปล่าในถ้วยต่อไป 


 


 


หลังจากได้ทานอะไรลงไปบ้างแล้ว ก็ทำให้เขาเกิดมีพละกำลังมากขึ้น ตอนนี้เขาอ่อนแอนัก แม้แต่คนที่มีวรยุทธ์อ่อนด้อยเขาก็คงเอาชนะไม่ได้ นั่นจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาเก็บเรื่องที่ตนเป็นโรคกระหายโลหิตเอาไว้เป็นความลับสูงสุดไม่ยอมเปิดเผย 


 


 


“ครั้งที่แล้วที่ข้ามานั้นก็เห็นสีหน้าเจ้าเป็นสีแดงราวกับดอกเหมยอยู่บ้าง จุงคิดว่าไม่เป็นไรแล้ว แต่สองสามวันมานี้เหตุใดถึงได้กลับมาอ่อนแอถึงเพียงนี้เล่า…” อวี้อาเหรานึกถึงครั้งก่อนที่ได้พบกับเขา ซึ่งสภาพของเขานั้นก็ไม่ได้ดูแตกต่างไปจากคนปกติเท่าไรนัก 


 


 


“คุณหนูรอง ตอนนั้นเป็นเพราะว่าข้าน้อยและเหล่าผู้มีวรยุทธิ์สูงช่วยกันส่งทอดพลังลมปราณเข้าสู่ร่างกายของซื่อจื่อ จึงทำให้อาการพอจะดีขึ้นบ้าง แต่วิธีการนี้ก็ยังไม่ได้ผล เพียงผ่านไปไม่กี่วันอาการก็ได้กำเริบขึ้นมาอีก…” หานสือเห็นสีหน้าของซื่อจื่อขาวซีด จึงช่วยตอบแทนเขา 


 


 


“อ้อ เช่นนั้นเขาก็ถ่ายทอดพลังอะไรเข้าสู่ร่างของข้ามิใช่หรอกหรือ ถ้าอย่างนั้นเรียกคืนได้หรือไม่” 


 


 


“ไม่ได้ขอรับ พลังนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อเยียวยาบาดแผลให้คุณหนูรอง ได้หล่อรวมเข้ากับร่างกายของคุณหนูรองแล้ว หากจะนำกลับคืนก็ไม่อาจกลับมาได้” 


 


 


“หา?” อวี้อาเหราตกใจ รีบหันไปมองฉู่ป๋ายทันที “พลังของเจ้าอยู่ในร่างกายของข้าหรือ” 


 


 


“อืม” ฉู่ป๋ายพยักหน้า 


 


 


“ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับข้ามีวิทยายุทธ์แล้วน่ะสิ” สิ่งที่อวี้อาเหราสนใจก็คือเรื่องนี้ 


 


 


ฉู่ป๋ายทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก หานสือจึงรีบอธิบายด้วยรอยยิ้มเฝื่อนๆ “คุณหนูรอง ข้าน้อยเพิ่งจะพูดว่าพลังนี้สร้างขึ้นมาเพื่อรักษาท่าน แม้ว่าจะหล่อหลอมเข้ารวมกับร่างกายของท่านแล้ว แต่เพราะไม่ได้ฝึกฝนมาเป็นสิบๆ ปี ถึงจะมีพลังอำนาจแต่ก็ไม่อาจใช้ได้ขอรับ” 


 


 


“เช่นนั้นหรือ” อวี้อาเหราก้มหน้าอย่างผิดหวัง 


 


 


นางยังคิดว่าตัวเองจะได้เป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพในพริบตาเสียอีก แต่สุดท้ายนางกลับไม่ได้สัมผัสการเป็นยอดฝีมือเลยแม้แต่น้อย เรื่องทุกเรื่องใช่ว่าจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ นางที่คิดอยากจะมีพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่ง เห็นทีจำต้องเริ่มเรียนด้วยตัวเองกระมัง เช่นนั้นถึงจะมีก็นับว่าไม่มี ไม่ได้แตกต่างจากคนธรรมดาเลย 


 


 


ฉู่ป๋ายเห็นท่าทีของนางแล้ว ใบหน้าขาวซีดก็พลันปรากฏรอยยิ้มอย่างหาได้ยาก 


 


 


“เจ้าอย่าได้เศร้าใจไปเลย หากอยากจะมีวิทยายุทธ์ก็ค่อยๆ ฝึกด้วยตัวเองได้ แต่ว่าไม่มีสิ่งใดที่ได้มาโดยเปล่าๆ คุณสมบัติของเจ้านั้นเดิมทีก็ไม่เหมาะกับการฝึกวิชายุทธ์ เพราะฉะนั้นจึงจำต้องลำบากกว่าคนอื่นหลายเท่า เรื่องนี้จำต้องคิดให้ดี” 


 


 


เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้แล้ว ทันใดนั้นอวี้อาเหราก็ไร้ซึ่งความหวังแม้แต่น้อย หากต้องฝึกฝนอย่างยากลำบากก็ช่างมันเถิด อย่างไรนางก็คงจะอดทนไม่ได้เป็นแน่ 


 


 


แต่ที่กล่าวว่านางนั้นไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ คำพูดนั้นจะไม่ใช่การทำร้ายจิตใจไปหน่อยหรืออย่างไร คงจะมีเพียงฉู่ป๋ายคนเดียวเท่านั้นที่กล้าจะกล่าววาจาไม่ถนอมน้ำใจเช่นนี้ ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าตัวเองนั้นไม่จริงใจหรืออย่างไร ช่างน่ารังเกียจเสียยิ่งนัก 



ตอนที่ 265 ตลาดมืด 


 


 


 


 


 


“เจ้าไม่อยากให้ข้าพูดความจริง เช่นนั้นข้าไม่พูดก็ได้” ฉู่ป๋ายเห็นนางมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ก็แกล้งพูดขึ้นราวกับคนไร้ซึ่งความผิด 


 


 


อวี้อาเหราเห็นเช่นนั้นก็หมดคำจะกล่าว “แล้วแต่เจ้าเถิด ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยไปมากแล้ว ข้าคววรจะกลับได้แล้ว” 


 


 


“เจ้าจะกลับแล้วหรือ” ฉู่ป๋ายชะงักไป 


 


 


“แน่นอนสิ ไม่อย่างนั้นจะให้ข้าอยู่ที่จวนของเจ้าหรืออย่างไร” อวี้อาเหรากลอกตามองเขาคราหนึ่ง “ที่ข้ามาที่นี่ครั้งนี้ก็เพราะจะถามไถ่อาการของเจ้าเท่านั้น เมื่อไม่มีอะไรแล้วข้าก็ย่อมต้องกลับไปที่จวนเซิ่นอ๋องสิ” 


 


 


“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็กลับไปเถิด” เมื่อได้ฟังนางพูดเช่นนี้ ฉู่ป๋ายก็จำต้องพยักหน้าลง 


 


 


เจาเอ๋อร์เห็นนางเดินออกมาจากห้อง เช่นนั้นก็แปลกใจอยู่บ้าง “คุณหนู ท่านก็ออกมาเร็วถึงเพียงนี้หรือเจ้าคะ” 


 


 


“อืม” อวี้อาเหราพยักหน้า สายตามองตรงไปข้างหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “พวกเรากลับเถิด” 


 


 


เมื่อสองนายบ่าวเดินมาถึงด้านหน้าของจวนแล้วก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่านางนั้นนั่งรถม้าของจวนเซิ่นอ๋องมา ผ่านไปไม่นาน หานสือก็วิ่งรีบวิ่งออมา แล้วพูดกับนางอย่างรีบร้อน “คุณหนูรอง ซื่อจื่อบอกให้ข้าน้อยไปส่งท่านขอรับ” 


 


 


“ตกลง” อวี้อาเหรากำลังอับจนว่าจะหาทางกลับอย่างไรดีอยู่เช่นกัน เมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกยินดียิ่งนัก 


 


 


หลังจากกลับมาถึงจวนหลิงอ๋องแล้ว อวี้อาเหราก็เหม่อมองกำไลข้อมือหยกเลือดในมือจนใจลอยอยู่ตลอด ตัวหยกนั้นงดงามเป็นที่สุด จุดสีแดงตรงกลางนั้นดูโดดเด่น แม้ว่าจะเป็นเพียงจุดแต้มเดียวเท่านั้น แต่ก็ดูราวกับเป็นดอกเหมยแดงท่ามกลางหิมะขาว เพราะว่าไม่อาจพบเห็นได้โดยง่าย เพราะอย่างนั้นจึงถือเป็นของล้ำค่า 


 


 


เจาเอ๋อร์กลับมาพร้อมกับกาน้ำชา เมื่อเห็นนางจ้องมองข้อมือของตัวเองเช่นนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเบาๆ “คุณหนู เหตุใดตั้งแต่กลับมาท่านก็เอาแต่จ้องมองหยกชิ้นนี้เล่าเจ้าคะ” 


 


 


“เจ้าไม่เข้าใจหรอก” อวี้อาเหราส่ายหน้า เจาเอ๋อร์จะรู้ได้อย่างไรหยกชิ้นนี้ซ่อนพลังอำนาจไว้มากมายเพียงใด และก็คงไม่รู้ว่าหยกชิ้นนี้บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับนักพรตผู้นั้น เว้นแต่ว่าจะหาตัวนักพรตผู้นั้นพบจึงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของนางกันแน่ เหตุใดจึงได้ทะลุมิติมาเช่นนี้ 


 


 


“บ่าวไม่เข้าใจก็จริงเจ้าค่ะ แต่หากคุณหนูเอาแต่มองเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์ขึ้นมาหรอกนะเจ้าคะ” 


 


 


“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” อวี้อาเหรารู้สึกว่านางนั้นราวกับมีเรื่องที่ต้องการจะพูด 


 


 


“บ่าวเคยได้ยินมาว่าทางทิศตะวันตกของเมืองเฟิ่งเฉิงนั้นมีตลาดอยู่แห่งหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ ในทางแจ้งสามารถหาอัญมณีที่ทั้งหาซื้อได้และหาซื้อไม่ได้ที่นี่ การค้าขายเฟื่องฟูยิ่งนัก และไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเข้าไปสร้างเรื่องราววุ่นวาย สถานะของผู้ค้าขายและผู้ซื้อล้วนแล้วแต่เป็นความลับ คุณหนู หยกที่มือของท่านนั้นคงจะไม่ใช่ของธรรมดา ถ้าหากสามารถค้นหาสถานที่ที่เรียกว่า ‘ตลาดมืด’ ได้นั้น ไม่แน่ก็อาจจะรู้ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เจาเอ๋อร์เอ่ยตอบ 


 


 


“มีที่แบบนั้นด้วยหรือ” อวี้อาเหราชะงัก ก่อนหน้านี้นางเคยได้อ่านนิยายแฟนตาซีมากบ้าง ในนั้นมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตลาดมืดไม่น้อย และคล้ายๆ กับที่เจาเอ๋อร์ว่ามาด้วย แต่น่าแปลกนัก มันควรจะปรากฏอยู่แต่ในนิยายเท่านั้นมิใช่หรือ เหตุใดจึงปรากฏอยู่ในยุคสมัยนี้ด้วยเล่า 


 


 


หรือว่า นี่อาจจะเกี่ยวข้องกับนักพรตผู้นั้นจริงๆ? 


 


 


อวี้อาเหรากดเก็บความตกตะลึงไว้ในใจ ราวกับจับจุดสำคัญของเรื่องนี้เอาไว้ได้ เมื่อความคิดวาบเข้ามาในสมองแล้ว ก็ทำให้นางฉุกคิดขึ้นมาได้ รีบลุกขึ้นยืนในทันที “เจ้ารู้จักสถานที่เช่นนั้น เหตุใดไม่รีบบอกให้เร็วเสียหน่อยเล่า” 


 


 


“บ่าวจะทราบได้อย่างไรเจ้าคะคุณหนูตามหาสถานที่เช่นนี้อยู่…” ใบหน้าของเจาเอ๋อร์เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด 


 


 


“เอาเถิด” อวี้อาเหราถอนหายใจออกมา สายตาพลันวาบสว่างขึ้น มองไปยังเจาเอ๋อร์ด้วยสายตาคาดคั้น ถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “แต่ว่าเจ้าก็เป็นสาวใช้ข้างกายข้า เหตุใดถึงได้รู้เรื่องราวมากมายถึงเพียงนี้?” 


 


 


เจาเอ๋อร์นิ่งงันไป แล้วจึงเอ่ยปากขึ้นอธิบาย “ในเมื่อบ่าวอยู่ในจวนหลิงอ๋อง ก็ต้องรู้เห็นมากกว่าผู้อื่นเป็นธรรมดา เรื่องนี้ได้ยินบรรดาสาวใช้ในจวนคุยกันน่ะเจ้าค่ะ” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 266 แอบฟัง 


 


 


 


 


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” อวี้อาเหรายกยิ้มอย่างพอใจ 


 


 


“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์จึงรีบร้อนพยักหน้าตอบรับ 


 


 


อวี้อาเหรากระแอมไอออกมา “ต่อไปหากเจ้าได้ยินอะไรมาอีกก็รีบมาบอกข้า เข้าใจหรือไม่” 


 


 


“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์ลังเลเล็กน้อย นี่คุณหนูของนางจะให้นางไปแอบฟังคนอื่นคุยกันอย่างนั้นหรือ 


 


 


“จริงสิ” อวี้อาเหราเพิ่งจะนั่งลง ทันใดนั้นก็นึกถึงปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้ “มุมเมืองตะวันตกอยู่ห่างจากที่นี่มากเท่าไร” 


 


 


“เมืองเฟิ่งเฉิงนั้นกว้างใหญ่นัก เพียงแค่ขี่ม้าไปก็ใช้เวลาเดินทางเป็นวันแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


“ขี่ม้าก็โจ่งแจ้งเกินไป ถ้านั่งรถม้าไปต้องใช้เวลานานเท่าไร” 


 


 


“น่าจะประมาณหนึ่งถึงสองวัน หรือหากเร็วหน่อยหนึ่งวันครึ่งก็ถึงเจ้าค่ะ” 


 


 


“นานเพียงนั้นเชียว” อวี้อาเหราก้มหน้าลงคิดอยู่นาน หากใช้เวลานานถึงหนึ่งวันครึ่งเช่นนี้ ไปกลับก็คงใช้เวลาถึงสามวันเข้าไปแล้ว นี่ก็นานเกินไปจริงๆ หลิงอ๋องนั้นหากไม่เห็นนางเพียงหนึ่งวันก็คงจะร้อนรน ในระหว่างนั้นยังต้องมีเวลารับประทานอาหารและเวลาพักผ่อน ทำให้ไปถึงตลาดมืดได้ช้ายิ่งไปอีก นับๆ ดูแล้วก็คงจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสี่ถึงห้าวันเลยทีเดียว 


 


 


หากนางไม่อยู่ในจวนนานถึงเพียงนั้น หลิงอ๋องก็จะไม่ออกตามหาไปทั่วเมืองเฟิ่งเฉิงเลยหรือไร 


 


 


แต่หากนางบอกออกไปตามตรงว่าอยากจะไปที่ตลาดมืด เขาก็คงจะไม่ยินยอมเป็นอย่างแน่ 


 


 


ยามนี้คิดอยากจะออกไปข้างนอกก็คงจะเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นมาเสียแล้ว 


 


 


อวี้อาเหราถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ แต่ในตลาดมืดนั้นก็ไม่แน่ว่านางอาจจะได้รับข่าวคราวของนักพรตก็เป็นได้ หากจะให้ยอมแพ้ก็คงจะไม่ใช่นิสัยของนาง คิดไปคิดมาเช่นนี้ นางก็คิดเสียจนหัวแทบจะระเบิด 


 


 


เจาเอ๋อร์เห็นนางมีท่าทีเป็นทุกข์ เช่นนั้นจึงออกความเห็นขึ้นว่า “ในเมื่อคุณหนูหาข้ออ้างออกไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ลองไปขอร้องเซิ่นซื่อจื่อดูสิเจ้าคะ หากเป็นเขา อย่างไรเสียท่านอ๋องก็คงจะยอมฟัง” 


 


 


“ไม่ได้” อวี้อาเหรารีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “สภาพของเขาในตอนนี้ แม้แต่ตัวเองยังดูแลไม่ได้เลย แล้วจะยังมีใจมาดูแลข้าได้อย่างไรกัน” 


 


 


“ถ้าเช่นนั้นควรจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ” 


 


 


“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” อวี้อาเหราคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี 


 


 


วิธีที่จะให้ตัวเองออกไปข้างนอกได้และให้หลิงอ๋องวางใจ ทำอย่างไรก็คิดไม่ออกแม้แต่น้อย 


 


 


หากเป็นเวลาปกตินั้นก็ยังสามารถไปหาฉู่ป๋ายเพื่อให้เขาช่วยนางได้ แต่ตอนนี้เขาที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น นางจะทำอย่างไรดี? 


 


 


คิดหาวิธีอย่างยากลำบากอยู่เนิ่นนาน นางก็เงยหน้าขึ้นในฉับพลัน “จริงสิ วันนี้จวินอู่เหินอยู่ที่จวนหรือไม่” 


 


 


“คุณหนูจะไปขอความช่วยเหลือจากท่านอ๋องน้อยหรือเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์เข้าใจขึ้นมาโดยพลัน 


 


 


“อืม” อวี้อาเหราพยักหน้าแล้วย่นคิ้ว “แต่เสด็จพ่อเหมือนจะไม่ค่อยชอบเขาเท่าไร เกรงว่าพอถึงตอนนั้นก็จะไม่เชื่อในคำพูดของจวินอู่เหิน คงจะต้องเสียเวลาเปล่าเป็นแน่” 


 


 


“นั่นก็จริง แต่บ่าวว่าคุณหนูลองดูสักหน่อยเถิด ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสามารถโน้มน้าวพระทัยของท่านอ๋องก็เป็นได้นะเจ้าคะ” 


 


 


“หากเป็นครั้งอื่นก็ยังพอว่า แต่เมื่อวานข้าเพิ่งก่อเรื่องไว้ คาดว่าอย่างไรเสด็จพ่อก็คงไม่วางพระทัยเป็นแน่” แม้ปากของอวี้อาเหราจะพูดออกมาเช่นนี้ แต่นางก็ยังพยักหน้าลง “แต่ว่าเจ้าก็พูดถูก ข้าควรจะลองดูก่อนถึงจะรู้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยอมก็ได้” 


 


 


“เจ้าค่ะ” ใบหน้าของเจาเอ๋อร์ปรากฏรอยยิ้มออกมา 


 


 


ตอนนี้นางไม่กล้าที่จะเกลี้ยกล่อมอะไรคุณหนูของตนอีก ถึงต่อให้เกลี้ยกล่อมไปนางก็คงแอบทำอยู่ดี เมื่อเทียบกับปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นแล้ว ก็มิสู้นางคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง หากไม่ใช่เพราะว่าเมื่อวานนางเพิ่งถูกคนจับตัวไป วันนี้นางก็คงไม่มีทางเห็นด้วยแน่ 


 


 


อาศัยช่วงเวลานี้ที่ยังเช้าอยู่ อวี้อาเหราและเจาเอ๋อร์ก็รีบไปยังจวนหนานหยางอ๋องทันที  


 


 


เมื่อพบจวินอู๋เหินแล้ว นางก็บอกเล่าถึงความตั้งใจของตัวเอง อีกฝ่ายนั้นตกปากรับคำในทันที แต่ก็มีความกังวลในข้อเดียวกันกับนาง “เสด็จพ่อของเจ้าไม่ค่อยชอบข้า หากข้าพูดย่อมไม่เชื่อเป็นธรรมดา” 


 


 


“ข้ารู้ แต่เจ้าก็ลองดูสักครั้งเถิด” อวี้อาเหราเลิกคิ้ว “เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่”  

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม