ระบบร้านค้าออนไลน์ 259-265
TB:บทที่ 259 สิ่งนั้น
ประการแรกคือการปิดกั้นทางเศรษฐกิจ ประเทศที่นำโดยสหรัฐเริ่มจะปฎิเสธการค้ากับจีน
หากวิธีนี้ใช้การก่อนที่ “นิวเวิร์ล” จะออกมาละก็ อาจจะเกิดผลกระทบอย่างยิ่งยวดต่อโรงงานจำนวนมากในจีน ขนาดที่มีการปิดโรงงาน จำนวนคนตกงานที่มากมาย และอื่นๆตามมา
อย่างไรเสียหลังจากที่บริษัทเว่ยหลงและ “นิวเวิร์ล” ปรากฏมา ปรากฏการณ์นี้ได้พัฒนาขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ รัฐบาลจะให้เงินสมทบทุนถึงสองพันหยวนต่อเดือนให้เหล่าคนงานที่ไม่มีงานทำเนื่องจากการปิดกั้นทางเศรษฐกิจ แล้วจะสนับสนุนพวกเขาให้เข้า“นิวเวิร์ล”และมุ่งพัฒนาความสามารถของพวกเขา
พวกคนที่ตกงาน เมื่อเลิกจ้างงานแล้ว แม้จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐ แล้วได้ทั้งเงินและได้เล่นเกมส์ โดยปกติแล้วคงไม่มีคำบ่นใดๆ แม้จะมีผลกระทบมาก แต่คงไม่มีทางอื่นให้ทำแล้ว
ในตอนนี้ เหล่าคนต่างชาติที่มาโจมตีประเทศของพวกเขานั้น ตอนนี้ใครที่กล้าจะมาก่อปัญหาจะต้องตายด้วยน้ำมือคนจีนแน่ๆ
เขาทำอะไรไม่ได้ แน่สิ เหล่าเจ้าสัวทำได้เพียงแค่เจือจุนประเทศเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขารู้ว่าการปิดกั้นคงทำไม่ได้ตลอดไป
สุดท้ายแล้ว การปิดกั้นทางเศรษฐกิจคือดาบสองคม วิธีการนี้จะทำร้ายจีนได้พอๆกับทำร้ายสหรัฐเอง ยิ่งไปกว่านั้นแล้วความต้องการประเทศจีนในชีวิตประจำวันก็จำเป็นต่อทั้งโลก หากว่าของราคาถูกจากจีนไม่อาจจะนำเข้าได้ ราคาของสิ่งต่างๆในหลายประเทศจะต้องสูงขึ้น ประเทศเหล่านั้นคงเจอความลำบาก
เนื่องจากวิธีที่ประเทศเหล่านั้นใช้ มาลองดูสิว่าประเทศใดจะไปได้สักกี่น้ำ
อีกอย่างหนึ่งคือบริษัทได้เดินเกมอย่างรุนแรงเพื่อจะปิด “นิวเวิร์ล” อันเก่าของประเทศต่างๆที่ยึดถือตามสหรัฐ
ในตอนนั้นเองที่“นิวเวิร์ล”แทบจะกลายเป็นโลกอีกใบของมนุษยชาติ ที่ถ้าหากไม่ได้เข้าเล่นในทันที แล้วจะเป็นเรื่องใหญ่
ในเวลาต่อมา ชาวต่างชาติคงรู้ว่าประเทศพวกตนเองที่ไปปิดกั้นเศรษฐกิจของจีน และมีเป้าหมายคือการจะครอบครอบ“นิวเวิร์ล”ของเว่ยหลงเทคโนโลยี แม้ว่าการใช้งานเพื่อพัฒนาศักยภาพทางกายจะทรงพลังมากก็ตาม แต่คงไม่ถูกจริยธรรมนักหากจะเอามาครองเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่ในตอนนี้เล่นเกมนั้นไม่ได้
จากนั้นหลากประเทศได้ปรากฏตัวในอีเวนท์เกม เช่นเดียวกันประกาศให้ผู้มีอำนาจถอยลงจากอำนาจ
ประเทศในตะวันตกให้ความสนใจกับสิทธิมนุษย์และเสรีภาพ เหล่าพวกที่มีอำนาจสามารถจะทำต่อไปได้หากไม่มีผลกระทบใด หากว่ามีผลกระทบแล้ว พวกเขาคงต้องลงจากอำนาจ
สถานการณ์ดังกล่าวดำเนินไปกว่าสามเดือน ในที่สุดสหรัฐอเมริกาก็ไม่อาจทนจะปิดกั้นทางเศรษฐกิจต่อไปได้อีก สุดท้ายแล้ว อิทธิพลของ“นิวเวิร์ล”ก็มากเกินไป
ทางฝั่งจีนดูจะไม่มีปัญหาใด แต่ทางฝั่งนั้นยังจะมีการโค่นอำนาจอยู่ พวกเขาทำได้เพียงหาทางออกร่วมกันเท่านั้น
สำหรับอเมริกันหัวเก่าผู้อ่อนแอแล้วรัฐบาลจีนปฏิบัติกับพวกเขาอย่างสุภาพ หากว่าพวกเขาต้องการจะประนีประนอม พวกนั้นควรจะชดเชยค่าเสียหายทางเศรษฐกิจของสามเดือนที่ผ่านมาเสียก่อน ค่าทดแทนนั้นเป็นเงินจำนวนมากเสียด้วย และหลังจากนั้น พวกนั้นต้องแถลงการขอโทษและต้องทำการขอโทษที่ทำการปิดกั้นทางเศรษฐกิจอย่างจริงใจด้วย
การจะให้เงินทดแทนนั้นคงไม่มีอะไรมาก แต่คงเป็นการยากสำหรับพวกอเมริกันที่จะแถลงการขอโทษต่อสาธารณะ
หลังจากที่คุยกันต่อไปแล้ว รัฐบาลจีนจะเต็มใจขายอุปกรณ์เล่นนิวเวิร์ลให้พวกเขา
เนื่องจากจีนให้วิธีการไปแล้ว เป็นธรรมดาที่อเมริกาจะทำตาม อีกทั้งพวกเขาคงทำได้โดยไม่ต้องเสียเงินหรือขอโทษอีกด้วย
การขายอุปกรณ์นิวเวิร์ลทำให้พวกนั้นได้หน้าเล็กน้อย และเช่นเดียวกันนั้น พวกเขายังกล่าวได้ด้วยว่าความพยายามก่อให้ประสบผลสำเร็จไปบ้างแล้ว ไม่ใช่ว่านี่เป็นการขายอุปกรณ์หรือ เพราะไม่มีอุปกรณ์ให้ขายแล้วในจีน
อย่างไรเสียนี่เป็นแค่การหลอกลวงตัวเอง ทุกๆคนรู้หมดว่าการขายอุปกรณ์มีแต่จะทำให้จีนทำเงินได้มากกว่าเดิม
มีเพียงพวกอเมริกันหัวเก่าที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ พวกนั้นจะต้องมีแผนการตามมาแน่ๆ
เฉินหลงและจี้โม่ซีคุยกันมาสามสี่ชั่วโมงแล้ว เมื่อคิดได้ว่านี่คือเวลาเที่ยงคืนใน “เมืองแห่งหมอก” จี้โม่ซีทำได้แค่บอกเฉินหลงให้กลับบ้านไวๆเท่านั้น แล้วเขาจึงปิดวิดีโอไปอย่างไม่เต็มใจนัก
ถึงแม้ว่าจี้โม่ซีจะไม่รู้จักกองกำลังแปลกประหลาดในโลกแห่งความจริงที่มีในตอนนี้เพราะการเกิดขึ้นของ “นิวเวิร์ล” ก็ตาม
หลังจากที่วางสายกับจี้โม่ซีแล้ว เฉินหลงโทรไปหาครอบครัวเขา เมื่อครอบครับเฉินหลงได้ยินว่าเขากลับมาแล้ว ครอบครัวของเฉินหลงก็ลิงโลด สุดท้ายแล้วก่อนที่เฉินหลงจะหายตัวไป เขาบอกไปแค่พวกเจิ้งอี้เท่านั้น จากนั้นก็ไม่มีข่าวใดอีกเลย เมื่อได้รู้เรื่องที่ว่าเฉินหลงกลับมาแล้ว ครอบครัวของเขาจึงบอกให้เขารีบกลับมา
หลังจากที่ได้คุยกับครอบครัวอีกครั้งแล้ว เฉินหลงได้หลับเป็นครั้งแรกในโรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่งที่หลังจาก จากโลกไปนานถึง 2 ปี
เมื่อได้นอนในโรงแรมเล็กๆแล้ว เฉินหลงเห็นมนุษย์หมาป่าและปิศาจในชุดคลุมสีดำอยู่ในป่าหลังเก่าใกล้กับแม่น้ำเทมส์ที่ “เมืองหลวงแห่งหมอก” อันเก่าแก่
ในบ้านหลังเก่า ในห้องที่ไร้แสงไฟ มนุษย์หมาป่าที่เฉินหลงเห็นนอนแผ่หลาบนเตียง มันมีแผลบาดเจ็บจากแสงศักดิ์สิทธิ์ที่บาทหลวงวาติกันฝากไว้ที่ แผลคงแผดเผา
“วาติกัน รอฉันก่อนนะ ฉันจะฆ่าพวกแกให้หมด” มนุษย์หมาป่ากัดฟันขณะที่ทนความแสบร้อนจากแสงศักดิ์สิทธิ
ข้างๆมนุษย์หมาป่า มีชายที่ซ่อนตัวเองในชุดคลุมพ่อมดสีดำ มีเพียงดวงตาสีเขียวที่โผล่พ้นเสื้อคลุมออกมา เขากล่าวด้วยเสียงอันเบา “โอคลีย์ พลังของนายไม่ใช่คู่มือของพวกผู้พิพากษาเลยแม้แต่น้อย คงจะดีกว่าหากนายจะพัฒนาพลัง ตอนนี้ฉันคงช่วยนายไม่ได้หากนายไม่ได้เป็นมนุษย์หมาป่าชั้นสูงที่หาได้ยากแบบนี้ แผนการของกองกำลังแห่งความมืดในตอนนี้คือการพัฒนาเหล่าศิษย์และถนอมสุขภาพของพวกเขา ใช่แล้วล่ะ คำสุภาษิตของจีนช่างครอบคลุมและลึกซึ้ง ตราบใดที่แผนการของเราสมบูรณ์ พวกเราจะย่ำเหยียบพวกวาติกันและเหล่าผู้พิพากษาพวกนั้น”
“ลอร์ดเจอร์กัส โอคลีย์รู้นะว่าโอคลีย์ไม่อาจจะประมาทได้แล้ว” โอคลีย์พยักหน้า
เจอร์กัสมองโอคลีย์ด้วยความพึงพอใจ แสงสีดำพลันปรากฏขึ้นมาในมือเขา แล้วเขาก็กดลงไปบนอกของโอคลีย์
แสงสีดำค่อยๆดับไปในแสงศักดิ์สิทธิที่แผดเผาโอคลีย์อยู่
แสงนั่นดับไป และสีหน้าอันเจ็บปวดของโอคลีย์ก็หายไปอย่างเชื่องช้า
ตอนนั้นเองทีแสงจันทร์เต็มดวงจากหน้าต่างของบ้านหลังเก่าสาดเสี้ยวแสงเข้ามา ผาดบนอกของโอคลีย์ ผิวหนังที่เดิมมีบาดแผลพลันฟื้นฟูกลับมาด้วยความไวที่ไม่อาจเห็นได้ด้วยตา
ไม่นาน โอคลีย์ก็ฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บ
เมื่อเห็นว่าความเจ็บปวดของโอคลีย์ฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว เจอร์กัสอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
“มนุษย์หมาป่าเลือดบริสุทธิ์นั้นสมควรกับความรักใคร่ของเทพจันทรา เลยสามารถจะรับคำอวยพรจากเทพเจ้าแห่งจันทราได้ คงจะเยี่ยมไปเลย หากว่าความสามารถนี้จะมาเป็นของฉัน แต่หากว่าเรื่องนี้เจรจาได้ พลังของฉันคงเพิ่มขึ้นมากๆ แล้วสภาแห่งความมืดคงแข็งแกร่งยิ่งกว่าวาติกัน” เมื่อครุ่นคิดเรื่องนี้แล้ว บนใบหน้าเขาจึงมีความคาดหวังปรากฏขึ้น
TB:บทที่ 260 คดีต่างๆ
สภาแห่งความมืดและโบสถ์แห่งแสงเป็นศัตรูกันเสมอมา ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝั่งเป็นดั่งฝ่ายตรงข้าม เหมือนจีนกับวิถีปิศาจ
ยิ่งไปกว่านั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายยังแย่ยิ่งกว่าความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายขวาและวิถีปิศาจในประเทศจีน พวกเขาเพียงแค่มีคติที่แตกต่างกัน แต่ในที่สุดแล้วพวกเขาก็เป็นชนชาติเดียวกันอยู่ดี ความสัมพันธ์ที่ว่าของสภาแห่งความมืดและโบสถ์แห่งแสงไม่เคยจางหายไปเมื่อพวกเขาพบปะ เนื่องจากพวกของสภาแห่งความมืดต่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ร่วงหล่น อย่างมนุษย์หมาป่าและแวมไพร์ที่ช่างน่ารังเกียจในสายตาของโบสถ์แห่งแสง
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะต้องชะล้างให้บริสุทธิ์ภายใต้แสงสว่างแห่งพระผู้เป็นเจ้าเสียก่อน
เรื่องราวของทั้งสองฝ่ายนี้ดำเนินอยู่เป็นระยะเวลาที่ยาวนานแล้ว โดยมากฝ่ายที่มีอำนาจกว่าคือโบสถ์แห่งแสง ท้ายที่สุดแล้วโบสถ์แห่งแสงก็เป็นตัวแทนแห่งแสงสว่าง ในขณะเดียวกันนั้น กิจการเผยแพร่ศาสนาของฝ่ายโบสถ์แห่งแสงยังขยายไปอย่างมากอีกด้วย แต่คำสอนกลับยังมีความกลับกรอกอยู่ การล้างสมองสาธารณชนสามารถจะก้าวข้ามวิธีการที่ไร้ธรรมะของสภาแห่งความมืดได้อย่างสมบูรณ์
ในความเป็นจริงแล้ว วิธีการของโบสถ์แห่งแสงเองก็ไร้ศีลธรรมเช่นกัน เพียงแต่ฝ่ายเขารู้ว่าควรปิดบังไว้อย่างไร
ถึงกระนั้น เฉินหลงไม่รู้เรื่องนี้ และแม้เขาจะรู้ก็ตาม แต่เขาคงไม่ต้องการจะมาจัดการเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ อย่างไรเสีย เรื่องบางเรื่องนั้นไม่อาจจะหลบเลี่ยงได้หากเขาต้องการจะเป็นผู้นำ
ในตอนที่เฉินหลงพักผ่านอยู่ในโรงแรมเล็กๆนั้นเอง ตำรวจใน “เมืองแห่งหมอก” ต่างทราบเรื่องคดีฆาตกรรมในตรอกแห่งหนึ่ง
ไม่นานต่อมาตรอกนั้นต้องปิดไป
เมื่อเหล่าตำรวจใน “เมืองแห่งหมอก” ได้เห็นเศษชิ้นส่วนศพในตรอกนั้น พวกเขาไม่อาจหยุดความคลื่นไส้ในท้องได้เลย พวกเขาไม่จำเป็นต้องดูสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม พวกเขาไม่ได้เห็นศพ แต่ทว่าศพกลายเป็นชิ้นส่วนไปเพียงไม่นานมานี้ พวกตำรวจไม่คุ้นชินกับสิ่งที่เกิดเลย
“หัวคน นี่น่าจะเป็นหัวที่ห้าแล้วนะ” ชายหนุ่มหน้าตาดีอายุประมาณยี่สิบปีที่มีตาสีสว่าง ท่าทางฉลาดหลักแหลม กล่าวกับชายที่อายุราวสี่สิบปีที่รูปร่างอ้วนท้วมเล็กน้อย
อาการคลื่นเหียนที่นายตำรวจบางนายเป็น ไม่ได้เกิดขึ้นกับชายหนุ่ม
“ใช่แล้ว นี่คือรายที่ห้า จริงจังเลยนะ นี่คือครั้งแรกที่ฉันเจออะไรที่โหดร้ายและจองหองขนาดนี้ ในชีวิตสามสิบปีที่เป็นตำรวจมา ใครคือฆาตกรกัน” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วและกล่าวไป
ชายวัยกลางคนคนนี้คือ นีล ข่าน ผู้อำนวยการสำนักงานตำรวจใน “เมืองแห่งหมอก” หากจะว่าตามจริงแล้ว คดีฆาตกรรมนี้ยังไม่มีเบาะแสใดเลยในช่วงที่ผ่านมานี้ เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าอะไรคือแรงจูงใจในการก่อเหตุของฆาตกร ดังนั้นแล้วจึงเป็นการยากอย่างมากที่จะไขคดีและหาตัวฆาตกร อีกทั้งเนื่องจากคดีต่างๆเหล่านี้ข่านจึงเป็นกังวลว่าผมหยิกแบบคนเมดิเตอร์เรเนียนของเขาจะเหมือนคนเมดิเตอร์เรเนียนขึ้นไปอีก เพราะเขาเพิ่งไปทำมา
“ระบุอัตลักษณ์ของพวกวัยรุ่นได้แล้วครับ พวกนั้นคือแก็งอันธพาลในระแวกนั้น หัวโจกคือแดนนี่ ดาฮ์ล เขาเข้าสถานพินิจอยู่หลายครั้งเพราะไปทำร้ายผู้อื่น ในที่เกิดเหตุยังมีปืนพังๆที่ดูเหมือนโดนทำให้พังอยู่ด้วยและมีรอยนิ้วมือของแดนนี่อยู่” ชายหนุ่มกล่าวสิ่งที่รู้มาออกไป
“ไอ้เวรนั่น หรือคือคนที่โดนฆ่าในการปล้น” ความคิดข่านเริ่มเปลี่ยนไป
“ท่านครับ ดูเหมือนว่าคดีนี้จะกลายเป็นคดีเหนือธรรมชาติไปแล้ว” ชายหนุ่มหมดหนทาง
จริงๆแล้วเขามีคำตอบในใจ แต่เขาไม่ต้องการจะพูดออกมาจนกว่าเขาจะแน่ใจ
“เอาล่ะ จัดคดีนี้ไว้ในคดีเหนือธรรมชาติแล้วปล่อยเรื่องปวดหัวนี่ให้สก็อตแลนด์ยาร์ด จะว่าไปแล้ว อลัน นายอาจจะเข้าเอมไอซิกส์ไหม นายนี่เก่งสุดๆไปเลย ฉันไม่อยากจะเก็บความสามารถดีๆแบบนายให้จมอยู่นี่ ถ้านายอยากจะไปนะ ฉันจะเขียนจดหมายแนะนำตัวให้” ข่านจับผมหยักศกของตนและกล่าวกับหนุ่มน้อย อลัน
สำหรับแจ็ค อลันแล้ว ข่านมักจะเห็นคุณค่าหลายๆอย่างเสมอ อลันมีความสามารถที่โดดเด่น ทั้งกล้าหาญและมุ่งมั่น เขาไขคดีด้วยมือเขาเองมามากมาย ข่านสงสัยมาตลอดว่าเวทีแสดงความสามารถนี้จะเล็กไปหน่อยหรือเปล่า หากว่ามีเวทีที่ใหญ่กว่านี้ เขาคงจะเปล่งประกายได้สว่างกว่านี้
“ไม่หรอกครับ ผมคิดว่า ผมยังเรียนรู้งานจากท่านได้อีกมาก” อลันว่าไปอย่างจริงจัง
“ถ้าเป็นเช่นนั้น หากอยากจะไปแล้วก็บอกให้ฉันรู้นะ แล้วฉันจะแนะนำตัวให้” เมื่อได้ยินที่อลันบอกว่าเขาไม่ต้องการจะไป ข่านผิดหวังแต่ก็มีความสุขไปในเวลาเดียวกัน ในท้ายที่สุดแล้ว คนที่มีสามารถและเป็นคนดีคงหาไม่ได้ง่าย
“ขอบคุณครับ หัวหน้า” อลันว่า
หลังจากนั้นไม่นาน รถเบนท์ลีย์สีดำขับออกมาจากตรอก
และต่อมา ชายสามคนกับผู้หญิงคนหนึ่งได้ลงจากรถ
เมื่อพวกเข้าออกมาแล้ว พวกเขาก็เดินไปทางตรอกนั้น ทว่ามีตำรวจมาหยุดพวกเขาไว้
“ขอโทษด้วย ที่แห่งนี้ได้ปิดไปแล้ว โปรดอย่าเข้าไปเลยนะครับ”
“บอกหัวหน้าของพวกแกให้มาที่นี่” ชายหน้าตาหล่อเหลาอายุราวยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดปีเหลือบมองตำรวจอย่างหยิ่งยโส
เมื่อเห็นสายตาของชายคนนั้น ตำรวจอดจะรู้สึกถึงความกลัวไม่ได้ เขาเดินไปหาข่านโดยอัตโนมัติ
“หัวหน้าครับ มีคนสี่คนต้องการจะพบคุณครับ”
ได้ยินดังที่ว่า ข่านมองคนทั้งสี่ที่เดินมากับอลัน
“ผมนีลข่าน หัวหน้าสน.นี้ พวกคุณคือใครกันครับ” ข่านเดินเข้ามาหา เขากล่าวกับคนทั้งสี่
“ชื่อของผมคือกเวน ผมรับคำสั่งตรงจากฝ่าบาท คุณควรรู้นะว่าจุดที่คุณอยู่คือตรงไหน คุณไม่ต้องมายุ่งกับคดีที่นี่แล้ว พวกเราจะจัดการเอง พวกคุณไปจากที่นี่ได้แล้ว” กเวน ชายหนุ่มผู้หล่อเหลากล่าวกับข่าน
“ครับ ฝ่าบาท หากว่าท่านต้องการความช่วยเหลืออื่นใดจากพวกเราอีก โปรดบอกผมนะ” เมื่อได้ฟังที่กเวนว่า ข่านพลันนึกถึงอะไรบางอย่าง ท่าทีเขาเปลี่ยนเป็นนอบน้อมสุดๆในทันใด
“ไม่ละ ตอนนี้คุณแค่เอาคนของคุณออกไปก็พอ” กเวนพยักหน้าเบาๆ ท่าทีข่านทำให้เขาประทับใจ
จากนั้น ข่านรีบพาอลันออกไปและให้ลูกน้องเขาออกจากที่นั่นไป
ในขณะที่ข่านกำลังจะออกไปกับอลันนั่นเอง จู่ๆกเวนก็หันไปหาอลันและกล่าวว่า “รอช้าก่อน”
ข่านและอลันหยุดพร้อมกันและหันไปข้างหลัง
“ขอชื่อพวกคุณด้วย นะ” กเวนเดินไปหาอลัน เขาถามไป
“แจ็ค อลัน” อลันว่า
“เราจะได้พบกันอีก” เมื่อเขารู้ชื่อของอลัน กเวนหัวเราะใส่เขา และทิ้งข้อความแสนคลุมเครือไว้ เขาหันไปและเดินเข้าตรอกไปกับพวกพ้อง
คำพูดของกเวนทำให้ความคิดของอลันสับสน แต่ในใจเขามีความหวังอยู่
“เอาล่ะ ไปกัน เราไม่ได้คุมที่นี่แล้ว” ข่านตบบ่าอลันและกล่าวไป
สิ้นคำ ข่านขึ้นรถตำรวจของตน อลันมองกเวน เขาหันกลับไปขึ้นรถและขับออกไป
TB: บทที่ 261 ฮู อี้เต๋า
“กเวน นายพูดกับเด็กคนนั้นแบบนั้นได้อย่างไร หรือว่าเขาก็….” ผู้ที่มากับกเวนคนหนึ่งถามเขาอย่างสงสัยใคร่รู้
“ใช่ ฉันรู้สึกได้ ฉันว่าเราจะมีพวกพ้องดีๆอีกคนในอีกไม่นาน” ว่าด้วยรอยยิ้มที่งดงาม กเวนรู้เรื่องที่เพื่อนเขาพูด
“ฉันจะตั้งตารอเลย” ชายที่สูงและดูกำย่ำกล่าวกเวนที่พยักหน้าและมองไปทางที่ข่านและอลันออกไป
“ไปกันเถอะ ไปจัดการกับที่เกิดเหตุนี้กัน ช่วงนี้ที่พวกมนุษย์หมาป่ากล้าจะทำอะไรเช่นนี้ในเขตของพวกเรานี่ช่างบาดตาเสียจริง หากว่าพบเจอพวกมันนะ ฉันจะถลกหนังพวกมันออก” เมื่อกเวนกล่าวถึงเรื่องมนุษย์หมาป่า รอยยิ้มสง่างามบนใบหน้าเขาหายไป หลงเหลือเพียงความรังเกียจ
เป็นเวลานานมาแล้วที่หนังมนุษย์หมาป่าเป็นที่นิยมทั้งในหมู่โบสถ์แห่งแสงและอัศวินชั้นสูงเก่าแก่ หนังหมาป่าไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์แห่งพลัง แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งสถานะของพลังที่จะแขวนหนังมนุษย์หมาป่าในปราสาทหรือตกแต่งบนพื้นเบื้องหน้าบัลลังก์ได้
“การปรากฏของ “นิวเวิร์ล” ได้สร้างความวุ่นวายแก่ทุกสิ่ง กล่าวกันว่า “นิวเวิร์ล” ของประเทศจีนสามารถเพิ่มพลังกายให้ผู้คนได้ ในช่วงปีมานี้พลังของคนบางคนที่เคยเป็นคนธรรมดาได้กลายมาเป็นระดับปรมาจารย์ได้จริงๆ ฉันได้คำยืนยันมาจากทุกที่ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แม้ว่าจำนวนของคนเหล่านี้จะมีไม่มาก แต่เทียบจากประชากรของจีนแล้วก็ถือว่ามีอยู่ ถ้าเราให้เวลาคนพวกนั้นพัฒนา คงจะร้ายกาจเลยทีเดียว หากจำเป็นเราควรจะหยุดยั้งพวกเขาดีกว่า ไม่เช่นนั้น ด้วยความช่วยเหลือบริษัทเว่ยหลงและยอดมนุษย์ระดับชาติ ในไม่กี่ปีนี้ จีนคงเหยียบย่ำโลกนี้ได้” ในหมู่คนทั้งสี่ คนที่มีรูปลักษณ์เจ้าเสน่ห์ มีส่วนเว้าส่วนโค้ง และเป็นเหมือนหุ่นขี้ผึ้ง เขาอายุยี่สิบเอ็ดถึงยี่สิบสองปี สีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นไป พลังของเราจัดการพวกมนุษย์หมาป่าและแวมไพร์อ่อนแอพวกนั้นได้อยู่แล้ว หากว่าเราไปยังจีน พวกเราฆ่าพวกนั้นง่ายๆได้ตั้งมากมาย เพราะพวกเราจะมีคำอวยพรจากจอกศักดิ์สิทธิ พลังของเราสามารถไปถึงระดับที่แข็งแรงมากๆได้ถึงพลังของเราเองจะไม่แข็งแกร่งก็เถอะ ดังนั้นในตอนนี้เราคงยังไม่ต้องไปยุ่งให้มากความ ฉันเชื่อว่าอาเธอร์คงคิดเหมือนกัน ในตอนนี้เราแค่ต้องปกป้องอังกฤษไว้ อีกอย่างนะในสายตาของโบสถ์แห่งแสง พวกนั้นเป็นสิ่งอัปมงคล พวกโบสถ์แห่งแสงคงพยายามจะหยุดยั้งพวกนั้นไว้ ในตอนนี้พวกเราคงต้องดูละครกันไป คงเป็นเรื่องดีหากเราเอา “นิวเวิร์ล” มาจากจีนได้” กเวนครุ่นคิดแล้วจึงพูดออกมา
แม้เขาจะไม่เคยไปจีนก็ตาม แต่เขาได้รู้ข้อมูลบางอย่างมาจากเบาะแส อย่างเรื่องที่นิวเวิร์ลเพิ่งปล่อยออกมาขาย คนที่แข็งแกร่งผู้โด่งดังหลายคนไปจีนและไม่กลับมาอีก นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่ได้บรรลุจุดหมาย เมื่อได้ยินคำของกเวน พวกพ้องเขาทั้งสามไม่มีใครพูดสิ่งใดอีก
จากนั้น คนทั้งสี่จึงเข้าตรอกไป
ตอนที่ได้เห็นความเสียหายของสถานที่ตรงหน้า ใบหน้าของทั้งสี่เปลี่ยนไป
ต่อมา ชายตัวสูงเดินเข้าไปในตรอกและตรวจค้นอย่างระมัดระวัง
“มนุษย์หมาป่าฆ่าคนเหล่านี้ หัวใจของพวกวัยรุ่นคนหนึ่งโดนเอาไปด้วย อีกอย่างหนึ่งคือมีร่องรอยของความศักดิ์สิทธิแห่งโบสถ์แห่งแสง หากตัดสินจากกลิ่นอายที่ตกค้างอยู่ของแสงศักดิ์สิทธิ น่าจะเป็นความศักดิ์สิทธิระดับกลาง พระเจ้ายิงพลังออกไปจากตรงนั้น แล้วมนุษย์หมาป่าก็บาดเจ็บและล้มพับลงตรงนี้ จากนั้นคนของสภาแห่งความมืดก็ออกมาช่วยมนุษย์หมาป่าไป” จากนั้นแล้ว ถ้าว่าตามเบาะแสเล็กๆน้อยในตรอกที่คงไม่พบหากไม่มองดูอย่างรอบคอบ ชายคนนั้นคล้ายกับได้มองดูสถานที่เกิดเหตุ ณ เวลาที่เกิดขึ้น เขาบอกสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นฉากๆ
“เยี่ยม จัดการสถานที่เกิดเหตุไปละแล้วเราจะกลับมา” เนื่องจากเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับสภาแห่งความมืดและโบสถ์แห่งแสง เรื่องนี้คงทำได้เพียงปัดไปก่อน เพราะเกินการควบคุมของพวกเขาไป
ในตอนนั้นเอง เขาไม่ได้กล่าวอะไร ชายที่มีผมสีแดงพลันดีดนิ้ว แล้วเปลวไฟก็โหมขึ้นมา ชิ้นส่วนศพโดนเผาไปในทันที ต่อมาเลือดเนื้อในตรอกนั้นก็เผาไหม้ไปจนหมด รอยสีดำเป็นเพียงสิ่งเดียวที่หลงเหลือไว้
จากนั้น พวกกเวนทั้งสี่คนก็ขึ้นเบนท์ลีย์และออกไป
แล้วความสงบสุขจึงคืนกลับมาสู้เมืองเก่านี้อีกครั้ง
วันต่อมา เฉินหลงตื่นขึ้น เขานอนหลับที่โลกเป็นครั้งแรกในเวลามากกว่าสองปี นั่นทำให้เขารู้สึกสบายเสียจริง
สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้น เฉินหลงได้ลืมไปแล้ว
เมื่ออาบน้ำเสร็จ เฉินหลงออกจากโรงแรมไปและไปยังสนามบิน นี่เป็นเวลากลับบ้านแล้ว
สองสามชั่วโมงต่อมา เสียงประกาศเรียกเฉินหลงให้ขึ้นเครื่องกลับไปยังประเทศจีน
ด้วยความสามารถของระบบอัจฉริยะ เฉินหลงจึงไม่มีปัญหาในการขึ้นเครื่อง
เมื่อขึ้นเครื่องไปแล้ว เฉินหลงพบว่าผู้โดยสารแทบทั้งหมดบนเครื่องสวมอุปกรณ์สวมหัวของ “นิวเวิร์ล” ดูเหมือนว่า “นิวเวิร์ล” จะกลายมาเป็นโลกอีกใบจริงๆเสียแล้ว แต่อย่างไรเสียเมื่อเฉินหลงขึ้นเครื่องไป ผู้โดยสารต่างชาติบางคนก็มองเฉินหลงด้วยสายตาสงสัย
มีคนหกคนในที่นั่งชั้นหนึ่ง
“สวัสดีพี่ชาย นายมาจากจีนหรือ” ในหมู่คนเหล่านั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ใบหน้าเอเชียถามเฉินหลงในภาษาจีนสำเนียงทางใต้
“ใช่แล้ว” เฉินหลงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินภาษาจีนในเวลามากกว่าสองปี แม้ว่าจะไม่ใช่ภาษากลาง แต่นี่ก็ทำให้เฉินหลงรู้สึกมีชีวิตชีวา
ในตอนนั้นเองที่ผู้โดยสารต่างชาติหลายคนได้ยินว่าเฉินหลงเป็นคนจีน ใบหน้าของพวกเขาพลันเผยความอิจฉาริษยาออกมา ตอนนี้จีนแผ่นดินใหญ่กลายมาเป็นจุดสนใจของทั้งโลก ผู้คนยังไม่รู้จักภาษาจีนแบบหนึ่งหรือสองประโยค โดยเฉพาะคำง่ายๆอย่างสวัสดีหรืออะไรแบบนั้น หากว่าไม่ได้เป็นคนที่มาจากจีน
“พี่ชาย ตอนนี้พี่ชายมีพลังถึงระดับไหนแล้ว” ชายคนนั้นเห็นว่าเฉินหลงยอมรับว่าเขามาจากเมืองจีนแล้ว จึงถามออกไปอย่างตื่นเต้น
ในเวลานั้นเอง “นิวเวิร์ล” ของทั้งโลก มีเพียง “นิวเวิร์ล” ของประเทศจีนที่สามารถจะพัฒนาพละกำลังของผู้ใช้ได้ “นิวเวิร์ล” แบ่งระดับพลังกายเป็นระดับหนึ่งถึงระดับสิบสอง เช่นเดียวกับระดับหัวกะทิไปจนถึงระดับปรมาจารย์แห่งดวงดาว ทำให้เมื่อคนจากจีนมาเจอกันแล้ว พวกเขาจะถามถึงระดับพลังที่มี พวกชาวต่างชาติจึงได้แต่อิจฉาริษยาคนจากจีน
“ระดับสาม” เฉินหลงไม่อยากจะทำให้เขากลัว เขาเลยบอกว่าเขามีพลังระดับไม่สูง
“โห้ พี่ชาย พี่เล่นเกมนี่เก่งเสียจริง ผมเป็นแค่ระดับสองเอง จะว่าไปแล้ว ผมชื่อฮูอี้เต๋านะ นี่ไม่ใช่ชื่อในอินเทอร์เน็ต ชื่อผมคือฮูอี้เต๋าจริงๆ พ่อของผมเป็นแฟนคลับพวกนักศิลปะการต่อสู้ และชื่อตระกูลผมคือฮู เขาเลยตั้งชื่อผมว่าฮูอี้เต๋า” เมื่อฮูอี้เต๋าบอกชื่อเขา เขากลัวว่าเฉินหลงจะไม่เชื่อเขา เขาจึงอธิบายไปให้เฉินหลงฟัง และกล่าวจนสีหน้าเฉินหลงดูงุนงง
TB:บทที่ 262 มังกรของผู้คน
“น้องฮู ชื่อนี่ช่างเยี่ยมจริง ตอนนี้นายมีนิวเวิร์ลแล้ว บางทีนายคงเป็นเซียนที่ยิ่งใหญ่ก็ได้นะ” เฉินหลงมองฮูอี้เต๋าด้วยความนึกขำ
“เซียนที่ยิ่งใหญ่หรือ ผมอยากเป็นจัง แต่ผมรู้ตัวดี นี่ก็นานมาแล้ว ผมยังเป็นแค่ระดับสอง คงยากหากจะทำเกินตัว จริงๆนะผมละอิจฉาพวกชาวต่างชาติที่มีอุปกรณ์ให้ซื้อ” ในที่สุดฮูอี้เต๋าก็ลดเสียงเขาให้เบา
ช่วยไม่ได้ หากประเทศที่เก่าแก่รู้ว่าจีนที่ยิ่งใหญ่อิจฉาพวกตน พวกเขาคงขำจนฟันหัก
““นิวเวิร์ล” ของเราไม่ได้ขายอุปกรณ์ เกมนี้ต้องการให้เราพัฒนาพละกำลังด้วยความพยายามของพวกเราเอง ด้วยวิธีการนี้ พวกเราจะพัฒนาสุขภาพของเรา นายไม่รู้ถึงผลดีนี้หรือไง” เมื่อมองจากความคิดของเฉินหลง คงไม่มีอะไรที่เป็นปัญหากับพวกชาวต่างชาติพวกนั้น
“พี่ชาย ผมรู้ว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเรา ตอนนี้ผมอยู่ในระดับสองกำลังกายก็เทียบได้กับพวกนักกีฬามืออาชีพ แต่อย่างไรแล้วผมรู้สึกยากลำบากที่ต้องขึ้นไปฆ่าพวกสัตว์กลายพันธุ์และลูกของพวกมันในนิวเวิร์ลอยู่นะ ผลที่เกิดคือพวกมันทำร้ายผมจนผมร้องไห้ ผมเลยต้องการจะพัฒนาพละกำลังของผมเพื่อจะจัดการมันกลับ” ฮูอี้เต๋ามีสายตาที่อับอาย
“เช่นนั้น “นิวเวิร์ล” จึงสร้างมาเพื่อยกระดับพละกำลังของพวกเราเอง สิ่งที่มีค่าของเกมนี้ทั้งหมดเป็นสิ่งจริงแท้ ฉะนั้นไม่ต้องไปคิดเรื่องนี้ให้มากมาย จงจำไว้ว่า “กำลังกาย” เป็นสิ่งที่ต้องฝึกให้มากกว่าเดิม เพื่อว่าพละกำลังจะเพิ่มขึ้นไปได้เรื่อยๆ ในทันทีที่พลังเพิ่มมากขึ้น นายจะอัดพวกสัตว์กลายพันธุ์ด้วยกำลังของนายเอง อีกอย่างนะ ฉันเชื่อว่านักกีฬาที่นายว่ามาก็ใช้ “นิวเวิร์ล” ด้วย ฉันคิดว่าโอลิมปิกในอีกสองปีนี้ จีนจะจ้องครองเหรียญทั้งหมดและทำให้พวกชาวต่างชาติที่มาแข่งได้ที่สี่ไป” เฉินหลงเต็มเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ
เฉินหลงพูดถูกแล้ว ในเวลาเพียงปีเดียว “นิวเวิร์ล” สามารถจะยกให้คนธรรมดาสามัญอย่างฮูอี้เต๋ามีพลังระดับสองได้ สำหรับพวกนักกีฬาอาชีพแล้ว เขากลัวความอุตสาหะของพวกนั้นจะมีการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ ในตอนนั้น เมื่อสองปีผ่านไป ไม่มีประเทศใดจะชนะเหรียญในการแข่งขันโอลิมปิกได้
“พี่ชาย พี่พูดถูกจริงๆว่าประเทศอื่นคงทำได้แค่มาเรียนรู้เป็นเพื่อนเจ้าชายน่ะ” หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเฉินหลงแล้ว สมองของฮูอี้เต๋าปะติดปะต่อภาพ แล้วเขารู้สึกตื่นเต้นในทันที
ในขณะนั้นเอง เสียงประกาศบนเครื่องก็ดังขึ้น เครื่องบินกำลังจะบินขึ้นจากพื้น โปรดคาดเข็มขัด
เฉินหลงยิ้มให้ฮูอี้เต๋าและนั่งในที่ของเขา
ฮูอี้เต๋าสามารถจะนั่งในที่นั่งของเขาได้และรอให้เครื่องบินบินออกไป แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้นเขาคุยกันเฉินหลง
อย่างไรก็ตาม ด้วยความผิดหวังของฮูอี้เต๋า ที่เมื่อเครื่องบินออกไปแล้ว เฉินหลงหยิบอุปกรณ์สวมหัวของ “นิวเวิร์ล” ออกมาและเข้านิวเวิร์ลไป
ไม่มีทางเลย สำหรับความผิดหวังของเขา ฮูอี้เต๋าสวมอุปกรณ์สวมหัวและเข้า “นิวเวิร์ล” ไป
หลังจากที่เฉินหลงเข้า “นิวเวิร์ล” แล้ว เขาพบว่า “นิวเวิร์ล”ที่เขาไม่ได้เห็นมาสองปีกลับเปลี่ยนแปลงไปหมด แม้เฉินหลงจะเข้า “นิวเวิร์ล” ได้ ตอนที่เขาอยู่ใน “อาณาจักรคุนหลุน” แต่ก็เป็นเพียงระบบเครื่องมือชิ้นเดียว เฉินหลงเล่นคนเดียว เขาไม่รู้ว่า “นิวเวิร์ล” บนโลกเป็นอย่างไร
การเข้า “นิวเวิร์ล” ไปในครั้งนี้ เฉินหลงพบว่าสถานที่ต่างๆเริ่มจะสร้างฐานทัพในนิวเวิร์ล นี่ทำให้คนจำนวนมากรอดชีวิตใน “นิวเวิร์ล” ได้
ขณะนี้ “นิวเวิร์ล” ได้ออกขายมาสองปีแล้ว แม้หากจะเริ่มเป็นที่นิยมและมีการอัพเกรดไปเมื่อปีก่อน แต่พลังของผู้เล่นในจีนโดยทั่วไปแล้วมีระดับสอง ส่วนผู้เล่นที่แข็งแกร่งคนอื่นมีพลังระดับสาม อย่างไรเสีย ผู้เล่นที่แข็งแกร่งเรียบร้อยแล้วต่างแข็งแกร่งขึ้นเพราะนิวเวิร์ล
แล้วฐานทัพเหล่านี้ก็สร้างขึ้นโดยพวกผู้แข็งแกร่ง
เมื่อได้ดูผู้เล่นต่างๆในนิวเวิร์ลเป็นเวลามากกว่าสามชั่วโมงแล้ว เฉินหลงจึงออกจากนิวเวิร์ลไป
สิ่งที่เฉินหลงมองดูภายในเวลาสามชั่วโมงนั้น คือพวกผู้เล่นที่ต้องการเอาชนะเสียมากๆ พวกเขาจัดการฆ่าสัตว์กลายพันธุ์ร่วมกันไปเรื่อยๆ เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ทำแล้วพวกเขาจะพยายามพัฒนาพลังของตน
นี่เป็นเพียงผู้เล่นธรรมดา ทหารที่รัฐควบคุมนั้นเชื่อว่าพลังในการรบจะยิ่งแข็งแกร่งกว่านี้ แม้ว่า “นิวเวิร์ล” จะใหญ่โตมาก แต่เฉินหลงคิดว่าในอีกสองปีข้างหน้า พวกเขาจะมาร่วมกันได้แน่ๆ
หลังจากที่เฉินหลงออกจาก “นิวเวิร์ล” ไป เขาพบว่า ฮูอี้เต๋าได้เข้าไปในนิวเวิร์ล
ถึงกระนั้น หลังจากที่ออกจาก “นิวเวิร์ล” มาแล้ว เฉินหลงไม่ได้ต้องการจะเข้าไปใหม่อีกครั้ง จะว่าไปแล้ว “นิวเวิร์ล” มีผลกับพลังเขาเพียงเล็กน้อย
เฉินหลงมองออกไปสู่ท้องฟ้าพร่างดาวนอกหน้าต่าง เขามองเห็นจักรวาลอันไร้ขีดจำกัด ทว่าในห้วงความคิดเขาที่ขับห่างไปสู่โลกของเซียงอวี่ โลกของเหล่าผู้แข็งแกร่ง โลกที่งดงามไร้ที่เทียบเคียง โลกที่ห่างไกลไปจากตัวเขา
แต่ ก่อนที่เฉินหลงจะมีเวลาทำอะไร เขาก็ตื่นขึ้นเพราะเสียงของฮูอี้เต๋า
“พี่ชาย พี่ชาย พี่รีบออกเกินไป พี่คิดว่าจะลงจากเครื่องแล้วหรือ” ฮูอี้เต๋ามองเฉินหลงอย่างตื่นเต้นและกล่าวไป
สำหรับเฉินหลงแล้ว ฮูอี้เต๋ามักจะให้ความรู้สึกอันลึกลับ ยิ่งเขาคิดเรื่องเข้า “นิวเวิร์ล” ไป เขาก็ยิ่งคิดผิด และยิ่งไม่เข้าใจเฉินหลงเข้าไปอีก แม้ว่าเขาจะกล่าวไปว่าเขามีพลังเพียงระดับสาม แต่เรื่องนั่นคงไม่อาจจะเชื่อได้ ดังนั้นแล้ว ฮูอี้เต๋าจึงออกจากเกมมาเรื่อยๆเพื่อดูว่าเฉินหลงออกจากเกมมาแล้ว เขาจับผิดเฉินหลงได้
“ก็ ทำงานไปพักผ่อนไปรวมๆกันได้” เฉินหลงยิ้ม
“พี่ชาย ฉันยังไม่รู้ชื่อพี่เลย” ฮูอี้เต๋าถาม
ตอนนั้นเองที่ ฮูอี้เต๋ารู้ว่าเขาไม่รู้ชื่อของเฉินหลง
“ชื่อของฉันนั่นสามัญมากๆ ชื่อของฉันคือเฉินหลง ไม่ใช่พี่หลงที่เป็นดารานะ ” เฉินหลงไม่ปิดบังชื่อของเขา จะว่าไปแล้ว ในจีนไม่มีใครที่รู้จักชื่อเขา
“ชื่อดีนี่ครับ เหมือนพี่เฉินเลย ชื่อของพี่คือมังกรของผู้คนนะ” ฮูอี้เต๋าไม่ได้ตั้งใจจะชมเฉินหลงตอนที่เขาพูดออกไป ในความคิดของเขา เขารู้สึกได้ว่าเฉินหลงนั้นแข็งแกร่งจริงๆ
“เอ่อ น้องฮู นายพูดจริงหรือ” เฉินหลงมองฮูอี้เต๋าด้วยรอยยิ้ม ชายคนนี้ช่างพูดเก่งเสียจริง นั่นทำให้เฉินหลงรู้สึกมีความสุขมากๆ
“พี่เฉิน ผมไม่ได้ชมพี่นะ ผมคิดว่าพี่เป็นมังกรในหมู่คนจริงๆ” ฮูเต๋าอี้มองเฉินหลงอย่างจริงจัง
เมื่อเขามองสีหน้าจริงจังของฮูอี้เต๋า เฉินหลงมองฮูอี้เต๋าด้วยความแปลกประหลาด
“พี่เฉิน พี่คิดว่าผมเหมือนใคร” ฮูอี้เต๋าไม่ได้อธิบายอะไรให้เฉินหลงฟัง เขาเพียงถามเฉินหลงว่าเขาหน้าเหมือนใคร
“ใครหรือ น่าจะรวยอยู่นะ” เฉินหลงมองฮูอี้เต๋าและกล่าวไป
คนที่เป็นเจ้าของที่นั่งชั่นเฟิร์สคลาสได้และยังใช้เงินซื้ออุปกรณ์นี่ เขาจะเป็นคนขาดเงินได้จริงหรือ
“เป็นปกติที่ผมจะรวย แต่เงินของผมไม่ได้มาจากครอบครัวผมนะ เงินทั้งหมดของผมผมได้มาเองจากตลาดหุ้น และคือสายตาผมที่ทำเงินทั้งหมดเหล่านี้ ดังนั้นแล้ว ผมจึงเชื่อว่าสายตาผมจะไม่มีวันแย่” ฮูอี้เต๋ากล่าวอย่างจริงจัง แบบไม่เกินหน้าเกินตาเลย
TB:บทที่ 263 มังกรโบยบินบนฟากฟ้า
“ฉันไม่รู้ว่าจะว่าอย่างไรต่อดี” ฮูอี้เต๋าทำเฉินหลงอับอาย เพราะมีคนชมเชยเขาต่อหน้าแบบนี้เป็นครั้งแรก เขาไม่ชินเอาเสียเลย แม้ว่าเขาจะยอดเยี่ยมก็ตามที
“ผมไม่ได้หมายถึงอย่างอื่นนะ ผมแค่อยากเป็นเพื่อนกับพี่” การแสดงออกของฮูอี้เต๋ายังจริงจังอยู่มากๆ
“ไม่ใช่ว่าพวกเราเป็นเพื่อนกันแล้วหรือ” เฉินหลงว่าพร้อมรอยยิ้ม
“ใช่ครับ เราเป็นเพื่อนกันแล้ว” ฮูอี้เต๋าปลาบปลื้ม “จะว่าไปแล้ว เนื่องจากที่เราเป็นเพื่อนกัน พี่บอกระดับพลังที่แท้จริงของพี่มาเถอะครับ ผมเชื่อว่าพลังของพี่ต้องมากกว่าระดับสาม”
“อยากจะรู้จริงๆหรือ” เฉินหลงมองฮูอี้เต๋าด้วยสีหน้าขบขัน
ฮูอี้เต๋าไม่ว่าอะไรอีก ทว่าเขาพยักหน้าอย่างแน่วแน่
“เช่นนั้น มานี่สิ แล้วฉันจะกระซิบบอก” จู่ๆเฉินหลงก็อยากแหย่ฮูอี้เต๋า เมื่อฮูอี้เต๋าเอี้ยวตัวมา เฉินหลงจึงกระซิบบอกเขา “นั้นเป็นความลับ”
ตอนแรกเขาตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ฮูอี้เต๋านิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินคำตอบของเฉินหลง แล้วเขาจึงกล่าวด้วยสีหน้าหงอย “พี่ชาย แบบนี้คงง่ายกว่าแล้วถ้าพี่จะไม่มีเพื่อน”
“ล้อเล่นหน่า จริงๆแล้ว พลังของฉันเป็นระดับหก” เฉินหลงยังคงเกรงว่าจะไปทำฮูอี้เต๋ากลัวเข้า เขาจึงพยายามจะลดค่าพลังของเขา
แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของเฉินหลง ฮูอี้เต๋าก็สะดุ้งตกใจอยู่ดี ดวงตาเขาเบิกกว้างแล้วใจหน้าก็มีความไม่เชื่อหูตัวเอง
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง เขากล่าวขึ้น “ผมแน่ใจว่าผมไม่ได้ฟังผิด พี่เป็นมังกรของผู้คนจริงๆด้วย”
“เอ่อ โปรดอย่าพูดเช่นนั้นเลย ถึงจะไม่ได้มีคนที่มีพลังระดับหกอยู่เยอะก็เถอะ แต่ฉันไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวนะ ต้องขอโทษด้วยที่ต้องพูดแบบนั้น” เฉินหลงไม่ได้ทำตัวดีมากมายนัก
“ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเห็นพลังระดับหกนะ แต่ผมไม่คิดว่าพี่จะเป็นคนพวกนั้น นั่นคือทำไมผมจึงบอกว่าพี่เป็นมังกรของผู้คน” เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ฮูอี้เต๋าพูดถึงมังกรของผู้คน ดูเหมือนว่าเขาจะจำเฉินหลงได้จริงๆ
เมื่อฮูอี้เต๋าจำตัวเขาได้ คงไม่ดีนักหากเฉินหลงจะพูดอะไร
หลังการเดินทางจบลง ทั้งฮูอี้เต๋าและเฉินหลงต่างก็ไม่ได้เดี่ยวดายเลย
ฮูอี้เต๋าเป็นเหมือนเด็กน้อยช่างสงสัย เขาถามคำถามทุกรูปแบบ แทบทั้งหมดของคำถามจะเกี่ยวกับสัตว์กลายพันธุ์ระดับสูงใน “นิวเวิร์ล” สุดท้ายแล้วฮูอี้เต๋าก็เห็นสัตว์กลายพันธุ์มามากในเมื่อเขาต้องการจะมีพลังระดับหกแบบเฉินหลง
หลังจากอีกสามสี่ชั่วโมงต่อมา ในที่สุดฮูอี้เต๋าก็เหนื่อยและปิดปากไปพักผ่อน
และในที่สุดหูของเฉินหลงก็ได้พัก
หลังจากนั้น อีกห้าหรือหกชั่วโมงต่อมา ในที่สุดเครื่องบินก็จอดที่สนามบินเมืองหลวงของประเทศจีน
เมื่อออกจากเครื่องบินมา เฉินหลงตื่นเต้นที่ในที่สุดเขาได้กลับมาแล้ว ตอนนั้นเองที่เฉินหลงต้องการจะร้องออกมาเสียจริง “ฉันเฉินหลง ฉันกลับมาสู่โลกของฉันแล้ว”
ถึงกระนั้น เฉินหลงยังใจเย็นได้และเก็บความกระดี๊กระด๊าไว้
“พี่หลง ผมไปก่อนนะ ถ้าผมจะไปเจอน้องชายผมใน “นิวเวิร์ล” ผมต้องพาเขาไปกับผม” ฮูอี้เต๋าบอกลากับเฉินหลงและออกไปก่อน
เขารู้ว่าพวกคนอย่างเฉินหลงต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เขาจึงสนใจที่จะพูดคุยกับเฉินหลงบนเครื่องบิน
เมื่อฮูอี้เต๋าไปแล้ว เฉินหลงติดต่อหาเจิ้งอี้
เจิ้งอี้ ที่ตอนแรกมีประชุมอยู่ที่ตึกเว่ยหลง พลันรับการติดต่อทางจิตจากเฉินหลง ตัวทั้งตัวเขาตกใจ ใบหน้าเขาเผยความตื่นเต้นในทันที แล้วเจิ้งอี้ก็ไม่กล่าวอะไรและออกจากห้องนั้นและทิ้งพวกคนระดับสูงไว้ในห้องประชุม
โดยทั่วไปแล้วผู้คนระดับสูงในห้องประชุมคือพี่น้องของเฉินหลง
ยังมีคนที่บางประเทศส่งมาเพื่อช่วยบริษัทเว่ยหลงด้วย เมื่อพวกเขาเห็นว่าเจิ้งอี้ทีจู่ๆก็ออกไปแล้ว พวกเขาต่างอึ้งไป นี่มันสถานการณ์อะไรกัน
อย่างไรก็ตามซวีหมิงเหม่ยเป็นผู้ช่วยของเจิ้งอี้ เมื่อเจิ้งอี้ออกไป เป็นธรรมดาที่เธอจะจัดการประชุมต่อไป เนื่องเป็นหุ่นยนต์ ซวีหมิงเหม่ยไม่ได้คิดอย่างพวกเขา เธอเพียงบอกแผนขั้นต่อไปของบริษัททั้งหมดอย่างยึดมั่น
ถึงกระนั้นในเวลานี้ ความสนใจของทุกคนไม่ได้อยู่ที่การประชุมเลย ทุกคนคิดเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น เรื่องที่เจิ้งอี้ทิ้งพวกเขาไว้
พวกคนในห้องประชุมคือเพื่อนร่วมงานที่ทำงานกับเจิ้งอี้มาหลายปี
พวกเขาแน่ใจว่าเจิ้งอี้เป็นคนอย่างไร ปกติเขาเป็นคนใจเย็นมากๆ การตัดสินใจก็เฉียบแหลมอย่างมาก
แม้ในช่วงการปิดกั้นทางเศรษฐกิจของอเมริกา เขาก็เลือกทางเลือกที่ดีที่สุดได้ สิ่งใดกันที่ทำให้ความใจเย็นเขาหายไป
ตอนนั้นเองที่พี่น้องของเฉินหลงและคนจากประเทศต่างๆมองหน้ากันแล้วจึงคิดถึงความเป็นไปได้ นั่นคือ เขากลับมาแล้ว เฉินหลงกลับมาแล้ว
เมื่อคิดได้ถึงความเป็นไปได้นี้ เฉินยี่และคนอื่นจึงรู้สึกตื่นเต้นมากๆ คนที่มาจากประเทศต่างๆในตอนนี้ไม่มีใจจะประชุมต่อแล้ว บางคนจึงติดต่อหัวหน้าไป
จากนั้น ข่าวเรื่องการกลับมาของเฉินหลงก็ไปถึงหูผู้นำต่างชาติระดับสูง
“ฮ่าฮ่าฮ่า เอาล่ะ เยี่ยมไปเลย ฉันบอกไปแล้วว่าเด็กนั่นจะกลับมา เขาไม่ทำฉันผิดหวังหรอก” เมื่อรู้ว่าเฉินหลงจะกลับมา ผู้นำสูงสุดประเทศจึงมีความสุขเอาเสียมากๆ
การช่วยเหลือที่เฉินหลงทำไว้ช่างยิ่งใหญ่ อีกทั้งเขายังรักชาติสุดๆด้วย สำหรับคนที่มีความสามารถขนาดนั้น ผู้นำสูงสุดประเทศไม่ต้องการให้เฉินหลงประสบอุบัติเหตุใด
มุมปากของหวังหงที่ข้างหลังของผู้นำสูงสุดของประเทศเผยรอยยิ้ม
ภายหลังจากที่เฉินหลงหายตัวไป ครั้งหนึ่งเขาเคยถามเทียนชิจางให้ทำนายดวงของเฉินหลง
ถึงกระนั้นเขาไม่ได้ปฏิเสธอะไร เขารีบทำนายดวงให้เฉินหลง คำทำนายได้โบยบินขึ้นฟ้าไป นั่นหมายความว่าการหายตัวไปของเฉินหลงนั้นไม่ได้มีอันตรายอะไร เมื่อเขากลับมา มังกรจะบินไปในท้องฟ้า
เจิ้งอี้ขับรถเรดแฟลกเอลไฟฟ์คันยาวจากตึกเว่ยหลงไปยังสนามบิน
รถเรดแฟลกเอลไฟฟ์คันยาวไม่ใช่สินค้าที่ขายทั่วไป แต่เป็นรุ่นที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อบริษัทเว่ยหลง
จากนั้น เจิ้งอี้ขับมาถึงข้างหน้าสนามบิน เขาเห็นเฉินหลง เขาหยุดรถข้างหน้าเฉินหลงในทันที หลังจากนั้นเขาลงจากรถและเดินไปข้างเฉินหลง เขากล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น “นายท่าน ในที่สุด ท่านก็กลับมาแล้ว”
“ใช่ ฉันกลับมาแล้ว” เฉินหลงพยักหน้า
เจิ้งอี้รีบเปิดประตูให้เฉินหลงขึ้นรถไป
ต่อมา เฉินหลงเข้ามาในบริษัทเว่ยหลง
เมื่อได้เห็นเฉินหลงกลับมาจริงๆแล้ว พวกพี่น้องของเฉินหลงรับมาล้อมรอบตัวเขาและถามไถ่ การประชุมน่ะหรือ ใครจะไปสนใจกัน
แน่นอนว่า เฉินหลงตอบคำของพวกพี่น้องพอเป็นพิธีสองสามคำ
แล้วเฉินหลงจึงขับรถกลับไปยังคฤหาสน์ของเขา
ตอนที่เขาโทรมาเมื่อวาน เฉินหลงรู้ว่าการสอบเข้ามหาลัยของน้องสาวเขาจบลงไปแล้ว ครอบครัวของเขาและครอบครัวของจี้โม่ซีทั้งหมดมาปักกิ่งแล้ว ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่คฤหาสน์
เฉินหลงเดินเข้าไปในคฤหาสน์ เขาเห็นเฉินยี่คุยอยู่จี้โม่ซีอยู่ในคฤหาสน์ เมื่อเฉินหลงกลับเข้ามา เฉินยี่พุ่งเข้าไปหาเฉินหลง
“พี่ชาย พี่กลับมาแล้วหรือ เยี่ยมไปเลย” เฉินยี่ทิ้งตัวเธอลงไปในอ้อมแขนของเฉินหลงและเกาะตัวเฉินหลงเหมือนสลอธ ในขณะนั้นเองน้ำตาเธอก็ร่วงผล่อยลงมา
TB:บทที่ 264 โปรเจคซุปเปอร์แมน
“นี่ เสี่ยวยี่ เธอโตเป็นสาวแล้ว อีกสักพักเธอคงจะหาแฟนแล้ว ทำไมเธอจึงยังร้องไห้ในอ้อมแขนพี่ชายเหมือนเด็กน้อยแบบนี้” เฉินหลงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
จริงๆแล้ว เขาไม่ได้เจอหน้าครอบครัวมามากกว่าสองปีแล้ว ในตอนนั้น เฉินหลงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เขาอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ด้วยความที่เป็นพี่ใหญ่และเป็นผู้ชาย เขาจึงต้องฝืนไว้
“พี่ชาย พี่ หมายถึงอะไรกัน คนเราไม่ต้องหาแฟนหรอก” เมื่อได้ยินที่เฉินหลงพูดเรื่องประมาณว่าจะหาแฟน ใบหน้าของเฉินยี่พลันเป็นสีแดงขึ้นมา เธอเพิ่งจะสอบเข้ามหาลัยได้ พี่ใหญ่ของเธอบอกให้เธอไปหาแฟนแล้ว เป็นพี่ประเภทไหนกัน
“ได้สิ ถ้าจะไม่หาน่ะ พี่ชายของเธอก็เลี้ยงดูเธอได้ทั้งชีวิต” เฉินหลงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“เสี่ยวยี่เป็นน้องสาวของเรา เป็นพี่มาพูดแบบนี้ได้ไงกัน” จี้โม่ซีได้ยินที่เฉินหลงข้างๆเธอว่าแล้ว เธอพูดอะไรไม่ออกเลย
เมื่อได้ยินเสียงของจี้โม่ซี เฉินยี่อับอายอย่างบอกไม่ถูก เธอปล่อยมือจากเฉินหลง ที่ตรงนี้ควรเป็นของจี้โม่ซี
อย่างไรก็ตาม ใจของเฉินยี่มีความอิจฉาจี้โม่ซีเล็กๆที่เจอคนดีๆแบบพี่ชายเธอได้ ในอนาคตเธอจะหาแฟน หากเป็นคนดีได้สักเสี้ยวหนึ่งของพี่ชายเธอ คงจะขอบคุณพระเจ้าแล้ว
“พี่สะใภ้ ฉันต้องขอโทษด้วยที่อยู่ในที่ของพี่” เฉินยี่ผละออกจากเฉินหลง และหันไปทางจี้โม่ซี
คำของเฉินยี่ทำหน้าของจี้โม่ซีขึ้นสีเล็กน้อย ทว่าเธอยังเข้าไปหาเฉินหลงและกอดชายคนรักของเธออย่างแนบแน่น
เฉินหลงก็กอดจี้โม่ซีแน่นเช่นกัน เขากระซิบเธอแผ่วเบา “ผมต้องขอโทษด้วยนะที่รัก ผมกลับมาแล้ว”
ในทันทีที่ประโยคนั้นกล่าวออกมา จี้โม่ซีร้องไห้ออกมาทันที
เมื่อจี้โม่ซีหยุดร้องแล้ว เฉินหลงและหญิงสาวทั้งสองจึงออกไปเจอพ่อแม่เขา
หลังจากที่เฉินหลงกลับมาแล้ว แน่นอนว่า มีการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ คืนนั้น ทั้งครอบครัวเฉินต่างมาและร่วมกินมื้ออาหารในคฤหาสน์
เนื่องจากความสัมพันธ์ของ “นิวเวิร์ล” เป็นธรรมดาที่พลังของครอบครัวเฉินจะเป็นถึงระดับสอง ขณะที่พลังของจี้โม่ซีมีพลังระดับสาม ที่ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ครอบครัวเขา
พลังของจี้โม่ซีนั้นแข็งแกร่งที่สุดเพราะว่าเธอทำได้เพียงเพ่งความสนใจมาที่พลังและการพัฒนาพลังเพื่อไม่ให้คิดเรื่องเฉินหลงตลอดเวลา
เมื่อรู้เรื่องนี้แล้ว เฉินหลงจึงได้แรงบันดาลใจเป็นอย่างมาก
ในเวลากลางคืน เฉินหลงเป็น “ผู้ปลอบใจ” ที่ดีให้จี้โม่ซี
เธอไม่ได้เจอเขามานานกว่าสองปี จี้โม่ซีก็ไม่ได้ชอบที่เธอไม่ได้อยู่กับเฉินหลง
หนึ่งวันหลังจากที่เฉินหลงกลับมา งานแต่งงานของเฉินหลงและจี้โม่ซีได้มีการจัดแจง พิธีงานแต่งจะจัดขึ้นในวันที่หนึ่งตุลาคม สามเดือนหลังจากนี้ ตอนแรก งานแต่งงานนี้ควรจะจัดไปได้สองปีแล้ว แต่จู่ๆเฉินหลงก็หายตัวไป เป็นธรรมดาที่งานแต่จะจัดขึ้นไม่ได้ ทว่าในตอนนี้ เขากลับมาแล้ว เขาคงลากงานให้ออกไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เขามีเรื่องที่ต้องจัดการ
วันต่อมาเฉินหลงไม่ได้สิ่งอื่น เขาอยู่เป็นเพื่อนครอบครัวเขา
อย่างไรก็ตามเพราะความสัมพันธ์ของเฉินหลงกับสกุลซ่งและสกุลคง พวกเขามีพันธะจะต้องไปจัดการ สุดท้ายในที่สุด สิ่งที่พวกเขาพูดไปคงเพิกเฉยไม่ได้แล้ว
ในฐานะที่เป็นประเทศที่ทรงพลังที่สุดในโลก พวกเขาตามหาโอกาสที่จะกู้หน้าและศักดิ์ศรีกลับมา
ณ ฐานทัพลับลึกลงไปชั้นใต้ดินที่ตีนเขา รัฐเนวาด้า กลุ่มนักวิจัยในชุดกาวน์ขาวกำลังทำการวิจัยรอบๆหลอดทดลองที่ใส่ของเหลวหลากประเภทไว้
ภายในห้องทำงานของฐานทัพ ชายผิวขาวคนหนึ่งในชุดสูทสีดำ เขาสวมแว่นตาดำ เขาช่างคล้ายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจพิเศษในสูทดำ เขามองชายคนหนึ่งในชุดกาวน์สีขาวที่สวมแว่น ที่ดูแล้วรู้เลยว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานวิจัย เขาถามไปว่า “ศาสตราจารย์สตีฟ โครงการซุปเปอร์แมนเป็นอย่างไรบ้างครับ คุณรู้ไหมว่าเวลาของเราจะหมดแล้ว และหากเรายิ่งประวิงเวลาออกไป พวกเราจะไม่มีวันหันกลับมาได้จริงๆแล้ว”
“คุณโคลแมน นักวิทยาศาสตร์ที่วิจัยงานที่เข้มข้นแบบนี้ต้องอาศัยการทดลองจำนวนมากจนกว่าจะสมบูรณ์ ผมรู้อยู่ว่าสถานการณ์ปัจจุบันไม่ดีต่อพวกเราเท่าไร แต่โครงการซุปเปอร์แมนคงออกปฏิบัติการช้าหน่อย สุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นเรื่องอนาคตของอเมริกา ฉันคงจะทำลวกๆไม่ได้” สตีฟดันแว่นบนดั้งเขา ท่าทีจริงจัง
“ฉันรู้ แต่เราก็รอไม่ได้ หากว่าตอนนี้เราทำการทดลองได้ เราจะสามารถทำการทดลองกับมนุษย์ได้เร็วเท่าที่จะทำได้ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่ท่านประธานโคลแมนพูดไว้เสียจริงจัง”
หากจะว่าตามจริง โคลแมนก็เล่น “นิวเวิร์ล” ด้วย แม้หากจะไม่ใช่เวอร์ชั่นเต็ม เขาก็รู้สึกได้ว่าพลังของ “นิวเวิร์ล” นี้ช่างทรงพลัง ด้วย “นิวเวิร์ล” นี้จะทำให้สามารถพัฒนาพลังกาย พวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้น และแม้แต่กดให้พวกอเมริกันได้หากใช้เวลา สถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่สหรัฐต้องการจะเห็น
พวกเขายังต้องการจะไข “นิวเวิร์ล” ให้ออก ทว่าหาก “นิวเวิร์ล” นั้นไขได้ง่ายดาย เฉินหลงคงถอนออกจากธุรกิจเขา
เนื่องจากการไขนี้เป็นวิธีที่ไม่อาจจะทำได้ แต่พวกเขาสามารถจะหาทางได้จากร่างมนุษย์เลย ชนชาติที่มีพลังกายแห่งสหรัฐอเมริกามักจะเป็นประเทศผู้นำเสมอมา นี่คือเหตุผลว่าทำไมทุกการแข่งโอลิมปิก สหรัฐอเมริกาจึงเป็นประเทศที่ได้เหรียญทองมามากที่สุด พรสวรรค์ของประเทศพวกเขาช่างไม่มีที่ใดมาเทียบเคียงได้
ยิ่งไปกว่านั้นหากว่าพวกเราต้องการจะพัฒนาพลังทางกายของมนุษยชาติต่อไป
แล้ว ถ้าไม่มีเวอร์ชั่นสมบูรณ์ของ“นิวเวิร์ล” พวกเขาคงต้องปล่อยไปก่อน เพราะคงอีกนานหากจะพัฒนาพลังกายด้วยตนเอง
ถึงกระนั้น หลังจากการเกิดขึ้นมาของ “นิวเวิร์ล” จากประเทศจีน จึงไม่มีเวลาให้พวกเขารอช้าให้ทุกสิ่งสรรพเกิดขึ้นตามธรรมชาติแล้ว พวกเขาต้องการจะพัฒนายาแบบหนึ่งขึ้นมาเพื่อจะพัฒนาพลังกายของมนุษย์ให้เปลี่ยนแปลงไปเป็นซุปเปอร์แมน
จริงๆแล้ว ในสหรัฐอเมริกา พวกเขาเริ่มจะศึกษาเรื่องนี้มาเป็นทศวรรษแล้ว
พวกเขาเอายีนส์ของเอเลี่ยนเข้ามาผสมผสานกับยีนส์ของมนุษย์เพื่อเตรียมยีนส์เหลวออกมา
ตราบใดที่ใช้ยีนส์เหลวนี้แล้ว พลังของผู้ใช้จะเพิ่มขึ้นเป็นสิบหรือแม้กระทั่งร้อยเท่า
ถึงกระนั้นการทดลองก็ยังไม่สำเร็จเลยสักครั้ง ยีนส์ของเอเลี่ยนไม่อาจจะผสานกับพลังของมนุษย์ได้เลย แม้จะฉีดเข้าไปในร่างของมนุษย์แล้วก็ตาม คนนั้นจะกลายเป็นปิศาจและตายไปไม่นานหลังจากนั้น
เนื่องจากการทดลองล้มเหลวไป พวกผู้มีอำนาจจึงพับโครงการซุปเปอร์แมนไปก่อน จนเมื่อสองสามปีก่อน ที่สหรัฐอเมริการู้สึกว่ากดดันอย่างหนักจากจีน พวกเขาจึงเริ่มโครงการนี้ใหม่
อาจเป็นเพราะพวกเขาเป็นที่โปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาพบพืชที่ชื่อ “หญ้ากันราก” ที่นำมาใช้ผสมกับยีนส์ทั้งสองได้
หลังจากที่แก้ปัญหานี้ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายถึงว่ายีนส์ที่ผสมผสานกันจะใช้ในร่างมนุษย์ได้ แต่ด้วยการคำนวนของเครื่องคอมพิวเตอร์ สัตว์ทดลองและสิ่งต่าง สุดท้ายแล้ว นี่ก็เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของทั้งสหรัฐอเมริกา ที่อาจดูประมาทเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีเวลาจะรอช้าแล้ว
TB:บทที่ 265 สร้างซุปเปอร์แมน
“นี่คุณจะทดลองกับมนุษย์จริงๆหรือ” เมื่อได้ยินดังนั้น แม้แต่ประธานาธิบดียังหวังให้เร่งกระบวนการได้ แต่สตีฟกลับมีความไม่แน่ใจบางอย่าง
“ทำขั้นตอนการทดลองในมนุษย์เลยเถอะ เรามีเวลาให้เสียไม่มากแล้ว ครั้งนี้ผมพาทหารนาวิกโยธินชั้นเยี่ยมผู้ซื่อสัตย์สามสิบนายมาด้วย ผมหวังว่าผมจะช่วยคุณได้นะ” การเตรียมการของโคลแมนก่อนที่เขาจะมานั้นคือการหว่านล้อมสตีฟเรื่องเขาเคยคุยกันมาก่อน จึงเป็นธรรมดาที่เขาต้องการให้สตีฟทำการทดลองในมนุษย์ได้แล้ว
“ดีล่ะ งั้นเริ่มทำการทดลองในมนุษย์กันเลย” สตีฟครุ่นคิดไปแล้วจึงตกลง
เขาและทีมมาทำโครงการซุปเปอร์แมนนี่ก็เพราะเขาเป็นคนรักชาติ เขาหวังว่าเขาหวังว่าประเทศนี้จะแข็งแกร่งขึ้นและเป็นผู้นำของโลกนี้ต่อไปได้ แม้ว่าโครงการซุปเปอร์แมนจะยังไปไม่ถึงขั้นทดลองในมนุษย์ แต่ในตอนนี้แม้แต่ประธานาธิบดียังพูดเช่นนั้นเลย เขาคงทำได้เพียงเร่งขั้นตอนแล้ว
หลังจากนั้น สตีฟสั่งให้เริ่มเตรียมการทดลองในมนุษย์
เมื่อสตีฟสั่งการทดลองในมนุษย์แล้ว คนเอเชียที่ยังดูหนุ่มแน่นก็ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่นานหลังจากนั้น แม้เขาจะกลับไปเป็นปกติแล้ว และเริ่มการเตรียมการกับคู่หูเขาเพื่อทำการทดลองในมนุษย์
ต่อมา ในห้องทดลองอันกว้างขวาง โคลแมนพานาวิกโยธินสามสิบนายเข้ามา ให้ถอดเสื้อทีละคน จากนั้นจึงให้เดินเข้าเครื่องมือที่จะแก้ไขร่างกายของมนุษย์แบบที่มีในหนังไซไฟหลายๆเรื่อง
ขั้นแรกโครงการซุปเปอร์แมนจะเป็นการผสมผสานยีนส์ของเอเลี่ยนเข้ากับยีนส์ของมนุษย์ แล้วจึงสกัดยีนส์ของนาวิกโยธินทั้งสามสิบนาย
จากนั้นจะมีการรวมยีนส์เพื่อสร้าง “เลือดซุปเปอร์แมน”
ขั้นตอนแต่ละขั้นเพื่อจะทำ “เลือดซุปเปอร์แมน” ช่างราบรื่น ในที่สุด“เลือดซุปเปอร์แมน” สีฟ้าก็ฉีดเข้าร่างของนาวิกโยธินทั้งสามสิบนาย
ตอนที่เลือดซุปเปอร์แมนได้ฉีดเข้าไปให้นาวิกโยธินทั้งสามสิบนาย สตีฟและเพื่อนร่วมงานของเขาเฝ้าดูตัวเลขแสดงค่าของนาวิกโยธินทั้งสามสิบนายในคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมกับเครื่องจักรพวกนั้นอย่างใกล้ชิด
คนเอเชียที่ก็เฝ้าดูอย่างระมัดระวังเช่นกันนั้น แต่เขามีแผนอื่นอยู่ในใจ
ตัวเลขบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมกับเครื่องจักรเปลี่ยนแปลงไปอย่างมั่นคง สตีฟกำมือแน่นแล้วจึงสวดภาวนา
เช่นเดียวกันนั้น คนเอเชียที่มีแผนอื่นในใจก็มองตัวเชขบนจออย่างกระวนกระวาย
แม้ว่าเขาจะมีความคิดอย่างอื่น แต่เขายังคงเป็นนักวิจัยอยู่ เขาร่วมการทดลอง “โครงการซุปเปอร์แมน” มาหลายปีแล้ว เขาทุ่มเททำงานหนักมาหลายปีเหลือเกิน เขายังคงหวังจากใจว่าการทดลองนี้จะสำเร็จและความพยามของเขาจะไม่สูญเปล่า
แต่อย่างไรแล้ว สุดท้าย “เลือดซุปเปอร์แมน” ได้ใส่ลงไปในยีนส์ของเอเลี่ยน แม้ว่าจะฝืนให้ผสมรวมกับยีนส์ของมนุษย์ได้ภายใต้ฤทธิ์ของ “หญ้ากันราก” แต่นั่นก็สามารถจะทำให้เกิดการต่อต้านเมื่อฉีดเข้าไปในร่างของมนุษย์ได้
หนึ่งชั่วโมงต่อมา มีเครื่องจักรหกเครื่องที่ไม่มีข้อมูลใด นั่นแสดงให้เห็นว่าคนทั้งหกได้ตายไปแล้ว
“โคลแมน ทำต่อไปไม่ได้แล้ว และ “เลือดซุปเปอร์แมน” ก็ใช้กับพวกเขาไม่ได้ หากเราจะทำต่อ พวกเขาคงตาย” เมื่อต้องเจอกับการตายของคนทั้งหก สตีฟไม่อาจทนได้อีกต่อไป เขาอยากหยุดการทดลองไว้
“ศาสตราจารย์สตีฟ มาถึงจุดนี้ เราคงหยุดการทดลองไม่ได้แล้ว พวกเขาเป็นทหารที่ดีที่สุดในประเทศเรานะ พวกเขารู้มาก่อนว่าพวกเขาจะมาสูญเสียชีวิตครั้งนี้ แต่พวกเขาก็เต็มใจมาสละชีวิตเพื่อประเทศ พูดแบบนี้แล้ว ทำไมไม่ทำต่อไปละ ไม่เห็นหรือไงว่าพวกเขายังทนต่อได้ พวกเขาคงไม่เต็มใจจะยอมแพ้หรอก พวกเขามีความเชื่อมั่น พวกเขาเชื่ออย่างมั่นคงว่าพวกเขาจะทำได้ เชื่อฉันสิว่าพวกเขาทำได้” โคลแมนว่า ด้วยสีหน้าแห่งความกระตือรือร้น เขาชี้ข้อมูลที่ยังเปลี่ยนไปบนจอ
“แต่….”
สตีฟยังคงไม่เต็มใจ แต่โคลแมนพูดขัดขึ้นก่อน
“ไม่ พวกเขาเป็นทหาร หน้าที่ของพวกเขาคือเชื่อฟังคำสั่ง เนื่องจากพวกเขาได้รับคำสั่งมาว่าต้องทำให้สำเร็จ ฉันเชื่อว่าพวกเขาจะทำได้”
เมื่อโคลแมนว่าดังนั้น สตีฟจึงหยุดพูดและทำการทดลองต่อไป
ขณะที่ผ่านผ่านพ้นไป คนอีกสี่คนเสียชีสิตไป ทว่าอีกยี่สิบคนยั้งฝืนต่อ
สองชั่วโมงต่อมาข้อมูลของทหารทั้งยี่สิบคนไม่เปลี่ยนแปลง แต่ค่าตัวเลขกลับพุ่งสูงขึ้นอย่างยิ่งยวดในทันที
หากว่าตัวเลขนี้คำนวณในมุมของระดับพลัง ตัวเลขที่สูงที่สุดนั้นมีถึงระดับ “หลอมรวมธรรมชาติ” ส่วนตัวเลขที่ต่ำที่สุดก็มีถึงระดับ “พลังลมปราณ” ในหมู่พวกเขา มีคนห้าคนที่เป็นระดับ “หลอมรวมธรรมชาติ” สิบคนเป็น “ปลดปล่อยพลังลมปราณ” และอีกห้าคนที่เป็น “พลังลมปราณ”
พลังเช่นนี้ช่างทรงพลังมากจริงๆ
เมื่อสตีฟเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ พวกเขานิ่งอึ้งไปเลย “พวกเราทำสำเร็จแล้ว เราทำสำเร็จแล้ว พวกเราสร้างซุปเปอร์แมนได้แล้ว”
เมื่อเขาได้ยินคำพูดของสตีฟ โคลแมนก็แสดงสีหน้าดีใจ
ในตอนนั้นสตีฟกอดเขา ความพยายามในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ได้เสียเปล่า และนั่นทำให้พวกเขาตื่นเต้นเหลือเกิน
แต่ขณะนั้นชายหนุ่มเอเชียรีบวางปากกาข้างหน้าคอมพิวเตอร์ แล้วเขาก็ฉวยโอกาสออกไปจากห้องทดลองเงียบๆ
“ต้องขอโทษด้วย ศาสตราจารย์สตีฟและเพื่อนร่วมงานทั้งหมด ผมไม่เหมือนพวกคุณ… โปรดอย่าโทษผมเลย” เมื่อชายเอเชียคนนั้นออกจากห้องทดลองไป เขากดปุ่ม
จากนั้นปากกาที่วางไว้หน้าห้องทดลองก็รับกระแสไฟฟ้าจำนวนมากเข้าไป ปากกานั่นเปล่งแสงและตามมาด้วยการระเบิดที่รุนแรง นั่นทำให้คอมพิวเตอร์ทั้งหมดของห้องทดลองไหม้ไปในทันที แล้วห้องทดลองก็มืดมิดไปในทันใด ถึงกระนั้นไฟฉุกเฉินได้ติดขึ้น
ทว่าเครื่องจักรอีกยี่สิบเครื่องที่ประตูกำลังจะเปิดดกลับหยุดทำงานไป
การระเบิดได้ทำให้คอมพิวเตอร์ในห้องทดลองกลายเป็นชิ้นๆ แต่สตีฟไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย
สุดท้ายแล้ว ในสถานที่ลับเช่นนี้ การป้องกันนั้นเข้มงวดมาก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาระเบิดที่พลังการทำลายล้างรุนแรงมา ดังนั้น คงเป็นการดีที่สุดหากชาวเอเชียคนนั้นจะเอาระเบิดไฟฟ้าเข้ามา
เมื่อเขาหายกลัว สตีฟรีบลุกขึ้นจากพื้น การโต้ตอบปรกติที่เขาทำคือไปดูเครื่องจักร เขาเห็นว่าประตูของเครื่องจักรเหล่านั้นยังคงปิดอยู่ เขาจึงรีบเรียกไป “เปิดประตูเร็วๆ เปิดประตูด้วยมือเลย”
เมื่อได้ยินเสียงร้องของสตีฟ คนในห้องทดลองต่างพุ่งเข้ามาที่เครื่องและเปิดประตู
เมื่อประตูเครื่องเปิดออก ทหารภายในยังปิดตาอยู่และไม่ตอบสนอง
“สตีฟ เกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมพวกเขาจึงยังไม่ตื่น” เมื่อเห็นว่าเหล่าทหารยังปิดตา โคลแมนจึงรีบถามไป นี่คือความหวังของประเทศ ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น