เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก 257-264

 ตอนที่ 257 เนื้อย่าง


 


สวีอิ๋งอิ๋งอยู่ในห้องทำงานของเหยียนเฟิงทั้งวัน ระหว่างนั้นก็ไม่มีใครได้เข้าไปด้านใน นอกจากเบลล์แล้วก็ไม่มีใครรู้ถึงการมีอยู่ของสวีอิ๋งอิ๋ง


 


 


ตอนเย็นหลังจากเลิกงานแล้ว ตอนสวีอิ๋งอิ๋งควงแขนเหยียนเฟิงเดินออกมาจากห้องทำงานก็ตาขวางมองเบลล์ที่เดินเข้ามาอย่างระแวดระวัง


 


 


เบลล์เองก็นึกไม่ถึงว่าจะเจอพวกเขา ก้มหัวทักทายเหยียนเฟิงเล็กน้อย “สวัสดีค่ะท่านประธาน”


 


 


“เพิ่งเลิกงานเหรอ” เหยียนเฟิงรู้นิสัยเบลล์ดี เธอจะไม่เข้ามาวุ่นวายเหมือนผู้หญิงคนอื่น


 


 


เบลล์พยักหน้า ก่อนจะเอ่ยลาอย่างมีมารยาท “ฉันกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะท่านประธาน, คุณสวี” ก่อนจะรีบเดินผ่านหน้าพวกเขาไปอย่างรวดเร็วจนลับสายตา


 


 


ความคิดของสวีอิ๋งอิ๋งเกี่ยวกับสถานะของเบลล์เริ่มสั่นคลอน เขาดูแล้วไม่เหมือนศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ ของเธอเลย….


 


 


ท่าทางหวาดระแวงของสวีอิ๋งอิ๋งทำให้เหยียนเฟิงรำคาญ ถ้าไม่ใช่เพราะเอกสารที่เธอส่งมาให้ยังมีประโยชน์อยู่ล่ะก็ เขาก็ไม่อยากเล่นละครกับเธอต่อไปแล้ว


 


 


“อยากไปกินข้าวที่ไหน”


 


 


“ไปบ้านพี่ดีไหมคะ ฉันทำอาหารง่ายๆ เป็นนิดหน่อย” สวีอิ๋งอิ๋งวอนขอ


 


 


“ไม่ดีหรอก ยังไม่ได้เก็บบ้านเลย แถมยังไม่มีวัตถุดิบด้วย เรากินข้างนอกแล้วฉันค่อยไปส่งเธอกลับบ้านดีกว่า” เหยียนเฟิงไม่ให้เธอได้คัดค้าน ขับรถพาเธอไปเข้าร้านเนื้อย่างร้านหนึ่ง


 


 


ตอนสวีอิ๋งอิ๋งเห็นป้ายร้านสีหน้าก็แย่ลงทันที ร้านเนื้อย่างที่ราคารวมแล้วไม่เกินสองร้อยหยวนแบบนี้ไม่สอดคล้องกับฐานะของเธอเลยจริงๆ


 


 


จู่ๆ เหยียนเฟิงก็อยากกินเนื้อย่างของร้านนี้ขึ้นมา และก็ไม่ได้ถามความเห็นของสวีอิ๋งอิ๋งแต่อย่างใด แต่เห็นสีหน้าของเธอแล้วก็พอจะจับได้ว่าในใจเธอคิดอะไรอยู่จึงไม่ไปขัด เดินนำเธอเข้าไปด้านใน


 


 


ตัวร้านสะอาดสะอ้าน สองด้านของทางเดินยาวนั้นแบ่งเป็นโต๊ะแยกสี่คนต่อหนึ่งโต๊ะ ตรงกลางมีการแบ่งโซนกั้นไว้ นับว่ามีความเป็นส่วนตัวพอสมควร


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งเลือกนั่งตรงที่นั่งที่อยู่ชิดด้านใน ส่วนเหยียนเฟิงนั่งตรงข้ามกับเธอก่อนจะยื่นเมนูบนโต๊ะให้


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งโบกมือ ก่อนจะเอ่ยอย่างถ่อมตัว “พี่คุ้นเคยดีพี่ก็สั่งเถอะค่ะ ฉันยังไงก็ได้”


 


 


เหยียนเฟิงก็ไม่เกรงใจ เรียกพนักงานมาแล้วขานชื่อของเนื้อชนิดต่างๆ สุดท้ายก็สั่งจานผักรวมเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งไม่กล้ากินเนื้อเยอะขนาดนั้น แต่ก็ไม่กล้าขัดเหยียนเฟิง นั่งเหม่อมองเตาหินตรงกลางโต๊ะ


 


 


พนักงานยกเนื้อและผักหลากหลายชนิดมาเสิร์ฟที่โต๊ะและช่วยพวกเขาย่างเนื้อ


 


 


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนที่นั่งกินด้วยกันแตกต่างออกไป หรือเป็นเพราะว่าเหตุผลอื่น จู่ๆ เขาก็หมดอารมณ์ มองดูควันไฟบนเตา


 


 


นั่งพิงพนักเก้าอี้มองเนื้อที่โดนไฟย่างอย่างเหม่อลอย


 


 


เขาเองก็อิจฉาเหยียนเค่อเหมือนกัน เหยียนเค่อสามารถไปทำอะไรมากมายได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสถานะของตัวเอง ได้ลองใช้ชีวิตที่แตกต่างออกไป แต่ในวงการที่เขาอยู่กลับมีจำกัด สถานที่ที่ไป ผู้คนที่เคยพบเจอต่างก็เป็นแค่คนในแวดวงเดียวกัน นอกจากแวดวงนี้เขาก็ไม่รู้แล้วว่าคนในอาชีพอื่นเขาใช้ชีวิตกันอย่างไร


 


 


หลังจากเนื้อถูกย่างจนสุกหมดแล้วก็ถูกแบ่งเป็นสองฝั่ง เหยียนเฟิงหยิบตะเกียบคีบเนื้อย่างห่อในใบผักสด อ้าปากกัดกินเข้าไปคำใหญ่ เติมเต็มกระเพาะของตน


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งเห็นท่าทางไร้มาดของเขาก็รับไม่ได้ ยกตะเกียบขึ้นเขี่ยเนื้อไปมา


 


 


ให้ผู้หญิงแบบนี้แต่งงานกับเหยียนเค่อ สำหรับเหยียนเค่อแล้วคงเป็นหายนะ เหยียนเฟิงสบายใจขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ไม่ถูกปากเหรอ”


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “ไม่ค่อยชินน่ะค่ะ”


 


 


“ต่อไปถ้าแต่งงานกับเหยียนเค่อแล้วต้องเออออตามกันไปนะ เขาน่ะชอบไปสัมผัสกับชีวิตหลากหลายรูปแบบ” เหยียนเฟิงพบว่าผู้หญิงอย่างสวีอิ๋งอิ๋งไม่ต้องให้ตนแสร้งพูดจาเอาใจเลยด้วยซ้ำ ความทะเยอทะยานของเธอชัดเจนจนเรียกได้ว่า เป็นสิ่งที่ใครเห็นต่างก็ดูออกกันหมด


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งคัดค้านเสียงเบา “ฉันไม่แต่งกับเขาหรอก ฉันอยากแต่งกับพี่…” เธอพูดเสียงเบา เมื่อพูดจบก็หน้าแดงซ่าน ช้อนตาขึ้นมองปฏิกิริยาของเหยียนเฟิง


 


 


เหยียนเฟิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน กินอาหารต่อไปอย่างเอาจริงเอาจัง รู้สึกเย้ยหยันในใจ ‘ที่เธออยากแต่งด้วยไม่ใช่ฉัน แต่เป็นตำแหน่งภรรยาเจ้าบ้านตระกูลเหยียนต่างหากล่ะ’


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งรู้สึกเสียความมั่นใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ท่าทีของเหยียนเฟิงก็เปลี่ยนไปเช่นนี้


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 258 ทำงานล่วงเวลา


 


 


ตอนบ่ายเหยียนเค่อมัวแต่เลียนแบบสถานที่นัดบอด พอตกเย็นก็ต้องทำงานล่วงเวลาอย่างช่วยไม่ได้


 


 


เซ่าหมิงฟ่านโทรศัพท์มาถามไถ่เหยียนเค่อที่งานยุ่งจนแทบจะตายอยู่รอมร่ออย่างห่วงใย


 


 


“เป็นไงบ้าง มีความสุขจนจะตายเลยใช่ไหม”


 


 


“ไสหัวไป!” เหยียนเค่อปรับกำหนดการใหม่ล่าสุดของแต่ละแผนก ปล่อยเรื่องบุคคลที่น่าสงสัยทิ้งไว้ก่อน


 


 


ช่วงหลายวันนี้เซ่าหมิงฟ่านก็เหนื่อยจนแทบกระอัก เพิ่งจะประชุมทางวิดีโอเสร็จ แต่ในความยุ่งนั้นก็ยังแอบอู้มาคุยกับเหยียนเค่อได้


 


 


“เดี๋ยวฉันก็กลับอเมริกาแล้ว”


 


 


“นายเจอฉินจานแล้วยังคิดอะไรอยู่ไหม”


 


 


“ลืมไม่ลงหรอก อยู่ห่างๆ ไว้จะดีกว่า” เซ่าหมิงฟ่านหลับตา ในหัวปรากฏภาพในยามทุกข์และยามสุขของฉินจานตอนสมัยมัธยมต้น


 


 


เหยียนเค่อเองก็รู้ว่า ‘ความรักเดียว’ นี้มันทรมานแค่ไหน จึงไม่ฝืนใจเขา “พวกนายสบายใจแล้วปล่อยให้ทุกอย่างถาโถมใส่ตัวฉันเลย สวีอันหรานจะกลับไปที่สวีกรุ๊ป เสิ่นจิ้งเฉินก็จะกลับเมืองหลวง


 


 


ฉินซื่อหลานก็เป็นหมอจนลืมอาชีพที่เคยถนัดไปแล้ว ส่วนผู้โชคร้ายอย่างคนนี้ต้องมีสักวันที่เหนื่อยตายแน่นอน”


 


 


“นายน่ะนะ?” ถ้าเหยียนเค่อเหนื่อยตาย เขาคนแรกล่ะที่ไม่เชื่อ “ความบันเทิงของฉันในตอนนี้ ก็คือการได้ฟังผู้ช่วยพิเศษทั้งบริษัทมาเล่าประสบการณ์ชีวิตของนายให้ฉันฟังในเวลาว่าง”


 


 


ไม่ต้องใช้ผู้ช่วยพิเศษทั้งบริษัทหรอก แค่ผู้ช่วยหวังคนเดียวก็พูดเจื้อยแจ้วเล่าประสบการณ์ชีวิตของเหยียนเค่อได้อย่าง ‘คล่องแคล่ว’ แล้ว


 


 


เหยียนเค่อจับเส้นผมอ่อนนุ่มของตัวเอง “อย่าพาผู้ช่วยฉันเสียคนล่ะ”


 


 


กลุ่มผู้ช่วยที่ยังนั่งบนโซฟาอยู่เป็นเพื่อนเหยียนเค่อทำงานล่วงเวลามองไปทางนั้นปราดหนึ่ง ความหมายในดวงตาปรากฏเด่นชัด ‘ท่านก็ควรจะบอกตัวเองแบบนั้นเหมือนกันนะครับ’


 


 


เซ่าหมิงฟ่านไม่รู้จะทำอย่างไร “ฉันเนี่ยนะพาเสียคน? ให้เกียรติฉันมากไปหรือเปล่า”


 


 


“ไว้นัดออกไปเที่ยวกันเถอะ คราวก่อนที่ไปบ้านเสิ่นจิ้งเฉินฉันจะแข็งตายอยู่แล้ว คราวหน้าไปเที่ยวเมืองแถบโซนร้อนกันเถอะ”


 


 


“นายรอให้สวีอันหรานแต่งงานฮันนีมูนก่อนเถอะ” เซ่าหมิงฟ่านพูดดับความคิดของเขา


 


 


ช่วงนี้มีเรื่องให้ต้องจัดการมากมาย ตอนนี้เหยียนเค่อปลีกตัวออกไปเที่ยวไม่ได้จริงๆ


 


 


ด้วยอายุที่มากขึ้น ภาระหน้าที่ที่หนักหนามากขึ้น ทุกคนต่างก็ทุ่มเทพยายามอยู่ในสายงานของตัวเอง ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ไม่รู้ว่าจะได้รวมตัวกันอีกเมื่อไร


 


 


“ค่อยว่ากันแล้วกัน ตอนนี้พ่อแม่ที่บ้านก็รอให้ฉันหมั้นอยู่” เหยียนเค่อเอ่ยเยาะตัวเอง “ภาพที่ฉันจะได้เล่นเป็นเด็กๆ ยังอยู่ตรงหน้าอยู่เลย แต่พอหันหลังกลับไปก็ต้องมีลูกแล้ว”


 


 


ถ้าได้อยู่กับผู้หญิงที่ตัวเองชอบ ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไรก็คงไม่เกิดการแบ่งแยกเวลาเช่นนี้ ทุกสิ่งอย่างต่างจะเป็นไปตามธรรมชาติ เพียงแต่พวกเขาตัดสินใจเองไม่ได้ มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองชอบ


 


 


เซ่าหมิงฟ่านไม่เก็บเอามาใส่ใจ ใช้น้ำเสียงสนุกสนานมาทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง “ฉันต้องแต่งงานช้ากว่านายแน่ๆ ฉันไม่อยากให้ลูกชายฉันโดนลูกชายนายรังแก”


 


 


“ถ้าอายุน้อยกว่าลูกชายฉันก็หนีช่วงวัยเด็กที่โดนรังแกไปไม่พ้นหรอก” เหยียนเค่อหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง


 


 


เมื่อชีวิตที่เหลือของคุณอยู่ตรงหน้าจนสามารถจับต้องได้แล้ว คุณยังจะสามารถเลือกอะไรได้อีก?


 


 


เซ่าหมิงฟ่านกวักมือให้ผู้ช่วยที่ยืนอยู่ด้านหน้าเป็นเชิงให้เขาเข้ามาด้านใน ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม


 


 


ผู้ช่วยหยิบเอาซองปึกหนาวางลงบนโต๊ะก่อนจะหมุนตัวกลับออกไป


 


 


เซ่าหมิงฟ่านถอนหายใจ แกะซองกระดาษคราฟท์ออกก็เห็นรูปภาพที่อยู่ด้านใน จึงหยิบมาดูสักสองสามใบ


 


 


“เป็นอะไรไป” เหยียนเค่อรู้สึกว่าการถอนหายใจไม่ค่อยเหมาะกับสไตล์ของเขาเอาเสียเลย


 


 


“พี่ชายนายไปลองสัมผัสกับชีวิตชาวบ้านน่ะสิ เป็นบุญตาฉันจริงๆ” เซ่าหมิงฟ่านมองดูแผ่นหลังของทั้งสองคนก่อนจะเอ่ยอย่างประหลาดใจ


 


 


เหยียนเค่อไม่สนใจเท่าไรว่าพี่ชายเขาจะทำอะไร ยิ้มอย่างจนปัญญา “ฉันหวังว่าเขากับสวีอิ๋งอิ๋งจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า อย่ามาจองเวรฉันอีกเลย”


 


 


“ฝันไปเถอะ” เซ่าหมิงฟ่านโจมตีเขาอย่างไร้ความปรานี “สวีอิ๋งอิ๋งยังพอว่าง่ายอยู่ ประเด็นอยู่ที่พี่ชายนาย แล้วก็นะ ถึงสวีอิ๋งอิ๋งคนนี้จะหายไปแล้วแต่ก็ยังมีสวีอิ๋งอิ๋งอีกหมื่นพันคนรอนายอยู่”


 


 


เหยียนเค่อจะหัวเราะก็ไม่ได้ จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก “นายอย่ามาโจมตีฉันเลยนะ ฉันมีงานต้องทำต่อ วางละ”


 


 


ในเขตศูนย์กลางการค้าที่แสงไฟสว่างไสวตลอดทั้งคืน ดวงไฟในชั้นบนสุดค่อยๆ ลับหายไป ท่ามกลางแสงอรุณในยามเช้า


ตอนที่ 259 ทำให้คนคิดไปไกล


 


 


เมื่อเหยียนเฟิงกลับถึงบ้าน พ่อกับแม่ของตนยังคงนั่งอยู่ในห้องรับแขก


 


 


“พ่อครับแม่ครับ ดึกแล้วยังไม่นอนอีกเหรอ”


 


 


“อืม ทำไมกลับดึกจังล่ะลูก” คุณแม่เหยียนยื่นน้ำผึ้งให้เขาแก้วหนึ่ง เห็นว่าเขาดื่มหมดแล้วจึงรีบถามขึ้น “ตอนนี้เหยียนเค่อเป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บหนักอยู่ไหม”


 


 


คุณพ่อเหยียนกระแอมเสียงดังหนึ่งที เตือนให้คุณแม่เหยียนอย่าพูดถึงไอ้ลูกบ้านี่ต่อหน้าเขา


 


 


คุณแม่เหยียนไม่สนใจ จ้องหน้าเหยียนเฟิงรอให้เขาเล่าออกมา


 


 


“เขาหายแล้วครับ ออกจากโรงพยาบาลแล้ว วันนี้ตอนผมไปเยี่ยมก็ไม่มีใครอยู่แล้ว ผมกับสวีอิ๋งอิ๋งก็ออกไปตามหาเขาแล้วแต่โทรไม่ติด ไม่รู้ว่ามัวไปทำอะไรอยู่”


 


 


เหยียนเฟิงไม่ได้ไปเยี่ยมจริงๆ เพียงแต่ส่งคนไปดูเท่านั้น เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วก็ต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์ต่อหน้าพ่อกับแม่เสียหน่อย


 


 


คุณแม่เหยียนร้อนรน “ตาลูกคนนี้เพิ่งหายเจ็บแท้ๆ จะทะเล่อทะล่าออกไปทำไมน่ะหา?”


 


 


“เจ้านั่นก็ทำได้ทุกเรื่องนั่นแหละน่า!” คุณพ่อเหยียนโดนเขาป่วนจนเริ่มหมดอารมณ์แล้ว จึงหันไปพูดกับเหยียนเฟิง “วันนี้แกคงเหนื่อยแล้ว รีบขึ้นไปพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องไปสนใจน้องชายแกแล้ว”


 


 


“ครับ พ่อกับแม่ก็รีบพักผ่อนนะครับ”


 


 


คุณแม่เหยียนพยักหน้า ในใจยังรู้สึกเป็นห่วงเหยียนเค่ออยู่ “บาดเจ็บหนักต้องรักษาตัวอย่างน้อยหนึ่งร้อยวัน ตาลูกบ้านั่นไปอยู่ที่ไหนกันนะ บ้านก็ไม่กลับ!”


 


 


คุณพ่อเหยียนฟังเธอบ่นจนหูแทบจะชาแล้ว “พอได้แล้วๆ เรียกให้กลับไม่กลับ ถ้าแน่จริงชาตินี้ก็อย่ากลับมาเลยแล้วกัน”


 


 


“หยุดพูดไปเลยคุณ!” คุณแม่เหยียนเดิมทีก็ร้อนใจดั่งไฟสุมอกอยู่แล้ว ยิ่งได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกแย่ “พรุ่งนี้ฉันจะไปหาเขาที่คอนโดสักหน่อย”


 


 


เหยียนเฟิงเดินขึ้นบ้านมาก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายจากด้านล่าง ปิดประตูลงอย่างกระสับกระส่ายไม่เป็นสุข ในสายตาของพวกเขามีแค่เหยียนเค่อเท่านั้น แต่ไหนแต่ไรไม่เคยถามถึงเขาเลย


 


 


ไฟชั้นหนึ่งของบ้านตระกูลเหยียนสว่างตลอดทั้งคืน คุณแม่เหยียนยืนยันจะเปิดไฟทิ้งไว้ เผื่อว่า


 


 


เหยียนเค่อกลับมากลางดึกจะได้ไม่หกล้ม คุณพ่อเหยียนก็ว่าอะไรเธอไม่ได้ จึงเดินขึ้นบ้านไปพักผ่อนก่อน


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินเห็นว่าเขาไม่กลับมาสักทีจึงไปหาที่ฮุยเถิง


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินที่สะพายกระเป๋ายืนอยู่ที่หน้าประตูสวมผ้าปิดปากแล้วแอบเข้ามา คนที่ป้อมยามยังนึกว่ามีโจรเสียอีก


 


 


เหยียนเค่อมองคนที่คิดว่าตัวเองหลบซ่อนได้อย่างแนบเนียน แต่ความจริงแล้วชะโงกหน้าออกมามองทุกครั้งที่ก้าวเดินตรงด้านล่างของภาพวงจรปิด จึงกดเปิดไมค์ประชาสัมพันธ์อย่างเอือมระอา “ทำตัวให้มันปกติหน่อย แล้วรีบไสหัวขึ้นมา”


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินได้ยินเสียงก้องดังอยู่ภายในโถงใหญ่ก็ตกอกตกใจ แอบชูนิ้วกลางให้ก่อนจะเดินขึ้นลิฟต์


 


 


“ทำไมนายยังไม่กลับล่ะ” เสิ่นจิ้งเฉินหยิบขวดยาออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะผันตัวไปเป็นเด็กทายาอย่างเต็มกำลัง


 


 


“สวัสดีครับประธานเสิ่น” พนักงานที่ไม่มีงานทำเอ่ยทักทายเสิ่นจิ้งเฉินทีละคนสองคน


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินสีหน้าสุขุมลุ่มลึก ท่าทางโง่เง่าของเขาเมื่อกี้ พวกเขาคงไม่เห็นกันหมดแล้วหรอกนะ


 


 


เขาดึงหน้าตึง แล้วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม แต่ดวงตายิ้มเหมือนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวของเสิ่นจิ้งเฉินออกอาการมากไปหน่อย ถึงจะดูเคร่งขรึมอย่างไรแต่หางตาก็ยังวาดเป็นรอยยิ้ม


 


 


เหยียนเค่อกลับไปนั่งคร่อมลงบนเก้าอี้ สองมือกอดพนักพิงไว้ “มาทายาให้ฉันเถอะ”


 


 


สีหน้าของผู้ช่วยต่างก็แฝงไปด้วยความนัยลึกซึ้ง ต่างคนต่างมองหน้ากัน


 


 


‘ที่แท้บอสก็…’


 


 


‘คิดไม่ถึงว่าจะเป็นประธานเสิ่นกับบอสเลยนะเนี่ย’


 


 


‘ถึงจะเป็นคนที่ดูจริงจังแค่ไหนก็เป็นเกย์ได้เพราะบอสของเรา’


 


 


ในใจของพวกเขาคิดจินตนาการความรักลึกซึ้งแบบคู่กัดระหว่างบอสใหญ่ทั้งสอง ตั้งอกตั้งใจยิ่งกว่าตอนรู้ความลับทางธุรกิจอะไรเสียอีก


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินตบหลังของเขาดังแปะๆ เหล่าผู้ช่วยที่โดนสั่งห้ามไม่ให้มองต่างก็หันไปชมวิวด้านนอกหน้าต่างบานใหญ่


 


 


“นายก็รู้จักอายเป็นด้วยเหรอ” เสิ่นจิ้งเฉินกดนวดให้ก่อนจะฟาดเข้าที่หลังเขาหนึ่งที “เมื่อก่อนชอบโชว์หุ่นต่อหน้าพวกเรามากเลยไม่ใช่หรือไง”


 


 


“อืม ให้มองมากไปก็ดูไม่แพง ฉันจะรอให้พวกนายมาขอร้องให้ฉันถอดเสื้อผ้าก่อนค่อยให้ดูแล้วกัน”


 


 


เหล่าผู้ช่วยต่างก็ตะลึงพรึงเพริดไปกับประเด็นสนทนานี้


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 260 เตียงเดียวกัน


 


 


แขนและขาของซย่าเสี่ยวมั่วทาบทับลงบนร่างของสวีรั่วชี กักขังสวีรั่วชีไว้ราวกับพวกอันธพาล


 


 


“เธอทำแบบนี้ฉันอยากแจ้งตำรวจเลยอะ” สวีรั่วชีถีบขาเธอออก แต่เธอก็ยังพาดกลับมาใหม่


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเอื้อมมืออ้อมศีรษะของสวีรั่วชีไปหยิบโทรศัพท์ของเขาบนตู้หัวเตียงอีกฝั่งหนึ่ง


 


 


“เธอจะทำอะไร” สวีรั่วชีก็ไม่ได้สนใจ ปัดมือของซย่าเสี่ยวมั่วที่พาดลงมาออก


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วดึงมือออกแล้วมาหยิบโทรศัพท์ไว้ ก่อนจะกดถ่ายรูปตัวเองที่เอามือยันหัวไว้แล้วกอด


 


 


สวีรั่วชีแน่น จากนั้นก็ร่างเป็นข้อความ แล้วกดส่งออกไป


 


 


เธอมองดูการแจ้งเตือนว่าข้อความถูกส่งออกไปเรียบร้อยและขึ้นเครื่องหมายว่าอ่านแล้ว ก่อนจะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ลบข้อความนั้นทิ้งก่อนจะเอากลับไปวางคืนให้สวีรั่วชี


 


 


สวีรั่วชีหลับตาลง ไม่รู้ว่าเธอทำอะไร จึงปัดขาที่พาดลงมาบนตัวของตนเองออก ก่อนจะนึกไปถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว “เธอยังจำตอนปอหกที่ฉันอยู่กับเธอได้ไหม”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ได้ตอบอะไรออกไป ไม่รู้ว่าสวีรั่วชีพูดถึงเรื่องเมื่อตอนนั้นทำไม


 


 


“ตอนนั้นฉันร้องไห้หนักมากเลย ตอนนี้พอมานึกแล้ว ถึงแม้ว่าจะเสียใจอยู่แต่ไม่มีความรู้สึกเหมือนเมื่อตอนนั้นแล้ว ความจริง…เรื่องทุกอย่างต่างก็เลือนหายไปตามกาลเวลา ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือร้ายก็ตาม”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเขยิบเข้าไปใกล้เธอแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เธอจะเป็นเสี่ยวชีที่ดีที่สุดของฉันเสมอ”


 


 


สวีรั่วชีครางอืม รู้สึกง่วงงุนอยากนอนขึ้นมา


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเองก็หลับตา ฟังเสียงลมหายใจของเธอแล้วจึงค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทราตามไป


 


 


สวีอันหรานที่ได้รับข้อความก็สติแตก รู้สึกอิจฉาซย่าเสี่ยวมั่วเป็นอย่างมาก


 


 


เหยียนเค่อและเสิ่นจิ้งเฉินได้รับข้อความจากสวีอันหรานพร้อมกัน  [ฉันไม่สนว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะเป็นของใคร แต่พวกนายทำให้เขาอยู่ห่างจากเสี่ยวชีของฉันหน่อย!]


 


 


เหยียนเค่อสบตากับเสิ่นจิ้งเฉิน กำลังจะพูดว่า ‘ของฉัน’ แต่ก็สะกดกลั้นเอาไว้ รู้สึกอิจฉาสวีรั่วชีเป็นอย่างมาก


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินเห็นมุมปากของเหยียนเค่อขยับเหมือนจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา จึงโพล่งขึ้น “ของฉัน!”


 


 


เหยียนเค่อจ้องเขาตาเขม็ง ในดวงตาเปี่ยมไปด้วยความไม่ยอม “นายเลิกฝันไปเลย ฉันไม่ยอมให้


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมาเป็นน้องสะใภ้ฉันหรอก”


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินไม่สน จงใจยั่วโมโหเขาต่อ “ว้า บอกได้แค่ว่าครอบครัวฉันจัดการเรื่องคู่ครองได้ถูกใจฉันจริงๆ ฉันก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะได้มาเจอผู้หญิงดีๆ อย่างซย่าเสี่ยวมั่ว”


 


 


“ไม่ต้องมาแอ๊บเลย น่าอิจฉาชะมัด” เหยียนเค่อกินของว่างมื้อดึก ทนดูสีหน้าท่าทางเหมือนเด็กๆ ของเสิ่นจิ้งเฉินต่อไปไม่ได้จริงๆ “ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตไปได้!”


 


 


“นายว่าฉัน? นายมากกว่ามั้ง” เสิ่นจิ้งเฉินไม่กล้ากินขนมเค้กรสหวานขนาดนั้นในเวลากลางดึกอย่างเหยียนเค่อ ห้ามตัวเองด้วยการกินบะหมี่ไปสักหน่อย


 


 


ขนมเค้กอันหวานเลี่ยนก็ไม่สามารถเติมเต็มหัวใจอันเจ็บปวดของเหยียนเค่อได้ เค้กทั้งก้อนถูกกินหมดอย่างรวดเร็ว


 


 


“นายจะกลับเมื่อไร”


 


 


“อีกสองวัน นายรอไม่ไหวต้องไล่ฉันไปเลยเหรอ” เสิ่นจิ้งเฉินควักโทรศัพท์ออกมาดูตารางงาน “วันมะรืนฉันเลี้ยงข้าว นายเปิดทางที่หนานซานได้แล้วไม่ใช่เหรอ”


 


 


“นายรู้ได้ยังไง”


 


 


“ฉันเป็นคนช่วยหาคนดำเนินเรื่องให้สวีอันหรานเอง ไม่งั้นจะเร็วแบบนี้เหรอ!” เสิ่นจิ้งเฉินตบบ่าเขา ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความนัยบางอย่าง “อย่าลืมส่วนของฉันด้วยล่ะ”


 


 


“งั้นไปหนานซานแล้วกัน เพิ่งทำเสร็จด้วย นายจะเลี้ยงไม่ใช่เหรอ ฉันจะถลุงเงินนายให้หมดเลย”


 


 


เหยียนเค่อเหลือที่ดินผืนหนึ่งที่คนค่อนข้างน้อยไว้แล้วสร้างเป็นสโมสรส่วนตัว พอสร้างเสร็จแล้วก็ไม่เคยได้ไปเหยียบเลยสักครั้ง เสิ่นจิ้งเฉินก็เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน


 


 


“สิ่งที่เป็นของนาย สุดท้ายแล้วยังไงมันก็เป็นของนาย”


 


 


เหยียนเค่อนึกว่าเขาหมายถึงความหมายผิวเผิน ไม่ได้คิดลึกซึ้งอะไร และก็ไม่ได้สนใจในคำพูดนี้ จึงให้ผู้ช่วยไปร่างหนังสือสัญญาและประกาศแถลงการณ์


 


 


“ตอนนายกลับไปฉันขอดูก่อนว่าจะไปกับนายได้หรือเปล่า ฉันอยากไปหลบสักหน่อย” เหยียนเค่อ


 


 


คิดคำนวณ “ต่อไปจะได้สร้างบริษัทสาขาย่อยที่เมืองหลวง”


 


 


“เงินหลายพันล้านนายยังไม่สนใจเลย จะไปเมืองหลวงทำไม เลิกคิดจะโยนงานมาให้ฉันทำเลยนะ” เสิ่นจิ้งเฉินพูดให้ชัดเจนก่อน แล้วมองมือของตนอย่างหลงใหล “ฉันไม่แตะต้องเงินสกปรกพวกนั้นหรอกนะ เสียราศีหมด”


 


 


เหยียนเค่อหยิบแฟ้มเอกสารที่นั่งทับไว้ออกมาแล้วตวัดมือฟาดลงบนก้นของเขา “ราศีพวกหัวโบราณคร่ำครึน่ะสิ”


ตอนที่ 261 ป้องกันศัตรูร่วมกัน 


 


 


สวีรั่วชีเพิ่งตื่นก็ได้รับโทรศัพท์จากสวีอันหราน 


 


 


“ฮัลโหล” สวีรั่วชีกำลังแปรงฟันอยู่ เสียงจึงไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนปกติ 


 


 


เมื่อสวีอันหรานได้ยินเสียงเธอ น้ำเสียงที่อ่อนหวานอยู่แล้วก็ยิ่งนุ่มนวลมากขึ้นไปอีก “เธอจะกลับมาเมื่อไรเหรอ” 


 


 


สวีรั่วชีฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงเขา จึงถามขึ้นอย่างนึกรำคาญ “นายเป็นใครน่ะ” 


 


 


สวีอันหรานตะลึงงัน หัวใจแหลกสลายกลายเป็นผุยผง 


 


 


สวีรั่วชีดูโทรศัพท์ ก่อนจะเอ่ยทักทายอย่างขัดเขิน “อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่” 


 


 


“อืม…” จากบ้านไปแค่วันเดียวก็ลืมเขาไปเสียแล้ว ต้องเรียกตัวเธอกลับมาให้ได้ “เธอจะกลับมาเมื่อไร” 


 


 


ในที่สุดน้ำเสียงก็กลับมาเป็นปกติเสียที สวีรั่วชีโล่งใจก่อนจะตอบกลับ “ดูก่อนแล้วกัน วันนี้ฉันจะไปฮุยเถิง” 


 


 


“ระวังตัวด้วยนะ” 


 


 


“อืม” สวีรั่วชีนึกอะไรขึ้นได้อีกอย่าง “ฉันพามั่วมั่วไปที่เรือนหอได้ไหม” 


 


 


“ได้สิ” สวีอันหรานได้ยินคำว่า ‘เรือนหอ’ แล้ว โลกทั้งใบก็งดงามขึ้นมาทันที “ดูแล้วกันว่าอยากซื้ออะไรอีกก็ไปซื้อเพิ่มได้นะ” 


 


 


“ค่ะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วดูท่าทางเหมือนภรรยาตัวน้อยของสวีรั่วชีแล้วก็รู้ทันทีว่าเธอคุยโทรศัพท์กับใครอยู่ 


 


 


“ไม่ไหวเลย ทำไมรอบตัวฉันมีแต่ผู้หญิงแต่งงานแล้วทั้งนั้นเลยล่ะเนี่ย” 


 


 


สวีรั่วชีวางสายก่อนจะร้องเหอะ “ก็มีแค่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วนี่แหละที่ใจกว้างรับเธอได้น่ะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วยืนแปรงฟันอยู่ข้างๆ เธอ สาววัยรุ่นสองคนที่หัวยุ่งเป็นรังนกไร้ซึ่งภาพลักษณ์ที่เห็นได้ในชีวิตประจำวันอย่างสิ้นเชิง 


 


 


“ให้ฉันดูหน่อยซิว่าตอนนี้เซียวอู๋อี้เป็นยังไงบ้าง” สวีรั่วชีเคยเจอเซียวอู๋อี้แค่ครั้งเดียว เนื่องจาก 


 


 


สวีรั่วชีเป็นคนแข็งๆ ไม่ว่าจะดูยังไงก็เหมือนเธอไปรังแกเขาอยู่ เธอจึงยอมแพ้ความคิดที่จะมานั่งร่วมโต๊ะถกเถียงกับเซียวอู๋อี้ ลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วนึกถึงหมูพะโล้ของตัวเอง ไม่อยากไปข้องเกี่ยวกับเซียวอู๋อี้อีก “เราไม่ต้องไปสนใจเขาได้ไหม” 


 


 


“ไม่ได้ ปล่อยทิ้งไว้ก็เป็นหายนะ” 


 


 


“แต่ฉันก็ไม่ใช่เจ้าหญิงเสียหน่อย จะสั่งตัดหัวก็ไม่ได้อีก ทำไมฉันต้องหาเรื่องให้ตัวเองทุกข์ใจด้วยล่ะ” 


 


 


ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับคนอื่น ซย่าเสี่ยวมั่วจะต้องลุกขึ้นมาพูดด้วยใจรักความยุติธรรมอันแรงกล้าแน่นอน แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเธอเอง เธอจึงรู้สึกว่ามันช่างยุ่งยากเหลือเกิน 


 


 


“คนแบบนี้น่ะนะ สักวันกรรมจะตามสนอง” ซย่าเสี่ยวมั่วผลักให้เขาเดินออกจากประตูไป “วันนี้เธอเป็นคนขับรถให้ฉันแล้วกัน” 


 


 


สวีรั่วชีอยากไปสำรวจดูก่อน เธอรู้สึกว่าผู้หญิงอย่างเซียวอู๋อี้ไม่ใช่คนที่รับมือด้วยง่ายนัก ต้องป้องกันเอาไว้ก่อน 


 


 


อันหร่านเห็นซย่าเสี่ยวมั่วควงสาวสวยเข้ามาคนหนึ่ง จึงเอ่ยหยอกล้อ “เธอกล้าไปยืนอยู่ข้างเขาได้ยังไงน่ะฮะ” 


 


 


“หุบปากไปเลย” เมื่อคืนเธอก็เจ็บปวดหัวใจมากพออยู่แล้ว ตอนนี้ยังจะมาเย้ยหยันเธออีก 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วแนะนำให้สวีรั่วชีรู้จัก “นี่บ.ก.ของฉันเอง อันหร่าน” จากนั้นจึงขยิบตาให้สวีรั่วชี  


 


 


“อันหร่านนะ ไม่ใช่อันหราน” 


 


 


สวีรั่วชีอยากตีเขาให้ตายนัก ก่อนจะยื่นมือไปจับกับอันหร่าน “สวัสดีค่ะ ฉันสวีรั่วชี เป็นหมอผู้รับผิดชอบรักษาโรคสมองผิดปกติของซย่าเสี่ยวมั่วค่ะ” 


 


 


ทั้งคู่จับมือและคุยกันอย่างถูกคอ ซย่าเสี่ยวมั่วที่โดนทำร้ายจนบาดเจ็บแอบสำรวจตัวเองว่าคิดผิดหรือไม่ที่ตัดสินใจพาสวีรั่วชีมาด้วย 


 


 


“ฉันว่าพวกเธอช่วยอย่าโจมตีฉันจะได้ไหม ฉันก็เจ็บปวดนะ” 


 


 


ทั้งสองคนเลือกที่จะไม่สนใจเธอ 


 


 


เซียวอู๋อี้และผู้ช่วยของเธอที่เพิ่งเดินตามเข้ามาทีหลังเห็นซย่าเสี่ยวมั่วยิ้มอย่างขัดหูขัดตาแล้วก็เดินไปยังลิฟต์อีกตัวหนึ่ง 


 


 


“มั่วอวี๋นี่โชคดีจริงๆ” ผู้ช่วยของเซียวอู๋อี้พึมพำออกมา ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ในใจ 


 


 


เซียวอู๋อี้เห็นซย่าเสี่ยวมั่วแต่เช้าก็อารมณ์เสีย จึงพูดด้วยเสียงเฉียบขาด “หุบปากซะ เธอยังคิดว่าฉันปัญหาเยอะไม่พอหรือไง” 


 


 


ผู้ช่วยเห็นเธอหน้าดำคร่ำเครียดก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 262 ไอดอลและลาหยุด 


 


 


ในช่วงประชุมตอนเช้า 


 


 


อันหร่านตั้งใจดูตารางเวลา เมื่อมั่นใจแล้วว่าวันนี้มีประชุมตอนเช้า จึงลากซย่าเสี่ยวมั่วให้ขึ้นไปประชุมด้วยกัน 


 


 


“ฉันต้องไปด้วยเหรอ” 


 


 


“ไปสิ ไอ้หนู เธอเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาเลยนะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วหาวหวอดอย่างเบื่อหน่าย “ก็ได้ บ่ายนี้ฉันขอลาหยุดนะ” 


 


 


“เพิ่งมาทำงานได้สองวันก็ขอลาแล้ว ไม่เอาโบนัสแล้วเหรอ” 


 


 


“ฉันจะเอาโบนัสไปทำไม ฉันไม่ได้ร้อนเงินสักหน่อย” คำตอบของซย่าเสี่ยวมั่วกวนประสาทเป็นอย่างมาก “ปีนี้ฉันออกการ์ตูนไปสองเล่ม แล้วก็เซ็นสัญญากับเซ่าอีอีกเล่ม พอให้ฉันกินอิ่มไปอีกห้าปีแล้ว” 


 


 


“พวกอวดรวยต้องโดนฟ้าผ่า” อันหร่านผลักเธอเข้าไปในห้องประชุม ทั้งสองคนนั่งลงข้างๆ กัน 


 


 


ถึงแม้ว่าบนประกาศจะบอกว่าเซียวอู๋อี้ไม่ต้องมาร่วมประชุมเช้าอีกก็ตาม แต่เซียวอู๋อี้ก็ยืนหยัดที่จะเข้าร่วมทุกครั้ง ยึดที่นั่งตัวเองไว้ ทำให้การประชุมเช้าหลายครั้งไม่ได้พูดเรื่องความคืบหน้าของการทำงานตามความเป็นจริง กลัวว่าเซียวอู๋อี้จะเอากำหนดการของบริษัทออกไปแพร่งพราย หัวหน้าเองก็จนปัญญา คนเคยร่วมงานกันมาจะให้พูดตรงๆ ก็ไม่กล้า ทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้ 


 


 


ครั้งนี้ซย่าเสี่ยวมั่วนั่งลงตรงข้ามกับเซียวอู๋อี้พอดี ทั้งคู่ต่างก็อารมณ์ไม่ดี 


 


 


“ฉันนั่งตรงข้ามกับเขามานานแล้ว ดังนั้นวันนี้เธอทนเอาหน่อยแล้วกัน” อันหร่านกระซิบบอกเธอเสียงเบา 


 


 


ตำแหน่งที่อันหร่านนั่งควรจะเป็นของซย่าเสี่ยวมั่ว แต่เธอไม่อยากนั่งตรงข้ามกับเซียวอู๋อี้แล้วจริงๆ ดังนั้นจึงสลับที่นั่งกับซย่าเสี่ยวมั่วโดยที่เธอไม่รู้ 


 


 


“มีคนที่เล่นงานคนสนิทอย่างเธอด้วยเหรอ” 


 


 


“เธอเข้าใจฉันเถอะนะ ต่อไปเราค่อยสลับกัน” 


 


 


ศัตรูของตน จะยากลำบากแค่ไหนก็ต้องทนให้ได้ 


 


 


เธอไม่ได้เงยหน้าขึ้นเลยตลอดการประชุม นั่งมองดูกระดาษไม่กี่ใบที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างตั้งอกตั้งใจ 


 


 


“เธอมองสไลด์หน่อยเถอะ หัวหน้าเราเริ่มไม่พอใจแล้ว” อันหร่านกระตุกแขนเสื้อของเธอ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วฝืนหันไปมองสไลด์เพาเวอร์พ้อยต์ ก็พบว่าหัวหน้าของพวกเขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีพอสมควร 


 


 


หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ในที่สุดการทรมานก็สิ้นสุดลง คนตำแหน่งสูงต่างก็ออกจากห้องประชุมไปกันก่อนแล้ว ส่วนซย่าเสี่ยวมั่วยังคงนั่งไหล่ตกพิงพนักเก้าอี้อยู่อย่างนั้น “โคตรเหนื่อยเลย ฉันจะยื่นเรื่องขอให้ต่อไปไม่ต้องมาร่วมประชุม” 


 


 


“ไม่ได้ ถ้าเธออยู่ระดับเดียวกับอีเสินเมื่อไร เมื่อนั้นเธอไม่ต้องมาก็ได้” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วได้ยินชื่อนั้นแล้วก็ตาเป็นประกาย “ไอดอลของฉัน!” 


 


 


อันหร่านเคาะกะโหลกเธอ “รักษามาดหน่อย! ก่อนหน้านี้เขาเซ็นสัญญากับฮุยเถิง แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ประกาศออกไป ฉันแอบบอกให้เธอรู้นิดหนึ่งแล้วกัน” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมีความสุขจนแทบเป็นลม “ฉันจะได้วาดรูปในสถานที่เดียวกับไอดอลของฉันแล้ว” 


 


 


“เขาจะเข้ามายังต้องลงชื่อไว้ก่อนเลย ยังไงเธอเป็นเบอร์หนึ่งของบริษัทเราอยู่ดี” 


 


 


“ช่างเถอะน่า ฉันยังห่างกับเขาตั้งเยอะ” ซย่าเสี่ยวมั่วรู้ตัวเองดี “แต่การที่ไอดอลมาก็ห้ามการตัดสินใจลาหยุดของฉันไม่ได้หรอก ไอดอลกับลาหยุดมีในครอบครองพร้อมกันไม่ได้ งั้นยอมทิ้งไอดอลเพื่อให้ได้หยุดก็แล้วกัน” 


 


 


เกินจะเยียวยาแล้ว…อันหร่านคิดว่าต้องไปเสิร์ชหาดูสักหน่อย ว่าจะทำให้แมวป่ากลายเป็นแมวบ้านได้อย่างไร ถ้าซย่าเสี่ยวมั่วยังทำตามใจตัวเองอยู่อย่างนี้ต้องชวดโบนัสสิ้นปีแน่นอน 


 


 


สวีรั่วชีนั่งดูการ์ตูนที่ซย่าเสี่ยวมั่ววาดอยู่ในห้องทำงาน เธอยังจำได้ว่าตอนเด็กๆ ซย่าเสี่ยวมั่วชอบเล่นสีมาก และก็ชอบวาดรูปการ์ตูนเด็ก ในระหว่างช่วงหกปีที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอกลายเป็นคนที่วาดศีรษะคนได้ภายในห้านาที วาดภาพคนแบบเต็มตัวได้ภายในสิบห้านาที และตอนนี้ก็เป็นนักวาดการ์ตูนหน้าใหม่ที่เป็นที่นิยมที่สุดด้วย 


 


 


“ทำไมมานั่งเหม่ออยู่ตรงนี้ ตกหลุมรักพระเอกของฉันแล้วใช่ไหมล่ะ” 


 


 


“เรื่องนี้เธอวาดได้อบอุ่นดีนะ” สวีรั่วชีโจมตี “แต่เมื่อไรเธอจะออกการ์ตูนแนวโบราณสักที ฉันอายุเกินกว่าจะอ่านพล็อตเรื่องแบบนี้แล้ว” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเก็บของบนโต๊ะแล้วเหลือบมองเธอปราดหนึ่ง “ฉันจะอายุสิบแปดตลอดไป พล็อตเรื่องแบบนี้เหมาะกับฉันมาก” 


 


 


“หน้าไม่อาย” สวีรั่วชีด่าไปหัวเราะไป 


ตอนที่ 263 เตือน 


 


 


“พวกเธอประชุมเรื่องอะไรกันอะ” สวีรั่วชีเคยประชุมแลกเปลี่ยนความคิดมามากมาย แต่ไม่ยักรู้ว่าการวาดการ์ตูนต้องประชุมอะไรด้วย 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับสไลด์เพาเวอร์พ้อยต์เลยตลอดการประชุมส่ายหัว “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้สึกว่าจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันนะ” เธอหยิบขนมออกมาจากลิ้นชักแล้วส่งให้สวีรั่วชี สวีรั่วชีโบกมือปัดเป็นเชิงว่าไม่เอา ซย่าเสี่ยวมั่วจึงเอาไปกินเสียเอง 


 


 


“เธอรีบไปทำงานเถอะ” สวีรั่วชีกลับจากแอฟริกาแล้วก็ขอลาหยุด และวันหยุดก็ยังไม่หมด จึงมีเวลาว่างทุกวัน ว่างเสียจนไปทำงานเป็นเพื่อนซย่าเสี่ยวมั่ว 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นฉันสอนเธอวาดรูปดีกว่า” 


 


 


“ช่างเถอะ ฉันกลัวเธอจะตีมือฉันจนพิการน่ะสิ” 


 


 


ตั้งแต่ได้มาทำงาน ซย่าเสี่ยวมั่วก็รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปสมัยมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ดูละครน้ำเน่าไปวาดการ์ตูนไป ถ้าไม่มีอะไรทำก็จะนั่งเหม่อลอย 


 


 


สวีรั่วชีอ่านหนังสือที่ซย่าเสี่ยวมั่วขนเข้ามาในห้องทำงานอยู่ข้างๆ ต่างไม่รบกวนซึ่งกันและกัน 


 


 


เหยียนเค่อรู้ว่าสวีรั่วชีมาก็ไม่กล้าเดินลงจากตึก แม้แต่จะกินข้าวก็ต้องให้ผู้ช่วยไปซื้อขึ้นมาให้ 


 


 


“คุณกับหัวหน้าอันศึกษาดูใจกันเป็นยังไงบ้าง” เหยียนเค่อจำผู้ชายที่เมื่อวานจับมือกับอันหร่านได้ มองดูกล่องข้าวตรงหน้าที่ถูกเปิดออกแล้วหยิบตะเกียบออกมาเตรียมตัวกินข้าว 


 


 


ผู้ช่วยยิ้มอย่างขัดเขิน “ก็โอเคครับ หัวหน้าอันร่าเริงดี…” 


 


 


“ถ้างั้นคุณก็จับให้อยู่หมัดล่ะ” เหยียนเค่อเบ้ปาก แต่ในใจกลับคิดว่า ‘แต่งงานหรือจะสบายกว่าอยู่เป็นโสด อยากทำอะไรก็ได้ไม่มีใครมาคอยคุม’ 


 


 


เหยียนเค่อกินข้าวเสร็จก็โบกมือไล่ให้เหล่าผู้ช่วยไปพัก ก่อนจะกลับไปนอนบนโซฟาต่อ 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินที่มุ่งมั่นตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีห้า ศึกษาหนังสือเล่มหนาอยู่สี่ชั่วโมงกว่า สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปบนโซฟาเช่นกัน 


 


 


ตอนเที่ยงซย่าเสี่ยวมั่วจะลากสวีรั่วชีไปกินข้าวที่ร้านอาหารให้ได้ แต่หลังจากเห็นเซียวอู๋อี้อีกครั้งก็เริ่มสองจิตสองใจ 


 


 


สวีรั่วชีดึงตัวเธอไว้ ก่อนจะเดินคอตั้งหลังตรงอย่างองอาจต่อไปข้างหน้า แผ่รรังสีกดออร่าความแม่พระของเซียวอู๋อี้เสียจมดิน 


 


 


“เธอไม่ได้ทำผิดอะไรซะหน่อย จะหลบเขาทำไมเล่า!” สวีรั่วชีเขกกะโหลกเธอไปหนึ่งทีอย่างหงุดหงิด 


 


 


“ฉันเห็นเขาก็หมดอารมณ์กินข้าวแล้ว” ซย่าเสี่ยวมั่วคิดเผื่อกระเพาะตัวเองทั้งนั้น “แล้วฉันก็ผ่านช่วงอายุที่คอยตามด่าพวกผู้หญิงผู้ชายเลวๆ แล้ว” 


 


 


“ใจใหญ่แต่กระเพาะใหญ่กว่าสินะ” 


 


 


เซียวอู๋อี้เห็นใบหน้าตรงของสวีรั่วชี ก็มั่นใจว่าเป็นผู้หญิงคนนั้นที่เดินสวนกับเธอเมื่อหลายปีก่อน 


 


 


เธอรู้ตัวตนของสวีรั่วชี คิดไม่ถึงว่ารอบตัวของซย่าเสี่ยวมั่วล้วนมีแต่เพื่อนที่สูงส่งเช่นนี้ เพื่อนเก่าของเธอคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ 


 


 


“อยู่ให้ห่างจากซย่าเสี่ยวมั่วหน่อย อย่าเอาวิธีสกปรกของเธอมาใช้กับเขา” สวีรั่วชีมองหญิงสาวที่ยืนต่อแถวซื้อข้าวอยู่ด้านหน้า ก่อนจะเอ่ยเสียงเยียบเย็นกับผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง 


 


 


สวีรั่วชีรู้ว่าเซียวอู๋อี้เข้าหาหัวหน้าเลขากระทรวงวัฒนธรรมของเมือง N ขายตัวเองเพื่อให้ได้คนที่คอยหนุนหลังมา ฟังแล้วทั้งรู้สึกสะอิดสะเอียนและน่าสงสารไปในที แต่คนที่น่าสงสารมักจะมีจุดที่ทำให้คนไม่ชอบใจเสมอ เรื่องที่เขาทำไว้กับซย่าเสี่ยวมั่วไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เห็น 


 


 


“เสี่ยวชี!” ซย่าเสี่ยวมั่วเบียดออกมาจากกลุ่มคน เห็นเซียวอู๋อี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างสวีรั่วชีก็ขมวดคิ้วมุ่น แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา 


 


 


เซียวอู๋อี้ยิ้มทักทายเธอ “มั่วอวี๋พอจะปรับตัวได้หรือยัง” 


 


 


“อ๋อ ก็พอได้อยู่น่ะ” ซย่าเสี่ยวมั่วยิ้มให้เธอ แต่ก็ไม่อยากพูดคุยสัพเพเหระกับเธอต่อ จึงควงแขน 


 


 


สวีรั่วชีแล้วเดินออกไปด้านนอก 


 


 


เธอมองคนที่ยิ่งเดินออกไปไกล หมัดที่กำไว้ก็คลายลง ซย่าเสี่ยวมั่วเธอคิดว่ามันจะจบแล้วอย่างนั้นเหรอ นี่ก็แค่การเริ่มต้นเท่านั้นแหละ 


 


 


ผู้ช่วยที่ไปซื้อข้าวให้เซียวอู๋อี้กลับมาก็เห็นว่าเธอสีหน้าไม่ดีนักจึงไม่กล้าปริปากพูดอะไร ทำได้เพียงยืนอยู่ข้างๆ เธอเป็นท่อนไม้เท่านั้น รู้จักกันมาก็หลายปีแล้ว เธอรู้นิสัยเซียวอู๋อี้ดี ตอนอยากเป็นแม่พระก็ใจดีจนน่ากลัว แต่พอไม่ได้ดั่งใจก็จะอาละวาด 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 264 ตกแต่ง 


 


 


เมื่อถึงตอนบ่าย ซย่าเสี่ยวมั่วก็ถูกสวีรั่วชีลากไปให้ไปดูเรือนหอ 


 


 


“พวกเธออย่าโชว์สวีตกันไปพร้อมกับการอวดรวยได้ไหม ฉันรู้สึกว่าตาฉันจะบอดอยู่แล้ว”  


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองดูหมู่บ้านคนรวยราคาแพงแล้วก็อยากจะหันหลังเดินกลับเสียจริง 


 


 


“ให้เธอมาศึกษาดูไง” สวีรั่วชีหยิบกุญแจออกมาเปิดประตูด้วยท่าทางเท่ๆ 


 


 


ยังไม่ทันที่ซย่าเสี่ยวมั่วเดินเข้าไปก็รู้สึกหมดคำพูดกับการจัดแต่งภายใน หยุดอยู่ที่หน้าประตู 


 


 


“ทำไมไม่เข้ามาล่ะ” สวีรั่วชีมองซย่าเสี่ยวมั่วที่ยืนอยู่หน้าประตู สีหน้าของซย่าเสี่ยวมั่วฉายแววผิดหวังที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง 


 


 


“นี่เจ๊ ทำไมเธอทำห้องขนาดร้อยสามสิบตารางเมตรให้มีความรู้สึกเหมือนแค่แปดสิบตารางเมตรอย่างนี้ล่ะ!” ซย่าเสี่ยวมั่วตะลึงไปแล้วจริงๆ “สายตาเธอมีปัญหาหรือเปล่า” 


 


 


“เธอน่ะสิมีปัญหา!” สวีรั่วชีฟังเธอพูดเช่นนี้แล้วก็รู้สึกว่าภายในห้องให้ความรู้สึกขัดกันไปหมด 


 


 


“ทำให้บ้านเดี่ยวกลายเป็นคอนโดที่อยู่แบบนี้ก็มีอยู่คนเดียวจริงๆ” ซย่าเสี่ยวมั่วมือเท้าเอวราวกับคนหมดแรง “ฉันไม่อยากดูแล้ว ด้านในบ้านทำลายความงามของด้านนอกไปหมดเลย” 


 


 


“เว่อร์ขนาดนั้นเลยเหรอ” สวีรั่วชีมองดูห้องที่เธอคิดว่าจัดแต่งได้อย่างอบอุ่นและหวานชื่นแล้ว แต่ตอนนี้ดูแล้วก็รู้สึกว่ามันเห่ยไปนิดหน่อย… 


 


 


“ถ้าเธอแขวนโคมไฟคริสทัลในห้องรับแขกยังพอรับได้นะ แต่ดันติดไฟสีหม่นที่ใช้ในห้องอาหารซะงั้น สวีอันหรานล้มละหลายแล้วหรือไง” ซย่าเสี่ยวมั่วจ้องมองดวงไฟสีส้ม เขียว เหลือง แดงกลุ่มนั้นอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่สายตาจะหันไปทางผนังที่มีโทรทัศน์ติดไว้ “เธอจะทำให้เป็นสไตล์จีนก็ได้นะ แต่จะให้มันเป็นจีนจ๋าแบบนี้จริงๆ อย่างนั้นน่ะเหรอ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วพูดๆ ไปแล้วก็หัวเราะออกมา “สวีอันหรานนี่ตามใจเธอน่าดูเลยนะ” 


 


 


สวีรั่วชีมุดตัวลงกับโซฟาอย่างเขินอาย “แล้วเธอว่าควรจะทำยังไงดี” 


 


 


“มีแค่โซฟาที่ดีหน่อย แต่สีเทาเข้มจะทำให้สีโดยรวมดูมืด” ซย่าเสี่ยวมั่วมองไปรอบๆ หนึ่งที ดูไม่ได้เลยสักตรง ก่อนจะโอดครวญ “ทำไมต้องให้คนที่เคยเรียนออกแบบภายในอย่างฉันมาเห็นการตกแต่งแบบนี้ด้วยนะ!” 


 


 


“ไม่ต้องพูดมาก แก้ให้ฉันทั้งหมดนั่นล่ะ ฉันจ่ายค่าแรงให้ก็ได้” สวีรั่วชีตบบ่าเธอ แล้วเอาภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ให้เธอไปทำแทน 


 


 


“เธอจะแต่งกับสวีอันหรานนะ บ้านของคนสองคนแต่ไม่ได้แสดงออกถึงความรักที่เธอมีต่อ 


 


 


สวีอันหรานสักนิดเลย ฉันทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว หรือไม่ก็ไม่ต้องแต่งมันซะเลย” ซย่าเสี่ยวมั่วปากพูดบ่นไม่หยุด แต่ก็ช่วยโทรศัพท์ติดต่อหาคนมาช่วย 


 


 


สวีรั่วชีมองไปรอบๆ “แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” 


 


 


“ก็พอได้อะ ยังไงซะก็ยังอยู่ได้” ซย่าเสี่ยวมั่วเอารูปในโทรศัพท์ให้เธอดู “ไฟแบบนี้ได้ไหม” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วดูดวงไฟคริสทัลห้อยระย้า ประณีตงดงามราวกับของประดับ 


 


 


“ไฟแบบนี้เธอจะติดกี่อันก็ได้ ถึงจะติดเยอะแต่ก็จะไม่รู้สึกว่าดูรกเกินไป พอใช้ได้อยู่” 


 


 


ก่อนหน้านี้สวีรั่วชีไม่ได้ใส่ใจนัก สวีอันหรานเอารูปให้เธอดูเธอก็เลือกแบบขอไปที ก็เลยออกมาเป็นสภาพแบบนี้ ตอนนี้ตัดสินใจแก้ไขข้อผิดพลาดทั้งหมดแล้ว จึงตั้งใจเลือกสรรเป็นอย่างดี แต่ซย่าเสี่ยวมั่วตามีแววจริงๆ 


 


 


“ฉันก็ว่าดีเหมือนกัน ทำไมตอนนั้นเธอไม่ช่วยฉันตกแต่งคอนโดฉันล่ะ” 


 


 


“เธอเห็นฉันทำงานตกแต่งบ้านหรือไง ใช้งานฉันเยอะเกินไปก็ดูไร้ราคา” ซย่าเสี่ยวมั่วกดสั่งของทันที รวมทั้งเลือกวอลล์เปเปอร์ติดผนังให้เธอด้วย “เธอรู้หรือเปล่าว่าชื่อของสวีอันหรานมีที่มาจากอะไร หรือว่าชอบเครื่องหมายอะไรแบบนี้บ้างไหม” 


 


 


สวีรั่วชีตอบทันทีโดยแทบไม่ต้องคิด “ไม่รู้อะ” ก่อนจะพูดอย่างคลุมเครือ “น่าจะมาจาก ‘ถ้าถามข้าว่าเหตุใดจึงอยู่คนเดียวอย่างสุขสบาย[1] ก็เพราะว่าไม่ต้องมาคอยกังวลเรื่องความหิว ความหนาวและเรื่องแต่งงานอย่างไรเล่า’[2] มั้ง?” 


 


 


“พ่อแม่เขาก็ซื่อดีนะ ขอแค่ให้เขากินอิ่มใส่เสื้อผ้าอุ่นๆ หาเมียได้ก็พอแล้ว ฮ่าๆๆๆ” ซย่าเสี่ยวมั่วหัวเราะ 


 


 


สองสาววิ่งวุ่นอยู่รอบห้องรับแขกตลอดทั้งบ่าย สิ่งที่พอจะเปลี่ยนได้ก็เปลี่ยนทั้งหมด 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ชื่อของอันหราน แปลว่าสุขสบาย ในภาษาจีน 


 


 


[2] จากบทกวีชื่อ ‘มอบให้เพื่อนบ้านที่ไปมาหาสู่กัน’ ของไป๋จวีอี้ กวีผู้มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ถัง 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม