วาสนาบันดาลรัก 258-264

ตอนที่ 258 ผูกผมร้อยใจ

 

ไท่โฮ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้นั้นอย่างเงียบงัน แววตานั้นกลับมีแต่ความสับสนมากขึ้นไปอีก คล้ายว่ากำลังจมอยู่ในอดีตกระนั้น


 


 


แม่นมชราที่ถูกเรียกว่าฟู่เซียงมองไท่โฮ่วอย่างระแวดระวังคราหนึ่ง นางไม่กล้าแม้จะหายใจแรง


 


 


นางเป็นคนเดียวที่มิถูกปิดปากหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น และเป็นคนเดียวที่ไท่โฮ่วสามารถพูดเพื่อระบายความอัดอั้นใจในเรื่องราวที่เก็บซ่อนไว้นั้นด้วยได้


 


 


ทว่าเมื่อคิดถึงเรื่องอันน่าตกใจจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง ทั้งยังมีความโสมมน่าขยะแขยงเหล่านั้น นางก็รู้สึกขนลุกซู่คล้ายดังมีมดมีแมลงไต่อยู่เต็มตัวก็มิปาน


 


 


กระทั่งยังเผลอคิดว่าไปว่าหากนางติดตามคนพวกนั้นไปยังที่ตนมิสามารถเปิดปากเรื่องราวความลับอันสะเทือนเลื่อนลั่นนั้นไปตลอดกาล อาจจะดีกว่านี้หรือไม่


 


 


“ฟู่เซียง”


 


 


“เพคะ”


 


 


“ช่วยนวดขมับให้ข้าที ข้าปวดหัวขึ้นมาอีกแล้ว”


 


 


“เพคะ”


 


 


แม่นมชรานั่งลงแล้วนวดขมับให้ไท่โฮ่วอย่างชำนาญ


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง ไท่โฮ่วจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้างแล้ว นางเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ฟู่เซียง เจ้าว่าเด็กสาวผู้นั้นได้กลายมาเป็นเชื้อพระวงศ์ครึ่งหนึ่งนั้นนับเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่งว่าหรือไม่?”


 


 


“เพคะ นับเป็นเรื่องดีเพคะ ไท่โฮ่ว พระองค์ทรงวางพระทัยเถิด”


 


 


ไท่โฮ่วหลับตาลงและมิได้ลืมตาขึ้นมาอีกคล้ายว่าหลับไปแล้ว


 


 


แม่นมกลับมิได้หยุดมือตน แสงภายในห้องขมุกขมัวอยู่เช่นนั้นจนไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใดแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวออกมาจากวังหนิงคุนก็ไปเยี่ยมไท่เฟยเพื่อรอกลับพร้อมกันกับหลัวเทียนเฉิง


 


 


บนรถม้า หลัวเทียนเฉิงก็ถามนางว่า “ไท่เฟยสบายดีกระมัง?”


 


 


เขาเป็นขุนนางฝ่ายนอก ย่อมมิอาจเข้าไปในวังฝ่ายในเพื่อเข้าเฝ้าไท่เฟยได้


 


 


“ไท่เฟยสบายดี ยังคงงดงามและเยาว์วัยยิ่ง”


 


 


หลัวเทียนเฉิงหัวเราะเสียงต่ำ


 


 


เจินเมี่ยวเตะเขาคราหนึ่ง “หัวเราะอันใด?”


 


 


“หัวเราะคนบางคนที่ชมตนเองอย่างหน้าไม่อายอย่างไรเล่า”


 


 


“ท่านหมายความเช่นใด?” เจินเมี่ยวหรี่ตาลง


 


 


หลัวเทียนเฉิงเขยิบเข้ามาจับไหล่นางไว้ “ทุกคนต่างบอกว่าเจ้าเหมือนไท่เฟย เจ้าบอกไท่เฟยงดงาม ก็เท่ากับชมตัวเองอยู่หรอกหรือ?”


 


 


เจินเมี่ยวเบ้ปากตน “มีอันใดให้ต้องชมกัน หน้าตางามก็มิใช่ความสามารถของข้าเสียหน่อย”


 


 


กล่าวถึงตรงนี้นางก็พลันชะงักไป ท่าทียั่วเย้าลดน้อยลงไปมาก “ซื่อจื่อ ท่านว่า ทุกคนคิดว่าข้าเหมือนไท่เฟยหรือ?”


 


 


“เจ้าไม่รู้ตัวหรือ?” หลัวเทียนเฉิงก้มหน้าลงจุมพิตลงไปบนซอกคอนาง


 


 


“ท่านเลิกทำตัววุ่นวายได้แล้ว” เจินเมี่ยวผลักเขาคราหนึ่ง


 


 


“ข้าไม่ทำแล้ว” หลัวเทียนเฉิงยกมือขึ้นสองข้าง แล้วก็ก้มหน้าลงไปหอมแก้มนางคราหนึ่งจึงนั่งลงดีๆ อย่างเป็นเรื่องเป็นราว


 


 


“ซื่อจื่อ!” เจินเมี่ยวโกรธจนต้องร้องเสียงดังออกมา หลังจากวันนั้นที่ได้พูดคุยเรื่องนั้นจนหมดสิ้น นางก็รู้สึกว่าคนบางคนได้ทิ้งยางอายไปจนหมดสิ้นแล้ว


 


 


หลัวเทียนเฉิงทราบดีว่าเมื่อใดที่ควรหยุด เขากระแอมไอแผ่วเบาคราหนึ่ง “เจี๋ยวเจี่ยว เรียกข้าทำไมหรือ?”


 


 


เจินเมี่ยวถลึงตามองเขา แต่คนบางคนก็ยังหน้าไม่เปลี่ยนสี ลมหายใจมิติดขัด


 


 


เขามันเป็นสุกรตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก คงคิดว่านางมิอาจทำอันใดตนได้กระมัง?


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว?” หลัวเทียนเฉิงหยักยกมุมปากขึ้นเผยอารมณ์ภาคภูมิออกมาเล็กน้อย


 


 


“หากท่านยังทำตัวเหลวไหล ข้าจะถีบท่านออกไปจากรถม้า”


 


 


หลัวเทียนเฉิงยื่นมือออกไปรั้งเจินเมี่ยวเข้ามาใกล้แล้วจุมพิตลงบนริมฝีปากนางโดยแรงคราหนึ่ง


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าถีบข้าเถิด ข้าไม่กลัวผู้อื่นจะรู้ว่าข้ากลัวภรรยา ต่อไปหาผู้ใดเชิญข้าไปร่ำสุราก็จะกเอ่ยผลักไสได้อย่างสง่าผ่าเผย ทั้งมิต้องคิดข้ออ้างให้เปลืองแรงอีกด้วย”


 


 


“หลัวเทียนเฉิง ท่านลืมที่จี้เหนียงจื่อบอกแล้วหรือไร?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเผยท่าทีอ่อนโยนออกมา เขาใช้นิ้วมือเกี่ยวกระหวัดปอยผมที่ร่วงลงมาของเจินเมี่ยว แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “มิได้ลืม ข้าแค่อยากให้เจ้าเคยชินกับสัมผัสอันชิดใกล้ของข้าเท่านั้น เรื่องวันนั้นข้ามันชั่วช้าเองทำให้เจ้าตกใจกลัว แต่ก็อย่างที่เจ้าบอก เมื่อในใจมีหลุมดำ เราก็ต้องข้ามมันไปให้ได้มิใช่หรือ? ตอนนี้เรามีกันสองคน ไม่ว่าจะพบเรื่องยากลำบากอันใด เราก็จะเผชิญและก้าวข้ามมันไปด้วยกัน ดีหรือไม่?”


 


 


เจินเมี่ยวฟังแล้วก็รู้สึกมีเหตุผล แต่กลับมิใคร่สบายใจนัก นางรู้สึกดั่งตนกำลังถูกเกลี้ยกล่อมอยู่กระนั้น แต่ก็บอกไม่ถูกว่ามันผิดแปลกที่ตรงใด


 


 


หลัวเทียนเฉิงมิกล้าได้คืบจะเอาศอกอีก เขาเพียงโอบเจินเมี่ยวไว้หลวมๆ เมื่อเห็นว่านางมิขัดขืนเป็นครั้งแรกก็ยิ้มออกมาอย่าพอใจ


 


 


ร่างอันแข็งทื่อของเจินเมี่ยวค่อยๆ ผ่อนคลายลงคล้ายว่าหากเป็นเพียงกอดอย่างบริสุทธิ์ใจนางกลับไม่รู้สึกต่อต้านใดๆ และในวันที่อากาศหนาวเช่นนี้นางกลับรู้สึกว่าอบอุ่นนางซบขึ้นมาทีเดียว


 


 


“ซื่อจื่อ…”


 


 


“หืม?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงคล้ายเสพติดการเล่นปอยผมของเจินเมี่ยวเสียแล้ว เขาคอยเอานิ้วตนเกี่ยวผมนางอยู่เช่นนั้น กระทั่งเกิดนึกสนุกจึงเอาผมของนางมามัดเกี่ยวกับผมตนไว้


 


 


เจินเมี่ยวมิได้รู้สึกตัวเลย นางยังคงพูดเรื่องของตนต่อ “ข้าพบว่าไท่โฮ่วทรงมิชอบข้า”


 


 


“งั้นหรือ?” หลัวเทียนเฉิงจึงวางมือลงบนมือนาง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้ามิใช่กิ่งทองใบหยกของราชวงศ์ พระองค์คงมิเห็นแล้วโปรดปรานกระมัง?”


 


 


เจินเมี่ยวดึงมือออกมา แล้วมองเขา นางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “แต่ข้าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่แปลกแปร่งอยู่หลายส่วน”


 


 


“แปลกอย่างไร?”


 


 


“ทุกคนต่างมองออกว่าไท่เฟยกับไท่โฮ่วมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ในเมื่อทุกคนต่างเห็นตรงกันว่าข้าหน้าตาคล้ายไท่เฟย ข้าก็ยากจะจินตนาการได้ว่าคนผู้หนึ่งจะมีความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับคนทั้งสองที่หน้าตาคล้ายกันยิ่งได้อย่างไร ในเมื่อข้าก็มิเคยทำเรื่องเลวร้ายอันใดต่อไท่โฮ่วเลยมิใช่หรือ?”หลัวเทียนเฉิงใจหายวาบขึ้นมาคราหนึ่ง เขามองเจินเมี่ยวด้วยแววตาเป็นประกาย “เจ้าหมายความว่า…”


 


 


เจินเมี่ยวกัดริมฝีปากตนเบาๆ “ข้าแค่อาศัยเพียงความรู้สึกตนเท่านั้น อาจจะมิใช่ก็ได้ ท่านมิต้องเห็นเป็นจริงถึงเพียงนั้น ข้าคิดว่ามีเพียงเหตุผลเดียวคือรักเรือนย่อมรักที่อยู่ในเรือน เกลียดเรือนย่อมเกลียดนกที่อยู่ในเรือนนั้นด้วย บางทีความสัมพันธ์ของไท่โฮ่วและไท่เฟยอาจจะมิได้ธรรมดาอย่างที่เราคิด…”


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว” หลัวเทียนเฉิงกุมมือเจินเมี่ยวไว้


 


 


“หืม?”


 


 


“ในเมื่อเจ้าคิดว่าไท่โฮ่วมิโปรดเจ้า ต่อไปเราก็เข้าวังให้น้อยลง ส่วนเรื่องในวังเราก็มิต้องไปรับฟังให้มาก”


 


 


เจี๋ยวเจี่ยวของเขา ฉลาดกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก


 


 


หลังจากที่เขาได้กุมหน่วยองครักษ์จิ่นหลินและองครักษ์ลับของจวนกั๋วกงไว้ในมือ เรื่องราวต่างๆ ของผู้อาวุโสที่เขาไม่รู้กลับค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละน้อย กระทั่งทำให้เขาทราบว่าผู้ที่มอบเคล็ดลับฝึกชาฝึกยุทธ์ให้เขานั้นเป็นคนในวังของเจาอวิ๋นจั่งกงจู่!


 


 


ทั้งช่วงที่เขาหายตัวไปในเป่ยเหอ เจาอวิ๋นจั่งกงจู่ก็ได้ส่งคนไปตามหาไม่เพียงแค่กลุ่มเดียว


 


 


เขาไม่มีทางเชื่อแน่ว่าเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ออกโรงช่วยเหลือเขาเพียงเพราะฉงสี่เซี่ยนจู่เป็นสหายกับเจี๋ยวเจี่ยว


 


 


เรื่องราวในราชวงศ์นั้นมีความลับแปลกพิสดารที่มิอาจพูดให้ชัดเจนได้อยู่อีกมาก แม้แต่เขาเองก็มิกล้าไปสืบสาวอีกแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าความรู้สึกของเจี๋ยวเจี่ยวจะแม่นยำเพียงนี้


 


 


คนคนเดียวกันแต่เหตุในชาติก่อนที่เขาพบกับชาตินี้ช่างแตกต่างกันยิ่ง?


 


 


ชาติก่อนนั้นนางเจินมักแสดงออกถึงความฉลาดของตนอยู่เสมอ แต่เขาดูแล้วกลับคิดว่าเป็นเพียงเล่ห์กลเล็กน้อยๆ เท่านั้น แต่เจี๋ยวเจี่ยว ปกตินางมักมิใส่ใจเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น แต่เมื่อเป็นเรื่องสำคัญนางกลับมิเคยคะเนผิดพลาดเลย


 


 


บางคราเขาก็สงสัยจริงๆ ว่าพวกนางเป็นคนละคนกัน แค่ซ่อนอยู่ภายในเนื้อหนังที่เหมือนกันเท่านั้น นางเป็นวิญญาณที่มาเพื่อช่วยเหลือฉุดรั้งเขาโดยเฉพาะ


 


 


“ใต้เท้าหลัว…” มีเสียงเรียกดังขึ้นนอกรถม้า รถม้าจึงหยุดลงทันที


 


 


ร่างเจินเมี่ยวโงนเงนไปมา นางเจ็บหนังศีรษะจนอดร้องขึ้นมามิได้ เมื่อก้มลงมองก็เห็นว่าผมของคนทั้งสองถูกผูกไว้ด้วยกัน หน้านางพลันดำมืดขึ้นมา


 


 


หลัวเทียนเฉิงเผยสีหน้าประหม่า “ข้าแค่อดผูกมันเข้าไว้ด้วยกันมิได้…”


 


 


มุมปากเจินเมี่ยวกระตุกโดยแรง “ท่านเอาผมมากผูกกันตอนอยู่บนรถม้าหรือ เหตุจึงไม่ผูกตนเองไว้กับรถเสียเลยเล่า?”


 


 


หลัวเทียนเฉิง “…”


 


 


เจินเมี่ยวและหลัวเทียนเฉิงมองสบตากัน


 


 


“อืม มีเรื่องใด?” หลัวเทียนเฉิงกัดฟันเอ่ยออกไปคำหนึ่ง แล้วรีบแก้ปมผมอย่างรวดเร็ว แต่กลับยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง


 


 


“ที่ศาลาว่าการเหตุด่วนมารายงาน รอให้ท่านไปจัดการขอรับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นเห็นม่านมิขยับไหวแม้แต่น้อย ก็ลอบทอดถอนใจว่า สมแล้วที่เป็นขุนนางใหญ่ ความสงบเยือกเย็นเช่นนี้มิใช่สิ่งที่พวกเขาจะไปเปรียบเทียบได้เลย


 


 


ขุนนางใหญ่ผู้สุขุมนั้นตอนนี้กำลังยุ่งจนมือไม้พัลวันไปหมดแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวมองอยู่อย่างไม่รีบไม่ร้อน เมื่อนางเริ่มระงับความโกรธได้แล้วจึงดึงกรรไกรออกมาจากลิ้นชักในรถม้าส่งให้เขา


 


 


หลัวเทียนเฉิงรับมา เสียงฉับดังขึ้น ผมถูกตัดออกมาปอยหนึ่ง


 


 


เจินเมี่ยวตะลึงไป “ซื่อจื่อ เหตุใดท่านจึงตัดผมของข้า?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยออกมาสามคำ “มือมันลื่น”


 


 


พูดจบก็รีบตัดผมตนที่เกี่ยวกันไว้นั้นออกมาเช่นกัน แล้วเปิดม่านหน้าต่างกระโดดออกไปอย่างคล่องแคล่ว


 


 


เสียงฝีเท้าม้าไกลออกไปเรื่อยๆ ผ้าม่านรถม้ายังคงปลิวสะบัด ยามนี้เองเจินเมี่ยวจึงมีสติคืนมา


 


 


“หลัวเทียนเฉิง ท่านกลับมาเดี๋ยวนี้ ข้ารับรองข้าจะตีท่านให้ตาย!”


 


 


ผู้ควบขับม้ากำลังจะยกแส้ขึ้นฟาด เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วมองปั้นซย่าที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยความสงสัย


 


 


ปั้นซย่าเกาใบหูตน สีหน้าเหรอหลา “อันใดหรือ? เมื่อครู่ลมพัดแรงยิ่ง ข้ามิได้ยินสิ่งใดเลย!”


 


 


เมื่อเจินเมี่ยวที่อยู่ในรถม้าตะโกนเสร็จแล้วนางก็ควักคันฉ่องออกมาอย่างยอมรับชะตากรรม นางจัดการนำปอยผมที่สั้นไปถึงครึ่งซ่อนไว้ในมวยผม ทั้งยังนำบุปผาประดับผมที่เตรียมไว้ในรถม้าขึ้นมาทัดหูเพื่อปกปิดอีกชั้นหนึ่ง


 


 


ครั้นเสร็จแล้วก็ร้องเสียงสูงไปว่า “ปั้นซย่าไปเรียกอาหลวนและชิงเกอที่รถม้าคันหลังให้มาอยู่เป็นเพื่อนข้าที”


 


 


เมื่อนายท่านทั้งหลายออกจากจวนก็มักต้องนำบ่าวไพร่หญิงรับใช้ม้าด้วย แต่สามีภรรยาต้องนั่งรถม้าคันเดียวกัน สาวใช้ที่ติดตามมาจึงนั่งรถอีกคัน ยามเข้าวังสาวใช้ที่ตามก็มิอาจติดตามเข้าไปด้วย รถม้าคันนั้นก็จำต้องจอดรออยู่ด้านนอก


 


 


“ต้าไหน่ไหน่…” หลังจากนั้นไม่นาน อาหลวนและชิงเกอก็แหวกม่านเข้ามาในรถม้า


 


 


“มาเรามาเล่นไพ่เยี่ยจื่อกันเถิด”


 


 


กระทั่งสาวใช้ทั้งสองหมดตัวก็ถึงจวนเจิ้นกั๋วกงพอดี เจินเมี่ยวจึงนับว่าอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว


 


 


รถม้าขับเคลื่อนไปถึงประตูฉุยฮวา ปั้นซย่าร้องขึ้นอยู่นอกรถม้า “ต้าไหน่ไหน่มาถึงแล้ว”


 


 


ชิงเกอกระโดดลงมาก่อนแล้วรับอาหลวนลงมา


 


 


อาหลวนหมุนตัวจะไปรับมือเจินเมี่ยว


 


 


ชิงเกอกลับยืดอกขึ้น “ข้าเอง!” แล้วสาวใช้ร่างอ้วนก็อุ้มเจินเมี่ยวลงมา


 


 


ในขณะที่ปั้นซย่ากำลังตกใจจนคางแทบหล่นลงพื้น เจินเมี่ยวกลับกระแอมไออย่างสุขุม “ไปเถิด”


 


 


นายบ่ายทั้งสามเดินตรงไปยังเรือนอี๋อาน


 


 


“หลานสะใภ้ ย่าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีโชควาสนาถึงเพียงนี้ ต่อไปจักต้องถนอมรักษาไว้ให้ดีรู้หรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่ากำชับอยู่คราหนึ่ง ก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่ามีคนมาหา


 


 


“ผู้ใด?”


 


 


“อี๋ไท่ไท่และคุณชายน้อยของนายท่านสี่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ กำลังรอพบท่านอยู่หน้าประตูเรือน”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า “นับวันแล้วก็น่าจะเป็นวันสองวันนี้แล”


 


 


“เช่นนั้นให้บ่าวไปเชิญอี๋ไท่ไท่และคุณชายน้อยเข้ามาเลยหรือไม่เจ้าคะ?” สาวใช้ที่เข้ามารายงานคือสาวใช้ขั้นสามในเรือนอี๋อาน นางคิดในใจว่าอี๋ไท่ไท่ผู้นี้ช่างร่ำรวยนัก รางวัลที่ตกแก่นางเมื่อครู่นั้นมากกว่าเบี้ยหวัดประจำเดือนของนางทั้งปีรวมกันเสียอีก


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วทันที “ไปบอกกับหูอี๋เหนียงว่าให้ไปพบฮูหยินสี่ก่อน แล้วค่อยให้ฮูหยินสี่พานางมาพบข้า ยังมิยกน้ำชาคารวะภรรยาเอกเลย เหตุใดจึงพามาหาข้าที่นี่เล่า”


 


 


สาวใช้ผู้นั้นใจหายวาบทันที นางเริ่มเข้าใจสถานะของอี๋เหนียงผู้มั่งคั่งในใจของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วจึงรีบพยักหน้าโดยเร็ว โค้งกายแล้วจากไปทันที


 


 


นางหูเห็นสาวใช้ที่ไปรายงานเดินออกมา ก็เผยรอยยิ้มชิดเชื้อ “พี่สาว ฮูหยินผู้เฒ่าว่างอยู่หรือไม่?” 

 

 


ตอนที่ 259 ต่างคนต่างความคิด

 

สาวใช้ฝืนยิ้มออกมา เอ่ยอย่างประหม่าว่า “หูอี๋เหนียง ฮูหยินผู้เฒ่าให้บ่าวพาท่านไปพบฮูหยินสี่ที่เรือนอวี้หยวนก่อนเจ้าค่ะ”


 


 


นางหูพลันหน้าซีดไปทันที นางหันไปมองอาเถาที่อุ้มจังเกออยู่เกือบจะทันที แต่ก็หันกลับไปเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เช่นนั้นก็รบกวนพี่สาวนำทางด้วยเถิด”


 


 


สาวใช้ผู้นั้นรับผลประโยชน์มาแล้วมีหรือจะไม่รับคำ นางจึงนำนางหูไปที่เรือนอวี้หยวนทันที


 


 


นางหูพาสาวใช้น้อยมาสองคนและหญิงรับใช้มีอายุมาอีกหลายคน หญิงรับใช้มีอายุเหล่านั้นต่างถือสัมภาระหนักอึ้งอยู่ในมือ


 


 


ตลอดทางก็บ่าวไพร่พบเห็นเข้าไม่น้อย จึงอดกระซิบกระซาบกันมิได้


 


 


“เห็นหรือไม่ นั้นเป็นอนุของนายท่านสี่อย่างไรเล่า”


 


 


“หน้าตาก็ธรรมดานะ แต่เจ้าดูที่นางใส่สิ โอ้โห นับเป็นผู้ร่ำรวยคนหนึ่งเลยเชียว”


 


 


“ได้ยินว่าบ้านนางเป็นไร่ชา ตระกูลวาณิช ย่อมต้องร่ำรวยเป็นธรรมดา แต่กำไลทองบนข้อมือนางไม่ใคร่ประณีตเท่าใด มิดูสง่าเช่นกำไลหยกที่ฮูหยินและคุณหนูใส่กัน”


 


 


สาวใช้หลายคนที่ซุบซิบอยู่พลันสบตากัน แล้วยิ้มออกมา


 


 


ทว่าหญิงรับใช้อายุมากแล้วทั้งหลายกลับมองนางหูด้วยแววตาร้อนผ่าว


 


 


พวกนางมิได้ใจสูงเทียมฟ้าชีวิตบางเท่ากระดาษเช่นสาวใช้น้อยเหล่านั้น เป็นเพียงแค่สาวใช้แต่กลับดูแคลนสตรีค้าขายที่เงินทองไม่ขาดสาย ถึงตอนนั้นก็แค่เอาอกเอาใจสักหน่อย เงินรางวัลที่ได้รับยังมากกว่านายท่านบางคนในเรือนให้เสียอีก


 


 


สาวใช้แก่ในจวนนั้นเข้าใจดีว่าสิ่งใดที่พวกเขาควรใส่ใจ รวมไปถึงการตกรางวัลแก่บ่าวไพร่ด้วย แต่ไหนแต่ไรล้วนมีกฎเกณฑ์


 


 


พวกนางอายุมากแล้วมิคิดใฝ่สูงอันใดอีก แค่เอาอกเอาใจอี๋ไท่ไท่ผู้มั่งคั่ง ได้เงินรางวัลมากหน่อยก็นับเป็นวาสนาแล้ว


 


 


ทว่าบ่าวไพร่ในจวนต่างมีความคิดที่แตกต่างกันออกไป นางหูเดินตามสาวใช้ผู้นำทางไปยังเรือนอวี้หยวน ระหว่างทางก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตาตนไปด้วย


 


 


จวนเจิ้นกั๋วกงเป็นจวนที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น บรรพบุรุษสร้างมีชื่อเสียงมาจากการทหาร มิอาจนำไปเปรียบได้กับตระกูลบัณฑิตผู้ยากไร้ แม้นจะพยายามจัดแต่งอย่างเรียบง่าย แต่หญ้าทุกหย่อม ต้นไม้ทุกต้น ภูผา ก้อนหินต่างโดดเด่นงดงาม ตลอดทางที่เดินคล้ายว่ากำลังอยู่ในภาพปักบนผืนผ้าก็มิปาน


 


 


นางหูสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อควบคุมตนมิให้เผลอชื่นชมมากเกินจำเป็นแล้วหันกลับไปถามจังเกอ “จังเกอ เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่ ประเดี๋ยวก็ถึงแล้ว”


 


 


“ท่านแม่ ข้ารู้สึกไม่สบายตัว” ใบหน้าของจังเกอล้วนจมอยู่ในหมวกหนังจิ้งจอกหิมะ ดูท่าทีไร้เรี่ยวแรงยิ่ง


 


 


นางหูยื่นมือไปลูบหน้าผากจึงเกอ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างรักใคร่ “ยังมิได้เป็นไข้”


 


 


อาเถาจึงเอ่ยปลอบว่า “ไท่ไท่วางใจเถิด ให้จังเกอพักสักหลายวันก็คงดีขึ้น หากได้พบนายท่านด้วยก็คงดีใจจนอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นแน่”


 


 


นางหูถลึงตาให้พลางเอ่ยตำหนิ “อาเถา เหตุใดจึงยังเรียกข้าว่าไท่ไท่”


 


 


อาเถาก้มหน้าลง เอ่ยเสียงแผ่ว “บ่าวเพียงพูดเพราะความเคยชิน ต่อไปไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


นางหูกวาดตามองสาวใช้ทั้งหลายคราหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงสูงว่า “ต่อไปหากผู้ใดเรียกข้าผิดอีก จักไม่ละเว้นอย่างแน่นอน!”


 


 


“เจ้าค่ะ…”


 


 


นางหูเอ่ยกับสาวใช้ที่นำทางว่า “ทำให้พี่สาวต้องขบขันแล้ว”


 


 


สาวใช้ที่นำทางมาชื่อว่าหวงอิง นางอดรู้สึกเห็นใจนางหูขึ้นมามิได้ ในใจก็กล่าวว่าหูอี๋เหนียงช่างวาสนาไม่ดีนัก ได้ยินว่านางช่วยชีวิตนายท่านสี่ไว้ ทั้งยังตบแต่งกันกับนายท่านสี่อย่างเป็นทางการและมีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคน เวลาผ่านไปคืนวันพลิกผัน จากภรรยากลับกลายเป็นอนุ บุตรภรรยาเอกกลายเป็นบุตรของอนุ


 


 


หูอี๋เหนียงผู้นี้จักต้องรักนายท่านสี่มากแน่ๆ นางแต่งให้กับนายท่านสี่ที่ตอนนั้นไม่มีอันใดสักอย่าง แต่เมื่อนายท่านสี่จำทุกอย่างได้และต้องกลับมาอยู่จวน นางก็ยินดีเป็นอนุคอยติดตามมา


 


 


“หูอี๋เหนียงเรียกบ่าวว่าหวงอิงเถิดเจ้าค่ะ” หวงอิงมีรอยยิ้มที่จริงใจจากก่อนหน้านี้ขึ้นมาหลายส่วน “คุณชายน้อยเกิดไม่สบายระหว่างทางหรือเจ้าคะ?”


 


 


นางหูถอนหายใจเอ่ยว่า “แต่ก็มิได้ร้ายแรงอันใด เพียงแต่เด็กคนนี้เกิดมาได้ไม่ได้ก็ล้มป่วยหนัก ตั้งแต่นั้นร่างกายก็มิใคร่แข็งแรงนัก ตลอดทางมิได้กินอาหารดีๆ สักเท่าใด โชคดีที่ถึงเสียที ข้าจะได้สบายใจขึ้นบ้าง”


 


 


“หูอี๋เหนียงวางใจเถิด คุณชายน้อยมาถึงจวนแล้ว ดูแลอย่างใกล้ชิดสักหน่อยก็กลับมาแข็งแรงเช่นเดิมแล้ว”


 


 


“ขอบคุณพี่หวงอิงที่แนะนำแต่สิ่งดีๆ” นางหูเหลือบตาขึ้น แล้วดึงปิ่นทองออกมายัดใส่มือหวงอิง


 


 


หวงอิงตกใจยิ่ง นางรีบผลักคืนทันที


 


 


นางหูเอ่ยเสียงแผ่วว่า “เหตุใดพี่หวงอิงจึงผลักไส บุตรชายข้าไม่สบายมาตลอดทาง ใจข้าร้อนรนดุจน้ำมันในกระทะ เมื่อเหยียบเข้ามาในจวนกั๋วกงอันกว้างใหญ่ ข้าผู้เป็นเพียงสตรีทำการค้านั้นกลัวจนลนลานยิ่ง โชคดีได้พบพี่สาวที่จิตใจดีเช่นท่าน ใจข้าจึงสงบขึ้นมาได้บ้าง”


 


 


ในมือของหวงอิงกำปิ่นทองสี่เหลืองอร่ามนั้นไว้ ทั้งวาจาที่นางหูกล่าวยกยอนางนั้นอีก ทำให้นางรู้สึกเบิกบานใจอย่างแปลกประหลาด


 


 


นางเป็นสาวใช้ขั้นสาม แม้นจะอยู่ในเรือนฮูหยินผู้เฒ่ามีหน้ามีตากว่าคนอื่นๆ อยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ไม่มีทางเปรียบได้กับสาวใช้ขั้นสอง ในเรือนนั้นนางมินับว่าโดดเด่นอันใด


 


 


นางหูผู้นับได้ว่าเป็นนายอยู่ครึ่งหนึ่งทั้งยังเอ่ยวาจายกยอ สถานภาพก็น่าสงสารยิ่ง ใจของนางจึงทั้งเห็นใจและภาคภูมิใจไปพร้อมกัน มันเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างไรบอกไม่ถูก แต่ท่าทีที่มีต่อนางหูกลับดีขึ้นไปอีกหลายส่วน


 


 


นางหูหยักยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย


 


 


เป็นอย่างที่ติดไว้ไม่มีผิด หากอยากจะสนิทชิดใกล้กับผู้ใดให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะผู้มีฐานะต่ำต้อยกว่าเจ้า ดีที่สุดคือให้เขาช่วยเจ้าสักอย่าง ให้เขารู้สึกว่าเจ้าให้ความสำคัญต่อเขา เคารพเขา


 


 


มันก็เป็นเพียงแค่ลูกไม้หนึ่งของการค้าเท่านั้น สาวใช้น้อยผู้นี้ติดเบ็ดเสียแล้ว


 


 


เพียงแต่การทำตัวต่ำต้อยต่อหน้าบ่าวไพร่ด้อยค่าเช่นนี้ทำให้นางต้องเสื่อมเสียเกียรติในวันนี้ นางหูซิ่วเหมยจักต้องเอาคืนไม่ช้าก็เร็ว!


 


 


นางหูลอบเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เก็บเอาโทสะที่มีกดลึกไว้ในจิตใจ แล้วเผยรอยยิ้มอันฝืดเฝื่อน “ไปหาในยามนี้ มิทราบจะเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของฮูหยินสี่หรือไม่?”


 


 


“ยังมิทันเที่ยงเลย ฮูหยินสี่น่าจะกำลังสอนคุณชายหกคัดอักษรเจ้าค่ะ” หวงอิงเอ่ยออกไป


 


 


“ฮูหยินสี่ช่างมีความสามารถนัก” นางหูเอ่ยเสียงแผ่วต่ำลงอีก “ไม่ทราบว่าฮูหยินสี่เป็นคนเช่นไร…”


 


 


หวงอิงรับของกำนัลมาไม่น้อย ทั้งยังเกิดเห็นใจต่อนางหูจึงเอ่ยบอกไปตามตรงว่า “ฮูหยินสี่เป็นคนสุภาพเรียบร้อย ไม่เคยเอะอะโวยวายกับบ่าวไพร่เลย หูอี๋เหนียงวางใจได้”


 


 


“เช่นนั้นก็ดี…” นางหูเม้มริมฝีปากตน


 


 


พูดคุยกันเพียงไม่กี่คำก็ถึงเรือนอวี้หยวนแล้ว


 


 


สาวใช้ที่เฝ้าหน้าประตูเห็นหวงอิงก็รีบเข้าไปทักทาย “พี่หวงอิง ท่านนี้คือ…”


 


 


“หูอี๋เหนียงพาคุณชายน้อยมาถึงจวนแล้ว รีบไปบอกฮูหยินสี่เถิด”


 


 


สาวใช้น้อยผู้นั้นอึ้งงันไป สายตามองไปที่ใบหน้านางหูคราหนึ่งแล้วจึงหมุนตัววิ่งไปดุจบินได้


 


 


ไม่นานสาวใช้หน้าตาสะสวยที่แต่งกายอย่างสาวใช้ขั้นหนึ่งก็เดินออกมาโค้งกายให้หูอี๋เหนียง “บ่าว หันจูเจ้าค่ะ ฮูหยินให้มาเชิญหูอี๋เหนียงกับคุณชายน้อยเข้าไปด้านใน”


 


 


หวงอิงถามไถ่สองคำก็หมุนกายกลับเรือนอี๋อานไป


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเรียกหวงอิงมาสอบถาม


 


 


“นางพูดเช่นนี้จริงหรือ?”


 


 


“เจ้าค่ะ มีสาวใช้ผู้หนึ่งที่สวมชุดสีชมพูนางเรียกหูอี๋เหนียงว่าไท่ไท่ หูอี๋เหนียงก็ตำหนินางเสียยกใหญ่ ทั้งยังหันไปเตือนสาวใช้ทุกคนด้วยเจ้าค่ะ”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าเล็กน้อย ใจก็กล่าวว่าเป็นคนรู้ความไม่น้อย แล้วถามต่อว่า “บุตรชายนางไม่สบาย?”


 


 


หวงอิงจึงเลียนวาจาของนางหูให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟัง


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย


 


 


บุตรของเจ้าสี่แม้นจะเป็นชายทั้งสอง แต่ผู้หนึ่งอุปนิสัยเงียบขรึม ผู้หนึ่งร่างกายอ่อนแอ ช่างทำให้คนรู้สึกเป็นกังวลยิ่ง


 


 


แต่ไหนแต่ไรฮูหยินผู้เฒ่าก็รักเอ็นดูบุตรชายคนเล็กที่สุด เมื่อคิดว่านายท่านสี่สกุลหลัวต้องพบเจอกับความลำบากใดบากก็ยิ่งปวดใจ จึงรู้สึกสงสารเอ็นดูจังเอ๋อร์ที่ยังมิทันได้พบหน้านั้นอยู่หลายส่วน พลันหันไปเอ่ยว่า “หงฝู ไปบอกฮูหยินรองให้เชิญหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องโรคเด็กมาตรวจดูอาการของจังเกอสักหน่อยเถิด”


 


 


“เจ้าค่ะ”


 


 


หงฝูหมุนกายเตรียมเดินออกไป ฮูหยินผู้เม่ากลับเรียกนางไว้ “แล้วก็เชิญจี้เหนียงจื่อมาตรวจดูอาการของต้าไหน่ไหน่อีกสักรอบเถิด”


 


 


กระทั่งคนออกไปหมด ฮูหยินผู้เฒ่าจึงหันไปพูดกับแม่นมหยางว่า “แต่ละคนล้วนมีแต่เรื่องให้ห่วง”


 


 


แม่นมหยางจึงเอ่ยปลอบว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าวางใจเถิด บุตรชายบุตรหลานย่อมมีวาสนาของตัวเขาเอง”


 


 


“เฮ้อ เป็นข้าเองที่ละเลย หลานสะใภ้ไม่สบาย กลับเป็นต้าหลังที่ไปเชิญจี้เหนียงจื่อผู้ชำนาญเรื่องโรคสตรีมาดูอาการ มิเช่นนั้นถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่รู้ว่าหลานสะใภ้เป็นโรคภายในสตรีเย็น จักต้องบำรุงอย่างดี มิเช่นนั้นคงทำให้พวกเขาสามีภรรยาไม่มีทายาทสืบสกุลแล้ว”


 


 


กล่าวถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็นึกถึงท่านหมอเฝิงประจำจวน


 


 


สตรีในจวนมีมากแต่ท่านหมอเฝิงกลับมิใคร่เชี่ยวชาญด้านโรคสตรี เช่นนี้ดูจะไม่เหมาะสมเท่าใดนัก


 


 


ทว่าท่านหมอเฝิงก็อยู่ในจวนมาสิบกว่าปีแล้ว ทั้งมิได้ทำผิดอันใดจึงไม่มีเหตุผลให้ออกจากหน้าที่


 


 


“แม่นมหยาง รอจี้เหนียงจื่อมาถึงจวน เจ้าไปพูดคุยกับนางสักหน่อยเถิด ข้าอยากจะเชิญนางมาตรวจดูชีพจรของสตรีในจวนเราทุกๆ สามเดือน”


 


 


แม่นมหยางรีบรับคำทันที


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าคล้ายมีอารมณ์สนทนาขึ้นมา จึงเอ่ยพลางยิ้มว่า “ต้าหลังก็ช่างดีจริง รู้ว่าหลานสะใภ้มิอาจปรนนิบัติได้ก็มิวิ่งไปหาสาวใช้ทงฝัง หลานสะใภ้เองก็มิได้เรียนอย่างศรีภรรยาทั่วไปที่มักจัดแจงหาอนุมาให้สามี”


 


 


แม่นมหยางยิ้ม “บ่าวว่าเพราะต้าไหน่ไหน่มีวาสนาจึงได้มาพบท่านย่าเช่นท่านเจ้าค่ะ”


 


 


นางเห็นมามากแล้วที่รู้ว่าลูกสะใภ้ หลานสะใภ้มิอาจปรนนิบัติบุรุษ ก็ห่วงบุตรห่วงหลาน รีบหาคนยัดใส่เรือนให้เสียทันที


 


 


ผู้ที่เลอะเลือนสักหน่อยนั้นแค่เห็นว่าเวลาผ่านไปสักพักแล้วไม่เห็นลูกสะใภ้หลานสะใภ้ตั้งครรภ์เสียที ก็หลับหูหลับตายอมให้บุตรของอนุเกิดมาก่อนก็มี


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเบ้ปากตน “แต่สถานการณ์ของเจ้าสี่นั้นไร้หนทางจริงๆ เขามีบุตรชายสองและภรรยาอีกสองคอยแนบข้างแล้ว หากยังมีอนุและบุตรอนุเพิ่มขึ้นมาอีก ข้าคงได้เอาไม้เท้าฟาดเขาตายแน่!”


 


 


พูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจแผ่วเบาออกมา “ความจริงเด็กมิได้ผิดอันใด เพียงแต่หากเกิดเป็นบุตรอนุก็ต้องทนทุกข์ หากมิทุกข์ที่กายก็ต้องทุกข์ที่ใจ เช่นนี้มิสู้ให้เขาไปเกิดกับครอบครัวอื่นเสียดีกว่า”


 


 


“ฮูหยินพูดถูกเจ้าค่ะ” แม่นมหยางก็ถอนหายใจตาม


 


 


แม้นจะเกิดในวังหลวง องค์ชายที่เป็นบุตรของสนมก็ยังต้องทนทุกข์มิใช่หรือ?


 


 


“ภรรยาดีสามีไม่ลำบาก ในสายตาค่า คำว่าดีมิใช่ว่าดีแต่หาสตรียัดให้สามีตน นั้นเรียกว่าแสร้งทำเป็นดี ข้าว่าตระกูลที่วุ่นวายในเมืองหลวงเหล่านั้นมีตระกูลใดบ้างที่ความเดือดร้อนมิได้เกิดขึ้นเพราะมีอนุและบุตรอนุมากเกินไป” ฮูหยินผู้เฒ่ายกชาขึ้นจิบ ไม่ทราบว่าคิดสิ่งใดขึ้นมาได้จึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “ขอแค่พวกเขา มีใจเดียวกันยึดมั่นในความดีนำพาจวนกั๋วกงของเราให้คงอยู่สืบไปด้วยชื่อเสียงอันดีงาม เท่านี้ก็นับเป็นการกตัญญูต่อข้าและเหล่ากั๋วกงแล้ว”


 


 


แม่นมหยางมองฮูหยินผู้เฒ่าอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่นางเดาความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าไม่ออก


 


 


ส่วนนางหูที่พบกับนางชีฮูหยินสี่เป็นครั้งแรก นางถึงกลับใจหายวาบ ด้วยเข้าใจสตรีที่สามีจากไปตั้งแต่บุตรอยู่ในครรภ์ ทั้งต้องมีชีวิตอยู่เพียงลำพังกับบุตร จักต้องใบหน้าเ**่ยวย่น ความสดใสวัยเยาว์ร่วงโรยไปนานแล้ว คิดไม่ถึงว่านางชีกลับสง่างามโดดเด่นถึงเพียงนี้ 

 

 


ตอนที่ 260 ประจันหน้า

 

นางชีก็พินิจนางหูเช่นกัน


 


 


หลายวันมานี่นางเฝ้าครุ่นคิดมาตลอดว่าสตรีที่เป็นตัวแทนของนางมาหลายปีผู้นี้นั้นมีหน้าตาเป็นเช่นไร?


 


 


ใบหน้าไข่ห่าน มีลักยิ้มที่แม้นมิยิ้มก็มีไม่ยิ้มก็ยังมองเห็นอยู่รำไร แค่มองรู้สึกว่าน่ารักน่าชิดใกล้ เป็นสตรีที่ไม่เหมือนนางเลยแม้แต่น้อย


 


 


นางชีรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในหัวใจ แต่สุดท้ายก็กดข่มมันไว้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนแทน “น้องสาวเดินทางลำบากมาตลอดทาง รีบนั่งลงเถิด”


 


 


พูดพลางมองไปที่จังเกอซึ่งอาเถาอุ้มเอาไว้ “นี่คงเป็นจังเกอกระมัง มา ให้ข้าอุ้มดูสักหน่อยเถิด”


 


 


อาเถามองนางหูคราหนึ่ง


 


 


นางหูรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาตามร่างกาย แต่นางก็ได้แต่กดข่มไว้มิแสดงมันออกมาทางสีหน้าแม้เพียงนิด แล้วพยักหน้าเบาๆ


 


 


อาเถาอุ้มจังเกอไปหานางชี


 


 


นางชีมองจังเกอด้วยสายตาอันอ่อนโยนแล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ช่างเป็นเด็กที่งดงามจริงๆ”


 


 


นางหันกลับไปกำชับสาวใช้ว่า “ไปเรียกคุณชายหกมา ให้พวกเขาพี่น้องได้พบหน้ากันสักหน่อย”


 


 


ตามด้วยสั่งให้สาวใช้ไปน้ำผึ้งมาให้จังเกอดื่ม


 


 


นางหูอยากจะเอ่ยบางอย่างแต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นสาวใช้งดงามยกน้ำผึ้งจอกหนึ่งเข้ามา แล้วป้อนจังเกอด้วยความอ่อนโยน


 


 


จังเกอที่ปกติช่างเลือกยิ่งกลับดื่มน้ำผึ้งนั้นอย่างออกรสออกชาติ จึงได้แต่เก็บคำพูดที่จะเอ่ยออกไปนั้นเอาไว้ แล้วหลุบม่านตาลงปิดบังความกังวลและความภาคภูมิใจนั้นไว้


 


 


ไม่นานก็เห็นเด็กชายอายุห้าหกปีเดินเข้ามา เขามิเหมือนเด็กน้อยในวัยเดียวกันที่ให้สาวใช้คอยอุ้มคอยจูง แต่กลับเดินนำหน้าสาวใช้ด้วยฝีเท้าที่มั่นคง ใบหน้าเคร่งขรึม สาวใช้ได้แต่ก้มหน้าเดินตาม


 


 


อายุยังน้อยแต่กลับมีท่าทีอย่างเจ้าคนนายคนแล้ว


 


 


นางหูได้แต่ตกตะลึงอยู่ในใจ


 


 


หรือนี่จะเป็นบุตรชายคนโตของท่านพี่?


 


 


เมื่อมองดูจังเกอที่อ่อนแอดุจแมวน้อยซึ่งคอยให้สาวใช้อุ้มทั้งป้อนน้ำผึ้งให้แล้ว ใจนางพลันหายวาบขึ้นมาทันที


 


 


“คารวะท่านแม่” คุณชายหกทำความเคารพอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมคราหนึ่ง


 


 


ระยะหลังมานี้ท่านแม่สอนเขาเขียนอักษรไปไม่น้อย ท่านพ่อก็กำลังหาอาจารย์ให้เขา ตอนนี้เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว


 


 


นางชีเห็นคุณชายหก รอยยิ้มก็เปิดกว้างขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นางกวักมือเรียกคุณชายหก “เจ้าหก นี่คือหูอี๋เหนียง”


 


 


คุณชายหกได้รับการอบรมมาจากนางชีแล้ว เขารู้ว่าหูอี๋เหนียงนับเป็นผู้อาวุโสอีกผู้หนึ่งทั้งยังเป็นมารดาแท้ๆ ของน้องชายเขา หากมิให้ความเคารพสักนิด ไม่เพียงท่านพ่อจะไม่พอใจแล้ว ตัวเขาเองก็นับว่าทำตัวไร้มารยาท จึงได้โค้งคารวะพอเป็นพิธี “หูอี๋เหนียง”


 


 


เขาอายุแค่ห้าปีกว่า เมื่อทำความเคารพก็ออกจะทุลักทุเลอยู่บ้าง แต่ยังคงตั้งใจทำอย่างจริงจังนั้น ทำให้คนเห็นแล้วทั้งรักทั้งเอ็นดู


 


 


เพียงแต่นางหูกลับไม่มีอารมณ์มาชื่นชมสิ่งนี้นัก เพราะได้ถูกคำว่า ‘หูอี๋เหนียง’ ทิ่มแทงจนเจ็บปวดไปทั่วกายแล้ว ในใจได้แต่ท่องคำว่า ‘นางชี’ อยู่นับพันนับร้อยครั้ง


 


 


สตรีผู้นี้ เห็นชัดว่านางใช้เพียงคำพูดธรรมดาๆ ทั้งยังเกรงใจ ใส่ใจ ทว่าทุกวาจาที่เอ่ยกลับคล้ายมีดที่ทิ่มแทงลงในใจนางก็มิปาน!


 


 


“ท่านแม่ นี่คือน้องชายหรือ?” คุณชายหกยกมือขึ้นไพล่หลัง หยุดยืนมองจังเกอด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


จังเกอยังเล็กทั้งร่างกายอ่อนแอ เมื่อเห็นคนตัวน้อยที่ตัวโตกว่าเขาไม่มากเท่าใดมองเขาด้วยสีหน้าไร้รอยยิ้ม ก็เกิดหวาดกลัวขึ้นมาจึงหันไปหานางหูตามสัญชาตญาณ แล้วผลักสาวใช้ที่ป้อนน้ำผึ้งให้เขาออก วิ่งไปหานางหูทันที


 


 


“ท่านแม่…” จังเกอชี้นิ้วไปที่คุณชายหก “เขาเป็นใคร?”


 


 


นางหูลังเลครู่หนึ่ง


 


 


จังเกอยังเด็กจึงมิเข้าใจฐานะที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของตนนัก นางเพียงบอกเขาว่าเมื่อถึงจวนกั๋วกงแล้วอย่าได้ดื้อซนเอาแต่ใจ เมื่อเห็นบิดาก็ให้บอกว่าคิดถึงเขามาก หากมีคนมารังแกก็ต้องบอกบิดา แต่มิเคยเอ่ยถึงสองแม่ลูกนี้เลย


 


 


นางคิดไปว่า แม้นจังเกอจะถูกบันทึกว่าเป็นบุตรคนหนึ่งของนางชี แต่ต่อไปก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่กับนางมิจำเป็นต้องไปสมาคมกับสองแม่ลูกนั้นให้มากนัก ทุกคนจักได้มิต้องขุ่นมัวอันใดต่อกัน


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดสถานการณ์ที่เด็กน้อยทั้งสองมีท่าทีตอบสนองแตกต่างกันจนทำให้จังเกอของนางดูมิรู้ความเท่ากับเด็กคนนั้นไปเสียทันที


 


 


ในขณะที่นางหูกำลังลังเลอยู่นั้น คุณชายสามก็เดินเข้าไปจับมือจังเกอไว้อย่างไม่ลังเล แล้วเอ่ยด้วยท่าทีจริงจังว่า “ข้าเป็นพี่หกของเจ้า จังเกอ เจ้าชี้หน้าข้าเช่นนี้ไม่ถูกต้อง อาจารย์จะด่าเอาได้”


 


 


แม้นจังเกออายุยังน้อยแต่ก็พูดคุยรู้เรื่องแล้ว เมื่อได้ยินคุณชายหกบอกว่าเขาผิด ก็คิดจะโต้เถียงอย่างไม่พอใจ ทว่ากลับถูกประโยคสุดท้ายของเขาดึงดูดความสนใจไป “อาจารย์?”


 


 


คุณชายหกพยักหน้า “ใช่แล้ว อาจารย์จะสอนความรู้ให้เรา สอนเขียนอักษร และสอนคุณธรรมของคน”


 


 


“เจ้ามีอาจารย์หรือ?” จังเกอพลันรู้สึกว่าเด็กชายตรงหน้าโตกว่าเขามากยิ่ง


 


 


คุณชายหกหน้าแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย เขาเม้มริมฝีปากแล้วจึงเอ่ยว่า “ท่านพ่อกำลังหาอาจารย์ให้เราอยู่ แต่ตอนนี้ข้าก็เริ่มคัดอักษรแล้ว เจ้าอยากดูหรือไม่?”


 


 


จังเกอหันไปมองนางหูคราหนึ่ง


 


 


นางหูกำลังจะเอ่ยปากห้าม คุณชายหกกลับจูงมือจังเกอไปที่ห้องหน่วนเก๋อเสียแล้ว “สตรีเขาคุยกัน เราอย่าไปรบกวนเลย เช่นนั้นดูเสียมารยาทมากทีเดียวเชียว”


 


 


จังเกอที่ป่วยออดๆ แอดๆ มาตลอดทางกลับถูกเด็กน้อยที่โตกว่าสองปีปลอบเสียอยู่หมัดจึงได้เดินตามเขาไปอย่างเหม่อลอย


 


 


นางหูร้อนใจขึ้นมายกใหญ่ “จังเกอ รีบมาหาแม่เดี๋ยวนี้”


 


 


เมื่อนางเอ่ยออกไปเช่นนี้ บ่าวไพร่ทั้งหลายในห้องต่างก็หันมามอง ในแววตามีความตกใจและไม่ยี่หระ


 


 


เด็กชายสองคนพูดคุยเล่นกันเท่านั้น แม้นอายุยังน้อย แต่อี๋เหนียงผู้หนึ่งจะร้อนใจดุจไฟลนไปไยกัน?


 


 


มิต้องกล่าวถึงฮูหยินด้วยซ้ำ แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็มิเคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวการกระทำเรื่องใดๆ ของเหล่าคุณชายต่อหน้าบ่าวไพร่เต็มห้องเช่นนี้เลยสักครา


 


 


หากเป็นฮูหยินผู้เฒ่าคงกล่าวว่าหากเราไปดูแลจัดการให้บุตรชายเสียหมด ต่อไปก็กลายเป็นบุตรสาวไปหมด


 


 


นางหูถูกสายตาเหล่านั้นทิ่มแทงจนรู้สึกอึดอัด นางทั้งโกรธทั้งเคือง จึงฝืนยิ้มเอ่ยกับนางชีว่า “จังเกอร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เล็ก เกรงว่าจะเอาไอเจ็บไข้ไปติดคุณชายหก”


 


 


“น้องสาวอย่าได้พูดเช่นนั้น ร่างกายอ่อนแอมิใช่โรคภัย แค่บำรุงสักหน่อยก็ไม่เป็นอันใดแล้ว”


 


 


ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นจังเกอก็ร้องว่าเจ็บขึ้นมาเสียงหนึ่ง เขากุมท้องตัวงอ ตามมาด้วยกลิ่นเหม็นโชยออกมา


 


 


คุณชายอึ้งงันไป แต่ยังคงอดกลั้นต่อกลิ่นเหม็นคุกเข่าลงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “จังเกอ เจ้าไม่รู้ใช่หรือไม่ว่าห้องปลดทุกข์อยู่ไหน? เจ้าควรถามข้า ข้าเป็นพี่หกของเจ้า”


 


 


นางหูปากสั่นระริก อยากจะคุกเข่าให้คุณชายหกเหลือเกิน


 


 


นางวิ่งเข้าไปประคองจังเกอ “จังเกอ บอกแม่มาเจ้าเจ็บที่ตรงใด?”


 


 


คุณชายหกขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยออกมาด้วยท่าทีจริงจัง “จังเกอกุมมือไว้ที่ท้อง เขาปวดท้อง”


 


 


นางหู “…”


 


 


“ยังมัวยืนอึ้งอันใด รีบมาอุ้มเขาขึ้นมาเร็ว”


 


 


เวลานี้ท่าทีต่ำต้อยที่นางฝืนแสดงออกมาได้หายไปหมดสิ้นแล้ว ท่าทีอย่างเจ้านายกลับปรากฏขึ้นมาแทน สาวใช้ที่ติดตามนางมาต่างก็กรูเข้าไปทันที


 


 


ขณะที่นางหูกำลังจะเข้าไปประคองจังเกอไว้ เขากลับเหลือกตาขึ้นแล้วสลบไปทันที


 


 


“จังเกอ…” นางหูร้องดังหัวใจถูกฉีกทิ้ง


 


 


สาวใช้เรือนอวี้หยวนต่างหันมองไปที่นางชี


 


 


นายท่านที่กรีดร้องเสียงดังเพียงนี้พวกนางมิเคยเห็นเลย มิใช่สิ อี๋เหนียงที่กรีดร้องเสียงดังปานนี้พวกนางมิเคยเห็นเลย


 


 


เมื่อใจคิดไปถึงเรื่องนี้ ก็พลันคดได้อีกเรื่อง


 


 


จวนกั๋วกงยามนี้ก็มีเพียงอี๋เหนียงผู้นี้คนเดียวเท่านั้นมิใช่หรือ โถ่ ถึงว่าอย่างไรอี๋เหนียงกับฮูหยินย่อมต้องแตกต่างกัน


 


 


“หันจู รีบไปเชิญท่านหมอจวนเรามาดูอาการจังเกอเร็ว” นางชีเดินเข้าไปส่งสัญญาณให้สาวใช้ผู้หนึ่งพาคุณชายหกออกไป เมื่อดูอาการของจังเกอแล้วก็เอ่ยกับสาวใช้อีกคนว่า “เจ้าไปเรียนฮูหยินผู้เฒ่าว่าจังเกอเดินทางเหน็ดเหนื่อยจนไม่สบาย ให้เชิญท่านหมอที่เชี่ยวชาญโรคเด็กมาตรวจดูสักหน่อยได้หรือไม่”


 


 


“เจ้าค่ะ” หันหลุ่ยรีบไปทันที


 


 


นางหูได้ฟังวาจาของนางชีก็รู้สึกสับสนขึ้นมาในใจ


 


 


จังเกอกระเพาะไม่แข็งแรง หากดื่มน้ำผึ้งบางคราก็อาจท้องเดิน เรื่องนี้แม้แต่ท่านพี่ที่มัวแต่ยุ่งการค้าก็มิทราบ


 


 


แต่น้ำผึ้งที่นางชียกมาให้จังเกอดื่มนั้นนางมิได้ห้ามไว้เพราะคิดจะหาเรื่องยุ่งยากให้นางชีสักหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่าจังเกอจะถึงกลับเป็นลมไป


 


 


นางหูรู้สึกเสียใจไม่น้อย นางย่อมต้องรักบุตรตนอยู่แล้ว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะร้ายแรงเพียงนี้ หรือเพราะระหว่างทางรถโคลงเคลงเกินไป?


 


 


นางหูรู้สึกทั้งแค้นใจทั้งเสียใจ ขอบตาจึงแดงก่ำขึ้นมา


 


 


“น้องสาวอย่าเพิ่งกังวลเกินไป ในจวนเรามีหมอ ประเดี๋ยวก็มาถึงแล้ว” พูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักไปแล้วเอ่ยต่อว่า “เพราะคาดว่าน้องสาวคงอาจมาถึงในวันสองวันนี้ จึงได้เขียนจดหมายถึงท่านพี่ไปแล้ว เขาอาจจะมาถึงวันนี้ก็เป็นได้”


 


 


“ขอบคุณฮูหยินมาก”


 


 


หันจูนั้นไปเรียนต่อนางเถียนว่า “ฮูหยินรอง คุณชายที่เพิ่งมาถึงมิใคร่สบาย ฮูหยินจึงให้มาเชิญท่านหมอเฝิงไปตรวจดูเสียหน่อยเจ้าค่ะ”


 


 


นางเถียนดูแลเรื่องนี้มาแต่ไหนแต่ไร เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็รีบส่งสาวใช้ไปเชิญท่านหมอเฝิงทันที


 


 


ไม่นานท่านหมอเฝิงก็ถือกล่องยาตามหันจูไป


 


 


“ท่านหมอ บุตรชายข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” มิรอให้นางชีเอ่ยปาก นางหูก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้าวิตก


 


 


ท่านหมอเฝิงลูบเคราตนคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “คุณชายท้องเดิน ทั้งหมดสติ ดูท่าคงกินอาหารที่ไม่ค่อยสะอาดเข้าไป”


 


 


“อาหารไม่สะอาดหรือ?” นางหูร้องเสียงสูง “ทว่าบุตรชายข้ามิได้กินอันใดเป็นเรื่องเป็นราวมาตลอดทาง”


 


 


“ในเมื่อเกิดท้องเดินกะทันหันเช่นนี้ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่กินเข้าไปได้ไม่นาน พวกท่านลองคิดดูให้ดี?”


 


 


นางหูขมวดคิ้วครุ่นคิด พลันคล้ายจะคิดอันใดออก นางจึงปิดปากมองนางชี เหมือนจะพูดแต่ก็มิเอ่ยสิ่งใด


 


 


นางชีกลับเอ่ยออกมาอย่างเปิดเผยว่า “เมื่อครู่จังเกอดื่มน้ำผึ้งไปจอกหนึ่ง หรือว่าเกิดจากน้ำผึ้ง?”


 


 


ท่านหมอเฝิงส่ายหน้า “น้ำผึ้งมิได้มีผลต่อกระเพาะ ไม่น่าจะทำให้เกิดอาการท้องเดินรุนแรงเช่นนี้ได้”


 


 


นางหูเม้มริมฝีปากแน่น


 


 


วาจานี้ของท่านหมอกลับเป็นการช่วยนางไปโดยปริยาย แต่ก็แปลกยิ่ง ปกติเด็กน้อยที่อายุเท่านี้ ดื่มน้ำผึ้งแค่เพียงไม่กี่คำจะส่งผลรุนแรงเพียงนี้ได้อย่างไร


 


 


มิได้เกิดจากน้ำผึ้ง แต่หากน้ำผึ้งไปปนผสมเข้ากับสิ่งใดเข้าเล่า?


 


 


นางหูร่ำไห้กระซิก


 


 


เวลานี้เองคนผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นสภาพการณ์ภายในห้องก็มุ่นหัวคิ้วถามว่า “ซีเหนียง เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ?”


 


 


เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นหูดังขึ้น นางหูและนางชีก็หันไปมองพร้อมกัน


 


 


สายตาของนายท่านสี่สกุลหลัวทอดมองไปที่นางชีครู่หนึ่งจึงหันมามองนางหู เมื่อเห็นนางขอบตาแดงก่ำก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “จังเกอไม่สบายหรือ?” พูดพลางเดินก้าวใหญ่เข้าไปหา


 


 


นางหูโผเข้าหาเขาทันที “ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว จังเกอไม่ทราบเป็นอันใดจู่ๆ ก็สงบไป!”


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวประคองมือนางไว้แล้วตบเบาๆ “อย่าเพิ่งวิตกเกินไปเลย”


 


 


แล้วก้าวเท้าไปหานางชี “ซีเหนียง ท่านหมอว่าอย่างไรบ้าง?”


 


 


นางหูยังมิดึงมือออกด้วยซ้ำแต่กลับรู้สึกว่าใจโหวงเหวงว่างเปล่ายิ่ง


 


 


นางชียังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม “ท่านหมอเฝิงไปจัดเทียบยา ประเดี๋ยวเขากลับมา ท่านก็ถามดูด้วยตนเองเถิด” 

 

 


ตอนที่ 261 ต่างทุกข์

 

“อืม” นายท่านสี่สกุลหลัวเดินเข้ามาแล้วถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ส่งให้สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้าง “ข้าจะไปดูจังเกอเสียหน่อย”


 


 


นางหูมองนายท่านสี่สกุลหลัวอย่างอึ้งงัน


 


 


เขาคือสามีของนาง หลังจากโกนหนวดเคราออกแล้วก็หล่อเหลาสง่างามเช่นคราแรกที่พบกันไม่มีผิด แต่พวกเขามิได้พบหน้ากันนานแล้ว เหตุใดเขาจึงมิได้มีท่าทีตื่นเต้นดีใจเลยเล่า?


 


 


นางหูมองไปที่นางชีทันที


 


 


เป็นเพราะนางหรือ? ท่านพี่มีใจรักต่อสตรีผู้นี้มากกว่างั้นหรือ?


 


 


คุณชายหกยืนอยู่ในมุมหนึ่ง เขาเม้มริมฝีปากแน่นมองด้านหลังของนายท่านสี่สกุลหลัวไม่วางตา เวลานี้เขามิได้มีท่าทีดุจพี่ชายคนโตเหมือนยามอยู่ต่อหน้าจังเกอแล้ว แต่กลับคืนสู่ท่าทีเงียบขรึมไร้วาจาดั่งเช่นที่ผ่านมา


 


 


คิดไม่ถึงว่านายท่านสี่สกุลหลัวจะหันหลังกลับมา มุมปากห้อยแขวนด้วยรอยยิ้มจางๆ แฝงความอ่อนโยน “เจ้าหก มาหาพ่อเร็ว เราไปดูอาการจังเกอด้วยกันเถิด”


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวเดินเข้าไปยกคุณชายหกขึ้นอุ้ม แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไปกัน”


 


 


เพียงผ้าม่านแกว่งไกว สองพ่อลูกนั้นก็หายวับไปทันที ภายในห้องจึงเหลือเพียงนางชีและนางหู


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน นายท่านสี่สกุลหลัวก็จูงมือคุณชายหกออกมา นั่งรอท่านหมอเฝิงอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้ามิบ่งบอกว่าอยู่ในอารมณ์ใด


 


 


รออยู่ครู่หนึ่งท่านหมอเฝิงจึงเดินออกมา เมื่อเห็นนายท่านสี่สกุลหลัวก็รีบทำความเคารพ แล้วยื่นเทียบยาส่งให้


 


 


“เหตุใดเขาจึงท้องเดินกระทั่งหมดสติไปเล่า?”


 


 


ท่านหมอเฝิงมีท่าทีลำบากใจ


 


 


“ท่านหมอพูดมาได้เลย”


 


 


ท่านหมอเฝิงชำเลืองมองนางชีและนางหู ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เมื่อครู่ฮูหยินบอกว่าคุณชายดื่มน้ำผึ้งไป แต่เด็กอายุเท่านี้ แม้นร่างกายจะอ่อนแอก็มิถึงกับดื่มน้ำผึ้งไม่กี่อึกก็ท้องเดินจนหมดสติได้ ดูอาการแล้ว คล้ายว่าจะดื่มอันใดบางอย่างที่ทำให้ท้องเดิน…”


 


 


เอ่ยยังมิทันจบดีก็ได้ยินเสียงเคร้งดังขึ้น นางหูทำถ้วยชาที่วางอยู่ข้างมือล้มคว่ำ น้ำชาที่เย็นชืดไปแล้วนั้นค่อยๆ ไหลนองบนโต๊ะและซึมเปียกเข้าไปในแขนเสื้อนาง


 


 


นางกลับมิไยดี วิ่งเข้าไปหานายท่านสี่สกุลหลัวด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ท่านพี่ จังเกอมิได้กินอันใดเป็นเรื่องเป็นราวมาตลอดทาง ท่านก็รู้ว่าเขากินข้าวมิได้ มีแค่เมื่อครู่ที่ดื่มน้ำผึ้งเข้าไป…”


 


 


นางหูรู้สึกสับสนในอารมณ์อย่างยิ่ง


 


 


นางไม่ทราบว่าหมอเฝิงนั้นฝีมือการแพทย์ไม่ดีหรือเพราะเหตุผลใดกันแน่ ไยวาจานั้นของเขาถึงได้เอ่ยออกมาอย่างที่ใจนางอยากให้เป็นได้?


 


 


ณ เรือนซินหยวน นางเถียนจิบชาไปอึกหนึ่งก็หัวเราะกับสาวใช้ตนพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อทราบว่าคุณชายที่มาใหม่ของบ้านสี่ล้มป่วย หากจะไม่แสดงน้ำใจอันใดคงไม่ดี เจ้าเอาของบำรุงที่ห้องเก็บของไปมอบให้ด้วยเล่า”


 


 


“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่งแล้วจึงเดินออกไป


 


 


นางเถียนเอ่ยกับแม่นมเถียนที่พักรักษาตัวจนหายดีแล้วว่า “หมอเฝิงผู้นั้น เข้าใจความหมายของข้าดีใช่หรือไม่?”


 


 


“ฮูหยินวางใจ บ่าวเน้นย้ำกับเขาไปแล้วว่าฮูหยินต้องการให้ตรวจดูคุณชายผู้มาใหม่อย่างดีที่สุด หมอเฝิงย่อมต้องเข้าใจแน่นอนเจ้าค่ะ”


 


 


“เช่นนั้นก็ดี” นางเถียนหยักยิ้มคราหนึ่ง


 


 


จวนกั๋วกงแห่งนี้สงบสุขมานานเกินไปแล้ว นางเจินกำลังเป็นที่โปรดปราน นางจึงต้องหลีกเลี่ยงการปะทะชั่วคราว แต่หากสองบ้านนั้นยังสงบต่อไปเช่นนี้ เมื่อใดที่นางเจินยืนได้อย่างมั่นคง นางที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลจวนมานับกว่าปีก็จำต้องถอนตัวออกไปกลายเป็นเพียงผู้ช่วยตัดเย็บชุดเจ้าสาวให้ผู้อื่นโดยมิได้อันใดเลย!


 


 


แม่นมเถียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ฮูหยิน ตามหลักแล้วบ่าวมิควรปากมากเช่นนี้ แต่หากไม่พูดก็กลัวว่าภายหน้าท่านจะต้องเสียเปรียบเจ้าค่ะ”


 


 


นางเถียนมองแม่นมเถียนตาขวาง “แม่นม มีอันใดที่พูดกับข้ามิได้บ้างเล่า?”


 


 


“ฮูหยิน ท่านคิดว่าระยะนี้นายท่านยุ่งเกินไปหรือไม่เจ้าคะ? แม่นบ่าวมิใคร่รู้เรื่องนอกจวน แต่ที่ทราบนั้นนายท่านมิเคยยุ่งเพียงนี้มาก่อน”


 


 


นางเถียนฟังแล้วใจหายวาบ


 


 


เรื่องในราชสำนักนางก็มิได้สืบถามให้มากความ แต่ผู้ใดต่างก็กล่าวว่าศาลหงหลูนั้นเป็นที่แสนสบาย แล้วเหตุใดท่านพี่จึงได้ยุ่งกว่าตอนอยู่ในกองทัพอีกเล่า


 


 


นางเถียนรู้ดีว่าตั้งแต่เกิดเรื่องซูเหนียง ความรู้สึกของพวกเขาสามีภรรยาก็นับวันจืดจาง หลายเดือนมานี้ ท่านพี่มิเคยมาค้างแรมกับนางเลยสักครา


 


 


ควรต้องทราบว่านางเพิ่งจะอายุสามสิบกว่าเท่านั้น แล้วท่านพี่ก็ยังไม่ถึงสี่สิบด้วยซ้ำ


 


 


นางเถียนตบโต๊ะโดยแรง “แม่นม เขาจักต้องมีสตรีเลี้ยงไว้นอกจวนแน่!”


 


 


“ฮูหยิน บางทีบ่าวอาจคิดมากไป หากมันเกิดกระทบกับความรักของท่านกับนายท่าน เช่นนั้นบ่าวคงผิดมหันต์แล้ว”


 


 


“ไม่ แม่นม…พอท่านเอ่ยเช่นนี้ข้าเองก็เพิ่งนึกขึ้นได้ ตั้งแต่วันที่ท่านพี่มิได้กลับมาร่วมงานเลี้ยงฉลองในจวน หากกลับมาก็แค่ไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าแล้วรีบร้อนออกจากจวนทุกครั้ง ตำแหน่งขุนนางเล็กๆ เท่าเม็ดงาจะยุ่งกว่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักเชียวหรือ? อีกอย่าง เขามีหรือจะกินเจได้นานเพียงนี้? ข้าเข้าใจแล้ว เขาจักต้องได้สตรีผู้นั้นมาครอบครองในคืนวันเลี้ยงฉลองเป็นแน่ รสชาติเนื้อคงอร่อยจนอยากจะกินแล้วกินอีกกระมัง เจ้าคนสารเลว!”


 


 


“ฮูหยิน อย่าเพิ่งโมโหไปเลยเจ้าค่ะ”


 


 


“จะมิให้ข้าโมโหได้อย่างไร เขาทำตัวดีมาตลอด เหตุใดจึงได้เปลี่ยนไปดั่งเป็นคนละคนเช่นนี้…เลี้ยงอนุนอกเรือนคนแล้วคนเล่า!”


 


 


แม่นมเถียนลอบถอนหายใจอยู่ในอก


 


 


เมื่อเป็นเรื่องของตนย่อมมองไม่ออก ฮูหยินเป็นเช่นนั้นแล เดิมนายท่านก็มิใช่บุรุษรักสงบ จะบอกว่าจู่ๆ ก็เริ่มเลี้ยงอนุไว้นอกเรือนได้อย่างไร แค่ก่อนหน้านี้ปิดบังไว้อย่างแนบเนียนจึงมิถูกจับได้ต่างหากเล่า


 


 


“ฮูหยิน ท่านลืมเรื่องซูเหนียงแล้วหรือเจ้าคะ?”


 


 


นางเถียนหน้าขรึมไป


 


 


ตอนนั้นนางแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาอย่างรุนแรง แม้นฮูหยินผู้เฒ่าจะเป็นผู้ขายนางออกไป ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยากลับจืดจางลงอย่างเห็นได้ชัด ได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ


 


 


“แม่นมส่งคนไปเฝ้าที่ศาลาว่าการของท่านพี่ ลากตัวนางปีศาจจิ้งจอกนั้นออกมาให้จงได้!” นางเถียนถอนหายใจออกมาโดยแรง “เอาไว้ข้างกายคอยจับตาดู ดีกว่าปล่อยให้เหิมเกริมอยู่ข้างนอก!”


 


 


“ฮูหยินวางใจ บ่าวทราบว่าต้องทำอย่างไรเจ้าค่ะ”


 


 


ครั้นหลี่ว์เจวียนสาวใช้ที่นางเถียนไปถึงเรือนอวี้หยวนก็ถูกขวางไว้หน้าประตูเสียก่อน นางจึงได้ยินเพียงเสียงที่แฝงด้วยโทสะของนายท่านสี่ดังลอยมาจากด้านใน


 


 


“กินของที่กระตุ้นให้ท้องเดิน? ท่านหมอเฝิงตรวจพบสิ่งใดหรือ?”


 


 


“คือ…มันเป็นเพียงการวินิจฉัยเท่านั้น แต่นายท่านสี่วางใจได้ เมื่อคุณชายได้กินยาระงับอาการท้องเดินก็คงจะดีขึ้นแล้ว”


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวเม้มริมฝีปากบางตน เอ่ยอย่างไร้โทสะแต่แฝงท่าทีข่มขู่ “ท่านหมอเฝิงคิดว่าสาเหตุที่จังเกอท้องเดินมิได้มาจากการดื่มน้ำผึ้ง แต่กลับวินิจฉัยว่าดื่มสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการท้องเดิน เช่นนั้นหมายความว่าในน้ำผึ้งมีสิ่งอื่นปนเปื้อนอยู่กระนั้นหรือ?”


 


 


“เอ่อ ข้าน้อยก็ไม่ทราบ ข้าน้อยเพียงวินิจฉัยไปตามเหตุผลเท่านั้น” ท่านหมอเฝิงรู้สึกว่ามีเหงื่อไหลออกมาเต็มแผ่นหลังตนแล้ว…ช่างเย็นยะเยือกนัก


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวแค่นหัวเราะเสียงเย็น “หวังว่าท่านหมอเฝิงจะวินิจฉัยไปตามหลักผลจริงๆ”


 


 


เวลานี้เองสาวใช้ผู้หนึ่งก็แหวกม่านเดินเข้ามา “นายท่าน ฮูหยิน ท่านหมอที่ฮูหยินผู้เฒ่าเชิญมาตรวจอาการคุณชายน้อยมาแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


“เร็วเพียงนี้เชียว” นางชีอึ้งไปเล็กน้อย ครั้นเห็นนายท่านสี่มีสีหน้างุนงงจึงเอ่ยอธิบายว่า “เมื่อครู่ข้าส่งให้หันหรุ่ยไปเรียนฮูหยินผู้เฒ่าว่าอยากให้เชิญท่านหมอที่เชี่ยวชาญโรคเด็กมาตรวจจังเกอ แต่คิดไม่ถึงว่าจะรวดเร็วเพียงนี้”


 


 


สาวใช้ผู้นั้นยิ้มพลางเอ่ยว่า “ฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าใจตรงกันพอดีเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินว่าคุณชายน้อยร่างกายอ่อนแอ จึงได้เชิญท่านหมอมาตรวจดูสักหน่อย”


 


 


นางชีได้ยินเช่นนี้ก็เม้มริมฝีปากเบาๆ แล้วยิ้มออกมา “ฮูหยินผู้เฒ่าช่างรอบคอบนัก”


 


 


เมื่อท่านหมอที่เชิญมาตรวจจังเกอก็เอ่ยสอบถาม ครั้นทราบว่าดื่มน้ำผึ้งก็ส่ายหน้าทันที “อาการป่วยของคุณชายน้อยนั้นมาจากน้ำผึ้งนั้นแล”


 


 


คนทั้งห้องพลันเงียบไปทันใด ท่านหมอเฝิงที่อยู่ตรงนั้นมาตลอดจึงอดเอ่ยถามมิได้ว่า “น้ำผึ้ง? เป็นไปไม่ได้ น้ำผึ้งสามารถล้างพิษ ทำให้ชุ่มคอ ผู้คนทั้งหลายดื่มน้ำผึ้งก็ล้วนปกติดี”


 


 


หมอท่านนั้นเพียงชำเลืองมองหมอเฝิงคราหนึ่งแล้วหันไปเอ่ยอธิบายกับนายท่านสี่สกุลหลัวว่า “เดิมน้ำผึ้งนั้นมีฤทธิ์ช่วยชะลออาการท้องเดิน แต่จากที่ข้าน้อยรักษามานานปีกลับพบว่าเด็กเล็กนั้นมิควรดื่มน้ำผึ้ง หากดื่มมากเกินไป เด็กบางคนก็อาจเกิดล้มป่วยหรือเป็นโรคได้เลยทีเดียว!”


 


 


“ห๊ะ?” ครานี้ผู้คนทั้งหลายต่างก็ตกใจอย่างที่สุด


 


 


หลักการเช่นนี้ช่างทำให้คนฟังขนลุกเกรียวไปหมด


 


 


“นี่ก็เป็นเพียงสิ่งที่ข้าน้อยวินิจฉัยจากประสบการณ์ตนคนเดียวเท่านั้น แต่ดูจากอาการของคุณชายน้อยแล้ว น่าจะเป็นเช่นที่ข้าน้อยกล่าวมา ส่วนที่ว่าดื่มสิ่งปนเปื้อนจนท้องเดินนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะด้วยร่างกายที่อ่อนแอเช่นนี้ หากกินสิ่งที่กระตุ้นให้ท้องเดินลงไปเกรงว่าตอนนี้คงย่ำแย่ไม่เหลือสภาพแล้ว”


 


 


เอ่ยถึงตรงนี้ก็กวาดตามองโดยรอบแล้วเอ่ยกำชับว่า “ต่อไปท่านต้องดูแลเรื่องอาหารการกินของคุณชายน้อยเป็นพิเศษแล้ว ประเดี๋ยวข้าน้อยจะเขียนวิธีใช้อาหารรักษาให้ คุณชายอายุยังน้อยอย่างไรก็ควรใช้อาหารรักษาเป็นหลักจะดีกว่า”


 


 


ครั้นเมื่อท่านหมอจากไป หมอเฝิงก็รีบเดินเข้าไปรับผิดแล้วขอตัวกลับโดยมิรอให้นายท่านสี่กล่าวสิ่งใดด้วยซ้ำ ยามนี้เองหลี่ว์เจวียนสาวใช้ที่นางเถียนส่งจึงเข้าไปส่งของบำรุงแก่นางชี


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวจ้องเบื้องหลังของหลี่ว์เจวียนที่เดินจากไป แววตาล้ำลึกนั้นทอประกายวาบขึ้น


 


 


ที่พักของหูอี๋เหนียงนั้นนางชีได้สั่งให้จัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ยามนี้จังเกอก็ปลอดภัยแล้ว นางชีจึงสั่งให้คนพานางหูและบ่าวไพร่ที่ถือสัมภาระเหล่านั้นไปยังเรือนฝั่งตะวันตก


 


 


ภายในห้องจึงเหลือนายท่านสี่สกุลหลัวและนางชีเพียงสองคนเท่านั้น


 


 


“ซีเหนียง ต่อไปหากในเรือนเรามีผู้ใดไม่สบายอีก็เรียนท่านแม่ให้เชิญท่านหมอข้างนอกมาตรวจดูเถิด ไม่ต้องใช้ท่านหมอเฝิงแล้ว”


 


 


“เรื่องที่เด็กกินน้ำผึ้งมากไปอาจจะป่วยได้นั้น ข้าก็มิเคยได้ยินเลย ท่านหมอเฝิงไม่ทราบก็ไม่แปลกสักนิด”


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวส่ายหน้า “คนเราต่างมีความเห็นแก่ตัว เหตุผลที่จะปกป้องตนเอง หรือผลประโยชน์ที่ต้องการ หมอเฝิงพูดว่าจังเกอกินของที่ทำให้ท้องเดินเข้าไปทั้งที่ไม่ทราบแน่ชัดถึงเหตุผล คล้ายกลัวว่าใต้หล้านี้จะสงบสุขเกินไปกระนั้น มันช่างดูขัดกับฐานะของเขาเหลือเกิน”


 


 


แววตานายท่านสี่สกุลหลัวสาดประกายเย็นเยือกวูบหนึ่ง เรื่องที่มันผิดปกติย่อมต้องมีสาเหตุ เขาอยากจะรู้เหลือเกินว่า สาเหตุที่ทำให้หมอเฝิงเป็นเช่นนี้คืออันใด!


 


 


“แต่หากปวดหัวตัวร้อนเป็นบางครา จะไปรบกวนท่านแม่ทุกครั้งก็มิใคร่เหมาะสมนัก”


 


 


“เรื่องนี้ไม่ยาก เราก็ไปเชิญท่านหมอมาเอง แค่บอกแก่พี่สะใภ้รองก่อนทุกครั้งก็พอ ส่วนเงินค่ารักษาเราจ่ายเองได้”


 


 


นางชีพยักหน้าแล้วเอ่ยถามอีกว่า “ในเมื่อจังเกอได้ชื่อว่าเป็นบุตรข้า ต่อไปจะให้เขาอยู่กับเจ้าหกหรืออยู่กับอี๋เหนียงเล่า?”


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวลังเลครู่หนึ่ง “ข้าขอถามนางก่อนแล้วกัน” พูดพลางกุมมือนางชีไว้ แล้วเอ่ยไปตามตรงว่า “ซีเหนียง สถานการณ์ของนางนั้นออกจะพิเศษสักหน่อย ข้ามิอาจจะปฏิบัติกับนางเสมือนเป็นอนุคนหนึ่งได้ เจ้า…”


 


 


บุตรอนุที่ถูกเลี้ยงโดยภรรยาเอกกับถูกเลี้ยงโดยอนุนั้นย่อมมีฐานะ ความรู้ มารยาท กระทั่งกลุ่มคนที่เขาจะเข้าไปคบค้าทำความรู้จักต่างกันโดยสิ้นเชิง


 


 


แต่เขายอมที่จะให้นางหูได้มีโอกาสเลือกเสียก่อน


 


 


“ท่านพี่ ข้าเข้าใจ” นางชีค่อยๆ แนบซบลงกับอกของนายท่านสี่สกุลหลัว


 


 


หากไม่มีนางหู นางคงต้องแยกจากสามีเป็นสตรีหม้ายที่ความรู้สึกตายด้านไปชั่วชีวิต แม้แต่ความขมขื่นในยามนี้ก็ล้วนเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น


 


 


สถานการณ์ในตอนนี้หรือ นางทุกข์ แล้วเขามีไม่ทุกข์หรือไร ว่าไปแล้ว ชีวิตคนเราก็ต้องมีแปดเก้าส่วนที่ไม่สมหวัง


 


 


เสียงถอนหายใจนั้นแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวสั่นสะท้านไปทั่วร่าง มือที่จับมือนางชีไว้นั้นกลับกระชับแน่นยิ่งขึ้น 

 

 


ตอนที่ 262 ใฝ่สูง

 

ครั้นถึงยามราตรี นายท่านสี่สกุลหลัวก็ไปที่เรือนฝั่งตะวันตก 


 


 


นางหูกำลังแบ่งสมาธิไปดูแลจังเกอที่นอนอยู่บนเตียงทั้งคอยกำชับบ่าวไพร่จัดวางข้าวของให้เข้าที่ไปพลาง นางเหนื่อยล้าจนหน้าซีดเผือด แต่ขณะที่เห็นนายท่านสี่สกุลหลัวก้าวเท้าเดินเข้ามา แววตาก็เปล่งประกายขึ้น หัวใจที่ถูกแช่แข็งอยู่ในเหมันต์ฤดูพลันกลับมาอบอุ่นอีกครั้ง 


 


 


“ท่านพี่…” นางหูเดินเข้าไปคว้ามือของนายท่านสี่สกุลหลัวคล้ายเด็กสาวแรกรุ่นก็มิปาน 


 


 


บ่าวไพร่ทั้งหลายในเรือนฝั่งตะวันตกต่างมาจากเป่าหลิงจึงมิได้ตกใจอันใด 


 


 


แต่นายท่านสี่สกุลหลัวกลับอดถอนหายใจออกมามิได้ 


 


 


อำเภอห่างไกลความเจริญเช่นเป่าหลิงย่อมมิได้อบรมกิริยาเข้มงวดเช่นเมืองหลวง ทั้งนางหูยังเป็นหญิงที่เกิดในตระกูลวาณิช ถูกเลี้ยงดูอย่างอิสระมาตั้งแต่เยาว์ย่อมไม่รู้สึกว่าที่นางทำนั้นมีอันใดไม่เหมาะสม แต่เขาทราบดี…หากฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าจูงมือถือแขนกันต่อหน้าผู้คนมากมายเพียงนี้ เขาจักต้องถูกตีด้วยไม้เท้าเป็นแน่ 


 


 


ทว่าเมื่อเห็นความอ่อนโยนและยินดีอันจริงใจบนหน้านางหูแล้ว นายท่านสี่สกุลหลัวก็อดใจอ่อนขึ้นมามิได้ 


 


 


อย่างไรก็เป็นเพียงเรือนหลังเล็กๆ นางมิได้มีโอกาสต้อนรับแขกอย่างภรรยาเอกอยู่แล้ว เรื่องความไม่เหมาะสมอันใดนั้นก็มิจำเป็นต้องเคร่งครัดจนมากเกินไปดอก 


 


 


กับนางหูนั้น นางมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตและเป็นสามีภรรยากันมาหลายปีทั้งยังมีจังเกออีก หากบอกว่านายท่านสี่สกุลหลัวไม่มีความรู้สึกใดเลยนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ 


 


 


แม้นเรื่องราวตรงหน้าจะเกิดความผิดพลาดไปเพราะเหตุบังเอิญเพียงครั้งหนึ่งแต่ก็เป็นสิ่งที่นางหูเลือกเอง ทว่าจากภรรยาเอกเปลี่ยนเป็นอนุ อย่างไรตัวเขาก็รู้สึกผิดและสงสารนางอยู่ลึกๆ น้ำเสียงที่เอ่ยจึงอ่อนลง “เข้าไปดูจังเกอด้านในก่อนเถิด” 


 


 


คนทั้งสองเข้าไปในห้องเพื่อดูอาการจังเกอด้วยกัน 


 


 


“ท่านพ่อ…” เมื่อจังเกอตื่นขึ้นมาเห็นนายท่านสี่สกุลหลัวก็เบิกบานใจยิ่ง 


 


 


ครั้นมองบุตรชายที่อ่อนแอเพราะโรคภัย นายท่านสี่สกุลหลัวก็รู้สึกเป็นห่วงยิ่ง เขายื่นมือออกไปลูบศีรษะจังเกอ “จังเกอ กินอันใดแล้วหรือไม่?” 


 


 


จังเกอพลันน้อยอกน้อยใจขึ้นมา “ไม่อร่อย จังเกอกินไม่ลง แต่ท่านแม่ก็ยังบังคับให้กิน…” 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวจนใจยิ่ง “จังเกอ ต้องกินอันใดบ้างถึงจะหายดี หายดีแล้วจึงจะออกไปวิ่งเล่นได้ มิใช่นอนอยู่บนเตียงเช่นนี้” 


 


 


จังเกอพลันตาเป็นประกายขึ้น “ถ้าจังเกอหายดีก็จะได้คัดอักษรเหมือน…” คิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เหมือนพี่หกใช่หรือไม่?” 


 


 


เขายังจำท่าทีงามสง่ายามที่เด็กน้อยซึ่งโตกว่าเขาเพียงสองปีพูดว่าตนคัดอักษรได้หลายตัวแล้วได้ดี ท่าทีงามสง่านั้นเหมือนท่านพ่อไม่มีผิด 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวอึ้งไปเล็กน้อย ตามด้วยใบหน้าที่แสดงความยินดีอย่างแท้จริง น้ำเสียงก็ยิ่งอ่อนโยนขึ้น “จังเกอก็อยากเรียนคัดอักษรกับพี่หกหรือ?” 


 


 


“อยาก” จังเกอพยักหน้าอย่างไม่ลังเลสักนิด 


 


 


จิตใจของเด็กนั้นไร้เดียงสายิ่ง คำตอบที่เอ่ยย่อมต้องออกมาจากใจจริง 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวแทบจะถอนหายใจโล่งอกออกมาทันที 


 


 


ดูท่าในอนาคตบุตรชายทั้งสองคงจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไม่น้อย 


 


 


หากเป็นเพียงบุตรอนุธรรมดาๆ เขาย่อมมิได้ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของเขาเพียงนี้ แต่จังเกอมิเหมือนกัน เขาไม่เคยรู้เลยว่าบุตรของอนุเป็นเช่นใด แต่หลังจากอยู่จวนกั๋วกง โดยเฉพาะการถูกเลี้ยงดูโดยนางหูที่กลายเป็นอนุไปแล้วนั้นย่อมจะทำให้เขารับรู้อย่างชัดเจนว่าตนไม่เหมือนกับเจ้าหก 


 


 


เขากลัวจังเกอจะไม่เข้าใจ จะโกรธแค้น จะทำเรื่องเลวร้าย และทำร้ายตนทำร้ายคนอื่นในที่สุด 


 


 


ช่วงขณะนี้เองนายท่านสี่สกุลหลัวจึงได้เปลี่ยนใจ เมื่อเดินเข้าไปในห้องฝั่งตะวันออกก็เอ่ยหยั่งเชิงทันที “เหมยเหนียง ในเมื่อจังเกอถูกยกให้เป็นบุตรของฮูหยินแล้วก็ให้เขาไปอยู่กับเจ้าหกดีหรือไม่?” 


 


 


“ท่านพี่ ท่านหมายความว่าอย่างไร?” นางหูหน้าซีดขาวไปทันที 


 


 


แต่นายท่านสี่สกุลหลัวกลับเข้าใจความคิดของนางหูจึงได้แต่ถอนหายใจยาวอยู่ในอก บอกไม่ถูกว่าผิดหวังหรือรู้สึกเยาะหยันกันแน่ เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เหมยเหนียง เจ้าคิดให้ดีเสียก่อนว่าจะอบรมเลี้ยงดูจังเกอเช่นไรค่อยตัดสินใจได้หรือไม่?” 


 


 


นางหูใช้เล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือตนจึงสามารถสงวนท่าทีเอาไว้ได้ 


 


 


ใช่ ก่อนหน้านี้นางฉลาดเก่งกาจอย่างที่สุด เพราะเรื่องในเรือนท่านพี่ล้วนต้องอาศัยนาง แต่นางเองก็เข้าใจว่าตอนนี้ไม่เหมือนในอดีตแล้ว หากยังคงใช้ชีวิตตามแต่ใหญ่อย่างที่ผ่านมาก็เท่ากับผลักท่านพี่ไปให้กับสตรีผู้นั้น 


 


 


“ท่านพี่ ท่านก็รู้ว่าจังเกอสุขภาพอ่อนแอมาตลอด หากต้องห่างข้าไปคงไม่ได้แน่ ข้า…ข้ามีเพียงจังเกอเท่านั้น” 


 


 


“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าแล้ว” 


 


 


นางหูเงยหน้าขึ้น ขนตาสั่นไหวเล็กน้อย “ท่านพี่ ท่าน ท่านคงตำหนิว่าข้าไม่รู้ความใช่หรือไม่?” 


 


 


“ไม่ เหมยเหนียง ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจในภายหลังเท่านั้น” นายท่านสี่สกุลหลัวยิ้มบางเบาคราหนึ่ง 


 


 


เสียใจภายหลัง…นางจะเสียใจภายหลังได้อย่างไร หากบุตรชายที่ตนเลี้ยงดูมาอย่างยากลำบากมีไปรักสตรีอื่นมากกว่าต่างหาก นางจึงจะเสียใจภายหลัง? 


 


 


นางหูหลุบม่านตาลงปิดบังอารมณ์อันซับซ้อนนั้นของตน แล้วเอ่ยตัดพ้อเสียงอ่อนว่า “ท่านพี่ เรามิได้เจอกันนานมากแล้ว เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าท่านมิคิดถึงข้ากับจังเกอเลยเล่า?” 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวถอนหายใจ “เปล่าเสียหน่อย ข้าเองก็คิดถึงพวกเจ้าเช่นกัน” 


 


 


“แต่ท่าน…” นางหูกัดริมฝีปากตนไว้ “เพิ่งจะไปรับพวกเรามาตอนนี้เอง…” 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวจึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “เรื่องในเรือน ย่อมต้องให้ท่านแม่เป็นผู้ตัดสินใจ” 


 


 


ที่แท้ก็เป็นเพราะท่านย่าของจังเกอเองหรอกหรือ! 


 


 


นางหูกัดริมฝีปากตน นางลอบด่าภรรยาแก่นั้นมาตลอดในระหว่างที่เฝ้าคอยอย่างร้อนใจอยู่ที่เป่าหลิง แววตาที่มองนายท่านสี่สกุลหลัวกลับยิ่งเพิ่มความน้อยใจมากยิ่งขึ้น 


 


 


คิดไม่ถึงว่านายท่านสี่สกุลหลัวกลับเอ่ยเสริมขึ้นมาอีกประโยคว่า “ต่อไปหากเป็นเรื่องในเรือน เจ้าก็ต้องเชื่อฟังฮูหยิน” 


 


 


นางหูหยิกตนไว้โดยแรงอีกคราจึงสามารถหยุดยั้งมิให้เอ่ยโต้เถียงออกไป แล้วหันกายเดินออกไปยกน้ำเข้ามาให้นายท่านสี่ล้างหน้าบ้วนปาก ทั้งสองจึงเข้านอนพร้อมกัน 


 


 


เจินเมี่ยวเห็นนางหูที่นางชีเป็นผู้พามาน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าวันถัดมา แต่ไม่เห็นจังเกอ 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าถามขึ้น นางหูจึงอธิบายว่า “จังเกอสุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อวานดื่มยาไป วันนี้ยังนอนพักอยู่จึงมิได้พาเขามาด้วย หวังว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ถือโทษ” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ามองหน้านางหูคราหนึ่งแล้วหันไปเอ่ยกำชับกับนางชีว่า “ในเมื่อจังเกอร่างกายอ่อนแอ เจ้าก็ต้องใส่ใจให้มาก หากต้องการเชิญท่านหมอผู้เชี่ยวชาญก็ให้มาหาแม่นมหยาง” 


 


 


“ขอบพระคุณฮูหยินผู้เฒ่า สะใภ้ทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางชีย่อกายลงเล็กน้อย 


 


 


นางหูพลันอึ้งไป ใบหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาว 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าจึงหันไปมองนางหูแล้วเอ่ยว่า “หูอี๋เหนียงเองก็ดูแลนายท่านสี่และจังเกอมานานหลายปี ลำบากไม่น้อย ต่อไปหากมีเรื่องใดไม่สะดวกสบายก็บอกกับฮูหยินสี่ได้” 


 


 


กล่าวจบก็ยกชาขึ้นดื่ม 


 


 


นางหูอึ้งงันทันที 


 


 


คิดไม่ถึงว่าจะให้นางโขกศีรษะคราหนึ่งแล้วก็กลับเรือน! 


 


 


ตอนที่นางอยู่ในอำเภอเป่าหลิงก็ได้คบค้ากับภรรยาของพ่อค้าวาณิชมาไม่น้อย บางคนที่สามีไม่พึงใจภรรยาเอกแล้วยอมให้อนุออกมาต้อนรับแขกแทนก็มิใช่ไม่มี 


 


 


ทว่านายท่านที่อยู่เต็มจวนนี้ นอกจากนางเจินที่เคยไปจวนสกุลหู นางก็ไม่รู้จักแม้เพียงคน แต่กลับไม่มีผู้ใดคิดจะแนะนำนางด้วยซ้ำก็ไล่นางกลับเสียแล้ว 


 


 


นางหูพลันรู้สึกว่าของขวัญที่นางเตรียมมาโดยเฉพาะ เพื่อมอบให้กับคุณหนูคุณชายทั้งหลายในการพบหน้ากันครั้งแรกนั้นเป็นเรื่องน่าขบขันสิ้นดี ภายในห้องที่มีถ่ายร้อนอยู่ใต้ดิน อบอุ่นดุจวสันต์ฤดู แต่นางกลับคล้ายยืนอยู่ในถ้ำน้ำแข็งก็มิปาน 


 


 


กระทั่งกลับไปถึงเรือนฝั่งตะวันตก นางหูจึงร้องไห้ระบายความในใจออกมากับแม่นมคนสนิทอย่างสุดทน “แม่นม ข้าโง่จริงๆ ข้ารู้ว่าเป็นอนุนั้นยาก แต่คิดไม่ถึงว่าจะยากเพียงนี้!” 


 


 


แม่นมเห็นนางหูมาตั้งแต่เยาว์ ทราบดีว่านางถูกเลี้ยงมาอย่างบุรุษ แม้นจะพบเจอกับความลำบากเท่าใดก็มิเคยร่ำไห้เพียงนี้มาก่อน เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยอย่างห่วงใยว่า “ไท่ไท่ เรากลับเป่าหลิงดีหรือไม่เจ้าคะ ยามนี้ตระกูลหูได้ทำการค้ากับราชวงศ์แล้ว คุณชายรองก็นับวันเติบใหญ่ ภายหน้าท่านต้องมีชีวิตที่ดีแน่เจ้าค่ะ” 


 


 


คุณชายรองที่แม่นมพูดถึงก็คือฉีเกอน้องชายคนเล็กของนางหู เขาเพิ่งจะอายุสิบปี ร่ำเรียนอยู่ที่เป่าหลิงและดูแลกิจการไปด้วย 


 


 


“กลับหรือ? ไม่ได้! กลับไปแล้วจังเจอจะทำฉันใด?” นางหูเอ่ยเสียงสูงว่า “แม่นม ท่านเห็นหรือไม่ จังเกอมาที่นี่ก็มีหมอผู้เชี่ยวชาญมารักษาทันที หากอยู่เมืองเล็กๆ ที่กันดารเช่นนั้นจะไปมีอนาคตอันใดเล่า?” 


 


 


กล่าวถึงตรงนี้ก็ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงได้ “แม้แต่ฉีเกอ รอให้ข้าเข้าที่เข้าทางแล้วก็จะรับเขามาร่ำเรียนในเมืองหลวงเช่นกัน ได้ยินว่าสำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนมีแต่ผู้มีความสามารถ ลูกหลานขุนนางต่างร่ำเรียนที่นี่” 


 


 


แม่นมได้ฟังก็ดีใจยกใหญ่ “อาจารย์ต่างบอกว่าคุณชายรองฉลาดยิ่ง คิดว่าหากได้มาร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนคงไม่มีใครเทียบได้แน่เจ้าค่ะ” 


 


 


“ดังนั้นต่อให้ยากเย็นเพียงใด ข้าก็จะต้องทนให้ได้ แม่นม วันนี้สืบความมาได้อย่างไรบ้าง?” 


 


 


นางหูมีเงิน แค่ใช้เงินเปิดทางมีบ่าวไพร่คนใดจะไม่ยอมเปิดปากบ้าง แม่นมจึงรายงานเรื่องสำคัญที่สอบถามมาจากการหว่านเงินไปทั่วนั้นทันที “ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้ดูแลจวนนี้มาหลายปีแล้ว แต่นายท่านทั้งหลายต่างกตัญญูยิ่ง หากเอ่ยปากสิ่งใดก็ล้วนปฏิบัติตามทั้งสิ้น ปกติแล้วในจวนจะมีฮูหยินทั้งสามและต้าไหน่ไหน่ช่วยกันดูแล ฮูหยินรองสกุลเถียนดูแลจวนมาก่อนนับสิบปี ตามหลักแล้วย่อมต้องรู้เรื่องภายในจวนมากกว่าฮูหยินอีกสองคนอยู่ไม่น้อย แต่หากกล่าวถึงนายหญิงที่แท้จริงของจวนกั๋วกงย่อมต้องเป็นต้าไหน่ไหน่เจ้าค่ะ” 


 


 


“นางเจินผู้นั้นหรือ?” 


 


 


“เจ้าค่ะ” แม่นมมองซ้ายมองขวา แล้วเอ่ยเสียงแผ่วว่า “นายท่านและฮูหยินใหญ่เสียชีวิตไปนานแล้ว บุตรชายเพียงคนเดียวจึงรับตำแหน่งผู้สืบทอดไป นางเจินเป็นฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดทั้งยังเป็นเซี่ยนจู่ที่องค์จักรพรรดิเป็นผู้แต่งตั้งด้วยพระองค์เองอีกด้วย!” 


 


 


“ห๊ะ!” สตีสกุลหูซูดปากคราหนึ่ง รู้สึกเหลือเชื่อยู่บ้าง “เหตุใดจึงกลายเป็นเซี่ยนจู่เล่า? มิเห็นท่านพี่พูดเลยว่านางเจินเป็นราชนิกุลเลย” 


 


 


“นางกลับมาจากเป่ยเหอครานี้ พระชายาหย่งอ๋องก็รับนางเป็นบุตรบุญธรรมเจ้าค่ะ” 


 


 


“จริงหรือ เป็นเรื่องจริง…” 


 


 


เป็นคนเช่นกันแต่วาสนากลับต่างกันนัก! 


 


 


ความริษยาพาดผ่านไปบนใบหน้านางหู 


 


 


แม่นมจึงเอ่ยเตือนขึ้นว่า “ไท่ไท่ ในเมื่อต้าไหน่ไหน่เคยไปจวนสกุลหูก็แสดงว่านางมีวาสนากับท่าน ทั้งยังทำอาหารให้จังเกอกินอีกมิใช่หรือ ดูท่าคงเป็นคนจิตใจดีที่รักเด็กไม่น้อย” 


 


 


นางหูพลันคิดขึ้นได้จึงเอ่ยว่า “แม่นม ข้าเพิ่งมาถึงคงไม่สะดวกเดินไปไหนมาไหน เจ้าช่วยไปแทนข้าสักหน่อยเถิด เอากำไลริ้วทองคู่นั้นไปให้ต้าไหน่ไหน่ บอกว่าจังเกอจดจำความดีของนางไม่ลืมเลือน และขอวิธีทำอาหารที่นางทำคราก่อนด้วย” 


 


 


ขอวิธีทำอาหารนั้นย่อมเป็นเพียงข้ออ้างในการไปหาเท่านั้น ความจริงการตีสนิทกับเซี่ยนจู่ท่านนี้ให้ได้ต่างหากจึงเป็นเรื่องสำคัญ 


 


 


นางหูคิดแล้วก็หัวเราะออกมา พลางกำชับว่า “ต้าไหน่ไหน่ผู้นั้นยิ้มแย้มจิตใจดี แม่นม หากนางมีท่าทีเย็นชา เจ้าก็ขอร้องนางให้มากสักหน่อยย่อมต้องสำเร็จแน่” 


 


 


เจินเมี่ยวกำลังพับจดหมายที่จะส่งไปให้เจินเหยียน แล้วสั่งให้ชิงไต้นำจดหมายและของบำรุงไปส่งที่จวนรองเสนาบดี ครั้นได้ยินว่ามีแม่นมจากเรือนอวี้หยวนมาขอพบจึงให้พาคนเข้ามา 


 


 


“บ่าวคารวะต้าไหน่ไหน่เจ้าค่ะ” 


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มพลางเอ่ยว่า “แม่นมลุกขึ้นเถิด ไม่ทราบว่ามาที่นี่มีเรื่องใดหรือ?” 


 


 


อาสะใภ้สี่นั้นปกติเป็นคนรักสงบและเรียบง่ายจึงมิเคยส่งคนมาที่เรือนชิงเฟิงเลยสักครา 


 


 


แม่นมผู้นั้นจึงเอ่ยถึงเจตนาที่ตนมา 


 


 


เจินเมี่ยวตกใจยิ่ง “ที่แท้ก็มิใช่คนของอาสะใภ้สี่หรอกหรือ!” 


 


 


ผู้ใดไม่รู้จักถามให้แน่ชัดก็ปล่อยคนเข้ามา ประเดี๋ยวนางจะหักเบี้ยหวัดประจำเดือนเสียให้เข็ด!  

 

 


ตอนที่ 263 สตรีงามล่มเมือง

 

รอยยิ้มบนหน้าแม่นมแข็งค้างไปทันที พลันคิดถึงวาจาของนางหู นางจึงระบายยิ้มเต็มหน้าอีกครา “ต้าไหน่ไหน่ บ่าวเป็น…เป็นแม่นมคนสนิทของหูอี๋เหนียง คุณชายร่างกายอ่อนแอกินสิ่งใดมิค่อยได้ อี๋เหนียงทราบว่าท่านเป็นคนมีเมตตาทั้งรักเด็กจึงได้ยอมบากหน้าให้บ่าวมาขอวิธีทำอาหารจากท่านเจ้าค่ะ” 


 


 


เจินเมี่ยวเดินไปนั่งที่โต๊ะข้างหน้าต่างแล้วยกพู่กันขึ้นเขียนวิธีทำอาหาร นางเป่าหมึกให้แห้งแล้วส่งให้อาหลวนที่ยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่หันไปมองแม่นมผู้นั้นสักนิดแต่ปากก็เอ่ยว่า “เป็นข้าเองที่ละเลย อาหลวน เจ้าเอาวิธีทำอาหารนี้ไปให้อาสะใภ้สี่แล้วบอกด้วยว่าหากต่อไปต้องการสิ่งใดก็บอกข้าได้เลย อาสะใภ้มิจำเป็นต้องเกรงใจ” 


 


 


กล่าวจบจึงหันไปมองแม่นมผู้นั้น “จะให้อี๋เหนียงกังวลใจเรื่องของคุณชายอย่างไรเล่า” 


 


 


แม่นมปากแข็งค้างไปทันที ตั้งท่าอยู่นานจึงยกกำไลริ้วทองคู่หนึ่งขึ้นมา “นี้เป็นน้ำใจจากอี๋เหนียงเพื่อแสดงคำขอบคุณที่เคยช่วยดูแลคุณชายเจ้าค่ะ” 


 


 


เจินเมี่ยวโบกมือ “แม่นมรีบเก็บไปเถิด เรื่องวันนั้นข้าก็มิได้ลำบากอันใด ตอนนี้จังเกอกลายเป็นน้องชายของสามีข้าแล้วก็เท่ากับเป็นครอบครัวเดียวกัน ไหนเลยจักต้องเอ่ยคำขอบคุณอันใดเทือกนั้น ของพวกนี้ให้หูอี๋เหนียงเก็บไว้เถิด ต่อไปหากจะซื้อเครื่องประดับ เครื่องประทินโฉมต่างๆ ก็คงจำเป็นต้องใช้มัน” 


 


 


แม่นมโมโหจนแทบหลายหลังล้ม 


 


 


ต้าไหน่ไหน่ผู้นี้หมายความว่าใดกัน นางกำลังแช่งให้ไท่ไท่มิเป็นที่รักใคร่ของสามีหรือ ถึงจักต้องใช้เงินส่วนตัวในการดำรงชีวิต? 


 


 


เจินเมี่ยวมิได้ใส่ใจท่าทีประหม่านั้นของแม่นม เพียงส่งสายตาให้ไป่หลิงคราหนึ่ง “ไป่หลิง ยังไม่รีบไปส่งแม่นมอีก หูอี๋เหนียงเพิ่งมาถึงจวนจะให้คนรับใช้อยู่ห่างกายนานๆ ได้อย่างไร” 


 


 


“เจ้าค่ะ” ไป่หลิงยิ้มพลางเอ่ยรับคำ “แม่นม เชิญตามข้ามาเถิด” 


 


 


นางเอากำไลริ้วทองคู่นั้นใส่ลงในถุงหนังแล้วยัดใส่อกแม่นม 


 


 


แม่นมกำลังคิดจะเอ่ยอันใดบางอย่างก็เห็นเจินเมี่ยวลุกขึ้นหมุนกายเดินเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว 


 


 


แม่นมทั้งอับอายทั้งโมโหแต่ก็มิกล้าเอ่ยอันใดให้มากความอีก ได้แต่กอดกำไลริ้วทองคู่นั้นไว้ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนแล้วเดินตามไป่หลิงออกไป 


 


 


เมื่อเดินพ้นประตูจันทราก็ได้ยินสาวใช้น้อยผู้หนึ่งเอ่ยไล่หลังมาว่า “โถ่ แค่แม่นมของอนุกลับกล้ามาขอพบต้าไหน่ไหน่ มีเกียรติมากมายเท่าใดกัน!” 


 


 


“คิกๆ ผู้อื่นมิได้มีเกียรติใดนักแค่แก่ชราและหน้าหนามากต่างหาก!” 


 


 


เสียงสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา “พอแล้ว พวกเจ้าเป็นสาวใช้ในเรือนต้าไหน่ไหน่ อย่าได้เลียนอย่างสาวใช้ตระกูลเล็กๆ ที่ปากคอเราะรายมิอาจพาไปเชิดหน้าชูตาที่ใดได้!” 


 


 


สาวใช้น้อยทั้งหลายรีบเอ่ยขออภัยกันพัลวัน “พี่ไป่หลิงยกโทษให้ด้วยเจ้าค่ะ พวกเรามิกล้าอีกแล้ว” 


 


 


แม่นมเดินซัดเซจนแทบล้มคว่ำลงตรงหน้าประตูจันทราแต่กลับอับอายจนไม่กล้าหันกลับไปมองได้แต่วิ่งหนีไปอย่างทุลักทุเล 


 


 


สาวใช้น้อยผู้หนึ่งกลับอดหัวเราะคิกคักออกมามิได้ “พี่สาวทั้งหลาย ท่านเห็นหรือไม่ แม่นมผู้นั้นวิ่งเร็วดุจบินได้ เท้าใหญ่ยิ่ง…” 


 


 


“ว่างกันมาใช่หรือไม่ รีบไปกวาดหิมะเดี๋ยวนี้!” ไป่หลิงเอ่ยตำหนิขึ้น สาวใช้น้อยทั้งหลายต่างรีบสลายกลุ่มทันที 


 


 


ไป่หลิงเข้าไปในเรือนเพื่อรายงานเจินเมี่ยว 


 


 


เจินเมี่ยวกำลังกินยาที่จี้เหนียงจื่อจัดไว้ให้อยู่ เมื่อได้ฟังก็วางถ้วยยาลงแล้วเอ่ยว่า “หักเบี้ยหวัดประจำเดือนของสาวใช้ที่เฝ้าหน้าประตูหนึ่งเดือนให้พวกนางหลาบจำว่าต่อไปจะให้ผู้ใดเข้ามาต้องถามให้แน่ชัดเสียก่อน” 


 


 


นางอาจจะมิเจนจัดเรื่องรบราในเรือนแต่กลับเข้าใจดีว่ามีเพียงต่างคนต่างอยู่อย่างสงบจึงจะมิเกิดความวุ่นวาย 


 


 


เจินเมี่ยวยกถ้วยยาขึ้นดื่มอีก นางดื่มหมดไม่นานไปหลิงก็เข้ามารายงานอีกว่า “ต้าไหน่ไหน่ ฮูหยินผู้เฒ่าส่งคนมาแจ้งให้ท่านไปที่เรือนเจ้าค่ะ” 


 


 


เรียกตนไปในยามนี้ช่างแปลกนัก เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจยิ่งแต่กลับแสดงสีหน้านิ่งเฉย เมื่อสาวใช้ช่วยตนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็ไปที่เรือนอี๋อาน 


 


 


เมื่อเข้าไปในก็ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นแผ่วต่ำของสตรี เจินเมี่ยวกวาดตามองไปอย่างรวดเร็วก็เห็นนายท่านรองสกุลหลัวยืนก้มหน้า นางเถียนนั่งร่ำไห้อยู่ข้างฮูหยินผู้เฒ่า สตรีชุดเขียวนั่งคุกเข่าหันหลังให้นางอยู่ 


 


 


ครั้นเมื่อเห็นเจินเมี่ยวเข้ามา นางเถียนก็หยุดร้องไห้ทันทีแล้วหันมองฮูหยินผู้เฒ่าด้วยแววตาขุ่นเคืองอย่างยากจะปิดบัง 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยหน้าตึงว่า “พวกเจ้าอย่าได้ตำหนิที่ข้าเรียกหลานสะใภ้มา จวนแห่งนี้ไม่ช้าไม่นานก็ต้องไปอยู่ในมือนาง หากมิฟังให้มากดูให้มาก ต่อไปก็จะเลอะเลือนเหมือนกับพวกเจ้าที่เอาแต่สร้างความวุ่นวายให้ข้า” 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังพลั่ก “ลูกผิดไปแล้ว!” 


 


 


นางเถียนคุกเข่าลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก “สะใภ้ผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าคว้าโต๊ะตัวเล็กที่วางอยู่บนเตียงคั่งขึ้นโยนใส่นายท่านรองสกุลหลัว 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวมิกล้าหลบ โต๊ะเล็กตัวนั้นลอยเฉียดหน้าผากเขาไป เหลี่ยมโต๊ะกรีดเอาโลหิตเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าผากเขา 


 


 


โต๊ะตัวเล็กนั้นร่วงตกลงไปบนพื้นหินเกิดเสียงดังลั่นแต่มิได้แตกกระจาย มันกลิ้งตกไปอยู่ข้างเท้าของเจินเมี่ยวพอดี 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวถึงกับนั่งลงบนพื้นอย่างเพิ่งนึกหวาดกลัวย้อนหลัง 


 


 


เจินเมี่ยวก้มหน้ามองโต๊ะที่กำลังหมุนติ้วๆ อยู่นั้นแล้วหันไปมองนายท่านรองสกุลหลัวที่หน้าซีดเผือดทั้งมีรอยแผลบนหน้า สายตาที่มองฮูหยินผู้เฒ่านั้นมีเพียงความนับถือ 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าช่างโยนแม่นนักทำเอานายท่านรองสกุลหลัวจนใจจนสิ้นเรี่ยวแรงล้มไม่เป็นท่าแต่ก็มิได้ตีจนคนตาย 


 


 


ทำได้งดงามยิ่ง! 


 


 


ตั้งแต่ทราบความลับของหลัวเทียนเฉิง นางก็หมดสิ้นความรู้สึกดีๆ ต่อสองสามีภรรยานี้ไปโดยปริยาย 


 


 


นางจึงมิได้ขอร้องอันใด เมื่อคนที่เกลียดมิเบิกบานใจ นางก็ย่อมต้องเบิกบานใจ 


 


 


เจินเมี่ยวเดินผ่านโต๊ะตัวเล็กนั้นไปอย่างระมัดระวัง เมื่อเดินไปถึงฮูหยินผู้เฒ่านางก็นั่งลงเอ่ยว่า “ท่านย่า ท่านอย่าวู่วามไปเลย มีเรื่องใดก็ค่อยๆ พูดกันเถิด” 


 


 


คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับใจเย็นลงจริงๆ สายตาที่มองนายท่านรองสกุลหลัวเต็มไปด้วยความผิดหวัง “เจ้ารอง ข้าเข้าใจมาตลอดว่าเจ้าเป็นคนสุขุม หลังจากที่พี่ใหญ่เจ้าจากไป หลายปีมานี้ตระกูลเราก็ได้เจ้าคอยค้ำจุน แต่เจ้าดูตัวเจ้ายามนี้ เจ้าทำตัวเป็นแบบอย่างเช่นใดให้กับชนรุ่นหลังหรือ? เลี้ยงอนุนอกเรือนคนแล้วคนเรา ต้องการทำให้จวนกั๋วกงเรามีสายเลือดอื่นปะปนเข้ามาหรือ? หากภายหน้าท้องของอนุนอกเรือนเจ้าโตขึ้น จวนกั๋วกงเราจะยอมรับหรือไม่ยอมรับดีเล่า?” 


 


 


ขึ้นชื่อว่าอนุนอกเรือนนั้นฐานะต่ำต้อยยิ่ง เพราะพวกนางมิใช่อนุในเรือนที่แยกจากบ่าวไพร่ชายอย่างชัดเจน แต่อยู่ในเรือนพักอย่างชาวบ้านทั่วไป บุรุษก็มิได้ไปหาทุกวัน หากพูดหยาบหน่อยก็คือผู้ใดจะกล้ารับรองว่าบุตรในครรภ์จะเป็นของบุรุษผู้นั้นจริงๆ เล่า? 


 


 


บุตรที่อนุนอกเรือนตั้งครรภ์นั้นเป็นของบุรุษอื่นแต่ต่อมาถูกรับไปเลี้ยงเป็นคุณชายสุดท้ายกับก่อให้เกิดเรื่องน่าขบขันก็มิใช่ไม่เคยมี 


 


 


“ลูก ลูกผิดไปแล้วขอรับ” นายท่านรองสกุลหลัวมองไปที่สตรีชุดเขียวที่นั่งคุกเข่าหลังตรงผู้นั้นคราหนึ่งแล้วกัดฟันเอ่ยว่า “ลูกอายุปูนนี้กลัวว่าลูกหลานจะขบขันจึงได้ให้นางเป็นอนุนอกเรือน ท่านแม่ ท่านโปรดรับปากให้ลูกรับเยียนเหนียงมาอยู่ในเรือน แต่นี้ต่อไปลูกจักมิไปทำตัวเหลวไหลนอกจวนอีก” 


 


 


เจินเมี่ยวมองตามสายตาของนายท่านรองสกุลหลัวไป เมื่อมองสตรีชุดเขียวอย่างละเอียดแล้วนั้นก็ลอบถอนหายใจออกมามิได้ 


 


 


สตรีงามล้ำดุจบุปผาในลำธารใสที่ธรรมชาติสร้างขึ้นเช่นนี้นางมิเคยพบเจอเลยสักครา! 


 


 


หากนำไปเปรียบกับไท่เฟยก็เป็นความงามที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง 


 


 


นางไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ นายท่านรองสกุลหลัวสามารถทำลายนางงามเช่นนี้ได้ รูปโฉมงดงามเพียงนี้จะเข้าวังไปเป็นพระสนมยังได้เลย 


 


 


ควรต้องทราบว่าอู๋กุ้ยเฟยที่เป็นที่โปรดปรานในยามนี้ก็เป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านทั่วไปเท่านั้น มิแปลกที่นายท่านรองสกุลหลัวจะแบกใบหน้าชราของตนเอ่ยปากปกป้อง 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าได้แต่ลอบด่าว่าอัปรีย์อยู่ในใจ 


 


 


ความงามเช่นนี้นั้นเป็นดั่งหายนะโดยแท้ ทว่าเมื่อท่าทีเจ้ารองแล้วก็เห็นชัดว่ารักนางจริงๆ หากขายทิ้งไปเช่นอนุนอกเรือนคนก่อน เกรงว่าคงแลกมากซึ่งบาดแผลในความสัมพันธ์ของแม่ลูกและความบาดหมางของสามีภรรยาแล้ว 


 


 


ขวางไว้มิสู้ปล่อยไป 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ายกมือขึ้นคราหนึ่ง “หงฝูพาเยียนเหนียงไปส่งที่เรือนซินหยวนก่อน” 


 


 


นายท่านรองมีสีหน้ายินดียิ่ง “ขอบพระคุณท่านแม่ยิ่งที่ช่วยให้ลูกสมหวัง” 


 


 


“เจ้ารอง!” ฮูหยินผู้เฒ่าเคาะไม้เท้าตนโดยแรง แล้วเอ่ยเสียงดุดันว่า “แต่ให้เป็นแค่สาวใช้ทงฝัง ช่วยให้สมหวังอันใดกัน หากเจ้ายังพูดจากเหลวไหลอีก ข้าจะตีเจ้าให้ขาหักเดี๋ยวนี้!” 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวเอ่ยรับคำตามที่ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยทุกประการ แต่จิตใจกลับลอยตามเยียนเหนียงไปไกลแล้ว 


 


 


นางเถียนกัดริมฝีปากตนแน่นกระทั่งรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวเลือดจึงสามารถสงวนท่าทีตนไว้ได้ 


 


 


นางรู้ดีว่าท่านพี่คงจะลุ่มหลงสตรีนอกเรือนนั้นเป็นอย่างมากแต่คิดไม่ถึงว่าจะงดงามหยาดเยิ้มเพียงนี้ 


 


 


สวรรค์คงรังเกียจที่ก่อนหน้านี้นางมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายมาหลายสิบปีจึงได้ส่งปีศาจนั้นมาทรมานนาง! 


 


 


ครานี้จักต้องจับตาดูสตรีผู้นั้นไม่วางตา คอยดูว่านางก่อเรื่องอันใดขึ้นมาได้อีกบ้าง 


 


 


“เอาล่ะ เจ้ารอง เจ้าก็ออกไปเถิด” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด 


 


 


กระทั่งนายท่านรองสกุลหลัวจากไปแล้ว ดวงตาที่ปิดไว้ครึ่งหนึ่งนั้นก็ลืมขึ้นมองไปที่นางเถียน “นางเถียน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนทำพลาดที่ตรงใด?” 


 


 


นางเถียนก้มหน้าต่ำ เมื่อต้องเอ่ยวาจาต่อหน้าเจินเมี่ยวเช่นนี้ใบหน้านางก็ร้อนเป็นไฟขึ้นมา “สะใภ้มิควรวิวาทกันจนเดือดร้อนถึงฮูหยินผู้เฒ่า แค่อนุนอกเรือนผู้หนึ่ง รับกลับมาดูแลไว้ในเรือนก็สิ้นเรื่องแล้ว” 


 


 


เดิมนางก็คิดเช่นนั้นแต่เมื่อเห็นรูปโฉมของสตรีผู้นั้นนางกลับไร้หนทางที่จะสงบใจได้อีกต่อไป 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าหลับตาลง เอ่ยแผ่วเบาจนมิอาจได้ยินว่า “โง่!” 


 


 


นางเถียนอยู่ไกลจึงได้ยินไม่ถนัด แต่เจินเมี่ยวยานั่งคุกเข่าคอยบีบนวดให้ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ด้านข้างกลับได้ยินชัดถนัดหูยิ่ง 


 


 


“นางเถียน ซูเหนียงนั้นรูปโฉมธรรมดา อุปนิสัยอ่อนโยน แต่เจ้ากลับมิยอมรับ วิวาทกันอยู่กลางถนนจนเจ้ารองต้องถูกลดตำแหน่ง ซูเหนียงก็แท้งและถูกขายไปแล้ว ยามนี้มีเยียนเหนียงที่งามจนก่อหายนะได้ เจ้ากลับไปพานางกลับมาด้วยเหตุใด?” 


 


 


นางเถียนทำปากขมุบขมิบขึ้นคราหนึ่ง 


 


 


“หากเจ้ามีสติสักหน่อย พบเจอสตรีงามเช่นเยียนเหนียงเจ้าก็ควรแสร้งทำเป็นไม่รู้ อนุนอกเรือนดั่งจอกแหนไร้ราก ภายหน้าพบเจอผู้มั่งมีแล้วเกิดติดตามเขาไป เจ้ารองจะทำอันใดได้?” 


 


 


วาจานี้ดุจน้ำเย็นราดลงบนศีรษะปลุกให้นางเถียนตื่นขึ้น นางจึงอดหงุดหงิดใจอย่างที่สุดมิได้ 


 


 


ใช่แล้ว หากนางเก็บโทสะตนไว้แล้ว แล้วผ่านไปอีกสักพักค่อยวางแผนให้ผู้มั่งคั่งสักคนไปพบกับเยียนเหนียง เช่นนี้ทุกคนก็ได้สมใจปรารถนาแล้ว! 


 


 


“ฮูหยินผู้เฒ่า ข้า ข้า…” นางพลันเสียใจและแค้นใจขึ้นมาในเวลาเดียวกัน 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นยิ้มเสียงเย็น “ตอนนี้เจ้าเอานางเข้ามาอยู่ในจวนแล้ว ยังหวังจะให้ไล่นางออกไปเช่นซูเหนียงอีกหรือ? เช่นนั้นก็มิต้องพูดถึงอื่นใด ความรักของพวกเจ้าสามีภรรยาคงได้สิ้นสุดลงแน่ พวกเจ้าต่างอายุมากกันแล้ว ข้าคร้านจะใส่ใจ แต่อย่างไรก็ยังมีหลานชายข้าอีกสองคน” 


 


 


นางเถียนนั่งลงอย่างอ่อนแรง 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ “เจ้าเป็นผู้ดูแลเรือน ประเดี๋ยวเจ้ารอง เจ้าสามก็ต้องแต่งภรรยามีบุตร เจ้ามิจำเป็นต้องคอยแต่จ้องสาวใช้ทงฝังประหนึ่งไก่ชน รอให้ผ่านช่วงข้าวใหม่ปลามันผ่านไป คนก็อยู่ในเรือนของเจ้าหนีไปไหนมิได้ เขาก็จะค่อยๆ เบื่อไปเอง” 


 


 


อย่างไรก็มิใช่หนุ่มน้อยอายุสิบกว่าแล้ว เขาจะเอาแต่ลุ่มหลงสาวใช้ทงฝังผู้หนึ่งไม่เสื่อมคลายเลยเชียวหรือ? 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือคราหนึ่งเป็นสัญญาณให้นางเถียนออกไปได้  

 

 


ตอนที่ 264 แมวขาว

 

ครั้นนางเถียนจากไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “หลานสะใภ้ เจ้าดูเถิด ไม่ว่าจะไปสู้ศึกในสนามรบหรือแก่งแย่งในเรือนหลัง บางคราการพูดจาด้วยเหตุผลกลับง่ายกว่า เจ้ามิอาจเอาแต่จะโจมตีฆ่าฟันศัตรูนับพัน ตนล้มตายแปดร้อย บางคราเจ้าคิดว่าเจ้าชนะแล้วแต่ความจริงกลับพ่ายแพ้อย่างราบคาบ บางคราการยอมถอยสักก้าวก็เพื่อให้ได้ชัยชนะที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า” 


 


 


เจินเมี่ยวใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความนับถือมองฮูหยินผู้เฒ่า 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าช่างเป็นผู้มีความสามารถโดยแท้ ผู้ใดบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงมิเก่งกาจในการดูแลเรือน ผู้อื่นเพียงแค่คร้านจะใช้มีดฆ่าโคเชือดระกา[1] เท่านั้น 


 


 


ครั้นเห็นหลานสะใภ้ฉลาดทั้งยังเชื่อฟัง ฮูหยินผู้เฒ่าก็คลายโทสะลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยความรู้สึกอันล้ำลึกว่า “หลานสะใภ้ เจ้ากับต้าหลังอายุยังน้อย กล่าวไปแล้วก็เป็นช่วงเวลาอันดีที่จะสร้างสมความรู้สึกดีๆ ต่อกัน ความสัมพันธ์ของสามีภรรยานั้นมักค่อยๆ ถอยห่างกันออกไปอย่างไม่รู้ตัว เมื่อหันกลับมาอีกครากลับมิอาจเป็นเช่นเดิมได้แล้ว ดั่งคำกล่าวที่ทั้งชิดใกล้ทั้งห่างไกลนั้นไซร้คือสามีภรรยา” 


 


 


เจินเมี่ยวได้ฟังวาจานี้แล้วก็ครุ่นคิดตาม 


 


 


นางอยากจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับซื่อจื่อแต่กลับมิเคยคิดถึงเรื่องความรักเลย 


 


 


หากเป็นเช่นนี้ความเจ็บปวดที่ได้รับอาจน้อยยิ่งแต่มิใช่ว่าจะเกิดความน่าเสียดายอีกชนิดหนึ่งขึ้นแทนหรือ? 


 


 


แต่จะว่าไป ความรักนั้นเป็นสิ่งอัศจรรย์ยิ่ง มิใช่ตนบอกว่าอยากจะมีก็จะมีได้เสียที่ไหน ภพก่อนนางก็มิเคยมีความรู้สึกพิเศษใดกับบุรุษเลย ครั้นยามนี้หรือ…เพราะมีเรื่องต่างๆ คอยเข้ามาบกวนทำให้นางยิ่งไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วตนรู้สึกเช่นไรกับซื่อจื่อกันแน่ 


 


 


เป็นครั้งแรกที่เจินเมี่ยวรู้สึกวุ่นวายจิตใจขึ้นมา ครั้นกลับไปถึงเรือนชิงเฟิงก็นั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟยอย่างไม่รู้จะทำฉันใด 


 


 


จื่อซูเห็นเช่นนั้นก็ส่งสายตาให้เจี้ยงจู เจี้ยงจูเข้าใจทันทีจึงไปเอาจิ่นเหยียนเข้ามาในห้อง 


 


 


จิ่นเหยียนถูกเลี้ยงจนเชื่องแล้ว เมื่อออกจากกรงก็บินเข้าไปตรงหน้าเจินเมี่ยว อ้าปากร้องว่า “แม่นางคนงาม” 


 


 


เจินเมี่ยวชินกับการเกี้ยวพาของนกเอี้ยงก้นลายตัวนี้จนมิเห็นเป็นเรื่องแปลกเสียแล้ว นางรับอาหารนกจากเจี้ยงจูมาป้อนให้จิ่นเหยียน ยิ้มพลางเอ่ยเย้าว่า “พ่อจอมยุทธ์หนุ่ม เจ้าไม่รู้ดอกว่าวันนี้มีสตรีงามล้ำผู้หนึ่งมาที่จวนเราด้วย น่าเสียดายที่เจ้าไม่มีโอกาสเห็น” 


 


 


จิ่นเหยียนใช้จงอยไซ้ขน หัวของมันส่ายไปส่ายมา นัยน์ตาเล็กๆ นั้นดูเหม่อลอย ว่าไปแล้วมันก็เป็นเพียงนกเอี้ยงก้นลายตัวหนึ่ง ไหนเลยจะฟังภาษาคนเข้าใจ? 


 


 


ทว่าสาวใช้ทั่วทั้งห้องกลับแปลกใจยิ่ง 


 


 


เจินเมี่ยวใจดีกับบรรดาสาวใช้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไป่หลิงจึงกล้าเอ่ยถามออกไปว่า “ต้าไหน่ไหน่ ท่านผู้นั้นเป็นสตรีงามล้ำยิ่งจริงหรือเจ้าคะ?” 


 


 


เรื่องที่นายท่านรองสกุลหลัวนำอนุนอกเรือนกลับมาทั้งยังถูกส่งไปอยู่ที่เรือนซินหยวนมิได้ถูกขายทิ้งไปนั้นแพร่กระจายไปทั่วจวนนานแล้ว 


 


 


เรือนชิงเฟิงมีฐานะพิเศษ ทั้งหลัวเทียนเฉิงยังมีตำแหน่งขุนนางระดับสูงอีก ทำให้ผู้คนต่างมิกล้าละเลยเรือนชิงเฟิง แม้นไม่มีผู้ใดไปสอบถามก็จะมีคนมาบอกเล่าเรื่องราวสัพเพเหระเหล่านี้เอง 


 


 


“งดงามหยาดเยิ้มจริงๆ” เจินเมี่ยวระลึกถึงความรู้สึกอึ้งงันยามได้มองนางแล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างทอดถอนใจ 


 


 


เจินเมี่ยวมองไปโดยรอบคราหนึ่งแล้วเอ่ยกำชับว่า “นางเป็นคนของบ้านรอง โอกาสที่จะได้พบเจอนั้นคงไม่มาก แต่ต่อไปหากได้พบก็ให้อยู่ให้ห่างไกล หญิงงามมักก่อให้เกิดหายนะ” 


 


 


สาวใช้หลายคนมองสบตากันแล้วกลั้นยิ้มเอาไว้ ต่างคิดในใจว่าวาจานี้ของต้าไหน่ไหน่นั้นคล้ายลืมไปว่าตนเองมีรูปโฉมเช่นไร แค่สาวใช้ทงฝังผู้หนึ่งย่อมมิอาจนำมาเปรียบกับต้าไหน่ไหน่ของพวกนางได้ 


 


 


สาวใช้หน้าตาสะสวยพูดคุยหยอกล้อกันไปมาทำให้อารมณ์เจินเมี่ยวดีขึ้นมาทันใด 


 


 


ยังมิทันเห็นคนก็ได้ยินเสียงของเชวี่ยเอ๋อร์ดังลอยเข้ามาก่อนแล้ว “ต้าไหน่ไหน่ วันนี้ซื่อจื่อส่งแมวงดงามตัวหนึ่งมาให้ท่านเจ้าค่ะ” 


 


 


ไป่หลิงกัดฟันเอ่ยขึ้นว่า “เชวี่ยเอ๋อร์ผู้นี้นับวันยิ่งไร้กฎระเบียบไปทุกทีแล้ว” 


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์แหวกม่านเดินเข้ามาแล้วหัวเราะคิกคักพลางเอ่ยว่า “พี่ไป่หลิงด่าข้าอีกแล้วหรือ ต้าไหน่ไหน่ท่านดูสิเจ้าคะ บ่าวพูดไม่ผิดเลยใช่หรือไม่?” 


 


 


มิทันรอให้เจินเมี่ยวพูดอันใด สาวใช้หลายคนก็กรูเข้าไปรุมล้อม 


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์อุ้มแมวตัวไม่ใหญ่นักนั้นไว้ในอ้อมแขน ขนของมันทั้งขาวทั้งยาวทั้งหนา ดูท่าน่าจะอุ่นยิ่ง โดยเฉพาะตาของมัน ข้างหนึ่งเป็นสีฟ้าใส อีกข้างเป็นสีเหลืองอำพัน 


 


 


แม้นแต่จื่อซูและไป๋เสาที่แสนสุขุมยังอดมองอยู่หลายครามิได้ 


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์เดินอุ้มแมวขาวนั้นเข้ามา “ต้าไหน่ไหน่ แมวนี้สวยงามใช่หรือไม่เจ้าคะ ได้ยินพี่หลัวเป้าบอกว่าแมวตัวนี้นั่งเรือข้ามน้ำมาจากแดนไกล ซื่อจื่อใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหามันมาได้” 


 


 


นางพูดพลางส่งแมวไปให้เจินเมี่ยว 


 


 


ตั้งแต่เจี้ยนอานปั๋วบังคับให้นางรับเจ้านกเอี้ยงก้นลายนี้ไว้ เจินเมี่ยวกลับพบว่าน่าสนใจและสนุกยิ่งเมื่อได้เห็นแมวปัวซือ[2]ที่ยากนักจะพบเห็นได้ในต้าโจวก็ย่อมต้องรู้สึกสนใจจึงยื่นมือออกไปรับมันมา 


 


 


เวลานี้เองจึงได้ยินเสียงพึ่บพั่บดังขึ้น จิ่นเหยียนที่อยู่ข้างกายนางพลันบินเข้าไปใช้กรงเล็บสองข้างของมันขย้ำขนอันยาวนุ่มของแมวทันที 


 


 


เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่ง เชวี่ยเอ๋อร์กรีดร้องคราหนึ่งแล้วปล่อยมือ 


 


 


แมวและนกต่างก็ร่วงตกลงพื้น พริบตาขนนกและขนแมวก็ปลิวว่อน เสียงนกและแมวดังประสานกัน จิ่นเหยียนที่ขยุ้มไม่ปล่อยก็เอ่ยคำด่าว่าซึ่งมิทราบเรียนมาจากที่ใดออกมา แมวหนึ่งนกหนึ่ง วิวาทกันพัลวันชุลมุนไปหมด 


 


 


เจินเมี่ยวมีสติคืนมาก่อนผู้ใด นางมองไปรอบๆ คราหนึ่ง 


 


 


ดีมาก บรรดาสาวใช้น้อยต่างตกใจอึ้งงันไปหมด 


 


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของเจินเมี่ยว คนทั้งหลายจึงเริ่มรู้สึกตัว 


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์อยู่ใกล้ที่สุดจึงเข้าไปแยกพวกมันออกจากกัน เจินเมี่ยวรีบร้องห้าม “อย่าเข้าไป หากถูกข่วนคงไม่ดีแน่!” 


 


 


ไม่แน่อาจจะมีโรคพิษสุนัขบ้าก็เป็นได้ แม้นจะเพียงแค่บาดทะยักอักเสบ แต่หากอยู่ในยุคสมัยนี้ก็อาจตายได้เช่นกัน 


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นไม่เดินเข้าไปแต่ก็ไม่ถอยออกมาเช่นกัน 


 


 


เวลานี้เองชัยชนะของแมวและนกจึงปรากฏขึ้น จิ่นเหยียนยืนเหยียบอยู่บนตัวแมว แล้วร้องขึ้นด้วยความภาคภูมิ 


 


 


เจี้ยงจูจึงอาศัยจังหวะนี้เดินเข้าไปอย่างเงียบๆ แล้วจับปีกจิ่นเหยียนไว้แน่นด้วยความรวดเร็ว นางยกมันขึ้น แต่จิ่นเหยียนไม่ยินยอม มันยกกรงเล็บขึ้นข่วนหลังแมวขาวตัวนั้นคราหนึ่ง 


 


 


แมวขาวเองก็ฉลาดเช่นกัน เมื่อมันเห็นจิ่นเหยียนถูกจับไว้ก็เปลี่ยนจากท่าทีน่าสงสารเมื่อครู่เป็นการกระโดดงับขาจิ่นเหยียนทันที 


 


 


จิ่นเหยียนร้องขึ้นเตรียมเอาคืน 


 


 


แมวขาวกลับวิ่งหนีออกไปข้างนอก 


 


 


แมวกับนกข่วนกัดกันกลิ้งหลุนๆ ออกไปด้านนอก 


 


 


เจินเมี่ยวกุมขมับตน…นางคิดว่าภายหน้าคงคึกคักกว่านี้เป็นแน่ 


 


 


ลางสังหรณ์ของนางไม่ผิดสักนิด หลังจากวันนั้นทุกคราที่จิ่นเหยียนและแมวตัวนั้นที่นางตั้งชื่อมันว่า ‘ไป๋เสวี่ย’ พบหน้ากันต่างก็เข้าไปขยุ้มอีกฝ่ายทันทีอย่างไม่มีทางดีต่อกันได้ 


 


 


เจินเมี่ยวพบว่าสาวใช้ในเรือนกลับมือเท้าว่องไวขึ้นมากพอๆ กัน ยามกินข้าวก็ตักเพิ่มขึ้นอีกครึ่งชาม 


 


 


หลังจากผ่านเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นอีกครั้ง เจินเมี่ยวก็กัดฟันเอ่ยว่า “ใกล้จะถึงเทศกาลวันตรุษแล้ว ไปสอบถามที่เรือนหน้าสักหน่อยเถิดว่าซื่อจื่อจะกลับมาวันใด” 


 


 


นางรับรองว่าจะไม่คิดบัญชีกับเขาแน่! 


 


 


เมื่อหลัวเทียนเฉิงฟังถึงเจตนาที่หลัวเป้ามาหาตนก็อดยกมุมปากขึ้นยิ้มมิได้ สตรีล้วนชมชอบแมว นก อันใดพวกนี้ไม่มีผิดจริงๆ 


 


 


“ต้าไหน่ไหน่เห็นแมวแล้วมีท่าทีเช่นไรบ้าง?” 


 


 


“เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ แต่ตอนนี้แม่นางเชวี่ยเอ๋อร์อุ้มแมวไปก็ดูเบิกบานใจยิ่ง ข้าน้อยคิดว่าต้าไหน่ไหน่จักต้องชอบอย่างแน่นอนขอรับ มิฉะนั้นคงมิส่งคนมาถามข้าว่าท่านจะกลับเมื่อใดแน่ ทั้งที่ข้าก็ไปส่งของขวัญให้ต้าไหน่ไหน่อยู่หลายคราแล้ว” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงพลันเผยรอยยิ้มออกมา “ไป กลับจวนวันนี้แล” 


 


 


คนทั้งสองขี่ม้ากลับไปที่จวนกั๋วกง ในที่สุดหลัวเป้าที่ยึกๆ ยักๆ อยู่นานก็เอ่ยขึ้นมาในระหว่างทางว่า “ซื่อจื่อ ข้าน้อย…ข้าน้อยอยากจะขอร้องท่านอยู่หนึ่งขอรับ” 


 


 


“พูดมาเถิด” หลัวเทียนเฉิงกำลังอารมณ์ดี มุมปากเคลือบรอยยิ้ม 


 


 


หลัวเป้าหน้าแดงขึ้นมา 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้น “มีเรื่องใดที่ยากจะเอ่ยปากเช่นนั้นหรือ?” 


 


 


“ข้าน้อย…” 


 


 


รออยู่นานก็ไร้วี่แวว หลัวเทียนเฉิงจึงหน้าบึ้งขึ้น “เป็นบุรุษกลับทำอ้ำอึ้งเป็นสตรี หากไม่พูดอีก เจ้าก็ไม่ต้องพูดแล้ว” 


 


 


ครานี้หลัวเป้าจึงร้อนใจขึ้นมา เขาหลับตาเอ่ยออกไปทันควันว่า “ข้าน้อยชอบ…ต้าไหน่ไหน่…ต้าไหน่ไหน่…” 


 


 


วาจายังมิทันกล่าวจบก็ถูกหลัวเทียนเฉิงถีบตกจากหลังม้า 


 


 


หลัวเป้าร้องโหยหวนออกมาโดยมิสนใจสายตาแปลกประหลาดขอผู้คนที่สัญจรไปมา เขากุมท้องพลางกระโดดขึ้นหลังม้า แล้วเอ่ยขึ้นอย่างน่าเวทนาภายใต้สายตาพิฆาตของนายตน “ซื่อจื่อ ข้างกายต้าไหน่ไหน่มีสาวใช้ผู้หนึ่ง ข้าน้อยชมชอบนางผู้นั้นขอรับ แต่ต่อให้ท่านไม่รับปากก็มิควรทำเพียงนี้กระมัง” 


 


 


“สาวใช้ของต้าไหน่ไหน่หรือ?” หลัวเทียนเฉิงลูบจมูกตนคราหนึ่ง 


 


 


หลัวเป้าเป็นถึงองครักษ์ประจำตัวของหลัวเทียนเฉิง ย่อมต้องมิใช่คนโง่ ครั้นเห็นท่าทีประหม่าของอีกฝ่ายก็อดแสดงสีหน้าอึ้งงันออกมามิได้เมื่อทราบว่าเหตุใดเขาจึงถูกถีบตกม้า 


 


 


ซื่อจื่อ ซื่อจื่อมิจำเป็นต้องหึงหวงถึงเพียงนี้กระมัง 


 


 


อีกอย่างต่อให้เขาคิดอันใดต่อต้าไหน่ไหน่จริงก็คงมิเอ่ยออกไปตามตรงเช่นนี้กระมัง? ไม่ทราบว่านายท่านของเขาคิดได้อย่างไร 


 


 


โธ่เอ้ย ตีให้ตายเขาก็ไม่ทางมีความคิดเช่นนั้นแน่! 


 


 


ไม่ได้การแล้ว เขาคิดเรื่องเหลวไหลอันใดอยู่หรือ 


 


 


หลัวเป้าตบหน้าผากตน 


 


 


หลัวเทียนเฉิงทราบว่าตนวู่วามเกินไปก็มีท่าทีอ่อนลงเล็กน้อย “เป็นอันใดหรือ?” 


 


 


“ข้าน้อยปวดท้องขอรับ!” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงมองหลัวเป้าที่กุมหน้าผากตนไว้แล้วออกหัวเราะเสียงดังออกมามิได้ “ยังดีที่เจ้ามิได้บอกว่าเจ็บก้น!” 


 


 


หลัวเป้ารีบวางมือลงทันใด สีหน้าดังคนจะร้องไห้แต่กลับไร้น้ำตา 


 


 


ซื่อจื่อไม่ควรจะรังแกกันเกินไปเช่นนี้! 


 


 


“เจ้าชมชอบคนใดหรือ เชวี่ยเอ๋อร์?” 


 


 


หลัวเป้ารีบส่ายหน้า ครานี้มิกล้าอ้ำอึ้งเพราะเขินอายอีก “มิใช่ๆ ข้าน้อยชอบแม่นางจื่อซูขอรับ” 


 


 


“จื่อซู?” หลัวเทียนเฉิงนึกอยู่ครู่หนึ่ง ข้างกายเจินเมี่ยวมีสาวใช้ชุดสีม่วงผู้หนึ่งที่มิใคร่พูดจาอยู่ผู้หนึ่ง ดูท่าก็น่าจะอายุไม่น้อยแล้ว 


 


 


หลัวเป้าอายุยี่สิบกว่าแล้ว หากทั้งสองคนลงเอยกันได้ก็ดูเหมาะสมกันยิ่ง 


 


 


“ซื่อจื่อ?” หลัวเป้ามองหลัวเทียนเฉิงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด 


 


 


“รอกลับไปแล้วข้าจะพูดกับต้าไหน่ไหน่ดู แต่จื่อซูเป็นสาวใช้ขั้นหนึ่งของต้าไหน่ไหน่ บางทีนางอาจจะมีความคิดอื่นใดไว้แล้วก็เป็นได้” 


 


 


“มีความคิดอื่นใดไว้แล้ว?” สายตาที่หลัวเป้ามองหลัวเทียนเฉิงพลันแปลกไป 


 


 


แยกแล้ว เหตุใดเขาจึงลืมไปได้ สาวใช้ที่ติดตามคุณหนูออกเรือนนั้นโดยมากมักถูกจัดเตรียมไว้เพื่อเป็นสาวใช้ทงฝัง 


 


 


ที่ซื่อจื่อถีบเขานั้นไม่ผิดเลยจริงๆ! 


 


 


“สายตาเช่นนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร?” หลัวเทียนเฉิงเห็นแล้วก็พาลโมโห “ที่บอกว่าอาจมีความคิดอื่นใดคือต้าไหน่ไหน่อาจจะคิดจะยกสาวใช้ผู้เก่งกาจของนางให้กับพ่อบ้านผู้ดูแลจวนก็ได้ เจ้าได้คิดเรื่องที่มันไม่มีทางเกิดขึ้นเหล่านั้นเด็กขาด!” 


 


 


หลัวเป้าพลันเบิกบานใจขึ้นมาจึงผลิยิ้มทึ่มทื่อพลางเอ่ยว่า “ต้าไหน่ไหน่ได้เรียกข้าน้อยไปพบแล้วขอรับ” 


 


 


“หืม?” หลัวเทียนเฉิงรู้สึกว่าเขาจะอยากถีบคนขึ้นมาอีกแล้ว 


 


 


หลัวเป้าจึงรีบเล่าเรื่องวันนั้นทันที 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเตือนอย่างคนคิดการณ์ไกลว่า “หลัวเป้า เจ้าแต่งกับผู้อื่นข้ามิยุ่ง แต่แต่งกับสาวใช้คนสนิทของต้าไหน่ไหน่ หากภายหน้าเจ้ารังแกนาง ทำให้ต้าไหน่ไหน่ไม่พอใจต่อข้า ข้าก็จะไม่ไว้หน้าเจ้าเช่นกัน เมื่อรู้ว่าต้องเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังอยากจะแต่งอยู่หรือไม่? เจ้าคิดให้ดีแล้วค่อยพูดเถิด” 


 


 


“มิต้องคิดแล้วขอรับ หากข้าน้อยมีวาสนาเช่นนั้นแล้วจักต้องดูแลแม่นางจื่อซูอย่างดีแน่นอนขอรับ หากภายหน้ามีสิ่งใดที่ทำไม่ดีก็ยินยอมให้ซื่อจื่อตำหนิและลงโทษขอรับ” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงพยักหน้าอย่างพอใจ หลังจากถึงจวนก็ไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าแล้วกลับเรือนชิงเฟิงทันที 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ใช้มีดฆ่าโคเชือดระกา เปรียบเปรยว่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ออกแรงมากโดยไม่จำเป็นคล้ายสำนวนไทย ขี่ช้างจับตั๊กแตน 


 


 


[2] แมวปัวซือ คือแมวเปอร์เซีย 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม