เนตรเซียนทะลุสมบัติ 258-264

 ตอนที่ 258 ซูหนี


ฉินโถวยืนอยู่ไม่ไกล ตอนที่ก่อนหยางโปจะมองเห็นเขา ฉินโถวมีสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อตอนนี้มองดูอีกครั้ง สีหน้าของฉินโถวก็ผ่อนคลายลงมากแล้ว เห็นหลูตงซิงเอ่ยราคาสูงถึงสามล้านหยวนออกมา ฉินโถวก็ไม่ได้ถอดใจ ” สามล้านห้าแสนหยวน ! “


” สี่ล้านหยวน ! ” อีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น


การแข่งขันในนี้พลันเข้าสู่จุดเดือดอย่างแท้จริง ไม่มีใครยอมปล่อยลายแทงสมบัตินี้ไปเลย !


คนหนุ่มเผ่าอี๋ทั้งสามก็คาดไม่ถึงภาพการณ์ตรงหน้านี้เลย เดิมพวกเขาคิดว่าจะสามารถขายออกไปได้สักสามแสนห้าแสนหยวนก็แพงมากแล้ว ไม่ได้คาดการณ์ไว้เลยว่าคนเหล่านี้จะสนใจแคว้นเย่หลางโบราณที่ลึกลับแปลกประหลาดมากขนาดนี้ !


หลูตงซิงมองไปทางหยางโป เอ่ยถามเสียงเบาว่า ” ตามดีไหม ? “


 


หยางโปก็ลังเล ราคานี้มากเกินกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้ เมื่อครู่เขาพยายามลองพิสูจน์จริงเท็จของลายแทงสมบัติข้างในจากข้างนอกกล่องไม้แล้ว แต่ลายแทงสมบัติม้วนรวมเข้าด้วยกัน ทำให้เขายากที่จะตัดสินได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาสามารถมั่นใจได้ก็คือกระดาษของลายแทงสมบัติไม่ธรรมดาเลย แต่เป็นหนังสัตว์ชนิดหนึ่ง ทั้งยังมีอายุยาวนานมาก


หยางโปลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วก็พยักหน้า ” ตามเลย ! “


หลูตงซิงเหลือบมองหยางโป เขารู้ว่าหยางโปมีทักษะในการประเมินวัตถุโบราณสูงมาก สิ่งนี้ทำให้เขายิ่งมั่นใจ ” สี่ล้านหนึ่งแสนหยวน ! “


คนผู้นั้นที่เข้าร่วมการประมูลไม่คุ้นเคยกับหลูตงซิงเลย เหมือนว่าเขาจะมีความตั้งใจสูงมาก ” สี่ล้านสามแสนหยวน ! “


 


” ห้าล้านหยวน ! ” หยางโปจ้องมองสถานการณ์ในที่นี้ เดิมเขาคิดจะให้หลูตงซิงคว้าเอาลายแทงสมบัตินี้มา แต่พอครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว เป้าหมายของหลูตงซิงใหญ่เกินไป คนจำนวนมากถ้าหากได้สืบค้นก็จะสืบถึงฐานะของหลูตงซิงได้ ตามด้วยถ้าหากเขาถูกสะกดรอยตาม พวกเขาก็จัดการได้ยากไม่สู้ให้เขาเป็นคนประมูลเอาไปจะดีซะกว่าเหรอ


หลูตงซิงมองไปอย่างสงสัยเล็กน้อย แต่ว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไร


ฉินโถวขมวดคิ้วแน่น มองไปทางหยางโป มุมปากกระตุก แต่ในที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้เอ่ยปาก


อีกคนหนึ่งมองมาทางหยางโปอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก


ต่อมาทุกคนก็ได้รับวัตถุโบราณของตนเอง จ่ายเงินแล้วก็พากันจากไป


 


โดยรอบก็เหลือแค่กลุ่มของหยางโปกับพวกฉินโถวสองคนอย่างรวดเร็ว ฉินโถวมองมาทางหยางโป


” แคว้นเย่หลางยังมีเรื่องลึกลับอีกมาก หวังว่าคนหนุ่มอย่างพวกคุณจะสามารถสำรวจออกมาได้ “


หยางโปพยักหน้า ” วางใจเถอะครับ พวกเราแบกรับงานพวกนี้มาก็สามารถหาแคว้นเย่หลางเจอได้แล้ว “


ฉินโถวหัวเราะ หันหลังเดินออกไปด้านหน้า ก่อนที่จะจากไป เขาส่งกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้หยางโป ” ฉันคิดๆ ดูแล้วยังรู้สึกว่าพวกเธอต่อไปอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากฉัน ถ้าหากมีเรื่องจำเป็นก็ติดต่อฉันมาได้นะ ! “


หยางโปมองไปอย่างประหลาดใจมาก ไม่รู้ว่าฉินโถวพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร แต่เขาก็ยังพยักหน้า


” ได้ครับ ถ้าหากมีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้จริงๆ พวกเราจะติดต่อคุณแน่นอน “


 


ฉินโถวยิ้มแล้วเดินออกไป หยางโปเหลือบมองหลูตงซิงครั้งหนึ่งแล้วก็มองไปทางเด็กหนุ่มเผ่าอี๋ทั้งสามคน


” พวกเรารีบประเมินของกันเถอะ ที่นี่รั้งอยู่นานไม่ได้ “


เด็กหนุ่มทั้งสามก็อยากจะรีบรับเงินให้เร็วที่สุด คนที่เป็นผู้นำจึงส่งกล่องไม้ให้กับหยางโป ” พวกคุณดูก่อนเลยครับ “


หยางโปรับกล่องไม้มา เด็กหนุ่มเผ่าอี๋ผู้เป็นหัวหน้าก็เอ่ยอธิบาย ” นี่คือลายแทงหนังวัวแผ่นหนึ่ง เปื่อยผุไปกว่าครึ่งแล้วแต่ว่ายังสามารถมองโครงเส้นสายได้อยู่ นี่น่าจะเป็นแผนที่ป้องกันเมืองของเมืองที่มั่งคั่งสักแห่งในแคว้นเย่หลาง “


หยางโปจ้องมองลายแทง จะเป็นหนังวัวจริงหรือไม่นั้นก็ไม่แน่ชัด แต่เขามั่นใจได้เรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นหนังของสัตว์ชนิดไหนก็ไม่มีทางที่จะเก็บรักษาได้ยาวนานนัก หลังจากฝังลงไปแล้วก็จะต้องเปื่อยเน่าอย่างแน่นอน แต่เขาสามารถมองออกได้ว่าลายแทงหนังสัตว์ผืนนี้เก็บรักษามานานกว่าสองพันปีเต็มๆ ! นี่เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก !


 


” นี่คือหนังวัวเหรอ ? ” หลูตงซิงสีหน้าเปลี่ยน แล้วรีบเดินเข้ามาจ้องมองแผ่นหนังวัว


” หนังสัตว์ฝังลงดินไปแล้วเปื่อยผุได้ง่ายมาก ผ่านมานานขนาดนี้แล้วจะยังมีรอยขีดเขียนอยู่ได้ยังไง ? ” หลูตงซิงกล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อ


เด็กหนุ่มเผ่าอี๋ผู้เป็นหัวหน้าส่ายหน้า ” นี่ก็ไม่แน่ใจนะ ตอนที่บ้านของอาซานก่อสร้างก็ขุดเอาลายแทงแผ่นนี้ออกมา พวกเราก็ไม่รู้อายุที่แน่ชัดแต่มีอายุไม่น้อยอย่างแน่นอน “


” นี่ไม่น่าเป็นลายแทงสมัยแคว้นเย่หลางโบราณไปได้นะ ควรรู้ว่าแคว้นแย่หลางโบราณนั้นอายุกว่าสองพันปีแล้ว หนังวัวจะอยู่มาถึงสองพันปีได้ยังไง ? ” หลูตงซิงยังคงไม่เชื่อ เขาหันหน้ามามองหยางโปแต่กลับมองเห็นหยางโปหยิบแผ่นหนังวัวขึ้นมาดมใต้จมูก


เด็กหนุ่มเผ่าอี๋ที่เป็นผู้นำกำลังจะเอ่ยห้าม จู่ๆ หยางโปก็ยกมือขึ้น ” นายบอกที่อยู่และรายละเอียดในการติดต่อให้ฉันได้ไหม ? “


 


เด็กหนุ่มเผ่าอี๋สีหน้าเปลี่ยน เขาวิ่งแจ้นมาถึงจิ่งเฉิงก็เพราะว่าป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหล ควรรู้ว่าเรื่องพวกนี้ที่เขาทำอยู่นั้นล้วนผิดกฏหมาย !


หยางโปสังเกตเห็นถึงจุดนี้ เขาจึงห้ามหลูตงซิงแล้วหันไปกล่าวกับเด็กหนุ่มเผ่าอี๋เสียงอ่อนว่า ” ถ้าหากไม่อยากให้จริงๆ ถ้างั้นก็ทิ้งข้อมูลติดต่อเอาไว้หน่อยเถอะ ต่อไปถ้าหากพวกเราหาเบาะแสเจอแล้วก็อาจจะยังต้องการไกด์นำทางสักคนน่ะ “


เด็กหนุ่มเผ่าอี๋ส่ายหน้า ” ผมลดราคาให้อีกหน่อยก็ได้ แต่ว่าข้อมูลติดต่อกับที่อยู่ เกรงว่าผมจะให้ไม่ได้ ! “


หยางโปพยักหน้า เขาเข้าใจความกังวลของอีกฝ่ายแล้วก็ไม่ได้บังคับ เขามองอีกฝ่าย ” ฉันอยากรู้เรื่องหนึ่งน่ะ ตอนที่พวกนายขุดเอาแผ่นหนังสัตว์นี้ออกมา ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นไหม ? อย่างแผ่นหนังนี้ถูกปิดผนึกเอาไว้ไหม ? “


 


เด็กหนุ่มเผ่าอี๋ประหลาดใจเล็กน้อย เขาหันหน้ามองไปทางด้านหลัง ” อาซาน ตอนที่นายอยู่ที่นั่นมีเรื่องอะไรไหม ? “


อาซานดูเหมือนจะผอมบางมาก สีหน้าเหลืองซีด ท่าทีขลาดเขลา เมื่อครู่หลังจากที่เจรจาธุรกิจเสร็จแล้ว นัยน์ตาของเขาก็มีประกายกล้า พอเด็กหนุ่มหัวหน้าเรียกออกมาก็พลันโง่งมไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างตะกุกตะกักว่า ” คือ คือมันถูกวางเอาไว้ในน้ำเลือดน่ะ “


พวกของหยางโปพลันสีหน้าเปลี่ยนสี มือที่หยางโปหนีบแผ่นหนังสัตว์สั่นเทาเล็กน้อย


เด็กหนุ่มเผ่าอี๋ผู้เป็นหัวหน้าก็ชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าไม่น่าดูอยู่บ้าง เขาทำงานอยู่ด้านนอกมาตลอด ก่อนหน้าก็ไม่รู้เรื่องนี้เลย ต่อมาพอได้ยินแล้วก็อาศัยประสบการณ์สองสามส่วน เขาเลยอยากจะขายออกไปในราคาสูง ไม่คิดเลยว่าแผ่นหนังสัตว์นี้จะถึงกับถูกแช่อยู่ในน้ำเลือด !


 


อาซานเห็นสีหน้าของทุกคนแล้วก็ยิ่งตึงเครียดขึ้นมา รีบเอ่ยว่า ” ไม่ ไม่ใช่น้ำเลือด… แค่น้ำนั่นมันเป็นสีแดง “


หยางโปหนีบหนังสัตว์ รู้ว่ายิ่งอธิบายก็ยิ่งเละเทะ เขาทำได้แค่เอ่ยถามว่า ” ในเมื่อวางไว้ในน้ำ แล้วอ่างที่ใส่น้ำนั่นยังอยู่ไหม ? “


อาซานมองเด็กหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าแวบหนึ่ง ” โยนทิ้งไปแล้ว “


“หะ โยนทิ้งไปทำไม ? ” หยางโปมองไป ” พวกนายเอาอ่างนั้นมา ฉันซื้อในราคาแพงได้นะ “


หยางโปมองเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มที่เป็นหัวหน้าพลันยินดี อาซานกลับสีหน้าเลิ่กลั่ก ” ปู่บอกว่าอ่างไม่เป็นมงคล ให้ผมเอาไปโยนทิ้ง ! “


” ปู่เป็นใคร ? ” หยางโปเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ


อาซานกล่าว ” ปู่ก็คือซูหนี ! “


 


หยางโปที่หนีบหนังสัตว์ร่างพลันแข็งค้าง เขารู้ได้ถึงไอเย็นวูบหนึ่งจากบนหนังสัตว์ กระจกแสงจันทร์ที่อยู่ตรงหน้าอกก็ดูดซับไปอย่างรวดเร็ว เขารีบวางแผ่นหนังสัตว์ลงบนโต๊ะ


ทุกคนต่างมองหน้ากันและกัน สังเกตเห็นท่าทีของหยางโปที่แปลกใจก็อดกังวลใจขึ้นมาไม่ได้


ตอนที่ 259 กลัวเงาตัวเอง


” ถ้างั้นก็ดี พวกเราโอนเงินกันเถอะ ! ” หยางโปกล่าวกับเด็กหนุ่มเผ่าอี๋


เด็กหนุ่มเผ่าอี๋ดีใจมาก ” ดีเลย ! “


ไม่นานหยางโปก็โอนเงินห้าล้านหยวนไป ทั้งสองฝ่ายต่างก็ถือข้าวของแยกย้ายกันออกไป ที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว ถึงแม้ว่าถ้าถูกจับแล้วจะออกมาได้ แต่มักจะยังมีปัญหาอยู่


เมื่อออกจากประตูแล้ว เด็กหนุ่มเผ่าอี๋ทั้งสามก็ขึ้นรถตู้คันหนึ่ง และพวกเขาทั้งกลุ่มก็ขึ้นรถของหลูตงซิง


ขึ้นรถแล้ว ลัวย่าวหัวก็อดเอ่ยถามไม่ได้ ” ซูหนีหมายความว่าอะไรเหรอ ? “


” ก็คือคนทรงของเผ่าอี๋ ” หยางโปกล่าว


ภายในรถเงียบสงัด การเคลื่อนไหวของตาอ้วนหลิวกับหลูตงซิงเบาลงไม่น้อย พวกเขาถึงค่อยคิดถึงความหมายของคำพูดพวกนั้นก่อนที่จะจากไปของฉินโถวได้


 


” พ่อมด ? ” ลัวย่าวหัวประหลาดใจเล็กน้อย ” ไม่ใช่แค่หมอผีหรอกเหรอ ? มีอะไรน่ากลัวกัน ? เดิมทีก็แค่หลอกเด็กแค่นั้นแหล่ะ “


” ย่าวหัว คำพูดพวกนี้อย่าไปพูดข้างนอกนะ ” หลูตงซิงพลันเอ่ยขึ้น เขามองไปนอกหน้าต่าง ” ตอนฉันยังหนุ่มก็ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่พอฉันสร้างตัวมาหลายปีนี้มันก็ทำให้ฉันจำเป็นต้องเชื่อ “


ลัวย่าวหัวมองหลูตงซิง ประวัติของหลูตงซิงลึกลับ เขากับหยางโปก็เดาความเป็นมาของการก่อร่างสร้างตัวของคนผู้นี้เอาไว้ว่าน่าจะเคยเป็นนายร้อยคลำทอง หลายปีมานี้ถึงค่อยวางมือ ดังนั้นเรื่องที่หลูตงซิงเอ่ยเตือนนั้น ลัวย่าวหัวจึงไม่กล้าไม่เชื่อถือ


รถยนต์ค่อยๆ เพิ่มความเร็วในการออกเดินทาง แต่จู่ๆ ก็พลันเพิ่มความเร็วพุ่งขึ้นมา ทุกคนมองไปทางคนขับรถที่เบาะหน้า หลูตงซิงกำลังเอ่ยถามปากสอบถามคนขับรถ ทุกคนก็ได้ยินเสียงดัง ” โครม ” ขึ้นจากด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงกระจกแตกเพล้ง และเสียง ” เคร้ง ” ของเบรถรถและเสียงพุ่งชนดังเสียดแก้วหูตามมาติดๆ


 


ทุกคนตกตะลึงมาก ค่อยๆ หันหลังหลับไปมองแล้วก็เห็นบริเวณที่คนขับรถคันนี้เพิ่งจะเร่งความเร็วขึ้นนั้น รถขนดินสีแดงที่บรรทุกดินมาเต็มคันรถชนรถตู้ไปอัดกับแผงกั้นจราจร รถตู้ที่อยู่ด้านหน้าถูกอัดจนแบนราบ


คนขับรถเร่งความเร็วขับออกไปอย่างมั่นคง ทุกคนมองหน้ากันและกันต่างก็หวาดกลัวมาก คนที่นั่งอยู่บนรถตู้ก็คือเด็กหนุ่มเผ่าอี๋ทั้งสามคนนั่น !


และถ้าหากรถยนต์ของพวกเขาไม่เพิ่มความเร็วก็เป็นไปได้อย่างมากว่าจะถูกอัดอยู่ข้างใน !


ทุกคนตกใจกลัวจนนิ่งงัน ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไร หยางโปรู้สึกได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่ถึงขนาดได้ยินเสียงเต้นดังอยู่ภายในอก


ชั่วครู่หนึ่งก็ออกมาจากจุดเกิดเหตุได้ประมาณร้อยกว่าเมตรแล้ว ทุกคนถึงได้เรียกสติกลับมา


 


” โทรศัพท์แจ้งตำรวจเถอะ หวังว่าจะช่วยชีวิตพวกเขาได้ ” หลูตงซิงเอ่ยแนะขึ้น


หยางโปมองกล่องไม้ที่อยู่ในมือ ก็รู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง


ลัวย่าวหัวเอ่ยเสียงเบา ” น่าจะไม่ใช่พลังของคนทรงจริงๆ ใช่ไหม ? “


” พูดจาเหลวไหลอะไร ? ” หลูตงซิงที่หยิบมือถือขึ้นมาโทรแจ้งตำรวจพลางด่าลัวย่าวหัวไปทีหนึ่ง


ลัวย่าวหัวอ้าปาก ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เรื่องเมื่อครู่นี้ทำให้ทุกคนตกใจกลัวมากเกินไป ดังนั้นความคิดของทุกคนจึงไม่ได้อยู่ที่ลายแทงสมบัติแล้ว และไม่มีใครพูดอะไร


บรรยากาศหนักอึ้งเล็กน้อย ทุกคนไม่ได้เอ่ยปากต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน หยางโปก็กลับไปที่เรือนสี่ประสาน ช่วงก่อนหน้านี้เขาทำความสะอาดเรือนสี่ประสานไปแล้วรอบหนึ่ง จึงเข้าไปอยู่ได้แล้ว เขาก็เลยไม่ได้ไปที่โรงแรม


 


กลับไปถึงเรือนสี่ประสานแล้ว หยางโปก็เอาลายแทงสมบัติใส่ไว้ในตู้เซฟ ความรู้สึกหวาดกลัวทำให้เขานั่งไม่เป็นสุข เขารู้สึกได้ลางๆ ว่าตัวเองเหมือนกับจะเจอกับของไม่เป็นมงคล


หยางโปวางกระจกแสงจันทร์เอาไว้ที่หัวนอน แสงจันทร์สาดส่องอยู่บนกระจกแสงจันทร์ กระจกแสงจันทร์ก็เปล่งประกายสะท้อนร่างของหยางโป เขาถึงค่อยรู้สึกเบาสบายขึ้นเล็กน้อย


ในใจเกิดร้อนใจอยากจะที่โยนลายแทงสมบัติทิ้งไป แต่ว่าด้วยหลักเหตุผลก็เรียกสติของเขาให้แจ่มชัด หลังจากโยนทิ้งไปแล้วก็ไม่แน่ว่าจะมีประโยชน์อะไร เหมือนกับเด็กหนุ่มเผ่าอี๋ทั้งสามคนนั้น พวกเขาขายลายแทงสมบัติออกไปแล้วแต่ยังคงหลบเลี่ยงโศกนาฏกรรมไปไม่ได้


หยางโปคิดถึงเบอร์โทรศัพท์ที่ฉินโถวทิ้งเอาไว้ให้ เขาถือเอาไว้ในมือ สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงออกมาก ในใจของเขายังคิดว่าบางทีความรู้สึกแบบนี้อาจจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว


 


เพื่อหลบเลี่ยงความรู้สึกแบบนี้ หยางโปจำต้องนั่งอยู่ในห้องหนังสือ ตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับการศึกษา ” เงินเหรียญเจี้ยนกั๋ว ” เขาวางเงินโบราณเหรียญนี้เอาไว้ที่นี่มาตลอด เขาคิดถึงตอนที่ตัวเองได้ซื้อเรือนสี่ประสานมาอย่างไม่ยากเย็นนั้น ในใจหยางโปก็ค่อยๆ มีความสุขขึ้นมา


เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น หยางโปเหลือบมองเห็นเป็นสายของลัวย่าวหัว มือหนึ่งของเขาพลิกเหรียญโบราณเล่นพลางรับสาย


” หยางโป นายยังไม่นอนใช่ไหม ?​ แม่ของฉันเลี้ยงแมวตัวหนึ่งมาตลอด แมวตัวนั้นปกติแล้วก็สนิทกับฉันไม่เลว ตอนกลางคืนที่ฉันกลับไปมันก็ยังวิ่งมาดูโทรทัศน์บนตักของฉัน แต่วันนี้หลังจากฉันกลับไปมันก็จ้องฉันอยู่ตลอด ! “


ลัวย่าวหัวหลังจากต่อสายแล้ว ถึงขนาดไม่รอให้หยางโปเอ่ยปากก็พูดไม่หยุดแล้ว


หยางโปชะงักไปเล็กน้อย ” วันนี้มันอาจจะอารมณ์ไม่ดี อาจจะติดสัดก็ได้นะ “


 


” อาจจะนะ แต่ว่าฉันเห็นท่าทีของมันเหมือนกับกลัวอยู่ ฉันว่า… “


” พูดเหลวไหลอะไร ? จะเป็นไปได้ยังไง ? ” หยางโปกล่าว


ลัวย่าวหัวพูดไม่ออก ” ช่างเถอะ หวังว่าจะเป็นไปไม่ได้นะ เอ้อ ฉันเหมือนจะคิดอะไรออก แมวตัวนี้ผ่าตัดแล้วนี่ จะติดสัดได้ยังไง ? “


” อาจจะนะ ” หยางโปหลอกให้เขาพูดไร้สาระ ” ทีหลังก็ลองใช้กลวิธีคอตตอนบัดดู “


” กลวิธีคอตตอนบัดนี่คือการทำอะไรล่ะ ? ” ลัวย่าวหัวประหลาดใจมาก


” ไปคิดเอาเองสิ ! ” หยางโปตอบกลับไปประโยคหนึ่งแล้วก็ตัดสาย ลัวย่าวหัวถึงขนาดไม่ได้สัมผัสลายแทงสมบัติเลย จะได้รับผลกระทบไปด้วยได้ยังไง ?


เมื่อคิดแบบนี้แล้วหยางโปก็เบาใจลง เขากวาดสายตาไปบนโต๊ะ คิดไม่ถึงว่าจะไม่เห็น ” เงินเหรียญเจี้ยนกั๋ว ” แล้ว


 


หยางโปตกใจมาก เงินเหรียญโบราณนี้ราคาสิบสองล้านหยวน จะหายไปแบบนี้ไม่ได้ เขารีบมองไปรอบๆด้าน นอนราบดูใต้โต๊ะก็แล้ว หาอยู่พักหนึ่ง หาไปแทบจะทั่วทั้งห้องแล้ว หยางโปก็ยังไม่รู้ว่าเหรียญโบราณไปอยู่ที่ไหนกันแน่


หยางโปร้อนใจ คิดถึงเนื้อหาที่โทรคุยกับลัวย่าวหัว ในใจก็คาดเดา ไม่น่าจะมีคำสาปอะไรอยู่จริงๆ ใช่ไหม ?


เมื่อคิดถึงตรงนี้หยางโปก็ทนไม่ไหว เขาหยิบของในมือวางลงบนโต๊ะแล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา…


เมื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา… ของที่วางอยู่ตรงหน้า เขาหันหน้าไปมองก็เห็นว่าของที่เขาวางเอาไว้บนโต๊ะตรงหน้าก็คือ เงินโบราณ ” เงินเหรียญเจี้ยนกั๋ว “


หยางโปลูบอก ในใจคิดว่าตัวเองนี่กลัวเงาตัวเองไปได้ยังไง ถึงกับทำเรื่องโง่เง่าแบบนี้ไปได้


หยางโปไม่ได้คิดมากอีก เขาจึงเดินไปอาบน้ำแล้วก็นอนแต่หัววัน


 


เช้าวันต่อมา หยางโปก็ได้รับโทรศัพท์จากชุยอี้ผิง


” อรุณสวัสดิ์ ฉันจะเลี้ยงชายามเช้านาย นายคิดว่าเป็นยังไง ? ” ชุยอี้ผิงกล่าว


หยางโปขมวดคิ้ว ชุยอี้ผิงพี่ชายฝ่ายพ่อคนนี้เขาไม่ได้ประทับใจเท่าไหร่นัก แค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่เลวเท่านั้น


” ฉันอยู่ข้างนอก “


” ไม่เป็นไร นายบอกมาว่านายอยู่ที่ไหน ฉันจะไปหานายเอง ” ชุยอี้ผิงกล่าว


หยางโปจนปัญญา จำต้องบอกที่อยู่ให้กับอีกฝ่ายไป


ที่หยางโปอยู่นี่เป็นวงรอบที่สาม อยู่ไม่ไกลจากชุยอี้ผิง ไม่นานเขาก็เร่งรถมาถึง เห็นหยางโปอยู่ในเรือนสี่ประสานก็อดเอ่ยถามไม่ได้ ” อยู่ในเรือนสี่ประสานไม่ถูกเลยนะ วันหนึ่งเกือบจะหลายพันหยวน แพงกว่าโรงแรมไม่น้อยเลย “


ตอนที่ 260 คำเสนอแนะเรื่องเรียนต่อ


หยางโปหัวเราะ ” ช่างมันเถอะ “


หยางโปรู้ว่าที่จิงเฉิงนี้โรงแรมแบบเรือนสี่ประสานจะค่อนข้างพิเศษสักหน่อย ราคาแพง อย่างเรือนสี่ประสานที่เขาซื้อมาชุดนี้ คืนหนึ่งอย่างน้อยก็น่าจะหลายพันไปจนถึงมากกว่าหมื่นหยวน


ก่อนหน้านี้ เขาก็คุยเรื่องขุดสร้างทำเป็นห้องใต้ดินกับลัวย่าวหัวเอาไว้แล้ว แต่เพราะว่าช่วงใกล้สิ้นปี ทีมก่อสร้างจำนวนมากไม่มีคน ดังนั้นเขาจึงตั้งใจว่าช่วงเวลาก่อสร้างเอาไว้ปีหน้า


ชุยอี้ผิงเดินดูรอบบ้าน ” สภาพแวดล้อมที่นี่ไม่เลว นายชอบมากเหรอ ? “


หยางโปยิ้มพลางพยักหน้า ” ฉันชอบมาก “


ชุยอี้ผิงพยักหน้า ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ” ไป ฉันจะพานายไปกินชามื้อเช้า “


 


หยางโปขึ้นรถของชุยอี้ผิง ชุยอี้ผิงถึงกับพาเขาไปที่สำนักงานข้าราชการจิงเฉิงหยางเฉิงที่ซีตัน ทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน ไม่นานอาหารเช้าหลากหลายก็มาส่ง


หยางโปไม่ได้เจอชุยซื่อหยวนก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ทั้งสองกินอาหารเช้าแบบกวางตุ้งไปพลางสนทนา


หยางโปเดาออกว่าชุยอี้ผิงจะต้องได้รับหน้าที่อะไรมาแน่ เขาก็เหมือนสะพานเชื่อมต่อและสานสัมพันธ์ระหว่างเขากับชุยซื่อหยวน เขาจำเป็นต้องคิดหาวิธีให้ตนเองเข้าใจ หยางโปก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ยอมรับชุยซื่อหยวน แต่ยังไงเขาก็เป็นพ่อแท้ๆ


สนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง ชุยอี้ผิงก็เอ่ยถาม ” ตอนนี้งานหลักขายผลงานทางศิลปะของนายนี่เป็นยังไงบ้าง ?​ ธุรกิจโอเคอยู่ใช่ไหม ? “


หยางโปชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เข้าใจขึ้นมา ชุยซื่อหยวนจะต้องสืบเรื่องของเขามาแล้วแต่ คิดมาถึงตรงนี้ในใจของเขาก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ” ร้านขายของโบราณไม่ได้เปิดนานแล้ว ธุรกิจก็ยังพอไปได้ “


 


ชุยอี้ผิงกลับเข้าใจผิด เขาขมวดคิ้ว ” สถานการณ์แบบนี้ของนาย เรียนต่อจะยังดีที่สุด ฉันรู้จักกับอาจารย์ที่วิจัยเรื่องโบราณคดีที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง นายอยากไปเรียนปริญญาโทไหม ? “


หยางโปมองอีกฝ่าย ในใจเดาได้ว่านี่เกรงว่าจะเป็นคำแนะนำของพ่อแท้ที่จะจัดเตรียมลู่ทางให้เขาสินะ ตอนนี้เขาไม่สนใจเรื่องประวัติการศึกษานี้แล้ว จึงได้ส่ายหน้าเอ่ยปฏิเสธ ” ช่างมันเถอะ “


ชุยอี้ผิงชะงักไป ” นายไม่ชอบเหรอ ? “


” ฉันออกจากโรงเรียนมาสองปีแล้ว รู้สึกว่านั่งเรียนไม่ได้แล้ว และฉันก็ไม่อยากไปเรียนแล้ว ” หยางโปจำต้องเอ่ย


ชุยอี้ผิงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า ” แต่ว่านายต้องคิดให้ดีนะ ตอนนี้นายยังเด็ก มีประวัติว่าเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ต่อไปเรื่องนี้ก็จะช่วยเหลือนายได้มากแน่ๆ “


 


ชุยอี้ผิงกล่าวจบก็มองหยางโป ” นายต้องเข้าใจเรื่องหนึ่ง ไม่ว่ายังไงประเทศนี้ก็วัดกันด้วยความสามารถ ถึงจะมีสิทธิมีเสียงอยู่ในมือ มีแค่คนสำคัญในแต่ละสายอาชีพ ถ้ามีการศึกษา ในการวิจัยอะไรก็จะเดินไปได้ไกล นายถึงจะสามารถกุมอำนาจเอาไว้ได้ “


หยางโปได้ยินคำพูดนี้ของชุยอี้ผิงก็ครุ่นคิดหนัก เขารู้ว่าเฉาหยวนเต๋อกับหลิวเหลียงอวี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เฉาหยวนเต๋ออยู่ในหอคอยงาช้างมาตลอด เขาวิจัยอยู่ในระบบ แต่กลับเลื่อนสูงขึ้นไปทีละก้าว ตอนนี้ก็ยังมีตำแหน่งผู้อำนวยการในกรมโบราณคดีของประเทศ แต่หลิวเหลียงอวี้กลับมีพื้นฐานสายนอกแบบเดียวกับเขา คลุกคลีอยู่ข้างนอก ตอนนี้ถึงแม้ฐานะครอบครัวจะร่ำรวย แต่กลับไม่มีฐานะทางสังคมเท่าเทียมกัน


” ฉันจะคิดดูนะ ! ” หยางโปกล่าว


 


ชุยอี้ผิงพยักหน้า ” อื้ม ต้องใคร่ครวญให้ดีๆ นะ เส้นทางต่อไปนี้ของนายจะเดินไปยังไง ?​ ต่อไปจะต้องมีกลยุทธ์และวิธีการในการรับมือ “


หยางโปไม่ได้ตอบรับ ทั้งสองไม่นานก็กินอาหารเช้าเสร็จ ชุยอี้ผิงมาส่งหยางโปกลับที่เรือนสี่ประสาน ไม่ได้รั้งอยู่นานก็กลับไป ราวกับเขามาถามเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ


หยางโปมองไปทางชุยอี้ผิงที่จากไป แล้วก็ตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด


ชุยอี้ผิงออกจากบ้านไปแล้ว ก็เดินไปที่ด้านข้าง หลังจากเข้าไปในเรือนสี่ประสานแล้วเขาถึงกับไม่เจอพนักงานของโรงแรมเลย และไม่พบเครื่องหมายของโรงแรมด้วย ก็อดที่จะประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ ตอนนี้เขาจะไปสอบถามโรงแรมว่าขายที่นี่หรือไม่ ถ้าหากขายบางทีอาจจะเสนอให้ที่บ้านซื้อมาให้หยางโปอยู่


 


ชุยอี้ผิงเดินวนรอบเรือนสี่ประสานไปรอบหนึ่งก็ไม่เจอเครื่องหมายอะไรของโรงแรมเลย เขาจำต้องเดินออกไปบนถนนเส้นเล็กใกล้ๆ ที่อยู่ริมแม่น้ำ เห็นชายชราในเสื้อเชิ้ตสีขาวคนหนึ่งกำลึงฝึกรำไทเก๊กอยู่


ชุยอี้ผิงยืนอยู่ด้านข้าง รอให้เหล่าคนชราสนทนากันเสร็จแล้วจึงได้เดินไปเปิดปากเอ่ยถาม ” คุณตาครับ ผมขอถามคุณตาเรื่องหนึ่งหน่อยครับ “


ชายชรามองมา ” เรื่องอะไรล่ะ ? “


” โรงแรมนี้ทำไมถึงไม่มีแผนกต้อนรับ แล้วจะเข้าพักได้ยังไงเหรอครับ ? ” ชุยอี้ผิงเอ่ยถาม


ชายชรามองไปทางที่ชุยอี้ผิงชี้ ” โรงแรม ? ที่นี่ไม่มีโรงแรมนะ ? “


” ไม่มีโรงแรม ? ” ชุยอี้ผิงประหลาดใจ ” ทำไมจะไม่มีโรงแรมล่ะครับ อย่าบอกนะว่าที่นี่ไม่มีคนอยู่ ? “


 


” อ้อ เธอพูดถึงเรือนสี่ประสานหลังนี้เหรอ ? ” ชายชราชี้ไปทางเรือนสี่ประสานที่หยางโปพักอยู่แล้วหัวเราะ


” บ้านหลังนี้ก่อนหน้านี้สืบทอดกันรุ่นสู่รุ่น ช่วงก่อนหน้านี้มีคนหนุ่มคนหนึ่งมาเหมือนว่าจะโอนบ้านหลังนี้ให้ไปแล้ว คนหนุ่มคนนั้นมาไม่บ่อย และไม่ค่อยอยู่ เพื่อนบ้านใกล้ๆ ก็ไม่รู้จักเขาหรอก “


ชุยอี้ผิงตกตะลึง ตาของเขาเบิกกว้าง ” คุณตาครับ คุณบอกว่าบ้านหลังนี้ถูกคนหนุ่มคนหนึ่งซื้อไปแล้วเหรอครับ ? “


ชายชราพยักหน้า ” ใช่แล้ว ตอนนี้ราคาบ้านสูงขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าจะตกไปอยู่ในมือของคนหนุ่มคนหนึ่งได้ซะแล้ว “


” เขาซื้อบ้านหลังนี้ไปเท่าไรเหรอครับ ? ” ชุยอี้ผิงเอ่ยถาม


” เรื่องนี่ ฉันก็ไม่แน่ใจนะ แต่ว่าบ้านของที่นี่อย่างน้อยก็ต้องมากกว่าสิบล้านหยวนขึ้นไปนะ ” ชายชรากล่าว


 


ชุยอี้ผิงไม่ได้ฟังที่ชายชราพูดเลย พอเขากล่าวขอบคุณแล้วก็จากไป ในใจกลับตกตะลึงอย่างมาก !


พวกเขาดูถูกหยางโปเกินไปจริงๆ ! ยิ่งสืบดูพวกเขาก็ยิ่งพบความน่าประหลาดใจที่หยางโปมอบให้ !


ตอนที่ทุกคนคิดว่าหยางโปแค่เปิดร้านขายของโบราณธรรมดาก็ไม่ได้จะเจ๊ง แต่กลับกลายเป็นพบว่า


หยางโปขายสินค้าไปในร้านไปทั้งหมดแล้วค่อยปิดกิจการ ตอนที่พวกเขาคิดว่าจะช่วยหยางโปให้ไปเรียนหนังสือจะให้ใจของเขาเกิดผูกพัน ก็คิดไม่ถึงเลยว่าหยางโปจะถึงกับมีฐานะร่ำรวยอยู่นานแล้ว ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขายินยอมจะไปเข้ามหาวิทยาลัยไหมก็ยังเป็นปัญหา


ชุยอี้ผิงเร่งรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เขาจะรายงานเรื่องที่เพิ่งสืบเจอนี้ให้กับคุณอา เรื่องนี้ไม่สามารถมองข้ามได้อย่างเด็ดขาด


 


เวลานี้หยางโปในที่สุดก็ตัดสินใจแน่วแน่ เขาจะไม่ไปเข้ามหาวิทยาลัย !


ในเมื่อทำธุรกิจแล้ว เขาก็ไม่เคยได้ไปเข้าคอร์สพิเศษสักครั้ง เขาไม่คิดว่าการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรกับเขานัก สำหรับปัญหาเรื่องสถานะและอำนาจที่ชุยอี้ผิงพูดถึงนั้น ตอนนี้เขายังไม่คิดถึงมัน เพราะว่าเขาเข้าใจดีว่าตราบใดที่เขาก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ขึ้นมาได้ เรื่องพวกนี้ก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกแล้ว !


หยางโปตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เขาเดินเข้าไปในห้อง ตอนที่ก้าวเข้าไปบนบันไดนั้นเอง เขาก็ยกก้าวขึ้นสูง แต่กลับรู้สึกสะดุดอยู่ใต้เท้า พลันโถมเข้าไปทั้งตัว หยางโปรีบยื่นทั้งสองมือไปยันบนพื้น


ความรู้สึกเย็นเยือกใต้ฝ่าเท้า หยางโปล้มกองอยู่บนพื้น หัวเข่าคุกเข่าอยู่บันได สองมือก็พลันชาหนึบขึ้นมา


 


หยางโปยกมือขึ้นมา สังเกตเห็นบนมือมีรอยเลือดซิบบางๆ หัวเข่าของเขาเจ็บปวดมาก เขาก้มหน้าลงไปมองก็เห็นว่าบนบันไดใต้เท้านั้นว่างเปล่าไม่มีอะไร ทันใดนั้นหยางโปก็ชะงักนิ่งไป


ช่วงนี้ อย่าบอกนะว่าเขาจะโชคร้าย ?


ตอนที่ 261 โชคร้ายอย่างต่อเนื่อง


ตาอ้วนหลิวตื่นแต่เช้าตรู่ รู้สึกปวดหลังไร้เรี่ยวแรง ถึงแม้อายุของเขาจะไม่นับว่ามาก แต่ด้วยช่วงสองปีมานี้อายุเพิ่มขึ้น ร่างกายก็ค่อยๆ สู้หลายปีก่อนหน้าไม่ได้จริงๆ เรื่องปวดหลังนี้นับว่าเป็นเรื่องปกติแล้ว


แสงแดดสดใสยามเช้า ตาอ้วนหลิววิ่งรอบสวนสาธารณะ เรื่องเมื่อคืนวานทำให้เขาตกใจมากจริงๆ


เขาเกี่ยวข้องกับเรื่องของโบราณมานานหลายปีขนาดนี้ เขาทำตัวเป็นนายหน้ามาตลอด และตอนที่ทำการค้ากันนั้นรวมกันแล้วก็มีประสบการณ์อยู่ ทั้งเคยได้ยินเหล่าผู้เฒ่าเล่าว่าของบางอย่างจะไปสัมผัสไม่ได้ แต่เขาก็ไม่เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อนเลย


หญ้ารกเปียกชุ่มเล็กน้อย ตาอ้วนหลิวก้าวขึ้นไปวิ่งบนถนนเส้นเล็ก เขาวิ่งบนถนนเส้นเล็กนี้มาหลายครั้ง คุ้นเคยมากแล้ว แม้เขาจะหลับตาก็ยังวิ่งได้รอบหนึ่ง


เสียงนกร้องดังแว่วข้างหูทำให้ตาอ้วนหลิวรู้สึกรื่นรมย์


 


เสียง ” จิ๊ก ” ดังขึ้น ตาอ้วนหลิวยิ้ม เงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นนกกระจอกตัวหนึ่งบินไปจากเหนือหัวของเขา ตามด้วยเสียงของชิ้นหนึ่งตกลงมา ยังไม่ทันได้หลบของสีขาวดำก้อนนั้นก็ตกลงมาบนหน้าของเขา


ตาอ้วนหลิวกระพริบตา รู้สึกว่าวันนี้โชคไม่ดีจริงๆ ถึงกับถูกนกกระจอกขี้ใส่หน้า เขารีบปาดเอาขี้นกออก อดที่จะโอดครวญไม่ได้


ปัดขี้นกไปแล้ว ตาอ้วนหลิวก็ไม่ได้ชะงักเท้า เขาวิ่งหน้าไปวนรอบสวนสาธารณะ ไม่นานก็มาถึงทางเลี้ยว เขามองเห็นด้านหน้ามีคุณป้าวัยหกสิบกว่าปีกำลังพาหมาเดินเล่นอยู่ เขายิ้มแล้วสองเท้าก็ก้าวออกไป แต่ใต้เท้ากลับลื่นไถล การทรงตัวไม่มั่นคงถึงกับลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้น


ก้นกระแทกไปกับพื้นจนทำให้ตาอ้วนหลิวรู้สึกปวดช่วงล่างมาก เขาชาหนึบไปครึ่งตัว เขาเงยหน้าขึ้นกะจะร้องให้คุณป้าตรงหน้าช่วยพยุงเขาแต่กลับเห็นคุณป้ากำลังดึงหมา หันหน้ามามองแวบหนึ่งแล้วก็ถึงกับหันหลังวิ่งจากไป


 


ตาอ้วนหลิวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ก้มหน้ามองตนเองแต่กลับมองเห็นใต้ร่างของตนเองนั้น เต็มไปด้วยของสกปรกสีเหลือง ด้านบนยังอุ่นๆ อยู่เลย ชัดเจนว่านี่ก็คือผลงานชิ้นเอกของหมาตัวตรงหน้านั้น !


เดินไปเจอแต่แจ็คพอต ตาอ้วนหลิวรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องอยู่บ้าง เขาจึงไม่กล้าวิ่งต่อ และกลัวว่าต่อไปเขาจะล้มกองอยู่กับพื้น ล้มไปแล้วแขนขาหัก ถ้างั้นก็ได้ไม่คุ้มเสียแล้ว เขาจำต้องหันหลังมุ่งหน้ากลับบ้าน


ขณะที่เดินอยู่ ตาอ้วนหลิวก็เจอกับขอทานขาเดียวคนหนึ่ง ออกมาแต่เช้าตรู่ เขาก็ไม่ได้พกเงินมาด้วย แต่ตอนที่ออกมาเช้านี้ เขาเอาเงินมาหนึ่งร้อยหยวน คิดจะซื้ออาหารเช้าระหว่างทาง ตอนนี้ดูท่าแล้วอาหารเช้าคงไม่ได้กินแล้ว ดังนั้นเขาถึงเอาเงินหนึ่งร้อยหยวนวางใส่ในขันของขอทาน


ขอทานคนนั้นเอ่ยกับตาอ้วนหลิวซ้ำๆ ” ขอบคุณครับ ขอบคุณมากจริงๆ “


 


ตาอ้วนหลิวพยักหน้า ในใจก็คิดถ้าหากทำความดีได้ทุกวัน จะสามารถลบล้างโชคร้ายได้ไหมนะ ?


คิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งจะเดินไปสองก้าว ก็ได้ยินเสียงกระซิบของขอทานคนนั้น ” เหยียบกองขี้หมามาเหรอ โง่จริงๆ เลยนะ ! “


ตาอ้วนหลิวเดิมก็อารมณ์ไม่ดี พอได้ยินประโยคนี้ก็ยิ่งโมโห เขาหันหลังกลับมาแล้วตะโกนใส่ขอทานว่า


” ฉันให้เงินแกไป อย่าบอกนะว่าแกยังจะหัวเราะเยาะฉันอีก ? ไม่คิดจะขอบคุณก็ช่างเถอะ ถึงกับยังหัวเราะเยาะฉันอีกเนี่ยนะ ! “


ขอทานคนนั้นยืนขึ้น ” ฟึบ ” ขึ้นมา ” ถ้างั้นแกก็เอาเงินไปเลย ใครเค้าเห็นค่าเงินแค่นี้ของแกกัน ? “


กล่าวจบ ขอทานคนนั้นก็โยนเงินกลับมา ตาอ้วนหลิวเห็นทั้งสองขาของขอทานเดินจากไปด้วยตาของตัวเอง เงินหนึ่งร้อยหยวนก็ลอยล่องตกลงบนพื้น และตัวเขาเองถึงกับถูกขอทานเยาะเย้ย !


….


 


ลัวย่าวหัวตื่นขึ้นมา แม่ของเขาก็เตรียมอาหารเช้าเอาไว้ให้แล้ว และยังบ่นเรื่องข้อเสียของการไม่ทานอาหารเช้าไม่หยุด ลัวย่าวหัวส่ายหน้าหัวเราะขมขื่น เขาหันหน้าไปมองแมวน้อย


หัวเราะเสียงเบาไปทางแมวน้อย ” เมี๊ยวเมี๊ยว เมี๊ยวเมี๊ยว ! “


แมวน้อยมองมาทางเขา และไม่ตอบรับเขาเลย ถึงกับเดินหนีออกไปด้านข้าง


แม่ลัวอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ ” ลูกดูสิ ตอนนี้ถึงขนาดแมวตัวหนึ่งก็ยังเย็นชาใส่ลูกเลย ! “


ลัวย่าวหัวพลันฉุกคิด มองเห็นแม่อุ้มแมวของเขาก็พลันเอ่ยถาม ” แม่ แม่เอาแมวมาให้ผมอุ้มหน่อย ! “


” ไปกินข้าวก่อน กินข้าวเย็นแล้วค่อยว่ากัน ! ” แม่ลัวกล่าว


ลัวย่าวหัวหัวเราะ ” แม่ ผมขออุ้มหน่อยน่า อุ้มแล้วผมก็จะไปล้างมือกินข้าว “


แม่ลัวจนปัญหา สองมือจำต้องส่งแมวน้อยให้


 


ลัวย่าวหัวยินดีมาก เขารีบยื่นสองมือออกไป คิดจะรับเจ้าแมวน้อยมา คิดไม่ถึงว่าสี่ขาเจ้าแมวน้อยจะกดลงแล้วถึงกับวิ่งหนีออกจากอ้อมแขนของแม่ลัว


ลัวย่าวหัวตะลึงงัน ” อย่าบอกนะว่าแม้แต่แมวก็เย็นชากับฉัน ? “


แม่ลัวกล่าว ” ใช่แล้ว ดีจริงๆ ในที่สุดแกก็เข้าใจจุดนี้แล้ว “


แม่ลัวไม่รู้ความคิดตอนนี้ของลัวย่าวหัวเลยแม้แต่น้อย เห็นเขาสองตาเหม่อค้างกำลังเหม่อลอยก็อดเอ่ยไม่ได้ ” รีบไปกินข้าวเช้าได้แล้ว ! “


ลัวย่าวหัวคีบข้าวเช้า ในใจกลับยิ้มขมขื่น เพราะว่าเขาตระหนักได้ว่าตัวเองเหมือนจะเกิดปัญหาแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ถูกแมวตัวหนึ่งเย็นชาใส่แบบนี้แน่


 


ลัวย่าวหัวกินข้าวเช้าแล้วก็รีบขับรถไปที่บ้านของหยางโปอย่างอดรนทนไม่ไหว เขาอยากรีบไปเจอกับหยางโปให้เร็วที่สุด ให้เรื่องนี้กระจ่างชัด ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปจะต้องไม่ดีแน่


เขาสตาร์ทรถจากในโรงรถ ไฟรถติด เครื่องยนต์ดังครู่หนึ่งไม่นานก็ดับลงไป


คิดถึงสภาพอากาศที่หนาวเยือกในช่วงนี้ เครื่องยนต์อาจจะเป็นน้ำแข็งไป ลัวย่าวหัวก็ไม่ได้ร้อนใจ แต่ยังสตาร์ทเครื่องต่อไป


ทำอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเครื่องยนต์ก็ติด ลัวย่าวหัวถอดใจโล่งอก


แต่ว่าลัวย่าวหัวเพิ่งจะออกไปนอกหมู่บ้าน ไฟรถยนต์ก็พลันดับวูบ เขาสตาร์ทใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าครั้งนี้ทำยังไงก็สตาร์ทไม่ติด


 


ลัวย่าวหัวจำต้องโทรศัพท์เรียกรถยก ให้รถยกยกเอารถยนต์ของเขาไปซ่อม เขาโบกมือเรียกแท็กซี่ที่อยู่ข้างทางแล้วมุ่งหน้าเดินทางไปหาหยางโป


ตลอดทางครั้งนี้ก็ไม่ราบรื่นนัก ในทุกครั้งที่เจอกับสี่แยก ก็จะเป็นไฟแดงทั้งหมด แท็กซี่ก็จำเป็นต้องหยุดรอ ตอนที่เดินทางมาถึงวงแหวนที่สาม รถยนต์จากถนนเส้นเล็กก็ผ่านเข้ามา ถึงกับพบว่าถนนเส้นนี้กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง รถคันที่อยู่ด้านหลังตามเข้ามาแล้ว คนขับรถแท็กซี่จำเป็นต้องถอยหลังออกไปอย่างช้าๆ


ตอนที่มาถึงอย่างยากลำบากนั้น ล้อรถก็เหยียบไปบ่นฝาท่อ ถึงกับเกิดฝาท่อหล่นลงไป รถแท็กซี่เกิดชนเข้า


จนจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อยไม่ง่ายดายเลยจริงๆ ลัวย่าวหัวเองก็ไม่อยากขึ้นรถเมล์ จึงเดินมาที่ทางบ้านของหยางโป


 


โชคดีที่การเดินทางครั้งนี้ราบเรียบ รอจนเขากำลังจะถึงหน้าประตู ก็พบคนหนุ่มในกางเกงขาสั้นพอดี คนผู้นั้นผิวเข้มคล้ำ ยิ้มให้ลัวย่าวหัว มือหนึ่งกลับปิดเสื้อผ้า ในมือถือโทรศัพท์มือถือ เขาพูดเสียงติดตลกกับลัวย่าวหัวว่า ” เอามั้ย ?​เอามั้ย ? “


” ไม่เอา ” ลัวย่าวหัวหดหู่มาก เขากล่าวปฏิเสธไปทันที เขารู้ว่าอีกฝ่ายขโมยโทรศัพท์มือถือ


ชายคนนั้นไม่ได้พูดมาก หันหลังแล้วก็จากไปทันที


ลัวย่าวหัวกดกริ่งหน้าบ้านหยางโป พลางคิดว่าจำเป็นต้องหาที่เปิดโปงความคิด วันนี้โชคไม่ดีตั้งแต่อยู่บ้านเลย แต่ว่าเขามีนิสัยชอบคลำกระเป๋าเงิน ไม่นานสีหน้าก็พลันตกใจมาก ” กระเป๋าตังของฉันหาย ! “


ตอนที่ 262 รถชน


หยางโปมองทุกคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าอย่างประหลาดใจมาก แล้วก็ฟังลัวย่าวหัวกับตาอ้วนหลิวต่างก็เล่าเรื่องของตัวเองและอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ เขาจึงหันหน้าไปมองหลูตงซิง ” คุณก็เกิดปัญหาเหรอ ? “


” เดิมทีธุรกิจที่ตกลงกันเอาไว้แล้วก็ล้มขึ้นมาหลายชิ้น ฉันขาดทุนไปมาก ” หลูตงซิงก็ส่ายหน้าพลางเอ่ยอย่างจนปัญญา


หยางโปนั่งอยู่บนเก้าอี้ ลูบหัวเข่าของตนเอง ความเจ็บระบมตรงนี้ยังคงย้ำเตือนเขาว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ !


อย่าบอกนะว่ามีคำสาปอยู่จริงๆ ? เป็นลายแทงแผนที่ต้องคำสาป ของอื่นๆ ของแคว้นเย่หลางโบราณก็ต้องคำสาปเหมือนกันรึเปล่านั้นตอนนี้ยังไม่รู้ได้ แต่หยางโปกลับแน่ใจว่าพวกเขาจะต้องแก้สถานการณ์ตอนนี้ให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบต่องานการธุรกิจของพวกเขาอย่างใหญ่หลวงแน่ !


 


” พวกนายมีใครรู้จักหมอผีไหม เป็นของจริงจะดีที่สุด เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ โชคร้ายขนาดนี้ เรียกว่าไม่มีโชคเลยต่างหาก ! ” ลัวย่าวหัวอดที่จะโอนครวญไม่ได้ กระเป๋าเงินของเขาถูกขโมย เมื่อครู่เพิ่งจะแจ้งตำรวจ ทางนั้นก็กำลังจัดการ แต่เอกสารที่จำเป็นต้องทำก็เยอะมาก เรื่องนี้ทำให้เขารำคาญใจมากที่สุด !


หยางโปเงยหน้ามอง เห็นตาอ้วนหลิวลังเล หลูตงซิงกลับเอ่ยว่า ” ฉันรู้จักอาจารย์ท่านหนึ่ง บางทีอาจจะช่วยได้ “


ทุกคนหันหน้าไปมอง หลูตงซิงเอ่ยอธิบายว่า ” ทุกครั้งที่จะซื้อที่ดินใหม่ ฉันก็จะเชิญอาจารย์ท่านนั้นไปคำนวณฟ้าดินสักครั้ง ดังนั้นก็เลยคุ้นเคยกับเขามาก “


ตาอ้วนหลิวเอ่ยปากถาม ” เถ้าแก่หลู คุณพูดถึงอาจารย์ท่านไหนเหรอ ? “


” อาจารย์เซวียน วัดติ้งเจว๋ของจิงเฉิง ” หลูตงซิงกล่าว


 


ตาอ้วนหลิวพลันเข้าใจ ” พระอาจารย์ท่านนั้นล้ำลึก ทั้งยังเชี่ยวชาญในการศึกษาพระคัมภีร์ ดูไม่ธรรมดาเลยจริงๆ “


” ต้องนัดหมายไหม ? ” ลัวย่าวหัวพลันเอ่ยถาม


หลูตงซิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ” ฉันจะติดต่อท่านตอนนี้เลย ! “


กล่าวจบ เขาก็ชี้ไปที่ด้านนอก ” ดูจากสถานการณ์ของฉันแล้ว จะให้ดีอย่าแยกกันขับรถเลยนะ เตรียมรถเอาไว้เผื่อสักสองคันก็แล้วกัน “


” ได้ ผมจะติดต่อเอาไว้ ” ลัวย่าวหัวกล่าว


ไม่นานทุกคนก็เตรียมตัวเรียบร้อย ขึ้นรถแล้วหยางโปก็มองไปนอกหน้าต่าง ในใจหวาดหวั่น ตั้งแต่ที่ได้พลังพิเศษมา เขาก็เชื่อมั่นในอนาคตของตนเอง แต่เมื่อเจอกับเรื่องพรรค์นี้จริงๆ แล้วเขาถึงได้พบว่า โลกใบนี้มีเรื่องเกินกว่าการควบคุมอยู่มากมาย


 


รถยนต์เดินทางไปอย่างเชื่องช้า ลัวย่าวหัวกำชับกับคนขับใช้ช้าลงหน่อยไม่ต้องรีบ ให้ระวังความปลอดภัย


ระหว่างทางที่รถติด คนขับก็ขับช้ามาก ตอนที่ขับรถมาถึงทางชัน ข้างหน้าก็ติดนิ่งแล้ว คนขับจำต้องหยุดรถดึงเบรกมือ รอจนกังวลใจเล็กน้อย หยางโปเงยหน้าขึ้นไปมองด้านหน้า ทันใดนั้นก็ตกใจมาก รถคันด้านหน้าไถลมาแล้ว !


” ระวัง ! ” หยางโปเอ่ยอย่างตกใจ


ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นเห็นรถคันข้างหน้าถึงกับค่อยๆ ไถลลงมา เสียง ” เพล้ง ” ดังขึ้น รถทั้งสองคันชนกันแล้ว !


รถยนต์คันนี้เป็นรถที่หลูตงซิงซื้อมาจากต่างประเทศ เป็นรถที่กันกระสุนได้โดยเฉพาะ แต่ว่าพอชนกับรถคันข้างหน้าแล้วกลับไม่สามารถชะงักนิ่งอยู่บนทางลาดได้ รถยนต์จึงไถลลงไปด้านล่าง


 


” เพล้ง ! “


เสียงดังขึ้นอีกครั้ง รถชนเข้ากับรถคันข้างหลัง หยางโปเห็นสีหน้าของลัวย่าวหัวซีดขาว ตาอ้วนหลิวก็ทาบหน้าอกพูดไม่ออก มีแค่หลูตงซิงที่เชื่อมั่นในประสิทธิภาพของรถมากกว่าหน่อย สีหน้ากลับยังคงแตกตื่น


หยางโปจับไปที่จับบนประตูรถแน่นมาก เขารู้สึกถึงเสียง ” เพล้งเพล้ง ” ของการชนรถด้านหลัง ยังมีเสียงกระจกแตก ” เพล้ง ” ดังขึ้น ทำให้รู้สึกตึงเครียดมากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้


รถไถลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็หยุดชะงักลง พวกหยางโปสี่คนก็รีบลงจากรถ หันกลับไปมอง ด้านหลังรถยนต์สิบกว่าคันชนประสานแน่นอยู่ด้วยกันแล้ว ในนั้นยังมีรถที่ลัวย่าวหัวเตรียมมาอยู่ด้วยคันหนึ่ง


โชคดีที่ทุกคนยังมีรถสำรอง เผชิญหน้ากับรถกันกระสุนนำเข้าที่หลูตงซิงเตรียมเอาไว้กับรถธรรมดาที่ลัวย่าวหัวจัดเตรียม ทุกคนก็เลือกคันหน้า ตอนที่รถยนต์เมื่อครู่ รถกันกระสุนได้รับผลกระทบไม่ร้ายแรง ทำให้ทุกคนเชื่อมั่นในความปลอดภัยของรถกันกระสุน


 


นั่งอยู่บนรถ วนไปอยู่รอบหนึ่ง ในที่สุดก็เดินทางเข้าสู่ถนนเส้นตรงข้ามที่รถไม่ติด ทุกคนถึงค่อยถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


รถยนต์เดินทางมาถึงทางแยกไฟจราจรแล้วอยู่บริเวณรอเลี้ยวซ้าย ลัวย่าวหัวเอ่ยปากกล่าว ” หวังว่าพวกเราจะไปถึงวัดติ้งเจว๋ได้อย่างปลอดภัยนะ “


” อย่าพูดเป็นลาง ! ” หยางโปรีบเอ่ยดุ


ลัวย่าวหัวกระตุกยิ้ม ” ไม่เป็นไรหรอกน่า “


พูดยังไม่ทันจบพวกเขาก็ได้ยินเสียงเบรก ” เคร้ง ” ดังแสบแก้วหู จากนั้นก็มีเสียง ” เพล้ง ” ดังลั่นอยู่ข้างใบหู ทุกคนมองออกไปก็เห็นรถสีขาวที่พุ่งตรงมาปกติคันหนึ่งถูกรถคันสีแดงที่ผ่าไฟแดงพุ่งเข้าชนอย่างจัง !


เสียง ” ปัง ” ดังขั้น รถคันสีขาวแยกเป็นส่วนๆ ส่วนด้านหน้ารถลอยมาตกลงบนกระจกหน้ารถของพวก


หยางโป !


 


 


หยางโปมองไปตาถลน เห็นได้เลยว่าด้านบนกระจกที่ถูกชน มีเลือดสีแดงไหลออกมา !


” อุแหว่ะ ! ” ตาอ้วนหลิวอาเจียนออกมาอย่างทนไม่ไหว


ภายในรถพลันเหม็นเปรี้ยว เดิมทีทุกคนตกใจกลัวจนหน้าถอดสี ชะงักนิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อน เวลานี้ราวกับติดเชื้อ ทุกคนอ้าปากแล้วรีบผลักประตูลงจากรถกันทันที


ลัวย่าวหัวยืนอยู่นอกรถ ขวางทางลงรถของหยางโป หยางโปอดยุ่งยากใจไม่ได้จึงเอ่ยปากว่า ” นายเดินออกไปหน่อย “


” ฉันขาอ่อน ” ลัวย่าวหัวจับประตูรถ เอ่ยเสียงสั่น


หยางโปก็ขาอ่อนเล็กน้อย เขาก็ยังลงมาจากรถ หาพื้นที่ข้างทางที่ปลอดภัยแล้วนั่งยองๆ ลงไป เห็นด้านข้างมีโรงแรมอยู่ร้านหนึ่ง หยางโปดึงหลูตงซิง ” ไปเชิญอาจารย์มาที่นี่ได้ไหมครับ พวกเรายังไม่ต้องไปหรอก “


 


หลูตงซิงพยักหน้า ทุกคนรีบเดินทางไปที่นั่นก็เพื่อแสดงความเคารพ แต่ว่าการเดินทางมาได้ช่วงหนึ่งก็เจอกับเรื่องแบบนี้ แม้เขาจะมีประสบการณ์ผ่านลมผ่านฝนมาก็รับไม่ไหว


” ฉันจะโทรศัพท์ไปหาอาจารย์ ” หลูตงซิงกล่าว


กล่าวจบหลูตงซิงก็เดินไปไม่ไกล โทรศัพท์แล้วก็เดินกลับมาอย่างรวดเร็ว ” พระอาจารย์เซวียนตอบรับแล้ว ตอนนี้ฉันเตรียมรถอีกคันหนึ่งไปรับท่านแล้ว “


เดินเข้าไปในโรงแรม ทั้งสี่คนเปิดห้องธรรมดาสองห้อง หยางโปอยู่กับลัวย่าวหัว หลูตงซิงก็อยู่กับตาอ้วนหลิว เดินเข้าไปในห้อง หยางโปก็ทนต่อไปไม่ไหว เอนตัวนอนบนเตียง


ลัวย่าวหัวนั่งอยู่บนเตียง เขามองหยางโปแล้วทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด


” นายอยากจะพูดอะไร ? ” หยางโปเงยหน้าขึ้นมองแล้วเอ่ยถาม


 


ลัวย่าวหัวกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ” ถ้ายังไงพวกเราทิ้งลายแทงแผ่นนั้นไปไหม ? “


” ไม่แน่ว่าสาเหตุจะมาจากลายแทงก็ได้ บางทีอาจจะเป็นเหตุผลอื่น รออีกหน่อยเถอะ ” หยางโปเอ่ย เขาไม่คิดจะปล่อยลายแทงไปง่ายๆ ลายแทงนั้นเขาก็เอามาแล้ว แต่ว่าถ้าหากสาเหตุเป็นลายแทงจริงๆ เขาก็จะไม่ลังเลที่จะทิ้งมัน !


” เมื่อคืนวาน เด็กหนุ่มเผ่าอี๋คนนั้นพูดว่าหยิบลายแทงออกมาจากน้ำเลือด ฉันก็รู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง ลายแทงนี้มีปัญหาแน่ๆ ” ลัวย่าวหัวเอ่ยขึ้นอีก


หยางโปก็รู้ว่าลัวย่าวหัวนั้นตกใจกลัวจนขวัญเสียแล้ว เขาจำต้องเอ่ยปลอบ ” นายสบายใจเถอะ เข้ามาอยู่ในโรงแรมแล้ว น่าจะปลอดภัยขึ้นมากแล้ว พวกเรารอจนอาจารย์เซวียนมาแล้วค่อยดูท่านจะว่ายังไงดีกว่า “


 


ลัวย่าวหัวเองก็จนปัญญา จำเป็นต้องพยักหน้าตอบรับไป


หยางโปลุกขึ้น เปิดสวิตซ์เครื่องทำน้ำอุ่น ต้มน้ำแล้วถึงได้นอนลงไปใหม่อีกครั้ง


แต่ว่าไม่นานหยางโปก็ชะงักไป เพราะว่าน้ำร้อนเครื่องทำน้ำอุ่นเปิดอยู่ตลอดไม่ได้ปิดเลย ราวกับต้มน้ำไม่ได้อย่างนั้น…


ตอนที่ 263 ขอกระบี่ไม้ท้อ


เครื่องทำน้ำอุ่นจำเป็นต้องใช้เวลาแค่ห้านาที หยางโปเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นมาสิบกว่านาทีแล้ว เครื่องทำน้ำอุ่นก็ยังส่งเสียงอยู่


หยางโปยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว เขาโทรศัพท์หาแผนกต้อนรับของโรงแรม แผนกต้อนรับก็รีบส่งช่างมาจัดการ


ช่างที่สวมชุดทำงานเดินเข้ามา หยางโปชี้ไปที่เครื่องทำน้ำอุ่น ” ยี่สิบนาทีแล้ว เครื่องทำน้ำอุ่นยังไม่ทำงานเลย “


ช่างซ่อมบำรุงพยักหน้า ใช้มือตบไปที่เครื่องทำน้ำอุ่น คิดไม่ถึงเลยว่าเครื่องทำน้ำอุ่นที่เดิมทีมีแสงไฟกระพริบจะดับมอดไป และเปลี่ยนสวิตช์ไปอย่างอัตโนมัติ


ช่างซ่อมบำรุงก็มองมาทางหยางโป ” มันก็ใช้ได้นี่ครับ ? “


หยางต้องมองเครื่องทำน้ำอุ่น ” โอเคครับ ถ้างั้นก็ใช้แบบนี้ไปก่อนเถอะ “


ช่างซ่อมพยักหน้าแล้วก็หันหลังออกไป


 


” ช่วยรินชาให้ฉันจอกหนึ่งหน่อย ” ลัวย่าวหัวนอนอยู่บนเตียง เอ่ยอย่างไม่มีเรี่ยวแรง


หยางโปเหลือบมองเขาแล้วก็ล้างจอกชา รินน้ำชาลงไป ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามันผิดปกติ น้ำในนั้นดูเหมือนจะต้มไม่ร้อน พอรินออกมาล้างจอกก็ไม่รู้สึกร้อนเลย !


หยางโปรินชาไปอีกครึ่งจอก เขาจับจอกลายครามมาดู และไม่รู้สึกถึงความร้อนเลยสักนิด เขายื่นนิ้วลงไป จุ่มนิ้วเข้าไปในจอกชา นี่ถึงกับเป็นแค่น้ำอุ่น !


ลัวย่าวหัวเห็นหยางโปจุ่มนิ้วเข้าไปในจอกชาก็พลันเอ่ยถาม ” เอ๊ะ นายทำอะไรน่ะ ? “


หยางโปถอยไปสองก้าว นั่งลงบนเตียง เงียบงันไม่พูดจา


ลัวย่าวหัวก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เขารีบลุกขึ้นจุ่มนิ้วลงไปในจอกชา ทันใดนั้นเขาก็หันมากล่าวกับหยางโปว่า ” กาต้มน้ำเสียแน่ๆเลย ! “


 


ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่ลัวย่าวหัวยังคงรู้สึกเย็นเยือกอยู่หลายส่วน ตั้งแต่เริ่มลืมตาขึ้นมาเช้าวันนี้ เขาก็รู้สึกว่ามันไม่ปกติ โลกนี้ราวกับเต็มไปด้วยความชั่วร้าย !


เอนอยู่บนเตียง ทั้งสองคนไม่มีใครเอ่ยปากพูดจา


ด้านนอกแว่วเสียงเคาะประตู ลัวย่าวหัวลุกขึ้นแล้วเดินออกไปเปิดประตูก็ได้ยินเสียงของตาอ้วนหลิว


” ห้องของพวกเราส้วมตัน ฉันมายืมใช้ห้องน้ำหน่อยนะ “


ลัวย่าวหัวพยักหน้า แล้วก็ไม่อยากพูดมาก


ตาอ้วนหลิวเข้าไปในห้องน้ำ จู่ๆ ก็แว่วเสียงร้องตกใจออกมาจากข้างใน ” ห้องของพวกนายส้วมตันแล้ว ! “


 


” เป็นไปได้ยังไง ? ” ลัวย่าวหัวลุกขึ้นเดินไป


” ฉันยังไม่ได้ใช้ ลองดูก่อน นายดูสิ น้ำทั้งนั้นเลย ทำไมมันไม่ลงไปเลยละ ? ” ตาอ้วนหลิวชี้ไปที่น้ำกว่าค่อนโถส้วม ร้องอย่างตกใจ


ลัวย่าวหัวมองแวบหนึ่งแล้วก็ปิดประตูห้องน้ำ “นายอดทนเอาไว้ก่อนเถอะ กลับไปแล้วค่อยอาบน้ำ “


” ก็ได้ “


….


หยางโปนอนอยู่บนเตียง ในใจหวนคิดถึงประโยคนั้นของฉินโถวอยู่ตลอด ถ้ามีเรื่องให้ไปหาเขา อย่าบอกนะว่ามันจะหมายถึงเรื่องนี้ ? หรือว่าฉินโถวจะเดาได้อยู่ก่อนแล้ว ?


ภายในห้องน้ำแว่วเสียงซ่าๆ ฟังแล้วเหมือนกับเสียงคนกำลังอาบน้ำ


 


หลูตงซิงเคาะประตูห้อง เขาเพิ่งจะนั่งลงก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังออกมาจากห้องน้ำ ” เกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่มีน้ำร้อน ? เอ๊ะ ทำไมแม้แต่น้ำก็ไม่มีล่ะ ? “


หยางโปกับหลูตงซิงสบตากัน แล้วก็ยิ้มขมขื่นออกมา โชคร้ายแบบนี้แม้แต่น้ำชาก็ไม่มีจะกินจริงๆ แบบนี้จำเป็นต้องพึ่งอาจารย์เซวียนแล้ว !


ตาอ้วนหลิวเดินตึงตังออกมา ใบหูยังมีโฟมที่ล้างออกไม่สะอาดเหลืออยู่ เขาอดกล่าวไม่ได้ว่า


” ฉันอยากกลับบ้านไปอาบน้ำ ! “


” นายกลับไปก็เหมือนเดิม ” หยางโปกล่าว


ตาอ้วนหลิวพลันชะงักไป จากนั้นเขาก็เงียบงันลง


 


ต่อมาทั้งสี่คนก็เงียบสนิท ไม่ได้ทำอะไร รอจนอาจารย์เซวียนจะมาถึง


เกือบจะหนึ่งชั่วโมงผ่านไป ในที่สุดอาจารย์เซวียนก็เร่งรุดมาถึง ทั้งสี่คนไปต้อนรับอาจารย์เซวียน เดินไปถึงหน้าลิฟต์ กดปุ่มลงไป จู่ๆ หยางโปก็หยุดชะงัก ” มีแค่สี่ชั้น พวกเราเดินลงไปกันเถอะ “


” สี่ชั้นนะ ไปลิฟต์ก็ได้ ” ตาอ้วนหลิวกล่าว


พูดประโยคนี้แล้วจู่ๆ เขาก็ชะงักไป ปิดปากแล้วก็คิดถึงความเป็นไปได้ที่จู่ๆ ลิฟต์จะเสียขึ้นมาแล้วห้อยอยู่กลางอากาศ ” เดินลงไปกันเถอะ ! “


ลงไปชั้นล่าง หยางโปก็มองเห็นพระอาจารย์ใบหน้ากลมศีรษะล้านเดินเข้ามา ร่างของพระสงฆ์สวมประคำเม็ดโต บนศีรษะมีจุดเฮยฉาสีเขียวอ่อน สีหน้ายินดี ในมือถือของเหมือนเงินโบราณหลายพวง ดูแล้วค่อนข้างอ่อนโยน


 


” พระอาจารย์เซวียน ! ” หลูตงซิงแสดงความนอบน้อมอย่างถึงที่สุด สองมือของเขาพนมไหว้ ค้อมคำนับให้กับอาจารย์เซวียนน้อยๆ ” พระอาจารย์เซวียน ต้องขออภัยจริงๆ ที่รบกวนให้ท่านมาหาแบบนี้ “


พวกของหยางโปก็ค้อมคำนับน้อยๆ ตามไป


อาจารย์เซวียนส่ายหน้าเบาๆ ” ประสกทุกท่านเกรงใจไปแล้ว ประสกหลูก็บริจาคน้ำมันหอมให้กับวัดติ้งเจว๋มาไม่น้อย ถ้าเพื่อน้ำมันหอมพวกนี้แล้ว อาตมาก็ต้องมา ! “


อาจารย์เซวียนเอ่ยอย่างจริงใจมาก ทำให้พวกของหยางโปยิ่งเพิ่มความเชื่อถือไปไม่น้อย ผู้ที่เรียกว่าผู้มีฝีมือบางส่วน กว่าครึ่งก็ทำเป็นลึกลับซับซ้อน พูดจาวกวนงุนงน ทำให้คนสับสนตั้งแต่ต้นจนจบ


ทุกคนไม่ได้ขึ้นไปชั้นบน แต่เข้าไปนั่งในห้องประชุมชั้นล่าง


 


พลันที่เริ่มนั่ง พระอาจารย์เซวียนก็เอ่ยปากว่า ” ประสกทั้งหลายหน้าผากอึมครึม สีหน้าซีดขาว หว่างคิ้วหมองคล้ำ ดูแล้วเหมือนจะเจอเรื่องมาไม่น้อยเลย ! “


หลูตงซิงรีบเอ่ย ” ต้องขอให้พระอาจารย์เซวียนช่วยพวกเราด้วย ! “


อาจารย์เซวี่ยนมองไป มองหลูตงซิงแล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไร แต่หยิบเงินโบราณสามพวงในมือออกมา เงินโบราณสามพวงหมุนวนอยู่ในมือซ้ายของอาจารย์เซวียนไม่หยุด ผ่านไปครู่หนึ่งอาจารย์เซวียนก็โยนเงินโบราณสามพวงลงบนโต๊ะ ! หยางโปถึงค่อยมองเห็นว่าเงินโบราณสามพวงนี้ถึงกับเป็น ” เงินเหรียญคังซี ” ” เงินเหรียญหย่งเจิ้ง ” และ ” เงินเหรียญเฉียนหลง ” !


พระอาจารย์เซวียนขมวดคิ้วแน่น เขาจ้องมองเงินเหรียญโบราณแล้วก็เงยหน้ามองทั้งสี่คน


 


” การทำนายนี้เหมือนจะมาจากทางตะวันตกเฉียงใต้ ช่วงนี้ทุกท่านไปทางตะวันตกเฉียงใต้มาหรือว่าได้สัมผัสกับของที่มาจากทางตะวันตกเฉียงใต้มาไหม ? ” พระอาจารย์เซวียนเอ่ยปากถาม


ทุกคนล้วนตกตะลึง หลูตงซิงเร่งกล่าว ” เป็นเช่นนั้นแหละครับ “


” คำทำนายที่แสดงออกมา ประสกทั้งหลายช่วงนี้โชคร้ายเกี่ยวพัน ยิ่งไปกว่านั้นความโชคร้ายชนิดนี้ยากที่จะขจัดได้อีกด้วย ” พระอาจารย์เซวียนกล่าว


” ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ท่านอาจารย์มอบของมงคลให้พวกเรา ช่วยให้พวกเราสามารถเปลี่ยนร้ายให้เป็นดีได้ด้วยเถิด ! ” หลูตงซิงเอ่ยอย่างจริงใจ


 


อาจารย์เซวียนลังเลเล็กน้อย แล้วส่ายหน้ากล่าว ” ของจากทางตะวันตกเฉียงใต้นี้ อาตมาศึกษามาไม่มาก เกรงว่ายากที่จะแก้ไขได้ ต้องให้คนที่ทำเป็นคนแก้ ขอเพียงพวกประสกหาต้นตอของปัญหาเจอ แล้วแก้ไขที่ต้นเหตุ ก็จะต้องสามารถขับไล่เภทภัยไปได้แน่ “


พระอาจารย์เซวียนกล่าวอยู่หลายประโยค ทำให้ทุกคนเชื่อถือขึ้นมา หยางโปนั่งอยู่ด้านหลัง เวลานี้ก็รีบเอ่ยว่า ” พระอาจารย์เซวียนครับ ท่านสามารถทำพิธีให้ได้ไหมครับ ช่วยปัดเป่าเภทภัยให้พวกเราชั่วคราว ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเราไปไม่ถึงตะวันตกเฉียงใต้แน่ครับ เพราะมันเกิดปัญหาอยู่ตลอดทางที่ไปเลย ! “


ทุกคนต่างก็หวั่นหวาด พากันพยักหน้า


 


พระอาจารย์เซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ” นี่ก็พอทำได้ “


หลูตงซิงมองไปทางพระอาจารย์เซวียน เห็นเขาชะงักนิ่งไปก็รีบเอ่ยว่า ” ศิษย์ขอบริจาคค่าน้ำมันหอมห้าล้านหยวนเพื่อส่งเสริมพุทธศาสนา “


พระอาจารย์เซวียนพยักหน้า สองมือพนมไหว้แล้วพยักหน้าน้อยๆ ” ประสกหลูเปี่ยมไปด้วยเมตตา จะต้องแก้ไขได้แน่ โชคร้ายจะกลายเป็นดี “


กล่าวจบ พระอาจารย์เซวียนก็หยิบกระบี่ไม้ท้อเล็กๆ สี่ ชิ้นออกมาจากในย่าม ยิ้มแล้วกล่าวว่า ” กระบี่วิเศษสี่เล่มนี้จะกันโชคร้ายให้พวกประสกได้ครึ่งเดือน “


ตอนที่ 264 รีบไปเฮ่งจาง


มองกระบี่ไม้ท้อสี่เล่มที่ยาวไม่เกินนิ้วชี้ตรงหน้า หยางโปก็ตกตะลึงไป กระบี่ไม้ท้อสี่เล่มนี้แทบจะไม่ได้มีมูลค่ามากพอที่จะขายไปห้าล้านหยวน นี่เป็นการค้าที่ลงทุนน้อยแต่ได้ผลกำไรก้อนโตจริงๆ !


แต่หลูตงซิวราวกับคุ้นเคยในการทำแบบนี้ สองมือพนมไหว้อีกครั้งแล้วก็ค้อมคำนับให้กับพระอาจารย์


เซวียน ” ขอบคุณพระอาจารย์เซวียนจริงๆ ครับ “


พระอาจารย์เซวียนหัวเราะ แล้วก็มองไปทางพวกของหยางโปสามคน ” กระบี่ไม้ท้อสี่เล่มนี้ป้องกันได้แค่ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น พวกประสกต้องจำเอาไว้ว่าคนที่จะแก้ได้มีแต่คนที่สร้างมันขึ้นมาเท่านั้น “


กล่าวจบพระอาจารย์เซวียนก็หยิบพวงเงินโบราณสามพวงที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา มือหนึ่งตั้งไว้ตรงหน้าอก คำนับให้กับทุกคนน้อยๆ ” อมิตาภพุทธ ประสกรักษาตัวด้วย ! “


 


ทั้งสี่คนต่างก็หยิบกระบี่ไม้ท้อขึ้นมา ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ แต่ว่ายังคำนับส่งพระอาจารย์เซวียนตามพิธี


กลับมาที่โถงใหญ่ของโรงแรมแล้ว ลัวย่าวหัวก็หยิบกระบี่ไม้ท้อ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่บ้าง ” นี่จะใช้ได้จริงเหรอ ? “


” น่าจะใช้ได้นะ พวกเธอวางใจเถอะ ” หลูตงซิงกล่าว


ตาอ้วนหลิวก็พยักหน้า ” ฉันก็เคยได้ยินชื่อเสียงของพระอาจารย์เซวียน มันน่าจะได้ผลมากนะ “


แม้จะกล่าวแบบนี้แต่ตอนที่ทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบนก็ยังไม่กล้าขึ้นลิฟต์ ได้แต่เดินขึ้นบันไดเอา


เมื่อกลับไปถึงห้องแล้ว หยางโปก็เปิดกาต้มน้ำ แล้วก็เข้าไปเปิดก๊อกน้ำในห้องน้ำ ทุกอย่างล้วนเป็นปกติ ไม่นานน้ำก็ร้อนแล้ว !


 


ทุกอย่างราวกับว่ามันกลับคืนสู่สถานการณ์ปกติ แต่หยางโปกลับรู้สึกร้อนอกร้อนใจ เพราะว่าเขาเข้าใจดีว่าพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องแค่ชั่วคราว พวกเขาจะต้องแก้ไขเรื่องนี้ให้ได้เร็วที่สุด มีแค่แก้ไขให้เรียบร้อยแล้วเท่านั้นถึงจะไม่ตกอยู่ในโชคร้ายพวกนี้อีก


ไม่นานทั้งสี่คนก็มารวมตัวกัน ทุกคนคืนห้องแล้วก็นัดกันว่าวันพรุ่งนี้ไปเจอกันที่สนามบิน แล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน


กลับไปถึงบ้านแล้วหยางโปก็หยิบกระบี่ไม้ท้อขึ้นมาจ้องมองดู อยากจะมองหาความลึกลับที่อยู่ในกระบี่ไม้ท้อ


ลำแสงตรงหน้าก็สว่างขึ้น หยางโปมองจนเห็นกระบี่ไม้ท้อตรงหน้าปรากฏลำแสงสีเหลืองที่ไม่ค่อยเหมือนกับก่อนหน้านี้นัก ขณะที่เหม่อลอยนั้นหยางโปถึงกับมองเห็นอักษรสวัสดิกะ ” 卐 ” จำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นเรืองแสงอย่างต่อเนื่องอยู่ตรงหน้า !


 


” นี่มัน ! ” หยางโปตกตะลึง นี่คือเรื่องที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน !


เขาหลับตาลง แล้วก็หยิบลายแทงขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนหน้าเขาเคยมองดูแล้วไม่เจออะไรผิดปกติเลยแม้แต่น้อย พอหยิบออกมาดูอีกครั้ง สีหน้าของหยางโปก็แฝงไปด้วยความเคร่งขรึม


ไม่นานเขาก็มองเห็นลำแสงสีขาวที่สว่างวาบลอยขึ้นมาบนลายแทง แต่ว่าขณะที่ลำแสงสีขาวค่อยๆ ควบรวมกันอยู่นั้น จู่ๆ บนลายแทงก็ปรากฏเมฆดำกลุ่มหนึ่ง เมฆดำลอยตัวสูงขึ้นแต่กลับรวมตัวกันอยู่บนลายแทง ส่องไอดำเป็นริ้วบางๆไปรอบๆด้าน !


กระบี่ไม้ท้ออยู่ไม่ไกลจากลายแทง ไอสีดำก็สลายตัวไป ลำแสงสีเหลืองบนกระบี่ไม้ท้อเปล่งประกายออกมา อักษร ” 卐 ” ผุดขึ้นในไอสีดำ อักษร ” 卐 ” และไอดำต่อต้านกันและกัน ไม่นานไอดำก็บีบรัด ในขณะเดียวกัน อักษร ” 卐 ” สีเหลืองก็ราวกับหายไปอย่างช้าๆ !


 


หยางโปพลันเข้าใจในทันนี้ นี่ก็คือคำเตือนของพระอาจารย์อย่างชัดเจน กระบี่ไม้ท้อเล่มเล็กไม่มีทางขจัดไอดำทั้งหมดได้ !


หยางโปลังเลอยู่ครู่หนึ่ง คิดอยากจะโยนลายแทงทิ้งไป แต่เขาหวนกลับมาคิดอีกที วันนี้ตอนที่พระอาจารย์เซวียนบอกวิธีการมา ก็ไม่ได้พูดถึงว่าการโยนต้นเหตุของโชคร้ายออกไปแล้วจะแก้ปัญหาได้ บางทีพวกเขาทั้งสี่คนอาจจะแปดเปื้อนของสกปรกไปแล้ว โยนลายแทงทิ้งไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร !


หยางโปจัดเก็บลายแทงเอาไว้ดีแล้วก็เอาด้ายสีแดงร้อยกระบี่ไม้ท้อห้อยเอาไว้ที่คอ กระบี่ไม้ท้อเล็กๆแบบนี้จะต้องเคยทำพิธีมาแล้วแน่ๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่จะมีผลแบบนี้ได้ สิ่งนี้ทำให้หยางโปจำต้องเลื่อมใสพระอาจารย์เซวียนมากขึ้นไม่น้อย


 


หยางโปกำลังจะออกไปกินมื้อเย็นเขาก็ได้รับโทรศัพท์จากชุยอี้ผิงอีกครั้ง


” ไปทานมื้อเย็นด้วยกันไหม ? ” ชุยอี้ผิงกล่าว


หยางโปมองไปด้านนอกแวบหนึ่ง ด้านนอกท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว ตอนนี้ในอกของเขาเต็มไปด้วยความต้องการแก้ไขโชคร้าย แล้วก็คิดว่าชุยอี้ผิงอาจจะมาพร้อมกับชุยซื่อหยวน หยางโปก็เอ่ยปฏิเสธไป ” ฉันกินข้าวแล้ว ช่างเถอะ ไว้ครั้งหน้านะ ! “


ชุยอี้ผิงพูดไม่ออก เขาหันกลับไปมองชุยซื่อหยวน ชุยซื่อหยวนขมวดคิ้ว ชุยอี้ผิงก็ตอบกลับไปว่า ” ไม่เป็นไร กินแล้วก็กินอีกรอบก็ได้ “


” อย่าเลย วันนี้ฉันยุ่งมาก ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยแล้ว ไว้ไปกินด้วยกันครั้งหน้านะ ! ” หยางโปเอ่ย


 


ชุยอี้ผิงจนปัญญา เงยหน้ามองชุยซื่อหยวน ชุยซื่อหยวนหลับตาแล้วก็โบกมือ ” ถ้างั้นก็ได้ ดูท่าครั้งหน้าฉันจะต้องโทรหานายก่อนแล้วล่ะ “


ชุยอี้ผิงวางสายแล้วก็มองไปทางชุยซื่อหยวน ” วันนี้เราช้าไปหน่อยครับ “


ชุยซื่อหยวนส่ายหน้า ” เด็กคนนี้ฉลาดมาก เขาน่าจะรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ ดังนั้นถึงได้ไม่ยอมมา “


” คุณอาครับ หยางโปน่าจะไม่รู้หรอกมั้ง ? ” ชุยอี้ผิงไม่ค่อยอยากเชื่อ


ชุยซื่อหยวนยังคงส่ายหน้า ” ช่างเถอะ ไม่มาก็ไม่มา อี้ผิง ช่วงนี้ลำบากเธอแล้วนะ ทั้งดึงเธอกลับมาจากเบอร์ลิน และยังเหนี่ยวรั้งการเรียนของเธออีก “


 


ชุยอี้ผิงหัวเราะขึ้นมา ” ถ้าหากสามารถทำให้หยางโปเข้ามาในครอบครัวของเราได้จริงๆ ก็นับว่าผมทำความดีความชอบชิ้นหนึ่งแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นด้วยระดับของผมตอนนี้ ถึงแม้จะรั้งอยู่ที่เบอร์ลินก็ไม่คืบหน้าสักเท่าไหร่ หลังจากกลับประเทศแล้ว เรียนทักษะการวาดภาพโบราณของจีน ผมก็รู้สึกว่าตอนนี้ระดับของผมเพิ่มขึ้นสูงมากเลย ! “


ชุยซื่อหยวนพยักหน้า ” ใครเป็นคนก่อก็ต้องให้คนนั้นแก้ เรื่องนี้เกิดเพราะฉัน หยางโปน่าจะผ่านกำแพงในใจไม่ได้ ฉันในฐานะพ่อยังทำหน้าที่ได้ไม่พอ ! “


ชุยอี้ผิงยิ้มแล้วก็ไม่ได้ตอบรับ


 


หยางโปไม่ได้คิดมาก เขาก็อาบน้ำเข้านอนแต่หัววัน เขารู้ว่าตนเองจะต้องออมแรงเก็บกำลังเอาไว้ ต่อไปยังมีเรื่องที่ต้องพยายามอย่างหนักรอเขาอยู่ !


วันต่อมา ทั้งสี่คนก็มาเจอกันที่สนามบิน หลูตงซิงยังพาบอดี้การ์ดอีกสี่คนตามมาด้วย แค่ว่าทั้งสี่คนแต่งตัวไม่เป็นทางการสักหน่อย แล้วอยู่ห่างจากหลูตงซิงช่วงหนึ่ง ทำให้คนนอกมองไม่ออก


เครื่องบินมุ่งหน้าไปที่กุ้ยหยาง ตลอดทางใช้เวลาไปสามชั่วโมงครึ่ง ถึงแม้พวกเขาจะออกเดินทางแต่เช้า ก็ยังมาถึงกุ้ยหยางตอนบ่ายอยู่ดี


กินมื้อกลางวันอย่างง่ายๆ แล้วก็จองรถมาสองคัน จนกระทั่งตอนเกือบจะห้าโมงเย็น ทุกคนถึงค่อยมาถึงอำเภอเฮ่อจาง


 


อำเภอเฮ่อจางคืออำเภอทำการกสิกรรม ไม่มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจมากนัก อำเภอเล็กมาก เข้าไปทีเดียวแปดคนก็นับว่าสะดุดตาแล้ว พวกเขาจำเป็นต้องแบ่งกันเข้าพักสองโรงแรม


เวลานี้ ทุกคนเหนื่อยล้าอยู่นานแล้ว ซื้อของจากข้างนอกมากินอย่างพอเป็นพิธีแล้วก็กลับไปที่ห้องพัก


ลัวย่าวหัวพลิกกระบี่ไม้ท้อเล่นในมือ ” นายว่าพวกเราไม่ได้ติดต่อกับฉินโถวนี่มันดีหรือเปล่านะ ? “


หยางโปนอนอยู่บนเตียง ในใจก็คิดถึงปัญหาข้อนี้ ไม่ติดต่อกับฉินโถวนั้นเป็นความคิดร่วมกันของพวกเขา เพราะว่าวันนั้นการแสดงออกของฉินโถวน่าสงสารมากเกินไปจริงๆ ทำให้คนเกิดสงสัยได้ง่ายมาก


” น่าจะไม่เป็นไรหรอก ” หยางโปเอ่ย


กล่าวจบจู่ๆ หยางโปก็เอ่ยว่า ” ในเมื่อฐานะของทั้งสามคนนั้นได้รับการยืนยันแล้ว พวกเราก็รับว่าช่วยทำพิธีศพ ครั้งนี้เกรงว่าจะไม่ง่ายดายขนาดนั้น “


ลัวย่าวหัวก็ถอนหายใจ ” ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้มันจะไม่ง่ายดายขนาดนั้นเลยน่ะซิ “

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม