เล่ห์รักกลกาล 257-265

ตอนที่ 257 เยี่ยนไม่ยอมให้ใครทำร้ายเจ...

 

คล้ายกับการรักษาชีวิตยามเดินทางเมื่อคืน


 


 


เป่ยเฉินอี้เอ่ยออกมาว่าสร้างสถานการณ์สังหารจิ่วหุนไว้แต่แรก เช่นนั้นก็หมายความว่า ทันทีที่เป่ยเฉินอี้รู้สึกถึงความอันตราย ก็จะลงมือกับจุดอ่อนของผู้อื่น เพื่อนำมาคานอำนาจอีกฝ่ายให้สถานการณ์ตรงหน้าสงบลง


 


 


เมื่อนางเอ่ย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับยิ้มแล้ว ดวงตาร้ายกาจกวาดมองนาง เอ่ยว่า “ไม่ผิด!”


 


 


เป็นเช่นนี้จริง


 


 


ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยประลองกับเป่ยเฉินอี้ซึ่งๆ หน้า นั่นก็เพราะเข้าใจว่า ทันทีที่ประลองกันตรงๆ เป่ยเฉินอี้ต้องวางแผนการให้เขากับเสินเซ่อเทียนต้องเป็นศัตรูกันอย่างแน่นอน เป่ยเฉินอี้คือคนที่คานอำนาจได้อย่างโดดเด่นที่สุด


 


 


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่เมื่อก่อนเขาจึงหลบหลีก


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจ นาทีถัดมาก็กล่าว “ในเมื่อเป็นนี้ อย่างนั้นการเคลื่อนไหวของเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ พวกเราก็สงสัยได้อย่างเต็มที่ว่า บางทีนี่อาจเป็นการจัดฉากอีกฉากหนึ่ง!”


 


 


ต่อให้ไม่ใช่การคานอำนาจ เกรงว่าจะเป็นกระบวนท่าลอบสังหาร


 


 


ระหว่างเอ่ยเซียวเยว่ชิงก็นำทหารออกรบ พวกเซียวเยว่ชิงนำทหารโรมรันพันตูกับพวกเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่  ทหารสองฝ่ายต่อสู้กัน ในระยะเวลาสั้นเพียงชั่ววูบ ทหารในมือของเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ก็แตกพ่ายถอยทัพ


 


 


ไม่สมกับความสามารถในการออกรบของทหารต้ามั่วเอาเสียเลย


 


 


สายตาเยี่ยเม่ยยามนี้ทวีความล้ำลึก มีปัญหาจริงๆ! เป้าหมายของเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ในวันนี้คือการแพ้ศึกสักยกหนึ่งอย่างนั้นหรือ


 


 


หากแพ้จริงๆ อย่างนั้นสำหรับต้ามั่วแล้วมีประโยชน์อันใดเล่า


 


 


แววตาเยี่ยเม่ยลุ่มลึกลง เอ่ยเสียงนิ่ง “ดูท่า หากข้าไม่ไปเยี่ยมเสด็จอาของท่านเสียหน่อย ก็สมควรมีคนมาเยี่ยมข้าเองแล้ว!”


 


 


ครั้นนางเอ่ยออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหันหน้ามองเยี่ยเม่ยคราหนึ่ง


 


 


อย่างไรเขาก็มิใช่คนโง่


 


 


เวลาเพียงชั่วครู่พลันคิดอะไรออก เดินเข้าหานางสองก้าว จากนั้นถามออกด้วยเสียงเบาพอให้ได้ยินกันเพียงสองคน “เจ้ากับจิวมั่วเหอร่วมมือกันอย่างนั้นหรือ”


 


 


หากคำพูดนี้เป็นคนอื่นถามออกมา เยี่ยเม่ยย่อมไม่ยอมรับอย่างแน่นอน ทันทีที่ยอมรับว่าติดต่อกับฝ่ายศัตรู ไม่ว่าเป้าหมายสุดท้ายของนางทำเพื่อรักษาเมืองหรือไม่ แต่จะถูกมองเป็นคนทรยศทันที


 


 


แต่เมื่อคนถามคือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


นางปรายตามองเขา ตอบตามตรง “ใช่แล้ว!”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า เสียงน่าฟังค่อยๆ กล่าว “หากเป็นเช่นนี้ เขาย่อมต้องมาหาเจ้าแล้ว!”


 


 


เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่นำทหารออกรบ พูดให้ชัดคือ จิวมั่วเหอถูกตัดออกจากหมากกระดานนี้ไปแล้ว


 


 


สถานการณ์ยามนี้สำหรับจิวมั่วเหอ สมควรเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการควบคุมต้ามั่ว จิวมั่วเหอต้องไม่ยอมให้ตัวเองถูกกันออกในเวลานี้เด็ดขาด หากเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เขาทำและแผนทั้งหมดก็ละลายไปกับสายน้ำ ภายหลังยังต้องเสียเวลารักษาตัวอีก


 


 


 “อืม!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า


 


 


มองเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่พ่ายแพ้ ทำทหารถอยทัพหนีเอาชีวิตรอด


 


 


เยี่ยเม่ยพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีอยู่ในใจ รู้สึกว่าตัวเองถูกดึงเขามาอยู่ในสถานการณ์นี้ ทว่าไม่เข้าใจชัดเจนว่า ก้าวต่อไปของคนวางแผนจะเดินไปทางไหน ทำให้นางรู้สึกไม่สงบ


 


 


ถัดมา


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยื่นมือออกไปจับมือนางไว้


 


 


ทำให้เยี่ยเม่ยตกใจเล็กน้อย หันข้างมองเขา


 


 


ไม่ช้า เสียงน่าฟังของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เอ่ยอีกว่า “ไม่ต้องกลัว ต่อให้เป็นแผนการ เจ้าก็ไม่เกิดเรื่องแน่! ต่อให้ไม่อาจรักษาเมืองนี้ไว้ เยี่ยนก็ไม่ยอมให้คนทำร้ายเจ้าได้สักน้อย!”


 


 


เยี่ยเม่ยตะลึงงันไปเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้ม


 


 


น้ำเสียงยังนิ่งเย็นเหมือนเคย ทว่าสีหน้าอ่อนโยนขึ้นมา “ข้าเข้าใจแล้ว พวกเขาคิดทำร้ายข้าหรือสังหารข้า ล้วนไม่ใช่เรื่องง่าย สิ่งที่พวกเขาทำได้อย่างมากที่สุดก็เหมือนกับที่ทำต่อจิวมั่วเหอ ผลักไสออกจากหมากตานี้เสีย เรื่องนี้มีผลกับข้าไม่มาก แต่ข้าไม่ชอบถูกคนวางแผน”


 


 


ถูกต้อง ถูกผลักออกไปจากหมากตานี้ไม่มีผลกับนางมากมายนัก


 


 


ตอนแรกที่รั้งอยู่ชายแดนก็เพราะว่าคำพูดของราชาต้ามั่ว บอกจะคิดบัญชีกับนาง เรื่องที่นางบุกทะลวงค่ายทหารต้ามั่ว แต่ว่าวันนี้ ประเด็นนี้ไม่มีใครเอ่ยขึ้นมาอีกแล้ว ต่อให้นางฉวยโอกาสนี้ถอนตัว ก็ไม่กระทบกับสถานการณ์ทั้งหมด


 


 


สงครามที่พวกเขาต้องต่อสู้ก็ยังต้องดำเนินต่อไป ชายแดนของราชสำนักเป่ยเฉิน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังไม่ใส่ใจเลย นั่นย่อมไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง


 


 


แต่นางไม่ชอบถูกคนวางแผน ไม่ชอบถูกคนไล่ออกจากสงคราม หรือถูกคนเห็นเป็นตัวหมากโง่เง่า


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยนิ่งๆ “ท่านดูเอาเถอะ ข้าต้องชนะแน่! ข้าเพียงแค่ต้องการเวลา หลายวันนี้ท่านช่วยข้ารวบรวมข้อมูลของเป่ยเฉินอี้ การวางแผนทั้งหมดของเขา เรื่องราวเล็กใหญ่ทั้งหลาย ข้าต้องการอย่างชัดเจน”


 


 


เมื่อนางเอ่ยออกมา แววตาร้ายกาจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนตะลึงไปเล็กน้อย รู้สึกไม่พอใจ


 


 


เยี่ยเม่ยที่รับรองว่าต่อไปจะใคร่ครวญเรื่องราวจากมุมมองของเขา ในยามนี้ก็รีบครุ่นคิดพลันเข้าใจสาเหตุที่เขาไม่ยินดีแล้ว นางแค่นเสียงเย็น “ท่านไม่ต้องคิดมาก ข้าไม่ได้ทำเพื่อเข้าใจบุรุษอื่น ข้าเพียงต้องการทำความเข้าใจศัตรู รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง! ท่านคงไม่ยอมให้ข้าทำความเข้าใจศัตรูเพราะ เป่ยเฉินอี้เป็นบุรุษรูปงาม แล้วทำให้ข้าถูกเขาทำร้ายหรอกนะ”


 


 


คำพูดของนางเรียบง่ายทว่าจริงใจ


 


 


เยี่ยเม่ยค่อยพบว่า การพัฒนาความสามารถด้านความรู้สึกหาใช่เรื่องยากขนาดนั้น เพียงแต่ต้องคิดจากมุมมองของอีกฝ่าย ถึงเข้าใจสาเหตุที่อีกฝ่ายไม่พอใจหรือโมโหออกมาได้ทันที


 


 


หากเป็นเมื่อก่อน นางเห็นอารมณ์ไม่พอใจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในเวลานี้ จะต้องงุนงงอย่างแน่นอน ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเขาเป็นอะไรไปแล้ว


 


 


ครั้นเห็นว่านางอธิบายได้อย่างสมเหตุสมผล ในที่สุดก็คลี่คลายสาเหตุความไม่พอใจของเขาได้


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า เอ่ยว่า “งั้นก็ดี ภายในสามวันเยี่ยนจะให้อวี้เหว่ยรวบรวมข้อมูลเรียบเรียงให้เรียบร้อยมาให้เจ้าจนครบ!”


 


 


อวี้เหว่ยที่ติดตามอยู่ด้านหลังมุมปากกระตุก


 


 


ก่อนหน้านี้เขามักรู้สึกว่าการติดตามอยู่ข้างกายเตี้ยนเซี่ยเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอันตราย เพราะนิสัยยากคาดเดาของเตี้ยนเซี่ย แต่ตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว เมื่อก่อนตัวเองเสพความสุขเกินไปแล้ว ในทุกๆ วันนอกจากติดตามเตี้ยนเซี่ยออกไปทรมานคน ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำอีก


 


 


ตอนนี้ก็ดีเลย ยังต้องไปรวบรวมข้อมูล


 


 


ทั้งยังต้องเรียบเรียงให้เรียบร้อยด้วย


 


 


ซ้ำยังต้องส่งมอบให้เยี่ยเม่ย ทั้งยังต้องภายในเวลาสามวันอีก !


 


 


อวี้เหว่ยอยากถามเหลือเกินว่า เงินเดือนเพิ่มขึ้นหรือไม่ ?!


 


 


ในขณะที่เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่นำทหารหนีตาย เซียวเยว่ชิงส่งคนมารายงานเยี่ยเม่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย แม่ทัพเซียวถามว่าจะตามหรือไม่”


 


 


ติดตามไปในเวลานี้จะพลาดตกหลุมพรางของศัตรูเอาง่ายๆ ภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้นำทัพย่อมไม่ตัดสินใจให้ตามต่อ


 


 


แต่ว่า…


 


 


เยี่ยเม่ยสายตาเป็นประกายเย็นวาบ ยกมุมปาก สั่งการเสียงเย็นชา “ตาม! นอกเสียจากว่าด้านหน้ามีศัตรูล้อมไว้ หรือเป็นค่ายของต้ามั่ว ไม่เช่นนั้นเจอหนึ่งคนก็ฆ่าหนึ่งคน ทางที่ดีสังหารราบคาบ!”


 


 


 “ขอรับ!” ทหารชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบลงไปถ่ายทอดคำสั่ง


 


 


เพียงแค่เสี้ยวนาทีเดียว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เข้าใจความคิดของเยี่ยเม่ย


 


 


หลูเซียงฮั่วที่อยู่ด้านข้างเยี่ยเม่ยขมวดคิ้ว “แม่นางเยี่ยเม่ย หากต้องไล่ตามไป ไม่แน่อาจตกหลุมพรางศัตรู”


 


 


เยี่ยเม่ยหัวเราะเย็นชา หันหลังกลับไปมองเขา “ศัตรูต้องมีปราชญ์คนหนึ่งคอยวางแผนให้เขา เจ้ารู้หรือไม่ การต่อกรกับปราชญ์ย่อมไม่อาจใช้วิธีการธรรมดาทั่วไป!”

 

 

 


ตอนที่ 258 จิ่วหุนฟื้นแล้ว !

 

หลูเซียงฮั่วอึ้งไปเล็กน้อย


 


 


คล้ายกับคิดอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นก็เหมือนไม่เข้าใจอีก แต่ว่าเมื่อคิดๆ ดูแผนการของแม่นางเยี่ยเม่ยที่ผ่านมา ก็ยังไม่เกิดปัญหาอะไรเลย ดังนั้นเขาคิดว่า


 


 


อย่างนั้นก็เชื่อแม่นางเยี่ยเม่ยเถอะ


 


 


เยี่ยเม่ยเดินกลับเข้าไปในเมือง ก่อนสั่งการว่า “รอแม่ทัพเซียวกลับมาก่อน ไม่ว่ามีสถานการณ์อะไรก็รีบมารายงานข้าทันที!”


 


 


 “ขอรับ!” หลูเซียงฮั่วรับคำสั่งทันควัน


 


 


มองทิศทางที่เยี่ยเม่ยจากไป เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสายตาทอประกายวาบ รู้อยู่ในใจว่าเวลานี้ นางต้องไปดูอาการจิ่วหุนแน่ แต่เขาก็ไม่รั้งเอาไว้


 


 


เพียงแต่เยี่ยเม่ยกลับหันมองเขา บอกว่า “ข้าไปดูจิ่วหุนก่อน แล้วยังมีธุระต้องถามซือหม่าหรุ่ย เรื่องของสตรี ท่านก็ไม่ต้องติดตามมาชั่วคราว!”


 


 


เรื่องที่นางอยากถามเกี่ยวพันกับราชสำนักจงเจิ้ง


 


 


หากอาซีคือสหายสนิทของซือหม่าหรุ่ย หากอดีตที่ผ่านมาของนาง ก็คือคนที่ซือหม่าหรุ่ยจำผิดในตอนแรก อย่างนั้น…ก็หมายความว่า ซือหม่าหรุ่ยต้องรู้เรื่องราวทั้งหมดในปีนั้น


 


 


ส่วนเรื่องพวกนี้ นางยังไม่อยากให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้เป็นการชั่วคราว


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชะงักฝีเท้า มองนางจ้ำพรวดๆ ออกไป


 


 


เขาไม่คิดขวางความต้องการของนาง เพียงแต่ตอนนี้…ไม่รู้เพราะอะไร ในใจของเขาเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางประการ มองเงาหลังของนาง คล้ายกับมองเห็นเส้นแบ่งเขตแดนกันอยู่ตรงแผ่นหลังของเยี่ยเม่ย ต้องการแยกให้พวกเขาไกลห่างกันออกไป


 


 


สิ่งนี้ทำให้เขาทนไม่ไหวกำหมัดแน่น


 


 


จากนั้นก็ค่อยๆ คลายออก คิดถึงเรื่องไม่นานก่อนหน้า ความอบอุ่นที่นางอยู่ในอกเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขายังจะแยกจากกันคนละทิศคนทางได้อย่างไร


 


 


กลัวว่า…….คงเข้าใจผิดไปเอง


 


 


อวี้เหว่ยมองออกว่าเจ้านายเหม่อลอย จึงถามออกไปด้วยความอดรนทนไม่ไหว “เตี้ยนเซี่ย ท่านเป็นอะไรไป”


 


 


 “ไม่มีอะไร!”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถอนสายตากลับมองอวี้เหว่ย “นอกจากนางให้เจ้าไปรวบรวมข้อมูลแล้ว เจ้ายังต้องเตรียมของอีกสิ่งหนึ่ง!”


 


 


……


 


 


เยี่ยเม่ยก้าวเท้ากว้างๆ เข้ามาในห้องซือหม่าหรุ่ย


 


 


จิ่วหุนคล้ายกับสัมผัสได้ ยามนี้เขาพลันฟื้นขึ้นมา


 


 


ซือหม่าหรุ่ยยินดีทันที ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปหา ก็เห็นเยี่ยเม่ยเดินเข้ามา นางรีบบอกว่า “จิ่วหุนฟื้นแล้ว!”


 


 


 “ฟื้นแล้ว?” หลายวันที่ผ่านมาเยี่ยเม่ยอารมณ์ไม่ดีมาตลอด ในที่สุดเวลานี้ก็นับว่าดีขึ้นครึ่งหนึ่ง


 


 


นางก้าวเท้ากว้างๆ เดินเข้ามากลางห้อง


 


 


จิ่วหุนลืมตา จากนั้นไอออกมาสองสามคำ


 


 


เยี่ยเม่ยมุ่งไปที่โต๊ะ รินชาถ้วยหนึ่ง พยุงจิ่วหุนขึ้นป้อนน้ำชาให้เขา “ดื่มชาก่อน!”


 


 


หลายวันที่ไม่ได้สติ ต่อให้ซือหม่าหรุ่ยสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไม่น้อยเพื่อยื้อชีวิตเขาไว้ แต่เยี่ยเม่ยก็เดาว่าเขาน่าจะทั้งหิวทั้งคอแห้ง


 


 


จิ่วหุนหาได้ขัดขืน ดื่มชาลงไป


 


 


ทั้งยังดื่มอย่างรีบร้อน จนเกือบสำลัก


 


 


เยี่ยเม่ยรีบปลอบ “ช้าหน่อย!”


 


 


 “อืม!” จิ่วหุนกลับเชื่อฟังมาก ปรับความเร็วให้ช้าลงทันที เมื่อดื่มหมดไปถ้วยหนึ่ง ซือหม่าหรุ่ยก็รีบยกกาน้ำชามาให้ รินน้ำชาใส่ถ้วยที่เยี่ยเม่ยถืออยู่


 


 


เยี่ยเม่ยป้อนเขาอีกครั้ง


 


 


จิ่วหุนก็ดื่มลงไปอีก


 


 


เยี่ยเม่ยถามว่า “ยังจะดื่มอีกไหม”


 


 


จิ่วหุนส่ายหน้า


 


 


จากนั้นเขาก็เหม่อลอย ท่าทางเหม่อลอยของเขาดูแล้วน่ารักมาก สายตามองไปทั้งสี่ด้าน คล้ายกับไม่เข้าใจว่าไฉนตัวเองถึงมาอยู่ที่นี่ได้


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นท่าทางของเขา เสี้ยวเวลานี้นางหายโมโหไปชั่วครู่


 


 


จากนั้นตำหนิอย่างไม่เกรงใจว่า “เจ้าอธิบายมาซะดีๆ ว่าทำไมตอนถูกไล่สังหารแล้วยังไม่มาขอความช่วยเหลือจากข้าอีก เจ้ารู้หรือไม่ว่าอันตรายแค่ไหน หากข้าไปช้าอีกนิดเดียว ชีวิตน้อยๆ ของเจ้าจะเหลืออยู่หรือไม่ ใครก็ไม่อาจรู้แล้ว”


 


 


จิ่วหุนอึ้งไป


 


 


สมองเริ่มทำงาน ความทรงจำก่อนที่เขาจะสลบไปค่อยๆ ผุดภาพเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด หลังจากเขาคิดได้แล้วฟังคำพูดของเยี่ยเม่ย ใบหน้าขาวซีดนั้นค่อยแดงเรื่อขึ้นบ้าง


 


 


ซินเยว่เยี่ยนด้านข้างอดไม่ไหวถามขึ้นมาว่า “จริงด้วย! เจ้าไม่รู้หรอกว่า วันนั้นอากาศหนาวเหน็บแค่ไหน พวกเราสองคนออกตามหาเจ้าไปทั่ว เยี่ยเม่ยเป็นห่วงเจ้ากระโดดลงไปในแม่น้ำแล้วไม่ขึ้นมาอีก จึงกระโดดลงไปหาเจ้าอยู่ตั้งนาน ข้ากลัวว่านางจะเป็นตะคริวจนเกิดเรื่องขึ้นในน้ำแล้ว…”


 


 


เมื่อซินเยว่เยี่ยนเล่าออกมา จิ่วหุนมองเยี่ยเม่ยด้วยความตกตะลึง


 


 


ดวงตาสงบราวน้ำนิ่งคู่นั้น ยามนี้ทอประกายอย่างชัดเจน อารมณ์ความรู้สึกนั้นถึงกับไม่สามารถให้คำพูดมาอธิบายได้ในเวลาอันสั้น


 


 


เยี่ยเม่ยกลับไม่ใส่ใจความรู้สึกของเขา นางอารมณ์ไม่ดีมาก ชี้หน้าเจ้าเด็กหน้าเหม็นนี่เอ่ยว่า “ข้าเข้าใจว่าเจ้าไม่อยากทำให้ข้าพลอยลำบากไปด้วย แต่เมื่อเจ้าเกิดเรื่อง ข้ายังไม่สนใจได้อีกหรือ เจ้าทำเช่นนี้รังแต่จะให้เรื่องวุ่นวายขึ้น ทำให้ข้าลำบากขึ้นก็เท่านั้น เจ้าเข้าใจไหม”


 


 


เยี่ยเม่ยไม่ปรามยามซินเยว่เยี่ยนเอ่ยคำพูดเมื่อครู่


 


 


นางต้องการให้เจ้าเด็กนี่รับรู้ว่า เพราะเขาไม่ยอมไปขอความช่วยเหลือจากนาง นางจึงต้องแช่อยู่ในน้ำเย็น หวังว่าภายหน้าเจ้าเด็กนี่จะฉลาดขึ้นมาสักหน่อย ไปขอความช่วยเหลือจากนางทันที


 


 


 “ข้า…” จิ่วหุนพลันเข้าใจความคิดของนาง ฟังคำประโยคว่า เจ้าเกิดเรื่องแล้ว ข้าจะไม่สนใจได้หรือ


 


 


เขารู้สึกว่าหัวใจที่แต่เดิมอบอุ่นขึ้นเพราะนาง ยิ่งร้อนวาบขึ้นมาแล้ว


 


 


จิ่วหุนก้มหน้าลง ทำท่าทางเชื่อฟังหลังก่อเรื่อง “ข้าสำนึกผิดแล้ว”


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า ทำท่าทางเคร่งขรึมมากขึ้น “ภายหน้าห้ามทำเช่นนี้อีกรู้หรือไม่ เจ้าหายตัวไป เจ้ารู้ไหมว่าพวกเราเป็นห่วงเจ้าแค่ไหน”


 


 


 “รู้แล้ว!” จิ่วหุนผงกหัวเชื่อฟัง เมื่อมองเยี่ยเม่ยอีกครั้งกระบอกตาแดงก่ำ ท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจ น้ำตาคลอเบ้า


 


 


เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา เยี่ยเม่ยสะอึกไปเล็กน้อย


 


 


ต่อให้มีความไม่พอใจรวมถึงคำตำหนิมากมายแค่ไหน ในยามนี้ก็พูดไม่ออกแล้ว


 


 


นางสูดลมหายใจลึก หันกลับมองซินเยว่เยี่ยน “แม่นางซิน เจ้าไปเอาของกินที่ห้องครัวมาหน่อย เอาที่เป็นอาหารอ่อนๆ หลายวันนี้เขาไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย กระเพาะคงอ่อนแอมาก กินอาหารรสจัดมากไม่ไหว!”


 


 


 “ได้ !” ซินเยว่เยี่ยนรับปาก รีบเดินออกไป


 


 


เยี่ยเม่ยกลับมาจับจ้องเจ้าเด็กหน้าเหม็นอีกครั้ง เตือนอีกประโยค “ครั้งหน้ายังเป็นเช่นนี้อีก ข้าจะตีเจ้าแล้ว!”


 


 


เขารีบส่ายหน้าอย่างเชื่อฟัง รับรองว่า “ข้าจะไม่ทำแบบนี้อีก”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยยืนมองอยู่ข้างๆ อยากหัวเราะ อดไม่ได้เอ่ยถามว่า “ดีแล้ว ดีแล้ว! เขาเพิ่งฟื้น เจ้าก็อย่าว่าเขาเลย เขาคงรู้แล้วว่าเขาสำคัญกับเจ้ามาก ภายหน้าไม่กล้าแก้ไขปัญหาลำพัง อย่าคิดถึงแต่ตัวเองอีก”


 


 


ในเมื่อสถานการณ์ยามนี้ชัดเจนมากแล้ว ผลของความหวังให้เยี่ยเม่ยไม่เกิดเรื่อง ก็คือเยี่ยเม่ยยิ่งลำบาก เชื่อว่าเจ้าเด็กจิ่วหุน คงเข้าใจเหตุผลนี้แล้ว


 


 


 “อืม !” เยี่ยเม่ยพยักหน้า วางจิ่วหุนลงที่เตียง สั่งการว่า “อีกเดี๋ยว ซินเยว่เยี่ยนเอาอาหารมา เจ้ากินหมดแล้วค่อยพักผ่อน หลายวันนี้รักษาตัวเองให้ดี แม่นางจง รบกวนเจ้าช่วยเล่าเรื่องหลังจากที่เขาสลบไปให้เขาฟังด้วย ต้องให้เขาจำไว้ว่า มีเรื่องบางเรื่องสมควรเผชิญหน้า ถึงกันไม่ให้เกิดเรื่องพวกนี้อีก!”


 


 


 “ได้ !” จงรั่วปิงพยักหน้า


 


 


เยี่ยเม่ยค่อยมองซือหม่าหรุ่ย “เจ้าตามข้าออกมาหน่อย ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า!”

 

 

 


ตอนที่ 259 เจ้าคืออาซีจริงๆ!

 

ซือหม่าหรุ่ยฟังคำพูดเยี่ยเม่ย พลันชะงักไปเล็กน้อย


 


 


มีเรื่องจะถามนาง?


 


 


ความจริงช่วงที่นางอยู่ชายแดน นางรู้สึกถึงความเหินห่างที่เยี่ยเม่ยมีต่อนาง เหมือนเยี่ยเม่ยจงใจรักษาระยะห่างกับนาง และท่าทีเช่นนี้จึงทำให้ ซือหม่าหรุ่ยเริ่มสงสัยว่าอีกฝ่ายไม่ใช่อาซีจริงๆ


 


 


เพราะว่าจากนิสัยของเยี่ยเม่ย นางมองออกว่า ความจริงที่เยี่ยเม่ยไม่ใกล้ชิดสนิทสนมกับนาง สาเหตุมาจากที่นางดีกับเยี่ยเม่ยเพราะอาซี เยี่ยเม่ยจึงไม่ยอมเอาเปรียบนาง


 


 


แต่ว่าวันนี้เยี่ยเม่ยถึงกับออกปากว่ามีเรื่องถามนาง เรื่องนี้ทำให้ซือหม่าหรุ่ยตกใจเป็นอย่างมาก


 


 


เห็นซือหม่าหรุ่ยมองนางอึ้งๆ เยี่ยเม่ยขมวดคิ้ว “ทำไม มีปัญหาหรือเปล่า”


 


 


 “ไม่มีปัญหา! ก็แค่ตกใจเท่านั้น ถึงอย่างไรช่วงนี้พวกเรานับว่าสนิทกันอยู่บ้าง ก็ยังไม่อาจเรียกว่าใกล้ชิดสนิทสนม เจ้าจงใจหลบหลีกข้ามาตลอด!” ในเมื่อเป็นสตรีซือหม่าหรุ่ยย่อมความรู้สึกไว รับรู้สิ่งเหล่านี้ได้


 


 


เยี่ยเม่ยมองนางรอบหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าเชื่อว่าด้วยสติปัญญาของเจ้า เจ้าคงเข้าใจว่าทำไมข้าถึงห่างเหินกับเจ้าใช่หรือไม่”


 


 


นางไม่หวังให้คนอื่นเห็นเงาของสหายสนิทบนตัวนางแล้วทำดีกับนาง


 


 


เช่นเดียวกับที่นางไม่หวังว่า เมื่อตนกับพวกลูกพี่แยกจากกันแล้ว วันหนึ่งมีคนหน้าตาเหมือนนางไม่มีผิดเข้าใกล้ชิดพวกลูกพี่ อาศัยหน้าตาเหมือนนางเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากพวกลูกพี่


 


 


นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมนางไม่ยอมสนิทกับซือหม่าหรุ่ย


 


 


เดิมทีนางคิดว่าหลังจากจัดการเรื่องของจิ่วหุนเสร็จ นางจะต้องชดใช้น้ำใจของซือหม่าหรุ่ย เมื่อชดใช้บุญคุณครั้งนี้ เช่นนั้นซือหม่าหรุ่ยก็จะได้จากไปได้  คิดไม่ถึงว่าเป่ยเฉินอี้กลับเปิดประตูความทรงจำของนางออกมา


 


 


ซือหม่าหรุ่ยหัวเราะเบาๆ พลางพยักหน้า “ไม่ผิด! ข้าเข้าใจ!”


 


 


เพราะว่านางรู้ ถึงได้ยิ่งชอบเยี่ยเม่ย นางไม่แน่ใจว่าหากอาซียังมีชีวิตอยู่ สุดท้ายแล้วจะเปลี่ยนไปเป็นคนแบบเยี่ยเม่ยหรือไม่ ไม่ชอบเอาเปรียบผู้อื่นง่ายๆ ทว่านางรู้ตัวดี ท่าทีเหล่านี้คือสิ่งที่นางชื่นชม


 


 


 “อย่างนั้นก็ไปเถอะ!”


 


 


เยี่ยเม่ยเดินออกไป


 


 


เมื่อเดินถึงประตู นางยังถลึงตาใส่จิ่วหุนทีหนึ่ง เพราะการกระทำของเจ้าเด็กนี่ ทำให้นางอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก


 


 


จิ่วหุนเห็นสถานการณ์ก็รีบดึงผ้าห่มขึ้นมา มุดลงไป เหลือเพียงดวงตาอยู่ด้านนอก มองเยี่ยเม่ยเดินออกไปด้วยแววตาน่าสงสาร


 


 


ในเวลานี้เยี่ยเม่ยร้องไห้ไม่ได้ หัวเราะก็ไม่ออก ในที่สุดก็ไม่ตำหนิเขาอีก เดินจากไป


 


 


ซือหม่าหรุ่ยติดตามเยี่ยเม่ยออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


เพิ่งจะถึงหน้าประตู สายตาเยี่ยเม่ยทอประกายวาบ สัมผัสได้ว่ามีคนแอบจับตามองนางอยู่ ไม่ต้องคิดมาก นางก็รู้ว่าแปดส่วนต้องเป็นคนของเป่ยเฉินอี้แน่ สรุปแล้ว เป่ยเฉินอี้ยังสงสัยในตัวนาง


 


 


เช่นนั้น…


 


 


ในเวลานางพูดคุยกับซือหม่าหรุ่ยเป็นการส่วนตัว หากเป่ยเฉินอี้รับรู้ต้องก่อให้เกิดความระแวงสงสัยมากขึ้นแน่


 


 


ไวเท่าความคิด


 


 


เยี่ยเม่ยจงใจเอ่ยปากเสียงดังทันทีว่า “หมอเทวดา ข้าเชิญท่านมาที่ห้องข้า พวกเราหารือกันว่าจะกำจัดพิษในกายจิ่วหุนให้หมดสิ้นได้อย่างไร!”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยชะงักไปเล็กน้อย


 


 


คิดว่าปัญหานี้นางอธิบายให้เยี่ยเม่ยฟังไปก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งยังบอกเยี่ยเม่ยไปแต่แรกแล้วว่านางให้พวกพี่บุญธรรมไปช่วยหายาแก้พิษ?


 


 


แต่ว่าอย่างไร ซือหม่าหรุ่ยก็หาใช่โง่เขลาเบาปัญญา


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ผิดเลย ชายแดนนี้มีหูตาคนมากมาย…


 


 


นางตอบรับอย่างชาญฉลาดว่า “ได้! เรื่องนี้ข้าก็อยากบอกเจ้าอย่างละเอียดเช่นกัน เรื่องราวค่อนข้างซับซ้อน บางทีเจ้าอาจต้องใช้เวลารับฟังนานหน่อย!”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยเสียงดังเช่นกัน


 


 


 “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องรบกวนท่านหมอเทวดาแล้ว!” เยี่ยเม่ยตอบกลับเสียงดังอีกครั้ง


 


 


นางเชื่อว่า คนที่แอบอยู่ย่อมได้ยินบทสนทนาของนางสองคนอย่างชัดเจนแล้ว ทั้งยังเอาไปรายงานเป่ยเฉินอี้ด้วย


 


 


เป็นจริงตามคาด


 


 


เมื่อคนที่หลบอยู่เห็นฉากนี้ นัยน์ตากลอกไปมา จากนั้นก็รีบไปรายงานเป่ยเฉินอี้ทันที


 


 


……


 


 


ท้องฟ้าสว่างไสว


 


 


เยี่ยเม่ยเดินเข้ามาในเรือนของตน ซือหม่าหรุ่ยก็ติดตามเข้ามาอย่างว่องไว


 


 


หลังจากเข้าห้องแล้ว เยี่ยเม่ยปิดประตู


 


 


ความระมัดระวังนี้ ทำให้ซือหม่าหรุ่ยมุ่นคิ้วแน่น


 


 


 “นั่ง!” เยี่ยเม่ยชี้เก้าอี้ ขณะเดียวกันตัวนางก็หาที่นั่งลง รินชาให้ซือหม่าหรุ่ย


 


 


ซือหม่าหรุ่ยก็ไม่เกรงใจ หลังจากนั่งลงแล้ว ถามว่า “เจ้าจะถามอะไรข้า”


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องตาซือหม่าหรุ่ย เอ่ยปากเสียงนิ่ง “ข้าอยากถามเจ้าว่าสหายสนิทเจ้าที่หน้าตาเหมือนข้าผู้นั้นชื่ออาซีใช่หรือไม่ นางมีความสัมพันธ์กับราชสำนักจงเจิ้งใช่หรือไม่!”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยตะลึงงัน


 


 


ลุกพรวดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ จ้องมองเยี่ยเม่ย “เจ้า เจ้าพูดอะไรนะ”


 


 


เสี้ยวเวลานี้ ซือหม่าหรุ่ยตัวสั่นงกอย่างยากเกินควบคุมได้ ในใจหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเยี่ยเม่ยคือคนที่ตนตามหา แต่นางก็หวาดกลัวที่จะเผชิญกับคำตอบที่น่าผิดหวัง นี่ทำให้นางตัวสั่น


 


 


เยี่ยเม่ยไม่ปิดบัง เอ่ยตามตรง “หลายวันนี้ เรื่องที่เป่ยเฉินอี้รั้งตัวข้าไว้ เจ้าคงรู้แล้วสินะ เขาพาข้าไปยังสถานที่ตั้งเก่าของราชสำนักจงเจิ้ง ไปชมดูของหลายอย่าง ทำให้ข้าได้ความทรงจำที่หายไปสิบกว่าปีกลับมา แต่…เพียงแต่เป็นแค่ภาพบางส่วนเท่านั้น ไม่ใช่ทุกอย่าง ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะรู้อะไรบ้าง ข้าถึงได้มาถามเจ้า!”


 


 


ความจริงแล้ว หลังจากที่เยี่ยเม่ยกลับมาในยุคสมัยนี้ นางท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่หลอกลวงกันมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเป่ยเฉินอี้ปรากฏกาย ทำให้รอบกายนางมีแต่แผนการที่ถูกวางไว้


 


 


บางทีใครบางคนข้างกายนาง อาจเป็นคนที่เป่ยเฉินอี้วางไว้แต่แรกแล้ว ช่วยเหลือนางเพื่อได้รับความไว้วางใจจากนางก็อาจเป็นไปได้ อย่างไรเสียเป่ยเฉินอี้ก็ยอมรับเองว่าเขาวางแผนนำหน้าไปก่อนนางหลายก้าวแล้ว


 


 


ดังนั้น ในเวลานี้นางเชื่อใจซือหม่าหรุ่ย ตรงมาถามคำถามเหล่านี้จากอีกฝ่าย ความจริงแล้วเป็นการตัดสินใจที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย แต่สัญชาตญาณทำให้นางเชื่อมั่นซือหม่าหรุ่ย เชื่อใจคนที่อยู่เบื้องหน้านาง


 


 


ความมั่นใจมาอย่างไร้เหตุผล แต่นางมั่นใจ


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้ ซือหม่าหรุ่ยที่เดิมทีตัวสั่นเทิ้ม ยิ่งรู้สึกว่ายืนไม่มั่นแล้ว นางจ้องเยี่ยเม่ยอย่างไม่เชื่อสายตา “เจ้าบอกว่า…เจ้าบอกว่า เพราะว่าเจ้าไปสถานที่ตั้งของราชสำนักจงเจิ้ง เจ้าเลยคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ อีกอย่าง…เมื่อก่อนเจ้าไม่รู้จักข้า เพราะเจ้าสูญเสียความทรงจำอย่างนั้นหรือ”


 


 


 “ข้าสูญเสียความทรงจำเป็นความจริง แต่ว่าใช่เหตุผลที่ข้าไม่รู้จักเจ้าหรือเปล่าข้าไม่แน่ใจ!” เยี่ยเม่ยปรับคำพูดของอีกฝ่าย


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเข้าใจทันที ความทรงจำที่กลับคืนมาของเยี่ยเม่ย ต้องไม่มีนางแน่ ดังนั้นนางจึงจำไม่ได้


 


 


แต่ซือหม่าหรุ่ยไม่รีบร้อน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มากพอให้นางดีใจจนกระบอกตาร้อนผ่าวแล้ว “เจ้าคืออาซีจริงๆ ข้าคิดไม่ถึงเลย เจ้าคือ…”


 


 


เห็นนางซาบซึ้งเสียขนาดนี้ เยี่ยเม่ยเองก็เริ่มหวั่นไหว


 


 


นางนิ่งไปสักพัก จ้องซือหม่าหรุ่ย “เจ้าเล่าเรื่องเกี่ยวกับอาซีให้ข้าฟังเถอะ!”

 

 

 


ตอนที่ 260 บุญคุณความแค้นที่มีกับเป่ย...

 

 “ได้! ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง! ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่าง” ซือหม่าหรุ่ยรีบพยักหน้า ทั้งยังยื่นมือออกมาปาดน้ำตาที่หางตา


 


 


ถัดมา


 


 


นางไม่อาจควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้อีก ปล่อยให้น้ำตาไหลริน มองเยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว ข้าหลงคิดว่า…ทำไมเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ข้า…หรือว่าการกระทำของข้าในปีนั้น ช่วยชีวิตเจ้าได้จริงๆ”


 


 


คราวนี้เยี่ยเม่ยยิ่งคล้ายมืดมนในเมฆหมอก


 


 


เพียงแต่เห็นซือหม่าหรุ่ยร้องไห้เสียใจขนาดนี้ นางก็เข้าใจว่า นี่คือความใส่ใจที่อีกฝ่ายมีต่อนางอย่างสุดซึ้ง เยี่ยเม่ยจึงอดทน ไม่เอ่ยอะไรออกมาชั่วคราว รอให้ซือหม่าหรุ่ยอารมณ์สงบขึ้น


 


 


นางรอเป็นเวลาชั่วครู่ใหญ่ ซือหม่าหรุ่ยถึงสงบลง


 


 


อีกฝ่ายมองเยี่ยเม่ย เอ่ยถาม “เจ้าจำได้มากน้อยแค่ไหน จำเรื่องไหนได้บ้าง มีอะไรที่เจ้าสงสัย ก็พูดออกมา ข้าจะช่วยตอบให้เจ้าเอง!”


 


 


เยี่ยเม่ยมองหน้าซือหม่าหรุ่ย เอ่ยปากอย่างละล้าละลังว่า “ข้าจำได้แค่ส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับเป่ยเฉินอี้ ข้าจำได้ว่าตอนอยู่นอกเมืองเขาเคยช่วยชีวิตข้าไว้ครั้งหนึ่ง แต่เพราะอะไรกัน จิตสำนึกข้าถึงเกลียดเขานัก ถึงกระทั่งแค้นเขาอยู่บ้าง จริงสิ นั่นคือความแค้น! ข้าเข้าใจดีว่าความแค้นล้ำลึกเช่นนี้ หาใช่เพราะแผนการเล่นงานจิ่วหุนและข้าในช่วงหลายวันนี้แน่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำ! ดังนั้นข้าไม่เข้าใจจริงๆ”


 


 


คำถามนี้วนเวียนอยู่ในใจเยี่ยเม่ยมานานแล้ว


 


 


หลายวันนี้นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก


 


 


นางเชื่อว่า ต่อให้เป็นตัวเองในอดีตปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณ ก็ไม่สมควรมีปฏิกิริยาเช่นนี้


 


 


ทว่าคิดไม่ออก


 


 


นางเอ่ยออกมาซือหม่าหรุ่ยรีบกัดฟันแน่น เอ่ยเสียงดุดัน “บุญคุณช่วยชีวิตอะไรกัน! อาซี ต่อให้เขามีบุญคุณช่วยชีวิตเจ้า ข้าคิดว่าก็ไม่มีทางกลบความแค้นยิ่งใหญ่ที่เขามีต่อเจ้าไปได้!”


 


 


เยี่ยเม่ยนิ่งไป รอซือหม่าหรุ่ยอธิบายต่อ


 


 


ซือหม่าหรุ่ยอธิบาย “ข้าว่าหากความทรงจำของเจ้าไม่ผิดแล้วล่ะก็ เจ้าก็คือสหายสนิทของข้า จงเจิ้งซี ฐานะจริงของเจ้าคือองค์หญิงแห่งราชสำนักจงเจิ้ง”


 


 


เยี่ยเม่ยสั่นสะท้าน การคาดเดาของนางได้รับการยืนยันแล้ว วินาทีนี้ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกันแน่


 


 


ที่แท้จงเจิ้งซีเกี่ยวพันกับนางจริงด้วย


 


 


อย่างนั้นสามีภรรยาที่สวมชุดต่วนสีเหลือง ก็คือฮ่องเต้และฮองเฮาของราชสำนักจงเจิ้งจริงๆ ทั้งเป็นพ่อแม่ของนางจริงๆ ด้วย


 


 


เยี่ยเม่ยกำหมัดแน่น สงบสติอารมณ์ มองซือหม่าหรุ่ย “เจ้าเล่าต่อ!”


 


 


แววตาซือหม่าหรุ่ยทอดยาวออกไป เล่าต่อว่า “ตอนนั้นข้ากับศิษย์พี่เซียวชินร่ำเรียนวิชาแพทย์อยู่บนเขา เพราะความซุกซน จึงลงจากเขามาเที่ยวเล่น  บังเอิญได้พบเจ้าที่หนีออกมาเที่ยวนอกวัง จากนั้นพวกเราก็รู้จักกัน หลังจากนั้นทุกๆ ปีข้าจะไปเล่นกับเจ้าที่ราชสำนักจงเจิ้งอยู่ช่วงระยะหนึ่ง เสด็จพ่อเสด็จแม่ของเจ้ารักเอ็นดูเจ้ามาก ทั้งยังต้อนรับข้าอย่างดี!”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเล่าการคบหาระหว่างตนกับเยี่ยเม่ยให้ฟังก่อน


 


 


เมื่อเล่าจบ นางก็เอ่ยต่อว่า “เดิมทีทุกอย่างก็สุขสงบดี แต่เมื่อห้าปีก่อน ราสำนักเป่ยเฉินปรากฏปีศาจร้ายตัวหนึ่ง! คนผู้นั้นคือ เป่ยเฉินอี้ ปีนั้นเป่ยเฉินและจงเจิ้งก่อสงคราม หลังจากที่เป่ยเฉินพ่ายแพ้ ก็ส่งตัวเป่ยเฉินอี้มาเป็นเชลย เมื่อตอนนี้คิดดูแล้ว สงครามในตอนนั้นสมควรเป็นหนึ่งในแผนการของเป่ยเฉินอี้ด้วย!”


 


 


ระหว่างเล่าไปซือหม่าหรุ่ยก็กัดฟันแน่น


 


 


จากคำบอกเล่าของซือหม่าหรุ่ย เยี่ยเม่ยคล้ายคิดอะไรขึ้นมาได้ นางหลบอยู่นอกห้องทรงพระอักษร ได้ยินเสด็จพ่อพูดคำว่า ‘ชนะแล้ว เป่ยเฉินอี้ อันตรายมาก รวมถึงเชลยอะไรพวกนั้น’


 


 


เมื่อเล่าถึงตรงนี้ ซือหม่าหรุ่ยใช้สายตาสงสารมองเยี่ยเม่ย “ห้าปีก่อนข้าไปหาเจ้า เจ้าบอกข้าว่า เป่ยเฉินอี้เป็นคนดี พวกเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เจ้าบอกนอกจากข้าแล้ว เขาคือสหายที่ดีที่สุดของเจ้า ตอนนั้นข้ายังเฝ้ารอว่า บางทีอาจมีสักวันหนึ่งที่พวกเจ้าอาจเป็นเหมือนข้ากับเซียวชิน อยู่ด้วยกันนานจนบ่มเพาะความรู้สึกกลายเป็นคู่รัก เวลานั้นข้ายังแอบอวยพรให้พวกเจ้าอยู่ในใจ!”


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ในสมองก็คล้ายกับคิดอะไรได้ ตัวนางช่วงวัยรุ่นนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ในมือถือกิ่งดอกเหมยไว้ดอกหนึ่ง พูดกับซือหม่าหรุ่ยอย่างดีใจว่าอะไรบางอย่าง


 


 


ในนาทีนี้ นางพลันรู้สึกหัวใจรัดเกร็ง


 


 


ส่วนสายตาซือหม่าหรุ่ยก็แปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดล้ำลึก นางเอ่ยว่า “แต่เมื่อสี่ปีก่อน ข้ารู้ว่าราชสำนักจงเจิ้งเกิดเรื่องขึ้น ด้วยความเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้า จึงลงจากเขาล่วงหน้าต่างจากปีก่อนๆ หนึ่งเดือนเพื่อไปหาเจ้า คิดไม่ถึงว่า ครั้งนี้พอข้าไปถึงวังของจงเจิ้ง ก็เห็นเจ้าในสภาพน่าเวทนาหนีออกจากวัง ยามนั้นไฟโหมลุกไหม้ไปทั่วฟ้า…”


 


 


เมื่อคิดถึงภาพในปีนั้น หางตาของซือหม่าหรุ่ยมีน้ำตาไหลออกมา


 


 


 “ยังมีอีกไหม” เยี่ยเม่ยจ้องตา ซือหม่าหรุ่ยอย่างร้อนรน ถามเรื่องราวหลังจากนั้น


 


 


หลังจากนางหนีออกมาแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง


 


 


เกิดอะไรขึ้นอีก


 


 


สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเป่ยเฉินอี้หรือเปล่า


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมองเยี่ยเม่ย สีหน้ายิ่งโศกเศร้า “เจ้าจับมือข้าอย่างลนลาน พูดไม่หยุดว่า เป่ยเฉินอี้หลอกเจ้า เจ้าทำร้ายทุกคน เจ้าบอกว่าก่อนหน้านี้มีคนเห็นเป่ยเฉินอี้ออกจากวัง เดิมทีเสด็จพ่อของเจ้าจะสังหารเขา แต่ว่าเป่ยเฉินอี้หลอกเจ้าว่า ออกจากวังไปซื้อหน้ากากผีที่เจ้าอยากได้ เจ้าเชื่อเขา ทั้งยังขอร้องอ้อนวอนให้เสด็จพ่อละเว้นเขา เสด็จพ่อของเจ้าเชื่อเจ้า!”


 


 


เยี่ยเม่ยค่อยเข้าใจ ในดวงตามีเส้นเลือดแดงปรากฏขึ้นชัด “แต่เขาออกจากวังมิใช่เพื่อไปซื้อหน้ากากใช่หรือไม่ !”


 


 


 “อืม!” ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า “เข้าออกจากวังเพื่อวางแผนการ คืนวันที่สอง ทัพใหญ่ของเป่ยเฉินบุกมา เข่นฆ่ามาถึงในวัง มีเขาคอยประสานนอกใน เจ้าบอกข้าว่า เจ้าเห็นพ่อแม่ถูกคนฆ่าตายกับตา พวกเขาบอกให้เจ้ารีบหนี…”


 


 


เยี่ยเม่ยยามนี้ตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ภายในตาปรากฏเรื่องราวที่เคยประสบในวังเก่า ภาพเหตุการณ์นองเลือด


 


 


ความแค้นงอกเงยขึ้นมา จนนางแทบทนรับไม่ไหวแล้ว


 


 


ทั้งแค้น ทั้งเสียใจ ทั้งโทษตัวเอง


 


 


เพราะนางเชื่อเป่ยเฉินอี้ ถึงทำให้พ่อแม่ต้องตาย ทำให้คนมากมายต้องตาย! มิน่าตอนนางพบเป่ยเฉินอี้ ถึงแค้นเขาขนาดนั้น ….


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเห็นหยาดน้ำตาที่หางตาเยี่ยเม่ย หาได้รีบปลอบใจอีกฝ่าย กลับเล่าต่อว่า “ข้าพาเจ้าหนีไปด้วยกัน ฮ่องเต้ของเป่ยเฉินในปีนั้นไม่รู้เกิดคลุ้มคลั่งอะไร ในยามปกติเมื่อบ้านเมืองถูกทำลาย ต่อให้ลงโทษตายกับเสด็จพ่อเสด็จแม่ของเจ้า ก็สมควรประทานสุราพิษหรือไม่ก็ผ้าขาว ใช้วิธีให้สมเกียรติ แต่…ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเขาออกคำสั่งให้ใช้กระบองฟาดจนตาย ซ้ำยังต้องการสังหารคนทั้งเมืองหลวงอีกด้วย!”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ซือหม่าหรุ่ยยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจ มองเยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจมาตลอดว่า เขาทำเช่นนี้ ต้องมีความนัยแฝงอยู่แน่ เพียงแต่เวลานี้พวกเราไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้อีก เพียงแต่นำชาวเมืองหนีออกจากเมืองหลวงไปด้วยกัน สวรรค์คุ้มครอง บังเอิญว่าช่วงนั้นแม่น้ำหมินนอกเมืองมีชาวประมงจำนวนไม่น้อยพักเรือไว้ ดังนั้นเจ้าจึงพาพวกชาวเมืองโดยสารเรือหนีไป ปีนั้นยังมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยตายเพราะห่าธนู!”

 

 

 


ตอนที่ 261 ความจริงที่วางยาพิษสังหารค...

 

เยี่ยเม่ยปิดตาแน่น 


 


 


ความทรงจำเรื่องเหล่านี้ไม่มีอยู่ในสมองนางเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อได้ยินซือหม่าหรุ่ยเล่า นางรู้สึกว่าหัวใจบีบรัด เจ็บจนทำให้นางแทบหายใจไม่ออก นางจึงเข้าใจว่าเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นกับตัวนางอย่างจริงแท้แน่นอน 


 


 


ไม่เช่นนั้นนางคงไม่รู้สึกเจ็บหัวใจจนถึงขั้นไม่อยากหายใจ เพราะได้ฟังเรื่องนี้ 


 


 


 “ยังมีอีกไหม” นางเอ่ยถามเสียงสั่นเครือ 


 


 


คำถามนี้ถามถึงความในใจที่ซือหม่าหรุ่ยไม่อยากเอ่ยถึงมากที่สุด นั่นคือวันที่นางเจ็บปวดมากที่สุดในชีวิต 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยก้มหน้า เล่าต่อว่า “ชาวบ้านเกือบทั้งหมดล้วนอยู่บนเรือ ถึงแม้พวกชาวบ้านจะได้ข่าวว่าที่เป่ยเฉินอี้สามารถทำลายราชสำนักจงเจิ้งสำเร็จเกี่ยวพันกับเจ้า แต่เมื่อทุกคนเห็นเจ้าพาหนีเอาชีวิตรอด ให้ทุกคนขึ้นเรือออกมาก่อน ต่างก็อภัยให้เจ้า” 


 


 


นางเล่าต่อ “แต่ในตอนนั้นราชครูของเป่ยเฉินสั่งการให้ยิงธนูสังหารคนทั้งหมด เจ้าถูกธนูยิงเข้าที่หน้าอกตกลงในแม่น้ำหมิง ข้าคิดช่วยเจ้า แต่จับเจ้าไว้ไม่ทัน! ได้แต่มองเจ้าตกแม่น้ำกับตา…เจ้าทิ้งคำพูดไว้กับข้าประโยคหนึ่งบอกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปกป้องชาวบ้านที่หนีตายพวกนั้นให้ได้” 


 


 


เสี้ยวนาทีนี้ 


 


 


เยี่ยเม่ยคล้ายรู้สึกถึงความเจ็บปวดน้อยๆ ตรงหน้าอก ในสมองนางผุดเรื่องที่ตนฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาลเมื่อสี่ปีก่อน หน้าอกมีบาดแผลใหญ่ ลูกพี่จ่ายเงินจำนวนไม่น้อย ใช้ยาจำนวนมากถึงลบรอยแผลเป็นนั้นไปได้ 


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยรีบร้อนถามออกไปอีกประโยค “อย่างนั้นพวกชาวบ้านหนีไปได้ไหม” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเช็ดน้ำตาที่หางตา มองเยี่ยเม่ย เล่าต่อว่า “หนีได้แล้ว! เวลานี้คนนับพันนับหมื่นราชสำนักเป่ยเฉินไล่สังหารพวกเขา แต่สุดท้ายคนพวกนั้นไม่มีเรือ คนแสนกว่าคนที่มีวิชาทางน้ำดีจึงว่ายน้ำไล่สังหาร เมื่อเห็นคนไล่ตาม ข้า…” 


 


 


เล่าถึงตอนนี้ ซือหม่าหรุ่ยเจ็บปวดจนปิดตาตัวเอง 


 


 


นางก้มหน้าเอ่ยว่า “อาซี ตอนนั้นข้าสับสนอยู่นาน นั่นคือคำฝากฝังสุดท้ายของเจ้า เจ้าขอให้ข้าปกป้องชาวบ้านไว้ให้ได้ ข้าไม่อาจผิดต่อคำสัญญาของเจ้า แต่ข้ารู้ว่าที่ปากแม่น้ำหมิง นอกจากพวกทหารที่ไล่ตามมาแล้ว ยังมีชาวบ้านผู้บริสุทธิ์อีกจำนวนมาก ตอนนั้นข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ จึงเอายาพิษ…” 


 


 


ระหว่างเล่าไป ใบหน้าซือหม่าหรุ่ยก็เต็มไปด้วยน้ำตา “นั่นคือพิษร้าย หากแพร่ลงสู่น้ำ พวกทหารที่ไล่ตามกลางแม่น้ำมีแต่ตายสถานเดียว ส่วนชาวบ้านที่ปากแม่น้ำ หากไม่ระวังถูกน้ำเข้า ก็ต้องตายโดยมิต้องสงสัย! ศิษย์พี่ของข้าเซียวชินรู้ข่าวก็รีบลงจากเขามาหาข้า เห็นข้าถือพิษนั้น เขาก็รู้ทันที จากการคบหาของพวกเรา เรื่องนี้ข้าไม่อาจไม่ทำ ดังนั้น…” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ นางสะอื้นไม่ได้ศัพท์ “เขาตีข้าสลบ กระทำเรื่องนี้แทนข้า สังหารทหารแสนคนที่ไล่ตามมา ทั้งยังมีชาวบ้านผู้บริสุทธิ์หลายหมื่นคน หลังจากลงมือเขาก็ถูกคนทั่วหล้าไล่สังหารหายสาบสูญไป นับตั้งแต่นับก็ไม่เคยปรากฏกายอีกเลย!” 


 


 


เยี่ยเม่ยที่ร้องไห้อยู่แต่เดิม ฟังซือหม่าหรุ่ยเล่าเช่นนี้ ก็ยิ่งทนไม่ไหวเข้าไปใหญ่ 


 


 


ดังนั้น 


 


 


วันนั้น 


 


 


ไม่เพียงแค่นางสูญเสียเสด็จพ่อเสด็จแม่ ซือหม่าหรุ่ยก็ไม่กลัวเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกเพราะมิตรภาพ สุดท้ายนางสูญเสียเพื่อนรัก สูญเสียคนรัก 


 


 


เยี่ยเม่ยยื่นมือมาจับมือซือหม่าหรุ่ย สะอื้นเอ่ยว่า “ข้าติดค้างเจ้า!” 


 


 


ในโลกนี้มีคนยอมขัดต่อนิสัยของตนเองเพื่อสหายรัก กระทำเรื่องคร่าชีวิต แต่ทั้งหมดนี้ก็เพียงเพราะคำว่ามิตรภาพเท่านั้น สุดท้ายเรื่องนี้ เซียวชินทำเพื่อซือหม่าหรุ่ย นับตั้งแต่ตอนนั้น ซือหม่าหรุ่ยก็แบกรับความผิดมากขึ้น 


 


 


 


 


 


 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยพลันกอดเยี่ยเม่ยร้องไห้ออกมา “เยี่ยเม่ยเจ้ารู้ไหม ข้ากับกับเซียวชินเดิมทีเป็นหมอเทวดากับหมอเทพ พวกเราไม่เคยทำร้ายใครมาก่อน แต่เพราะเรื่องนี้ เพราะการเลือกของข้า ทำให้คนตายมากมาย เดิมทีนี่ควรเป็นความผิดของข้า เซียวชินกลับแบกรับไว้แต่เพียงผู้เดียว หลายปีที่ผ่านมา ข้ารู้สึกผิดต่อมโนธรรมในใจ ไม่เคยมีวันที่สุขใจเลย ทั้งไม่มีวันไหนที่ไม่คิดถึงเขา!”    


 


 


 “ข้าเข้าใจแล้ว!” เยี่ยเม่ยตบบ่าอีกฝ่าย ความเจ็บปวดในใจหาได้น้อยกว่าซือหม่าหรุ่ย  


 


 


หลังจากซือหม่าหรุ่ยร้องไห้อีกพักหนึ่ง ก็ค่อยๆ สงบลง นางสะอื้นเอ่ยว่า “ความจริงภายหลังข้าก็คิดได้แล้ว ชาวบ้านในโลกนี้เกี่ยวข้องอะไรกับข้าด้วย ข้ายินดีช่วยคนก็คือบุญวาสนาของข้า ข้าจะสังหารคนก็คือความสามารถของข้า ชั่วชีวิตนี้ของข้าช่วยเหลือคนทั้งหมดไว้ไม่ได้ การเผชิญหน้าก็เป็นทางเลือกถึงช่วยเหลือสหายรอบกายข้าได้ แต่ข้าคิดไม่ถึงว่า…” 


 


 


คิดไม่ถึงว่า นี่กลายเป็นสาเหตุที่นางไม่อาจพบเซียวชินได้อีก 


 


 


 “เขาแบกรับความผิดทั้งหมดไว้คนเดียว ซ้ำยังกลัวพลอยทำให้ข้าลำบากไปด้วย…” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ซือหม่าหรุ่ยยืดตัวขึ้น จับใบหน้าของเยี่ยเม่ยเพื่อพิสูจน์อีกครั้ง “ดังนั้นอาซี เป็นเจ้าจริงๆ ใช่ไหม เจ้ายังมีชีวิตอยู่จริงๆ ใช่หรือเปล่า” 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า ถึงนางยังจำเรื่องทั้งหมดไม่ได้ แต่ความเจ็บปวดคือของจริง นางเอ่ยเบาๆ “ข้าว่าน่าจะใช่!” 


 


 


หากรู้แต่แรกว่าการฝากฝังในตอนนั้นจะทำให้ซือหม่าหรุ่ยตกอยู่ในห้วงความเจ็บปวดเช่นนี้ นางว่า…จากการคบหาระหว่างจงเจิ้งซีกับซือหม่าหรุ่ย จงเจิ้งซีไม่มีทางทิ้งคำฝากฝังนี้ไว้แน่ 


 


 


นี่คือสหายที่แท้จริง 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยต่อ “เพราะข้าเคยมอบยาถอนพิษร้อยชนิดให้เจ้า มีเพียงเม็ดเดียวเท่านั้น ดังนั้นข้าจึงกล้าวางยาพิษลงในแม่น้ำ เชื่อว่าพิษทำอะไรเจ้าไม่ได้ ปีนั้นข้ายังมีความหวังเล็กๆ อยู่ในใจ หวังว่าเจ้าจะมีชีวิตรอด หลังจากถูกตีจนสลบไป เมื่อตื่นขึ้นมาเซียวชินก็หายตัวไปแล้ว ข้าออกตามหาเขาไปทั่วก็ไม่พบ จึงกลับไปที่แม่น้ำหมิงเพื่อตามหาเบาะแสของเจ้า!” 


 


 


เมื่อเล่าถึงตรงนี้ สายตาซือหม่าหรุ่ยก็ล่องลอย มุมปากปรากฏรอยยิ้มหยัน คล้ายขบคิดเรื่องน่าขันเป็นที่สุดขึ้นมาได้  


 


 


นางเอ่ยปากว่า “เจ้ารู้ไหมว่าข้าเห็นอะไร ข้าได้ยินว่า เป่ยเฉินอี้ไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้น กระโดดลงไปในแม่น้ำหมิงที่เต็มไปด้วยพิษร้ายเพื่อตามหาเจ้า สุดท้ายถูกคนช่วยขึ้นมา แต่เขายังเศร้าโศกไม่เลิก ข้าเห็นเขากระอักเลือดอยู่ริมน้ำกับตาตัวเอง ภายหลังข้าถึงได้รู้ว่า ก่อนที่เขาจะโดดลงน้ำก็กินยาพิษแรงลงไปแล้ว ดังนั้นวรยุทธ์ทั้งหมดของเขาสูญสิ้น สองขาใช้การไม่ได้กลายเป็นคนพิการคนหนึ่ง!” 


 


 


 “แต่ตอนนี้ เหมือนเขาจะหายแล้ว!” ยามเยี่ยเม่ยเอ่ยประโยคนี้ จ้องซือหม่าหรุ่ย น้ำตาไหลลงมา 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า แววตาฉายความเคียดแค้น เอ่ยต่อ “เขาโชคดีนัก ถึงกับหายดีได้!” 


 


 


เยี่ยเม่ยค่อยๆ สงบลง มองซือหม่าหรุ่ย ถามต่อว่า “อย่างนั้น…เจ้าบอกว่าบางทีเพราะการกระทำของเจ้าในปีนั้น ถึงรักษาชีวิตข้าเอาไว้ได้ หมายความว่าอย่างไรกัน” 


 


 


 “หลังจากเป่ยเฉินอี้กระอักเลือดเพราะความสะเทือนใจ ก็สลบไป! ภายหลังเขาส่งคนมาค้นหาร่างเจ้าในแม่น้ำ ฮ่องเต้เป่ยเฉินก็มีรับสั่งให้ตามหา ข้าไม่รู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่ข้ามั่นใจว่า หากพวกเขาหาเจ้าพบ ต่อให้เจ้ามีชีวิตอยู่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี!” 

 

 

 


ตอนที่ 262 เบาะแสของน้องชายเยี่ยเม่ย

 

เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ ซือหม่าหรุ่ยก็กล่าวต่อ “ที่โชคดีคือชุดที่เจ้าใส่ในตอนนั้น เจ้าเคยมอบชุดที่ตัดเหมือนกับเจ้าไว้ให้ข้าชุดหนึ่ง เจ้าบอกว่าพวกเราสนิทกันที่สุด อยากใส่ชุดเหมือนกับข้า สร้อยข้อมือที่เจ้าเคยใส่วันนั้น เจ้าก็เคยมอบแบบที่เหมือนกันให้กับข้า เวลานั้นทั่วทุกแห่งชุลมุนวุ่นวาย ศพเกลื่อนไปทั่ว ข้าเอาศพผู้หญิงที่รูปร่างเหมือนเจ้า เปลี่ยนชุดและสวมสร้อยข้อมือให้นาง ใช้ธนูแทงอกนาง จากนั้นให้ยาทำลายใบหน้านาง ดูแล้วมีสภาพเน่าเปื่อยเหมือนแช่น้ำเป็นเวลานาน จากนั้นโยนลงไปในแม่น้ำหมิง”


 


 


ขณะเล่าไป ซือหม่าหรุ่ยก็พรูลมหายใจ ถอนใจเอ่ยว่า “ภายหลังก็ได้ยินข่าวว่า เป่ยเฉินอี้หาศพเจ้าพบแล้ว ข้าไม่เข้าใจมาตลอดว่า เขาพบศพที่แท้จริงของเจ้า หรือศพปลอมที่ข้าทำขึ้นมา อย่างไรเสียก็ปลอมออกมาได้เหมือนมาก ยามที่เป่ยเฉินอี้พบศพ ต่อให้คิดว่าเป็นเจ้าจริง ศพก็สมควรเน่าเปื่อยไปบ้างแล้ว”


 


 


“ด้วยเหตุนี้ หลายปีที่ผ่านมา เจ้าก็ไม่แน่ใจว่าข้าเป็นหรือตาย” เยี่ยเม่ยถอดถอนใจถามออกไป


 


 


ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้ารับ “ใช่! ข้าเองก็เคยมีความหวังว่าเจ้ายังไม่ตาย ศพที่เป่ยเฉินอี้หาพบก็คือศพที่ข้าโยนลงไปในแม่น้ำ แต่หากเจ้ายังไม่ตาย ทำไมเจ้าถึงไม่ปรากฏกายเป็นเวลาสี่ปีเต็มๆ อีกทั้งเป่ยเฉินอี้ก็พบศพอย่างจริงแท้แน่นอน ข้าจึงไม่กล้าคาดหวังอะไร จนกระทั่งข้าได้พบเจ้า!”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงยามนี้ ความจริงที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็ไขกระจ่างแจ้งแล้ว


 


 


ส่วนที่ขาดไปก็คือความทรงจำที่แท้จริงของเยี่ยเม่ย


 


 


หลังจากซือหม่าหรุ่ยเล่าจบก็มองเยี่ยเม่ย “เรื่องพวกนี้ข้ารู้ทั้งหมด! ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นในวัง รวมถึงสถานการณ์โดยละเอียด ข้ากลับไม่รู้ชัด!”


 


 


 “อย่างนั้น…น้องชายของข้าล่ะ” เยี่ยเม่ยรีบถามออกมา น้ำเสียงของนางร้อนรน สายตาที่มองซือหม่าหรุ่ยก็ร้อนใจมาก


 


 


ซือหม่าหรุ่ยนิ่งไป มองเยี่ยเม่ย “เจ้ายังจำได้ว่าเจ้ามีน้องชายด้วย”


 


 


 “ข้าจำได้ว่าเคยอุ้มเด็กทารก มือของเขาเคยจับมือข้าไว้ แต่ข้าจำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้อีก!” เยี่ยเม่ยเอ่ยไป สีหน้าก็เศร้าโศก สิ่งที่นางจำได้ช่างจำกัดนัก มีน้อยนิดแค่นี้เอง


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมุ่นคิ้ว ลังเลเล็กน้อยว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้เยี่ยเม่ยฟังดีหรือไม่


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นสายตานางก็รู้ว่า ซือหม่าหรุ่ยต้องรู้เรื่องอะไรแน่ นางรีบจับมือซือหม่าหรุ่ยไว้ เอ่ยปากว่า “หากเจ้ารู้อะไรก็บอกข้ามาเถอะ!”


 


 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยชะงักไป มองเยี่ยเม่ย สุดท้ายก็ถอนใจเล่าว่า “เรื่องที่เกี่ยวกับน้องชายเจ้า เจ้าเคยเล่าให้ข้าฟังว่า ยามที่เขาเกิด มีผู้วิเศษที่สนิทกับบิดาเจ้าท่านหนึ่งมาในวัง บอกว่าน้องชายของเจ้าคนนี้จะพบวิบากกรรมถึงชีวิตตอนอายุสิบสอง ดังนั้นน้องชายของเจ้าคนนี้จึงอาศัยอยู่ในวังกับพวกเจ้าแค่สองปี พอเขาอายุครบสองขวบ ผู้วิเศษก็มาพาเขาออกไปจากวัง บอกว่าเมื่อถึงเวลาเหมาะสมจะพาเขากลับมา กระทั่งถึงตอนที่เจ้าเกิดเรื่อง เจ้าก็ไม่เคยได้พบเขาอีก เจ้าคิดถึงเขาอยู่เสมอมักจะพูดถึงเขาให้ข้าฟังอยู่เรื่อย”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเล่ามา หัวใจของเยี่ยเม่ยเกิดความยินดี รีบจับมือซือหม่าหรุ่ยไว้ “อย่างนั้น เขาปลอดภัยใช่ไหม เขาไม่ได้อยู่วัง จึงหนีรอดจากเภทภัยได้”


 


 


เห็นเยี่ยเม่ยมีท่าทางยินดีเป็นอย่างมาก ซือหม่าหรุ่ยรู้สึกทนไม่ไหวที่จะเล่าความจริง


 


 


แต่สุดท้ายนางก็หลอกลวงเยี่ยเม่ยไม่ได้ หลับตาลงเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าน้องชายของเจ้าได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นในวัง ก็มาตามหาพวกเจ้า เขาเข้าวังมาถูกคนของเป่ยเฉินจับเอาไว้ ประหารชีวิตแล้ว”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าเยี่ยเม่ยพลันแข็งชะงักไป


 


 


มือที่จับซือหม่าหรุ่ยไว้ก็ร่วงตกลงมา


 


 


ราชสำนักเป่ยเฉิน !


 


 


ราชสำนักเป่ยเฉิน! ทำลายบ้านเมืองนาง สังหารพ่อแม่นางยังไม่พอ แม้แต่น้องชายอายุเยาว์ของนางก็ยังไม่ละเว้น!


 


 


เห็นท่าทางเช่นนี้ของเยี่ยเม่ย ซือหม่าหรุ่ยเริ่มลนลาน นางจับบ่าเยี่ยเม่ยไว้ โน้มน้าวว่า “เยี่ยเม่ย สงบอารมณ์หน่อย! เจ้าต้องหนักแน่นไว้!”


 


 


เยี่ยเม่ยหันมองมือของซือหม่าหรุ่ยบนบ่าตน


 


 


นางยื่นมือออกไปวางบนมือซือหม่าหรุ่ย น้ำเสียงเย็นชาเหมือนเคยในเวลาแฝงความน่ากลัวราวอสุรีผุดขึ้นมาจากนรก “เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะสงบลงแน่!”


 


 


เสี้ยววินาทีนี้ ซือหม่าหรุ่ยเห็นดวงตานางที่เต็มไปด้วยความแค้นคล้ายกับถ้ำมืดมิด ในใจก็เกิดความหวาดกลัว


 


 


ถัดมา


 


 


เยี่ยเม่ยมองซือหม่าหรุ่ย เอ่ยออกมาทีละคำ “เจ้าวางใจเถอะ ก่อนที่จะสังหารคนของเป่ยเฉินหมดทีละคนๆ ข้าจะเป็นคนที่สงบเยือกเย็นที่สุดในโลกนี้แน่!”


 


 


เอ่ยจบนางก็ลุกขึ้นอย่างฉับพลันเดินออกไปด้านนอก ซือหม่าหรุ่ยเห็นท่าทางเช่นนี้ก็ตกใจ รีบติดตามออกไป เอ่ยว่า “เยี่ยเม่ย ยามนี้กำลังของเจ้าอ่อนด้อยนัก ไม่มากพอจะสั่นคลอนพวกเขา เจ้าอย่าได้วู่วามเด็ดขาด”


 


 


เมื่อซือหม่าหรุ่ยเอ่ยออกมา มือที่เตรียมเปิดประตูออกของเยี่ยเม่ยพลันหยุดชะงัก นิ่งไปหลายวินาที


 


 


มุมปากนางเผยรอยยิ้มเย็นชา สะกดข่มเพลิงโทสะในใจลง กดเสียงต่ำเอ่ย “อาหรุ่ย…”


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่นางเรียกซือหม่าหรุ่ยเช่นนี้


 


 


ยามที่นางเรียกออกมานั้น เยี่ยเม่ยคล้ายสัมผัสได้ว่าภายในความทรงจำที่เลือนหายไปของตน นางเคยเรียกซือหม่าหรุ่ยเช่นนี้มาเป็นพันๆ ครั้ง


 


 


อาหรุ่ย อาหรุ่ย


 


 


สหายที่ดีสุดของนางในปีนั้น


 


 


ซือหม่าหรุ่ยได้ฟังคำเรียกที่ห่างเหินไปนานก็ตะลึง กระบอกตาแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


จากนั้นมือของเยี่ยเม่ยก็จับกลอนประตูแน่น กัดฟันกล่าวว่า “เจ้ารู้ไหม นั่นคือความผิดของข้า! การตายของท่านพ่อท่านแม่ การตายของน้องชาย การตายของชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ในปีนั้น ล้วนเป็นเพราะข้า เพราะข้าเชื่อใจเป่ยเฉินอี้ผิดไป!”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยรีบเข้าไปคว้ามือนางไว้ เตือนว่า “อย่า! เจ้าอย่าทำเช่นนี้ อาซี ข้ารู้ว่าเจ้าเจ็บปวดใจ แต่ว่าเจ้าทำอย่างนี้ไม่ได้ แบบนี้เจ้าจะมีอันตราย!”


 


 


ใช่แล้ว ด้านนอกยังมีคนเฝ้าอยู่


 


 


หากนางทำลายกลอนประตูนี้ทิ้งไป ก็จะถูกจับได้ว่ามีความผิดปกติ


 


 


ดังนั้นต่อให้ใจนางเจ็บปวด ก็ไม่มีคุณสมบัติจะระบายออกมา


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยเบาๆ “อาซี เจ้าต้องรักษาตัวให้ดี! อย่าให้พวกเขารู้ฐานะของเจ้า ไม่เช่นนั้น…”


 


 


“เจ้าพูดถูก!” เยี่ยเม่ยกัดฟันแน่น สะกดอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดไว้ เสี้ยวนาทีนั้น นางคล้ายเปลี่ยนเป็นคนไร้หัวใจไร้ความรู้สึกดึงมือออกมาจากการจับกุมของซือหม่าหรุ่ย


 


 


นางมองซือหม่าหรุ่ยอย่างจริงจัง เสียงเย็นเยียบเอ่ยว่า “ต่อไปอย่าเรียกข้าว่าอาซีอีก ชื่อนี้ข้าไม่อยากฟังอีกต่อไปแล้ว! ในโลกนี้มีเพียงเยี่ยเม่ยที่ลุกขึ้นมาจากนรกเพื่อแก้แค้น ต่อให้ข้าต้องสูญเสียทุกอย่างไป ข้าก็จะทำให้ตระกูลเป่ยเฉินชดใช้หนี้เลือดนี้ด้วยเลือด!”


 


 


เมื่อสิ้นเสียง เยี่ยเม่ยเปิดประตูเดินออกไป


 


 


เมื่อเห็นแผ่นหลังของเยี่ยเม่ย กลับสู่ความเยือกเย็นเหมือนเคย ซือหม่าหรุ่ยก็คลายใจลง รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่วู่วามอีก


 


 


หากจะแก้แค้น ต้องเดินไปทีละก้าว ค่อยเป็นค่อยไป!


 


 


ยังดีที่ อาซี…ไม่สิ ในที่สุดเยี่ยเม่ยก็ควบคุมอารมณ์ของตนเองได้!

 

 

 


ตอนที่ 263 นางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะ...

 

ครั้นเดินออกมาจากห้อง เยี่ยเม่ยก็สัมผัสได้ว่ายังคงมีคนเฝ้าสังเกตนางมาจากรอบทิศ


 


 


เยี่ยเม่ยแววตาวาวโรจน์ กวาดตามองไปรอบๆ เอ่ยปากว่า “ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าเป็นคนของใคร รีบไสหัวไปให้พ้นเดี๋ยวนี้ ไปบอกเจ้านายพวกเจ้าว่า อาศัยความสามารถเท่าแมวสามขาของพวกเจ้า ไม่มากพอมาลอบสังเกตการณ์ข้า ข้าจะนับถึงสาม หลังจากนับแล้วหากยังไม่ไป อย่าโทษที่ข้าลงมือสังหารคน!”


 


 


ยังไงเสียตอนนี้นางก็อารมณ์ไม่ดี คิดสังหารคนจริงๆ


 


 


คนที่หลบอยู่พลันมองหน้ากัน…


 


 


 “หนึ่ง!” เยี่ยเม่ยเพิ่งนับได้คำเดียว


 


 


คนชุดดำที่หลบซ่อนอยู่สองคนก็ตระหนักได้ ขยับกายหลบออกไปทันที


 


 


ซือหม่าหรุ่ยที่ติดตามออกมา มุ่นคิ้วเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “เจ้าให้พวกเขาจากไปเช่นนี้ ไม่ดีเลย! จะถูกจับพิรุธเอาได้ง่ายๆ”


 


 


 “ไม่เป็นไร!” เยี่ยเม่ยไม่ใส่ใจ กล่าวต่อทันทีว่า “เดิมทีข้าก็ไม่ชอบให้คนแอบตามข้าอยู่แล้ว ข้าเชื่อว่าคนพวกนี้ต่างก็รู้ เป่ยเฉินอี้ไม่รู้สึกแปลกใจนักหรอก!”


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยอธิบาย ซือหม่าหรุ่ยในยามนี้ก็ไม่ท้วงอีก


 


 


ไม่ช้าเยี่ยเม่ยก็เอ่ยต่อ “แต่ว่าต่อให้ดึงดูดความสงสัยของเขา ข้าในตอนนี้ก็ไม่ใส่ใจมากมายอีกแล้ว มีสถานที่หนึ่ง ข้าจำเป็นต้องไปให้ได้!”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยขมวดคิ้ว ถามว่า “ที่ใด”


 


 


 “แม่น้ำหมิง!”


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยจบก็สาวเท้าออกไป


 


 


ครั้นนางได้ฟังเรื่องเล่าทั้งหมดจากซือหม่าหรุ่ยก็มากพอที่ทำให้นางรู้สึกร่วมด้วย แต่ว่ายังมีความทรงจำบางส่วน ที่ยังกลับมาไม่ครบ


 


 


ดังนั้นนางจำเป็นต้องไปแม่น้ำหมิง


 


 


การไปแม่น้ำหมิง อาจทำให้นางพบความทรงจำทั้งหมด เมื่อรวมกับคำบอกเล่าของซือหม่าหรุ่ย การไปจะทำให้รับรู้เรื่องเหล่านั้นที่ซือหม่าหรุ่ยไม่รู้ได้อย่างสมบูรณ์


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยทันทีว่า “แต่แม่น้ำหมิงห่างไกลจากที่นี่มาก ต่อให้เจ้าเดินทางไวแค่ไหน ไปกลับเที่ยวหนึ่งก็ต้องใช้เวลาสามสี่วัน!”


 


 


 “ข้ารู้” เยี่ยเม่ยก้าวเดินออกไปโดยไม่ลังเล พลันฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หันกลับไปมองซือหม่าหรุ่ย “หากคนอื่นถาม เจ้าก็บอกว่า เพื่อกำจัดพิษในร่างกายจิ่วหุนให้ราบคาบ จำเป็นต้องใช้ตัวยาหลายชนิด ข้ารู้เบาะแสของยาชนิดหนึ่ง จึงออกไปหาแล้ว!”


 


 


 “ได้!”


 


 


เมื่อเห็นนางยืนหยัดขนาดนี้ ซือหม่าหรุ่ยก็เข้าใจ เยี่ยเม่ยจำเป็นต้องไปแม่น้ำหมิงในยามนี้ ดังนั้นในฐานะสหายสนิท สิ่งที่นางทำได้ นอกจากช่วยเยี่ยเม่ยปิดบังแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก


 


 


 “ระหว่างทางระวังด้วย บางทีเป่ยเฉินอี้อาจยังส่งคนไปจับตาดูเจ้าไว้!” ซือหม่าหรุ่ยเตือน


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว!”


 


 


ครั้นเอ่ยจบ เยี่ยเม่ยก็ทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีอารมณ์ร่ำลาใครทั้งนั้น หนึ่งในนั้น…ยังรวมถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วย


 


 


เมื่อเห็นเยี่ยเม่ยออกไป


 


 


อารมณ์ของซือหม่าหรุ่ยก็เคร่งเครียดลง ในสมองนางพลันคิดถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เริ่มกังวลถึงเยี่ยเม่ยอยู่บ้าง


 


 


เหมือนกับเยี่ยเม่ยจะตกหลุมรักเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจริงๆ


 


 


หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะทำอย่างไรดี


 


 


ระหว่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยคือความแค้นล้มล้างบ้านเมือง โดยเฉพาะ…หนี้เลือดของพ่อแมเยี่ยเม่ย


 


 


ต่อให้ทุกอย่างล้วนเกิดมาจากฮ่องเต้เป่ยเฉินและเป่ยเฉินอี้ แต่ไม่ว่าพูดอย่างไร เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์เป่ยเฉินจริงๆ


 


 


ดูจากแววตาแน่วแน่ของเยี่ยเม่ยเมื่อครู่ ซือหม่าหรุ่ยอดกังวลใจไม่ได้


 


 


นางเดินออกจากเรือนเยี่ยเม่ยด้วยความในใจที่หนักอึ้ง


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเดินเข้ามาด้วยความสงสัย มองทิศทางที่เยี่ยเม่ยจากไป “นางไปทำอะไร”


 


 


 “ยังไม่ใช่เพราะต้องหายาถอนพิษจิ่วหุนอีกหรือ ออกไปไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว!” ซือหม่าหรุ่ยตอบคำถามตามความต้องการของเยี่ยเม่ย จากนั้นซือหม่าหรุ่ยถามว่า “เจ้ามาหาข้าทำไม”


 


 


 “เพื่อเซียวชินน่ะสิ!” ซินเยว่เยี่ยนเสียงดังไม่น้อย เมื่อเอ่ยออกมาแล้วก็รีบลดเสียงเบาลง มองไปรอบๆ กล่าวต่อว่า “ข้าสัญญาว่าจะช่วยตามหาเซียวชิน แม่เจ้าเถอะ! เมื่อข่าวนี้แพร่ออกมา ข้าถึงได้รู้ว่าที่แท้อู๋เหินรู้ที่อยู่ของเซียวชินตั้งนานแล้ว นับตั้งแต่เซียวชินหายตัวไป อู๋เหินก็รู้มาตลอด!”


 


 


 “อะไรนะ” ซือหม่าหรุ่ยชะงักไปเล็กน้อยตามมาด้วยสีหน้ายินดี วันนี้พบอาซีแล้วหากยังรู้ที่อยู่ของเซียวชินด้วย สำหรับนางถือว่าเป็นเรื่องมงคลสองเรื่องเลยทีเดียว


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเห็นนางตกใจ ก็รีบเอ่ย “เฮ้อ น่าเสียดายที่ข้ามิได้รับผิดชอบหน่วยข่าวกรอง ดังนั้นข้าถึงไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน! อู๋เหินรู้ทั้งรู้ว่าพวกเรารู้จักกัน แต่ไม่ยอมบอกข้าเลย!”


 


 


เมื่อพูดแล้วซินเยว่เยี่ยนก็ปวดหัวนัก


 


 


น้องชายคนนี้ของนาง มีนิสัยโดดเดี่ยวและเฉื่อยชา แม้แต่เรื่องนี้ยังคร้านจะเล่าให้นางฟัง คิดแล้วซินเยว่เยี่ยนยังรู้สึกเหนื่อยใจ สงสัยว่าตัวเองมีน้องชายปลอมๆ คนหนึ่ง


 


 


ซือหม่าหรุ่ยใส่ใจเรื่องพวกนี้ที่ใดกัน นางรีบจับมือซินเยว่เยี่ยน ถามว่า “อยู่ที่ไหน เซียวชินอยู่ที่ไหน”


 


 


 “ความจริงเมื่อก่อนพวกเราก็เคยสงสัยว่า เซียวชินคือจั่วอี้อ๋องผู้ลึกลับของต้ามั่ว!” ซินเยว่เยี่ยนเอ่ยไปก็มุ่นคิ้ว


 


 


ซือหม่าหรุ่ยตะลึงงัน “อะไรนะ”


 


 


พวกนางเคยสงสัยฐานะของเซียวชินมาก่อน จั่วอี้อ๋องแห่งต้ามั่วปรากฏตัวออกมาในชั่วเวลาที่ประจวบเหมาะมาก ซ้ำยังมีวิชาแพทย์ติดตัว


 


 


ดังนั้นซือหม่าหรุ่ยมาชายแดนครั้งนี้ ไม่เพียงเพื่อหาเซียวเซ่อหยางเท่านั้น แต่ก็เพื่อหาเบาะแสของ เซียวชินด้วย เพื่อพิสูจน์ว่าจั่วอี้อ๋องผู้นั้นใช่เซียวชินหรือไม่


 


 


แต่นางคิดไม่ถึง เพิ่งมาถึงก็ได้รับข่าวว่าจั่วอี้อ๋องรับหน้าที่โจมตีภาคกลาง


 


 


จากความเข้าใจที่นางมีต่อเซียวชิน นางรู้สึกว่าไม่ว่าอย่างไร ต่อให้เซียวชินช่วยนางวางยาพิษลงในแม่น้ำหมิงเมื่อปีนั้น แต่ก็ไม่มีทางรับคำสั่งโจมตีภาคกลางแน่ ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าคนผู้นั้นไม่ใช่เซียวชิน ด้วยเหตุนี้จึงไม่พิสูจน์ต่อ คิดไม่ถึงเลยว่า…


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเองก็ถอนใจ “ข้าก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน จั่วอี้อ๋องคือเซียวชิน พูดกันตามตรงแล้ว ตอนนั้นข้าติดตามเยี่ยเม่ยออกรบ ข้าเองก็เคยพบจั่วอี้อ๋องผู้นั้น ยามนั้นไม่ทันคิดมากมาย เห็นอีกฝ่ายสวมหน้ากาก ข้าก็…”  


 


 


ว่าไปแล้วซินเยว่เยี่ยนเคยพบเซียวชินเพียงสองครั้ง ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายสวมหน้ากากนางจึงจำไม่ได้


 


 


ซือหม่าหรุ่ยรีบเอ่ย “ไม่ได้ ข้าจะต้องไปหาเขาที่ต้ามั่วเดี๋ยวนี้!”


 


 


 “เจ้าไปต้ามั่วก็เปล่าประโยชน์แล้ว!” ซินเยว่เยี่ยนปราบคำหนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจอีก เอ่ยต่อ “ครั้งก่อน เซียวชินแพ้สงคราม ก็ถูกริบอำนาจทางการทหาร ภายหลังเขาทิ้งจดหมายแล้วจากไป ต้ามั่วก็ไม่รู้ว่าคนหายไปไหน ราชาต้ามั่วออกตามหาเขามาตลอด คนของหมู่ตึกกูเยว่ก็หาไม่พบ…”


 


 


เล่าไปแล้ว ซินเยว่เยี่ยนก็อดมองซือหม่าหรุ่ยทีหนึ่งไม่ได้


 


 


ไม่ง่ายจะหาที่อยู่ของเซียวชินพบ แต่คิดไม่ถึงว่าความหวังที่มีความจริงแล้วเป็นเพียงความผิดหวังอีกครั้งหนึ่ง


 


 


นางปลอบว่า “เจ้าอย่าเสียใจไปเลย ยังดีที่พวกเรารู้ว่าเซียวชินยังมีชีวิตอยู่!”


 


 


เมื่อนางเอ่ยออกมา ซือหม่าหรุ่ยรับรู้ได้ถึงความปลอบโยน พยักหน้า “เจ้าพูดไม่ผิด ยังดีที่เขายังมีชีวิตอยู่ ยังมีชีวิตอยู่!”

 

 

 


ตอนที่ 264 เขาสูญเสียนางไปไม่ได้

 

ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยไปน้ำตาไหลพราก


 


 


นางคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ที่แท้เขาอยู่ใกล้กับนาง อีกเพียงก้าวเดียวก็หาเขาพบแล้ว


 


 


นางรู้สึกเสียใจยามที่ซินเยว่เยี่ยนทดสอบความสามารถของเยี่ยเม่ยโดยติดตามไปออกรบ วันนั้นตัวนางไม่ไปกับทั้งสอง หากนางไปด้วยแล้วได้เห็นเซียวชิน อย่าว่าแต่ใส่หน้ากากเลยต่อให้โฉมหน้าเขาเปลี่ยนไปหมดจนไม่เหลือเค้าเดิมอีกแล้ว นางก็ต้องจำได้


 


 


แต่วันนั้นนางดันไม่ติดตามไปด้วย


 


 


ซินเยว่เยี่ยนรับรู้ถึงความเจ็บปวดในใจซือหม่าหรุ่ย ทว่านางฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ “จริงสิ เจ้าจำได้หรือไม่ อวี้เหว่ยบอกว่าเห็นคนเฝ้าอยู่ใกล้ๆ เรือนของเจ้า หากเซียวชินคือจั่วอี้อ๋องจริงๆ ต่อให้เขาออกจากต้ามั่วมาแล้ว ก็ไม่น่าจากไปไกลเท่าไหร่ ไม่แน่ว่าคนที่แอบมองเจ้าคนนั้นก็คือเขา!”


 


 


มาตรว่าก่อนหน้านี้พวกนางเคยวิเคราะห์กันมาก่อน คิดว่าไม่มีทางใช่เซียวชิน อย่างไรเสียต่อให้เป็นเขา ก็ไม่น่าเข้ามาได้ แต่ยามนี้เมื่อย้อนคิดดู…หากเป็นไปได้เล่า”


 


 


เซียวชินอยู่ใกล้ที่นี่ขนาดนี้


 


 


อีกอย่างนางคิดไม่ออกเลยว่าในโลกนี้ยังมีใครที่มาแอบจับตาดูซือหม่าหรุ่ยเงียบๆ อย่างเป็นมิตรด้วย


 


 


 “จริงด้วย! เจ้าพูดถูกแล้วอาจเป็นเขาจริงก็ได้!” ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้าติดต่อกัน


 


 


ซินเยว่เยี่ยนตบบ่านาง “เจ้าใจเย็นลงหน่อย ทำแบบนี้ช่างเสียกิริยานัก!”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยรู้ดี เพราะว่าการวางยาพิษในปีนั้น เซียวชินผูกความแค้นเอาไว้จำนวนมาก นางต้องสงบใจไว้ ต่อให้หาเซียวชินพบ ได้เจอกับเขาอีก ก็ไม่อาจให้คนรอบข้างรู้ได้ อีกอย่างยามนี้ยังไม่มีเบาะแสของเขาเลย


 


 


นางค่อยๆ สงบลง ในที่สุดก็เอ่ยว่า “คนที่สมควรปรากฏตัว ในที่สุดก็ปรากฏตัวกันหมดแล้ว สวรรค์ยุติธรรมจริงๆ !”


 


 


ได้ยินซือหม่าหรุ่ยเอ่ยประโยคนี้ ในสายตาของซินเยว่เยี่ยนรู้สึกแปลกประหลาดใจ นางขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยว่า “อาหรุ่ย คำพูดเจ้าหมายความว่างอย่างไร”


 


 


อะไรคือออกมาจนหมดแล้ว


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมองซินเยว่เยี่ยน แววตาเจือไปด้วยความแค้น “ไม่มีอะไร บางเรื่องเจ้าไม่ต้องถามแล้ว! เพียงแต่พวกเป่ยเฉินชั่วช้าสามานย์พวกนั้น ทำให้พวกเราต้องเจ็บปวดมานาน หนี้แค้นนี้สมควรมีคนมาทวงคืนเสียที!”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเข้าใจดี การล่มสลายของราชสำนักจงเจิ้งปีนั้น ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากอาซี ถึงแม้ทุกคนเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นเพราะอาซีมีเมตตาเกินไป เป่ยเฉินอี้เจ้าเล่ห์เกินไป แต่คนจำนวนมากรวมถึงโอวหยางเทา ที่ไม่อาจอภัยให้อาซีได้ทั้งหมด


 


 


หากจะล้างแค้น พวกนางยังมีหนทางอีกยาวไกลที่ต้องเดิน


 


 


ยามนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น นางเชื่อว่า อาซี…ไม่ เยี่ยเม่ยก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เยี่ยเม่ยต้องหนักแน่น ก้าวไปสู่ชัยชนะ นางก็ต้องหนักแน่น และจำเป็นต้องหนักแน่นด้วย !


 


 


……


 


 


ในห้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


อวี้เหว่ยวิ่งเข้ามาด้วยความร้อนรน หลังจากเข้ามาแล้ว ก็เอ่ยปากว่า “เตี้ยนเซี่ย ไม่ดีแล้ว คือว่า.. แม่นางเยี่ยเม่ยออกไปตามลำพังแล้ว ได้ยินว่านางบอกว่าจะหายาให้จิ่วหุนก็จากไปเลย ซ้ำยังบอกว่าอีกไม่กี่วันถึงจะกลับมา ไม่ให้คนติดตามนางไป…”


 


 


อวี้เหว่ยพยายามเล่าเรื่องก่อนเยี่ยเม่ยจากไป รวมถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องทั้งหมด


 


 


เขาเองก็ไม่เข้าใจ ต่อให้แม่นางเยี่ยเม่ยต้องการทำธุระ ไฉนไม่บอกเตี้ยนเซี่ยสักคำแล้วค่อยไป


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชะงักงัน


 


 


จ้องอวี้เหว่ย ค่อยๆ ถามว่า “นางไปแล้ว ทั้งไม่ให้คนมาบอกข้าด้วยหรือ”


 


 


 “ใช่!” อวี้เหว่ยส่ายหน้าโดยพลัน


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหน้าคล้ำ มองอวี้เหว่ยเอ่ยว่า “นางไปทางไหน”


 


 


 “ไม่มีใครรู้ นางขี่ม้าออกนอกเมืองไปแล้ว ทั้งยังไม่อนุญาตให้ใครตามไป ท่านก็รู้นิสัยของนาง นางสั่งการเช่นนี้ ใครจะกล้าติดตามไป” อวี้เหว่ยเล่าไป ก็รู้สึกชวนปวดหัวอยู่บ้าง แม่นางเยี่ยเม่ยผู้นี้อยากออกไปข้างนอกสองสามวันก็ออกไป แต่อย่างน้อยก็สมควรบอกเตี้ยนเซี่ยสักคำหรือฝากคนมาบอกก็ได้


 


 


เห็นสีหน้าไม่น่ามองของเตี้ยนเซี่ย อวี้เหว่ยไม่ใช่คนโง่ รีบเสนอว่า “เตี้ยนเซี่ย หรือ…เพราะว่าแม่นางเยี่ยเม่ยรู้นิสัยของท่าน ท่านอาจจะขัดขวางนางเพราะเป็นเรื่องของจิ่วหุน ดังนั้นนางจึงจากไปโดยไม่บอกกล่าว”


 


 


อวี้เหว่ยคาดเดาเช่นนี้


 


 


ความจริงแล้วการคาดเดาเช่นนี้ อวี้เหว่ยรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้มาก ที่สำคัญคือขอเพียงเตี้ยนเซี่ยเชื่อก็พอ ขอเพียงทำให้เตี้ยนเซี่ยสบายใจขึ้นมาบ้าง  เช่นนั้นพวกเขาคนที่อยู่ข้างกายเตี้ยนเซี่ย สองสามวันนี้จะได้มีชีวิตอย่างไม่ยากลำบากมากนัก


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสงบใจลง ครุ่นคิดสักครู่ ในที่สุดก็ส่ายหน้า “หากบอกว่าเป็นสองสามวันก่อน นางจากไปโดยไม่ลาเพราะเรื่องนี้เยี่ยนยังเชื่อ แต่ว่าวันนี้เป็นไปไม่ได้!”


 


 


อย่างไรเสียไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้านี้ พวกเขาสองคนตกลงกันแล้ว เรื่องของจิ่วหุนในภายหน้าเขาจะอดทน นี่เป็นเรื่องที่เขาเพิ่งสัญญาออกไป ดังนั้นนางต้องไม่กลัวเขาขัดขวางแล้วจากไปแน่


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองอวี้เหว่ย น้ำเสียงน่าฟังถามว่า “ก่อนนางออกไป นางไปพบใครมา”


 


 


 “ซือหม่าหรุ่ย!” อวี้เหว่ยรีบตอบ ทั้งยังโน้มน้าวว่า “เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยรู้สึกว่าไม่มีอะไรแน่ ท่านลองคิดดู พิษในกายของจิ่วหุนต้องการยาแก้ ซือหม่าหรุ่ยรู้ดีอยู่แล้ว เมื่อซือหม่าหรุ่ยคุยกับแม่นางเยี่ยเม่ยแล้ว นางก็จากไปทันที นั่นยังไม่ใช่เพราะไปตามหายาถอนพิษหรือ”


 


 


อวี้เหว่ยคิดว่า เรื่องนี้ว่าไปตามเหตุผลแล้วก็ยังพอไปได้


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็สงบลง


 


 


ผ่านไปสักพักใหญ่ เขานวดหว่างคิ้ว เอ่ยว่า “ไปตามซือหม่าหรุ่ยมา!”


 


 


 “เอ๋?” อวี้เหว่ยไม่ค่อยเข้าใจ ในเมื่อเรื่องนี้ชัดเจนแล้ว ยังจะตามซือหม่าหรุ่ยมาเพื่ออะไร


 


 


เห็นสีหน้าอึ้งของอวี้เหว่ย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจึงเอ่ยตามตรงว่า “ไม่รู้เพราะอะไร เยี่ยนมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง!”


 


 


ความจริง ลางสังหรณ์ไม่ดีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่นางถามคำถามไร้เหตุผลนั่นกับเขา หากมีวันหนึ่งที่ข้าจะสังหารท่าน ท่านจะทำอย่างไร


 


 


จากนั้นนางก็บอกว่าจะไปหา ซือหม่าหรุ่ย ไม่ให้เขาตามไป


 


 


จนถึงตอนนี้ นางจากไปโดยไม่ร่ำลา คล้ายเป็นสัญญาณบางอย่าง บางทีหากเขาไม่สามารถค้นพบปัญหาของเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว พวกเขาอาจจะค่อยๆ ห่างกันไป จนกระทั่ง…


 


 


เขาอาจสูญเสียนางไป


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ สายตาเขาก็เย็นเยือกก้มหน้ากวาดตามองอวี้เหว่ย สั่งเสียงเย็นชาว่า “รีบไป! ภายในชั่วเวลาน้ำเดือดข้าต้องการพบซือหม่าหรุ่ย!”


 


 


 “ขอรับ!” อวี้เหว่ยไม่กล้าพูดมาก หมุนกายจากไปหาคนทันที


 


 


หัวใจเต้นระรัวราวลั่นกลอง หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไร เป็นเพราะเตี้ยนเซี่ยคิดมากไปเอง บางทีเขาก็ไม่กล้าคาดเดา ดูจากนิสัยของเตี้ยนเซี่ยจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง


 


 


……


 


 


ราชสำนักเป่ยเฉิน วังหลวง


 


 


 “ฝ่าบาท จวินซ่างมาถึงแล้ว!”

 

 

 


ตอนที่ 265 ฮ่องเต้มีความคิดเกินเลยกับ...

 

ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรตรวจฎีกา


 


 


ขันทีน้อยเข้ามารายงานประโยคหนึ่ง…


 


 


ฮ่องเต้ทรงเงยพระพักตร์อย่างรวดเร็ว ทอดพระเนตรขันทีน้อยผู้นั้น ตรัสอย่างรีบร้อนว่า “เร็ว รีบไปเชิญเขาเข้ามา! อีกอย่าง พวกเจ้าออกไปให้หมด!”


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีน้อยรวมถึงเหล่าบ่าวไพร่ก็ออกไปทันที


 


 


ไม่นาน


 


 


คนสวมชุดผ้าบางเบาปรากฏตัวอยู่กลางตำหนัก สายลมพัดอยู่ในตำหนักใหญ่ พัดเอาชายเสื้อสีขาวพลิ้วไหว ขับเน้นบุคลิกเด่นล้ำเหนือโลกของเขา รัดเกล้าสีเงินรัดเส้นผมสีดำขลับทิ้งตัวไว้ด้านหลัง เผยความน่าเกรงขามออกมา


 


 


บนอาภรณ์ขาวสะอาดผูกสายรัดเอวสีเงิน เจือจางกลิ่นอายเทพบนร่างนั้นไปหลายส่วน เพิ่มความเคร่งขรึมและเข้มแข็งขึ้นมา


 


 


เมื่อเขาเดินเข้า สายพระเนตรของฮ่องเต้ก็วนเวียนอยู่รอบๆ กายเขา


 


 


หลังจากเสินเซ่อเทียนเข้ามา ก็คุกเข่าลง มือขวาวางแนบอกคารวะ “เสินเซ่อเทียน ถวายบังคมฝ่าบาท!”


 


 


ฮ่องเต้รีบลุกขึ้นจากบัลลังก์ ทรงเดินไปทางเสินเซ่อเทียน “ข้าเคยบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ยามพบข้าไม่จำเป็นต้องมากพิธีรีตองเช่นนี้!”


 


 


 “ฝ่าบาท ไม่อาจขัดต่อธรรมเนียมได้” เสินเซ่อเทียนยังคงท่าทางเคารพนบนอบเอาไว้


 


 


เมื่อสายลมพัดผ่าน ปอยผมที่อยู่ตรงหน้าอกเขาปลิวไปด้านหลัง ขับเน้นให้เห็นความสูงสง่าราวทวยเทพ ฮ่องเต้ทอดพระเนตรอย่างหลงใหล


 


 


พระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกไป เตรียมจะพยุงเสินเซ่อเทียน “เจ้าลุกขึ้นก่อนเถอะ!”


 


 


เสินเซ่อเทียนหลบพระหัตถ์นิ่งๆ เขาลุกขึ้นพร้อมถอยร่นไปหนึ่งก้าว รักษาระยะห่างกับฮ่องเต้เอาไว้


 


 


ทำให้สีพระพักตร์ฮ่องเต้ในเวลานี้แข็งทื่อ


 


 


พระพักตร์ที่เตรียมพยุงเสินเซ่อเทียนค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ สุดท้ายก็ทรงรั้งกลับไพล่หลัง กำหมัดแน่นด้วยความกระอักกระอ่วน


 


 


เห็นปฏิกิริยาของฮ่องเต้ เสินเซ่อเทียนลอบถอนใจอยู่ในใจเบาๆ รู้ดีว่าฮ่องเต้ทรงพิโรธแล้ว


 


 


แต่ว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาทำได้แต่ปล่อยให้พระองค์ทรงพิโรธเท่านั้น


 


 


ฮ่องเต้ทรงจ้องใบหน้าราวน้ำแข็งตรงหน้า ทอดพระเนตรคนที่หล่อเหลาสง่างามราวเยาว์วัย ดูสูงส่งอยู่เหนือหล้า จนถึงกระทั่งแผ่ไอศักดิ์สิทธิ์ออกมา ตรัสด้วยสุรเสียงเย็นชา “เจ้าจะต้องผลักไสข้าให้ไกลห่างออกไปพันลี้ให้ได้ใช่หรือไม่”


 


 


 “ฝ่าบาททรงรู้ดี เพราะเหตุใดปีนั้นเสินเซ่อเทียนถึงแยกจากพระองค์ ยืนหยัดย้ายออกไปอยู่ตำหนักแปรพระราชฐาน” เสินเซ่อเทียนค้อมเอวประสานหมัด เอ่ยด้วยคำพูดแสดงความเคารพถึงที่สุดทว่าสีหน้ากลับดื้อดึง


 


 


พระพักตร์ฮ่องเต้เขียวคล้ำ


 


 


พระองค์ย่อมจำได้และเพราะจำได้ ความโกรธในใจถึงยังดำรงอยู่ พระองค์ทอดพระเนตรคนเบื้องหน้า ตรัส “เสินเซ่อเทียน หลายปีมานี้ขอเพียงเจ้าเอ่ยปาก ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าล้วนตามใจเจ้า ต่อให้เป็นเรื่องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน…ทุกคนต่างหวังให้ข้ากำจัดเขา หรือว่าปล่อยให้เขาทำลายตัวเองไปเสีย แต่เพราะคำพูดประโยคนั้นของเจ้า ข้าถึงยอมให้เจ้าอบรมสั่งสอนเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ความในใจที่ข้ามีต่อเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเข้าใจ!”  


 


 


เสินเซ่อเทียนฟังแล้ว สีหน้ายิ่งพินอบพิเทา “กระหม่อมเข้าใจว่าพระองค์ทรงให้ความสำคัญกับกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


คำพูดนี้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นนายกับบ่าวเท่านั้น


 


 


 “เจ้า…” ในที่สุดฮ่องเต้ก็พิโรธขึ้นมาบ้างแล้ว


 


 


ความอดทนของเสินเซ่อเทียนก็ถูกใช้จนหมดสิ้น


 


 


เขาเงยหน้ามองฮ่องเต้ น้ำเสียงน่าเกรงขามไม่ด้อยกว่าผู้เป็นกษัตริย์ดังขึ้น “ฝ่าบาท แปดปีก่อนตอนข้าเพิ่งเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวง ถึงได้รู้ว่าครอบครัวประสบเคราะห์กรรมไปนานแล้ว ยามนั้นท่านรับปากข้า จะช่วยพลิกคดีให้กับตระกูลของเสินเซ่อเทียน เพื่อล้างมลทินให้กับคนในตระกูลข้า จะล้างหนี้เลือดให้กับศัตรูของข้าด้วยเลือด เพราะบุญคุณนี้เสินเซ่อเทียนถึงสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อท่านไปชั่วชีวิต! แต่ขอให้พระองค์ทรงเข้าใจว่า เสินเซ่อเทียนเพียงแค่จงรักภักดีต่อพระองค์ ไม่มีเรื่องอื่นใดทั้งนั้น!”


 


 


หากมิใช่บุญคุณ ด้วยนิสัยเย่อหยิ่งโอหังของเสินเซ่อเทียนไม่มีทางก้มหัวให้ใครง่าย ๆ


 


 


ปีนั้นอาศัยวรยุทธ์ของเขาก็เพียงพอจะกวาดล้างศัตรูทั้งหลายแล้ว แต่ว่า…ไม่อาจปล่อยให้คนในตระกูลที่ตายไปแบกรับมลทินความผิด ให้ตระกูลของเขาแบกรับชื่อเสียงของขุนนางทรยศ ตายด้วยความอัปยศ


 


 


ต่อให้ต้องใช้เวลาอีกหลายปีเพื่อล้างมลทินเขาก็ยินดี


 


 


ส่วนตอนนั้นฮ่องเต้ทรงมีน้ำใจช่วยเหลือเขา ภายในระยะเวลาสั้นๆ ช่วยล้างมลทินให้คนในครอบครัวเขา ดังนั้นชั่วชีวิตนี้ เขาไม่มีทางทรยศฮ่องเต้ แต่นี่คือสิ่งที่เขาทำได้ทั้งหมดแล้ว


 


 


นอกจากเรื่องนี้ ก็ไม่มีอย่างอื่นอีก


 


 


ฮ่องเต้ก็ทรงเข้าพระทัยในความหมายของเสินเซ่อเทียน พระองค์สงบนิ่งไปสักครู่ ในที่สุดก็ไม่ดึงดื้อแก้ไขความสัมพันธ์กับเขาอีก ทว่าตรัส “เสินเซ่อเทียน อย่ากลับไปที่ตำหนักหลิงซานอีกแล้ว อยู่ที่นี่เพื่อช่วยงานข้า เป็นผู้ช่วยของข้าเถอะ!”


 


 


เมื่อพระองค์ขอ เสินเซ่อเทียนไม่ตอบ ใบหน้าราวก้อนน้ำแข็งไร้อารมณ์ มีเพียงความสูงส่งและห่างเหินประดุจเทพ


 


 


ฮ่องเต้ทรงรับรู้ว่า เสินเซ่อเทียนไม่เอ่ยวาจาเพราะกำลังรออะไรบางอย่าง


 


 


พระองค์ทรงสูดลมหายใจลึก ข่มความยินดีและไม่ยินยอมในใจ สัญญาออกไปว่า “คอยช่วยเหลืออยู่ข้างกายข้า ข้าให้สัญญาว่าจะไม่มีอะไรเกินเลยอีก”


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


เสินเซ่อเทียนตอบรับด้วยความเคารพ


 


 


ยามมองคนโอหังเช่นเขาแสดงความเคารพต่อหน้าตนเอง ฮ่องเต้กลับรู้สึกยินดีไม่ออก สะบัดชายเสื้ออย่างเย็นชา เดินกลับไปที่บัลลังก์


 


 


พระองค์นั่งอยู่บนที่นั่งแห่งราชันย์อันเย็นเยียบ มองคนที่แสดงความเคารพอยู่เบื้องหน้า ยิ่งทำให้หายใจไม่ออก หากบนโลกนี้มีสิ่งที่ฮ่องเต้อยากได้มากที่สุด นั่นคือคนที่อยู่เบื้องหน้าตนผู้นี้


 


 


หากทำได้ หากใช้บังลังก์มังกรที่พระองค์รักถนอมที่สุดนี้แลกมา พระองค์ก็ไม่เสียดายเลย


 


 


พระองค์ทรงเข้าใจว่า ต่อให้มอบบัลลังก์ของตนออกไป เสินเซ่อเทียนก็ไม่ใส่ใจ ส่วนคำสัญญาที่เสินเซ่อเทียนให้ไว้ ก็มีเพียงแค่ตราบใดที่เขายังไม่ตาย ก็จะปกป้องพระองค์ คุ้มครองความปลอดภัยของราชสำนักเป่ยเฉินเท่านั้นเอง


 


 


ฮ่องเต้ทรงเข้าใจ สำหรับคนอย่างเสินเซ่อเทียน ด้วยนิสัยและความสามารถที่คนทั่วหล้าไม่อาจเทียบเคียงได้ พระองค์มิอาจบีบคั้นจนเกินไป กระทั่งไม่อาจบีบคั้นเขาเลยด้วยซ้ำ พระองค์จึงได้แต่ถอยให้!


 


 


 “ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงตามตัวกระหม่อมด้วยเรื่องอันใด” เสินเซ่อเทียนยังคงรักษาท่าทางก้มหน้าแสดงความเคารพเอาไว้


 


 


ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองเสินเซ่อเทียน ในที่สุดก็ตัดสินใจตรัสเรื่องงาน “ข้างกายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรากฏสตรีนางหนึ่ง นามว่า เยี่ยเม่ย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชื่นชอบนางมาก เดิมทีก็ไม่มีอะไร เพียงแต่หลังจากสตรีนางนี้ปรากฏกาย ก็ก่อเรื่องไม่หยุดหย่อน ข้ารู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง!”


 


 


เอ่ยไปแล้ว ฮ่องเต้ก็ตรัสต่อ “ทั้งข้ายังไม่ได้รับข่าวจากชายแดน ข้างกายนางยังมีจิ่วหุนคอยติดตามอยู่ จิ่วหุนเป็นคนแบบไหน ข้าไม่พูด เจ้าก็คงรู้ ข้ารู้สึกว่านางอันตราย!”


 


 


เสินเซ่อเทียนได้ฟัง ก็ถามว่า “ฝ่าบาทอยากให้กระหม่อมจัดการอย่างไร”


 


 


เห็นท่าทางเคารพของเสินเซ่อเทียน ฮ่องเต้ก็เข้าใจ อีกฝ่ายต้องการให้พระองค์รีบสั่งงาน จะได้รีบจากไป ความจริงแล้วพระองค์เข้าใจดี เพราะพระองค์มีความคิดที่ไม่ควรมีกับเสินเซ่อเทียน ทำให้คนผู้ไม่ยินยอมรั้งอยู่นานแม้แค่นาทีเดียว


 


 


ฮ่องเต้พลันรู้สึกปวดใจ ถอนหายใจออกมา เอ่ยว่า “ข้าอยากให้เจ้าไปดูด้วยตัวเอง หากนางเป็นภัยคุกคาม ก็กำจัดซะ !”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม