พันธกานต์ปราณอัคคี 258-271
ตอนที่ 258 การเตือนของชิงเกอ
งานพิธีฉลองสองปีก่อน จนกระทั่งหลังจากนั้นเนิ่นนานก็ยังเป็นเรื่องใหญ่ที่ศิษย์เหยากวงพูดถึงกันไม่หยุด
เสวียนหั่วเจินจวินประทานสมญานามเต๋าลั่วหยางให้เยี่ยเทียนหยวน รับเป็นศิษย์ก้นกุฏิอย่างเป็นทางการ ย้ายออกจากยอดเขาหลักเขาหลิวหั่ว ครอบครองยอดเขารองลูกหนึ่งเพียงลำพัง
ลั่วหยาง สมญานามเต๋านี้มั่วชิงเฉินดูแล้วความหมายไม่นับว่าชั้นยอด ก็ไม่รู้ว่าไยเสวียนหั่วเจินจวินจึงตั้งสมญานามเต๋าเช่นนี้ให้เยี่ยเทียนหยวน ไม่ว่าเช่นไร ชื่อฆราวาสเยี่ยเทียนหยวนนี้ก็ค่อยๆ ถูกคนลืมเลือนแล้ว นับแต่นี้ทุกคนเรียกกันว่านักพรตลั่วหยาง
“ศิษย์น้องลั่วหยาง เจ้าเพิ่งเข้าระดับก่อแก่นปราณกำลังเป็นเวลาทำเขตแดนให้มั่นคง…” นักพรตฟางเหยาเอ่ยอย่างลังเล
เยี่ยเทียนหยวนเม้มริมฝีปากบาง เอ่ยอย่างมุ่งมั่นว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ลั่วหยางเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณได้สองปีแล้ว”
มองดูสีหน้ามุ่งมั่นของเยี่ยเทียนหยวน นักพรตฟางเหยาแอบโฉบสายตาผ่านมั่วชิงเฉินที่ยืนก้มหน้าเงียบๆ อยู่ แอบคิดว่าเช่นนี้ก็ดี หากไม่ใช่ในสำนักดึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนอื่นไม่ออกจริงๆ เขาก็ไม่จัดการเช่นนี้หรอก จึงพยักหน้าทันทีว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ศิษย์น้องลั่วหยางก็ไปด้วยกันเถอะ ศิษย์พี่ซานอิน ศิษย์น้องหานจาง พวกเจ้าเห็นเป็นเช่นไร?”
นักพรตซานอินเลิกคิ้วขาวขึ้น สายตากวาดผ่านหน้าเยี่ยเทียนหยวนและมั่วชิงเฉินสองคนเบาๆ พูดสองแง่สองง่ามว่า “นี่ย่อมให้ศิษย์น้องเจ้าสำนักตัดสินใจอยู่แล้ว”
นักพรตหานจางพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องก็กำหนดตามนี้ สามวันให้หลังรวมตัวกันที่เขาโฮ่วเต๋อ เดินทางสู่สำนักลั่วสยา
ทุกคนเดินออกไปกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน
มั่วชิงเฉินหยุดเดิน รอต้วนชิงเกอเดินเข้ามาแล้วเดินออกไปพร้อมกัน
“ชิงเฉิน ศิษย์พี่มั่วพูดได้ไม่ผิด ทุกครั้งที่เจอเจ้านะ มักได้รับความกระทบกระเทือน” ต้วนชิงเกอหยอกเล่นว่า
มั่วชิงเฉินกวาดมองต้วนชิงเกออย่างละเอียดปราดหนึ่ง สองปีมานี้นางยุ่งอยู่กับการบำเพ็ญเพียรตลอด ต้วนชิงเกอก็กักตนทำเขตแดนให้มั่นคง พูดไปแล้วนี่ยังเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนพบกัน
นับแล้วมีเจ็ดแปดปีไม่ได้พบ ต้วนชิงเกอกลับยิ่งดูงดงามมีเสน่ห์แล้ว น่าจะเพราะตบะที่เพิ่มขึ้น บวกกับการฝึกฝนวิชายุทธ์ธาตุน้ำเป็นเหตุ ท่วงท่ากิริยายิ่งใจเย็นสงบกว่าเมื่อก่อนอีก
ต้วนชิงเกอผลักมั่วชิงเฉินว่า “ชิงเฉิน เจ้ามองอะไรน่ะ?”
มั่วชิงเฉินขยิบตาอย่างซุกซน เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ากำลังดูสาวงามอันดับหนึ่งแห่งพรรคเหยากวงน่ะสิ…”
สองปีนี้แม้นางไม่ค่อยออกจากเขาป่าไผ่ ข่าวคราวบางอย่างกลับรู้ดี เช่นต้วนชิงเกอ ระยะนี้ก็ถูกผู้ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านยกให้เป็นสาวงามอันดับหนึ่งพรรคเหยากวง ยามนั้นยามที่เหลียงเฉินพูดยังโมโหไม่เบา แทบอยากจะจับนางแต่งตัวให้สวยสดงดงามแล้วดันออกประตูไปตระเวนสักรอบหนึ่งถึงยอมเลิกรา
ต้วนชิงเกอถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินอย่างตำหนิปราดหนึ่งว่า “ชิงเฉิน ข้ากลับไม่รู้ว่าเจ้าก็ชอบหัวเราะเยาะคนอื่นตั้งแต่เมื่อไรแล้ว”
มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “มีที่ไหนกัน อย่าบอกข้านะว่าเจ้าไม่รู้ว่าบัดนี้ในสำนักมีศิษย์เปิดโต๊ะ พนันว่าเจ้าบุปผาจะตกไปอยู่บ้านใครนะ!”
สองคนพลางพูดพลางเดินออกไป กลับพบว่าเยี่ยเทียนหยวนยืนอยู่ข้างนอกไม่ขยับเขยื้อน จึงอดเงียบเสียงไม่ได้ ยามเดินผ่านคารวะอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ท่านอาจารย์อาเยี่ย”
เดิมทีมั่วชิงเฉินคิดว่าเยี่ยเทียนหยวนจะแค่ตอบรับอย่างเกรงใจ กลับไม่คิดว่าเขาจะออกเสียงว่า “ศิษย์หลานต้วน ศิษย์…หลานมั่ว ไม่ต้องมากพิธี ครั้งนี้เดินทางไปสำนักลั่วสยา พวกเจ้าต้องระวังหน่อย…” พูดถึงตรงนี้เสียงต่ำลงอย่างไม่รู้ตัว “ทว่าก็ไม่ต้องกังวลเกินไป…”
พูดถึงตรงนี้รีบมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง แล้วกระโดดขึ้นสมบัติวิเศษเหินหาวโดยตรงไปแล้ว
มั่วชิงเฉินไม่รู้เพราะเหตุใดถึงรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว นางคิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนหยวนกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว นิสัยกลับไม่ค่อยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อย่างน้อยที่สุดคำพูดเช่นนี้เปลี่ยนเป็นเขาเมื่อก่อน ไม่มีทางหลุดปากออกมาเด็ดขาด
ดูเหมือนหลังจากกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว ความเย็นชาและเหลี่ยมลดน้อยลงสักหน่อย มีมิตรจิตมิตรใจมากขึ้นหน่อย
“ชิงเฉิน…” ต้วนชิงเกอลากเสียงยาวเรียก
มั่วชิงเฉินเม้มปาก ไม่ตอบ
ต้วนชิงเกอกลับไม่ปล่อยโอกาสหายากเช่นนี้ให้ผ่านไป เอ่ยเบาๆ ว่า “ชิงเฉิน ไม่รู้เจ้าบุปผาตกที่บ้านใคร?”
มั่วชิงเฉินสีหน้าแดงเรื่อ ถลึงตาใส่นางปราดหนึ่ง อัญเชิญเรือเล็กกระโดดขึ้นไปจะหนี ไม่คิดว่าต้วนชิงเกอก็กระโดดขึ้นไปด้วย นั่งลงบนเรือเมฆาอย่างมั่นคง แล้วยิ้มระรื่นว่า “ชิงเฉิน เจ้าอย่าหนีสิ ข้าเห็นอย่างชัดเจนเลยนะ บัดนี้อาจารย์อาเยี่ยไม่ปิดบังความรู้สึกที่มีต่อเจ้าเลยแม้แต่น้อยนะ”
“ชิงเกอ คำพูดนี้เจ้าอย่าพูดส่งเดช” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว
สังเกตได้ถึงความไม่พอใจของมั่วชิงเฉิน ต้วนชิงเกอกลับไม่สนใจ เอ่ยต่อว่า “ชิงเฉิน ด้วยสติปัญญาของเจ้า ไยต้องพูดเรื่องขัดต่อความรู้สึกด้วย ให้ข้าดูนะ อาจารย์อาเยี่ยกลับเหมาะสมกับเจ้าทีเดียว”
เห็นมั่วชิงเฉินอยากพูด จึงยื่นมือกุมมือนางไว้ เอ่ยต่อว่า “ข้าไม่ใช่เห็นพรสวรรค์ฐานะของอาจารย์อาเยี่ยเป็นเช่นไรเช่นไร ที่หายากที่สุดกลับเป็นน้ำใจที่เขามีต่อเจ้า ต้องรู้ว่าผู้ชายคนหนึ่งต่อให้ดีเพียงใด ในใจไม่มีเจ้า อย่างอื่นล้วนไม่ต้องพูดถึง”
มั่วชิงเฉินนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ชิงเกอ ข้าไม่อยากพูดเรื่องพวกนี้”
นางไม่ค่อยเข้าใจ ด้วยนิสัยของต้วนชิงเกอ ไยวันนี้ถึงตื๊อนางพูดเรื่องนี้ นี่ไม่เหมือนรูปแบบการวางตัวของนาง
กลับไม่คิดว่าสิ่งที่ต้วนชิงเกอพูดต่อมาเกือบทำให้มั่วชิงเฉินร่วงลงจากเรือเมฆา “ชิงเฉิน ใช่หรือไม่ที่เจ้ารู้สึกต่อ…ต่อนักพรตเหอกวง…”
มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นโดยพลัน จ้องต้วนชิงเกอเนิ่นนาน เห็นนางสีหน้าเคร่งเครียด จึงค่อยๆ พยักหน้า แล้วถอนใจเบาๆ ว่า “ชิงเกอ ที่แท้เจ้ารู้แล้ว”
ต้วนชิงเกอถอนใจเสียงหนึ่งเช่นกัน “ชิงเฉิน พวกเราอยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็ก หลายปีมานี้สนิทกันดั่งพี่น้อง คนอื่นเจ้าไม่ค่อยคบหาด้วย ศิษย์พี่มั่วก็เป็นคนนิสัยไม่คิดเล็กคิดน้อย ความในใจเจ้าปิดคนอื่นได้ แต่จะปิดข้าได้เช่นไรอีก?”
มั่วชิงเฉินก้มหน้าลูบขนของอีกาไฟ ไม่พูด
ต้วนชิงเกอเห็นดังนั้น แล้วแอบถอนใจ เดิมทีเรื่องระหว่างชายหญิงไม่ใช่เรื่องที่นางควรพูดมาก ทว่ามั่วชิงเฉินกลับเป็นสหายที่ดีที่สุดของนาง นางไม่อยากเห็นนางต่อไปยิ่งเดินยิ่งยากจริงๆ กระทั่งทำลายหนทางเซียนอันรุ่งโรจน์
“ชิงเฉิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าในโลกนี้มีรักต้องห้ามสองชนิด?” ต้วนชิงเกอถาม
มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้น แล้วพยักหน้านิ่งๆ “นักพรตจื่อซีเคยบอกข้าแล้ว”
ต้วนชิงเกอชะงักงัน จากนั้นว่า “พูดเช่นนี้ แสดงว่าอะไรๆ เจ้าก็คิดดีแล้ว ยังไม่เปลี่ยนใจ?”
มั่วชิงเฉินถอนใจแผ่วเบาว่า “ชิงเกอ เจ้าว่าความรู้สึกที่มีต่อคนคนหนึ่ง ไม่ใช่เชือกเสียหน่อย คิดจะขาดก็ขาดได้เช่นไรกัน?”
“ชิงเฉิน บัดนี้ข้าถึงพบว่าบางทีเจ้าฉลาดเฉลียวมาก บางทีกลับเหมือนเด็กก็ไม่ปาน เจ้าคงไม่คิดว่านี่เป็นเพียงเรื่องระหว่างเจ้ากับท่านนักพรต ไม่เกี่ยวกับคนอื่นหรอกนะ?” ต้วนชิงเกอถาม
มั่วชิงเฉินชะงักแผ่วเบา บอกตรงๆ ที่นางใส่ใจเสมอมาคือความคิดของกู้หลีจริงๆ โดยที่ไม่ใช่ความคิดของคนอื่น
เห็นตนคาดไว้ไม่ผิด ต้วนชิงเกอส่ายศีรษะว่า “ชิงเฉิน แรงต้านจากคนอื่น ใหญ่กว่าที่เจ้าคิดไว้มาก ใหญ่ถึงขั้นไม่ว่าเจ้าหรือว่าท่านนักพรต ล้วนยากจะรับไหว ข้า ยามข้ายังเด็กก็เคยเห็นเรื่องเช่นนี้มาก่อน”
สายตาของมั่วชิงเฉินมองมา ต้วนชิงเกอเอ่ยต่อว่า “ยามนั้น บิดาข้าพาข้าหลบอยู่ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่งทำงานจิปาถะ ในสำนักนั้นมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเพียงคนเดียว แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานก็มีเพียงไม่กี่คน ในนั้นมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงท่านหนึ่งรับศิษย์ไว้คนหนึ่ง ศิษย์คนนั้นทั่วทั้งสำนักนับว่าพรสวรรค์โดดเด่นแล้ว ค่อนข้างเป็นที่โปรดปรานของเหล่าผู้อาวุโสในสำนัก ใครจะรู้ว่าศิษย์อาจารย์สองคนนานวันเข้าเกิดรักกัน ศิษย์คนนั้นหลังจากสร้างรากฐานก็พูดกับผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณขอสู่ขออาจารย์ ยามนั้นข้ายังเด็ก ไม่เข้าใจความร้ายแรงในนี้ รู้สึกเพียงว่าทั้งสองคนต่างเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน อยู่ด้วยกันเป็นเรื่องที่สมควรมาก ใครจะคิดว่าทั่วทั้งสำนักมีแต่คนตำหนิ ผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณที่มีเพียงท่านเดียวนั้นยิ่งบันดาลโทสะ ประกาศว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่รับปากที่ทั้งสองคนขอเด็ดขาด สำนักแม้เล็กกลับไม่สามารถให้กลายเป็นเรื่องตลกในบรรดาสำนักทั้งหลายได้ เจ้าเดาสิ สุดท้ายพวกเขาสองคนเป็นเช่นไรแล้ว?”
“เป็นเช่นไร?” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ต้วนชิงเกอมองมั่วชิงเฉินอย่างลึกซึ้งปราดหนึ่ง พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “พวกเขาวิวาห์เหาะแล้ว กลับถูกผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณจับกลับมา ขังศิษย์คนนั้นไว้ แล้วบังคับให้อาจารย์แต่งงานกับผู้บำเพ็ญเพียรของอีกสำนักหนึ่ง ในวันแต่งงานนั้นเอง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานคนนั้นระเบิดตันเถียนตนเองตาย หลังจากนั้นอีกนานศิษย์ถูกปล่อยออกมารู้ข่าวนี้เข้า นิสัยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเดินสู่ทางมาร ประกาศว่าวันหนึ่งจะต้องกลับมาฆ่าล้างสำนักไม่ให้เหลือแม้ต้นไม้ใบหญ้าสักต้นให้ได้ บิดาข้าเห็นสำนักนั้นพายุกระหน่ำ จึงพาข้าจากมาอย่างเงียบๆ”
มั่วชิงเฉินฟังแล้วไม่ขยับเขยื้อน สีหน้าไม่รู้คิดอะไร
ต้วนชิงเกอออกแรงบีบมือของมั่วชิงเฉินว่า “ชิงเฉิน ความรักระหว่างสองคนนั้นแม้น่าชื่นชมสรรเสริญ ทว่าจุดจบเป็นเช่นไรล่ะ? เราก้าวขึ้นหนทางเซียน อายุยืนกว่าคนธรรมดามาก มีเวลามากมายไปทำเรื่องที่คนธรรมดาไม่มีวันทำได้ ความรักเช่นนี้ เหมาะกับพวกเราจริงหรือ?”
พูดถึงตรงนี้ลุกขึ้นยืนยกมือโยนอาวุธเวทเหินหาวของตนออกแล้วกระโดดขึ้นไป แล้วหันกลับมาว่า “ต่างพูดกันว่าอิจฉาเยวียนยางไม่อิจฉาเซียน ทว่าเยวียนยางนั่นกลับครองคู่อยู่อย่างอิสระ ชิงเฉิน หากเป็นเจ้ากับท่านนักพรต สามารถทำได้เช่นนี้หรือไม่? อีกอย่าง ความในใจของนักพรตตกลงเป็นเช่นไรอีกล่ะ?”
พูดพวกนี้จบ ต้วนชิงเกอก็บังคับอาวุธเวทเหินหาวไปไกลแล้ว ลากลำแสงสีฟ้าสายหนึ่งขึ้นบนฟ้า
มั่วชิงเฉินนั่งอยู่บนเรือเมฆาไม่ขยับเขยื้อน ผ่านไปเนิ่นนาน ถึงบังคับเรือเล็กบินสู่เขาป่าไผ่อย่างช้าๆ
เวลาถึงสามวันให้หลังอย่างรวดเร็ว มั่วชิงเฉินตื่นแต่เช้า ยังเช้าอยู่จึงไม่รีบไปเขาโฮ่วเต๋อ หากแต่เดินเล่นอยู่นอกห้องข้างสวนสมุนไพร
สัญญาแปดปีกับหัวหน้าตระกูลหวังทะเลขนาบใจถึงแล้ว ที่เหนือความคาดหมายของนางคือหัวหน้าตระกูลหวังไม่คิดว่าจะไม่เคยมาหาที่สำนักเลย หรือว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น?
หากเป็นเช่นนี้ ตนไปครั้งนี้ไม่รู้วันใดถึงได้กลับมา สัญญาที่ไม่ได้ทำตาม นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ดีมากๆ
คิดไปคิดมา บัดนี้ในเหยากวงยังไม่สามารถหาคนที่ไหว้วานเรื่องนี้ได้จริงๆ โอสถอายุวัฒนะไม่เหมือนอย่างอื่น ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเห็นแล้วก็ต้องตาแดง
กวาดมองไปที่เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งที่กำลังยุ่งอยู่ในสวนสมุนไพร มั่วชิงเฉินตัดสินใจแล้ว เรื่องถึงขั้นนี้ ก็ได้แต่มอบเรื่องนี้ให้พวกนางสองคนแล้ว
หลายปีมานี้สองคนนี้นิสัยเป็นเช่นไรตนล้วนเห็นกับตา ยิ่งกว่านั้นพวกนางตบะยังตื้น อยู่ในสำนักก็ได้แต่พึ่งพาตนเอง อีกทั้งมีใจเคารพหัวหน้าตระกูลหวังอีก เปรียบเทียบดูแล้วกลับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
“เหลียงเฉิน เหม่ยจิ่ง พวกเจ้ามานี่” มั่วชิงเฉินกวักมือ
“คุณหนู ท่านรับปากพาพวกเราไปแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?” เหลียงเฉินถามอย่างประหลาดใจ
มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก นางหนูเหลียงเฉินคนนี้ตั้งแต่รู้ว่านางจะออกจากสำนักอีกครั้ง ก็ตื๊อจะตามไปด้วย หลังจากถูกปฏิเสธก็ยังถามขึ้นเป็นระยะๆ ส่วนเหม่ยจิ่ง แม้ไม่ออกเสียง ดวงตากลมโตคู่นั้นกลับมักมองนางอย่างละห้อย พลังทำลายล้างสูงกว่าอีก
“พวกเจ้าอย่าเหลวไหลอีกเลย นี่ข้าจะไปสนามรบ ไม่ถึงระดับสร้างรากฐาน ข้าไม่มีวันพาพวกเจ้าออกไปหรอก” มั่วชิงเฉินพูดอย่างเด็ดขาด จากนั้นหยิบกล่องหยกที่แปะยันต์ใบหนึ่งมอบให้เหม่ยจิ่งว่า “เหม่ยจิ่ง กล่องหยกนี้เจ้าเก็บไว้ให้ดี หากหัวหน้าตระกูลหวังแห่งทะเลขนาบใจมาหาข้า ก็มอบสิ่งนี้ให้เขา”
เหม่ยจิ่งยื่นมือรับไปแล้วเก็บเข้าถุงเก็บวัตถุตน เอ่ยอย่างจริงจังว่า “เจ้าค่ะ คุณหนู”
มั่วชิงเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เหม่ยจิ่ง กล่องหยกนี้เจ้าจำเป็นต้องมอบให้หัวหน้าตระกูลหวังกับมือ นอกจากเขา ห้ามมอบให้ผู้อื่นเด็ดขาด จำได้หรือไม่?”
เหม่ยจิ่งกราบลงไปทันทีว่า “เหม่ยจิ่งจะไม่ทำให้คุณหนูผิดหวังเด็ดขาดเจ้าค่ะ”
มั่วชิงเฉินถึงได้พยักหน้า พาอีกาไฟกระโดดขึ้นอาวุธเวทเหินหาว บินสู่เขาโฮ่วเต๋อ
ตอนที่ 259 เกิดอันตรายระหว่างทาง
มั่วชิงเฉินนึกไม่ถึงว่า สมบัติวิเศษเหินหาวของผู้เฒ่าซานอินจะเป็นแส้ขนหางจามรีขาวดุจหิมะอันหนึ่ง แม้ด้วยนิสัยของเขาใช้แส้ขนหางจามรีให้ความรู้สึกประหลาดมาก ทว่าจับคู่กับคิ้วยาวขาวสะอาดดุจหิมะของเขาแล้ว ก็ขับกันได้อย่างน่าสนใจทีเดียว
“ทุกคนขึ้นมาเถอะ” นักพรตซานอินกวาดมองทุกคนอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง
ศิษย์ที่ออกเดินทางครั้งนี้นอกจากผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณสามท่าน ก็คือศิษย์ระดับสร้างรากฐานทั้งหมด ระดับสร้างรากฐานระยะต้นและกลางมีเกือบร้อยคน ระยะหลังกลับไม่ถึงสิบคน
มั่วชิงเฉินแอบนับๆ ดูแล้ว หากเป็นเช่นนี้ละก็ ศิษย์ระดับสร้างรากฐานที่เหยากวงส่งออกมาทั้งหมดมีสองร้อยกว่าคนแล้ว บวกกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดท่านหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสิบเอ็ดท่าน ต่อให้เป็นสำนักขนาดกลางก็มีคนประมาณนี้เอง ก็ไม่รู้ว่าแดนสวรรค์มี่หลัวตูมีอะไรวิเศษ คุ้มค่าให้สำนักใหญ่เช่นเหยากวงลงทุนถึงเพียงนี้ คนตาดีล้วนรู้ว่าสี่สำนักแปดนิกายเป็นดังพี่น้องแต่กลับเป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยอย่างทุ่มสุดตัวเช่นนี้ พูดถึงที่สุดแล้วก็ยังคงเพราะผลประโยชน์นั่นเอง
“ศิษย์หลานมั่ว เจ้ายังเซ่อทำอะไรอยู่ หรือว่าไม่เต็มใจไป?” เห็นมั่วชิงเฉินไม่ขยับเขยื้อน นักพรตซานอินถามเสียงเย็น
เยี่ยเทียนหยวนมองไปที่นักพรตซานอินว่า “ศิษย์พี่ซานอิน ให้ศิษย์หลานมั่วนั่งสมบัติวิเศษเหินหาวของข้าเถอะ” พูดพลางโยนใบไม้สีเขียวมรกตใบหนึ่งออกไปบนฟ้า ใบไม้ใบนั้นยิ่งโตยิ่งใหญ่ โตถึงขนาดเท่าห้องห้องหนึ่งเต็มๆ ถึงหยุดลง เส้นใยชัดเจน กระทั่งสามารถเห็นขนอ่อนสีเขียวที่นุ่มละเอียด
อาวุธเวทเหินหาวที่เยี่ยเทียนหยวนใช้ในระดับสร้างรากฐานก็เป็นรูปใบไม้เช่นกัน ยามที่เขาเตรียมตัวก่อแก่นปราณเสวียนหั่วเจินจวินก็เริ่มรวบรวมวัตถุดิบชั้นเลิศสำหรับหลอมสมบัติวิเศษเหินหาวแล้ว รอเขาก่อแก่นปราณสำเร็จก็มอบวัตถุดิบพวกนั้นแก่เขา คิดไม่ถึงว่าเขากลับมีนิสัยระลึกถึงสิ่งเก่าๆ สุดท้ายสมบัติวิเศษเหินหาวที่หลอมออกมา ยังคงหน้าตาเช่นนี้
“ขอบคุณอาจารย์อาเยี่ย” มั่วชิงเฉินหลังจากเอ่ยขอบคุณ ก็ลากต้วนชิงเกอกระโดดขึ้นไปท่ามกลางสายตาเผ็ดร้อนของทุกคน
เช่นนี้แม้กระพือไฟซุบซิบของคนไม่น้อยขึ้น อย่างไรเสียก็ดีกว่านั่งสมบัติวิเศษเหินหาวของนักพรตซานอินมาก เขาในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ หากระหว่างทางใช้แผนร้ายอะไรก็พอให้ตนเหลือทนแล้ว
คิดไม่ถึงว่าสมบัติวิเศษเหินหาวของเยี่ยเทียนหยวนนั่งขึ้นมานิ่มนวลกำลังดี ไม่คิดว่าจะยังสบายกว่าเตียงทั่วไปอีก มั่วชิงเฉินอดพิจารณาสมบัติวิเศษอย่างประหลาดใจปราดหนึ่งไม่ได้ ถึงพบว่าที่สบายเช่นนี้ก็เพราะความดีความชอบของขนอ่อนนุ่มละเอียดพวกนั้น
มั่วชิงเฉินทนไม่ไหวเหลือบมองเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่ง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่านิสัยสันโดษเช่นเขาสามารถหลอมสมบัติวิเศษเช่นนี้ออกมาได้
เยี่ยเทียนหยวนรับรู้ได้ถึงสายตาของมั่วชิงเฉิน กลับหันหน้าไป ดูเหมือนกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แล้วอดเร่งความเร็วสมบัติวิเศษเหินหาวที่นั่งอยู่ขึ้นไม่ได้
พริบตาเดียวผ่านไปครึ่งเดือนกว่าแล้ว การเดินทางมาถึงครึ่งทางแล้ว มั่วชิงเฉินแอบทอดถอนใจว่าความเร็วในการเดินทางของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณต้องเร็วกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานมากเลย นี่ขนาดพาพวกเขามามากถึงเพียงนี้ หากไม่เช่นนั้น เกรงว่ายามนี้คงถึงแล้ว
“ชิงเฉิน” จู่ๆ ต้วนชิงเกอก็เรียกออกเสียง
มั่วชิงเฉินมองข้ามมา
ต้วนชิงเกอตบๆ สมบัติวิเศษเหินหาวที่นั่งอยู่ ถอนใจว่า “สมบัติวิเศษเหินหาวที่สบายเช่นนี้ ข้าเพิ่งเคยนั่งเป็นครั้งแรก นั่งอยู่บนนี้จนไม่อยากคิดถึงจุดมุ่งหมายอะไรแล้ว รู้สึกเพียงว่าการตะลอนไปในฟ้าดินเช่นนี้ ช่างเป็นความสุขของชีวิตจริงๆ”
“ใช่” มั่วชิงเฉินรู้สึกเช่นเดียวกัน
ต้วนชิงเกอมองมั่วชิงเฉินอย่างซุกซนปราดหนึ่ง เอ่ยเสียงเบาว่า “ชิงเฉิน เจ้าว่าพวกเราถึงสำนักลั่วสยาเช่นนี้ ถูกหรวนหลิงซิ่งเห็นเข้า นางจะเป็นเช่นไร?”
มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชาลง ผู้หญิงเจ้าปัญหาคนนั้น ไยนางถึงลืมได้นะ เกรงว่าไปครั้งนี้ ต้องสับสนอลหม่านอีกเป็นแน่
เมื่อคิดเช่นนี้จึงอดกวาดมองเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่งไม่ได้ แล้วถอนใจ
“ช่างนางเป็นเช่นไร หากนางไม่คำนึงถึงอะไรจริงๆ ข้าก็ไม่กลัวนาง” มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงเย็น
ในยามนี้เองจู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ปั่นป่วนอย่างรุนแรง มั่วชิงเฉินกระโดดขึ้นทันที
บนฟ้าที่อยู่ควันดำโขมงขึ้นมาทันที เสียงร้องด้วยความตกใจของผู้บำเพ็ญเพียรลอยมารางๆ จากในกลุ่มควันเข้ม
มั่วชิงเฉินมองไปรอบๆ ไม่คิดว่าจะไม่เห็นคนอื่นแล้ว หมอกควันสีดำคละคลุ้งห้อมล้อมอยู่รอบตัว ดูเหมือนโบกอย่างไรก็ไม่หายไป
ผิดปกติ ตนฝึกสายตามาตั้งแต่เล็ก ต่อมาก็หยดของเหลวในตาของอสูรปลาขั้นห้าอีก หมอกหนาธรรมดา ไม่มีเหตุผลที่จะมองไม่ชัดเจน
มั่วชิงเฉินแอบตกใจสงสัย หรือว่าหมอกหนานี้แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็มองไม่ทะลุ หรือว่า นี่คือภาพลวงตาที่แยบยล?
คิดได้เช่นนี้ นางระแวดระวังไปพลางเดินหน้าอย่างหยั่งเชิงไปพลาง
สัมผัสที่ส่งผ่านมาจากใต้เท้าทำให้นางแน่ใจว่าไม่ใช่ความรู้สึกของการเหยียบอยู่บนสมบัติวิเศษเหินหาวของเยี่ยเทียนหยวนแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน หรือว่าพวกเขาถูกย้ายที่ในชั่วอึดใจ?
ที่ทำให้มั่วชิงเฉินยิ่งกลัวคือ ยามเพิ่งเริ่มในหมอกหนายังมีเสียงร้องของผู้บำเพ็ญเพียรดังมารางๆ ทว่าบัดนี้ กลับไม่ได้ยินเสียงใดๆ แล้ว
“ชิงเกอ…” มั่วชิงเฉินลองเรียกหยั่งเชิงดู
เสียงนี้ดูเหมือนถูกกักอยู่ในหมอกหนาส่งออกไปไม่ได้ เพียงแต่มีเสียงสะท้อนดังขึ้นเป็นระลอก
มั่วชิงเฉินหุบปากทันที ยกมือขึ้นส่งยันต์ส่งสารออกไปแผ่นหนึ่ง
ยันต์ส่งสารตกจากกลางอากาศกลับเข้ามือมั่วชิงเฉิน มืดมนไร้แสง
ยันต์ส่งสารก็ส่งไม่ได้!
ในยามนี้ มือใหญ่สีดำข้างหนึ่งค่อยๆ ยื่นออกมาจากในหมอกดำที่ควันหนาคละคลุ้ง จับไปที่ข้อเท้าของมั่วชิงเฉินอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
มั่วชิงเฉินกระโดดขึ้นโดยพลัน หมุนตัวอยู่กลางอากาศหลายตลบ ชุดกระโปรงสีเขียวปลิวตาม สองมือถือกระบี่ชิงมู่แทงลงล่างไป กระบี่ยาวแทนถึงมือใหญ่สีดำ มือใหญ่นั่นสั่นไปมา กลายเป็นควันดำสลายเข้าไปในหมอกหนา
มั่วชิงเฉินขวางกระบี่ไว้ที่หน้าอกร่อนลงพื้นเงียบๆ พื้นที่เหยียบอยู่กลับจู่ๆ ก็ขยับ ร่างกายโคลงเคลงขึ้นมาทันที นางมือไวตาเร็วใช้กระบี่ยาวแตะพื้น จากนั้นเท้าสองข้างห่างจากพื้นลอยอยู่กลางอากาศแล้วมองลงล่างไป ถึงได้พบว่าพื้นนั่นใช่พื้นดินอะไรที่ไหน นั่นเป็นหลังของคางคกยักษ์ตัวหนึ่งชัดๆ
คางคกตัวนั้นยกหัวขึ้นช้าๆ ท้องพองออก ตาจ้องมั่วชิงเฉินไม่ได้ส่งเสียงสักแอะ ในตากลับฉายกลิ่นอายแห่งความตาย
มั่วชิงเฉินจ้องท้องที่พองกลมของคางคก ในใจรู้สึกหนาวจับใจ ทันใดนั้นไม่กล้าลงพื้นอีก ยืนอยู่กลางอากาศ
ในเวลานี้เองจู่ๆ เสียงแว้ดๆ ของอีกาไฟก็ดังขึ้น ลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งเข้าใส่คางคกโดยพลัน
“อู๋เย่ว์!” มั่วชิงเฉินร้องด้วยความตกใจ อีกาไฟอยู่ในถุงอสูรวิญญาณตลอดเวลา ไม่คิดว่าจะพุ่งออกมาโดยตรงโดยที่ตนไม่ได้เรียก นี่ยังเป็นครั้งแรก
ฉากต่อจากนั้นยิ่งทำให้มั่วชิงเฉินตกตะลึง ก็เห็นอีกาไฟบินวนคางคกไปมา และจิกคางคกเป็นระยะเหมือนไก่ชน
ส่วนคางคกก็ยื่นลิ้นยาวๆ กวาดไปกวาดมา บนลิ้นเต็มไปด้วยหนามแหลม ไม่ต้องคิดมากก็รู้ว่าหากถูกกวาดถูก ต้องถูกลอกหนังออกมาชั้นหนึ่งเป็นแน่
ในชั่วขณะหนึ่ง อีกาไฟและคางคกดำยิ่งสู้ยิ่งสะใจ กลับเมินมั่วชิงเฉินไว้ข้างๆ เสียแล้ว
มั่วชิงเฉินเป็นห่วงอีกาไฟ สายตาจ้องพื้นตลอดเวลา กลับไม่เต็มใจรอเป็นฝ่ายถูกกระทำ จึงบินขึ้นฟ้าไปช้าๆ
บินถึงที่ที่สูงไม่ถึงสองจั้ง ทันใดนั้นลมปีศาจที่รุนแรงสายหนึ่งพัดมาเหนือศีรษะ พลังวิญญาณทั้งตัวถูกพัดหายไปกว่าครึ่งทันที นางตกใจรีบร่อนลงไป
แหงนหน้ามองเมฆดำบดบังตะวันเหนือศีรษะ สายตามั่วชิงเฉินมองไปที่อีกาไฟใหม่อีกครั้ง
ในเวลานี้การสู้กันของอีกาไฟและคางคกดำพอเห็นแพ้ชนะแล้ว อีกาไฟที่อยู่บนฟ้าได้เปรียบ ฉวยโอกาสยามที่คางคกดำเพิ่งหดลิ้นกลับไปพ่นลูกไฟออกมาลูกหนึ่งในบัดดล ระหว่างที่คางคกดำกำลังสกัดก็เห็นอีกาไฟกางปีกสีดำออกกว้าง ยื่นกรงเล็บออกตะปบไปที่หนังท้องคางคกดำเหมือนเทพแห่งความตาย
คางคกดำแลบลิ้นออกต้านทันที ตะแคงตัวบดบังหนังท้องไว้ กลับคาดไม่ถึงว่าอีกาไฟใช้แผนหลอก กรงเล็บตะปบหนังท้องเป็นท่าหลอก ปากจิกไปที่ตาคางคกดำถึงเป็นของจริง
แล้วก็ได้ยินเสียง ‘แกร๊บ’ อย่างอนาถเสียงหนึ่ง คางคกดำหงายหลังลงพื้นทันทีเจ็บจนชักกระตุกไม่หยุด ท่ามกลางความโกรธแค้นจึงม้วนลิ้นยาวๆ ขึ้นทันทีกวาดไปทางอีกาไฟอย่างดุดัน
อีกาไฟถูกกวาดขนสีดำร่วงลงมาหลายเส้น ตรงนั้นโล้นเลี่ยนทันที ไม่คิดว่ามันกลับไม่ร้องสักแอะ กรงเล็บสองข้างกดหนังท้องคางคกดำไว้แน่น ปากจิกตาคางคกดำไม่หยุด กินจนเสียงดังชู่ว์ๆ
มั่วชิงเฉินมองเงียบๆ ไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง อีกาไฟนับแต่ติดตามนาง เหนือใต้ออกตกเดินทางไปสถานที่ไม่น้อย กลับหาน้อยที่จะเห็นมันมีเวลาที่แข็งกร้าวเช่นนี้
ไม่ว่าใครก็เติบโตแทนกันไม่ได้ อสูรวิญญาณก็เช่นกัน
อย่างรวดเร็ว ตาสองข้างของคางคกดำก็ถูกกินจนเหลือหลุมดำสองหลุม อีกาไฟเช็ดปาก แล้วบินไปที่หัวไหล่ของมั่วชิงเฉินอย่างดีอกดีใจ
สายตามั่วชิงเฉินตกลงตรงที่อีกาไฟขนร่วง มันถึงได้ตกใจร้อง ‘แว้ด’ แล้วโวยวายว่า “ไม่คิดว่า ไม่คิดว่าจะทำขนอันสวยงามของข้าร่วง ช่างไม่รู้จักถนอมอิสตรีเสียเลย! ฮึ สบายมันไปแล้วจริงๆ! ถุย!”
เห็นอีกาไฟอ้าปากถ่มน้ำลายไปที่คางคกดำที่หนังท้องหงายขึ้นสี่ขาชี้ฟ้า มั่วชิงเฉินคิดอะไรขึ้นได้ เปิดปากว่า “อู๋เย่ว์ เจ้าไปแหวกหนังท้องมันดูหน่อย”
“แว้ดๆ” อีกาไฟเผยสีหน้ารังเกียจออกมา
“รีบไป” มั่วชิงเฉินเร่งเร้าว่า
อีกาไฟบินร่อนลงไปอย่างไม่เต็มใจ ยื่นกรงเล็บกรีดที่หนังท้องสีขาวของคางคกดำทีหนึ่ง
เสียงเนื้อหนังถูกกรีดออกลอยมา ชายเสื้อสีเขียวโผล่ออกมามุมหนึ่ง
มั่วชิงเฉินหน้าถอดสี รีบร่อนลงไปทันที เท้าไม่แตะพื้น แล้วใช้กระบี่ยาวกรีดท้องคางคกดำออกจนหมด
ร่างคนที่สมบูรณ์ร่างหนึ่งกลิ้งออกมา เสื้อผ้าที่ใส่บนตัวเป็นชุดสำนักเหยากวงอย่างโดดเด่น
มั่วชิงเฉินไม่ต้องตรวจสอบ ก็สามารถรับรู้ได้ว่าคนตรงหน้าไร้ซึ่งชีวิตชีวา เกรงว่าจะตายไปนานแล้ว
นี่เป็นใบหน้าที่ดูแล้วยังหนุ่มมาก ชุดเขียวขอบดำแสดงให้เห็นถึงฐานะศิษย์ในสำนักของเขา
นางไม่รู้จักคนผู้นี้ กลับรู้สึกหน้าคุ้น อาจเพราะก่อนหน้านี้ไม่นานเขายังเรียกตนว่าศิษย์พี่มาก่อน เป็นคนหนุ่มธรรมดาที่พูดถึงศิษย์หญิงที่งดงามในสำนักอย่างกระชุ่มกระชวยเหมือนคนอื่น อยู่ในวัยกำลังสดใส อนาคตไร้ขอบเขต ทว่าบัดนี้กลับต้องฝังตัวในท้องคางคกตัวหนึ่ง
ยังไม่ได้ก้าวเข้าสนามรบ บทโหมโรงก็เปิดฉากขึ้นแล้ว ความโหดร้ายของมัน ก็อวดมุมหนึ่งของภูเขาน้ำแข็งต่อหน้าผู้คนทั้งเช่นนี้
มั่วชิงเฉินยกมือขึ้น หยิบถุงเก็บวัตถุบนศพมา จากนั้นเก็บศพเข้าไปในถุงเก็บวัตถุ รอเรื่องจบแล้วค่อยมอบถุงเก็บวัตถุนี้ให้สำนักแล้วกัน
“เจ้านาย เราไปเถอะ” อีกาไฟกลับไม่มีความรู้สึกร่วมพวกนี้ เอ่ยอย่างคึกคักว่า
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วว่า “ที่นี่ปกคลุมไปด้วยควันดำรอบด้าน ไม่รู้แอบซ่อนอันตรายไว้เท่าไร ไม่สู้ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวดีกว่า”
อีกาไฟกลับทำหน้ามุ่ย “เจ้านาย ข้ายังกินไม่อิ่มเลยนะ!”
มั่วชิงเฉินกวาดมองอีกาไฟปราดหนึ่งว่า “อู๋เย่ว์ เจ้าชอบกินตาของคางคกดำนี่หรือ?”
อีกาไฟพยักหน้าแรงๆ
“เพราะอะไร?”
อีกาไฟคิดๆ ดู เผยให้เห็นสายตาสับสนว่า “ข้าก็ไม่รู้ แค่อยากกิน”
มั่วชิงเฉินคิดขึ้นได้ การกินอาหารโดยสัญชาตญาณของอสูรปีศาจสามารถทำให้มันเลื่อนขั้นหรือได้พลังบางอย่างจากอาหาร หรือว่าอีกาไฟก็เป็นเช่นนี้?
เมื่อคิดเช่นนี้ จึงพยักหน้าว่า “เช่นนั้นได้ พวกเราไป!”
ตอนที่ 260 ยายแก่ประหลาด
“อู๋เย่ว์ ระวัง!” เห็นอีกาไฟและคางคกดำตัวหนึ่งตีกันขึ้นมาอีก มั่วชิงเฉินกลืนโอสถเติมวิญญาณลงไป ในสถานที่เช่นนี้ นางไม่กล้าให้พลังวิญญาณในร่างน้อยกว่าครึ่ง
ต่อให้เป็นเช่นนี้ นางก็ไม่กล้าหลับตานั่งสมาธิให้พลังวิญญาณฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว เพราะการสู้รบในระยะนี้ ล้วนมีของลับๆ ล่อๆ ลอบโจมตีจากที่ลับ ทำให้คนป้องกันไม่ทัน
เป็นไปตามคาด ในยามที่มั่วชิงเฉินดูอีกาไฟและคางคกดำสู้กันแอบฟื้นฟูพลังวิญญาณนั้น แมงป่องแดงเข้มตัวหนึ่งคลานมาถึงข้างเท้านางจากในหมอกดำอย่างรวดเร็ว ก้ามหนีบไปที่ข้อเท้านาง หางแมงป่องยกขึ้นตามมาเผยให้เห็นเข็มพิษ
ดีที่มั่วชิงเฉินระวังใต้เท้าตลอดเวลา เห็นจู่ๆ แมงป่องแดงเข้มตัวหนึ่งโผล่มา จึงโยนมุกสีแดงเม็ดหนึ่งออกโดยตรงดอกไม้แดงสดดอกหนึ่งผลิออกกลางอากาศ อ้าปากกลืนแมงป่องลงไป
ใครจะรู้ว่าดอกตะกละรับการจู่โจมจากคาถาหรืออาวุธเวทผลลัพธ์ไม่เลว แต่กับแมงป่องแดงเข้มนี้กลับไม่ได้ผล ดอกแดงสดเ**่ยวแห้งกลายเป็นดอกไม้แห้งอับเฉาด้วยความเร็วที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า จากนั้นกลายเป็นผุยผงสลายไปในอากาศ แมงป่องมุดออกมาพุ่งไปหามั่วชิงเฉิน
พูดไปแล้ว รับมือแมงป่องใช้ไฟโจมตีก็เป็นวิธีที่ดี ทว่ามั่วชิงเฉินกลับไม่กล้าใช้เพลิงแก้วใจกระจ่าง จึงยกมือขึ้นดีดเข็มสีเขียวเข้มเล่มหนึ่งแทงไปที่หลังแมงป่อง
ไม่คิดว่าหลังแมงป่องแข็งไร้เทียมทาน เข็มสีเขียวเข้มเพียงทิ้งรอยสีขาวจางๆ ไว้รอยหนึ่งก็ลื่นหล่นไปแล้ว
มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าเจ้าตัวเล็กนี่กลับรับมือยากทีเดียว
ในเวลานี้เองเสียงสวบสาบที่ทำให้คนขนหัวลุกดังมา มั่วชิงเฉินสีหน้าซีดเซียวทันที มองดูแมงป่องนับไม่ถ้วนกรูมาที่นางกับตา
ในเมื่อรับมือยุ่งยาก เราก็หลบ!
มั่วชิงเฉินปลายเท้าแตะเบาๆ บินขึ้นข้างบนช้าๆ ในสถานที่ประหลาดนี้แม้บินสูงไม่ได้ อย่างไรเสียแมงป่องฝูงนี้ก็คงไม่ตามมากระมัง
ใครจะรู้ว่าเรื่องก็ประหลาดแล้ว มั่วชิงเฉินเพิ่งคิดเช่นนี้เสร็จ ก็เห็นแมงป่องฝูงนั้นไม่รู้งอกปีกโปร่งใสออกมาจากไหน บินตามขึ้นมาแล้ว
ถูกแมงป่องพิษฝูงหนึ่งล้อมกรอบ ต่อให้เป็นใครก็ต้องขนหัวลุก
มั่วชิงเฉินผ่านศึกใหญ่เล็กมานับไม่ถ้วน เมื่อใดที่เข้าสู่การรบกลับโยนความรู้สึกพวกนี้ทิ้งไปแล้ว เพียงแต่ร่างกายบินวนไม่หยุดเพื่อนหลบแมงป่อง แล้วร่ายรำกระบี่ชิงมู่ดอกไม้วิญญาณลอยออกมามากมายพันตูกับแมงป่องนับไม่ถ้วน
“เจ้านาย ข้ามาช่วยแล้ว!” อีกาไฟอ้าปากพ่นลูกไฟออกเป็นพรวน กลางอากาศดังเปรี๊ยะๆ เป็นเสียงแมงป่องไหม้ไฟตัวระเบิดออก
ใครจะรู้ว่านี่กลับกระตุ้นนิสัยโหดเ**้ยมของแมงป่อง พวกมันไม่สนใจดอกไม้วิญญาณอีก สะบัดหางพุ่งไปหามั่วชิงเฉิน
ต่อให้ดอกไม้วิญญาณที่ไล่ตามมาข้างหลังฆ่าแมงป่องพิษตาย แต่กลับมีแมงป่องที่มากขึ้นโจมตีมาติดๆ กันไม่หยุดหย่อน
เสียงเคร้งๆ ดังขึ้น ฝูงแมงป่องชนเข้ากับโล่ชิงมู่ที่เกิดจากเมื่อเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ถูกโจมตี แมงป่องพวกนั้นยกหางขึ้นแทงเข้าไปเต็มแรงอย่างไม่ยอม
มั่วชิงเฉินรู้สึกปวดไปทั่วร่างทันที ที่แท้พิษพวกนั้นเข้าสู่ร่างนางผ่านกลิ่นอายวิญญาณของโล่ชิงมูแล้ว!
อสูรแมงป่องมักมาก! ไม่รู้เพราะเหตุใด มั่วชิงเฉินนึกถึงคำเล่าลือนี้ขึ้นมาทันที ทันใดนั้นก็ตัวสั่นเทิ้ม ท่ามกลางทางตันความคิดกลับกระจ่างขึ้นมา แล้วปล่อยจิตกระบี่ของเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ออกมาในยามนี้อย่างไม่คาดคิด!
เมื่อจิตกระบี่เกิด อานุภาพย่อมไม่ใช่ที่ก่อนหน้านี้จะเทียบได้ ดอกไม้วิญญาณราวกับมีชีวิต ส่งกลิ่นประหลาดออกมาเป็นระลอก แมงป่องพวกนั้นเก็บปีกขึ้น หยุดการโจมตีอย่างคาดไม่ถึง
“อู๋เย่ว์ เผาพวกมันเสีย!” รับรู้ถึงร่างกายที่ค่อยๆ ร้อนขึ้น มั่วชิงเฉินตะโกนออกเสียง
ในยามนี้เอง เสียงถอนใจยาวๆ ดังขึ้นเอื่อยๆ จากนั้นนิ้วมือดุจหยกขาวไร้ตำหนิปรากฏขึ้นกลางอากาศ วาดอักษรยันต์ประหลาดออกมาตัวหนึ่ง
ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของมั่วชิงเฉิน แมงป่องพวกนั้นบินไปหามือที่อยู่กลางอากาศ
แล้วก็เห็นมือหยกที่ประณีตดังมือทารกพลิกเบาๆ แมงป่องนับไม่ถ้วนก็รวมเป็นสายน้ำหายเข้ากลางฝ่ามือ
นี่มันของประหลาดอะไรกัน? สายตามั่วชิงเฉินจ้องตรงนั้นตาไม่กะพริบ
หมอกดำที่วนเวียนอยู่ปั่นป่วนขึ้นมา จากนั้นคนคนหนึ่งเดินออกจากกลางหาว ไม่คิดว่าจะเป็นยากแก่คนหนึ่ง!
มั่วชิงเฉินกวาดสายตามองมือที่เหมือนหยกคู่นั้นอย่างไม่รู้ตัว นางเคยเห็นสาวงามอดุลสองคน คนหนึ่งคือปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณตวนมู่จิ้ง อีกคนหนึ่งก็คือผู้ที่นับได้ว่าเป็นหนึ่งในบรรพบุรุษของตนวุนหนิง ทว่าต่อให้พวกนางโฉมดุจนางสวรรค์เช่นนั้น ก็ไม่มีมือที่สมบูรณ์แบบไร้ตำหนิเช่นนี้
และคนที่มีมือเช่นนี้ไม่คิดว่าจะเป็นยายแก่คนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นยายแก่ที่รอยเ**่ยวย่นเต็มหน้า หน้าตาน่าอนาถจนทนดูไม่ได้!
ไม่ใช่นางวาจาเชือดเฉือน หากแต่รูปโฉมของคนตรงหน้า เปลี่ยนเป็นคนอื่นก็อาจทนไม่ไหวอาเจียนออกมาแล้ว นางสามารถสีหน้าไม่เปลี่ยน ก็นับว่าความอดทนเป็นเลิศแล้ว
“นังเด็กบ้า เจ้าคิดจะเผาลูกๆ ของข้าหรือ?” เสียงเหมือนมีดตัดกระดาษขาดดังขึ้น ทำให้มั่วชิงเฉินเข่าอ่อน เกือบล้มลงไป
“โจมตีด้วยเสียง!” มั่วชิงเฉินตกใจร้องออกเสียง ไม่เห็นคลื่นพลังวิญญาณสักสาย เพียงอาศัยการเปิดปากก็ทำให้นางเกือบถูกแผน นี่ช่างร้ายกาจเหลือเกิน!
ยายแก่นั่นสีหน้ากลับยิ่งน่าเกลียดขึ้น เอ่ยเสียงแหบว่า “นังเด็กบ้า เจ้าว่าอะไร!”
มั่วชิงเฉินกะพริบตา หา หรือว่าคนผู้นี้เสียงเป็นเช่นนี้โดยกำเนิด?
เห็นหญิงสาวตรงหน้าท่าทางอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี แม้เห็นหน้าตาไม่ชัด ผิวพรรณที่เผยออกมากลับบางจนขาดได้เมื่อต้องลม ยิ่งกว่านั้นยังเพราะถูกพิษแมงป่องที่ตนเลี้ยงไว้ บริเวณคอกลายเป็นสีชมพู ดูแล้วงามยิ่งกว่าบุปผา ในตายายแก่ฉายแววพยาบาทขึ้นทันที เสียงที่ทำให้คนฟังแล้วตัวสั่นดังขึ้นอีกครั้ง “นังเด็กบ้า เกิดมามีเปลือกนอกสวยเช่นนี้ นิสัยกลับโง่เขลาสิ้นดี ไม่สู้ให้ข้าเถอะ!” พูดพลางยื่นนิ้วมือที่เป็นดังหยกไปหามั่วชิงเฉิน
ความหนาวเหน็บท่วมท้นขึ้นในใจมั่วชิงเฉิน ยายแก่ประหลาดนี่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ อย่าว่าแต่ตนถูกพิษแมงป่อง พลังวิญญาณสูญสิ้นไปครึ่งหนึ่ง ต่อให้ในยามร่างกายสมบูรณ์ดี แม้แต่หัวนิ้วเท้าของอีกฝ่ายตนก็สู้ไม่ได้
ระดับสร้างรากฐานระยะปลายและระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ นั่นคือความแตกต่างระหว่างแสงหิ่งห้อยและแสงจันทร์สว่าง ไม่อาจต้านทานได้
ทว่ายายแก่ประหลาดนี่พูดอะไร ความหมายในคำพูดนาง คือจะแย่งร่างชัดๆ!
เมื่อนึกถึงคำสองคำนั้น มั่วชิงเฉินหนาวสะท้านขึ้นมาทันที สีหน้าเย็นดั่งน้ำแข็งในทันใด จ้องมือเปล่าที่ยื่นมาตาไม่กะพริบ แล้วเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เจ้าอย่าหวังเลย!”
ตามด้วยโยนระเบิดสะท้านฟ้าออกมาเกือบร้อยลูก ส่งเสียงดังสนั่นหูแทบแตก อานุภาพแรงระเบิดอันมหาศาลโหมกระหน่ำจนหมอกดำตรงหน้าแตกออกเป็นรูใหญ่ แสงตะวันสีทองเหนือศีรษะสาดส่องเข้ามา
“นังเด็กบ้า ข้าจะฆ่าเจ้า!” ยายแก่มุมปากเลือดไหล แล้วตะโกนอย่างบ้าคลั่ง แต่ยามที่เห็นหน้าตาของมั่วชิงเฉินได้ชัดเจนกลับเหมือนถูกฟ้าผ่า สีหน้าเคลิบเคลิ้มขึ้นมา แล้วบ่นพึมพำว่า “สวยจริงๆ…”
มั่วชิงเฉินไม่คิดว่าหลังจากถูกระเบิดสะท้านฟ้านับร้อยลูกระเบิดแล้ว ยายแก่นี่แม้ได้รับบาดเจ็บกลับยังสามารถขยับได้ ตัวนางเองกลับเพราะฝืนเร่งพลังวิญญาณเพื่อให้สามารถโยนระเบิดสะท้านฟ้าออกมาได้ในพริบตา จึงทำให้พิษแมงป่องกำเริบเร็วขึ้น บัดนี้ยากจะขยับเขยื้อนได้แล้ว
“สวยจริงๆ เลย… ฮ่าๆๆ สวรรค์ชั่ว ดูท่าเจ้าก็กลัวข้าไปคิดบัญชีกับเจ้ากระทุ้งให้เป็นรูเช่นกัน ให้ข้าได้เปลือกดีเช่นนี้มา!” ยายแก่พูดพลางลูบไล้ใบหน้ามั่วชิงเฉินอย่างอ่อนโยน
“คนบ้า!” มั่วชิงเฉินอดด่าไม่ได้
ยายแก่หดมือกลับ แล้วแหงนหน้าหัวเราะร่าขึ้นมาว่า “คนบ้า ใครเป็นคนบ้า ข้าจะเป็นสาวงามอดุลทันทีแล้ว ฮ่าๆๆๆ…”
พูดถึงตรงนี้เสียงก็ขาดหายไปทันที ห่วงทองหลายอันที่มีเปลวไฟลุกไหม้ตีลงบนตัวนาง เยี่ยเทียนหยวนร่อนลงจากบนฟ้าบริเวณที่ถูกระเบิดสะท้านฟ้าระเบิดหมอกหายไป แล้วยื่นมือพยุงมั่วชิงเฉินไว้
ยายแก่ร้องอย่างอนาถ บนฟ้าปรากฏแมงป่องไฟสูงเท่าคนครึ่งคนตัวหนึ่งขึ้นในพริบตา ให้ยายแก่ขี่หลังแล้วบินหายไปเหมือนเปลวไฟสายหนึ่ง
ทันทีที่ยายแกบินหนีไป หมอกดำที่อยู่รอบตัวก็เริ่มหายไปด้วยความเร็วที่สามารถเห็นด้วยตาเปล่าอย่างคาดไม่ถึง มั่วชิงเฉินหน้าเปลี่ยนสี แหงนหน้าเอ่ยกับเยี่ยเทียนหยวนว่า “พาข้าไป!”
บัดนี้นางถูกพิษกำหนัด อีกสักครู่ถูกผู้คนของเหยากวงโดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่ไม่ประสงค์ดีต่อนางเท่าไรสองคนเห็นเข้าละก็ต้องกลายเป็นเรื่องตลกขบขันจริงๆ แล้ว
เยี่ยเทียนหยวนกอดเอวมั่วชิงเฉินไว้แน่น สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่ไม่ปกติของนาง แล้วเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ กลับไม่พูดสักคำกอดนางไว้แล้วบินออกไปไกล
“ศิษย์…หลานมั่ว เจ้าเป็นอะไรไป?” ร่อนลงในที่เปลี่ยวที่หนึ่ง เยี่ยเทียนหยวนค่อยๆ วางมั่วชิงเฉินลง แล้วก้มหน้าถามว่า
“อา…จารย์อาเยี่ย รบกวนท่านไปห่างๆ ข้าหน่อย” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างยากลำบาก
เยี่ยเทียนหยวนชะงัก กลับเดินออกไปหลายจั้งอย่างเงียบๆ
บุญคุณการช่วยชีวิตหลายครั้ง มั่วชิงเฉินยากจะทำสีหน้าเฉยเมยได้ จึงได้แต่ยิ้มอย่างสลด อธิบายว่า “อาจารย์อาเยี่ย ท่านรู้ว่าพวกเราสองคนเมื่อเข้าใกล้กัน ก็ไม่ค่อยปกติ บัดนี้ข้า บัดนี้ข้าถูกพิษอีก ไม่มีกำลังใจไปรับมืออย่างอื่นแล้วจริงๆ”
พูดถึงตรงนี้ สีหน้ายิ่งแดงก่ำเหมือนเมฆสีรุ้ง เหงื่อซึมออกหน้าผาก
“เจ้าถูกพิษอะไร?” ได้ยินคำอธิบายของมั่วชิงเฉิน เยี่ยเทียนหยวนกดความรู้สึกประหลาดในใจลง แล้วรีบถามขึ้น
มั่วชิงเฉินมองเขาอย่างอักอ่วนปราดหนึ่ง เอ่ยว่า “อาจารย์อาเยี่ย รบกวนท่านช่วยคุ้มกันให้ศิษย์ที ศิษย์พกยาถอนพิษมาด้วย”
ได้ยินมั่วชิงเฉินเรียกตนเองว่าศิษย์ไม่ขาดคำ เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้วแผ่วเบา กลับพยักหน้าแล้วเดินห่างออกไปอีก หันหลังกลับมาคอยสังเกตความเคลื่อนไหวรอบด้าน จิตตระหนักกลับไม่กล้าลงไปที่ที่มั่วชิงเฉินอยู่
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากแน่น หยิบขวดหยกออกมาใบหนึ่ง เทโอสถออกมาเม็ดหนึ่งกลืนลงไป
โอสถที่นางกิน คือโอสถน้ำค้างที่หลอมเอง เป็นโอสถชั้นดีในการแก้พิษ ในตลาดเป็นของที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ
โอสถน้ำค้างตกถึงท้อง ฤทธิ์ยากระจายออก ความรู้สึกร้อนผ่าวภายในร่างลดลงทันที สบายตัวขึ้นมาก
มั่วชิงเฉินถอนใจอย่างช้าๆ ทว่าเพียงชั่วครู่กลับสีหน้าเปลี่ยนทันที ไม่คิดว่าพิษในร่างไม่อาจถอนรากถอนโคนได้ โอสถน้ำค้างออกฤทธิ์กดพิษลงไป ทว่ารอฤทธิ์ยาโอสถน้ำค้างหายไป พิษแมงป่องนั่นก็ขึ้นมาอีกแล้ว
อสูรแมงป่องนั่นต้องกลายพันธุ์แน่ๆ ไม่คิดว่าโอสถน้ำค้างจะถอนพิษไม่ได้ ทีนี้แย่แล้ว!
มั่วชิงเฉินรู้สึกร่างกายร้อนขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนจะลุกไหม้ขึ้นมา จึงอดเหลือบเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่งไม่ได้ แล้วกัดฟันเรียกว่า “อาจารย์อาเยี่ย”
“ศิษย์หลานมั่ว เจ้าเป็นเช่นไรบ้างแล้ว?” เยี่ยเทียนหยวนเพ่งพิศสีหน้ามั่วชิงเฉิน ไม่ว่าจะดูเช่นไรก็รู้สึกไม่ปกติ
“อาจารย์อาเยี่ย ท่านไปหาคนในพรรคก่อนเถอะ ศิษย์ ศิษย์รอสักครู่ค่อยตามไป” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างยากลำบาก
เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเย็นชาลงมาว่า “ศิษย์หลานมั่ว เจ้าอย่าพูดเล่น”
“ศิษย์ไม่ได้พูดเล่น อาจารย์อาเยี่ย ขอร้องแล้ว” พูดถึงสุดท้าย มั่วชิงเฉินอดอ้อนวอนไม่ได้แล้ว
สวรรค์ หากตนทำอะไรที่ยากจะควบคุมตนเองขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าหลังจบเรื่องคงไม่มีหน้าอยู่บนโลกนี้แล้ว
“เป็นไปไม่ได้” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยอย่างสงบ สีหน้าดุจน้ำแข็ง จากนั้นมองใบหน้าแดงก่ำของมั่วชิงเฉินพลาง จู่ๆ ก็จับมือนางขึ้นมา
ตอนที่ 261 ถึงสำนักลั่วสยาครั้งแรก
มั่วชิงเฉินหลบโดยไม่รู้ตัว กลับไม่ว่าอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด จากนั้นสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณพลุ่งพล่านสายหนึ่งพุ่งเข้าร่างจากข้อมือ พลังวิญญาณที่มาจากภายนอกสายนี้ร้อนเป็นพิเศษ ห่อหุ้มไฟจริงไว้พุ่มหนึ่ง
“อาจารย์อาเยี่ย…” มั่วชิงเฉินมองเยี่ยเทียนหยวนด้วยความตกใจ
“อย่าพูด” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยเสียงต่ำ
มั่วชิงเฉินจึงได้แต่หุบปากแต่โดยดี
เยี่ยเทียนหยวนบังคับพลังวิญญาณสายนั้นว่ายไปในร่างมั่วชิงเฉินช้าๆ บีบให้พิษแมงป่องแดงเข้มที่ไหลอยู่ในร่างนางให้ล่าถอยไปยังที่หนึ่ง กลับพบว่าไฟจริงในร่างนางโลดเต้นตามมา พัวพันพลังวิญญาณที่ห่อหุ้มไฟจริงที่เขาถ่ายเข้ามาสายนั้นอย่างคาดไม่ถึง จึงอดมองมั่วชิงเฉินอย่างประหลาดใจปราดหนึ่งไม่ได้
มั่วชิงเฉินถูกเขามองจนขวัญหนีดีฝ่อ แอบรู้สึกโชคดีที่ขอเพียงไฟจริงไม่ปล่อยออก คนอื่นตรวจสอบขึ้นมาจะมองความแตกต่างของเพลิงแก้วใจกระจ่างและไฟจริงปกติไม่ออก
ยามที่พิษแมงป่องถูกบีบไปถึงซอกมุมหนึ่ง พลังวิญญาณที่มาจากข้างนอกคลายออก ไฟจริงที่ห่อหุ้มอยู่พุ่งออกโดยพลัน เผ่าพิษแมงป่องแดงเข้มก้อนนั้นจนไม่เหลือซากในพริบตา
มั่วชิงเฉินเบิกตากว้างด้วยความตะลึง เพลิงแก้วใจกระจ่างของนางอ่อนโยนสงบ รับมือพิษแมงป่องนี้ไม่ได้เลย กลับไม่คิดว่าไฟจริงของเยี่ยเทียนหยวนจะอานุภาพรุนแรงปานนี้ ไม่คิดว่าจะได้ผลกว่าโอสถน้ำค้างที่ใช้แก้พิษโดยเฉพาะเสียอีก ที่ยิ่งแปลคือรู้สึกว่าไฟจริงนั่นร้อนอย่างไร้เทียมทานชัดๆ ราวกับสามารถเผาทุกสิ่งให้เป็นจุณ แต่กลับไม่สร้างความเสียหายแม้แต่น้อยในร่างกายตน ช่างเป็นความขัดแย้งที่ประหลาดเหลือเกิน
เพราะแรงดึงดูดประหลาดระหว่างทั้งสองคน มั่วชิงเฉินแอบเดาได้แต่แรกแล้วว่าสภาพร่างกายของเยี่ยเทียนหยวนต้องมีที่ที่ต่างจากคนทั่วไปเป็นแน่
เดิมทีนางนึกว่าสาเหตุมาจากร่างหยางบริสุทธิ์ ทว่าต้วนชิงเกอที่ร่างหยินบริสุทธิ์ประจันหน้ากับเขากลับไม่มีความผิดปกติใดๆ การคาดเดานี้จึงถูกลบล้างไป คิดไปคิดมา ในเมื่อความพิเศษของตนคือการมีเพลิงแก้วใจกระจ่าง เช่นนี้ก็เป็นไปได้มากว่าเยี่ยเทียนหยวนก็มีไฟอัศจรรย์เช่นกัน หลายปีมานี้ที่ไม่มีใครรู้น่าจะเพราะตั้งใจปิดบังไว้
เห็นท่าทางตกใจของมั่วชิงเฉิน เยี่ยเทียนหยวนหดมือกลับโดยไม่พูดอะไร ยิ้มๆ อย่างคาดไม่ถึง แล้วเปิดปากว่า “เสร็จแล้ว”
“ชะ…เช่นนี้ก็เสร็จแล้ว?” เดิมทีพิษแมงป่องที่ทำให้นางกังวลเหลือเกินและกระอักกระอ่วนเป็นพิเศษ ไม่คิดว่าก็ถูกถอนรากถอนโคนอย่างง่ายดายเช่นนี้แล้ว ในชั่วขณะหนึ่ง มั่วชิงเฉินยังไม่ได้สติกลับมา
“ศิษย์หลานมั่ว ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนเตือนว่า
ที่จริงที่สามารถแก้พิษแมงป่องได้ง่ายดายเพียงนี้ ความดีความชอบหลักต้องมอบให้ไฟจริงของเขา
เยี่ยเทียนหยวนที่มีร่างหยางบริสุทธิ์ ยังมีความลับที่ไม่มีใครรู้อีกอย่างหนึ่ง ก็คือขณะเดียวกันเขามีหนึ่งในสามไฟอัศจรรย์เพลิงวาสนาตะวัน และจุดเด่นที่สุดของเพลิงวาสนาตะวันก็คือบริสุทธิ์อย่างยิ่งยวดสะอาดอย่างยิ่งยวด มีอานุภาพในการเผาทุกสิ่งให้เป็นจุณ
ตั้งแต่ยามที่เขาสามารถปล่อยไฟจริงออกพบว่าสีไฟจริงแตกต่างจากผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป ท่านเทียดเสวียนหั่วเจินจวินก็กำชับเขาไว้เช่นนี้ บอกว่าเขาคือร่างหยางบริสุทธิ์ที่หาได้ยากในพันปีก็เป็นที่อิจฉาของผู้คนแล้ว หากแพร่งพรายเรื่องที่เขามีเพลิงวาสนาตะวันอีก เช่นนั้นก็จะสะดุดตาเกินไป เกรงว่าจะยากสงบสุขได้ ดังนั้นให้เขารักษาความลับนี้ไว้
ดันเขามีรากวิญญาณคู่ทองไฟ รากวิญญาณธาตุไฟโดดเด่นเป็นพิเศษ วิชายุทธ์ที่เหมาะจะฝึกฝนที่สุดก็คือธาตุไฟ หากคิดจะปิดบังไฟจริง ก็ไม่สามารถใช้คาถาธาตุไฟแล้ว
ดีที่เสวียนหั่วเจินจวินเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด มีวิธีที่คนทั่วไปยากจะจินตนาการถึง ไม่รู้เสกคาถาลับอะไรทำให้เขาเสกคาถาธาตุไฟแล้วดูไม่ต่างจากผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป ดังนั้นหลายปีมานี้จึงไม่มีใครรู้ความลับนี้
“ขอบคุณท่านอาจารย์อาเยี่ย ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณมีวิธีที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับล่างเช่นพวกเรานึกไม่ถึงจริงๆ มิน่ามีเพียงเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณ ถึงนับได้ว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง” มั่วชิงเฉินถอนใจว่า
เยี่ยเทียนหยวนโยนสมบัติวิเศษรูปใบไม้เขียวมรกตออก ตาที่มองไปที่มั่วชิงเฉินส่องประกายสุกใสอย่างบอกไม่ถูก ยิ้มเบาๆ ว่า “ศิษย์หลานมั่วก็ต้องมีวันนั้นแน่นอน เราไปกันเถอะ”
มั่วชิงเฉินเบือนสายตาหนีอย่างไม่รู้ตัว นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดเยี่ยเทียนหยวนจึงมั่นใจเช่นนี้ว่านางจะก่อแก่นทองได้สำเร็จ กลับเห็นอย่างชัดเจนว่าในสายตาที่เขามองมามีความคาดหวังและโหยหาที่นางไม่กล้าคิดลึกลงไป
ทั่วทั้งพรรคเหยากวง ที่เชี่ยวชาญหลอมอาวุธที่สุดก็คือศิษย์เขาหลิวหั่ว เยี่ยเทียนหยวนยิ่งเป็นเอกบุรุษในนั้น สมบัติวิเศษเหินหาวชิ้นนี้เขาหลอมด้วยตนเอง วัตถุดิบที่ได้รับและฝีมือการหลอมในยามนี้คุณภาพนับไม่ได้ว่าดีเป็นพิเศษ กลับชนะที่รายละเอียดแต่ละที่ล้วนเป็นตามที่เขาอยากให้เป็น
สองคนนั่งสมบัติวิเศษเหินหาว ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ไล่ทันทุกคนของเหยากวงแล้ว
“อ้าว ศิษย์น้องลั่วหยาง พวกเจ้ากลับมาจนได้” นักพรตซานอินเลิกคิ้วขาวดุจหิมะขึ้น เอ่ยสองแง่สองง่าม
นักพรตหานจางแม้นิสัยโผงผาง กลับไม่ได้โง่จริง รู้อยู่แก่ใจว่าเยี่ยเทียนหยวนอนาคตไร้ขีดจำกัดอีกทั้งเป็นทายากสายตรงของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด สองคนก็ไม่มีความแค้นอะไรกัน จึงยิ้มเอ่ยว่า “ศิษย์น้องลั่วหยาง”
แน่นอนยามที่มองไปที่มั่วชิงเฉินก็สีหน้าไม่ดีเช่นนั้นแล้ว เขาติดใจมาตลอด หากไม่เพราะยัยเด็กบ้านี่ทำเสียเรื่องในปีนั้น เขาสามารถเอานางหนูร่างหยินบริสุทธิ์นั่นมาเป็นหรูติ่ง บัดนี้ต้องทะลวงระดับก่อแก่นปราณระยะกลางแล้วเป็นแน่ ก็ไม่ถึงกับต้องติดอยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะต้นมาร้อยกว่าปี
มั่วชิงเฉินรู้นานแล้วว่าสองท่านนี้ใจมีช่องว่างต่อตน มิใช่พูดดีๆ สักสองประโยคก็สามารถสลายได้ จึงทำจิตใจไม่สะทกสะท้านให้รู้แล้วรู้รอดไป เพียงคารวะทั้งสองคนทีหนึ่งแล้วก็เดินไปหาต้วนชิงเกออย่างใจเย็น
“ศิษย์พี่ทั้งสอง เหตุการณ์เป็นเช่นไรบ้าง?” เยี่ยเทียนหยวนถาม
มั่วชิงเฉินฝีเท้าชะงัก นางนึกไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนหยวนจะถามเรื่องนี้ จากที่นางมอง ด้วยนิสัยของเยี่ยเทียนหยวนควรจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้นี่นา
นางกลับลืมแล้วว่ายามนี้ต่างจากยามนั้น ฐานะตำแหน่งที่แตกต่าง บางทีก็ตัดสินความแตกต่างของสภาพจิตใจ การกระทำของคนคนหนึ่ง
เยี่ยเทียนหยวนเดิมเป็นร่างหยางบริสุทธิ์ อีกทั้งมีเพลิงวาสนาตะวัน ที่ฝึกฝนยิ่งเป็นวิชายุทธ์ธาตุไฟชั้นสูง ว่าตามหลักแล้วนิสัยเขาไม่น่าเย็นชาเช่นนี้ เพียงแต่ตั้งแต่ยามเป็นเด็กหนุ่มก็เจอกับเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนับไม่ถ้วนที่เพียงเห็นเขาก็สองตาส่องประกายเหมือนหมาป่า ลองคิดดู ต่อให้เป็นใครยามอายุสิบกว่าปียิ้มให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่ง สุดท้ายผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนั้นก็ร้องห่มร้องไห้บอกจะมอบกายให้เขา เกรงว่าวันหลังอย่างไรเสียก็ต้องมีเงามืดในใจใช่หรือไม่ล่ะ
เยี่ยเทียนหยวนที่น่าอนาถก็บำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อแก่นปราณท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่กระอักกระอ่วนเช่นนี้
ถึงระดับก่อแก่นปราณ ความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดก็คือผู้บำเพ็ญเพียรต่ำกว่าระดับก่อแก่นปราณเห็นเขาแล้วไม่มีการกระทำอันบ้าคลั่งเหมือนแต่ก่อน ล้วนเสงี่ยมขึ้นมา นี่ทำให้เยี่ยเทียนหยวนโล่งอกมาก เวลาสองปีกว่า ตามท่าทีที่ต่างออกไปของคนอื่น ท่าทีของเขาย่อมก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปบ้างเช่นกัน
เพียงแต่มั่วชิงเฉินกักตนบำเพ็ญเพียรมาตลอด สำหรับการนี้กลับไม่ค่อยเข้าใจ เพียงรู้สึกว่าเยี่ยเทียนหยวนดูเหมือนต่างจากเมื่อก่อนไปบ้างแล้ว เพิ่มความสุขุมสง่างามเฉพาะตัวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขึ้นมา ลดความแข็งกระด้างเย็นชายามอยู่ระดับสร้างรากฐานลงไป
“ศิษย์ระดับสร้างรากฐานตายไปสามคน บาดเจ็บสองคน” นักพรตซานอินเอ่ยนิ่งเรียบ จากนั้นกวาดมองต้วนชิงเกอปราดหนึ่งว่า “ดีที่ศิษย์หลานต้วนเชี่ยวชาญวิชาแพทย์ ศิษย์สองคนที่บาดเจ็บล้วนไม่เป็นไรมากแล้ว”
ต้วนชิงเกอตั้งแต่เข้าเขารั่วสุ่ยก็เปลี่ยนมาบำเพ็ญเพียรวิชายุทธ์ธาตุน้ำ แล้วเกิดสนใจในทางแห่งผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยา หลายปีมานี้นอกจากบำเพ็ญเพียร ฝึกตนแล้วก็ค้นคว้าทางแห่งผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยาโดยเฉพาะ ถึงบัดนี้ก็นับว่าประสบความสำเร็จบ้างแล้ว
ทุกคนรวบตัวกันแล้ว จึงบินไปข้างหน้าต่อ หลังจากบินอยู่หลายวัน ในที่สุดก็ถึงเขตแดนเทือกเขาหมิงสยาที่สำนักลั่วสยาตั้งอยู่แล้ว
“ดูเร็ว นั่นก็คือเขาลั่วสยาใช่หรือไม่?” มีศิษย์เอะอะขึ้นมา
“ว้าย สวยจังเลย” ศิษย์หญิงไม่น้อยชื่นชมว่า
นั่งสมบัติวิเศษเหินหาวยิ่งบินยิ่งใกล้ ความงามของเทือกเขาลั่วสยาปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
หากบอกว่าเทือกเขาฟางจูที่พรรคเหยากวงตั้งอยู่ก็งดงามเช่นกัน เพียงแต่ความงามของเทือกเขาฟางจู คือความงามที่งามสง่า กลิ่นอายเซียนขจรขจาย ส่วนเทือกเขาหมิงสยากลับแตกต่างกันมาก
เทือกเขาหมิงสยาที่มองไม่เห็นที่สิ้นสุด ทั่วทั้งภูเขาสะพรั่งไปด้วยดอกอิงภูเขาสีขาวสีแดงเต็มไปหมด ทอดยาวไปตามเทือกเขาราวกับห่มเสื้อผ้าบางสีสดเย้ายวนชั้นหนึ่ง เคียงคู่กับลมเย็นในหุบเขา สีสันดั่งน้ำค้าง ย้อมจนรอยต่อของท้องฟ้าสีครามและเทือเขาสีแดงฟุ้งไปด้วยหมอกสีชมพู ดุจอยู่ในความฝัน เหมือนแสงรุ้งที่งดงามที่สุดบนฟ้าหยุดฝีเท้าที่ตรงนี้ มิอยากจากลา
สำนักลั่วสยา ก็ตั้งอยู่บนเทือกเขาสีชมพูที่ดุจดั่งแดนฝันเช่นนี้
“อย่าเอะอะ” นักพรตซานอินตะคอก จากนั้นยกมือโยนยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งออกไป
ไม่นานนัก ประตูสำนักสำนักลั่วสยาเปิดออก ผู้บำเพ็ญเพียรหลายคนออกมาต้อนรับ
คนด้านหน้าถือพัดขนนกโพกแพรพรรณ ใบหน้าหล่อเหลา ดูแล้วงามสง่าอย่างบอกไม่ถูก ยังไม่ถึงตรงหน้าก็อมยิ้มว่า “นักพรตซานอิน นักพรตหานจาง จากกันเกือบร้อยปี พวกเราพบกันอีกแล้ว เอ่อ ศิษย์น้องผู้นี้คือ…”
“ข้าน้อยลั่วหยาง” เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าแผ่วเบา
คนผู้นั้นอดมองไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวเรียบง่ายผู้นั้น ก็คือนักพรตรั่วซีที่ไม่ได้กลับเหยากวงมานาน
นักพรตรั่วซีมองเยี่ยเทียนหยวนแล้วกลับไม่เห็นจะกระตือรือร้นสักเท่าไร เพียงแต่เอ่ยต่อผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นว่า “ศิษย์น้องลั่วหยางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนใหม่ของพรรคเรา อายุน้อยมีความสามารถ เป็นทายาทของเสวียนหั่วเจินจวิน”
“เอ่อ?” ได้ยินว่าเยี่ยเทียนหยวนเป็นทายาทของเสวียนหั่วเจินจวิน ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นตาเป็นประกาย เห็นชัดว่ารู้อยู่ก่อนแล้วว่าเขาเป็นใคร ยามที่มองมาอีกทีจึงเพิ่มความสนใจขึ้นหลายส่วน “ข้าน้อยไป๋จั๋ว เป็นผู้ดูแลสำนักลั่วสยา ศิษย์น้องลั่วหยาง ข้าได้ยินมานานแล้วว่าคนรุ่นใหม่ของเหยากวงมีผู้บำเพ็ญเพียรที่พรสวรรค์รอบด้าน บัดนี้ดูแล้ว ช่างสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ ทุกท่านรีบเข้ามาเร็ว”
สำนักลั่วสยาต่างจากสำนักอื่น เจ้าสำนักเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ฐานะเสมือนผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งของสำนักอื่น ปกติไม่สนใจเรื่องในสำนัก เสมือนเจ้าสำนักเพียงในนาม คนที่ดูแลเรื่องต่างๆ ในสำนักก็คือผู้ดูแล ซึ่งเหมือนเจ้าสำนักของสำนักอื่น
“อาจารย์” ทุกคนของเหยากวงเดินขึ้นหน้ามา ต้วนชิงเกอมองนักพรตรั่วซีแล้วเอ่ยอย่างดีใจ
นักพรตรั่วซีสีหน้าอ่อนโยนลงทันที “ชิงเกอ เจ้ามาแล้ว”
ต้วนชิงเกอเดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่งแนบชิดนักพรตรั่วซี เผยท่าทีของสาวน้อยออกมาอย่างหายาก “อาจารย์ หลายปีมานี้ท่านสบายดีหรือไม่ ศิษย์พี่มั่วล่ะเจ้าคะ?”
นักพรตรั่วซีกำลังจะตอบ ผู้ดูแลสำนักลั่วสยานักพรตไป๋จั๋วก็มองมาว่า “ท่านเซียนรั่วซี นี่คือศิษย์รักของท่าน?”
นักพรตรั่วซีพยักหน้าว่า “นี่คือศิษย์คนสุดท้ายของข้า”
สายตาของนักพรตไป๋จั๋วกวาดผ่านหน้าต้วนชิงเกอแผ่วเบา แล้วชมว่า “ศิษย์ของท่านเซียนรั่วซีโดดเด่นทุกคน ศิษย์น้องช่างอิจฉาจริงๆ”
นักพรตรั่วซีอมยิ้มส่ายหน้าว่า “ผู้ดูแลไป๋จั๋วชมเกินไปแล้ว เพียงแต่นางหนูนี่กลับสุขุมกว่านางหนูมั่วมากเลย”
ทุกคนพูดพลางเดินเข้าสำนัก ในเวลานี้เองลำแสงหลายสายร่อนลงจากฟ้า ผู้บำเพ็ญเพียรสองสามคนหลังจากร่อนลงพื้นแล้ววิ่งมาหาทุกคนอย่างทุลักทุเลฝีเท้าโซเซ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” นักพรตไป๋จั๋วหน้าถอดสี
หนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรหลายคนที่วิ่งมาบนใบหน้าเลอะคราบเลือดว่า “ผู้ดูแล แย่แล้ว พวกเราถูกผู้บำเพ็ญเพียรมารที่ซุ่มอยู่ลอบทำร้าย อาจารย์อาเฟยอวิ๋นดับสูญแล้ว!”
ตอนที่ 262 สามนงคราญพานพบอีกครั้ง
“อะไรนะ!” นักพรตไป๋จั๋วหน้าถอดสี เสียงที่พูดก็สั่นขึ้นมาเล็กน้อย ร่างกายส่ายไปมาอย่างไม่รู้สึกตัว จากนั้นกอบมือใส่ทุกคน แล้วเอ่ยอย่างรีบร้อนว่า “ศิษย์หลานจาง เจ้านำสหายร่วมทางเหยากวงทุกท่านไปพักผ่อนในสำนักก่อน จัดแจงให้ดี ทุกท่าน ขออภัยที่ข้าต้อนรับไม่ทั่วถึง” พูดจบก็กอบมือใส่ทุกคนอีกครั้ง แล้วนำผู้บำเพ็ญเพียรลั่วสยาที่บาดเจ็บหลายคนบินไปแล้ว
ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรไม่กี่ท่านที่ออกมาต้อนรับนอกจากนักพรตรั่วซีและนักพรตไป๋จั๋วผู้ดูแลลั่วสยาแล้ว ที่เหลือล้วนแต่งตัวด้วยชุดผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสีขาวนวล ที่หน้าอกปัก ‘ลั่วสยา’ สองคำ ใต้ตัวอักษรมีดอกอิงภูเขาห้อมล้อมหลายดอก สัญลักษณ์เช่นนี้แม้ปักอยู่บนเครื่องแต่งกายชาย กลับไม่ทำให้รู้สึกว่าสำอาง ก็นับว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใครแล้ว
มั่วชิงเฉินคอยสังเกตตั้งนานแล้ว เครื่องแต่งกายของสองสามคนที่ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้สวมใส่สีและแบบต่างกันไป ส่วนสองสามคนนี้กลับแต่งตัวเหมือนกัน คิดว่ากฎเกณฑ์ของสำนักลั่วสยาและพรรคเหยากวงต่างกัน ศิษย์ทั่วไปสามารถแต่งตัวอิสระได้ ส่วนสองสามคนตรงหน้าน่าจะมีฐานะเป็นศิษย์ผู้ดูแล
เป็นไปตามคาดผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนหนึ่งในนั้นเอ่ยปากว่า “ท่านนักพรต ศิษย์พี่น้องทุกท่าน ข้าน้อยคือศิษย์ผู้ดูแลแห่งสำนักลั่วสยา แซ่จาง บัดนี้สถานการณ์การรบคับขันผู้ดูแลยากจะปลีกตัว ขอให้ทุกท่านให้อภัยด้วย ทุกท่านเชิญตามข้ามา”
กิริยาสุขุม วางตัวได้เหมาะสมต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ มีความงามสง่าของศิษย์ผู้ดูแล
“ศิษย์น้องทั้งสาม ไปเถอะ” นักพรตรั่วซีขมวดคิ้วโก่งอันงดงามแน่น แล้วเอ่ยว่า
ทุกคนเดินตามกันเข้าไปข้างใน
มั่วชิงเฉินแอบคิดว่าเหตุใดถึงไม่เห็นอาจารย์ ในสถานการณ์เช่นนี้กลับไม่ควรออกเสียง จึงได้แต่เดินตามเงียบๆ แล้วก็ได้ยินเสียงคุยกันของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองสามท่านข้างหน้าดังมา
“ศิษย์พี่รั่วซี ไม่ทราบนักพรตเฟยอวิ๋นผู้นั้นคือใคร?” นักพรตซานอินถาม
นักพรตรั่วซีถอนใจว่า “นักพรตเฟยอวิ๋นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักลั่วสยา ตบะระดับก่อแก่นปราณระยะกลาง นาง… คือคู่บำเพ็ญเพียรคู่ของนักพรตไป๋จั๋ว”
“หา” ผู้คนของเหยากวงที่เพิ่งมาได้ยินแล้วต่างร้องเสียงเบาทีหนึ่ง
นักพรตคิ้วขาวกลับไม่ได้ใส่ใจว่าฐานะของนักพรตเฟยอวิ๋นเป็นเช่นไร ถามอีกว่า “ศิษย์พี่รั่วซี นักพรตเฟยอวิ๋นผู้นั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะกลาง ไม่คิดว่าจะดับสูญอย่างง่ายดายเช่นนี้?”
นักพรตจื่อซีส่ายหน้าว่า “ศิษย์น้องซานอินเกรงว่าจะประมาณระดับความโหดร้ายของศึกเต๋ามารครั้งนี้ต่ำไป”
“ขอให้ศิษย์พี่รั่วซีเล่าเรื่องการศึกในยามนี้ให้พวกเราฟังสักหน่อย” นักพรตซานอินกอบมือ
นักพรตหานจางที่อยู่ข้างๆ ตะขิดตะขวงใจต่อนักพรตรั่วซีเพราะเรื่องของต้วนชิงเกอในอดีตอยู่ จึงไม่พูดอะไรมาตลอด เพียงแต่ฟังเงียบๆ เยี่ยเทียนหยวนยิ่งเพราะเรื่องปฏิเสธการแต่งงานถูกนักพรตรั่วซีดูแคลนไว้ไม่น้อย หากชวนคุยละก็ไม่ต่างอะไรกับการหาแกว่งเท้าหาเสี้ยน ย่อมก็ไม่พูดอะไรสักคำเป็นธรรมดา
“บัดนี้แบ่งสนามรบสำคัญเป็นเจ็ดสนาม แต่ละสนามรบมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคอยคุม ตามสถานการณ์อย่างเป็นรูปธรรมที่ต่างกันมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจำนวนแตกต่างกันให้การสนับสนุน สนามรบที่น้อยที่สุดก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแปดคน ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน จำนวนยิ่งมาก นอกจากนั้นยังมีทีมเล็กสิบทีมรับผิดชอบการรบแบบกองโจร แต่ละทีมเล็กนำโดยผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานในทีมล้วนนับได้ว่าเป็นหัวกะทิที่ตบะโดดเด่น” นักพรตรั่วซีเอ่ยเนิบๆ
นักพรตซานอินคิ้วขาวกระตุก “ไม่คิดว่าจะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงมากมายถึงเพียงนี้!”
นักพรตรั่วซีถอนใจว่า “ศิษย์น้องซานอิน นับพวกเจ้าสามคน เฉพาะเหยากวงเราก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณมาสิบเอ็ดคนแล้ว ศึกเต๋ามารครั้งนี้นอกจากสี่สำนักแปดนิกาย สำนักไม่น้อยก็ถูกพัวพันเข้ามา มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงมากปานนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก ต่อให้เป็นเช่นนี้ การรบกับพรรคมารก็ไม่ได้ได้เปรียบ!”
“หา ทางด้านพรรคมารพลังความสามารถแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียว?” นักพรตซานอินสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
ในเมื่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะกลางสามารถดับสูญได้ ระดับก่อแก่นปราณระยะปลายจะเป็นเช่นไรอีก เขาไม่สุขุมไม่ได้แล้ว
นักพรตรั่วซีพยักหน้าว่า “ทางด้านพรรคมารนั้นมีเพียงสำนักใหญ่สี่สำนัก จำนวนคนของแต่ละสำนักกลับยังมากกว่าสำนักอย่างพวกเรานี้อีก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการวางแผนร่วมมือกลับได้เปรียบกว่าทางด้านเรานี่ บวกกับคนของผู้บำเพ็ญเพียรมารเลื่อนขั้นเร็ว ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานของพวกเขาต้องมากกว่าทางเราไม่น้อย ต่อให้เขตแดนตบะเดียวกัน พลังความสามารถกลับเหนือว่าผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าขั้นหนึ่ง หากไม่เพราะทางเรามีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดมากกว่าหนึ่งท่าน สถานการณ์การรบเกรงว่ายิ่งไม่ดี”
คำพูดนี้ของนักพรตรั่วซีทำให้อารมณ์ของผู้คนของเหยากวงที่เพิ่งมาหนักหน่วงขึ้นมา คนไม่น้อยเก็บความรู้สึกตื่นเต้นในเริ่มแรกขึ้น สีหน้าเคร่งเครียด
ต้องรู้ว่าการฝึกฝนขัดเกลาเป็นเรื่องดี ทว่าหากโหดร้ายเกินไปจนต้องทิ้งชีวิต เช่นนั้นทุกอย่างก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว
ในยามนี้ผู้คนของเหยากวงได้ถูกศิษย์ผู้ดูแลของสำนักลั่วสยาจัดแจงไปไว้ในโถงข้างๆ แห่งหนึ่ง นักพรตรั่วซีสั่งให้พวกเขาถอยลงไป แล้วมองทุกคนปราดหนึ่ง ถึงเอ่ยว่า “ทว่าพวกเจ้าก็ไม่ต้องท้อใจ เข้าร่วมการศึกเช่นนี้แม้อันตรายรอบด้าน กลับเป็นที่ที่ดีที่สุดในการขัดเกลาตนเอง หลายปีมานี้ มีผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อยที่ทะลวงอุปสรรคที่แต่ก่อนทะลวงไม่ได้เสียที จนได้เลื่อนขั้น ยิ่งมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายเลื่อนขั้นเข้าระดับก่อแก่นปราณได้สำเร็จ ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาหากเป็นในยามปกติ คิดจะทะลวงระดับก่อแก่นปราณอย่างน้อยยังมีอีกหลายปี ยิ่งกว่านั้นจะสามารถเลื่อนขั้นได้อย่างราบรื่นหรือไม่ก็ยังไม่อาจรู้ได้”
เมื่อนักพรตรั่วซีพูดเช่นนี้ บรรยากาศในโถงก็ร้อนแรงขึ้นมาทันที ศิษย์ไม่น้อยสองตาส่องประกาย
นักพรตรั่วซีแอบพยักหน้า เอ่ยต่อว่า “บัดนี้สถานการณ์การศึกบ้าระห่ำ สำนักมากมายสนับสนุนด้วยกำลังทั้งสำนัก และตกรางวัลอย่างหนักให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่ฆ่าศัตรูได้ ทุกครั้งที่ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับสร้างรากฐานได้คนหนึ่ง ให้รางวัลหินวิญญาณหนึ่งพันถึงห้าพันก้อนแตกต่างกันไปตามระยะต้น กลาง ปลาย หากฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณได้คนหนึ่ง ให้รางวัลหินวิญญาณอย่างน้อยห้าหมื่นก้อน!”
“หา มากเพียงนี้เชียว!” กลางโถงอึกทึกขึ้นมาในทันใด ต้องรู้ว่าแม้แต่สำนักระดับแนวหน้าร่ำรวยเช่นเหยากวง ปีหนึ่งก็ให้หินวิญญาณแก่ศิษย์ระดับสร้างรากฐานแค่ห้าร้อยก้อน ศิษย์ก้นกุฏิของผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณได้มากหน่อย ก็ไม่เกินแปดร้อยก้อนเท่านั้นเอง
ศิษย์ไม่น้อยคำนวณขึ้นมา ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแม้แต่คิดก็ไม่กล้าคิด ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายก็ยาก ทว่าฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะต้นโอกาสสำเร็จมีมากทีเดียวเลยนะ คนหนึ่งหินวิญญาณหนึ่งพันก้อน สิบคนก็หินวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อน ทีนี้ก็เท่ากับของใช้ในสำนักยี่สิบปีแล้ว จิ๊ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ละก็ อย่างน้อยภายในสิบปีก็ไม่ต้องห่วงเรื่องหินวิญญาณสำหรับการบำเพ็ญเพียรแล้ว
เหล่าศิษย์เหยากวงได้ฟังคำพูดของนักพรตรั่วซีแล้วอารมณ์คึกคักขึ้นมาทันที แต่ละคนอยากลองขึ้นมา แทบอยากกระโดดเข้าสนามรบทันทีสู้ให้สะใจสักครั้ง
มั่วชิงเฉินแอบถอนใจ ใต้รางวัลงามย่อมมีผู้กล้า ของรางวัลทางด้านผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าสมบูรณ์เช่นนี้ จากการนี้จะเห็นได้ว่าทางด้านผู้บำเพ็ญเพียรมารก็ไม่น้อยหน้า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เต๋ามารเมื่อพบหน้ากัน นั่นต้องเป็นเกมการรบที่ไม่ตายไม่เลิกราแน่นอน ความโหดร้ายของสภาพการรบ เกรงว่าจะไกลเกินที่ทุกคนจะจินตนาการได้
กลับไม่รู้ว่าบรรดาศิษย์พี่น้องร่วมสำนักที่อยากลองแทบทนไม่ไหวพวกนี้ สุดท้ายที่สามารถกลับสำนักได้จะมีสักกี่คนแล้ว รวมทั้งตนเองด้วย
นึกถึงพวกนี้ มั่วชิงเฉินอดเป็นห่วงกู้หลีขึ้นมาไม่ได้ น่าเสียดายที่นักพรตรั่วซีตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้พูดถึงสถานการณ์ของผู้บำเพ็ญเพียรเหยากวงที่มาถึงก่อน หากแต่เอ่ยต่อว่า “คิดว่าพวกเจ้ารู้หมดแล้ว ความขัดแย้งของศึกเต๋ามารครั้งนี้ ก็คือกุญแจลับแดนสวรรค์มี่หลัวตูที่ปรากฏขึ้นที่เมืองลั่วหยางเล็กๆ ที่เป็นจุดตัดของแดนไท่ไป๋และดินแดนเทียนหยวน ขอเพียงทางเราแย่งกุญแจลับเข้าแดนสวรรค์มี่หลัวตูได้ ผลประโยชน์ที่ได้จะมีไม่รู้จบ ถึงเวลาศิษย์เต๋าทั้งหมดล้วนได้รับประโยชน์ ดังนั้นครั้งนี้พวกเราไม่ได้ทำเพื่อช่วยเหลือสำนักลั่วสยา หากแต่เพื่อพวกเราเอง ทุกคนเข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจแล้ว” เหล่าศิษย์ตะโกนอย่างตื่นเต้น แม้ไม่รู้ว่าแดนสวรรค์มี่หลัวตูมีอะไรกันแน่ ทว่าเมื่อใดที่แดนลี้ลับเช่นนี้ปรากฏ ข้างในต้องมีสมบัติวิเศษฟ้าดินเหลือคณานับเป็นแน่ กระทั่งยังมีขุมทรัพย์ที่ผู้บำเพ็ญเพียรบรรพกาลทิ้งไว้ ผลประโยชน์ในนี้ ขอเพียงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรก็ไม่อาจไม่หวั่นไหวได้
มั่วชิงเฉินกลับรู้สึกว่าเรื่องเกรงว่าจะไม่ง่ายดายเช่นนี้ แดนสวรรค์มี่หลัวตูหากเป็นเพียงแดนลี้ลับธรรมดา เกรงจะไม่มีค่าให้สำนักระดับแนวหน้าของเต๋ามารสองฝ่ายพวกนี้สู้กันอย่างดุเดือดเช่นนี้ กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่หาน้อยจะเข้าร่วมการแก่งแย่งก็ออกโรงแล้ว
ต้องรู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรเมื่อใดที่ถึงระดับก่อกำเนิดแล้ว อายุขัยมีสองพันปีเต็มๆ มีพลังอันยิ่งใหญ่ในการเคลื่อนภูผาพลิกทะเล หากไม่เพราะแย่งชิงของวิเศษที่สามารถเลื่อนขั้นได้ จะไม่ลงมือง่ายๆ ยิ่งไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ส่งเดช ถึงระดับเช่นพวกเขาแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยากจะสั่นสะเทือนพวกเขาได้อีกแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แดนสวรรค์มี่หลัวตูนี่ต้องมีวัตถุที่ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหวั่นไหวแน่
มั่วชิงเฉินคาดเดาเช่นนี้ กลับเข้าใจแล้วว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานมากมายถึงเพียงนี้ เป็นไปไม่ได้ที่มีเพียงนางที่คิดได้เช่นนี้ เพียงแต่คนส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจเรื่องนี้เท่านั้น ขอเพียงตนเองได้ผลประโยชน์ที่พอเพียงก็พอแล้ว อีกอย่างว่าไปแล้วบุญคุณการชุบเลี้ยงของสำนักยากจะปฏิเสธได้ ปกติผู้ที่บำเพ็ญเพียรอิสรเสรี ยามที่สำนักต้องการกลับไม่อาจปฏิเสธได้ มิเช่นนั้นจะทำให้ทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรอับอาย
ผู้บำเพ็ญเพียรบางส่วนเพื่อหินวิญญาณ ผู้บำเพ็ญเพียรบางส่วนเพื่อสำนัก ผู้บำเพ็ญเพียรบางส่วนเพื่อขัดเกลาตนเอง หรือสาเหตุพวกนี้ล้วนมีส่วน ไม่ว่าอย่างไร ศึกเต๋ามารครั้งนี้ ก็ยากจะลอยตัวเหนือปัญหาแล้ว
ในเวลานี้เอง เสียงดังมาจากนอกโถงว่า “นักพรตรั่วซี ห้องจัดการเรียบร้อยแล้ว”
“ผู้ดูแลจาง เชิญเข้ามาเถอะ” นักพรตรั่วซีเอ่ยนิ่งเรียบ
ผู้ดูแลจางนำศิษย์ผู้ดูแลสองสามคนเดินเข้ามาแล้วคารวะก่อนหนึ่งทีจากนั้นว่า “ทุกท่าน โถงด้านข้างจัดไว้ให้สำนักท่านโดยเฉพาะ ห้องหับไม่นับว่ามาก ดังนั้นได้แต่ให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานทนลำบากสี่คนหนึ่งห้องแล้ว” พูดพลางมองนักพรตรั่วซีปราดหนึ่ง
นักพรตรั่วซีเอ่ยปากว่า “ยามฉุกเฉิน ทุกคนเข้าใจด้วย เอาล่ะ ทุกคนพักผ่อนวันหนึ่งก่อน พรุ่งนี้เกรงว่าต้องเข้าร่วมการรบแล้ว พรุ่งนี้ยามเหม่าตรงมารวมตัวกันที่นี่ ถึงเวลาจะจัดที่ไปของแต่ละคน”
“ขอรับ/ เจ้าค่ะ” ทุกคนรับเสียงนอบน้อม จากนั้นไปที่ของแต่ละคนภายใต้การนำของศิษย์ลั่วสยา
“ชิงเกอ เจ้าจัดของเสร็จแล้วมานี่หน่อย” นักพรตรั่วซีลูบเส้นผมต้วนชิงเกออย่างรักใคร่
มั่วชิงเฉินแอบคิดว่า มิน่าใครๆ ก็บอกว่านักพรตรั่วซีขึ้นชื่อในเรื่องรักศิษย์และเข้าข้างกัน บัดนี้นับว่าได้เห็นแล้ว เมื่อนึกถึงอาจารย์ของตนอีก ในใจก็อดเสียใจไม่ได้ เขาเป็นอาจารย์ที่ดีจนไม่รู้จะดีอย่างไรแล้ว ทว่าตนกลับไม่อยากได้!
ศิษย์ระดับสร้างรากฐานที่เหยากวงส่งมาทั้งก่อนและหลังมีร่วมสองร้อยคน ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกลับมีเพียงไม่กี่สิบคน ที่พักที่จัดสรรให้อยู่ใกล้สวนดอกไม้ด้านหลัง ก็เงียบสงบสง่ากว่าของผู้ชายมากทีเดียว
มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอความสัมพันธ์ใกล้ชิด ไม่ต้องถามมากย่อมอาศัยอยู่ที่เดียวกันอยู่แล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรที่เหลือสองคนกลับไม่ค่อยได้ข้องแวะด้วยเท่าไร เพียงแค่คุ้นหน้าเท่านั้น
ทั้งสี่คนเพิ่งเข้าห้องที่ศิษย์ผู้ดูแลจัดให้ จู่ๆ คนคนหนึ่งก็บุกเข้ามา เอ่ยอย่างรีบร้อนว่า “ผู้ดูแลจาง ข้าจะอยู่ห้องเดียวกับพวกนางสองคน รบกวนเจ้าเปลี่ยนให้ที”
พวกมั่วชิงเฉินสองคนเพ่งมองไป ไม่คิดว่าคือมั่วหลีลั่วที่ไม่ได้พบกันมาหลายปี นางใส่ชุดนักพรตสีเขียวของเหยากวง กลับดูสดใสยิ่งกว่าหลายปีก่อนเสียอีก
“หลีลั่ว (ศิษย์พี่มั่ว)!” พวกมั่วชิงเฉินสองคนเรียกขึ้นพร้อมกัน อดก้าวขึ้นหน้าไปจับมือของนางไว้ไม่ได้
มั่วหลีลั่วเพ่งพิศมั่วชิงเฉินตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แล้วตบไหล่นางอย่างแรงว่า “ดีนี่ ชิงเฉิน เจ้าเลื่อนขั้นระยะปลายแล้วจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าก็ต้องเรียกเจ้าศิษย์พี่แล้วสิ?”
“ก็ได้” มั่วชิงเฉินยิ้มระรื่นว่า
“ฝันไปเถอะ!” มั่วหลีลั่วค้อนนางทีหนึ่ง จากนั้นเบือนหน้าไปว่า “ผู้ดูแลจาง…”
ผู้ดูแลจางคนนั้นเห็นชัดว่าเคยได้รับการชี้แนะถึงความร้ายกาจของมั่วหลีลั่วมาก่อน รีบพยักหน้าว่า “ได้ ได้”
ตอนที่ 263 พบหรวนหลิงซิ่วอีก
ห้องที่มั่วหลีลั่วอยู่ก่อนหน้านี้เดิมทีก็มีเพียงสองคน นางยื่นข้อเสนอนี้ออกมาก็จัดการได้ไม่ยาก สุดท้ายจัดผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสองคนนั้นไปห้องเดิมที่นางอยู่ นางเก็บข้าวของแล้วก็ย้ายมาอย่างดีอกดีใจแล้ว
“ศิษย์พี่มั่ว ชิงเฉิน อาจารย์ให้ข้าไปหาสักครา พวกเจ้าคุยกันไปก่อน” จัดข้าวสักครู่ แล้วต้วนชิงเกอก็เอ่ย
นัยน์ตาสุกใสของมั่วหลีลั่วเหลือบมา แล้วโวยวายว่า “เฮ้อ อาจารย์ช่างลำเอียงจริงๆ เลย ปกติก็เอาแต่คิดถึงเจ้า บัดนี้พอเจ้ามาปุ๊บ ข้าก็ยิ่งถูกตีเข้าตำหนักเย็นแล้ว”
“ศิษย์พี่มั่ว!” ต้วนชิงเกอต่อว่าคำหนึ่ง แล้วหมุนตัวออกไปแล้ว
มั่วหลีลั่วถึงจ้องมั่วชิงเฉินด้วยดวงตากลมโต จากนั้นยื่นมือออกมาข้างหนึ่งว่า “เอามา!”
“หา?” มั่วชิงเฉินกะพริบตา
“อย่าแกล้งโง่ น้ำผึ้งดอกท้อ” มั่วหลีลั่วเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ พูดพลางยังอดกลืนน้ำลายไม่ได้
มั่วชิงเฉินอมยิ้มส่ายหน้า แล้วยื่นน้ำผึ้งดอกท้อข้ามไปขวดหนึ่ง
มั่วหลีลั่วเปิดผนึกออก หยิบช้อนเล็กๆ คันหนึ่งตักขึ้นมาช้อนหนึ่งกินลงไป ถึงถอนใจว่า “ชิงเฉินเอ๋ยเจ้าไม่รู้อะไร ข้าอยู่ทางนี้ที่คิดถึงที่สุดก็คือสิ่งนี้แล้ว”
มั่วชิงเฉินเป็นห่วงสวัสดิภาพของกู้หลี จึงเอ่ยตรงๆ ว่า “หลีลั่ว เจ้าอย่าเพิ่งมัวแต่กิน รู้หรือไม่ว่าอาจารย์ข้าเป็นเช่นไรบ้างแล้ว?”
“อาจารย์อาเหอกวง?” มือที่ถือช้อนของมั่วหลีลั่วหยุดกึก สีหน้าประหลาดขึ้นมา
มั่วชิงเฉินตกใจ รีบผลักนางทีหนึ่งว่า “เอ๊ะ หลีลั่ว เจ้าพูดสิ”
มั่วหลีลั่วเม้มปาก มองมั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าประหลาด พักหนึ่งถึงเอ่ยว่า “อาจารย์อาเหอกวง ยังไม่เลว”
มั่วชิงเฉินชะงัก เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “หลีลั่ว เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร อะไรเรียกว่ายังไม่เลว?”
มั่วหลีลั่วถึงเล่าอย่างละเอียดขึ้นมาว่า “สนามรบที่อาจารย์อาเหอกวงอยู่คือป่ากาลี ผู้ที่คุมป่ากาลีกลับไม่ใช่หรูอวี้เจินจวิน ชิงเฉิน เจ้าเดาสิเจินจวินระดับก่อกำเนิดที่คุมป่ากาลีคือผู้บำเพ็ญเพียรสำนักใด?”
เพ่งพิศสีหน้าประหลาดของมั่วหลีลั่วพลาง ในใจมั่วชิงเฉินเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น จึงหลุดปากออกมาว่า “คงไม่ใช่นิกายเหอฮวนกระมัง?”
มั่วหลีลั่วตบไหล่มั่วชิงเฉินว่า “ชิงเฉิน เจ้าช่างฉลาดจริงๆ ฮ่าๆ”
มั่วชิงเฉินถลึงตาใส่นางปราดหนึ่ง “เมื่อเป็นเช่นนี้ ไยเจ้ายังพูดว่าอาจารย์ข้าไม่เลวอีก?”
ปีนั้นกู้หลีท้าประลองกระบี่กับนิกายเหอฮวน ผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งแห่งนิกายเหอฮวนโกรธเคืองเหลือคณา บัดนี้เขาอยู่ใต้บังคับบัญชาเจินจวินระดับก่อกำเนิดแห่งนิกายเหอฮวน ยากจะรับประกันว่าเขาจะไม่โดนกลั่นแกล้ง ต้องรู้ว่า ผู้หญิงแค้นฝังใจที่สุด โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีพลังความสามารถ!
เสียงมั่วหลีลั่วเบาลงมา เอ่ยอย่างเร้นลับว่า “ชิงเฉิน ข้าพูดแล้วเจ้าอย่าตกใจเชียวนะ ที่อาจารย์อาเหอกวงไม่ถูกผู้หญิงกลุ่มนั้นทำให้ลำบากใจ เป็นเพราะศิษย์คนสุดท้ายของเจินจวินระดับก่อกำเนิดท่านนั้นแรกพบต่ออาจารย์อาเหอกวง…”
มั่วชิงเฉินชะงักงัน ชั่วขณะหนึ่งไม่ได้สติกลับมา
ลองคิดดูดีๆ อาจารย์เป็นชายที่เก่งกาจมากจริงๆ ทว่าเพราะเหตุใดตั้งแต่ต้นจนจบ นางถึงไม่เคยคิดว่าจะมีผู้หญิงอื่นพึงใจต่อเขานะ โดยเฉพาะฉากถูกผู้บำเพ็ญเพียรหญิงไล่ตามอย่างไม่ลดละเหมือนเช่นเยี่ยเทียนหยวนนั้น หากเปลี่ยนมาเป็นอาจารย์แล้วนางกระทั่งรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลวไหล?
“เอ๊ะ ชิงเฉิน เจ้าบื้อไปแล้วหรือ?” มั่วหลีลั่วผลักมั่วชิงเฉินดู
มั่วชิงเฉินถึงได้สติกลับมา เสียงนิ่งเรียบลงมาว่า “ไม่นี่ เพียงแค่ประหลาดใจเกินไปเท่านั้น”
“นี่มีอะไรประหลาดล่ะ อาจารย์อาเหอกวงพรสวรรค์ขจรทั่วทุกสารทิศ นิสัยก็ดี มีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชอบเป็นเรื่องปกติจนไม่รู้จะปกติอย่างไรแล้ว” มั่วหลีลั่วเอ่ยอย่างไม่ไยดี
มั่วชิงเฉินเม้มปากว่า “ทว่าหลายปีมานี้ที่อยู่ในเหยากวง ก็ไม่เห็นมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนไหนเป็นเช่นนี้…”
มั่วหลีลั่วยื่นนิ้วมือเรียวยาวขาวผ่องจิ้มหน้าผากมั่วชิงเฉินทีหนึ่งว่า “ชิงเฉิน ข้าว่าเจ้าเลอะเลือนแล้ว เจ้าอย่าลืมนะ อาจารย์อาเหอกวงอายุหกสิบแปดก็ก่อแก่นปราณนะ บัดนี้ก็เพียงแค่ร้อยปีเล็กน้อย ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับก่อแก่นปราณของเราพวกนั้น อย่างน้อยต้องมากกว่าอาจารย์อาเหอกวงกว่าร้อยปี สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแล้ว มีคนไหนเต็มใจหาคนที่อายุน้อยกว่าตนร้อยกว่าปีอีกล่ะ พวกนางต่างเห็นอาจารย์อาเหอกวงโตมากับตาเลยนะ! ได้ยินว่าในอดีตยามที่อาจารย์อาเหอกวงยังไม่ก่อแก่นปราณ ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานไม่น้อยแอบมอบใจให้ คนที่ใจกล้าไล่ขอความรักก็มีมากมาย ทว่าเมื่ออาจารย์อาเหอกวงก่อแก่นปราณแล้ว ความแตกต่างของเขตแดนของตบะวางอยู่ตรงนั้น จะมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนไหนแกว่งเท้าหาเสี้ยนอีก เช่นนั้นจะไม่ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะว่าละเมอเพ้อพกหรอกหรือ!”
คำพูดยืดยาวพูดจนมั่วชิงเฉินชะงัก ลองคิดอีกทีก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ คนห่างไกลไม่พูดถึงก็พูดถึงเยี่ยเทียนหยวนแล้วกัน ตั้งแต่ก่อแก่นปราณแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานพวกนั้นก็ไม่กล้าเหยียบกับระเบิดแม้แต่ก้าวเดียวแล้ว
นึกถึงตรงนี้ จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็นึกถึงตนเอง ที่อาจารย์หลบทำเป็นไม่เห็นความรู้สึกของตนเอง นอกจากถูกฐานะศิษย์อาจารย์ห้ามไว้แล้ว ยังมีความแตกต่างของเขตแดนตบะด้วยใช่หรือไม่นะ?
ตนเองข้ามมิติมาจากโลกที่ขนานนามว่าทุกคนเท่าเทียมกันใบนั้น มักนึกว่าหากชอบด้วยความจริงใจแล้ว เช่นนั้นก็ไม่เกี่ยวกับอย่างอื่น ไม่ว่าความเป็นจริงเป็นเช่นไร ในด้านจิตวิญญาณคนสองคนนั้นเท่าเทียมกัน
ทว่าบัดนี้คิดดูแล้ว อาจไม่ง่ายดายเหมือนที่ตนคิดก็ได้
“ชิงเฉิน ชิงเฉิน…” มั่วหลีลั่วผลักมั่วชิงเฉินว่า “ไยเจ้าเหม่อลอยเรื่อยเลยนะ เอ่อ ข้ารู้แล้ว หรือว่ากำลังกังวลว่าเมื่อการรบสิ้นสุดแล้ว อาจารย์อาเหอกวงจะพาอาจารย์หญิงกลับมาให้เจ้าคนหนึ่ง?”
มั่วหลีลั่วเดิมแค่ล้อเล่น ทว่าเมื่อคำพูดนี้เข้าหูมั่วชิงเฉิน กลับเหมือนเข็มแทงลงบนหัวใจ เจ็บตงิดๆ นางกลับไม่กล้าแสดงออกมา ถามเลยตามเลยว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่พึงใจต่ออาจารย์ตบะขั้นไหน?”
“ระดับก่อแก่นปราณระยะกลาง สมญานามเต๋านักพรตซู่ฉิง อยู่ในนิกายเหอฮวนก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรอัจฉริยะที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร ลือกันว่าปีนั้นยามที่อาจารย์อาเหอกวงท้าประลองกระบี่กับนิกายเหอฮวนนางกำลังกักตนทะลวงระยะกลางพอดี หลังจากออกจากกักตนได้ยินเรื่องนี้แล้วรู้สึกไม่ยอมมาตลอด ครั้งนี้มาสำนักลั่วสยาทั้งสองคนก็ถูกจัดให้อยู่ที่เดียวกันอีก จึงไปหาเรื่องอาจารย์อาเหอกวงโดยตรง ไม่คิดว่าเมื่อไปถึงก็แอบถูกใจเข้าแล้ว เอาล่ะ ชิงเฉิน เรื่องของผู้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องที่เราควรกังวล ใช่แล้ว ข้าได้ยินว่าเจ้าเด็กเยี่ยเทียนหยวนนั่นก็ก่อแก่นปราณแล้ว?” มั่วหลีลั่วถามขึ้น
มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “อืม”
มั่วหลีลั่วถอนใจทีหนึ่งว่า “ทีนี้ก็หมดกัน ต่อไปคิดจะหาเรื่องเขาก็ไม่มีทางแล้ว”
มั่วชิงเฉินไม่อยากพูดถึงเยี่ยเทียนหยวนมาก จึงถามว่า “หลีลั่ว บัดนี้เจ้าอยู่สนามรบไหนน่ะ?”
มั่วหลีลั่วตอบว่า “ข้าอยู่เขาอู๋ฉยง เจ้าอาจไม่รู้ เขาอู๋ฉยงเป็นค่ายกลมหึมาตามธรรมชาติค่ายหนึ่ง เพราะข้าศึกษาเกี่ยวกับค่ายกล จึงถูกส่งไปที่นั่น”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ข้าและชิงเกอจะถูกจัดไปอยู่ที่ใด” มั่วชิงเฉินเอ่ยเบาๆ
มั่วหลีลั่วส่ายศีรษะว่า “น่าเสียดายผู้ดูแลจางคนนั้นปกติพูดง่าย แต่ในด้านการจัดสรรสนามรบกลับไม่ผ่อนผันให้เลย ยามเพิ่งเริ่มยังพยายามจัดคนสำนักเดียวกันไปอยู่ที่เดียวกัน ทว่าต่อมาตามที่เหล่าสำนักยิ่งเพิ่มยิ่งมาก จัดขึ้นมาก็ไม่เพียงแค่ดูสำนักแล้ว ยังต้องดูตบะและความถนัดด้วย”
มั่วชิงเฉินย่อมอยากถูกจัดไปอยู่ที่เดียวกับกู้หลีเป็นธรรมดา ทว่าอย่างไรเสียนางก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียร ต่อให้ให้ความสำคัญต่อคนและสิ่งของมากเพียงใดก็จะไม่ถือความรักชายหญิงเกินไป พรุ่งนี้ถูกจัดไปไหนล้วนปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ มีโอกาสก็ไปพบอาจารย์ก็แล้วกัน
หลังจากนั้นไม่นานต้วนชิงเกอก็ย้อนกลับมา ทั้งสามคนคุยกันอย่างสนุกสนานพักหนึ่งก็ต่างคนต่างพักผ่อน ถึงเช้าวันที่สองมั่วหลีลั่วก็ออกเดินทางไปก่อนแล้ว มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอไปโถงข้างพร้อมกัน
นักพรตรั่วซีเห็นคนมาพร้อมหมดแล้ว จึงเริ่มจัดจุดหมายของแต่ละคน
นักพรตเฟยอวิ๋นที่ดับสูญเมื่อวานเป็นผู้นำทีมเล็กแบบกองโจรทีมหนึ่ง ในผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสามท่านที่มาใหม่นักพรตซานอินตบะสูงสุด จึงเข้าแทนที่ตำแหน่งที่ว่างลงของนักพรตเฟยอวิ๋น ส่วนเยี่ยเทียนหยวน ถูกจัดไปอยู่สถานที่ที่เรียกว่าหุบเขาลั่วเยี่ยน มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอก็ถูกจัดไปที่นั่นด้วยกัน
ที่จริงสนามรบพวกนี้แม้แบ่งเขตแล้ว ตรงชายขอบล้วนติดกันไม่ก็ตัดกัน จุดศูนย์กลางของทั้งเจ็ดสนามรบก็คือเมืองลั่วหยาง บัดนี้ที่นั่นได้กลายเป็นศูนย์กลางของพายุแล้ว ทั้งสองฝ่ายขิงก็รา ข่าก็แรงไม่ว่าใครก็ยากจะเข้าใกล้อีกฝ่ายได้แม้ก้าวเดียว
“เอาล่ะ ทุกคนจำที่ที่ตนเองต้องไปให้ดี อีกสักครู่แยกย้ายแล้วพวกเจ้าไปดูที่ตลาดลั่วสยาได้ จัดหาของที่จำเป็น ถึงยามเที่ยงตรงค่อยรวมตัว จะมีผู้ดูแลนำพวกเจ้าไป” นักพรตรั่วซีเอ่ยนิ่งเรียบ
“ขอรับ” เหล่าศิษย์รับคำ แล้วเดินออกไปกันเป็นกลุ่มก้อน
เมื่อวานมั่วชิงเฉินก็ได้ยินมั่วหลีลั่วพูดถึงตลาดของสำนักลั่วสยา
เพราะสำนักใหญ่น้อยล้วนส่งศิษย์เข้าร่วมศึกเต๋ามาร บัดนี้ตลาดของสำนักลั่วสยาครึกครื้นไม่มีอะไรเทียบได้ ชนิดของสิ่งของยิ่งหลากหลาย เพียงแต่ราคาของโอสถและอาวุธเวทบางอย่างกลับสูงลิบลิ่ว
ฝีมือการหลอมโอสถมั่วชิงเฉินนับวันยิ่งเก่งกาจ อีกทั้งมีสวนสมุนไพรพกพา สองปีมานี้รู้ว่าอาจต้องเข้าร่วมศึกจึงหลอมโอสถไว้ไม่น้อย บัดนี้โอสถเพียงพออีกทั้งได้อาวุธเวทที่ถนัดมือ ก็ไม่มีอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษ
เพียงแต่คิดว่าตลาดแห่งนี้ต้องมีผู้บำเพ็ญเพียรมาจากสุดหล้าฟ้าเขียวไม่น้อย ของที่นำมาหลากหลาย ไม่แน่ก็อาจมีไม้สะกดวิญญาณก็ได้
วิญญาณที่เหลืออยู่ของท่านปู่อยู่ในมุกหยินมาตลอดแม้ยังสามารถอดทนได้หลายสิบปี ทว่าหาไม้สะกดวิญญาณได้เร็วขึ้นวันหนึ่งก็สบายใจได้เร็วขึ้นวันหนึ่ง ไม่ว่าใครก็บอกไม่ได้ว่าศึกเต๋ามารครั้งนี้จะจบเมื่อไร อนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่
พวกมั่วชิงเฉินสองคนเพิ่งก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอก เงาคนสีเลือดหมูสายหนึ่งก็บุกเข้ามาเหมือนลมพายุหมุน
“อาจารย์อารั่วซี ข้าจะไปหุบเขาลั่วเยี่ยน!” เงาร่างสีเลือดหมูสายนั้นเพิ่งร่อนลง ก็หอบแฮ่กๆ ว่า จากนั้นสายตาก็มองตรงไปที่แห่งหนึ่งแล้ว
มั่วชิงเฉินไม่ต้องดูก็รู้ว่าคนที่คนนี้มองคือเยี่ยเทียนหยวน คนที่มาก็คือคุณหนูใหญ่เอาแต่ใจคนนั้นหรวนหลิงซิ่ว!
พริบตาเดียวไม่เจอกันหลายปี นางยังคงมีตบะระดับสร้างรากฐานระยะกลาง กิริยาท่าทางไม่เพียงไม่เห็นความสุขุม ตรงกันข้ามกลับยิ่งไร้เหตุผล
ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หรวนหลิงซิ่วเป็นบุตรสาวที่รักเพียงคนเดียวของเจ้าสำนักลั่วสยา บิดามารดารักกันลึกซึ้ง ยามที่มารดาใกล้หมดอายุขัยถึงให้กำเนิดนาง พูดได้ว่าเป็นบุตรที่ได้มายามชรา จากนั้นก็จากโลกนี้ไป การที่หรวนหลิงซิ่วถูกตามใจก็เป็นเรื่องในความคาดหมาย
“หลิงซิ่ว เจ้าอย่าเหลวไหล” นักพรตรั่วซีขมวดคิ้วอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า
หรวนหลิงซิ่วในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ย่อมเข้าร่วมศึกครั้งนี้ด้วยเป็นธรรมดา เพียงแต่สนามรบที่อยู่กลับเป็นที่ที่คุมโดยชูจี้เจินจวินผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแห่งสำนักลั่วสยา พูดได้ว่าปลอดภัยไร้กังวล
ส่วนหุบเขาลั่วเยี่ยนไม่เพียงแต่ภูมิประเทศอันตราย การต่อสู้ก็ดุเดือดที่สุด เมื่อวานหากไม่ใช่ชิงเกอขอร้องนางอย่างสุดความสามารถนางก็ไม่เต็มใจให้ศิษย์ตนไปเช่นกัน หรวนหลิงซิ่วไปหุบเขาลั่วเยี่ยนหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น เช่นนั้นจะบอกอาจารย์อย่างไร
“อาจารย์อารั่วซี อย่างไรข้าก็จะไป หากท่านไม่รับปาก ข้าก็ยังไปอยู่ดี” หรวนหลิงซิ่วเสียงอ่อนลงออดอ้อนว่า สีหน้ากลับยิ่งมุ่งมั่นขึ้น มองที่ที่เยี่ยเทียนหยวนอย่างเคลิบเคลิ้ม
เยี่ยเทียนหยวนหน้าดุจน้ำแข็งเหมันต์ เม้มริมฝีปากบางแน่ไม่พูดสักคำ ความอบอุ่นเล็กน้อยที่เพิ่มขึ้นมาหลังจากเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณกวาดเกลี้ยงไปในพริบตา คนทั้งคนก็เหมือนกระบี่เหล็กไหลเล่มหนึ่ง ส่งกลิ่นอายที่ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน
นักพรตรั่วซีมองเยี่ยเทียนหยวน แล้วแอบพูดว่าเวรกรรม ก็ไม่รู้เจ้าเด็กนี่ดวงขัดกับเขารั่วสุ่ยใช่หรือไม่ กลับรู้ว่าดึงดันสู้หรวนหลิงซิ่วไม่ได้ อีกทั้งสงสารที่นางจิตใจรักมั่น จึงได้แต่รับปากไว้
หรวนหลิงซิ่วดีใจเหลือคณา ยิ้มหวานให้เยี่ยเทียนหยวนทีหนึ่ง สายตาสอดส่องกลับตกไปที่หน้ามั่วชิงเฉิน
ตอนที่ 264 ใครคือเซียนน้ำแข็ง
“แหม หรวนหลิงซิ่วจะหาเรื่องศิษย์พี่ (ศิษย์น้อง) มั่วอีกแล้ว ช่างไม่ลดละจริงๆ เลย!” ศิษย์เหยากวงทั้งหมดต่างคิดเงียบๆ
“เอ๊ะ ศิษย์หญิงของพรรคเหยากวงคนนี้คือใครน่ะ ไยถึงล่วงเกินคุณหนูใหญ่ได้ล่ะ จิ๊ๆ น่าสงสารจัง” ศิษย์ผู้ดูแลของสำนักลั่วสยาที่ยังไม่จากไปคิดเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ไม่ว่าฝ่ายไหน ล้วนหยุดเดินทั้งอย่างนั้น แล้วกลั้นใจมองดูฉากนี้
“หลิงซิ่ว เจ้าโวยวายจะไปหุบเขาลั่วสยา ยังไม่รีบไปบอกกล่าวเจ้าสำนักหรวนอีก หากเจ้าสำนักหรวนไม่เห็นด้วย ข้าก็ไม่มีวิธี” เสียงของนักพรตรั่วซีลอยมา
หรวนหลิงซิวถึงหยุดเดินอย่างโกรธเคือง ถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินปราดหนึ่งอย่างดุดันแล้วบิดตัวเดินออกข้างนอกไป
“เฮ้อ” ศิษย์ไม่น้อยเปล่งเสียงทอดถอนใจอย่างผิดหวัง แล้วหมุนตัวเดินออกไป
มั่วชิงเฉินลุกขึ้นเดินออกข้างนอกด้วยสีหน้าสงบ ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ต้วนชิงเกอรีบตามขึ้นมา
“ชิงเฉิน ดูท่าทางวันหลังหรวนหลิงซิ่วต้องหาเรื่องเจ้าแน่นอน เจ้าต้องระวังตัวหน่อย” ต้วนชิงเกอเอ่ยเสียงต่ำ
มั่วชิงเฉินเม้มปาก เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ใครๆ ก็บอกว่าเป็นบุญไม่ใช่เคราะห์ เป็นเคราะห์หลบไม่พ้น หากนางจะหาเรื่องจริง เช่นนั้นข้าคอยรับก็แล้วกัน”
ไหนๆ พูดถึงพลังความสามารถที่แท้จริงแล้ว หรวนหลิงซิ่วสู้นางไม่ได้แน่นอน แม้ที่นี่เป็นถิ่นของหรวนหลิงซิ่ว ทว่าตนก็ไม่ใช่นางหนูน้อยที่เหมือนจอกแหนในยามนั้นอีกแล้ว
ทั้งสองคนเดินเตร็ดเตร่ในตลาดสำนักลั่วสยารอบใหญ่ ที่นี่ครึกครื้นไม่เป็นสองรองใครจริงๆ ผู้บำเพ็ญเพียรเดินกันขวักไขว่ ของที่ขายก็ประหลาดหลากหลาย เพียงแต่เสียดายที่ไม่พบร่องรอยของไม้สะกดวิญญาณ มั่วชิงเฉินจึงได้แต่ซื้อยันต์ติดมือมาบ้าง
ในสนามรบ ยันต์ที่ต้องการพลังวิญญาณเพียงน้อยนิดก็กำราบศัตรูได้นั้นเป็นสินค้าขายดี
“ท่านเซียน ท่านดูสิยันต์นี้เป็นเช่นไรบ้าง?” ผู้บำเพ็ญเพียรที่วางแผงขายยันต์เห็นมั่วชิงเฉินมือเติบ จึงหยิบยันต์สองใบออกมาจากถุงใบหนึ่งอย่างระมัดระวัง กอบไว้ให้มั่วชิงเฉินดูอย่างเห็นค่า
มั่วชิงเฉินกวาดมองปราดหนึ่ง นี่คือยันต์ขาวดุจหิมะสองใบ บนนั้นมีลายยันต์รูปเกล็ดหิมะสีเขียวอ่อน จึงถามอย่างสงสัยเล็กน้อยว่า “นี่คือ…ยันต์กระสุนน้ำแข็ง?”
คนถนัดกันคนละด้าน ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรคิดจะช่ำชองวิชาทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องยากมาก หลอมโอสถ หลอมอาวุธ วาดยันต์ ค่ายกล ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งหากมีวิชาที่อวดสายตาได้สักวิชาหนึ่งก็พอให้ภาคภูมิใจแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ล้วนมีความรู้แค่ผิวเผินต่อสิ่งเหล่านี้เท่านั้น
ความเข้าใจต่อยันต์ของมั่วชิงเฉินก็นับว่าไม่มาก จู่ๆ เห็นยันต์นี้แล้วก็รู้สึกว่าคล้ายยันต์กระสุนน้ำแข็งมาก ทว่าบนยันต์กระสุนน้ำแข็งกลับไม่มีเกล็ดหิมะสีเขียวอ่อน ถึงได้สงสัยขึ้นมา
“ท่านเซียนสายตาดี…” ผู้บำเพ็ญเพียรที่ขายยันต์ชมว่า จากนั้นกลับเปลี่ยนน้ำเสียงทันทีว่า “ทว่ายันต์นี้กลับไม่ใช่ยันต์กระสุนน้ำแข็ง”
เห็นท่าทางแสร้งปล่อยเพื่อจับของผู้บำเพ็ญเพียรขายยันต์ ต้วนชิงเกอขมวดคิ้วว่า “สหายเต๋า เรายังต้องเร่งเวลา วันหลังค่อยมาซื้อยันต์ที่เจ้านี่” พูดพลางลากมั่วชิงเฉินก็จะจากไป
นางและมั่วชิงเฉินล้วนไม่ใช่คนถนัดใช้ยันต์โจมตี เห็นท่าทีเช่นนี้ของคนคนนี้ คิดจะหลอกกันเพราะเห็นพวกนางใช้จ่ายมือเติบชัดๆ
มั่วชิงเฉินกลับเกิดสนใจยันต์นี้ขึ้นมา นางก้าวเข้าโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรมาหลายปีถึงเพียงนี้ ยันต์ที่ใช้ไม่นับว่ามากทว่าที่เคยเห็นกลับไม่น้อย ยันต์หน้าตาเช่นนี้กลับไม่เคยเห็นมาก่อน
บางเวลาเข้าใจเรื่องที่ไม่รู้มากขึ้นส่วนหนึ่งก็มีทุนในการรักษาชีวิตเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่ง ยันต์นี้ขอเพียงราคาไม่แพงจนผิดปกติ นางตัดสินใจซื้อไว้
แน่นอนแม้นางตัดสินใจซื้อไว้ กลับไม่เต็มใจถูกคนเห็นเป็นหมูหาม จึงยิ้มร่าทันทีว่า “สหายเต๋า พวกเราเร่งเวลาจริงๆ ทว่านะ ข้ารู้สึกแปลกใจต่อยันต์ของเจ้านี่ทีเดียว เจ้าเล่าให้พวกเราฟังหน่อยได้หรือไม่ หากรู้สึกว่าจำเป็น ไม่แน่ข้าก็จะซื้อไว้”
เห็นมั่วชิงเฉินยิ้มหวานดุจบุปผา ผู้บำเพ็ญเพียรขายยันต์ก็แย้มยิ้มออกมา “ท่านเซียนต้องรุดไปเข้าร่วมศึกแน่นอนเลยกระมัง เช่นนั้นท่านก็ยิ่งต้องการยันต์ใจผนึกน้ำแข็งนี่แล้ว”
“ยันต์ใจผนึกน้ำแข็ง?” พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง ยันต์นี้พวกนางไม่เคยได้ยินมาก่อน
ผู้บำเพ็ญเพียรขายยันต์ยิ้มอย่างได้ใจว่า “ท่านเซียนทั้งสองคงต้องมาสำนักลั่วสยาของเราเป็นครั้งแรกสินะ ยังไม่รู้ว่ายันต์ใจผนึกน้ำแข็งนี่เป็นยันต์เฉพาะตัวของท่านเซียนน้ำแข็งแห่งสำนักลั่วสยาเรา”
มั่วชิงเฉินเกิดความคิดขึ้นมา ไม่รู้เพราะเหตุใดก็นึกถึงมั่วเฟยเยียนขึ้นมา
ตั้งแต่ที่รู้ว่าจะมาสำนักลั่วสยา นางก็แอบเดาอยู่ตลอดเวลาว่าจะได้พบพี่เก้ามั่วเฟยเยียนหรือไม่ เมื่อสองคนพบหน้ากันจะเป็นฉากเช่นไรอีก ทว่าเมื่อคืนสามคนคุยกัน ยามที่ฟังมั่วหลีลั่วแนะนำเหตุการณ์ทางนี้ได้ลองถามดูทีหนึ่ง ไม่คิดว่ามั่วหลีลั่วกลับบอกว่าไม่เคยได้ยินว่าสำนักลั่วสยามีผู้บำเพ็ญเพียรที่ชื่อมั่วเฟยเยียน
คำตอบนี้เหนือความคาดหมายมั่วชิงเฉินมาก สันนิษฐานตามเหตุผลทั่วไปแล้ว มั่วเฟยเยียนมีรากวิญญาณน้ำแข็งแปรผัน แม้พรสวรรค์สู้รากวิญญาณฟ้าไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่ากันสักเท่าไร อยู่ในสำนักลั่วสยาอย่างไรก็ไม่ควรเป็นบทบาทที่เงียบไม่มีใครพูดถึงนี่นา
ถ้ามั่วหลีลั่วมาตั้งหลายปีแล้วยังไม่เคยได้ยิน หรือว่าหลายปีมานี้นางไม่อยู่ในสำนักลั่วสยา กระทั่งไม่ได้เติบใหญ่อย่างราบรื่น?
การคาดเดานี้ทำให้มั่วชิงเฉินใส่ใจขึ้นมา ยามนี้ได้ยินผู้บำเพ็ญเพียรขายยันต์พูดถึง ‘เซียนน้ำแข็ง’ ก็นึกถึงมั่วเฟยเยียนขึ้นทันที จึงรีบถามว่า “เซียนน้ำแข็งคือผู้ใด?”
ผู้บำเพ็ญเพียรขายยันต์เผยสีหน้าภูมิใจ อ้าปากว่า “ท่านเซียนน้ำแข็งเป็นศิษย์ก้นกุฏิของท่านผู้เฒ่าเฮ่าเย่ว์ บัดนี้เพียงสี่สิบหกปีก็มีตบะระดับสร้างรากฐานระยะปลายแล้ว นี่อย่าว่าแต่ในสำนักลั่วสยาของเราเลย ต่อให้มองหาทั่วดินแดนเทียนหยวน คนที่พอสูสีเกรงว่าก็มีไม่กี่คน”
มั่วชิงเฉินได้ยินว่าเซียนน้ำแข็งอายุสี่สิบหกปีก็ยิ่งแน่ใจว่าคือมั่วเฟยเยียนอย่างไม่ต้องสงสัย มั่วเฟยเยียนและมั่วหร่านอีอายุเท่ากัน มากกว่าตนสี่ปีพอดี จึงรีบถามว่า “เซียนน้ำแข็งคนนั้นชื่ออะไรน่ะ?”
ผู้บำเพ็ญเพียรที่ขายยันต์กวาดมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งอย่างแปลกใจว่า “ชื่ออะไรข้าก็ไม่รู้แล้ว เอาเป็นว่าบัดนี้ทุกคนต่างเรียกนางว่าเซียนน้ำแข็ง เพียงเพราะเซียนน้ำแข็งมีรากวิญญาณน้ำแข็งแปรผัน ยิ่งคิดค้นยันต์ใจผนึกน้ำแข็งนี้แต่ผู้เดียว ท่านเซียน ท่านอย่าเห็นว่ายันต์ใจผนึกน้ำแข็งนี่เป็นเพียงยันต์ระดับกลางชั้นสูง ข้างในกลับผนึกพลังวิญญาณน้ำแข็งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเซียนน้ำแข็งไว้ อานุภาพมหาศาล ครั้งนี้ท่านออกศึกซื้อไว้ ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว”
“เอ่อ เท่าไร?” มั่วชิงเฉินรู้ว่ามั่วเฟยเยียนสบายดี จึงโล่งอก แล้วติดปากถามว่า
“ยันต์หนึ่งใบหินวิญญาณร้อยก้อน” ผู้บำเพ็ญเพียรที่ขายยันต์ยิ้มตาหยีแล้วยื่นนิ้วมือออกมานิ้วหนึ่ง
“อะไรนะ?” ต้วนชิงเกอหน้าเปลี่ยนสี ลากมั่วชิงเฉินก็จะจากไป
ยันต์ธรรมดาก็แค่หินวิญญาณไม่เกินสองสามก้อน ยันต์นี้ต่อให้แตกหน่อมาจากยันต์กระสุนน้ำแข็ง ราคาก็ไม่ควรสูงผิดปกติเช่นนี้ ราคานี้สามารถซื้ออาวุธเวทระดับล่างได้ชิ้นหนึ่งแล้ว
ต้องรู้ว่าอาวุธเวทชิ้นนี้สามารถให้ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งใช้ได้หลายสิบปี ทว่ายันต์ใบหนึ่งโยนออกไปก็หมดแล้ว คนคนนี้เห็นมั่วชิงเฉินแสดงท่าทางสนใจ ถึงได้โก่งราคาชัดๆ
“ชิงเกอ เจ้าอย่าเพิ่งใจร้อน ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร” มั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิตว่า จากนั้นพูดกับผู้บำเพ็ญเพียรขายยันต์ว่า “สหายเต๋า หินวิญญาณหนึ่งร้อยก้อนหนึ่งใบ อย่าบอกนะว่าเจ้าขายยันต์เป็นอาวุธเวทน่ะ?”
ผู้บำเพ็ญเพียรขายยันต์รีบเอ่ยว่า “ท่านเซียน ข้าไม่ได้โก่งราคาจริงๆ ยันต์ใจผนึกน้ำแข็งนี้ท่านลองใช้สักครั้งก็จะรู้ถึงอานุภาพแล้ว ไม่เสียดายหินวิญญาณร้อยก้อนนี้แม้แต่น้อย ต้องรู้ว่าตั้งแต่ศึกเต๋ามารเป็นต้นมา หาน้อยมากที่เซียนน้ำแข็งจะมาขายยันต์ใจผนึกน้ำแข็งที่ตลาดนี่อีกแล้ว นี่ยังเป็นของที่ข้าแย่งมาได้เมื่อนานมากมาแล้ว หากไม่เพราะสามวันให้หลังถูกส่งไปเข้าร่วมศึก จำเป็นต้องใช้หินวิญญาณ จะไม่ยอมขายออกไปเด็ดขาด”
จริงก็ดีปลอมก็ดี หินวิญญาณสองร้อยก้อนซื้อยันต์พิเศษนี่ไว้ ถือเสียว่าเป็นค่าตอบแทนที่คนคนนี้นำข่าวมั่วเฟยเยียนมาให้แล้วกัน มั่วชิงเฉินขี้เกียจต่อรองราคาอีก จึงซื้อขึ้นมาอย่างไม่เงียบๆ แล้วลากต้วนชิงเกอหันหลังจากไป
“ชิงเฉิน เจ้าใช้หินวิญญาณมากมายปานนั้นซื้อยันต์จริงหรือนี่” ต้วนชิงเกอต่อว่าว่า
ศิษย์ก้นกุฏิเช่นพวกนางนี้หินวิญญาณที่ได้รับแจกทุกปีแม้มากกว่าศิษย์ทั่วไปมาก ทว่าเอามาใช้ในการบำเพ็ญเพียรกลับยังไม่พอ ต่อให้มีอาจารย์คอยสนับสนุนก็จำเป็นต้องมีรายได้ทางอื่นเพื่อดำรงการบำเพ็ญเพียร แหล่งที่มาของรายได้ของผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ล้วนมาจากการเข้าร่วมภารกิจ เช่นต้วนชิงเกอ แน่นอนเมื่อการรักษาของนางพอประสบความสำเร็จ นานๆ ทีก็รักษาให้ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนเพื่อแลกหินวิญญาณ
หินวิญญาณสองร้อยก้อนแม้ไม่นับว่ามาก ทว่าเพียงแค่ซื้อยันต์สองใบ กลับฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว
“ชิงเฉิน บัดนี้ข้าได้รับรู้ถึงความร่ำรวยของนักหลอมโอสถแล้ว รู้แต่แรกข้าก็จะไปฝึกหลอมโอสถด้วย” ต้วนชิงเกอเห็นมั่วชิงเฉินยิ้มอ่อนไม่พูดไม่จาตลอดเวลา ถอนใจว่า
มั่วชิงเฉินตั้งแต่ถึงระดับสร้างรากฐานระยะปลาย แม้ออกไปข้างนอกน้อยมาก กลับปล่อยข่าวที่หลอมโอสถเป็นออกไปทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ นานๆ ทียังใช้ให้เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งไปขายโอสถบางส่วนที่ตลาดของสำนัก บัดนี้ศิษย์ไม่น้อยของเหยากวงต่างรู้ว่านางเหมือนอาจารย์ของนาง ไม่เพียงแต่พรสวรรค์โดดเด่น อีกทั้งยังเชี่ยวชาญศาสตร์แห่งการหลอมโอสถ เรียกได้ว่าอาจารย์เลื่องชื่อศิษย์เก่งกาจ
นี่กลับเป็นเรื่องที่มั่วชิงเฉินเจตนาให้เป็นเช่นนี้ อย่างไรเสียนางก็ต้องหาวิธีหาหินวิญญาณที่สมเหตุผล ถึงไม่ถึงกับทำให้คนสงสัย บัดนี้ไม่เหมือนกับปีนั้นที่ยังต้องปิดบังว่าหลอมโอสถเป็น อย่างไรเสียต่อให้มีผู้บำเพ็ญเพียรไหว้วานนางหลอมโอสถ นางในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายปฏิเสธไม่ให้คนมุงดูก็ไม่แปลกอะไร
มั่วชิงเฉินมองต้วนชิงเกอนิ่งปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ชิงเกอ ที่ข้าซื้อยันต์นี้แม้บอกว่าเพราะไม่เคยเห็นยันต์นี้มาก่อน รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ที่สำคัญยิ่งกว่ากลับเป็นเพราะเซียนน้ำแข็ง”
“เซียนน้ำแข็ง?” ต้วนชิงเกอขมวดคิ้ว เมื่อครู่นางก็ดูออกว่ามั่วชิงเฉินสนใจเซียนน้ำแข็งที่คนคนนั้นพูดถึงทีเดียว ทว่าจากที่นางมองมา เซียนน้ำแข็งคนนั้นแม้พรสวรรค์โดดเด่น วางไว้ในเหยากวงกลับก็ไม่ใช่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ไม่พูดถึงห่างไกล แม้แต่มั่วชิงเฉินที่อยู่ตรงหน้าอายุในการเข้าสู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลายยังเร็วกว่านางหลายปี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอายุในการก่อแก่นปราณของอาจารย์อาเหอกวงและอาจารย์อาลั่วหยางเลย
มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง ถึงเอ่ยว่า “ชิงเกอ หากข้าเดาไม่ผิด เซียนน้ำแข็งคนนั้น…คือพี่เก้าข้า!”
เรื่องนี้ไม่มีอะไรน่าปิดบัง ยิ่งกว่านั้นขอเพียงมั่วเฟยเยียนอยู่ที่นี่ การที่ทั้งสองคนพบกันเป็นเรื่องช้าเร็ว ต้วนชิงเกอในฐานะสหายสนิทของตนช้าเร็วก็ต้องรู้
ต้วนชิงเกอกลับตกตะลึง ดวงตากระจ่างดุจผลซิ่งน้ำเบิกโพลงในทันใด “อะไรนะ เซียนน้ำแข็งคือพี่เก้าเจ้า?” นี่ นี่เป็นไปได้อย่างไร?”
มั่วชิงเฉินเดินหน้าไปเงียบๆ ผ่านไปพักใหญ่ๆ ถึงเอ่ยว่า “ชิงเกอ ก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดถึงกับเจ้ามาก่อน ที่จริงข้าก็มาจากตระกูลบำเพ็ญเพียรเล็กๆ เช่นกัน ในรุ่นของเรามีสิบหกคน เซียนน้ำแข็งน่าจะเป็นพี่เก้าของข้ามั่วเฟยเยียน ปีนั้นนางอายุสิบกว่าปีถูกเซียนเฮ่าเย่ว์แห่งสำนักลั่วสยารับไว้เป็นศิษย์แล้วพาไป”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ชิงเฉิน ในตระกูลเจ้าช่างมีอัจฉริยะมากมายจริงๆ” ต้วนชิงเกอถอนใจว่า กลับไม่ได้ถามมั่วชิงเฉินว่าต่อมาไยถึงเข้ามาเป็นศิษย์จิปาถะพรรคเหอกวง
ต้องรู้ว่าตระกูลบำเพ็ญเพียรทั่วไปแม้ใฝ่ฝันสำนักใหญ่ กลับไม่มีใครเต็มใจเข้าสำนักเพื่อเป็นศิษย์จิปาถะ ส่วนมั่วชิงเฉินปีนั้นเพียงแค่สิบสามปี เบื้องหลังจะไม่มีเรื่องอดีตที่ขมขื่นได้อย่างไร
ทั้งสองคนออกจากตลาดกำลังจะกระโดดขึ้นอาวุธเวทเหินหาวจากไป จู่ๆ ในตลาดก็เกิดปั่นป่วนขึ้นมา จากนั้นมีผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อยตะโกนว่า “เซียนน้ำแข็งมาแล้ว เซียนน้ำแข็งมาแล้ว”
ตอนที่ 265 ชิงเฉินและเฟยเยียน
มั่วชิงเฉินเกิดคิดอะไรขึ้นมาได้ มองไปตามทิศทางที่ผู้คนปั่นป่วนอยู่
ไกลออกไป ลำแสงขาวดุจหิมะสายหนึ่งร่อนลงจากบนฟ้าสีคราม นี่คือลำแสงเฉพาะของผู้บำเพ็ญเพียรรากวิญญาณน้ำแข็ง ก็เหมือนกับลำแสงสีมรกตของหลัวอวี้เฉิงที่มีรากวิญญาณลม เป็นความสง่างามเฉพาะตัวของพวกเขาที่ยากจะปิดบังได้
มั่วชิงเฉินสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นคึกคักของผู้บำเพ็ญเพียรรอบๆ ได้อย่างชัดเจน ท่ามกลางสายตาคลั่งไคล้ของผู้คน หญิงสาวที่เย็นดุจน้ำแข็งคนหนึ่งยิ่งเดินยิ่งใกล้เข้ามา
นางตัวสูงมาก ส่วนสูงของมั่วชิงเฉินนับว่าสูงโปร่งในบรรดาผู้หญิงแล้ว ทว่าหากยืนอยู่ข้างหญิงผู้นี้ กลับต้องเตี้ยกว่าครึ่งช่วงศีรษะเต็มๆ
เพียงปราดเดียว มั่วชิงเฉินก็จำได้ว่านางต้องเป็นมั่วเฟยเยียนอย่างไม่ต้องสงสัย
ที่จริงว่ากันด้วยรูปโฉมเพียงอย่างเดียว มั่วเฟยเยียนไม่มีจุดเด่นอะไรที่ทำให้คนจากกันหลายสิบปียังสามารถจำได้ในปราดเดียว ทว่าปราณวิญญาณน้ำแข็งเฉพาะตัวของนาง กลับเป็นสิ่งที่ผู้อื่นไม่อาจเลียนแบบได้
มั่วเฟยเยียนไม่นับเป็นคนสวย ในบรรดาแม่นางในตระกูลมั่วรุ่นนี้ ไม่พูดถึงมั่วชิงเฉินที่งามหยาดเยิ้มไร้ผู้เทียมทาน มั่วหรั่นอีที่งามตะลึงน่าเสน่หา หากเพียงแค่พูดถึงหน้าตา ต่อให้เทียบกับมั่วอวี้ฉี มั่วหนิงโหรวก็เทียบไม่ติด ทว่าบุคลิกของนางกลับเป็นหนึ่งไม่มีสอง ทำให้คนเห็นแล้วยากจะลืมเลือน
ใบหน้านางขาวสะอาดดุจน้ำแข็ง ดวงตาเยือกเย็นดังหมึก ส่องประกายน้ำค้างแข็งอันเยือกเย็น สวมชุดสีขาวดุจหิมะเดินอย่างเงียบสงบอยู่บนถนน ก็เหมือนเมฆาลอยผ่าน ไม่เปราะเปื้อนฝุ่นผงแม้สักนิด
แสงจันทร์สุกสกาว หิมะส่องประกาย นั่นคือสีของหิมะที่ไม่ควรอยู่ในโลกมนุษย์ ทำให้คนมองแล้วละอาย
“ชิงเฉิน ใช่นางหรือไม่?” ต้วนชิงเกอส่งเสียงทางจิตเงียบๆ
“ใช่” มั่วชิงเฉินจับจ้องมั่วเฟยเยียนที่ยิ่งเดินยิ่งใกล้เข้ามา
ที่น่าสนใจคือผู้บำเพ็ญเพียรมากมายของลั่วสยาเห็นมั่วเฟยเยียนแล้วแม้ตื่นเต้นอย่างเหลือล้น กลับไม่มีคนขึ้นหน้าไปสักก้าว ราวกับการทำเช่นนั้นจะทำให้สาวงามหิมะตรงหน้ามัวหมอง
มั่วเฟยเยียนเดินไปในตลาดอย่างไม่ว่อกแว่ก สีหน้าสงบ ไม่มีสีหน้าได้ใจเพราะความกระตือรืนร้นของทุกคนแม้แต่น้อย ราวกับทุกสิ่งนี้ล้วนไม่เกี่ยวกับนาง
มั่วชิงเฉินตามขึ้นไปอย่างใจเย็น
มั่วเฟยเยียนเดินไปถึงที่หนึ่งแล้วนั่งลง เริ่มหยิบของออกมาติดๆ กัน ไม่นานนักก็ตั้งแผงขายของขึ้นมา
แผงขายของนั้นเล็กมาก ข้างบนวางยันต์ไว้หลายชนิด ที่สะดุดตาที่สุดก็คือยันต์ที่มีลวดลายยันต์รูปเกล็ดหิมะสีขาวอมเขียวอ่อนตั้งหนึ่ง นั่นคือยันต์ใจผนึกน้ำแข็งแบบที่มั่วชิงเฉินเพิ่งซื้อนั่นเอง
จนกระทั่งยามนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรมากมายที่มองมั่วเฟยเยียนตาปริบๆ ถึงกรูกันเข้ามา
“เซียนน้ำแข็ง ยันต์ใจผนึกน้ำแข็งนี่ข้าขอซื้อใบหนึ่ง”
“เอ๊ะ เจ้าบังข้าแล้ว เซียนน้ำแข็ง ข้าขอซื้อสองใบ”
…
“ข้าเหมาหมด!” เสียงโดดขึ้นมาเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เอ๊ะ เจ้าใครน่ะ ถือดีอะไรเหมาหมดล่ะ… อุ๊ย คุณหนูหรวน!” ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งร้องด้วยความตกใจ
กลุ่มคนเงียบงันลงทันที จากนั้นแยกออกไปข้างๆ เผยให้เห็นเงาร่างสีเลือดหมูเงาหนึ่งออกมา นั่นคือหรวนหลิงซิ่วอย่างไม่ต้องสงสัย
เห็นโฉมหน้าของคนที่มาอย่างชัดเจนแล้ว กลุ่มคนสงบลงทันที กลับไม่ยอมจากไป เพียงแต่มุงดูอย่างเงียบๆ
หรวนหลิงซิ่วเหล่มั่วเฟยเยียนปราดหนึ่ง ในดวงตาฉายแววริษยาที่จับได้ยากแวบหนึ่ง จากนั้นชี้ยันต์ใจผนึกน้ำแข็งตั้งนั้นว่า “อันนี้ ข้าซื้อหมดเลย”
มั่วเฟยเยียนหลุบตาจัดยันต์ ไม่พูด
หรวนหลิงซิ่วเลิกคิ้ว ขึ้นเสียงสูงว่า “เฮ่ย เจ้าได้ยินหรือไม่ ยันต์นี่ข้าซื้อหมดเลย!”
“ได้ยินแล้ว” เสียงเพราะพริ้งไพเราะดั่งหยกน้ำแข็งกระทบกันลอยมา
“รู้แล้วยังไม่เก็บขึ้นให้ข้าอีก” หรวนหลิงซิ่วเอ่ยอย่างรำคาญ
มั่วเฟยเยียนยกตาขึ้นช้าๆ กวาดหรวนหลิงซิ่วนิ่งเรียบปราดหนึ่ง จากนั้นหลุดออกมาสองคำ “ไม่ขาย!”
“ซี้ด!” เสียงสูดลมดังมาจากในกลุ่มคน
“ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนี่ใครน่ะ โอหังถึงเพียงนี้?” ผู้บำเพ็ญเพียรสำนักอื่นที่เพิ่งมาถึงสำนักลั่วสยาได้ไม่นานถามเบาๆ
ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ข้างๆ รีบกระชากเขาทีหนึ่งว่า “ชู่ เจ้าเบาหน่อย ถูกท่านย่านั่นสังเกตเห็นก็ซวยแล้ว”
“เอ๊ะ เมื่อครู่เจ้ายังบอกว่าเซียนน้ำแข็งท่านนี้มีรากวิญญาณน้ำแข็งแปรผัน ฐานะในสำนักลั่วสยาไม่ธรรมดาอย่างไรล่ะ หรือว่าผู้บำเพ็ญเพียรนั่นความเป็นมายิ่งใหญ่กว่า?” ผู้บำเพ็ญเพียรก่อนหน้าถามอย่างไม่เข้าใจ สายตายิ่งไม่ยอมออกห่างจากสองสาวที่อยู่ในนั้น
ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ข้างๆ พูดเสียงเบาว่า “พูดเช่นนี้ก็จริง ฐานะของเซียนน้ำแข็งในสำนักลั่วสยาไม่ธรรมดาก็จริง ทว่าคุณหนูใหญ่ท่านนี้ยิ่งไม่มีคนกล้าตอแยด้วย นางเป็นบุตรสาวสุดที่รักเพียงคนเดียวของเจ้าสำนักเชียวนะ รู้จักท่านหรูอวี้เจินจวินที่อยู่ลั่วสยายามนี้หรือไม่?”
“รู้จัก” คนก่อนหน้านี้รีบพยักหน้า
“นั่นคือท่านน้าแท้ๆ ของนาง!”
“หา ไยเซียนน้ำแข็งนั่นยังกล้าทำเช่นนี้ นี่ไม่ใช่แกว่งเท้าหาเสี้ยนหรือ?” คนก่อนหน้านี้ส่ายศีรษะ
ผู้บำเพ็ญเพียรข้างๆ ถอนใจว่า “เสือสองตัวไม่อาจอยู่ถ้ำเดียวกัน ความขัดแย้งของพวกนางสองคนไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้ว คอยดูเถอะ”
“ไม่ขาย? มั่วเฟยเยียน เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” หรวนหลิงซิ่วถามด้วยสีหน้าโมโห
เสียงนิ่งๆ เรียบๆ ของมั่วเฟยเยียนลอยมา “ขายยันต์”
หรวนหลิงซิ่วสูดลมเข้าอย่างแรงอึดหนึ่ง แล้วจ้องมั่วเฟยเยียนตาไม่กะพริบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเจ้าถือดีอะไรไม่ขายให้ข้า?”
สายตาเยือกเย็นของมั่วเฟยเยียนกวาดผ่านหน้าหรวนหลิงซิ่ว แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ไม่ถือดีอะไรทั้งนั้น ไม่ขาย” พูดจบก้มหน้าจัดยันต์ที่วางอย่างยุ่งเหยิงเพราะการแย่งของผู้บำเพ็ญเพียรเมื่อครู่ให้เรียบร้อยอย่างไม่รีบร้อน ราวกับหรวนหลิงซิ่วที่ไฟลุกสามจั้งตรงหน้าไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น
ถูกเพิกเฉยโดยสิ้นเชิงเช่นนี้ นอกจากคู่อาฆาตนั่นแล้วก็คือมั่วเฟยเยียนที่น่ารังเกียจคนนี้แล้ว หรวนหลิงซิ่วแอบแค้นอยู่ในใจ จึงอดโกรธคนตรงหน้าเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วนไม่ได้ เสียดายที่ตบะตนสู้เขาไม่ได้ ไม่สามารถระบายอารมณ์ด้วยตนเองได้ ยังดีครั้งนี้เตรียมตัวมา
“ศิษย์พี่สวี่ ศิษย์พี่จ้าว พวกเจ้าดูที่ข้าพูดไว้ไม่ผิดสินะ นางหนูนี่รังแกคน เจาะจงสร้างความลำบากใจให้ข้า” หรวนหลิงซิ่วหันหลัง พูดกับผู้ชายสองคนที่อยู่ข้างๆ
มั่วชิงเฉินลืมตากว้างด้วยความตะลึง นางนึกมาตลอดว่าผู้บำเพ็ญเพียรชายระดับสร้างรากฐานระยะปลายสองคนนี้เป็นคนมุงดู ไม่คิดว่าจะเป็นกำลังหนุนของหรวนหลิงซิ่ว
เป็นอันใด นี่นางจงใจเตรียมตัวมาหาเรื่องมั่วเฟยเยียนเช่นนั้นหรือ? มั่วชิงเฉินหรี่ตาขึ้นมา
ผู้ชายสองคนที่ยืนอยู่หลังหรวนหลิงซิ่วมีตบะระดับสร้างรากฐานระยะปลายทั้งคู่ คนหนึ่งใส่ชุดสีเหลืองทึม หน้าตาธรรมดา อีกคนหนึ่งใส่เครื่องแต่งกายของนิกายเลี่ยนเป่า ใบหน้าหล่อเหลาไม่ธรรมดา จุดเด่นที่มีร่วมกันของทั้งสองคน ก็คือหน้าแฝงความผยอง
หรวนหลิงซิ่วตารูปผลซิ่งฉ่ำเยิ้มกวาดทั้งสองคนปราดหนึ่ง กลับแอบขมวดคิ้ว
ตั้งแต่ที่นางกลับสำนักลั่วสยาถึงพบว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ชื่อเซียนน้ำแข็งคนหนึ่งได้รับการเทิดทูนจากศิษย์ในสำนักมาก ท่ามกลางการสังเกตถึงพบว่าที่แท้เซียนน้ำแข็งที่ผู้คนพูดถึงก็คือนางหนูน้อยที่อาจารย์อาเฮ่าเย่ว์พากลับมาเมื่อหลายสิบปีก่อน
ยามนั้นมั่วเฟยเยียนยังเล็ก หรวนหลิงซิ่วผ่านไปไม่กี่ปีก็ออกไปท่องเที่ยวฝึกตนแล้วพบกับเยี่ยเทียนหยวน นับแต่นั้นรากรักฝังลึกตามเขาไปอยู่ในพรรคเหยากวง อยู่ทีหนึ่งก็ยี่สิบกว่าปี ไม่คิดว่าหลังจากกลับมาแล้วถึงพบว่าถูกมั่วเฟยเยียนคนนี้แย่งความสนใจไปเสียทุกเรื่องแล้ว
ดันคนอื่นล้วนปั้นหน้ายิ้มต้อนรับตน ก็มีเพียงมั่วเฟยเยียนคนนี้ที่เหมือนก้อนหินเน่าเหม็นก็ไม่ปาน คอยทำให้ตนอับอายไปเสียทุกที่ ที่น่าหงุดหงิดก็คือตบะยังสู้นางไม่ได้ เพื่อระบายอารมณ์ จึงได้แต่พาสองคนนี้มาแล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองในสองคนนี้ชื่อสวี่เซี่ยวถัน เป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลบำเพ็ญเพียรระดับกลางตระกูลหนึ่ง พรสวรรค์หนึ่งในหมื่น มีรากวิญญาณฟ้าธาตุทองที่หายากยิ่ง ครั้งนี้ตระกูลสวี่ส่งคนเข้าร่วมศึกเต๋ามาร ไม่รู้ว่ตั้งใจหรือไม่เจตนา สวี่เซี่ยวถันคนนี้คอยเอาอกเอาใจหรวนหลิงซิ่ว แสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีเจตนาขอความรัก
ส่วนอีกคนหนึ่ง เป็นศิษย์หัวกะทิแห่งนิกายเลี่ยนเป่า ชื่อจ้าวเจิ้นหมิง
นิกายเลี่ยนเป่าและสำนักลั่วสยาอยู่ติดกัน รู้ตื้นลึกหนาบางของสำนักลั่วสยามากว่าสำนักอื่นมาก จึงรู้ฐานะที่ไม่ธรรมดาของหรวนหลิงซิ่ว
หรวนหลิงซิ่วแม้เอาแต่ใจ กลับไม่ใช่คนโง่จริงๆ จากที่นางดูมาสองคนนี้มีใจขอความรักตน นอกจากพรสวรรค์ รูปโฉม สิ่งที่ยิ่งให้ความสำคัญคิดว่าอย่างไรก็ยังคงเป็นฐานะของนาง
ยกตัวอย่างเช่นสวี่เซี่ยวถัน หากเขาแต่งงานกับตน เช่นนั้นตระกูลของพวกเขาต้องก้าวกระโดดกลายเป็นตระกูลบำเพ็ญเพียรใหญ่เป็นแน่ ส่วนจ้าวเจิ้นหมิง เกรงว่าก็เพื่อให้ฐานะในนิกายเลี่ยนเป่าสูงขึ้นอีกชั้นหนึ่ง
พูดถึงที่สุด พวกเขาล้วนสู้เขาไม่ได้ หากเขาชอบใครสักคน จะไม่มีทางมีความคิดมากมายเช่นนี้หรอก
หรวนหลิงซิ่วแอบถอนใจทีหนึ่ง หากไม่เพื่อระบายอารมณ์ นางก็ขี้เกียจสนใจสองคนนี้
เห็นหรวนหลิงซิ่วตารูปผลซิ่งมองมา สวี่เซี่ยวถันเอ่ยปากก่อนว่า “ศิษย์น้องหรวนวางใจได้ ศิษย์พี่ไม่ให้เจ้าต้องได้รับความไม่เป็นธรรมแน่นอน” พูดพลางมองมั่วเฟยเยียนที่สีหน้าไร้ความรู้สึก
เดิมทีเขาได้รับคำสั่งจากในตระกูลให้ขอความรักคุณหนูใหญ่ท่านนี้ มีความไม่เต็มใจ ทว่าพบหน้ากันถึงพบว่าคุณหนูใหญ่คนนี้แม้เอาแต่ใจไปบ้างกลับเป็นคนตรง พรสวรรค์แม้สู้ตนเองไม่ได้อย่างไรเสียก็เป็นรากวิญญาณคู่ ที่สำคัญกว่าคือรูปโฉมโดดเด่น ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่สวยสู้ได้ยังมีไม่มากจริงๆ
อีกทั้งนึกถึงฐานะของนาง หากสามารถบำเพ็ญเพียรคู่ด้วยจริง ก็ถือว่าหายาก
ผู้บำเพ็ญเพียรนิกายเลี่ยนเป่าอีกคนหนึ่งกลับไม่พูด แม้เขามีใจขอความรักหรวนหลิงซิ่ว กลับรู้ว่าเซียนน้ำแข็งตรงหน้าก็มิใช่คนที่ควรตอแยด้วย หากเกิดเรื่องอะไรจริงเจ้าสำนักลั่วสยาไม่กล่าวโทษบุตรสาวตน แต่ต้องพาลโกรธถึงพวกเขาสองคนแน่ๆ
ฐานะตนในนิกายเลี่ยนเป่าแม้ไม่ต่ำ ทว่าอย่างไรเสียนิกายเลี่ยนเป่าก็มีอิทธิพลสู้สำนักลั่วสยาไม่ได้ หากเจ้าสำนักสำนักลั่วสยาตำหนิลงมา ไม่แน่อาจารย์อาจด่าตนอย่างรุนแรงยกหนึ่ง
“เป็นอันใด ศิษย์พี่จ้าว ปกติเจ้าบอกว่าตนฉลาดเยี่ยมยุทธ์มิใช่หรือ ไยบัดนี้ไม่พูดแล้ว หรือว่าเห็นนางหนูนี่มีรากวิญญาณน้ำแข็ง ก็กลัวแล้ว?” หรวนหลิงซิ่วตารูปผลซิ่งเป็นประกายแวววับ กระแนะกระแหนว่า
สายตาต่อว่าของสวี่เซี่ยวถันกวาดมา
หากบอกว่าจ้าวเจิ้นหมิงก่อนหน้านี้ยังมีสติสัมปชัญญะอยู่บ้าง ถูกคนงามกระตุ้นเช่นนี้ อีกทั้งได้รับสายตาต่อว่าจากศัตรูหัวใจ สติสัมปชัญญะไม่กี่ส่วนนั้นก็หายไปในทันที ทันใดนั้นจึงเอ่ยว่า “ศิษย์น้องหรวนเข้าใจศิษย์พี่ผิดแล้ว ศิษย์พี่ไม่เหมือนใครบางคนหรอกนะ ได้แต่พูดทำไม่เป็น”
“เซียนน้ำแข็ง ยันต์นี่อย่างไรเจ้าก็ขายให้ศิษย์น้องหรวนเป็นเช่นไร?” สวี่เซี่ยวถันยักคิ้วหลงคิดว่าสง่างาม ในความเป็นจริงการทำเช่นนี้บนใบหน้าธรรมดาของเขานั่นแล้ว กลับดูตลกเล็กน้อย
มั่วเฟยเยียนนั่งเงียบๆ ราวกับตรงหน้ามีแต่อากาศธาตุก็ไม่ปาน
“สุราคารวะไม่ดื่มดื่มสุราโทษ!” ในที่สุดสวี่เซี่ยวถันก็โกรธแล้ว อาวุธเวทกระบี่คู่ปรากฏขึ้นในมือ
มั่วเฟยเยียนลุกขึ้นยืน โบกมือเก็บแผงขายของขึ้น แล้วเดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่สนใจทั้งสามคน
จ้าวเจิ้นหมิงก้าวขึ้นหน้าก้าวหนึ่งขวางทางไปไว้
หรวนหลิงซิ่วสองมือกอดอก มุมปากเผยรอยยิ้มเยาะสายหนึ่ง
ในเวลานี้เอง เสียงกังวานใสเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อนเก็บยันต์ขึ้น ยันต์ใจผนึกน้ำแข็งนั่น ข้าเอาหมดแล้ว”
ผู้คนตกใจจนอ้าปากค้าง เหตุใดเวลาเช่นนี้ ยังมีคนยื่นขาเข้ามาข้างหนึ่งอย่างไม่กลัวตาย
ท่ามกลางสายตาตกใจอีกทั้งแฝงด้วยความตื่นเต้นรางๆ ของทุกคน ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ดูแล้วท่าทางเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปี ใส่ชุดเรียบง่ายสีเขียวเดินเข้ามาอย่างใจเย็น
หรวนหลิงซิ่วเห็นคนที่มาแล้วสีหน้าก็ดำทันที กัดฟันว่า “นางมาร ข้ายังไม่ได้หาเจ้าคิดบัญชี ไม่นึกว่าเจ้ายังกล้าเสนอหน้าขึ้นมาอีก!”
ดวงตาดอกท้อของมั่วชิงเฉินกวาดมองหรวนหลิงซิ่วอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง แล้วยิ้มร่าว่า “ไยข้าถึงไม่กล้า หรือว่าจะกลัวตบะระดับสร้างรากฐานระยะกลางของเจ้า?”
เมื่อพูดออกไป ผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อยหัวเราะออกมาทันที
“มั่วชิงเฉิน พวกเจ้าแซ่มั่ว ช่างมีแต่คนน่ารังเกียจจริงๆ!” หรวนหลิงซิ่วโกรธมาก
ตอนที่ 266 พวกเราแลกเปลี่ยนวิชากันอยู่
“มั่วชิงเฉิน” สามคำพูดออกมา มั่วเฟยเยียนที่หน้าดุจน้ำแข็งตลอดเวลาเงยหน้าขึ้นทันที สายตาตกลงบนใบหน้ามั่วชิงเฉินตรงๆ
“ศิษย์พี่สวี่ ศิษย์พี่จ้าว พวกเจ้ายังรออะไรอีก!” หรวนหลิงซิ่วกระทืบเท้าอย่างแรงทีหนึ่ง ดึงแส้ยาวสีทองประกายแวววาวตวัดใส่หน้ามั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินเท้าซ้ายก้าวออกข้างๆ ร่ายเคลื่อนเงาเลือนรางลอยออกไปไกลหลายจั้งทันที แล้วก็เห็นเงาแส้สายหนึ่งพันอยู่ด้วยกันกับแส้ยาวสีทอง
“ต้วนชิงเกอ เจ้าก็มาแส่หรือ?” หรวนหลิงซิ่วสีหน้าตึงเครียด ตะคอกด้วยความโกรธว่า
ต้วนชิงเกอกลับไม่พูดสักคำ ตวัดแส้ยาวในมือจนเหมือนผีเสื้อร่ายรำ ทำให้คนมองกระบวนท่าไม่ชัด เห็นเพียงเงาแส้เต็มท้องฟ้าเหมือนกรงขังกักขังสองคนไว้ข้างใน
“ชิงเกอ ระวังด้วย” ความเข้าใจมาหลายปีทำให้มั่วชิงเฉินรู้ว่าต้วนชิงเกอรับมือหรวนหลิงซิ่วจะไม่เสียเปรียบ กำชับเสียงหนึ่งแล้วกระโดดขึ้น ร่อนลงหน้าสวี่เซี่ยวถันที่กำลังเข้าใกล้มั่วเฟยเยียน แล้วยิ้มเยาะว่า “สหายเต๋าสวี่ สองคนสู้หนึ่งคนช่างไร้ความหมาย ไม่สู้เรามาประลองกันดีกว่า?”
สายตาสวี่เซี่ยวถันกวาดผ่านหน้ามั่วชิงเฉิน เห็นนางอายุไม่เกินสิบเจ็ดสิบแปดปี ผมข้างหน้าบังตามองหน้าตาไม่ชัด การแต่งตัวเช่นนี้กลับขับให้ดูหน้าเด็กยิ่งขึ้น จึงอดฮึเสียงเย็นไม่ได้ว่า “อาศัยเจ้าน่ะหรือ?”
มั่วชิงเฉินอดหัวเราะไม่ได้แล้ว สหายเต๋าสวี่ผู้นี้หน้าตาดูหนุ่มยิ่งนัก อายุจริงเกรงว่าไม่มาก สามารถมีตบะระดับสร้างรากฐานระยะปลายได้คิดว่าพรสวรรค์คงโดดเด่น ทว่าดูเหมือนจะหลงตัวเองไปหน่อย
“สหายเต๋าสวี่ อาศัยหรือไม่มิใช่แค่พูดด้วยปาก เราดูกันที่ฝีมือดีกว่า” มั่วชิงเฉินยื่นมือขวา กระบี่ชิงมู่ก็ปรากฏขึ้นในมือ
ทางด้านนั้น มั่วเฟยเยียนและจ้าวเจิ้นหมิงสู้อยู่ด้วยกันแล้ว
อาวุธเวทที่มั่วเฟยเยียนใช้คือกงล้อบินสีเขียวรูปร่างเหมือนดอกเหมยคู่หนึ่ง ใหญ่กว่าลูกดอกธรรมดามาก พร้อมด้วยฟันแหลมคม
เห็นนางสะบัดมือสองข้าง วงล้อดอกเหมยสองอันก็หมุนจู่โจมคู่ต่อสู้ไปอย่างรวดเร็ว ที่ที่บินผ่านบนฟ้าเกิดควันคละคลุ้งขึ้นทันที ไอเย็นแผ่กระจายตามมา
จ้าวเจิ้นหมิงอัญเชิญอาวุธเวทต้านไว้ทันที ยังแตะไม่ถูกลูกดอกดอกเหมยที่บินมาก็ถูกไอเย็นนั่นแช่แข็งแล้ว ขยับไปข้างหน้าไม่ได้อีกแม้ครึ่งก้าว
เขาหน้าถอดสี อัญเชิญอาวุธเวทอีกอันหนึ่งออกมาทันที
ทางด้านนี้อาวุธเวทจู่โจมของสวี่เซี่ยวถันคือกระบี่คู่คู่หนึ่ง กระบี่สองเล่มยาวเล่มสั้นเล่ม ใหญ่เล่มเล็กเล่ม ทองเล่มแดงเล่ม เห็นมั่วชิงเฉินอัญเชิญกระบี่ชิงมู่ออกมา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็โยนกระบี่สั้นสีแดงในมือออกไป
กระบี่สั้นสีแดงวาดผ่านอากาศ เกิดแสงสีแดงประหลาดขึ้นสายหนึ่ง
มั่วชิงเฉินตวัดกระบี่ชิงมู่ในมือ ดอกไม้วิญญาณพรั่งพรูออกจากปลายกระบี่มากมาย ล่องลอยโปรยปรายล้อมกระบี่สีแดงที่จู่โจมมาไว้
“ของหลอกเด็ก!” สวี่เซี่ยวถันยิ้มเยาะเสียงหนึ่ง ขยับนิ้วมือตีเคล็ดวิญญาณออกสายหนึ่งใส่กระบี่สั้นสีแดง ก็เห็นกระบี่สั้นสีแดงเปล่งแสงสีแดงเรืองรอง บุปผาวิญญาณที่ถูกปกคลุมใต้แสงสีแดงไหม้เป็นตอตะโกในพริบตา จากนั้นกระจัดกระจายหายไปในอากาศ
มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นเยียบ กวาดมองอีกฝ่ายปราดหนึ่ง
กระบี่สั้นของคนผู้นี้ร้ายกาจยิ่งนัก ไม่คิดว่าจะมีพิษโดยธรรมชาติ
นึกถึงก่อนหน้านี้ไม่นานตนก็เพราะโล่ชิงมู่ถึงถูกแมงป่องพิษที่ยายแก่ประหลาดคนหนึ่งเลี้ยงไว้จู่โจม ทำให้ตนถูกพิษแมงป่อง ทันใดนั้นจึงไม่กล้าประมาท มือถือกระบี่ชิงมู่สงบจิตใจ เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ค่อยๆ สำแดงออกมา
สวี่เซี่ยวถันที่บังคับการจู่โจมของกระบี่สั้นสีแดงพบทันทีว่าความเร็วของกระบี่สั้นช้าลง จึงเพิ่มพลังวิญญาณในมือหลายส่วนกลับพบว่าไม่ได้ดั่งใจ
กลิ่นหอมจางๆ สายหนึ่งพุ่งเข้ามา จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าการโคจรพลังวิญญาณในกายช้าลงหลายส่วน ทันใดนั้นหน้าถอดสี ร้องขึ้นเสียงหนึ่งซัดกระบี่ยาวสีทองในมือออกมาอย่างไม่ลังเล
มั่วชิงเฉินสัมผัสได้ทันทีว่าปราณกระบี่คมกริบอย่างที่สุดสายหนึ่งพุ่งเข้ามา ยังไม่เข้าใกล้ก็กวาดจนใบหน้านางเจ็บ จึงร่ายรำกระบี่ชิงมู่อย่างแน่นหนา ด้านหนึ่งใช้โล่ชิงมู่ต้านปราณกระบี่ ด้านหนึ่งตวัดบุปผาวิญญาณนับไม่ถ้วนถักทอเป็นโซ่ดอกไม้ล้อมกระบี่ยาวสีทองไว้จนเป็นห่วงดอกไม้อันแล้วอันเล่า
กระบี่ยาวสีทองถูกห่วงดอกไม้นับไม่ถ้วนขวางไว้ หยุดอยู่กลางอากาศเดินหน้าไม่ได้
สีหน้าสวี่เซี่ยวถันยิ่งดูไม่ได้ เขาคิดไม่ถึงว่านางหนูน้อยที่ดูแล้วไม่สะดุดตาแม้แต่น้อยคนนี้จะขวางกระบี่ปราณทองแกของเขาได้ จึงรีบโคจรพลังวิญญาณทั่วร่างทันที ปากเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “กระบี่คู่ร่วมใจ!”
เพิ่งสิ้นเสียง ก็เห็นกระบี่สีทองสีแดงสองเล่มเปล่งแสงวิญญาณขึ้นพร้อมกัน แล้วซ้อนเข้าด้วยกัน จากนั้นกระบี่สั้นสีแดงค่อยๆ เข้าไปอยู่ในแกนกระบี่ยาวสีทอง กลายเป็นกระบี่ยาวสีแดงทองเล่มหนึ่ง
ตวัดกระบี่สีแดงทองที่เพิ่งประกอบร่างโดยพลัน ห่วงดอกไม้นับไม่ถ้วนที่พันอยู่ข้างบนคลายออกทันทีกลับมาเป็นโซ่ดอกไม้ดังเดิมเส้นหนึ่งห้อยหล่นลงไป
กระบี่สีแดงทองเล่มนั้นราวกับสัตว์ร้ายที่บ้าคลั่ง ตวัดไม่หยุดกลางอากาศแล้วเปล่งเสียงร้องเบาๆ เป็นระลอก จากนั้นก็เห็นกระบี่ยาวสีแดงทองขยายขึ้นโดยพลัน กลายเป็นดาบยักษ์ใหญ่ไม่เป็นสองรองใครเล่มหนึ่งยกขึ้นสูงแล้วแทงไปที่มั่วชิงเฉิน
“อ๊าก!” คนที่มุงดูอุทานออกมา
ยามนี้ศิษย์ผู้ดูแลรุดมาแล้ว เห็นหน้าคนก่อเรื่องชัดเจนแล้วอดมองหน้ากันไม่ได้ พวกเขาส่วนใหญ่มีตบะระดับสร้างรากฐานระยะต้น กลาง ต่อให้มีใจห้ามการต่อสู้ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายแต่กำลังไม่ได้ดั่งใจ
ผู้ก่อปัญหาเพียงคู่เดียวที่อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง คนหนึ่งในนั้นกลับเป็นคุณหนูใหญ่ของสำนักลั่วสยาของพวกเขา ด้วยอารมณ์ของคุณหนูใหญ่ผู้นี้หากพวกเขาเข้าห้ามอย่างทะเล่อทะล่า ไม่แน่ยังต้องโดนด่ายกหนึ่งด้วย
ทว่าอีกสองคู่สภาพการสู้ล่อแหลม หากปล่อยให้พัฒนาต่อไปไม่กล้าคิดถึงผลลัพธ์ นึกถึงตรงนี้ศิษย์ผู้ดูแลคนหนึ่งในนี้ตัดสินใจโยนยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งออกไปทันที
ปราณอันคมกริบของกระบี่ยักษ์ทำให้มั่วชิงเฉินขนหัวลุกขึ้นมาทันที ไม่ต้องคิดมากก็รู้ว่านี่ต้องเป็นท่าไม้ตายของอีกฝ่ายแน่นอน จึงโคจรพลังวิญญาณทั้งร่างขึ้นมาอย่างไม่ลังเลทันที ปากตะโกนเช่นกันว่า “พายุทะเลบุปผา!”
แล้วก็เห็นดอกไม้นับไม่ถ้วนพรั่งพรูออกจากปลายกระบี่ชิงมู่ ดอกไม้ที่สมจริงพวกนี้หมุนอย่างบ้าคลั่งกลายเป็นพายุงวงช้าง พุ่งไปที่กระบี่ยักษ์พร้อมกลิ่นหอมจางๆ
“สวยแต่รูป!” สวี่เซี่ยวถันฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง กระดกมุมปากขึ้น กระบี่แดงทองสองเล่มของเขารวมตัวกันเมื่อไร ความคมของมันในผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันยังไม่มีคนต้านทานได้ เป็นสิ่งที่กระบวนท่าเหละแหละพวกนี้ต้านทานได้เช่นนั้นหรือ
ทว่าต่อจากนั้นรอยยิ้มที่มุมปากของเขากลับต้องค้างอยู่อย่างนั้น
เห็นเพียงพายุทะเลบุปผายิ่งโตยิ่งใหญ่ยิ่งหมุนยิ่งเร็ว พริบตาก็กลืนกระบี่ยักษ์หายไป จากนั้นพากระบี่ยักษ์บินขึ้นฟ้าไป ไปถึงความสูงระดับหนึ่งจู่ๆ ก็ผลิดอกไม้สีแดงสดดอกใหญ่ออกกลืนปราณกระบี่คมกริบที่แผ่ออกจากกระบี่ยักษ์จนหมด บานๆ หุบๆ อยู่กลางอากาศเหมือนดอกไม้ไฟงดงามเหลือจะกล่าว
จากนั้นพายุงวงช้างที่ก่อร่างจากบุปผาวิญญาณกลายเป็นแสงวิญญาณกระจายหายไปในทันที กระบี่ยาวสีแดงทองที่โผล่ออกมามืดมนไร้แสงตกสู่ด้านล่างไป ยามอยู่กลางอากาศก็แยกออกเป็นกระบี่หนึ่งทองหนึ่งแดงสองเล่ม หมดอาลัยตายอยากราวกับจิ้งหรีดที่สู้แพ้ เคร้งเสียงหนึ่งตกถึงพื้นจนฝุ่นคละคลุ้งไปหมด
ยามนี้ต้วนชิงเกอที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ฉวยโอกาสไว้ แส้ยาวสีเขียวในมือฟาดลงบนตัวหรวนหลิงซิ่วดังเพี้ยะ หรวนหลิงซิ่วร้อง ‘โอ๊ย’ อย่างอนาถเสียงหนึ่ง ศิษย์ผู้ดูแลที่อยู่ข้างๆ เห็นดังนั้นสีหน้าซีดเซียวทันที อาวุธเวทหลุดออกจากมือจู่โจมไปที่ต้วนชิงเกอ
มั่วชิงเฉินยกตาขึ้นเห็นเหตุการณ์นี้เข้าพอดี ทันใดนั้นโกรธแค้นเหลือคณา ในมือปรากฏก้อนอิฐเป็นประกายทองแวววับขึ้นทันที แล้วดังฟิ้วๆ ไปถึงหน้าศิษย์ผู้ดูแลผู้นั้น ต่อจากนั้นตบลงบนหน้าเขาอย่างไม่ไว้หน้า คนผู้นั้นร้องอย่างอนาถเสียงหนึ่งแล้วหงายหลังไปตรงๆ
มั่วชิงเฉินฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง ในฐานะศิษย์ผู้ดูแลกลับเล่นทีเผลอ บัดนี้นางถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางสำหรับต้วนชิงเกอที่ผ่านการสู้มาแล้วละก็เป็นการคุกคามไม่น้อย สำหรับตนที่อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลายแล้วกลับไม่มีค่าแม้แต่ให้เอ่ยถึง ก้อนอิฐที่รักที่ถูกผนึกมานานในที่สุดก็ได้ออกโรงแล้ว
เห็นมั่วชิงเฉินจู่โจมศิษย์ผู้ดูแล ศิษย์ผู้ดูแลที่เหลือรีบลงมือทันที อีกด้านหนึ่งมั่วเฟยเยียนโยนยันต์ใจผนึกน้ำแข็งสองแผ่นออกตกไปที่ศิษย์ผู้ดูแลสองสามคนนั้น แล้วกลายเป็นเมฆขาวดุจหิมะสองก้อนเหนือศีรษะศิษย์ผู้ดูแลสองสามคนนั้น ต่อจากนั้นก็เห็นลูกเห็บร่วงลงมาอย่างแน่นขนัด ตกจนสองสามคนนั้นกอดศีรษะหนีหัวซุกหัวซุน จากนั้นเมฆขาวดุจหิมะสองก้อนนั้นแผ่ขยายออกกลายเป็นคุกน้ำแข็งในบัดดล หล่นตึ้งลงไปล้อมสองสามคนนั้นไว้ สองสามคนนั้นหนาวจนมือเท้าสั่นทันที
“หยุดให้หมด!” เสียงดุจอสนีบาตเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เจ้าโถงหม่า…” ศิษย์ผู้ดูแลสองสามคนเหมือนได้รับการปลดปล่อย มองคนที่มาพลางเรียกเหมือนขอความช่วยเหลือ
คนที่มาก็คือเจ้าโถงโถงปฏิบัติงานสำนักลั่วสยาหม่าผิงชวน คนผู้นี้เสียงดังแต่กำเนิด เห็นเหตุการณ์เช่นนี้จึงมองมั่วเฟยเยียนแล้วตะโกนเสียงเหมือนตีกลองว่า “ศิษย์หลานมั่ว นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
มั่วเฟยเยียนแตะนิ้วทีหนึ่ง อานุภาพที่เหลืออยู่ของยันต์ใจผนึกน้ำแข็งสลายไป ถึงมองไปที่เจ้าโถงหม่าแล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “ถามหรวนหลิงซิ่ว”
พูดพลางเม้มปากไว้แน่น ราวกับไม่ยอมพูดมากขึ้นแม้อีกคำเดียว สายตากลับมองไปหามั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินมองไปที่มั่วเฟยเยียนเช่นกัน จู่ๆ ก็ฉีกยิ้มออกมา ลักยิ้มข้างริมฝีปากปรากฏขึ้นทันที
มั่วเฟยเยียนร่างกายชะงัก ไม่ถอนสายตาจากลักยิ้มที่ข้างปากมั่วชิงเฉิน กะพริบตาน้ำตาใสแจ๋วก็ไหลลงมาอย่างไม่คาดคิด ต่อให้เช็ดไปอย่างรวดเร็วยังคงถูกมั่วชิงเฉินเห็นเข้า
มั่วชิงเฉินไม่คิดว่ามั่วเฟยเยียนที่เย็นชาดุจน้ำแข็งจะเผยให้เห็นอารมณ์เช่นนี้ ในใจกลับยากปิดบังความตื่นเต้นเช่นกัน เดินขึ้นหน้าไปสองก้าวว่า “พี่เก้า”
มั่วเฟยเยียนยามนี้ฟื้นคืนความเยือกเย็นในยามปกติแล้ว เสียงสงบราบเรียบว่า “น้องสิบหก ใช่เจ้าหรือไม่?” ความอบอุ่นที่อยู่ลึกลงไปในดวงตาไม่ลดลง
ฉากเช่นนี้ทำให้ผู้คนชะงักงัน พักใหญ่หรวนหลิงซิ่วถึงกระโดดเข้ามาว่า “ดีนี่ ข้าว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงตะเภาเดียวกัน วุ่นวายอยู่ตั้งนานที่แท้คือพี่น้องกัน! ท่านอาจารย์อาหม่า ท่านต้องตัดสินให้ข้า จะละเว้นพวกนางสองคนไม่ได้ ใช่แล้ว ยังมีนางอีก!” พูดพลางชี้ไปที่ต้วนชิงเกอ
ตบะของหม่าผิงชวนแม้ไม่นับว่าโดดเด่นในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ กลับรับหน้าที่เจ้าโถงโถงปฏิบัติงานมานาน อย่าเห็นว่าเขาพูดจาเสียงดัง การกระทำกลับไม่หยาบโลน เห็นคนหนึ่งคือบุตรสาวเจ้าสำนักคนหนึ่งคือบุตรผู้ได้รับการโปรดปรานจากฟ้าในสำนัก หญิงอีกสองคนล้วนใส่เครื่องแต่งกายของพรรคเหยากวง ดูอายุและตบะ แน่นอนก็ต้องเป็นศิษย์หัวกะทิในสำนักของอีกฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย ศิษย์ชายสองคนเขาล้วนรู้จัก ความเป็นมาไม่ธรรมดาเช่นกัน ไม่กี่คนนี้ล้วนไม่น่าตอแยด้วย เรื่องนี้จัดการขึ้นมายุ่งยากมาก ทันใดนั้นจึงเอ่ยว่า “ศิษย์หลานไม่กี่ท่านตามข้าไปโถงปฏิบัติงานก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
“ฮึ!” หรวนหลิงซิ่วยืดตัวตรงถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง แล้วเดินนำหน้าไปก่อน
มั่วชิงเฉินแอบทอดถอนใจว่าโชคร้าย ทุกครั้งที่เจอหญิงบ้าผู้นี้ก็ไม่มีเรื่องดี ได้แต่เดินตามไป
ต้วนชิงเกอเดินอยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า “ชิงเฉิน จะเที่ยงตรงแล้ว ไปโถงปฏิบัติงานเช่นนี้ พวกเรายังไปทันหรือไม่?”
เมื่อพูดออกไป หรวนหลิงซิ่วที่เดินอยู่ข้างหน้าหยุดชะงักโดยพลัน ศิษย์ผู้ดูแลที่เดินอยู่ข้างหลังเกือบชนนางเข้า
หรวนหลิงซิ่วถลึงตาใส่ศิษย์ผู้ดูแลนั่นอย่างดุดันปราดหนึ่ง
“ศิษย์หลานหรวน นี่เจ้าคือ?” หม่าผิงชวนถามเสียงดัง
หรวนหลิงซิ่วถลึงตาใส่พวกมั่วชิงเฉินสามคนปราดหนึ่งอย่างไม่ยอม ถึงเอ่ยว่า “ท่านอาจาย์อาหม่า ที่จริงพวกเราไม่กี่คนกำลังแลกเปลี่ยนวิชากันอยู่ ท่านดู โถงปฏิบัติงานก็ไม่ต้องไปแล้วเถอะนะ?”
ตอนที่ 267 ถึงหุบเขาลั่วเยี่ยน
แลกเปลี่ยนวิชา? นักพรตผิงชวนแอบกระตุกมุมปาก ทว่าหรวนหลิงซิ่วพูดเช่นนี้กลับทำให้เขาโล่งอก ในที่สุดก็ไม่ต้องจัดการเรื่องยุ่งยากเรื่องนี้แล้ว ปากยิ้มว่า “ศิษย์หลานหรวน ศิษย์หลานมั่ว พวกเจ้าแลกเปลี่ยนวิชากับศิษย์สำนักอื่นเป็นเรื่องดี เพียงแต่ก็ต้องระวังความเหมาะสม พวกเจ้าดูในตลาดนี่ผู้คนไปมาขวักไขว่ หากหลงทำร้ายผู้อื่นเข้าก็ไม่ดีแล้ว”
หรวนหลิงซิ่วกระตุกมุมปากด้วยความรำคาญว่า “ทราบแล้วเจ้าค่ะ อาจารย์อาหม่า เช่นนั้นพวกเราไปได้แล้วนะ” พูดจบก็ไม่สนใจพวกสวี่เซี่ยวถันสองคน กวาดมองพวกมั่วชิงเฉินสามคนอย่างดุดันปราดหนึ่งแล้วตรงจากไป
พวกมั่วชิงเฉินสามคนอยู่ในตลาดนี่ก็ไม่อาจพูดอะไรมาก จากไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน
นักพรตผิงชวนมองทิศทางที่ทั้งสามคนจากไปแล้วหรี่ตา กวักมือเรียกศิษย์ผู้ดูแลสองสามคน
“ท่านเจ้าโถง มีอะไรจะสั่งการขอรับ?” ศิษย์ผู้ดูแลคนหนึ่งถามอย่างนอบน้อม
นักพรตผิงชวนไม่ได้เบือนสายตากลับมา เอ่ยเสียงเบาว่า “ไปสืบดูหน่อยผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพรรคเหยากวงสองคนนั้นมีที่มาอย่างไร”
“ขอรับ”
พวกมั่วชิงเฉินสามคนเดินออกจากตลาด เดินออกไปไม่ใกล้ไม่ไกล
ต้วนชิงเกอมองพี่น้องสองคนที่ไม่พูดไม่จา ตาฉ่ำวาวเป็นประกายยิ้มหวานว่า “ชิงเฉิน จะออกศึกแล้วข้าขอไปเก็บของสักหน่อย รอเจ้าอยู่ที่โถงข้างนะ” พูดจบอัญเชิญอาวุธเวทเหินหาวออก พยักหน้าให้มั่วเฟยเยียนแล้วบินไปแล้ว
มั่วชิงเฉินและมั่วเฟยเยียนต่างคนต่างมองหน้ากัน
“พี่เก้า ข้า ข้าจะไปหุบเขาลั่วเยี่ยนแล้ว” มั่วชิงเฉินทำลายความเงียบลงก่อน
ความตื่นเต้นเมื่อแรกเริ่มผ่านไปแล้ว อย่างไรเสียทั้งสองคนก็ไม่ได้พบกันหลายสิบปี ชั่วขณะหนึ่งจึงไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
“หุบเขาลั่วเยี่ยน?” มั่วเฟยเยียนขมวดคิ้ว จากนั้นเอ่ยนิ่งเรียบว่า “หุบเขาลั่วเยี่ยนก็เป็นสถานที่ฝึกตนที่ดีทีเดียว น้องสิบหก เจ้ากลายเป็นศิษย์พรรคเหยากวงแล้วหรือ?”
มั่วชิงเฉินรู้ว่าด้วยนิสัยของมั่วเฟยเยียน สามารถพูดมากได้ถึงเพียงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว จึงไม่ถือสาน้ำเสียงนิ่งเรียบของนาง พยักหน้าว่า “อืม ปีนั้นข้าและท่านปู่มาถึงเมืองเทียนเหยาที่อยู่ใกล้ๆ พรรคเหยากวงอย่างไม่คาดคิด อยู่ที่นั่นหลายปีรอพรรคเหยากวงเปิดประตูรับศิษย์ จึงเข้าพรรคเหยากวง”
“เช่นนั้นท่านปู่ห้าล่ะ? บัดนี้ท่านสบายดีหรือไม่?” พูดถึงมั่วต้าเหนียน นัยน์ตาที่เย็นชาของมั่วเฟยเยียนในที่สุดก็มีความอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินกัดปาก เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านปู่เสียแล้ว”
มั่วเฟยเยียนชะงัก แล้วหลุบตาลง
ในเวลานี้เอง เสียงระฆังทุ้มต่ำสงบดังขึ้น
มั่วชิงเฉินเงยหน้ามองไปตามทิศทางที่เสียงระฆังลอยมา แล้วมองมั่วเฟยเยียนอย่างไม่เข้าใจ
มั่วเฟยเยียนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย รีบเอ่ยว่า “น้องสิบหก ผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้าร่วมศึกทุกสามเดือนจะกลับสำนักจัดทัพหนึ่งครั้ง สามเดือนให้หลังข้าจะรอเจ้าที่สำนัก มีเรื่องปรึกษาด้วย” พูดถึงตรงนี้อัญเชิญอาวุธเวทเหินหาวออกมาแล้วกระโดดขึ้นไป ไม่คิดว่ายังไม่ได้คำตอบจากมั่วชิงเฉินก็หายไปแล้ว
มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง เดิมนางมีคำพูดมากมายจะพูดกับมั่วเฟยเยียน ใครจะรู้ว่าสถานการณ์คับขัน พี่น้องสองคนแม้แต่เวลาคุยกันสักครู่ก็ไม่มี เห็นเวลาใกล้เที่ยงตรงจึงโยนเรือเล็กออกเช่นกันแล้วรุดไปโถงข้าง สำหรับเสียระฆังนั้นตกลงหมายถึงอะไรกันแน่กลับไม่รู้แล้ว
ถึงโถงข้างกระโดดลงจากเรือเล็ก ได้มีผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อยรออยู่ที่นั่นแล้ว
หลังจากคนมาพร้อมเพรียงกันแล้ว ภายใต้การนำทางของศิษย์ผู้ดูแลสำนักลั่วสยา ต่างคนต่างตามผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่เป็นผู้นำไปจุดหมายปลายทางของตน
ทีมของพวกมั่วชิงเฉินจำนวนคนไม่มาก มีเพียงยี่สิบกว่าคน ในนั้นนับนางด้วยกลับมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายสี่คน นอกนั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางล้วนๆ จากการนี้จะเห็นถึงความอันตรายของหุบเขาลั่วเยี่ยน
บินได้สองวันกว่า หน้าผาสูงหมื่นจั้งลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
ผู้ดูแลจางยื่นมือชี้ว่า “นักพรตลั่วหยาง ทุกท่าน หุบเขาลั่วเยี่ยนก็อยู่ตรงหน้าแล้ว”
สองวันนี้ฟังผู้ดูแลจางแนะนำ ทุกคนถึงเข้าใจว่าเพราะเหตุใดเต๋ามารสองฝ่ายถึงสู้กันอย่างดุเดือนในสนามรบทั้งเจ็ดนี้
ที่แท้ยามที่กุญแจลับที่ใช้เปิดแดนสวรรค์มี่หลัวตูจมลงแม่น้ำอิ้งสยา มุกเจ็ดสีที่ห้อยอยู่ใต้กุญแจลับก็กระจายหล่นลงเจ็ดที่นี้ ที่เต๋ามารสองฝ่ายสู้กันอย่างไม่ล่าถอยในเจ็ดสนามรบนี้ก็เพื่อชิงมุกเจ็ดสี ฝ่ายไหนได้มุกครบแล้ว ถึงสามารถได้เบาะแสชี้ไปหากุญแจลับ จากนั้นกุมแดนสวรรค์มี่หลัวตู
ระหว่างหน้าผามีรอยแยกแคบยาวซอกหนึ่ง ให้คนสองคนเดินเรียงหน้ากระดาษผ่านได้ ทุกคนของเหยากวงก้าวเข้ารอยแยกท่ามกลางการนำทางของผู้ดูแลจาง
ตามที่ยิ่งเดินยิ่งลึกเข้าไป ทุกคนค่อยๆ รู้สึกได้ว่ากระแสอากาศรอบตัวปั่นป่วนขึ้นา ถึงตอนหลังไม่สามารถเดินหน้าอย่างตามสบายแล้ว จำเป็นต้องโคจรพลังวิญญาณต้านทานไว้
“แดนวิญญาณปั่นป่วน?” เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้วแผ่วเบา แล้วมองไปที่ผู้ดูแลจาง
มั่วชิงเฉินตกใจ ที่ว่าแดนวิญญาณปั่นป่วนหมายความว่าเช่นไร หรือว่ามีความเกี่ยวข้องกับแดนไร้วิญญาณ?
แล้วก็ได้ยินผู้ดูแลจางกอบมือว่า “นักพรตลั่วหยางช่างความรู้ไม่ธรรมดาจริงๆ ถูกต้อง หุบเขาลั่วเยี่ยนตั้งอยู่ในแดนวิญญาณปั่นป่วนนั่นเอง”
“อะไรคือแดนวิญญาณปั่นป่วนน่ะ?” เกี่ยวข้องถึงความปลอดภัยของตน มีผู้บำเพ็ญเพียรทนไม่ไหวถามขึ้นมาแล้ว
ผู้ดูแลจางถือเข็มทิศอันหนึ่งในมือ พลางเดินเข้าข้างในพลางว่า “ที่จริงข้าน้อยก็เพราะศึกเต๋ามารครั้งนี้ถึงรู้ว่าอะไรคือแดนวิญญาณปั่นป่วน ที่แห่งนี้ถูกเรียกว่าหุบเขาลั่วเยี่ยนมาตลอด เพราะตั้งอยู่ที่จุดตัดของแดนไท่ไป๋และดินแดนเทียนหยวน ศิษย์ของเต๋ามารสองฝ่ายหาน้อยที่จะย่างกรายเข้ามา เมื่อก่อนปราณวิญญาณที่นี่แม้ปั่นป่วน กลับไม่มีปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้ ตั้งแต่หนึ่งในมุกเจ็ดสีตกลงที่นี่สภาพแวดล้อมก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง เคยเกิดปราณวิญญาณโกลาหลพายุกระหน่ำติดต่อกันนานเจ็ดๆ สี่สิบเก้าวัน เต๋ามารทั้งสองฝ่ายไม่ว่าใครก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้แม้แต่ก้าวเดียว รอยามที่ค่อยๆ เสถียรลงมายามที่เข้ามาอีกครั้งถึงพบว่าที่นี่กลายสภาพเป็นเช่นนี้แล้ว
ผู้ดูแลจางอธิบายการเกิดของแดนวิญญาณปั่นป่วนแล้ว กลับมีผู้บำเพ็ญเพียรเอ่ยอย่างหมดความอดทนว่า “ผู้ดูแลจาง พูดไปพูดมาตกลงแดนวิญญาณปั่นป่วนนี่มีผลกระทบเช่นไรต่อพวกเราผู้บำเพ็ญเพียร?”
ผู้ดูแลจางกระแอมเบาๆ เสียงหนึ่งว่า “ทุกท่านต่างรู้ดี ปราณวิญญาณ ปราณมารต่างๆ ในฟ้าดินแม้ปนอยู่ที่เดียวกันกลับไม่ได้วุ่นวายไร้รูปแบบ ยามที่เราดูดซับปราณวิญญาณจากนอกแดน ปราณวิญญาณในฟ้าดินที่เข้ากับวิชายุทธ์ในกายย่อมพุ่งเข้าร่างด้วยตัวเอง ทว่าที่นี่ยามที่เจ้าโคจรวิชายุทธ์ แม้แต่ปราณมารก็จะพุ่งเข้ามาด้วย!”
“อะไรนะ!” ผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อยอุทานออกมา
ปราณมารและปราณวิญญาณเป็นของที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรมารดูดปราณวิญญาณเข้าไปหรือว่าผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าดูดปราณมารเข้าไป ล้วนสร้างความเสียหายต่อร่างกายตน ขั้นเบาการร่ายคาถาได้รับผลกระทบกระเทือน ขั้นหนักธาตุไฟเข้าแทรก เอาเป็นว่านี่เป็นเรื่องต้องห้ามก็แล้วกัน
“ไม่เพียงเท่านี้ หุบเขาลั่วเยี่ยนยังมีลมพายุไร้ราก ทุกวันปรากฏขึ้นที่ใดไม่อาจคาดคะเนได้เลย หากพบเข้านั่นก็โชคร้ายแล้ว” ผู้ดูแลจางเสริมว่า
ไม่ต้องให้เขาอธิบายมาก ทุกคนต่างเข้าใจถึงความร้ายกาจของลมพายุ
ลมพายุเดิมเกิดข้างบนฟ้าสูง อานุภาพมหาศาล หากผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานฝืนค้ำไว้ในลมพายุ เพียงชั่วครู่ร่างกายก็จะถูกฉีกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณไม่สามารถอยู่นานได้เช่นกัน นี่ก็เป็นสาเหตุที่ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรมีอาวุธเวทเหินหาวกลับไม่สามารถบินบนที่สูงได้ตามใจ
ลมพายุเช่นนี้แม้ทำให้คนสะพรึง ทว่าเพราะทุกคนต่างรู้ตำแหน่งที่แน่นอนของพวกมัน ขอเพียงไม่รนหาที่ก็ไม่เป็นไร ทว่าหากเป็นลมพายุไร้ราก ปรากฏขึ้นได้ทุกที่ตามโอกาส นั่นเป็นเรื่องที่ป้องกันไม่ได้เชียวนะ ไม่แน่ชีวิตน้อยๆ ก็ถูกแย่งไปแล้ว
ระหว่างที่พูดทุกคนก็มาถึงสุดทางแล้ว ผู้ดูแลจางเตือนสติทุกคนให้หยุดเดิน ปากบ่นพึมพำยกเข็มทิศในมือขึ้น ทันใดนั้นเข็มทิศเปล่งแสงสว่างขึ้นสายหนึ่งยิงไปบนฟ้า แล้วก็เห็นคลื่นพลังวิญญาณสายหนึ่ง จากนั้นกลับคืนสู่ความสงบ
ผู้ดูแลจางถึงว่า “นักพรตลั่วหยาง พวกเราเข้าไปได้แล้ว”
ในหุบเขากว้างจนมองไม่เห็นขอบ ทางด้านที่อยู่ใกล้ทางเข้าสร้างบ้านไม้ไว้มากมาย ผู้ดูแลจางเตือนสติทุกคนว่าอีกด้านหนึ่งของหุบเขามีผู้บำเพ็ญเพียรมารปักหลักอยู่เช่นกัน ทว่าเพราะหุบเขาใหญ่เกินไปจึงไม่เจอกัน มีเพียงยามที่คนของสองฝ่ายค้นหามุกเจ็ดสีไปทั่วถึงประมือกัน
“เขตแดนนี้ชิงตู้เจินจวินตั้งค่ายกลไว้แล้ว การคุกคามของแดนวิญญาณปั่นป่วนที่มีต่อทุกคนน้อยลงไปมาก ปกติทุกคนล้วนพักผ่อนที่นี่ อยู่ในหุบเขาห้ามเคลื่อนไหวโดยพลการ ทุกอย่างต้องเชื่อฟังคำสั่ง” ผู้ดูแลจางชี้ขอบเขตที่เขตอาคมคลุมไว้ บ้านไม้เหล่านั้นอยู่ในขอบเขตนี้พอดี
มั่วชิงเฉินแอบตกใจ พวกเขาเดินอยู่ในรอยแยกหุบเขาแคบๆ ก็รู้สึกว่ากว่าจะเดินได้ก้าวหนึ่งก็แสนลำบากแล้ว ไม่คิดว่าที่นี่ยังตั้งค่ายกลป้องกันอีก ความเลวร้ายของสภาพแวดล้อมของแดนวิญญาณปั่นป่วนนั่นเป็นเช่นไรคิดดูก็รู้แล้ว
ยามนี้เองผู้บำเพ็ญเพียรท่านหนึ่งเดินออกจากห้อง เอ่ยปากว่า “ผู้ดูแลจางหรือนี่!”
มั่วชิงเฉินยกตามองไป พบว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณท่านหนึ่ง ดูใบหน้าแล้วคุ้นเคยอยู่บ้าง ส่วนเคยพบกันที่ไหนกลับนึกไม่ออกแล้ว
“นักพรตคงฉวน ผู้น้อยพาสหายร่วมอุดมการณ์เหยากวงทุกท่านมาแล้ว นี่คือนักพรตลั่วหยาง” ผู้ดูแลจางแนะนำว่า
ได้ยินชื่อ ‘นักพรตคงฉวน’ นี้ มั่วชิงเฉินนึกออกทันทีว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณท่านนี้คือผู้ใดแล้ว
ปีนั้นเข้าร่วมการทดสอบที่หุบเขาโยวเล่อ ผู้นำการทดสอบของสำนักไท่ซวีก็คือนักพรตคงฉวนผู้นี้แล้ว ในเมื่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่คุมหุบเขาลั่วเยี่ยนคือชิงตู้เจินจวินแห่งสำนักไท่ซวี นักพรตคงฉวนอยู่ที่นี่ก็ไม่แปลกแล้ว
สำนักไท่ซวีและพรรคเหยากวงเป็นเพื่อนบ้านกัน อีกทั้งนักพรตคงฉวนก็เป็นบุคคลที่ละมุนละม่อมไปทั่วทุกด้าน กลับไม่เคยได้ยินสมญานามเต๋า ‘นักพรตลั่วหยาง’ นี้ ทันใดนั้นจึงมองไปอย่างสงสัย เห็นใบหน้าเยี่ยเทียนหยวนแล้วรู้สึกสงสัยเล็กน้อยก่อน จากนั้นกลับตกใจยกใหญ่ “สหายน้อยเยี่ย เจ้า ไม่คิดว่าเจ้าจะก่อแก่นปราณแล้ว!”
เยี่ยเทียนหยวนทักทายอย่างใจเย็นว่า “ศิษย์พี่คงฉวน”
นักพรตคงฉวนถึงรู้สึกตัวว่าตนเสียกิริยา รีบเอ่ยว่า “ศิษย์น้องลั่วหยาง รีบเชิญข้างในเร็ว”
เยี่ยเทียนหยวนตามนักพรตคงฉวนไปคารวะชิงตู้เจินจวิน ผู้ดูแลจางจัดแจงที่พักทุกคนเสร็จก็ขอตัวแล้ว
สถานการณ์ตึงเครียดกว่าที่ทุกคนคิด พวกเขาเพิ่งพักผ่อนได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ถูกเรียกตัวแล้ว ต้องค้นหามุกเจ็ดสีต่อจากทีมย่อยที่กลับมา ผู้นำทีมของทีมพวกเขานี้คือเยี่ยเทียนหยวนนั่นเอง
เดินออกจากขอบเขตป้องกันของค่ายกล ปราณวิญญาณ ปราณมารผสมปนเปอยู่ด้วยกันห้อมล้อมทุกคนไว้ ร่างกายไม่ได้เป็นฝ่ายริเริ่มดูดปราณวิญญาณเลยเพียงแต่เดินอยู่ในนั้นก็รู้สึกถึงความไม่สบายตัวอย่างที่สุด
เยี่ยเทียนหยวนไม่ใช่คนพูดมาก เห็นดังนั้นจึงหยิบสมบัติวิเศษหน้าตาเหมือนกระดานหมากรุกออกมาอันหนึ่ง เคลื่อนพลังวิญญาณให้กระดานหมากรุกเปล่งแสงวิญญาณห้าสีออกบนฟ้า ทุกคนรู้สึกหายใจคล่องขึ้นทันที
“อย่างไรเสียทุกคนก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่นี่ ดังนั้นกระดานคงวิญญาณนี้ข้าจะเอาออกมาใช้สองสามวันแรกเท่านั้น” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยนิ่งเรียบ
ทีมนี้ของเขาล้วนเพิ่งมาถึง หากจู่ๆ พบผู้บำเพ็ญเพียรมารที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่นี่ได้แล้วเกิดประมือขึ้นมาต้องเสียหายไม่น้อยเป็นแน่ มีกระดานคงวิญญาณก็จะชดเชยความเสียเปรียบได้ทีหนึ่ง ทว่าอย่างไรเสียก็ไม่ใช่แผนระยะยาว วิธีที่พื้นฐานที่สุดยังคงคือการปรับตัวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ สิ่งที่ตนสามารถทำเพื่อพวกเขาได้ก็มีเพียงเท่านี้แล้ว
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย เดินไม่นานเท่าไรเยี่ยเทียนหยวนก็ส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดเดิน บอกเป็นนัยว่าข้างหน้ามีความเคลื่อนไหว
ตอนที่ 268 พบกันกลับไร้คำพูด
ที่เดินเข้ามาคือผู้บำเพ็ญเพียรมารทีมหนึ่ง ท่าทางประมาณสามสิบคน ผู้บำเพ็ญเพียรมารที่เป็นผู้นำมีตบะระดับก่อแก่นปราณระยะกลาง
ทุกคนสีหน้าซีดเซียวลงรางๆ ไม่พูดถึงความแตกต่างของจำนวนคน ว่ากันด้วยบุคคลที่เป็นจุดศูนย์กลางเพียงอย่างเดียวเขตแดนก็ด้อยกว่าขั้นหนึ่ง ครั้งนี้สู้กันขึ้นมาแทบจะถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องพ่ายแพ้
มั่วชิงเฉินแอบมองไปที่เยี่ยเทียนหยวน สถานการณ์เช่นนี้ เขาควรรับมือเช่นไร?
เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเย็นเยียบ ห่วงสีแดงทองอันหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ ต่อจากนั้นกวาดสายตามองทุกคน
เสียงหนึ่งดังขึ้นในสมองของมั่วชิงเฉิน “หนูสองตัวสู้กันในรู[1] ผู้กล้าหาญย่อมชนะ หากทุกท่านอยากมีชีวิตรอดกลับไป เช่นนั้นก็หยิบท่าไม้ตายออกมา รอข้าให้สัญญาณแล้วโจมตีพร้อมกัน”
ผู้บำเพ็ญเพียรในทีมนี้ล้วนเป็นศิษย์หัวกะทิของพรรคเหยากวง สามารถเดินมาถึงวันนี้ได้ไม่มีสักคนที่จิตใจไม่เข้มแข็ง ได้ยินการส่งเสียงทางจิตของเยี่ยเทียนหยวนก็หาที่ยึดเหนี่ยวได้ทันที สีหน้าสิ้นหวังในทีแรกหายไปโดยสิ้น และซุ่มขึ้นมาตามที่เยี่ยเทียนหยวนสั่ง
ผู้บำเพ็ญเพียรมารทีมนั้นยิ่งเดินยิ่งใกล้แล้ว พวกเขาพลางเดินพลางใช้จิตตระหนักหยั่งเชิงไปทั่ว เป็นทั้งการค้นหามุกเจ็ดสีและก็เป็นการค้นหาศัตรู ดูจากสถานการณ์แล้ว เห็นชัดว่าเป็นทีมย่อยที่มีประสบการณ์ทีเดียว
มั่วชิงเฉินสองมือกุมระเบิดสะท้านฟ้าไว้แน่น เก็บงำกลิ่นอายจ้องตรงไปข้างหน้าไม่กระดุกกระดิก ตั้งแต่ที่นางได้วิชาเก็บงำกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญเพียรนิกายอั้นหลัว คิดในใจว่าในสถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่มีทางถูกพบ เสียดายที่อยู่เป็นหมู่คณะ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสนใจแต่ตนเอง
เห็นท่าทางผู้บำเพ็ญเพียรมารทีมนี้ มั่วชิงเฉินแอบกังวลว่าทางด้านตนจะถูกพบก่อน เช่นนั้นการทุบหม้อจมเรือ[2]ของเยี่ยเทียนหยวนก็ต้องเสียเปล่าแล้ว
เยี่ยเทียนหยวนไม่รู้ความกังวลของมั่วชิงเฉิน เขาตามองตรงไปข้างหน้ามือกลับจีบเคล็ดวิชานิ้วอย่างเร็วตีไปที่สมบัติวิเศษกระดานหมากรุก กระดานหมากรุกมืดมนลงทันที ในชั่วพริบตา กลิ่นอายมืดมนสายนี้ขยายใหญ่ขึ้นโดยพลันแล้วคลุมทุกคนไว้ภายใน ความปั่นป่วนของพลังวิญญาณรอบกายของบำเพ็ญเพียรบางคนที่วิชาเก็บงำกลิ่นอายไม่เก่งถูกบดบังลงทันที
มั่วชิงเฉินแอบตะลึงกับฝีมือของเยี่ยเทียนหยวน เมื่อคิดดูอีกทีบัดนี้เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว อีกทั้งเชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ ต่างกรรมต่างวาระย่อมนำมาเปรียบเทียบไม่ได้แล้ว
ทุกคนตั้งสมาธิกลั้นใจ จ้องอีกฝ่ายที่ยิ่งเดินยิ่งใกล้เข้ามาเขม็ง รอถึงยามที่ทั้งสองฝ่ายห่างกันไม่ถึงสามจั้งไม่คิดเลยว่าผู้บำเพ็ญเพียรมารทีมนั้นก็ยังไม่พบเงื่อนงำใดๆ
ในเวลานี้เองในสมองผู้บำเพ็ญเพียรเหยากวงได้ยินเสียงเยี่ยเทียนหยวนขึ้นพร้อมกัน “จู่โจม!”
พรรคเหยากวงแต่ไหนแต่เรามาสนับสนุนนโยบายการเลี้ยงระบบเปิด ต่อให้เป็นศิษย์อัจฉริยะก็จะไม่เลี้ยงอย่างทะนุถนอมเหมือนดอกไม้ในห้องกระจกเพราะกลัวตาย หากแต่ปล่อยให้พวกเขาเข้าร่วมการทดสอบ ออกไปท่องเที่ยวฝึกตน ดังนั้นศิษย์ที่สามารถบำเพ็ญเพียรถึงระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ปลายได้ ประสบการณ์การสู้รบล้นหลามแทบจะทุกคน สิ่งที่พวกเขาขาดแคลนมากที่สุดในยามนี้ก็คือการปรับตัวให้เข้ากับแดนวิญญาณปั่นป่วน
การซุ่มโจมตีเช่นนี้ ไม่ต้องให้เยี่ยเทียนหยวนสั่งทุกคนก็เข้าใจว่าวิธีการจู่โจมระลอกแรกคือการใช้ยันต์แน่นอน ดังนั้นฟังเขาพูดจบทุกคนล้วนโยนยันต์ที่มีในตัวออกไปจนหมด
การทำให้ยันต์ระเบิดใช้พลังวิญญาณเพียงน้อยนิด อานุภาพเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับจำนวนของยันต์ และทุกคนเพิ่งก้าวเข้าหุบเขาลั่วเยี่ยน ยังคงร่ำรวยอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย
ยันต์นับไม่ถ้วนผสมปนเปกับระเบิดสะท้านฟ้าของมั่วชิงเฉินโยนออกไปพร้อมกัน เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
มั่วชิงเฉินดวงตาสุกใส แม้ยามนี้ควันหนาโขมงกลับสามารถเห็นสถานการณ์อีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
นี่คือการจู่โจมอย่างไม่ให้ตั้งตัว อีกฝ่ายมีผู้บำเพ็ญเพียรมารสามคนถูกระเบิดจนเลือดเนื้อกระจายโดยตรง อีกห้าคนได้รับบาดเจ็บล้มลงพื้นกระเสือกกระสนไม่หยุด
ผู้บำเพ็ญเพียรมารที่ได้รับบาดเจ็บห้าคนนั้นแม้ตบะนับว่าค่อนข้างต่ำในคนกลุ่มนั้น ประสบการณ์การสู้รบกลับไม่น้อย หลังจากได้รับบาดเจ็บด้วยสัญชาตญาณหลังจากร่างกายกลิ้งสองสามรอบก็รีบนั่งขึ้นมาทันที แล้วล้วงโอสถออกมาหมายทำการรักษา
มั่วชิงเฉินเม้มปากแน่น ล้วงระเบิดสะท้านฟ้าออกมาสองสามลูกเล็งไปที่ทิศทางของห้าคนนั้นแล้วโยนข้ามไป
ควันกรุ่นเสียงดังและความสั่นสะเทือนยังไม่จางไป ก็ได้ยินเสียงดังสนั่นจนหูแทบแตก ในนั้นปะปนไปด้วยเสียงร้องอย่างอนาถของอีกฝ่ายรางๆ
ทั้งหมดนี้พูดแล้วยืดยาวความจริงก็เกิดขึ้นแค่ชั่วอึดใจ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณของอีกฝ่ายอัญเชิญสมบัติวิเศษจู่โจมโรมรันอยู่กับเยี่ยเทียนหยวนแล้ว
มั่วชิงเฉินมือถือกริชซ่อนวิญญาณที่ได้มาจากผู้บำเพ็ญเพียรนิกายอั้นหลัว มือขึ้นมีดลงจัดการผู้บำเพ็ญเพียรไปหนึ่งคน
ควันหนาค่อยๆ จางหายไป ทั้งสองฝ่ายสู้กันอีนุงตุงนังไปหมด
เพราะลงมือก่อนได้เปรียบอีกฝ่ายสูญเสียไปแล้วแปดเก้าคน เมื่อเป็นเช่นนี้จำนวนคนของทั้งสองฝ่ายกลับไม่ต่างกันเท่าไรแล้ว ส่วนทางด้านศิษย์เหยากวงนี้เพราะการซุ่มโจมตีได้ผลขวัญกำลังใจยิ่งฮึกเหิม ลงมือยิ่งอำมหิตขึ้น แม้ได้รับผลกระทบจากแดนวิญญาณปั่นป่วนไม่สามารถใช้พลังความสามารถได้เต็มที่ สภาพการรบโดยรวมกลับไม่ตกเป็นเบี้ยล่าง
คู่ต่อสู้ของมั่วชิงเฉินคือผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนหนึ่ง ประมือกันขึ้นมาถึงพบว่าพลังความสามารถของผู้บำเพ็ญเพียรมารเมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าระดับเดียวกันแล้วสูงกว่าขั้นหนึ่งตามคาด ดีที่นางประสบการณ์สู้รบค่อนข้างล้นหลาม ในเวลาเช่นนี้ไม่ทันได้ซ่อนคม ใช้เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ดึงอีกฝ่ายไว้ก่อน ค่อยฉวยโอกาสยามที่อีกฝ่ายรับมืออย่างใจจดใจจ่อร่ายเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา จู่โจมไปที่จิตตระหนักของอีกฝ่ายอย่างดุดัน
ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับสร้างรากฐานระยะปลายผู้นั้นไม่คิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่สู้อยู่กับเขาจะมีฝีมือการโจมตีจิตตระหนัก จึงตั้งตัวไม่ทันถูกซัดเข้าเต็มๆ ดวงจิตที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกในสมองได้รับบาดเจ็บทันที ร้องอย่างอนาถเสียงหนึ่งแล้วโซซัดโซเซ
มั่วชิงเฉินจะปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปได้อย่างไร รีบยกกระบี่ชิงมู่แทงไปที่อีกฝ่ายทันที เสียงสวบเสียงหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรมารนั่นก็ถูกแทงทะลุหัวใจ
ผู้บำเพ็ญเพียรสู้เอาชีวิตเป็นเดิมพัน แพ้ชนะที่จริงก็เกิดขึ้นในชั่วอึดใจ มั่วชิงเฉินจัดการผู้บำเพ็ญเพียรมารคนนี้เสร็จ ก็มองพิจารณาไป พบว่าการรบของคนไม่น้อยมาถึงช่วงท้ายแล้ว
ทั้งสองฝ่ายล้วนมีแพ้มีชนะ
มั่วชิงเฉินจู่โจมใส่ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับสร้างรากฐานระยะปลายที่กำลังสู้อยู่กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนหนึ่งของฝ่ายตนอย่างไม่ลังเล
ผู้บำเพ็ญเพียรมารนั่นเห็นมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายอีกคนหนึ่งจู่โจมมาที่เขา จึงแสร้งจู่โจมแล้วใช้วิชาล่องหนหนีไปอย่างไม่คาดคิด
มั่วชิงเฉินสบตากับผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายตนปราดหนึ่ง พยักหน้าแล้วล้อมไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารคนอื่น
ในยามนี้เองอาวุธมารในมือของผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณที่สู้อยู่กับเยี่ยเทียนหยวนจู่ๆ ก็กวาดมาทางนี้ แสงมารสีดำสายหนึ่งฟาดมา มั่วชิงเฉินรีบหลบไปข้างๆ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายอีกคนหนึ่งกลับกวาดถูกไหล่
แล้วก็เห็นไหล่ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนนั้นดำเป็นปื้นในทันใด เพียงชั่วครู่ก็ฟอนเฟะไปครึ่งหนึ่งอย่างคาดไม่ถึง
ต้วนชิงเกอเพิ่งจัดการคู่ต่อสู้เสร็จเห็นเหตุการณ์เช่นนี้เข้า รีบเร่งรุดมาปากตะโกนว่า “อย่าขยับ ข้าจะรักษาให้” พูดพลางมีดหมออันคมกริบเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ มือขึ้นมีดลงตัดไหล่อีกฝ่ายทิ้งไป จากนั้นสาดผงสีขาวตรงที่แขนขาด แล้วพันแผลขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว
มั่วชิงเฉินหน้าถอดสี มองไปทางเยี่ยเทียนหยวน
เยี่ยเทียนหยวนเพิ่งเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณระยะต้นไม่นาน ยามนี้สามารถสู้กันอย่างกินกันไม่ลงกับผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณระยะกลางคนหนึ่งก็ถือว่าหายากแล้ว
มั่วชิงเฉินโกรธเคืองที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารคนนี้จู่ๆ ลงมือทำให้ศิษย์พี่คนหนึ่งต้องแขนขาด อีกทั้งเห็นเยี่ยเทียนหยวนกินกันไม่ลงกับคนคนนั้น ห่วงว่าเวลานานเข้าจะรับมือไม่ไหว เพ่งจิตในมือปรากฏตะกร้าไม้ไผ่เล็กขึ้นใบหนึ่ง ข้างในใส่ระเบิดสะท้านฟ้าไว้เต็มตะกร้าอย่างคาดไม่ถึง
“ไป!” มั่วชิงเฉินตะโกนเสียงใสเสียงหนึ่งแล้วโยนตะกร้าระเบิดสะท้านฟ้าข้ามไป
ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณคนนั้นเดิมทีก็หงุดหงิดที่ถูกผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าระดับก่อแก่นปราณระยะต้นคนหนึ่งมัดมือมัดเท้าไว้ หางตากวาดเห็นของสิ่งหนึ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานทางนั้นโยนมา สมาธิยังอยู่ที่เยี่ยเทียนหยวนนี่ เพียงแต่สะบัดแขนเสื้อกระพือแสงคลื่นสีดำวงหนึ่งออกต้าน
มั่วชิงเฉินมุมปากยิ้มเยาะ ในใจแอบนับว่า “หนึ่ง สอง สาม…
เลข ‘สาม’ เพิ่งนับจบระเบิดสะท้านฟ้าเต็มตะกร้าก็ระเบิดขึ้นดังโครม ร่างกายของผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณโซไปเซมา แม้ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่สมบัติวิเศษป้องกันกลับแตกร้าวเพราะรับพลังมหาศาลนี้ไว้
เยี่ยเทียนหยวนฉวยโอกาสนี้โคจรพลังวิญญาณทั่วร่างเร่งห่วงสีแดงทอง ฉวยโอกาสช่วงที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารคนนั้นตกใจอยู่ครอบไปบนคอของเขา ต่อจากนั้นก็เห็นห่วงสีแดงทองจู่ๆ แตกจากหนึ่งเป็นเก้า ห่วงแปดอันที่เพิ่มขึ้นมาว่ายเวียนไปที่ต่างๆ ทั่วร่างกายของเขาราวกับมีชีวิต ต่อจากนั้นยิ่งหดยิ่งเล็ก หดถึงสุดท้ายส่วนต่างๆ ของร่างกายผู้บำเพ็ญเพียรมารนั่นขาดออกจากกันทันที เลือดสาดกระจาย
มั่วชิงเฉินแอบตกใจจนพูดไม่ออก คิดไม่ถึงว่าฝีมือการโจมตีของเยี่ยเทียนหยวนจะโหดเ**้ยมถึงเพียงนี้
ผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายตนเห็นดังนั้นโห่ร้องขึ้นในทัน ผู้บำเพ็ญเพียรมารที่เหลือไม่กี่คนต่างมองหน้ากัน แล้วหันหลังหนีอย่างใจตรงกัน
ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับสร้างรากฐานระยะต้นได้หนึ่งคนจะได้รางวัลหินวิญญาณหนึ่งพันก้อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในนี้ยังมีระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ระยะปลาย ศิษย์เหยากวงสองสามคนได้ทีรีบไล่ตามไปทันที
มั่วชิงเฉินเผยอปากแล้วเผยออีก อย่าไล่สุนัขจนตรอก!
ที่จริงเต๋ามารสองฝ่ายในหุบเขาลั่วสยาต่างไม่ยอมกัน เป้าหมายที่สำคัญที่สุดยังคงเพื่อมุกเจ็ดสีนั่น ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรอีกฝ่ายไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย
บัดนี้แม้ฝ่ายตนชนะ ผู้บำเพ็ญเพียรที่ดับสูญยังไม่ทันได้นับ คนที่บาดเจ็บมองไปก็มีหลายคน ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่ได้รับบาดเจ็บพลังวิญญาณในกายก็คงเหลือไม่มากแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้การสู้ต่อไปไม่ใช่ทางเลือกที่ดี
เป็นไปตามคาดแล้วก็ได้ยินเยี่ยเทียนหยวนตะคอกว่า “กลับมา!”
ความโลภบดบังใจคน ในบรรดาศิษย์ไม่กี่คนนั้นมีคนหนึ่งเท้าชะงักทีหนึ่ง ที่เหลือสามคนกลับไม่หยุดฝีเท้าไล่ตามไปข้างหน้า
ยังสามารถมองเห็นเงาร่างของสามคนนั้น ก็ได้ยินเสียงร้องอย่างอนาถดังมา ผู้บำเพ็ญเพียรที่หยุดเท้าทีหนึ่งในตอนแรกหันหลังแล้วก็วิ่งกลับมา
เยี่ยเทียนหยวนหน้าเปลี่ยนสี กระโดดรุดขึ้นไป
“ชิงเกอ เจ้าดูแลพวกศิษย์พี่น้องที่บาดเจ็บ ศิษย์พี่น้องที่เหลือตามข้ามา” มั่วชิงเฉินพูดพลางรีบตามขึ้นไป แล้วก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น
“เอ่อ เจ้าหน้าไม่คุ้นเลยนี่นา เอ๊ะ ไม่คิดว่าเจ้าจะฆ่าขุนพลเซียว?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสายตาเป็นประกาย มองเยี่ยเทียนหยวนตาไม่กะพริบ
มั่วชิงเฉินใจเต้นตึกตัก จ้องผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานที่อยู่ข้างหลังนางตาไม่กะพริบ
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นั้นงามมาก คำพูดที่ว่างามเย้ายวนหาผู้ใดเปรียบได้ยากดูเหมือนมีขึ้นเพื่อนางก็ไม่ปาน
นางท่อนบนใส่เสื้อผ้าบางสีแดง ท่อนล่างสวมกระโปรงสีแดงทับทิม หน้าอกที่ชูชันเผยให้เห็นผิวขาวเนียนดุจหิมะ เอวคาดสายคาดเอวสีดำกว้างสามนิ้ว ขับให้เอวดูอ่อนช้อยดุจผ้าไหม อ้อนแอ้นอรชร
นางแต่งตัวสะดุดสายตาผู้คนเช่นนี้ แต่ดันสีหน้าเย่อหยิ่ง สายตาที่กวาดผ่านทางนี้เผยให้เห็นถึงความดูแคลนโดยไม่ตั้งใจ ไม่มีความรู้สึกหยิบหย่งแม้แต่น้อย
มั่วชิงเฉินอ้าปากแล้วอ้าปากอีก กลับไม่ได้เปล่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย
นางถูกผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นี้ดึงดูดสายตา แน่นอนไม่ใช่เพราะความงามของนาง หากแต่เพราะ… นางคือมั่วหร่านอี!
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่เป็นผู้นำของอีกฝ่ายมีตบะระดับก่อแก่นปราณระยะกลางเช่นกัน ผู้บำเพ็ญเพียรของทางด้านเหยากวงนี้เห็นแล้วความผิดหวังเอ่อขึ้นหน้า พวกเขาไม่สามารถโน้มน้าวให้ตนเองเชื่อว่าบัดนี้ยังสามารถสู้ชนะผู้บำเพ็ญเพียรมารที่มาใหม่ชุดนี้ได้จริงๆ พวกเขาทำไม่ได้ นักพรตลั่วหยางก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน!
กลับไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอีกฝ่ายต้องการอะไร ไม่ลงเสียที หลังจากพูดนอกเรื่องสองสามประโยคแล้วพูดกับเยี่ยเทียนหยวนว่า “เฮ้ย เจ้าชื่ออะไร?”
เยี่ยเทียนหยวนสายตาเย็นชา เอ่ยนิ่งเรียบว่า “จะพูดมากไปไย ลงมือเถอะ”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนั่นหัวเราะฟู่ว่า “เจ้าเด็กคนนี้นี่ช่างน่าเบื่อจริง จะฆ่าแกงกันไปไย วันนี้เจ้าฆ่าขุนพลเซียวนั่นพี่สาวรู้สึกสะใจยิ่งนัก เจ้าว่าเราก็ถือเสียว่าไม่มีใครเห็นใครทั้งนั้นเป็นเช่นไร?”
เยี่ยเทียนหยวนชะงักงัน จากนั้นพยักหน้า พาคนของเหยากวงเดินไปอีกทางหนึ่งโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ยามที่มั่วชิงเฉินสวนกับมั่วหร่านอี จู่ๆ มั่วหร่านอีก็ยกตามองมาที่นาง
——
[1] หนูสองตัวสู้กันในรู หมายถึง เหตุการณ์เมื่อดำเนินมาถึงจุดแตกหักที่ไม่อาจหลบหลีกได้อีกแล้ว ต้องอาศัยความกล้าหาญชาญชัยเท่านั้น เพื่อให้ชนะและอยู่รอดได้
[2] ทุบหม้อจมเรือ หมายถึง ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะต่อสู้ให้ถึงที่สุด
ตอนที่ 269 เป็นหัวหน้าทีมย่อยชั่วคราว
มั่วชิงเฉินใจเต้นตึกตัก หรือว่ามั่วหร่านอีจำตนได้?
คิดเช่นนี้พลางอดยกตามองข้ามไปไม่ได้ กลับพบว่ามั่วหร่านอีเชิดคางขึ้นแผ่วเบา เดินตรงผ่านไปแล้ว
มั่วชิงเฉินกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ พริบตาเดียวผ่านไปนานถึงเพียงนี้แล้ว นางยังคงนิสัยเช่นเดิม
ทว่าต่อจากนั้นกลับขมวดคิ้วขึ้นมา ปีนั้นท่านหัวหน้าตระกูลใช้คาถาลับเคลื่อนย้ายมั่วหร่านอีและหู่โถวไป ไยนางถึงกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมารได้ เช่นนั้นหู่โถวล่ะ พวกเขาไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปที่เดียวกันหรือ หรือว่า หู่โถวก็กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมารด้วย?
“ชิงเฉิน เจ้าเป็นอะไรไป เดินสิ” ต้วนชิงเกอเห็นมั่วชิงเฉินเหม่อมองทิศทางที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารกลุ่มนั้นจากไป จึงกระตุกแขนเสื้อนาง
มั่วชิงเฉินถึงได้สติกลับมา ถอนใจเบาๆ ว่า “ไปเถอะ”
เยี่ยเทียนหยวนมองทางนี้เงียบๆ ปราดหนึ่ง ออกคำสั่งให้ทุกคนเก็บกวาดสนามรบ หลังจากเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วเลือกย้อนกลับไปอย่างเฉียบขาด
ศึกครั้งนี้ ศิษย์เหยากวงสูญเสียหกคน บาดเจ็บสามคน ก่อนหน้านี้ไม่นานผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่ยังตัวเป็นๆ พริบตาเดียวก็หายไปหกคนแล้ว จะว่าไม่โหดร้ายไม่ได้
แม้พูดว่านี่เป็นศึกครั้งแรก ความสูญเสียต้องมากกว่าทีมย่อยที่ประสบการณ์ล้นหลามพวกนั้นแน่นอน แต่สัดส่วนเช่นนี้ยังคงทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่เก็บกวาดสนามรบแต่ละคนรู้สึกใจหาย
เพียงสิ่งเดียวที่เป็นการปลอบประโลม ก็คือทีมย่อยสามสิบกว่าคนของฝ่ายตรงข้าม นอกจากไม่กี่คนที่หนีรอดไปได้ ผู้บำเพ็ญเพียรมารทั้งหมดยี่สิบกว่าคนรวมทั้งผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณระยะกลางคนหนึ่งล้วนถูกฆ่าจนหมด ก็นับได้ว่าชนะศึกแล้ว
ทำร้ายศัตรูหนึ่งพันบาดเจ็บเองแปดร้อย นี่ก็คือสนามรบ มั่วชิงเฉินเหมือนกับคนอื่นๆ ตัดหูซ้ายของผู้บำเพ็ญเพียรมารคนหนึ่งออกอย่างสงบ ในใจรู้ดีว่าสิ่งที่ประสบในวันนี้ก็คือชีวิตต่อจากนี้ สิ่งเดียวที่ตนสามารถทำได้ก็คือปรับตัวให้ได้และเติบโตขึ้น
“อะ อาจารย์อาเยี่ย ข้าไม่ไหวแล้ว…” หรวนหลิงซิ่วร่างกายเซไปเซมา มองเยี่ยเทียนหยวนแล้วเอ่ยอย่างน่าสงสาร จากนั้นก็เอียงร่างกายไปทางเขา
“ศิษย์หลานต้วน รบกวนเจ้าดูแลศิษย์หลานหรวนที” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยอย่างสงบ จากนั้นเดินหน้าไปสองสามก้าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“ศิษย์พี่หรวน เจ้าคงไม่เป็นไรนะ?” ต้วนชิงเกอเอ่ยอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม
หรวนหลิงซิ่วสองแก้มแดงเรื่อ เปลี่ยนความอับอายเป็นความโกรธถลึงตาใส่ต้วนชิงเกอปราดหนึ่ง แล้วจากไปอย่างโมโห
“ศิษย์น้องลั่วหยาง นี่พวกเจ้า…” กลับถึงที่พัก เยี่ยเทียนหยวนนำพาทุกคนไปหานักพรตคงฉวนโดยตรง นักพรตคงฉวนเห็นสภาพของทุกคนแล้วอดตกใจไม่ได้ เอ่ยต่อว่า “นี่พวกเจ้าพบผู้บำเพ็ญเพียรมารเข้าหรือ?”
เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าเงียบๆ
หายไปหกคน!
นักพรตคงฉวนกวาดมองปราดหนึ่งในใจก็รู้แล้ว รีบปลอบใจว่า “ศิษย์น้องลั่วหยาง พวกเจ้าสู้กับผู้บำเพ็ญเพียรมารที่แดนวิญญาณปั่นป่วนครั้งแรก เช่นนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ก่อนนี้ไม่นานมีทีมที่มาใหม่พบผู้บำเพ็ญเพียรมารเข้า สูญเสียคนไปครึ่งหนึ่งทันที เฮ้อ ว่าไปแล้วระยะนี้ทีมย่อยที่ออกไปค้นหาไม่ค่อยได้พบผู้บำเพ็ญเพียรมารแล้ว พวกเจ้านี่ช่างโชคไม่ดีจริงๆ” พูดถึงตรงนี้พลางส่ายศีรษะถอนใจทีหนึ่ง
เยี่ยเทียนหยวนยกมือขึ้น ถุงเล็กใบหนึ่งปรากฏขึ้นบนโต๊ะ แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ศิษย์พี่คงฉวน นี่คือหูซ้ายของผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายศัตรูที่ได้มา”
เต๋ามารสองฝ่ายปะทะกัน ก็ใช้หูซ้ายในการพิสูจน์จำนวนการฆ่าศัตรู เพราะหลังจากผู้บำเพ็ญเพียรเข้าระดับสร้างรากฐาน ถอดร่างเปลี่ยนกระดูกนับว่าได้ก้าวเข้าประตูเซียนอย่างแท้จริงแล้ว โครงสร้างในร่างกายย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลง สะท้อนถึงภายนอกร่างกาย หลังหูซ้ายก็จะเกิดลายยันต์ขึ้น ตามตบะที่สูงขึ้น รูปร่างของลายยันต์ก็จะเปลี่ยนแปลงอย่างสอดคล้องกัน ดังนั้นไม่มีอะไรเหมาะสมกว่าการใช้หูซ้ายในการพิสูจน์จำนวนการฆ่าศัตรูอีกแล้ว
นักพรตคงฉวนรับถุงเล็กมาแล้วกวาดมองปราดหนึ่งอย่างตามสบาย จากนั้นกลับต้องตกใจหน้าถอดสี หลุดปากออกมาว่า “ศิษย์น้องลั่วหยาง ไม่คิดว่าพวกเจ้าจะฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณระยะกลางได้คนหนึ่ง” แล้วมองหูคนแน่นขนัดในถุงอีกปราดหนึ่ง สายตาที่มองไปที่ทุกคนยิ่งตกตะลึง
จำนวนหูคนในถุงนี้ อย่างน้อยก็ต้องมียี่สิบกว่าอัน เกินจำนวนคนของผู้บำเพ็ญเพียรในทีมนี้แล้ว พวกเขาทำได้อย่างไรกัน โดยเฉพาะท่ามกลางสถานการณ์ที่ผู้นำทีมฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณระยะกลางด้วย
นึกถึงตรงนี้ สายตาที่นักพรตคงฉวนมองเยี่ยเทียนหยวนเทียบกับแต่ก่อนแล้วแตกต่างไปมาก
แม้เขารู้ว่านักพรตลั่วหยางผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรอัจฉริยะท่านหนึ่ง ทว่าในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ผู้บำเพ็ญเพียรอัจฉริยะที่เพิ่งก้าวเข้าระดับก่อแก่นปราณคิดจะสู้ชนะผู้บำเพ็ญเพียรที่คุณสมบัติธรรมดา กลับก่อแก่นปราณมานานก็เป็นเรื่องที่ลำบากมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายอยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะกลางแล้ว
ดูท่าทางแล้ว นักพรตลั่วหยางผู้นี้ไม่ควรดูถูกจริงๆ!
นักพรตคงฉวนมีหน้าที่จัดการเรื่องประจำวันในหุบเขาลั่วเยี่ยน ย่อมดูแลการแจกจ่ายหินวิญญาณ เห็นดังนั้นก็ล้วงหินวิญญาณออกมาถุงหนึ่งว่า “ศิษย์น้องลั่วหยาง นี่คือรางวัลของพวกเจ้าในครั้งนี้ ทีมของพวกเจ้านี้ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณระยะกลางได้คนหนึ่ง ข้ายังต้องไปรายงานสักหน่อย หลังจากนั้นค่อยไปหาเจ้าปรึกษา”
เยี่ยเทียนหยวนพาทุกคนกลับที่พัก แล้วแจกจ่ายหินวิญญาณที่ได้มาลงไป ทุกคนมองดูถุงที่เก็บหินวิญญาณในมือ เมื่อนึกถึงว่านี่แลกมาด้วยชีวิตของผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันหกคน ความตื่นเต้นในตอนแรกก็จางลงไป
ที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ เยี่ยเทียนหยวนไม่ได้สั่งให้ทุกคนกระจายตัวไป หากแต่สั่งให้ทุกคนออกไปรอข้างนอก แล้วเข้ามาคุยทีละคนในห้องของเขา
“ชิงเฉิน เจ้าว่าอาจารย์อาลั่วหยางคุยอะไรกับพวกเขาบ้าง?” เห็นผู้บำเพ็ญเพียรเข้าไปแล้วก็ออกมาคนแล้วคนเล่า ต้วนชิงเกออดถามไม่ได้
“น่าจะกำลังทำความเข้าใจความถนัดของทุกคน กระทั่งท่าไม้ตาย” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ กำลังพูดอยู่ก็ถึงคราวนางแล้ว จึงก้าวเท้าเดินเข้าไปทันที
“อาจารย์อาเยี่ย” มั่วชิงเฉินเข้าไปถึงในห้อง แล้วออกเสียงเรียก
เยี่ยเทียนหยวนยกตามองมา ชะงักไปชั่วอึดใจหนึ่งถึงเอ่ยว่า “ศิษย์หลานมั่ว เจ้า…มีวิชาอะไรที่ถนัดหรือไม่?”
มั่วชิงเฉินหลุบตาคิดๆ ดูถึงเอ่ยว่า “คาถาธาตุไม้ เคล็ดวิชากระบี่” เคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตายังคงไม่ได้พูดออกมา
เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้า จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “วันนี้ของที่เจ้าโยนใส่ผู้บำเพ็ญเพียรมารคืออะไร?”
มั่วชิงเฉินยื่นมือออกในฝ่ามือปรากฏระเบิดสะท้านฟ้าขึ้นเม็ดหนึ่งว่า “นี่คือผลไม้วิญญาณที่ระเบิดได้ชนิดหนึ่ง อานุภาพใหญ่หลวงนัก ข้าเรียกมันว่าระเบิดสะท้านฟ้า”
เยี่ยเทียนหยวนมองมั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าประหลาด ในใจแอบคิดว่านี่คงไม่ใช่ของที่ระเบิดถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดในปีนั้นหรอกกระมัง จึงเอ่ยทันทีว่า “ให้ข้าอันหนึ่งได้หรือไม่?”
นี่ไม่ใช่ของที่จะโยนส่งเดชได้ มั่วชิงเฉินเดินขึ้นไปสองสามก้าววางระเบิดสะท้านฟ้าไว้กลางฝ่ามือเยี่ยเทียนหยวน แล้วรีบถอยหลังสองสามก้าวดึงระยะห่างออก
เยี่ยเทียนหยวนอึดอัดเล็กน้อยเช่นกัน รีบเอ่ยว่า “ศิษย์หลานมั่ว เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
มั่วชิงเฉิยพยักหน้าเดินออกไป ยามที่หันกลับมาปิดประตูพบว่าสายตาเยี่ยเทียนหยวนยังตกอยู่ที่นางนี่ จึงรีบหันหน้ากลับแล้วรีบเดินจากไป
ข่าวที่ทีมย่อยเหยากวงที่เยี่ยเทียนหยวนนำทีมออกศึกครั้งแรกก็ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรมารได้ยี่สิบกว่าคน ยังรวมทั้งผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณระยะกลางคนหนึ่งร่ำลือไปทั่วหุบเขาลั่วเยี่ยนทางฝั่งผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า ศึกครั้งนี้ เรียกได้ว่าศึกเดียวสร้างชื่อ
หลายวันต่อมา เยี่ยเทียนหยวนเรียกตัวทุกคน วางแผนตามจุดเด่นของทุกคน
ไม่นับเยี่ยเทียนหยวน ทีมนี้เหลือเพียงสิบสี่คน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายสี่คน ระดับสร้างรากฐานระยะกลางสิบคน
สี่คนในนี้พอมีความรู้ด้านค่ายกลอย่างงูๆ ปลาๆ เยี่ยเทียนหยวนหยิบธงเล็กสี่ผืนมอบให้ทั้งสี่คน สั่งให้ทั้งสี่คนยามเจอศัตรูให้ยืนให้ดีตามตำแหน่งสี่ลักษณะ[1] ใช้คาถาเคลื่อนธงเล็กป้องกันศัตรู
ธงเล็กชุดนี้เรียกว่าธงสี่ลักษณะ เป็นอาวุธเวทที่หลอมรวมค่ายกลเข้าไปชุดหนึ่ง ทั้งรุกทั้งรับ จำเป็นต้องใช้ผู้บำเพ็ญเพียรสี่คนเคลื่อนพลังพร้อมกันถึงสามารถแสดงอานุภาพได้มากที่สุด
สิบคนที่เหลือจัดตำแหน่งตามคาถาที่ตนถนัด ยามพบศัตรูกะทันหันสองสามคนไหนลงมือก่อน สองสามคนไหนคุ้มกันปกป้อง หลังจากนั้นรูปขบวนเปลี่ยนไปเช่นไรล้วนวางแผนไว้ทีละขั้น
มั่วชิงเฉินแอบตกใจจนพูดไม่ออก ไม่คิดว่าเยี่ยเทียนหยวนยามอยู่ระดับสร้างรากฐานนิ่งเงียบพูดน้อย ท่าทางปฏิเสธคนไม่คุ้นเคยไม่ให้เข้าใกล้ กลับตัดสินสิ่งต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม มิน่าใครๆ ก็ว่าผู้บำเพ็ญเพียรมีเพียงคนที่ก้าวเข้าแถวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง ถึงสามารถแสดงนิสัยที่แท้จริง ความสง่างามที่แท้จริงออกมาได้
หลังจากผ่านการแปรขบวนครั้งนี้ ทีมย่อยเหยากวงยามสืบค้นในหุบเขาได้เจอกับผู้บำเพ็ญเพียรมารอีกหลายครั้ง ทุกครั้งล้วนชนะอย่างขาดรอย และไม่สูญเสียคนอีกอย่างคาดไม่ถึง
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทีมย่อยเหยากวงที่นำโดยเยี่ยเทียนหยวนชั่วขณะหนึ่งโดดเด่นไม่เป็นสองรองใคร ตัวเขาเองก็ยิ่งกลายเป็นบุคคลที่ใครๆ ก็รู้จัก
มั่วชิงเฉินพบว่าที่นักพรตคงฉวนพูดไว้ไม่ผิดจริงๆ ไม่ใช่ทุกครั้งที่ออกมาจะเจอกับผู้บำเพ็ญเพียรมาร กระทั่งสามารถพูดได้ว่าสามครั้งห้าครั้งได้เจอสักครั้งก็นับว่าไม่เลวแล้ว วันแรกพวกเขาดวงตกมากจริงๆ
ที่น่าสนใจก็คือ ทุกครั้งที่เจอผู้บำเพ็ญเพียรมาร ยามที่ทั้งสองฝ่ายจำนวนคนสูสีกัน ฝ่ายตรงข้ามก็จะเป็นฝ่ายที่เลือกทำเหมือนมองไม่เห็น มีเพียงยามที่จำนวนคนมากกว่าฝ่ายตนอย่างเห็นได้ชัดถึงเข้าห้ำหั่นกัน นานวันเข้าทุกคนก็เข้าใจแล้วว่านี่เป็นการรู้กันโดยต่างฝ่ายต่างไม่ต้องพูด
พริบตาเดียวเวลาสามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับการสู้ที่โหดร้ายและสภาพการบำเพ็ญเพียรที่ย่ำแย่ในหุบเขาได้แล้ว ในระหว่างนี้พวกเขาพบศึกใหญ่บ้างเล็กบ้างก็มีสิบกว่าครั้งแล้ว น่าเสียดายมั่วชิงเฉินไม่เคยได้พบมั่วหร่านอีอีก
ช่วงเวลาที่บอบบางเช่นนี้ นางก็ไม่สะดวกสืบข่าว ความสงสัยเต็มอุราได้แต่รอให้กลับสำนักลั่วสยายามพบหน้ามั่วเฟยเยียนค่อยถามแล้ว
นางมักรู้สึกว่า มั่วเฟยเยียนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักลั่วสยาเสมอมาไม่ควรไม่รู้สถานการณ์ของมั่วหร่างอี อย่างน้อยเรื่องที่มั่วหร่านอีอยู่สำนักมารนางน่าจะรู้มานานแล้ว เพียงแต่ทุกอย่างนี้มีเพียงพบหน้ากันถึงยืนยันได้
ที่ทำให้มั่วชิงเฉินกลัดกลุ้มก็คือ ครั้งนี้ย้อนกลับสำนักจัดทัพไม่คิดว่าจะไม่ได้พบมั่วเฟยเยียน ลองสืบดูเงียบๆ ว่ากันว่าสนามรบที่มั่วเฟยเยียนอยู่ปรากฏที่อยู่ของมุกเจ็ดสีแล้ว บัดนี้เต๋ามารทั้งสองฝ่ายต่างจ้องตาเป็นมัน เตรียมเปิดศึกได้ตลอดเวลา การจัดทัพสามเดือนครั้งจึงยกเลิกไปแล้ว
กลับถึงในหุบเขาค้นหามุกเจ็ดสีต่อ ได้ยินรางๆ ว่าการแย่งชิงกันของเต๋ามารสองฝ่ายที่สนามรบที่มั่วเฟยเยียนอยู่เนินเซียนมารเข้าขั้นดุเดือดแล้ว เริ่มดึงตัวผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจากสนามรบอื่นไปหนุนอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไปไม่นาน เยี่ยเทียนหยวนก็ถูกส่งไปเนินเซียนมารเช่นกัน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่เหลืออยู่ในหุบเขาลั่วเยี่ยนคาดเดาได้รางๆว่าการแย่งชิงกันของเนินเซียนมารเกรงว่าอีกไม่นานก็เห็นผลแล้ว ถึงเวลาผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าผู้บำเพ็ญเพียรมารที่ยังรอดอยู่พวกนั้นต้องกระจายไปตามสนามรบอื่นเป็นแน่ เวลานั้นสนามรบเหล่านั้นเกรงว่าจะยิ่งโหดร้ายกว่ายามนี้อีก
“หัวหน้าทีมมั่ว ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว” ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งเอ่ย
มั่วชิงเฉินพยักหน้า โบกมือว่า “ออกเดินทาง”
ตามการดึงตัวผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณไปอย่างต่อเนื่อง บัดนี้ทีมย่อยในหุบเขาลั่วเยี่ยนไม่สามารถรับประกันได้แล้วว่าทุกทีมจะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคอยคุม ทีมของพวกมั่วชิงเฉินก็เป็นเช่นนี้
ยามที่เยี่ยเทียนหยวนจากไป ได้มอบสมบัติวิเศษกระดานหมากรุกที่สามารถปิดบังกลิ่นอายของทุกคนเป็นการชั่วคราวให้มั่วชิงเฉิน ออกคำสั่งให้นางเป็นหัวหน้าทีมแทนชั่วคราว
ทีมนี้ของพวกเขามีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายเพียงสี่คน หนึ่งในนั้นยังแขนขาดอีก ต้วนชิงเกอค้นคว้าสัดส่วนของส่วนผสมยาที่ทำให้แขนงอกขึ้นใหม่ได้อยู่ตลอดเวลาจนบัดนี้ก็ไม่มีเงื่อนงำ สองคนที่เหลือเคยประจักษ์ความสามารถของมั่วชิงเฉินมาก่อนก็ไม่ได้พูดมาก กลับเป็นหรวนหลิงซิ่วที่บ่นไปสองสามประโยค ซึ่งทุกคนต่างก็ชาชินไม่ได้ใส่ใจ
อาณาเขตหุบเขาลั่วเยี่ยนกว้างใหญ่ มั่วชิงเฉินนำสมาชิกทีมค้นหาอย่างละเอียด ไม่นานก็เข้าสู่สถานที่ที่ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี เมื่อยื่นจิตตระหนักออกไปกลับพบสิ่งผิดปกติเล็กน้อย
——
[1] สี่ลักษณะ หมายถึง ตำนานปรัมปราของลัทธิเต๋า เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นอสุรกายปกป้องคุ้มครองทิศทั้ง 4 ได้แก่สัตว์โบราณ 4 ชนิด ทิศตะวันตกคือ เสือขาว คุณสมบัติ ธาตุทอง ทิศตะวันออกคือ มังกรเขียว คุณสมบัติ ธาตุไม้ ทิศเหนือคือ เสวียนอู่ (รูปร่างเหมือนเต๋าและงู) คุณสมบัติ ธาตุน้ำ และทิศใต้คือ จูเช่ว์ (หงส์ไฟ) คุณสมบัติ ธาตุไฟ
ตอนที่ 270 หลังต้นไม้มีแดนอัศจรรย์
มั่วชิงเฉินขยับมือกระดานหมากรุกอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ นี่คือของที่เยี่ยเทียนหยวนมอบให้นางก่อนไป
กระดานหมากรุกนี้เรียกว่ากระดานคงวิญญาณเจ็ดดาว ทั้งสามารถคงพลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านอีกทั้งยังสามารถซ่อนความปั่นป่วนของกลิ่นอายผู้บำเพ็ญเพียร ช่างเป็นสมบัติวิเศษสนับสนุนที่มีประโยชน์มากจริงๆ เดิมทีด้วยตบะของมั่วชิงเฉินนั้นไม่อาจใช้ได้
ทว่ากระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวไม่ใช่สมบัติวิเศษจู่โจม อีกทั้งถูกเยี่ยเทียนหยวนหลอมในตันเถียนมาก่อน สื่อใจถึงกัน เขาเอาเลือดจากหัวใจของมั่วชิงเฉินหยดหนึ่งหลอมเข้ากระดานหมากรุกนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้มั่วชิงเฉินมีตบะเพียงระดับสร้างรากฐานระยะปลาย ก็พอกล้อมแกล้มสำแดงอานุภาพได้สองสามส่วนแล้ว
เมื่อมั่วชิงเฉินคิดถึงยามที่เยี่ยเทียนหยวนขอเลือดจากหัวใจนางหยดหนึ่งหลอมเข้ากระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวในใจก็รู้สึกแปลกๆ ต้องรู้ว่าสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งให้ความสำคัญก็คือสมบัติวิเศษที่ใช้ติดตัว เช่นนี้แล้ววันหลังต่อให้กระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวกลับคืนเจ้าของเดิม ใช้ขึ้นมาไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมาะมือเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
มั่วชิงเฉินตีเคล็ดวิชานิ้วออกไปอย่างรวดเร็ว แสงวิญญาณสายหนึ่งหายเข้าไปในกระดานคงวิญญาณเจ็ดดาว กระดานหมากรุกทั้งอันมืดมนลงทันที กลิ่นอายราบเรียบระลอกหนึ่งคลุมทุกคนไว้ภายใน
มั่วชิงเฉินบอกเป็นนัยให้ทุกคนอย่าขยับส่งเดช แล้วยื่นจิตตระหนักสำรวจขึ้นมา
สภาพแวดล้อมที่พวกเขาอยู่ยามนี้ต้นไม้ใบหญ้าหนาทึบยิ่งนัก อีกทั้งยังขึ้นอย่าไม่เป็นระเบียบ มองไปสายตาก็ถูกเถาวัลย์ของพืชสูงใหญ่บดบังหมดแล้ว มั่วชิงเฉินโคจรจิตตระหนักสำรวจ แล้วอดชะงักไม่ได้
เห็นเพียงด้านหลังของต้นไม้ใบหญ้าหนาทึบ คือพุ่มไม้หนามเตี้ยๆ ผืนหนึ่ง บนพุ่มไม้หนามงอกผลไม้สีแดงขนาดเท่าผลซิ่งแน่นขนัดไปหมด
เลยขึ้นไปจากพุ่มไม้หนาม คือต้นไม้ยักษ์สูงเสียดฟ้าที่เกรงว่าสิบกว่าคนก็โอบไม่มิดต้นหนึ่ง วานรหลายตัวบนต้นไม้ดึงกิ่งไม้พลางไกวไปไกวมา ทุกครั้งยามที่ไกวไปถึงพุ่มไม้หนามนั่นก็จะยื่นมือดึงผลไม้สีแดงผลหนึ่ง จากนั้นดีใจหน้าบานกัดลงคำหนึ่งแล้วกลับขมวดคิ้ว โยนผลไม้ทิ้งไป
ที่ทำให้มั่วชิงเฉินตะลึงคือวานรวิญญาณพวกนี้เป็นอสูรปีศาจขั้นสี่ที่เทียบเท่าระดับสร้างรากฐานระยะปลายในมนุษย์ ตัวเป็นสีเหลืองทองทั้งตัว มีเพียงขนที่หน้าผากเป็นรูปจันทร์เสี้ยวสีเงิน
หลังจากที่มั่วชิงเฉินฝึกเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา จิตตระหนักไม่เพียงแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ที่หายากคือการควบคุมอย่างยิบย่อยทำได้ตามใจนึกมากขึ้น นางบังคับจิตตระหนักสำรวจเหตุการณ์ แม้แต่นักบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณก็ยากจะพบพิรุธ
นางค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับวานรวิญญาณตรงหน้าในสมองอย่างรวดเร็ว ทว่าเพียงชั่วครู่ก็ส่ายศีรษะเบาๆ
ในม้วนคัมภีร์หยกที่ตนเคยอ่าน ในบรรดาสิ่งมีชีวิตประเภทวานรที่พูดถึงไม่มีที่หน้าตาเช่นนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ วานรวิญญาณตรงหน้าพวกนี้ ต้องไม่ใช่อสูรปีศาจที่เป็นที่รู้จักในวงกว้างแน่นอน
มั่วชิงเฉินหลับตาแผ่วเบา สังเกตวานรวิญญาณพวกนั้นอย่างเงียบๆ
ไยวานรวิญญาณพวกนี้ถึงอาศัยกิ่งไม้ไปเด็ดผลไม้สีแดงบนพุ่มไม้หนามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ได้มาแล้วกินคำหนึ่งก็โยนทิ้งไปอีกนะ?
เรื่องผิดปกติย่อมมีอะไรแปลกๆ ที่พวกมันทำเช่นนี้ต้องมีสาเหตุแน่นอน
จิตตระหนักของมั่วชิงเฉินค่อยๆ ตกลงบนพุ่มไม้หนามที่มีผลไม้สีแดงผืนนั้น
พุ่มไม้หนามผืนนี้เป็นสีสนิม ผลไม้สีแดงสดจนสีแทบจะหยดออกมาได้ กึ่งโปร่งใสภายใต้แสงตะวัน ดูแล้วดึงดูดใจยิ่งนัก
มั่วชิงเฉินแผ่หนวดสัมผัสจิตตระหนักออก รับรู้ถึงผลไม้สีแดงพวกนี้อย่างละเอียด ถึงพบว่าผลไม้พวกนี้แผ่กลิ่นอายประหลาดสายหนึ่ง เพียงแต่เนื่องจากยิบย่อยมาก หากไม่สำรวจอย่างละเอียดเหมือนนางต้องละเลยผ่านไปแน่
จิตตระหนักของมั่วชิงเฉินสามารถทำร้ายคนได้จริงแล้ว นางลองแตะผลไม้ผลหนึ่งดู ผลไม้สีแดงที่สุกงอมก็กลิ้งตกลงพื้นอย่างเงียบๆ
จะใช้จิตตระหนักเอาผลไม้ข้ามมาศึกษาอย่างละเอียดผลหนึ่งดีหรือไม่นะ?
มั่วชิงเฉินรู้สึกลังเลขึ้นมา
เต๋ามารสองฝ่ายวนเวียนอยู่ในหุบเขาลั่วเยี่ยนทุกวัน จุดประสงค์ก็เพื่อค้นหามุกเจ็ดสี ทว่าศึกเต๋ามารมีมาหลายปีแล้ว นอกจากมีข่าวคราวของการเจอมุกเจ็ดสีลือมาจากเนินเซียนมาร สนามรบอื่นไม่มีข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย มุกเจ็ดสีราวกับจู่ๆ ก็หายสาบสูญไปอย่างไรอย่างนั้น
นางนำทีมย่อยออกมาค้นหาก็มีหลายครั้ง บางทีพบผู้บำเพ็ญเพียรมารบางทีไม่พบ ทว่าตราบใดที่หามุกเจ็ดสีไม่เจอ คนทั้งหมดก็ไม่อาจถอนตัวจากศึกครั้งนี้ได้ ระยะสั้นละก็ถือเป็นการขัดเกลาของทั้งสองฝ่าย นานเข้าละก็กลับเป็นเคราะห์กรรมแล้ว
บัดนี้กว่าจะได้พบความผิดปกติสักนิดไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จะให้ปล่อยไปทั้งเช่นนี้อย่างไรก็รู้สึกไม่ยอมจริงๆ
นึกถึงตรงนี้ มั่วชิงเฉินตัดสินใจแน่วแน่ ใช้จิตตระหนักดันผลไม้ผลนั้นย้ายมาตำแหน่งที่ตนอยู่ทีละนิดทีละนิด หากคนอื่นประหลาดใจ ก็บอกว่าเป็นคาถาธาตุไม้ชนิดหนึ่งก็แล้วกัน
“นี่ ตกลงเจ้าทำอะไรอยู่กันแน่?” เสียงของหรวนหลิงซิ่วดังขึ้นในสมองมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินหน้าเขียว ถลึงตาใส่หรวนหลิงซิ่วอย่างดุดันปราดหนึ่ง จากนั้นตะโกนว่า “ทุกคนเตรียมตัวสู้ศึก!”
ยามที่เยี่ยเทียนหยวนมอบกระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวถึงมือได้กำชับไว้ว่า ตนฝืนใช้ด้วยตบะระดับสร้างรากฐาน ไม่เพียงอานุภาพลดลงไม่น้อย ผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกบดบังอยู่ภายในยังไม่อาจขยับส่งเดชได้ ต่อให้ใช้จิตตระหนักส่งเสียงทางจิต ก็อาจทำลายเขตอาคมได้ ทำให้ทุกคนเปิดเผยออกมา
ตนได้เตือนทุกคนแล้ว ไม่คิดว่าในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานหรวนหลิงซิ่วกลับทำเรื่องโง่ๆ เช่นนี้ออกมา!
ช่างเป็นการไม่กลัวมีคู่ต่อสู้เก่งกาจเหมือนเทพ แต่กลัวสหายร่วมรบที่เหมือนหมูจริงๆ!
ครึ่งปีมานี้ ทุกครั้งที่ออกรบหากคุณหนูใหญ่คนนี้ไม่สร้างปัญหาให้ก็นับว่าบุญหนักหนาแล้ว อาจารย์อาเยี่ยเอ๋ยอาจารย์อาเยี่ย มิน่าท่านถึงรีบไปปานนั้นนะ
เป็นจริงดังคาด วานรวิญญาณพวกนั้นมือหนึ่งดึงกิ่งไม้ยาวๆ โยกผ่านพุ่มไม้หนาม ทะยานมาทางที่พวกเขาอยู่ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว
“สี่ลักษณะป้องกัน กลางสองจู่โจม คนอื่นสังเกตเหตุการณ์เคลื่อนไหวตามสถานการณ์!” มั่วชิงเฉินบ่นอยู่ในใจ ปากกลับพูดอย่างรวดเร็ว
สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันหลายครั้ง ทุกคนค่อนข้างใจตรงกันแล้ว เพิ่งสิ้นเสียงมั่วชิงเฉิน ผู้บำเพ็ญเพียรสี่คนที่ยืนประจำตำแหน่งสี่ลักษณะก็ยกธงในมือขึ้น
ธงเล็กสี่ผืนสีต่างกัน แดงขาวเขียวดำแสงวิญญาณสี่สีพุ่งออกจากธงในทันใด แกะเกี่ยวอยู่ด้วยกันแล้วเปล่งแสงสี่สีออกทันที จากนั้นฝาคลุมป้องกันสีรุ้งอันหนึ่งก็ครอบทุกคนไว้ภายใน
ยามนี้เองของในมือวานรวิญญาณไม่กี่ตัวนั้นก็โยนเข้ามาแล้ว กระทบถูกฝาครอบป้องกันแล้วส่งเสียงก๊องๆ จากนั้นตกลงบนพื้น ไม่คิดว่าก็คือผลไม้สีแดงพวกนั้นนั่นเอง
ตำแหน่งที่กลางสองตั้งอยู่ คือผู้บำเพ็ญเพียรที่ถนัดคาถาธาตุทองและคาถาธาตุไฟ กระบวนท่าจู่โจมของพวกเขาตกลงบนตัววานรวิญญาณพวกนั้นเช่นกัน
วานรวิญญาณพวกนั้นร้องเจี้ยกๆ โวยวายขึ้นทันที จากนั้นใช้ทั้งแขนทั้งขาบุกไปถึงหน้าทุกคน ยื่นมือออกแรงข่วนฝาครอบป้องกัน
ทุกคนคิดไม่ถึงว่าวานรวิญญาณพวกนี้อาศัยร่างกายเพียงอย่างเดียวก็มีอานุภาพในการจู่โจมถึงเพียงนี้ หลังจากฝาครอบป้องกันนั่นถูกข่วนร้อยกว่าทีก็เกิดส่ายไปส่ายมาแทบร่วงมาลงอย่างไม่คาดคิด
“หน้าสองป้องกัน กลางสี่ หลังสามจู่โจม จำไว้ อย่าลงมือฆ่า!” มั่วชิงเฉินตะโกนขึ้นอีกครั้ง
“หัวหน้าทีม!” ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งเรียก สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ลงมือฆ่าละก็จะยิ่งลำบาก ต้องรู้ว่าการควบคุมสถานการณ์เทียบกับการสู้อย่างไม่คิดชีวิตแล้วต้องยากกว่ามาก
“จงฟังข้า!” มั่วชิงเฉินเอ่ยยังไม่ลังเล น้ำเสียงเข้มแข็ง ไม่รู้เพราะเหตุใด นางมีลางสังหรณ์ หากฆ่าวานรวิญญาณพวกนี้ เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่
ทุกคนถึงลงมือพร้อมกัน ยันต์ คาถา อาวุธเวทซัดเข้าไปที่วานรวิญญาณพวกนี้
“เจี๊ยกๆๆๆ!” วานรวิญญาณถูกลูกหลงคลื่นการโจมตีที่อยู่ทั่วฟ้าไปหมด โวยวายร้อยเจี๊ยกๆ พลางถอยหลังไป ถอยถึงระยะห่างระดับหนึ่งกลับไม่ขยับเขยื้อนอีก ลืมตากลมเล็กๆ กลอกไปกลอกมามองผู้คน อีกทั้งยังยื่นมือออกมาเกาข้างแก้มเป็นระยะๆ
“อู๋เย่ว์ เจ้าไปคุยกับพวกมันที” มั่วชิงเฉินตบถุงอสูรวิญญาณทีหนึ่ง อีกาไฟก็บินออกไปแล้ว
ระหว่างอสูรวิญญาณมีภาษาร่วมกันในการสื่อสาร อีกาไฟบินไปถึงหน้าวานรวิญญาณพวกนั้น ปีกข้างหนึ่งเท้าเอวหยุดอยู่กลางอากาศ พูดแว้ดๆ ขึ้นมา
แล้วก็เห็นวานรวิญญาณพวกนั้นบางทีส่ายหน้า บางทีโบกมือ ในปากร้องเจี๊ยกๆ ไม่หยุดเช่นกัน
“เดรัจฉานพวกนี้พูดอะไรอยู่?” หรวนหลิงซิ่วขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างหมดความอดทน
มั่วชิงเฉินมองไปอย่างเย็นชา เอ่ยเสียงร้ายกาจว่า “หุบปาก!”
หรวนหลิงซิ่วกระทืบเท้าขึ้นมาด้วยความโมโหว่า “เจ้าถือดีเช่นไรบอกให้ข้าหุบปาก…ว้าย!”
เสียงฝ่ามือดังลั่นดังขึ้น ต่อจากนั้นก็เห็นหรวนหลิงซิ่วจับแก้มซ้ายที่บวมสูงขึ้น เอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อว่า “เจ้า ไม่คิดว่าเจ้าจะกล้าตบข้า?”
มั่วชิงเฉินแอบทำตาเหลือก ในใจบอกว่าข้าไม่ได้เพิ่งตบเจ้าครั้งแรกเสียหน่อย กลับไม่รู้ว่าที่หรวนหลิงซิ่วถามเช่นนี้ เพราะว่าที่นี่อย่างไรเสียก็นับว่าเป็นถิ่นของสำนักลั่วสยา นางไม่เคยคิดมาก่อนว่ายังจะมีคนใจกล้าคลุมฟ้าในถิ่นของตนเช่นนี้
“ข้าขอพูดอีกครั้ง หุบปาก!” มั่วชิงเฉินเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ
หรวนหลิงซิ่วยื่นนิ้วมือชี้มั่วชิงเฉิน โกรธจนตัวสั่นขึ้นมาว่า “เจ้า เจ้าถือดี…ว้าย”
เสียงร้องอย่างอนาถดังขึ้นอีกครั้ง บนใบหน้าของหรวนหลิงซิ่วปรากฏรอยก้อนอิฐลึกๆ ขึ้นมารอยหนึ่ง หลังจากนั้นหงายหลังหมดสติไป
มั่วชิงเฉินกวาดมองอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ก็ถือดีที่ยามนี้ข้าเป็นหัวหน้าทีม!” พูดจบกวาดมองทุกคนปราดหนึ่ง
ทุกคนรีบยืนตัวตรงทันที ปากเอ่ยว่า “หัวหน้าทีม พวกเราไม่เห็นอะไรทั้งนั้น!”
“ไม่เห็น?” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว
ทุกคนเหงื่อท่วม “หัวหน้าทีม เจ้าบอกว่าเห็นอะไรพวกเราก็เห็นอะไร…”
มั่วชิงเฉินหันหลังไปเงียบๆ แอบว่าตนดุดันปานนี้เลยหรือ กลับไม่รู้ว่าตั้งแต่ที่นางใช้ก้อนอิฐตบผู้ขอความรักคนแรกสลบเมื่อนานมาแล้ว ลืออย่างบ้าคลั่งว่าตบผู้ขอความรักคนที่สองตาย อีกทั้งยามที่เปลี่ยนผู้บำเพ็ญเพียรหญิงโฉมงามดุจบุปผาแห่งนิกายเหอฮวนทั้งหมดกลายเป็นหัวหมู ชื่อเสียงความดุดันก็ลึกเข้าไปในใจคนตั้งนานแล้ว
สามารถพูดได้ว่าในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนที่กล้าตอแยกับนางมีไม่มากจริงๆ นี่ก็เป็นสาเหตุที่เมื่อเยี่ยเทียนหยวนมอบหน้าที่หัวหน้าทีมให้นาง นอกจากพวกหรวนหลิงซิ่วไม่กี่คนโวยวายแล้วไม่มีคนกล้าบ่น
“เฝ้าให้ดี ยามจะจากไปอย่าลืมนางไว้ก็พอ” มั่วชิงเฉินปากพูดอยู่กลับจ้องอีกาไฟและวานรวิญญาณตาไม่กะพริบ
ไม่นานนัก อีกาไฟก็บินกลับมาแล้ว
“เป็นเช่นไร?” มั่วชิงเฉินถาม
อีกาไฟโบกปีกว่า “แม่นางข้าออกโรงยังมีเรื่องที่ไม่สำเร็จอีกหรือ วานรพวกนั้นพูดแล้ว ขอเพียงพวกเราไป ก็จะไม่สืบสาวราวเรื่องแล้ว”
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก นี่มันไร้สาระมิใช่หรือ ประเด็นคือนางไม่อยากไปนี่นา
“เจ้าถามพวกมันว่าเด็ดผลไม้พวกนั้นแล้วไยไม่กินหรือไม่?” มั่วชิงเฉินถาม
อีกาไฟเดาะปากว่า “ใครจะรู้ล่ะว่าวานรพวกนั้นคิดเช่นไร ข้าถามแล้ว พวกมันก็พูดไม่ถูก บอกเพียงว่าผิดปกติ”
“ผิดปกติ?” มั่วชิงเฉินกวาดมองผลไม้สีแดงบนพื้นปราดหนึ่ง จากนั้นก้มตัวเก็บขึ้นมาผลหนึ่ง ผิดปกติหมายถึงอะไรนะ?
น่าเสียดายที่อสูรปีศาจขั้นสี่ยังไม่อาจพูดภาษาคนได้ ไม่อาจสื่อสารโดยตรง
ไม่ว่าจะพูดเช่นไร ผลไม้พวกนี้ต้องมีอะไรประหลาดแน่!
มั่วชิงเฉินสัมผัสภายในผลไม้อย่างรวดเร็ว พบว่ากลิ่นอายที่ผลไม้พวกนี้ห่อหุ่มไว้ไม่เพียงแต่มีปราณวิญญาณ หากแต่มีปราณวิญญาณปราณมารผสมปนเปกัน
รู้สึกใจหาย ก้าวขึ้นหน้าก้าวหนึ่งแล้วพูดกับวานรวิญญาณพวกนั้นว่า “นี่ ข้าเอาของดีแลกผลไม้พวกนี้ของพวกเจ้าได้หรือไม่?”
ตอนที่ 271 สุราวานรคือที่สุด
วานรวิญญาณไม่กี่ตัวกะพริบตา จากนั้นส่ายหน้า
มั่วชิงเฉินรู้สึกดีใจ เจ้าพวกนี้ฟังรู้เรื่อง!
นางรีบล้วงขวดน้ำเต้าสุราสีชมพูเข้มใบหนึ่งออกจากถุงเก็บวัตถุ แล้วแกว่งให้วานรวิญญาณพวกนั้นดู จากนั้นเปิดจุกออก กลิ่นหอมสุราอ่อนๆ สายหนึ่งก็ลอยออกมา
น้ำค้างลั่วเหวยนี่สีใสรสอ่อนกลับทั้งหวานทั้งให้หวนระลึก วานรพวกนี้อาจชอบก็ได้
วานรวิญญาณได้กลิ่นหอมของสุราแล้วคึกคักขึ้นมาตามคาด ตาจ้องขวดน้ำเต้าสุราในมือมั่วชิงเฉินเขม็งกระโดดขึ้นกระโดดลงเกาหูเกาแก้ม
มั่วชิงเฉินหัวเราะ ยัดจุกสุราเข้าไปแล้วโยนขวดน้ำเต้าสุราข้ามไป
วานรวิญญาณที่รูปร่างกำยำที่สุดตัวหนึ่งกระโดดลงมารับขวดน้ำเต้าสุราไว้ทันที จากนั้นเปิดจุกออกอย่างคล่องแคล่ว จ่อขวดน้ำเต้าไปข้างปากกรอกเข้าไปอึกใหญ่
“เจี๊ยกๆ เจี๊ยกๆ” วานรวิญญาณไม่กี่ตัวที่เหลือร้อนใจจนถูมือไปมา วานรวิญญาณตัวนั้นกลับกอดขวดน้ำเต้าสุราไว้ไม่ปล่อย
“ที่ข้านี่ยังมีอีกมาก พวกเจ้าให้ข้าเด็ดผลไม้สีแดงพวกนั้นละก็ ข้าก็จะมอบสุราพวกนี้ให้พวกเจ้าหมดเลยดีหรือไม่?” ขวดน้ำเต้าสุราสีต่างๆ สิบกว่าใบปรากฏขึ้นในมือมั่วชิงเฉิน แล้วพูดหลอกล่อ
วานรวิญญาณไม่กี่ตัวมองหน้ากัน คิดอยู่นานมากถึงพยักหน้าอย่างลังเล
มั่วชิงเฉินรู้สึกดีใจ เดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าวยื่นขวดน้ำเต้าสุราพวกนั้นให้วานรวิญญาณ ยกเท้าก็จะไปทางพุ่มไม้หนามนั่น
ในเวลานี้เองจู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่กดมา ทุกคนตกใจหน้าถอดสีทันที มีใจต่อต้านกลับพบอย่างน่าตระหนกว่าขยับเขยื้อนไม่ได้เลยภายใต้การข่มของพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่นี้
“ทุกคนใจเย็นไว้!” หน้าผากมั่วชิงเฉินเหงื่อเย็นซึมออก แต่แข็งใจยันไว้ว่า
ด้วยประสบการณ์ของนางตัดสินได้ว่า พลานุภาพสายนี้ต้องมาจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหรืออสูรปีศาจขั้นแปดขึ้นไป!
ท่ามกลางสายตาพรั่นพรึงของทุกคน วานรวิญญาณตัวหนึ่งพยุงผู้เฒ่าผมขาวโพลนคนหนึ่งเดินออกมา
ผู้เฒ่าคนนี้ดูแล้วอย่างน้อยต้องเจ็ดแปดสิบแล้ว รอยเ**่ยวย่นเต็มหน้าซ้อนกันเป็นชั้นๆ คาดว่าหนีบแมลงวันตายได้ ที่พิเศษที่สุดกลับเป็นหนวดของเขา ไม่คิดว่าจะเป็นสีทอง
“แค่กๆ นางหนูน้อย เจ้าจะเอาสุราพวกนี้แลกผลไม้ของพวกเรา?” ผู้เฒ่าดึงหนังตาขึ้น แล้วเอ่ยอย่างเนิบนาบ
มั่วชิงเฉินแอบตระหนกสงสัย ทุกการเคลื่อนไหวของผู้เฒ่าคนนี้ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ กลับมีหนวดสีทอง หรือว่าเป็นวานรวิญญาณที่จำแลงกาย?
อสูรปีศาจถึงขั้นแปดก็คือการจำแลงขั้นแรก เทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะต้นในมนุษย์ หรือก็หมายความว่า ที่พวกเขาเผชิญหน้าอย่างน้อยคืออสูรปีศาจที่เทียบเท่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะต้นคนหนึ่ง!
ทุกคนต่างไม่ใช่คนโง่ ในพริบตาที่เห็นผู้เฒ่าคนนี้ก็นึกถึงเรื่องพวกนี้แล้ว แต่ละคนสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา
หากพบผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ทุกคนร่วมมือกันยังมีโอกาสหนีเล็กน้อย ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด เช่นนั้นนอกจากนั่งรอความตายก็ไม่มีวิธีอะไรดีๆ แล้วจริงๆ
ในเวลานี้เอง หรวนหลิงซิ่วกลับฟื้นขึ้นมาแล้ว นางนวดขมับพลางลุกขึ้นมา ศีรษะยังวิงเวียนอยู่บ้าง จึงรีบตั้งตัวให้นิ่ง แล้วมองตรงไปอย่างงงงวย สายตาประสานเข้ากับใบหน้าของผู้เฒ่าพอดี
“ตาแก่ที่ไหนกัน!” หรวนหลิงซิ่วขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างอารมณ์เสีย
แก่จนเป็นเช่นนี้ ดูแล้วสะอิดสะเอียนเสียจริง!
มั่วชิงเฉินไม่แม้แต่จะหันกลับไป ดึงก้อนอิฐออกแล้วโยนไปข้างหลังตรงๆ แล้วก็ได้ยินเสียงตึงเสียงหนึ่ง หรวนหลิงซิ่วล้มลงไปทันที นางยื่นมือแล้วโบกเรียก ก้อนอิฐก็กลับเข้าในมืออีก
ทุกคนเหงื่อเย็นไหลโทรม แอบว่าในนิทานความรักในตำนานพวกนั้น นางเอกล้วนอ่อนโยนดุจสายน้ำเมตตาหาใดเทียม ถูกหญิงอำมหิตที่ชอบพระเอกรังแกตลอดเวลา จากนั้นพระเอกก็จะทะนุถนอมอิสตรีวีรบุรุษช่วยสาวงามมิใช่หรือ? ไยมาถึงคนตรงหน้านี้ ถึงกลับตาลปัตรล่ะ?
ผู้เฒ่านั่นก็สีหน้าประหลาดเช่นกัน เห็นเหตุการณ์แล้วดูเหมือนอยากหัวเราะ กลับฝืนทำท่าทางเคร่งขรึมไว้
“ท่านผู้อาวุโส ท่านพูดได้ถูกต้อง ผู้น้อยคิดจะใช้สุราพวกนี้แลกผลไม้ของท่านจริงๆ ไม่ทราบได้หรือไม่?” มั่วชิงเฉินประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น เก็บก้อนอิฐขึ้นอย่างสุขุมแล้วถามว่า
ต่อให้ผู้เฒ่าคนนี้เป็นอสูรปีศาจขั้นแปด ด้วยวิธีการออกโรงเช่นนี้ก็ดูไม่เหมือนอสูรดุร้ายพวกนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ มัวแต่หัวหดกลับจะเสียโอกาสไป ไม่สู้ลองหยั่งเชิงดู ไม่แน่ยังมีโอกาส
ผู้เฒ่ายกมือ หยิบขวดน้ำเต้าสีชมพูเข้มขึ้นใบหนึ่ง จากนั้นเปิดจุกออกแหงนหน้าดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง ต่อจากนั้นยกแขนขึ้น โยนขวดน้ำเต้าสุราออกไปโดยตรงอย่างไม่คาดคิด
วานรวิญญาณพวกนั้นรีบกระโดดขึ้นมารับขวดน้ำเต้าสุราไว้ เอะอะโวยวายแย่งกันดื่มขึ้นมา
มั่วชิงเฉินใจแป้ว ความหมายของเขาเช่นนี้คือรังเกียจสุราว่าดื่มไม่ได้
ต่อจากนั้นผู้เฒ่าก็หยิบขวดน้ำเต้าสุราสีเทาเงินขึ้นดื่มอึกหนึ่ง ครั้งนี้เดาะปากเบาๆ ทีหนึ่งแล้วยกมือขึ้นโยนออกไปอีก
มั่วชิงเฉินกัดปาก แอบว่าเจ้าวานรเฒ่านี่ เจ้าช่างเลือกกินทีเดียว แม้แต่คลาดโลกีย์ที่อาจารย์ชอบดื่มที่สุดก็ไม่เข้าตา!
ต่อจากนั้นก็เห็นผู้เฒ่านั่นยื่นมือไปที่ชนิดสุดท้ายขวดน้ำเต้าสีเหลือง ใจของมั่วชิงเฉินแอบตุ้มๆ ต่อมๆ ขึ้นมา
สุราเลิศรสในขวดน้ำเต้าสีเหลืองนี้ วันนั้นนางเคยเชิญอาจารย์ลิ้มลองมาก่อน อาจารย์ถามชื่อสุรานางนางกลับไม่ได้บอก เพียงเพราะชื่อของสุรานี้ ชื่อว่า ‘คิดถึงยากหักห้าม’
ผู้เฒ่าดื่ม ‘คิดถึงยากหักห้าม’ อึกหนึ่ง ในที่สุดครั้งนี้ก็ไม่ได้โยนขวดน้ำเต้าสุราออกไปโดยตรง หากแต่หรี่ตาเล็กน้อย แล้วค่อยๆ เดาะปาก
มีลุ้น!
มั่วชิงเฉินปีติในใจ มุมปากอดกระดกขึ้นไม่ได้ รอยยิ้มยังไม่ทันแย้มกลับเห็นผู้เฒ่ายกมือขึ้น โยนขวดน้ำเต้าสุราสีเหลืองดังสวบออกไปอีกแล้ว ในชั่วพริบตานั้นไม่คิดว่านางจะพบว่าสายตาที่ผู้เฒ่ามองมาแฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์สายหนึ่ง ในใจอดแอบแค้นไม่ได้ เจ้าวานรเฒ่า ที่แท้เจ้าแกล้งกันเล่นหรือ!
“นางหนูน้อย สุราของเจ้านี่ไม่ไหวนะ” ผู้เฒ่าส่ายศีรษะ
มั่วชิงเฉินเม้มปาก แอบว่าไหวหรือไม่ไหวก็อยู่ที่เจ้าพูดมิใช่หรือ พูดตรงๆ ก็คือไม่อยากแลกผลไม้นั่นใช่หรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผลไม้นั่นยิ่งมีปัญหาแล้ว
ผู้เฒ่าดูเหมือนเดาสิ่งที่มั่วชิงเฉินคิดได้ ยกมือขึ้น ลูกวานรที่อยู่ข้างๆ รีบพยุงแขนของเขาทันที ต่อจากนั้นก็เห็นเขาเดินกลับไปอย่างเชื่องช้า
“หัวหน้ากลุ่ม… นี่ นี่หมายความว่าเช่นไร?” ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งทนไม่ไหวถามขึ้น ในใจแอบว่าได้ยินมาว่าศิษย์รักของท่านผู้เฒ่าเหอกวงคนนี้บุญวาสนาหนา ตามนางอย่างไรก็ต้องได้พบเรื่องประหลาดมหัศจรรย์บ้าง บัดนี้ดูแล้วก็ไม่ผิด
“พวกเจ้าอย่ารน รอดูก่อนก็แล้วกัน” มั่วชิงเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
หากนางเดาไม่ผิด เจ้าวานรเฒ่านั่นต้องไปเอาสุราเป็นแน่!
เป็นตามคาดไม่นานนัก ภายใต้การพยุงของวานรวิญญาณผู้เฒ่าอุ้มของที่รูปร่างเหมือนลูกมะพร้าวใบหนึ่งเดินโซซัดโซเซมาแล้ว
เขาเดินถึงหน้ามั่วชิงเฉิน ยื่นมือออก
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก ยื่นจอกหยกขาวไปใบหนึ่งอย่างเข้าใจ
ผู้เฒ่ายื่นนิ้วกดลงบนของที่เหมือนลูกมะพร้าวนั้น ก็กดเป็นรูออกมา เขาเอียงของนั่นอย่างไม่รีบร้อน แล้วก็เห็นของเหลวสีเหลืองทองไหลออกมาจากข้างใน
“ชิมดู” เทถึงแค่ห้าส่วน ผู้เฒ่าก็ยื่นจอกหยกขาวข้ามมา
มั่วชิงเฉินยื่นมือรับมา จ่อจอกหยกขาวไปที่ริมฝีปาก
“ชิงเฉิน” ต้วนชิงเกอกระตุกชายเสื้อของนางอยู่ข้างหลัง
มั่วชิงเฉินส่ายหน้าแผ่วเบา มือไม่ชะงักส่งของเหลวในจอกเข้าปาก
ในดวงตาผู้เฒ่าฉายแววอบอุ่นขึ้นสายหนึ่ง
เมื่อสุราเลิศรสเข้าปาก หนอนสุราของมั่วชิงเฉินถูกเกี่ยวขึ้นมาทันที นางยกมือดื่มสุราในจอกจนหมด แล้วเม้มมุมปากอย่างไม่หายอยาก หรี่ตาครึ่งหนึ่งอยู่พักใหญ่ถึงลืมตาขึ้น แล้วมองไปที่ผู้เฒ่าด้วยสายตาแวววาว
“เป็นเช่นไร?” ผู้เฒ่ารีบไล่ถามว่า ในตาปิดความได้ใจไม่มิด
มั่วชิงเฉินนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ถึงชมจากใจว่า “ต่อให้เป็นน้ำทิพย์ ก็เพียงเท่านี้เอง!”
ผู้เฒ่ารู้สึกเหมือนเจอผู้รู้ใจทันที ยิ้มหน้าบานแล้วพยักหน้าว่า “นางหนูน้อย ดูท่าเจ้าก็เป็นคนในทางสุรา”
มั่วชิงเฉินอมยิ้มพยักหน้า ในใจกลับว่าข้าเป็นคนในทางสุรา ทว่าเจ้าไม่ใช่…
ผู้เฒ่าตบวัตถุที่หน้าตาเหมือนลูกมะพร้าวในมือ ยิ้มว่า “สุรานี่พวกเราหมักเองเชียวนะ เทียบกับสุราของเจ้าพวกนั้นเป็นเช่นไร?”
“สุราที่ผู้น้อยหมักเทียบกับสุราเลิศรสที่ท่านผู้อาวุโสหมัก ย่อมเทียบกันไม่ได้” มั่วชิงเฉินเอ่ย
“เอ่อ ที่แท้สุราพวกนั้นเจ้าก็หมักเองหรือนี่ อืม นี่กลับไม่ใช่เรื่องง่าย” ผู้เฒ่าลูบหนวดสีทองว่า “ทว่าเจ้าคิดจะใช้สุราพวกนั้นแลกผลไม้ของข้า ไม่ได้หรอกนะ นอกจาก…”
“นอกจากอะไร?” มั่วชิงเฉินไล่ถามว่า
“นอกจากเจ้าสามารถเอาสุราที่รสชาติดีกว่าสุราของข้าออกมา” ผู้เฒ่าเอ่ยว่า กลับเผยสีหน้าเป็นไปไม่ได้ออกมา
ตามคำเล่าลือ เผ่าวานรวิญญาณถนัดการหมักสุรา ผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์เรียกสุราที่พวกมันหมักว่าสุราวานร หากคาดไม่ผิด ที่เมื่อครู่ตนได้ลิ้มรสก็คือสุราวานรในตำนานแล้ว
สุราวานรได้รับการยกย่องว่าเป็นสุราทิพย์ชั้นเลิศ อย่าว่าแต่ในตลาดเลย ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคนที่เคยดื่มก็มีไม่มาก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดท่านใดหากยามต้อนรับแขกสามารถเอาสุราวานรออกมาได้ นั่นช่างเป็นเรื่องที่มีหน้ามีตาอย่าบอกใครเชียว
“พูดจริงหรือ?” มั่วชิงเฉินเชิดคางขึ้นถาม ในใจกลับอดแอบหัวเราะไม่ได้
ผู้เฒ่าเหล่มั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง แล้วพยักหน้า
“หากสุราที่ผู้น้อยเอาออกมา ท่านผู้อาวุโสรู้สึกถูกใจ เช่นนั้นผลไม้พวกนั้นให้ข้าหมดได้หรือไม่?” มั่วชิงเฉินยกมือ ชี้ไปที่พุ่มไม้หนาม
ผู้เฒ่าลังเลครู่หนึ่ง นางหนูนี่ดูแล้วหัวไวเป็นบ้าเลยนะ หรือว่าจะมีอุบาย ต้องรู้ว่าพวกมนุษย์เจ้าเล่ห์ที่สุดเชียวนะ
“ท่านผู้อาวุโส ท่านคงไม่ใช่กลัวแพ้หรอกกระมัง?” มั่วชิงเฉินยิ้มหวานแล้วถาม
ตาเล็กๆ ของผู้เฒ่าฝืนลืมโตขึ้นพิจารณามั่วชิงเฉิน กลับไม่อาจเชื่อว่านางจะเอาสุราที่เลิศรสกว่าออกมาได้ จึงพยักหน้าทันทีว่า “ได้”
มั่วชิงเฉินแย้มหนึ่งยิ้ม แล้วยื่นขวดน้ำเต้าสีเทาทะมึนไปใบหนึ่ง
ที่ใส่อยู่ในขวดน้ำเต้านี้คือสุราเลิศรสในขวดน้ำเต้าเซียนสุดที่รักของนางเชียวนะ ว่ากันด้วยรสชาติของสุรา ยังไม่เคยมีสุราชนิดใดสู้ได้มาก่อน เพียงสิ่งเดียวที่ขาดไป ก็คือมันไม่มีปราณวิญญาณเท่านั้น
“เจี๊ยกๆ เจี๊ยกๆ” ผู้เฒ่าเพิ่งดื่มได้อึกหนึ่งก็ชะงักอยู่ตรงนั้น หลับตาอยู่ครึ่งค่อนวันแล้วจู่ๆ ก็ร้องขึ้นมา
มั่วชิงเฉินอึ้งทันที ทุกคนก็อึ้ง พวกวานรก็อึ้งเช่นกัน
จากนั้นวานรพวกนั้นกระโดดผางขึ้นมา แยกเขี้ยวยิงฟันก็จะจู่โจมใส่มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินใช้เคลื่อนเงาเลือนรางก้าวออกไปหลบได้เส้นยาแดงผ่าแปด ก็ได้ยินผู้เฒ่าตะโกนว่า “หยุดนะ!” จากนั้นกระโดดสวบมาถึงหน้า เอ่ยเสียงสั่นว่า “นางหนูน้อย สุรานี่ เจ้าได้แต่ใดมา?”
มั่วชิงเฉินเกือบค้อนตาคว่ำ เจ้าวานรเฒ่านี่เดินก้าวหนึ่งก็ต้องให้ลูกวานรข้างๆ พยุง วุ่นวายอยู่นานความเคลื่อนไหวยังคล่องแคล่วกว่าลูกวานรหลานวานรพวกนั้นของมันอีก จึงเกิดความคิดว่า “ผู้น้อยย่อมต้องหมักเองอยู่แล้ว ผู้น้อยไม่มีงานอดิเรกอื่นใดตั้งแต่เด็ก ก็ชอบดื่มสุราหมักสุรานี่แหละ”
ผู้คนของเหยากวงที่อยู่ข้างหลังล้มตึ้งลงพร้อมกัน มีผู้หญิงเช่นนี้ด้วยหรือ อย่าบอกใครนะว่ามาจากเหยากวงของเราน่ะ
“เอามา” ผู้เฒ่ายื่นมือ
“เช่นนั้นผลไม้พวกนั้น…” มั่วชิงเฉินชี้พุ่มไม้หนาม
“เอาไป!” ผู้เฒ่าโบกมือ
พุ่มไม้หนามผืนนั้นหลายพันปีมานี้งอกผลไม้พวกนี้มาตลอด เดิมทีมันไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ใครจะรู้ว่าหลายปีมานี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดผลไม้พวกนี้ก็ต่างจากแต่ก่อนแล้ว เด็ดมาลองชิมดู กลับพบว่ายังคงทั้งขมทั้งฝาด ไม่อร่อยยิ่งนัก
เป็นวานรก็ไม่ควรโลภมากเกินไป ในเมื่อมีสุราเลิศรสนี่มาแลก ช่างหัวผลไม้พวกนั้นมีอะไรประหลาดปะไร ไม่เกี่ยวกับมันแล้ว ผู้เฒ่าคิดเงียบๆ
มั่วชิงเฉินยื่นขวดน้ำเต้าสุราสีเทาทะมึนข้ามไปหลายใบ แล้วก้าวเท้าเดินไปทางพุ่มไม้หนาม กลับได้ยินผู้เฒ่าจู่ๆ ก็พูดว่า “ช้าก่อน!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น