ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง 257-264

 ตอนที่ 257 ฝีมือไร้ที่ติ 


 


 


 


 


 


เฉินยางจ้องใส่เขาด้วยท่าทางกล่าวโทษว่า “ท่านว่าใครเป็นภรรยาใจโหด รังเกียจข้านัก ท่านก็แต่งใหม่อีกสิ ข้าไม่ได้ห้ามท่านเสียหน่อย” 


 


 


เขาขมวดคิ้วตำหนินาง “พูดเพ้อเจ้ออะไรกัน ในเมื่อข้าเลือกเจ้าแล้ว เช่นนั้นชาตินี้ก็จะมีเพียงเจ้าเท่านั้น จะไม่แต่งใหม่อีก” 


 


 


ที่จริงแล้วในใจนางก็รู้สึกดีใจ เพียงแต่ไม่พูดออกมาและไม่แสดงสีหน้า นางทาแป้งกับชาดบนหน้าเขาบางๆ แล้วพิจารณาอย่างละเอียด เดิมทีเขาก็เป็นคนที่ดูดีอยู่แล้ว ตอนนี้จึงยิ่งสมบูรณ์แบบเข้าไปใหญ่ สีแดงจางๆ บนหน้า มองไปแล้วดูดีนัก 


 


 


“ได้แล้ว” นางทำเสร็จในที่สุด ตัวเองมองดูเล็กน้อย รู้สึกพอใจมาก 


 


 


เพียงแต่เฝิงเยี่ยไป๋มองดูนางยิ้มเช่นนี้กลับไม่รู้สึกว่าดีเท่าไรนัก เขาเดินไปมองตัวเองที่กระจกด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย เขาขยับเข้าไปใกล้ๆ มองทั้งแก้มซ้ายแก้มขวาอย่างละเอียด ว่าไปนั่น นอกจากแดงไปหน่อยแล้ว ฝีมือนางนับว่าไร้ที่ตินัก 


 


 


เฉินยางรู้สึกภูมิใจ “ไม่เลวใช่หรือไม่” 


 


 


ไม่เลวจริงๆ เพียงแต่คำชมนี้พูดออกมาไม่ได้ หากชมนางจนเหลิงแล้ว วันหลังนางมีหวังทำอะไรกับหน้าเขาอีกบ่อยๆ แน่ จะให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้ เขาจึงได้แต่แกล้งทำเป็นลำบากใจว่า  


 


 


“ไม่เลวอะไรกัน ข้ามองดูแล้วใช้ไม่ได้ เพียงครั้งนี้ครั้งเดียวไม่มีครั้งต่อไปอีก หลังจากนี้ถ้าเจ้าจะตี ก็เลี่ยงใบหน้า จะออกแรงที่ใดก็ได้ ตีคนไม่ตีหน้า นี่เป็นกฎ” 


 


 


นางวางกล่องแป้งชาดด้วยความเหนื่อยหน่าย แล้วทำหน้าทะเล้นใส่เขา “หากครั้งต่อไปท่านทำกับข้าเช่นนี้อีก ข้าไม่ตีท่านหรอก แต่ข้าจะไป ไปให้ไกลๆ ให้ท่านหาข้าไม่เจอตลอดชีวิต” 


 


 


“นี่ เจ้าเอาจริงหรือ” การพูดจาหยอกล้อนี้ช่างยากจะได้เห็นนัก เขายังอยากจะพูดคุยหยอกล้อกับนางเสียอีกหน่อย ทว่าผู้ดูแลที่อยู่ข้างนอกก็ส่งเสียงเตือนเขาอย่างไม่รู้เวลาเอาเสียเลย “ท่านอ๋อง ถึงเวลาแล้ว พวกเราควรจะเข้าวังได้แล้วขอรับ” 


 


 


“รู้แล้ว เจ้าไปรอข้าที่ประตู” ตอนแรกเขาก็มีความน่ายำเกรงอยู่แล้ว พอกล่าวถึงตัวเองก็ยิ่งมีความห้าวหาญมากขึ้น เขาดึงสายคาดเอวจากนาง จัดการตนเองให้เรียบร้อยแล้วบอกลานาง “ข้าเข้าวังแล้ว มีเรื่องใดรอให้ข้ากลับมาค่อยว่ากัน… ยังเดินเท้าเปล่าอีก กลับไปนอนต่อเสียอีกหน่อยเถอะ” 


 


 


เฉินยางลูบจมูกตัวเองแล้ววิ่งกลับไปที่เตียงด้วยความเศร้าหมองเล็กน้อย “เรื่องค่าเดินทาง…” 


 


 


“ประเดี๋ยวข้าให้ผู้ดูแลเอามาให้เจ้า ครึ่งหนึ่งให้อิ๋งโจว อีกครึ่งหนึ่งเจ้าเก็บไว้ใช้เอง” 


 


 


นางพยักหน้ารับ ในใจกลับคิดอีกแบบ นางเอาเงินมาก็ไม่มีที่ใช้ จะกินจะใช้ก็ไม่ต้องกังวล กลับเป็นอิ๋งโจว เดินทางรักษาคนไข้ หากพบคนยากไร้ไม่มีเงิน เขายังจะให้เงินอีกด้วยซ้ำ แม้ชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือออกไปแล้วก็จริง แต่ก็จนอยู่ดี นางเก็บไว้เพียงเล็กน้อยก็พอ ที่เหลือจะให้เขาหมด อย่างไรเสียช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เพียงแค่เขาดูแลนางก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทดแทนด้วยค่าตอบแทนเพียงเท่านี้แล้ว นี่เป็นสิ่งที่เขาควรจะได้ 


 


 


หลังจากที่เฝิงเยี่ยไป๋จากไป นางก็ลุกขึ้นมา สาวใช้เข้ามาจะปรนนิบัติแต่งตัวให้นาง แต่นางไม่ยอม นางจัดการตนเองเรียบร้อยแล้ว ก็รีบเอาเงินที่ผู้ดูแลส่งมาให้ไปหาอิ๋งโจว 


 


 


อิ๋งโจวเป็นหมอ เรื่องการดูแลสุขภาพย่อมมีวิธีของตนเอง ตอนที่เฉินยางไปหาเขา เขากำลังตากยาสมุนไพรที่เมื่อวานเพิ่งเด็ดมาใหม่ๆ อยู่ในลาน เฉินยางยืนอยู่ที่ซุ้มประตูเรียกเขา เขาหันหลังกลับมาแล้วคำนับให้นาง ยังคงรักษาท่าทีตามมารยาท 


 


 


เฉินยางแกล้งทำเป็นโกรธพูดว่า “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ให้ท่านเกรงใจกับข้าเช่นนี้ พระชายาเป็นคำที่คนอื่นใช้เรียก ท่านคำนับข้าเช่นนี้ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะยั่วโมโหข้าหรือ” 


 


 


อิ๋งโจวยิ้มแต่ไม่ตอบ เฉินยางเอาตั๋วเงินที่เฝิงเยี่ยไป๋ให้นางยื่นให้อิ๋งโจว “เงินเหล่านี้ท่านนำติดไป ไม่ต้องตากสมุนไพรขายแล้ว ท่านหมออิ๋งโจวทำเพื่อข้าจึงต้องเสียการค้าที่กระท่อมยาแล้ว เงินที่เกินมานั้น ถือว่าเป็นการชดเชยแล้วกัน” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 258 ไม่รับไว้ก็คือดูถูกข้า 


 


 


  


 


 


อิ๋งโจวมองตั๋วเงิน เจ้าเด็กนี่ใจป้ำนัก คนเขาโปรยเงินมา ก็มากเท่ากับเงินที่เขาทำงานโดยไม่กินไม่ใช้หลายปีเลย อีกอย่าง ตอนแรกที่เขามาที่เมืองหลวง ก็ไม่ใช่เพียงแค่ทำเพื่อนาง เงินนั้นเขารับไว้แล้วจะรู้สึกผิด จึงไม่ยอมรับเอาไว้ 


 


 


เฉินยางเห็นเขาไม่ยอมรับเอาไว้ จึงแกล้งทำเป็นไม่พอใจกล่าวว่า “ท่านหมอไม่ยอมรับหรือ เงินนี่ท่านควรจะได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ท่านไม่ยอมรับเอาไว้ คงไม่ใช่ว่าดูถูกข้ากระมัง” 


 


 


นางจงใจแกล้งพูดเฉไฉออกไป ความจริงแล้วในใจนางไม่ได้คิดเช่นนั้น เพียงแต่สีหน้าทำได้เหมือนจริงมาก อิ๋งโจวกลับคิดว่านางโกรธแล้วจริงๆ จึงรีบอธิบายว่า “ไม่ใช่ เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด เพียงแต่… เงินเหล่านี้มากเกินไปจริงๆ ข้ารับเอาไว้ไม่ได้” 


 


 


“ท่านช่วยข้าไว้ ไฉนถึงรับเอาไว้ไม่ได้ บุญคุณน้อยนิดควรตอบแทนอย่างใหญ่หลวง หนำซ้ำยังเป็นบุญคุณที่ช่วยชีวิตอีก เงินเหล่านี้ ข้าบอกว่าท่านรับเอาไว้ได้ก็คือรับเอาไว้ได้ อีกอย่างผ่านมานานเช่นนี้ การค้าที่กระท่อมยาก็คงจะร้างไปนานแล้ว กลับไปยังต้องเปิดกระท่อมยาใหม่อีกครั้ง แต่ละอย่างล้วนต้องใช้เงิน ท่านไม่มีเงินติดตัวเลย กลับไปจะทำเช่นไร” 


 


 


นางเองก็อยู่ที่กระท่อมยามานานหลายเดือน อิ๋งโจวมีสภาพเป็นอย่างไรในใจนางรู้ดี เหล่าชาวบ้านที่อยู่ตรงเชิงเขาต้าเหลียงนั้น สิบคนมีเก้าคนเป็นคนจน เจ็บไข้ได้ป่วยเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีเงินหาหมอซื้อยา อิ๋งโจวก็ลงเขาไปช่วยพวกเขาอยู่บ่อยๆ สมุนไพรไม่ใช้เงิน ครั้งหนึ่งจึงให้ไปหลายชุด นับเวลาไป รอให้พวกเขากินใกล้หมดแล้ว ก็ลงจากเขาไปส่งยาให้พวกเขาอีก เป็นเช่นนี้นานวันเข้า อย่าว่าแต่หาเงินเลย เอาเงินตัวเองไปช่วยเหลือก็ไม่พอ แม้จะมีคนไข้ที่มาตามชื่อเสียงไม่น้อย ยอมจ่ายหนักเพื่อซื้อสุขภาพของร่างกาย เพียงแต่เงินที่หามาได้เหล่านั้น ก็ล้วนถูกอิ๋งโจวใช้ช่วยคนอื่น ตัวเขาเองมักจะไม่มีเงินติดตัวเลย แถมยังต้องเลี้ยงผู้ช่วยเด็กอีก ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็ยังเป็นปัญหาด้วยซ้ำ 


 


 


นางพูดได้ลึกซึ้งนัก ที่พูดมาล้วนแต่เป็นความจริง อิ๋งโจวจะไม่รู้สภาพตนเองได้อย่างไร เพียงแต่ให้เขารับเงินไว้มากมายเช่นนี้ เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ 


 


 


เฉินยางรู้เพียงว่ายิ่งมากยิ่งดี ย่อมไม่รู้ว่าในใจอิ๋งโจวคิดอะไรอยู่ เห็นเขายังคงไม่ยอมรับเอาไว้ ด้วยความเหนื่อยใจ นางม้วนตั๋วเงินหนาเตอะ แล้วยัดใส่มือเขา “ท่านก็รับเอาไว้เถิด รับเอาไว้แล้วข้าจะได้สบายใจ ไม่เช่นนั้นข้าจะรู้สึกผิดเอาได้” 


 


 


อิ๋งโจวอึ้งเล็กน้อย ทำท่าจะคืนให้นางเหมือนของร้อนลวกมือ ทว่าเฉินยางถอยหลังหลบไปสองก้าว “หากท่านยังเป็นเช่นนี้อีกข้าจะไม่พอใจแล้ว นี่ล้วนเป็นสิ่งที่ท่านควรจะได้ คนอื่นอยากได้ยังไม่ได้เลย ไฉนท่านถึงเอาแต่ปฏิเสธตลอดเลยเล่า” 


 


 


ช่างดึงดันจะหาหนทางให้ได้จริงๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่รักษานางเขาก็อ่านนิสัยดื้อดึงของนางออก เห็นทีไม่รับเอาไว้คงจะไม่ได้เสียแล้ว เพียงแต่ต่อให้รับไว้ก็คงไม่รับมากมายเช่นนี้ เขาดึงออกมาเพียงสองใบ ส่วนที่เหลือคืนให้กับนาง “หากจะให้ข้ารับไว้จริงๆ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ที่เหลือเจ้าเก็บไว้ใช้เองเถิด” 


 


 


เฉินยางขมวดคิ้วบ่น “มีเท่าไรเอง รับไปอีกหน่อยเถิด อย่างน้อยก็ให้พอกลับไปใช้ชีวิต” 


 


 


“พวกเราอยู่ที่กระท่อมยาบนเขามิต้องใช้เงิน เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เจ้ามีจิตเช่นนี้ข้าดีใจมาก เพียงแต่ผู้รักษาคนควรมีจิตเมตตา ที่ข้าทำอยู่ก็เพื่อสร้างบุญให้กับตนเอง เจ้าก็ไม่ต้องใส่ใจนักเลย” 


 


 


เขานับถือพุทธ และเชื่อว่าความดีที่ตัวเองทำไว้ตอนยังมีชีวิตอยู่ยิ่งมากเท่าไร บุญที่สั่งสมไว้ก็ยิ่งมากเท่านั้น ยามที่ต้องไปพบยมบาลจะได้มีเบี้ยต่อรอง ใช้แลกเปลี่ยนกับยมบาล ให้เขาชาติหน้าเกิดใหม่ได้อยู่กับจี้เสียน ชาตินี้นางกับเขาอยู่ด้วยกันสั้นนัก ชาติหน้าจะต้องอยู่ด้วยกันยาวๆ ถึงจะดี 


 


 


เฉินยางมองเขาด้วยความงุนงง นางมองอยู่นานก็พยักหน้าช้าๆ เหมือนจะเข้าใจแต่ก็เหมือนไม่เข้าใจ กระนั้นก็ยังแกล้งทำเป็นเข้าใจ 



ตอนที่ 259 ท่านอ๋องเข้าฟังราชกิจ


 


 


 


 


ที่เฝิงเยี่ยไป๋เป็นท่านอ๋องนั้น ตอนแรกก็มีแต่คนดูหมิ่น โดยเฉพาะขุนนางใหญ่โตเหล่านั้น แต่ละคนล้วนทะนงตน รู้สึกว่าเขาเป็นเพียงท่านอ๋องจอมปลอม ไม่ช้าก็ต้องถูกฮ่องเต้กำจัด แต่จะมีใครรู้ว่า วันนี้เขาสวมชุดราชการ ถึงกับปรากฏตัวอยู่ที่โถงราชกิจ


 


 


แม้ในใจจะไม่ยอมเช่นไร สีหน้าจะดูถูกอย่างไร ตำแหน่งของเขานั้นก็ยังอยู่ อย่างไรก็ต้องคำนับให้เขา ตอนนี้คนเหล่านี้เริ่มจะไม่รู้จุดประสงค์ของฮ่องเต้แล้ว ฉวยโอกาสที่ฮ่องเต้ยังไม่เสด็จมา หลี่เต๋อจิ่งมาแจ้งราชโองการให้เข้าตำหนักไท่เหอหารือราชกิจ มีบางคนที่ใจร้อนเดาพระทัยไม่ออก ดึงหลี่เต๋อจิ่งมาถามว่า “ผู้ดูแลใหญ่ นี่…ฝ่าบาทตอนนี้หมายความว่าอย่างไรหรือ ไม่ใช่ว่าไม่ให้เฝิงเยี่ยไป๋เข้าร่วมฟังราชกิจไม่ใช่หรือ ไฉนวันนี้กลับ…”


 


 


หลี่เต๋อจิ่งได้ยินคำว่า ‘ผู้ดูแลใหญ่’ ก็รู้สึกดีไปทั้งตัว เขาแกล้งทำเป็นวางมาดพูดว่า “ข้าขอเตือนใต้เท้าทุกท่านระวังปากตัวเองเสียเถอะ พระทัยยากจะคาดเดา พวกเราเป็นเพียงบ่าวจะกล้าถามความคิดของฝ่าบาทได้อย่างไร ปรนนิบัติอย่างระวังไม่ผิดแน่นอน”


 


 


คำพูดนี้พูดไปก็เหมือนไม่ได้พูด ไม่ได้มีข่าวที่เป็นประโยชน์เลยแม้เพียงประโยคเดียว ที่จริงแล้วหลี่เต๋อจิ่งก็ไม่รู้ว่าในนั้นซ่อนความลับอะไรอยู่ ตั้งแต่ที่เอาราชโองการนั้นจากไทเฮามา ก็มีเพียงฮ่องเต้พระองค์เดียวที่ได้ทอดพระเนตร หลังจากที่ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปสีพระพักตร์ก็เริ่มไม่ดี คิดคนเดียวอยู่นาน คาดว่าคงคิดอะไรไม่ออก สุดท้ายถึงได้เรียกเขาเข้าไปถาม เพียงแต่อ้ำอึ้งอยู่นานก็ไม่ได้พูดอะไรที่เต็มประโยคเลย ฮ่องเต้เป็นเช่นนี้ผิดสังเกตนัก เขาคาดเดาว่าเป็นปัญหาที่เกิดจากราชโองการ เพียงแต่ไม่รู้ว่าในราชโองการนั้นเขียนอะไรเอาไว้


 


 


เรื่องของราชโองการย่อมเป็นเรื่องที่คนยิ่งรู้น้อยก็ยิ่งดี ฮ่องเต้ไม่ให้คนอื่นดู คาดว่าก็คงเป็นเพราะหวาดกลัวกระมัง ส่วนหวาดกลัวอะไรนั้น ตอนนี้ดูแล้ว คงจะไม่ใช่เรื่องที่เฝิงเยี่ยไป๋ได้ดีในตำแหน่งราชการนี้กระมัง


 


 


ในวันนี้ ที่ท้องพระโรงหารือเพียงเรื่องหลักเรื่องเดียว…ซู่อ๋องอวี่เหวินยาง ตอนนี้อวี่เหวินยางตั้งตนอยู่ที่เมืองเหมิง ได้รับความนิยมจากประชาชน ใช่ว่าราชสำนักไม่เคยส่งทหารไปล้อมตี เพียงแต่เมืองเหมิงป้องกันง่ายบุกเข้าตียาก บวกกับในมืออวี่เหวินยางยังมีแม่ทัพฝีมือเก่งกาจหลายนาย ยังมีประชาชนที่ปกป้องด้วยชีวิต มักจะใช้กำแพงคนขวางดาบเอาไว้ อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังเป็นประชาชนของต้าเยี่ย ฮ่องเต้สามารถที่จะไม่สนใจความเป็นความตายของพวกเขา แต่ไม่อาจไม่สนใจคำพูดของเหล่าประชาชนใต้ฟ้านี้ พระองค์สามารถสั่งทหารม้าหุ้มเกราะเหล็กพุ่งเข้าใส่ ฆ่าเหล่าประชาชนที่ไร้ทางสู้นั้นก็เป็นเรื่องง่ายดาย เพียงแต่หลังจากฆ่าไปแล้วเล่า ชนะคือชนะแล้ว ใจประชนชาก็เสียจนหมดสิ้น ตอนแรกคนที่อยู่ข้างอวี่เหวินยางก็มีมาก หากพระองค์ทำเช่นนี้ไม่เท่ากับเสริมความยิ่งใหญ่ให้คนอื่นหรอกหรือ


 


 


แต่จะปล่อยไว้เช่นนี้ก็ไม่ได้ นี่เป็นไข้พระทัยของพระองค์ หากไม่จัดการเสียวันหนึ่ง ตำแหน่งฮ่องเต้ของพระองค์นั้นก็จะนั่งไม่สุขวันหนึ่ง


 


 


ฮ่องเต้ประทับอยู่บนที่สูง กุมหน้าผากแล้วถอนหายใจว่า “เราเลี้ยงพวกเจ้า ก็คือให้พวกเจ้ามาถอนหายใจอยู่ที่นี่หรือ ไม่มีใครมีวิธีดีๆ เลยหรืออย่างไร ปกติเวลาแย่งชิงตำแหน่งแต่ละคนล้วนฉลาดทั้งสิ้น วิธีมีร้อยแปดพันอย่าง ทำไมหรือ ตอนนี้ถึงเวลาที่ได้ใช้พวกเจ้าแต่ละคนกลับกลายเป็นใบ้เสียเช่นนั้น หา!”


 


 


ข้างล่างนั้นล้วนแต่คุกเข่าลงด้วยความหวาดกลัว ตะโกนว่า “ขอฝ่าบาททรงอภัย” ฮ่องเต้กริ้วจนตบโต๊ะขึ้นมา “ทรงอภัยๆ นอกจากคำนี้แล้วพวกเจ้ายังพูดอะไรเป็นอีก เราบอกพวกเจ้าให้ วันนี้หากใครคิดหาวิธีไม่ได้ ก็อย่าได้คิดจะเดินออกจากประตูตำหนักไท่เหอทั้งที่มีชีวิตอยู่เลย ราชสำนักแต่ละปีจ่ายเบี้ยเลี้ยงมากมาย ไม่ใช่ให้พวกเจ้าไปเสพสุข หากยังคิดหาวิธีไม่ได้ ก็ลากออกไปประหารให้หมด!”


 


 


 


 


 


——


 


 


ตอนที่ 260 ไม่มีจิตใจจะช่วยคน


 


 


 


 


พระหัตถ์ฮ่องเต้กุมชะตาชีวิต จะฆ่าคนไม่ใช่เพียงเรื่องเอ่ยปากเท่านั้นหรือ เพียงแต่คนเหล่านี้แต่ละคนล้วนเจ้าเล่ห์เสียยิ่งกว่าอะไรอีก ไม่มีใครยอมออกหน้า บวกกับที่คิดวิธีอะไรไม่ออกอยู่จริง แต่จะมัวยืนรอความตายก็ไม่ได้ จึงมีคนออกมากราบทูล แล้วผลักเฝิงเยี่ยไป๋ออกไป ฮ่องเต้จะฆ่าเฝิงเยี่ยไป๋เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรู้กันดี ไม่แน่ก็ได้สมดั่งพระทัยฮ่องเต้ ฆ่าเฝิงเยี่ยไป๋ไปเลยก็ไม่แน่


 


 


พอคิดไปเช่นนั้นก็รู้สึกมีเหตุผล จึงยืนออกมา ประสานมือทูลว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินว่าท่านกู้หลุนอ๋องได้ทั้งบู๊ทั้งบุ๊น เมื่อก่อนเรียนอยู่สำนักศึกษาในวังก็ยังถูกอดีตฮ่องเต้ชมว่าเป็นเสาหลักของแคว้น อนาคตจะต้องมีผลงานยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน ดังนั้นกระหม่อมคิดว่า ท่านอ๋องจะต้องมีวิธีช่วยแบ่งเบาความไม่สบายพระทัยของฝ่าบาทได้ เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเหล่าขุนนางอย่างพวกข้าพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋เลิกคิ้วขึ้นมา ในใจคิดว่านี่เท่ากับผลักเขาเข้ากองไฟชัดๆ ฮ่องเต้กำลังกริ้วอยู่ ตอนนี้จะสั่งประหารคนสองคนก็ไม่มีโอกาสให้ได้ร้องขอชีวิต ฮ่องเต้อยากจะฆ่าเขา เหล่าขุนนางผู้ภักดีของพระองค์ก็ได้คิดหาข้ออ้างที่จะประหารเขาไว้เรียบร้อยแล้ว ช่างเป็นนายบ่าวใจเดียวกันเสียจริง!


 


 


พูดถึงว่าต้องตาย ที่จริงแล้วก็ไม่มีใครอยากตาย คำพูดนี้ก็พูดได้ถูกใจพวกเขาพอดี อย่างไรเสียก็ได้ผลักเขาไปอยู่ริมหน้าผาแล้ว ผลักไปเสียอีกหน่อยก็ไม่เป็นไร ทันใดนั้นเสียงส่งเสริมก็ดังขึ้นไม่หยุด


 


 


ฮ่องเต้คิดอยากจะฆ่าเฝิงเยี่ยไป๋ไม่ผิด เพียงแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ หากจู่ๆ ฆ่าเขาไป ไม่แน่อาจจะสร้างปัญหาตามมาไม่หยุดอีก พอคิดดีๆ แล้ว ก็ยังต้องเก็บเฝิงเยี่ยไป๋ไว้ก่อน กลับเป็นพวกคนที่พระองค์เลี้ยงเอาไว้นั้น ล้วนเป็นพยาธิ ถึงเวลาที่จะต้องแสดงความคิดเห็นต่างก็ทำตัวเป็นเต่าหดหัว ความฉลาดน้อยนั้นล้วนไม่ใช้ให้ถูกทาง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พระคลังของพระองค์ก็คงถูกคนเหล่านี้กินหมดเสียแน่ๆ !


 


 


แถมแต่ละคนยังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นขุนนางผู้ภักดี นี่ก็คือขุนนางผู้ภักดีของพระองค์ ฮ่องเต้คิดไปแล้วก็รู้สึกกริ้ว พระองค์ตบโต๊ะเรียกทหารองครักษ์ที่ประตูเข้ามา แล้วคว้าแท่นฝนหมึกบนโต๊ะขว้างลงไป “เก่งเสียจริงๆ เลยพวกเจ้า เราให้พวกเจ้าคิดหาวิธี พวกเจ้าแต่ละคนล้วนมากลบเกลื่อนเราเช่นนั้นหรือ ได้ วันนี้เราจะให้พวกเจ้าได้เปิดหูเปิดตาบ้าง ทหาร! ลากมันออกไปประหาร!”


 


 


คนที่เมื่อครู่ออกมาทูลตกใจคุกเข่าลงพื้นพูดว่า “ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต… ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต…” ว่าแล้วความคิดฮ่องเต้คาดเดาเอาเองไม่ได้ คราวนี้คาดเดาความคิดของฮ่องเต้ผิด พาลจะทำให้แม้แต่ศีรษะตนเองก็รักษาไว้ไม่อยู่ ทหารองครักษ์เข้ามาจับคนแล้ว เขาตกใจจนทำตัวไม่ถูก รีบคลานเข้าไปกอดขาเฝิงเยี่ยไป๋พูดว่า “ท่านอ๋อง กระหม่อมผิดไปแล้ว ขอให้ท่านอ๋องช่วยชีวิตกระหม่อมเถิด!”


 


 


เขาบ้าไปแล้วหรืออย่างไร จะให้ช่วยคนหนึ่งที่ผลักตัวเองไปยังแท่นประหารงั้นหรือ ไม่ได้ฆ่าเขาด้วยตนเองก็ถือว่าน่าเสียดายแล้ว เขาไม่ใช่เทพเซียนเสียหน่อย ไม่ได้มีจิตใจที่จะช่วยคนเล่นแก้เบื่อ เขายกเท้าเตะคนผู้นั้นออกไป แล้วสะบัดแขนเสื้อพูดด้วยท่าทางรังเกียจว่า “เป็นถึงขุนนางก็ควรจะแบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาท ที่ใต้เท้าทำก็ไม่ถูกใจจริงๆ ในเมื่อฝ่าบาททรงมีพระราชโองการลงมาแล้ว เช่นนั้นข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ ขอให้ใต้เท้าไปสู่สุคติ ชาติหน้าได้เกิดใหม่ดีๆ เถิด!”


 


 


ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปที่เขาด้วยสายพระเนตรซับซ้อน หากเขาช่วยคนเอาไว้ถึงจะแปลก พระองค์รู้ เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ใช่คนที่จะถูกจัดการได้ง่ายนัก หากเก็บเอาไว้ใช้ประโยชน์ให้กับตนเองได้ย่อมดีที่สุด แต่หากไม่ได้ ก็ต้องรีบกำจัดทิ้งเสีย เพียงแต่พอนึกถึงราชโองการนั้น ฮ่องเต้ก็เครียด ตอนนี้ซู่อ๋องถึงจะเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าเฝิงเยี่ยไป๋เสียอีก


 


 


“พวกเจ้าเล่า” ฮ่องเต้ยื่นพระหัตถ์ชี้ไปที่เหล่าขุนนางซึ่งอยู่ข้างล่างด้วยท่าทางหวาดผวา “ยังมีใครอยากเป็นเหมือนเขา ก็ให้กลบเกลื่อนเราเต็มที่ เราฆ่าคนหนึ่งคือฆ่า ฆ่าสิบคนก็คือฆ่า ต่อให้ราชสำนักไม่มีคนให้ใช้ ก็ยังดีกว่าเลี้ยงพยาธิที่ไร้ประโยชน์!”



ตอนที่ 261 เจ้านายแมว 


 


 


 


 


 


ในท้องพระโรงแต่ละคนต่างหวาดผวา นอกจากเฝิงเยี่ยไป๋ทุกคนต่างคิดเอาตัวรอด เมื่อครู่ฮ่องเต้ไม่ได้ฉวยโอกาสหาเรื่องเขา เช่นนี้แล้วอย่างน้อยก็ยืนยันเรื่องที่เขาคาดเดาเอาไว้ก่อนหน้านี้ได้ถูกต้อง เพียงแต่เขาต้องรู้ว่าในราชโองการเขียนอะไรอยู่ถึงจะรู้ว่าฮ่องเต้จะทำอะไรต่อไป ซึ่งก่อนจะถึงตอนนั้น เรื่องที่อยู่ในราชกิจ เขาก็พยายามอย่าได้เข้าร่วมจะเป็นการดี 


 


 


หลังจากที่เฉินยางส่งเงินให้อิ๋งโจวแล้ว ก็ไม่อยู่ต่ออีกนาน กลับไปก็ไม่มีอะไรทำ จึงเดินเล่นอยู่ที่ลาน ยังดีที่จวนท่านอ๋องนี้ใหญ่มาก เดินวนไปมาก็ไม่รู้สึกเบื่อ ที่ลานด้านหลังมีสาวใช้ไม่กี่คนว่างงานอยู่คุยเล่นกันที่นั่น เหล่าผู้หญิงรวมตัวกัน ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็ล้วนมีเรื่องให้พูดไม่จบสิ้น ที่จริงแล้วนางก็อยากจะเข้าไปคุยกับพวกนางด้วย เพียงแต่นางยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ เหล่าสาวใช้นั้นก็ย่อตัวคำนับนางอย่างหวาดระแวง ปากก็พูดว่า “คารวะพระชายา” ด้วยความหวาดวิตกเล็กน้อย เหมือนกลัวนางจะกล่าวโทษเช่นนั้น 


 


 


นางพูดว่า “ไม่ต้องมากพิธี” ด้วยความเหนื่อยใจ ในใจเต็มไปด้วยความผิดหวัง มาถึงที่นี่นางก็กลายเป็นผีร้ายเสือร้ายไปแล้ว ฐานะก็ต่างไปอีกขั้น ตอนแรกก็ทำเอาคนอื่นยำเกรงแล้ว ยังเป็นเมื่อก่อนที่ดีกว่า อยากจะคุยกับใครก็ไม่ต้องหลบเลี่ยง ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เฝิงเยี่ยไป๋เริ่มเข้าฟังราชกิจแล้ว ฐานะของตนเองก็ต้องแสดงออกมาอยู่ตลอด สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดที่จะคุยกับพวกนาง จะได้ไม่ต้องให้พวกนางไม่สบายใจ 


 


 


นางกำลังจะไป แม่นางน้อยที่อยู่ในกลุ่มสามคนที่ดูไปแล้วอายุไล่เลี่ยกับนางก็ถามนางด้วยสีหน้าสงสัยว่า “สาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างตัวพระชายาเล่า ไม่ใช่ว่าควรจะรับใช้อยู่ข้างตัวหรือเพคะ” 


 


 


เฉินยางพูดว่า “ข้าไม่ได้ให้พวกนางตามมา” หนึ่งคือนางไม่ชินเวลาเดินแล้วมีคนเดินตาม สองคือสาวใช้สองคนนั้นไม่ชอบพูด นางอยากจะพูดคุยกับนางก็ไม่ได้ สุดท้ายจึงไม่ให้พวกนางตามมาเสียเลย จะได้ไม่ต้องไม่สบายใจ 


 


 


แม่นางคนนี้ก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ นางตอบเพียง “อ้อ” แล้วก็ถอยกลับไป เฉินยางยังคิดว่านางจะตามมาเสียอีก ที่แท้ก็ถามไปเท่านั้น จึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแล้วเดินจากไปเอง 


 


 


นางอยู่ที่จวนท่านอ๋องยังเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วเหล่าผู้หญิงที่อยู่ในวังไม่ใช่ว่าอึดอัดแทบตายหรอกหรือ ในวังแม้จะใหญ่กว่าจวนอ๋องอยู่มาก เพียงแต่ผู้หญิงเข้าไปแล้ว ชาตินี้ก็อย่าได้คิดจะออกมาอีกเลย แถมยังคิดจะทำร้ายใส่กันอยู่ทั้งวัน เช่นนั้นแล้วไม่ใช่ว่ามีชีวิตอยู่ไม่ได้เลยหรือ นางมีข้อดีตรงนี้ รู้จักปลอบตนเอง สามารถหาความสุขให้กับตนเองได้ ไม่ถึงกับเศร้าไปทั้งวันทั้งคืน 


 


 


ที่ลานด้านหลังจวนอ๋องได้ปลูกดอกไม้ดอกหญ้าไม่น้อย นางไม่ได้มีความสนใจกับสิ่งเหล่านี้ ดูดีคือดูดี แต่ก็ทำได้เพียงเชยชม ทำอะไรก็ไม่ได้ นางเงยหน้ามองพระอาทิตย์บนฟ้า อากาศเช่นนี้ช่างทรมานนัก อย่างไรเสียก็ไม่มีอะไรให้ทำ กลับไปนอนคงจะดีกว่า 


 


 


ตัวเองออกมาเดินเล่นรอบใหญ่ เรื่องน่าสนุกอะไรก็หาไม่เจอ กลับเป็นใบหน้าที่ถูกตากแดดจนแดง 


 


 


ขณะที่นางกำลังจะกลับไปนั้น ข้างหน้าจู่ๆ ก็มีเสียงความเคลื่อนไหวพึ่บพั่บ นางย่องเข้าไปดู ได้ยินเสียงฟ่อๆ นางแหวกพุ่มดอกไม้สองพุ่มที่อยู่ตรงนั้นออกแล้วมองดู ที่แท้ก็เป็นแมว ในปากยังคาบนกพิราบตัวหนึ่ง นกพิราบตัวนั้นยังตายไม่สนิท พยายามออกแรงตีปีกอยู่ 


 


 


เฉินยางหัวเราะหึๆ แมวตัวนี้เก่งเสียจริง นกพิราบที่บินอยู่บนฟ้านี้ก็ยังสามารถจับลงมาได้ หรือว่าจะเป็นปีศาจแมว กระนั้นอย่างน้อยนางก็เห็นเข้าแล้ว จะไม่ยุ่งก็ไม่ได้ นางจึงคว้าไม้เล็กๆ จิ้มไปที่แมวตัวนั้น “เจ้านายแมว ขอคุยกับเจ้าหน่อย เจ้าเมตตาปล่อยมันไปเถิด กลับไปแล้วข้าจะไปที่ห้องครัวเอาปลานึ่งให้เจ้าดีหรือไม่ นกพิราบนี้ไม่แน่อาจจะมาจากบ้านใครที่เลี้ยงเอาไว้ เจ้ากินมันอย่างนี้ กลับไปเจ้าของของมันหาไม่เจอจะด่าเสียทั้งตรอกเอา” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 262 เหลือขาไว้ให้ข้า 


 


 


 


 


 


แมวไหนเลยจะรู้เรื่องที่นางพูดได้ มันรู้เพียงว่านางมาแย่งอาหาร จึงโก่งหลังตั้งท่า เตรียมจะพุ่งเข้ามาสู้กับนาง 


 


 


เฉินยางก็เบื่อเต็มทีแล้ว มีเจ้าตัวเล็กนี้เล่นกับนางก็ไม่เลว ตอนนั้นจึงเกิดความคิดที่จะเลี้ยงมันขึ้นมา จึงใช้ไม้จิ้มมันต่อ “ไม่ใช่ว่าไม่ให้เจ้ากิน แต่คือไม่ให้เจ้ากินของที่มีเจ้าของเช่นนี้ เจ้าไม่เห็นหรือว่าที่ขามันมีด้ายแดงมัดไว้อยู่ เจ้าเชื่อฟังเสียดีๆ มีคำพูดที่ว่าอะไรนะ อ้อใช่ เรียกว่าวางดาบฆ่าคน บรรลุธรรมเป็นพุทธะ ข้าว่าช่วยนกพิราบตัวหนึ่งดียิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ทำความดีหลังจากตายแล้วถึงได้เกิดใหม่ดีๆ เจ้าไม่อยากเกิดเป็นคนในชาติต่อไปหรือ อย่างมากข้าชดเชยให้เจ้าก็แล้วกัน พวกเจ้าเป็นแมวไม่ใช่ว่าชอบกินปลาหรือ ข้าไปหาปลาให้เจ้ากินดีหรือไม่” 


 


 


หากเฝิงเยี่ยไป๋เห็นนางคุยกับแมวอยู่ที่นี่ คงจะคิดว่าสมองนางมีปัญหาแน่ๆ เพียงแต่ว่าสุนัขก็ยังสามารถฟังคำพูดของคนรู้เรื่อง แมวที่มีเก้าชีวิตนี้ก็ต้องฟังรู้เรื่องอย่างแน่นอน กินนกพิราบขนติดเต็มปาก ปลาที่ห้องครัวจัดการเรียบร้อยปลุงรสเข้าเนื้อยกมาก็กินได้ อันไหนดีอันนั้นแย่ มันยังแยกไม่ได้เชียวหรือ 


 


 


เพียงแต่เจ้าแมวไม่สนใจเลย ไม่พูดถึงว่าในสายตาเฝิงเยี่ยไป๋นางป่วยหรือไม่ อย่างไรเสียแมวตัวนี้ก็รู้สึกว่านางป่วย หากไม่ใช่ว่าเห็นนางตัวใหญ่เกินไป คาดว่าคงจะฆ่านางไปด้วยเลย 


 


 


เพียงแต่นกพิราบนั้นทนได้ไม่นาน ตอนนี้ก็สิ้นลมไปแล้ว ห้อยตัวอยู่ในปากของแมวแน่นิ่งไม่ขยับ เมื่อครู่เห็นเพียงขาข้างหนึ่งผูกด้ายแดงเอาไว้ ตอนนี้มันตายแล้ว ขาอีกข้างก็โผล่ออกมา คราวนี้ไม่ใช่แค่ด้ายแดง บนนั้นยังมีม้วนกระดาษมัดไว้อยู่ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นนกพิราบส่งสาร ก็ไม่รู้ว่าเป็นนกพิราบดวงซวยบ้านใด คาดว่าคงยังบินไม่ถึงที่หมาย เพียงแค่ลงมาพักระหว่างทาง ก็ถูกแมวตัวนี้จับได้เสียแล้ว 


 


 


เฉินยางถอนหายใจด้วยความจนใจ “เจ้าก่อเรื่องแล้วเจ้ารู้หรือไม่ นี่คือนกพิราบส่งสาร มันไปส่งจดหมาย เจ้ากลับทำตัวดี…” นางโยนไม้ทิ้งไปแล้วนั่งลงบนพื้น “จะกินก็รีบกิน กินให้สะอาด…ไม่ใช่สิ ตรงขาที่มีจดหมายผูกไว้อยู่เจ้าเหลือไว้ให้ข้าด้วย” 


 


 


แมวก็ไม่สนใจอีก มุดเข้าไปในพุ่มหญ้าที่ลึกกว่าเดิมแล้วกินมันเข้าไป เฉินยางก็นั่งรออยู่บนพื้น คนอยู่คนเดียวก็น่าเบื่อ นางจึงตะโกนใส่แมวว่า “พอได้แล้ว กินก็ได้กินแล้ว เจ้ายังมัวมาละเลียดลิ้มรสอีก” และนางก็เตือนด้วยความไม่วางใจว่า “อย่าลืมขาที่ข้าต้องการเล่า ตรงขาไม่มีเนื้อ อย่างน้อยเจ้าก็เหลือไว้ให้ข้าด้วย” นางรออยู่เช่นนี้ประมาณชั่วหนึ่งก้านธูป[1] สุดท้ายฝั่งนั้นก็มีความเคลื่อนไหว เจ้าแมวกินอย่างสบายใจแล้ว จึงบิดขี้เกียจค่อยๆ เดินออกมา พอเห็นนาง ก็ร้องเมี้ยวแล้วกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ข้างๆ  


 


 


เฉินยางรีบเข้าไปดู ว่าแล้วเหลือซากอยู่เต็มพื้น นางท่องอามิตตาพุทธ เจ้านกพิราบดีๆ ตัวหนึ่งก็ถูกฆ่าไปเสียเช่นนั้นแล้ว พอมองไปอีก ยังถือว่าแมวตัวนี้ไม่เลว ขายังเหลือไว้อยู่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นจดหมายสำคัญหรือไม่ ล่าช้าไปแล้วจะเป็นอะไรหรือไม่ 


 


 


นางแก้จดหมายจากขานกพิราบออกมาแล้วเปิดดู ในนั้นเขียนประโยคหนึ่งอย่างไม่มีหัวไม่มีท้ายว่า ‘หากมีความเคลื่อนไหวไม่ชอบมาพากล รีบรายงาน’ ดูผิวเผินแล้วเข้าใจไม่ยาก แต่พอมาคิดดูดีๆ นกพิราบนี้ล้วนจำบ้านตัวเองได้ หากจะพักระหว่างทางก็คงไม่หยุดอยู่ที่บ้านคนอื่นแน่ พักอยู่บนกิ่งไม้อะไรไม่ได้หรือ ไฉนถึงได้มาลงที่จวนอ๋องเสียเล่า 


 


 


ช่างน่าประหลาดนัก อย่างไรเสียสมองของนางนี้ก็คงคิดไม่ออกแล้ว รอเฝิงเยี่ยไป๋กลับมาค่อยให้เขาดูแล้วกัน นางพับจดหมายเก็บเข้าในเสื้อไว้อย่างดี นางหาแมวตัวนั้นไม่เจอ อากาศก็ยังร้อนอีก นางจึงกลับไปก่อน 


 


 


  


 


 


——- 


 


 


[1] เวลาชั่วหนึ่งก้านธูป เทียบเท่าเวลาปัจจุบันประมาณ 15 นาที 



ตอนที่ 263 นกพิราบส่งสารของจวนซู่อ๋อง 


 


 


  


 


 


เฉินยางไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้คนในจวนรู้ เฝิงเยี่ยไป๋บอกนางแล้ว เวลานี้ในจวนเต็มไปด้วยสายตาของฮ่องเต้ ไม่แน่คนใดก็เป็นหูเป็นตาของพระองค์ ตอนที่นางเดินไปก็มองซ้ายมองขวา เห็นรอบๆ ไม่มีใคร ตอนเดินกลับไปก็กระวนกระวาย สาวใช้สองคนเห็นนางกลับมา ก็บ่นว่าวันนี้อากาศร้อน จะเปลี่ยนชุดให้นาง 


 


 


เปลี่ยนก็เปลี่ยนเถอะ ชุดของนางถอดไปได้ครึ่งหนึ่ง นางก็พัดมือบอกว่าร้อน แล้วสั่งให้สาวใช้สองคนนั้นไปเตรียมน้ำอาบให้นาง จากนั้นก็ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครสังเกต เอาม้วนกระดาษที่ซ่อนไว้อยู่ในแขนเสื้อออกมายัดไว้อยู่ใต้หมอน 


 


 


ที่ใดก็ไม่ปลอดภัยสู้ห้องตัวเอง นางนอนอยู่ที่นี่ทั้งบ่าย ไม่ออกไปแม้เพียงก้าวเดียว คิดว่าก็คงไม่มีใครรู้ 


 


 


นางเพิ่งซ่อนกระดาษเสร็จ สาวใช้คนหนึ่งไปแล้วก็ย้อนกลับมาอีก ถามนางว่าจะแช่อยู่ในห้องหรือไปแช่ที่บ่อ นางซ่อนของไว้เรียบร้อยแล้ว ย่อมแช่อยู่ในห้องอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นหากระหว่างนี้มีคนเข้ามาหยิบไปแล้วจะทำอย่างไรดี 


 


 


“เช่นนั้นแล้วก็แช่อยู่ในห้องเถิด ข้างนอกร้อน ข้าไม่อยากออกไปแล้ว” นางไล่สาวใช้นั้นไปอีกครั้ง แล้วนอนลงบนเตียง อดคิดไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าส่งมาถึงจวนท่านอ๋อง นกพิราบส่งสารจำเพียงบ้าน เจ้าของบ้านเปลี่ยนคนไปแล้ว แต่สถานที่ยังไม่เปลี่ยน หรือว่าจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของซู่อ๋อง ก็ไม่น่าจะใช่ หากเป็นผู้ใต้บังคับของซู่อ๋อง จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าจวนนี้ได้เปลี่ยนเจ้าบ้านแล้ว จะส่งนกผิดมาก็คงไม่ใช่กระมัง 


 


 


อย่างไรเสียนางก็คิดอะไรไม่ออก จึงไม่คิดเสียเลย เรื่องที่เปลืองสมองเช่นนี้นางทำไม่ไหว อย่างไรก็รอให้เฝิงเยี่ยไป๋กลับมาค่อยถามเขาเถอะ! 


 


 


กลับมาพูดถึงเว่ยหมิ่น เรื่องที่เฝิงเยี่ยไป๋เริ่มเข้าฟังราชกิจนั้นนางมองแล้วก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรนัก ราชโองการนางเคยดู เพียงแต่นางก็ไม่รู้ฮ่องเต้คิดอะไรอยู่ วันนี้ตอนเช้าเพิ่งจะประหารขุนนางใหญ่คนหนึ่ง ได้ยินว่าเป็นเพราะก่อกวนเฝิงเยี่ยไป๋ต่อเบื้องพระพักตร์ถึงได้ถูกประหาร หากแต่เหลียงอู๋เย่ว์กลับไม่เข้าใจ “ฮ่องเต้ไม่ใช่ว่าอยากจะฆ่าเฝิงเยี่ยไป๋หรือ ไฉนตอนนี้ดูเหมือนว่ากลับเข้าข้างเขาเสียเล่า” 


 


 


เว่ยหมิ่นมองตาขวางใส่เขา “หากความคิดของฮ่องเต้ใครคิดจะเดาก็เดาออกได้ เช่นนั้นแล้วฮ่องเต้ก็คงใกล้จบสิ้นแล้ว ใครจะรู้ว่าที่พระองค์ทำเช่นนี้มีจุดประสงค์ใด” 


 


 


“พระองค์ไม่กลัวว่าจะเลี้ยงเสือเป็นภัยหรือ” ที่เหลียงอู๋เย่ว์เป็นห่วงคือเฝิงเยี่ยไป๋ พวกเขามีความผูกพันมาหลายปีเช่นนี้ เขาเป็นคนที่รู้นิสัยของเฝิงเยี่ยไป๋ที่สุด หากเจอกับเรื่องที่แม้แต่ตัวเองก็ยังรู้สึกว่าลำบากก็จะไม่บอกเขาอย่างแน่นอน แม้ปกติเขาจะพูดจาดูถูกตนอย่างหนัก แต่ในใจกลับเป็นห่วงอยู่ เรื่องที่จะทำให้คนอื่นลำบากเขาไม่ทำแน่ๆ 


 


 


เว่ยหมิ่นถอนหายใจช้าๆ “พูดอะไรอยู่นั่น ก็ไม่รู้ว่าฮ่องเต้คิดแผนชั่วอะไรอยู่ ตอนนี้เฝิงเยี่ยไป๋ก็อยู่ในฐานะถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว คาดว่าเขาก็ยังคงไม่รู้ว่าในราชโองการเขียนอะไรไว้อยู่ รอให้เขากลับจากวังแล้ว ข้าต้องหลบคนไปหาเขาแล้วพูดเรื่องนี้ให้ได้” 


 


 


เหลียงอู๋เย่ว์ก็ไม่อยากปัดเรื่องไม่สนใจ เมืองหลวงนี้เขามาก็มาแล้ว จะไม่ยุ่งเลยก็ไม่ได้ ถ้าให้เว่ยหมิ่นไปเขาไม่วางใจ จึงเสนอตัวขึ้นมา “ให้ข้าไปเถอะ ในเมื่อต้องแอบ ผู้ชายอย่างพวกเรามือเท้าว่องไว เจ้าฝากเรื่องที่จะบอกไว้กับข้า ข้าจะไปบอกเขาให้” 


 


 


“เวลาสั้นๆ แค่นี้จะให้ข้าพูดข้าก็พูดไม่จบหรอก เรื่องเช่นนี้ ต้องพูดต่อหน้าถึงจะได้ ข้าคิดว่าที่จวนพวกข้านี้ไม่น่าจะมีสายตามากมายนัก มีคนหนึ่งไว้ยังสามารถรับมือได้ หากไปทั้งสองคนแล้ว เกิดในจวนมีเรื่องจะลำบาก” 


 


 


เหลียงอู๋เย่ว์บ่นเล็กน้อย “จะให้ข้าไปไม่ได้หรือ เจ้าไม่เป็นวิชาเสียหน่อย ระหว่างทางก็ยังมีระยะอยู่พอสมควร หากเกิดเรื่องขึ้นมาจะทำอย่างไร” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 264 อำนาจฮ่องเต้ไม่อาจพ่าย 


 


 


 


 


 


เว่ยหมิ่นทำหน้าบึ้งสั่งสอนเขาขึ้นมา “เจ้าโตขนาดนี้แล้วยังทำตัวนิสัยเป็นเด็กอีกหรือ ตอนเด็กๆ อยู่กับพวกเจ้าเรื่องแย่ๆ อะไรไม่เคยทำบ้าง เพียงแค่แอบย่องจากจวนท่านหญิงไปจวนอ๋อง เจ้าวางใจเถอะ ข้าไปกลับไม่มีใครรู้แน่ๆ” 


 


 


เหลียงอู๋เย่ว์ถูกคำพูดของนางที่ว่า ‘นิสัยเป็นเด็ก’ ทำเอาโกรธ เขาเคาะโต๊ะเตือนนางว่า “อะไรนิสัยเป็นเด็ก ข้านี่ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงเจ้าหรือ” คราวนี้ก็ทำท่ากระฟัดกระเฟียดกับนางว่า “ในเมื่อเจ้ายืนกรานจะไป ข้าก็ไม่ห้ามเจ้าไว้ เจ้าไปเสียเถอะ ที่จวนข้าจะดูแลให้เจ้าเอง” 


 


 


ตอนนี้ยังไม่ถึงเพลาตะวันตกดิน แต่ในวังนอกวังกลับเงียบผิดปกติ ไม่ใช่เงียบกริบไร้สุ้มเสียง แต่หมายถึงเรื่องการหารือที่ตำหนักไท่เหอ ตอนนี้ใครๆ ก็รู้ว่าฮ่องเต้จะสู้รบกับซู่อ๋องแล้ว ในหมู่ประชาชนต่างมีข่าวลือ ฮ่องเต้ไม่ยอมลงมือกับพี่น้องแท้ๆ ใจอ่อนอยู่หลายครั้ง นี่ก็สู้รบกันมาอยู่หลายครั้ง ถึงกับแพ้ไปทุกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าคราวนี้จะเป็นอย่างไร จะชนะได้หรือไม่ 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ก็ไม่พูดแทรกอะไรเลย เขาได้ยินความคิดเห็นของเหล่าขุนนางนั้น หากไม่ใช่เผยอปากโดยไม่แสดงออกมา ก็พยักหน้าเบาๆ ฮ่องเต้ทอดพระเนตรสีหน้าของเขา แม้แต่ความเคลื่อนไหวเล็กๆ ที่มือล้วนแต่อยู่ในสายพระเนตร เหล่าขุนนางที่อยู่ข้างล่างพูดไปมากมายจนจบแล้วโค้งตัวประสานมือทูลว่า “ขอฝ่าบาททรงมีพระราชโองการด้วยพ่ะย่ะค่ะ”  


 


 


ฮ่องเต้ถึงได้ตั้งสติกลับมา ตั้งแต่ยามห้าจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปสามสี่ชั่วยามแล้ว พูดไปพูดมาก็ไม่มีวิธีที่ใช้ได้เลยแม้เพียงวิธีเดียว ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ด้วยความหงุดหงิด แล้วทรงเรียกขันทีมา ขันทีจึงตะโกนว่า “เลิกประชุมราชกิจ”  


 


 


เหล่าขุนนางต่างโล่งใจแล้วถอยออกจากตำหนักไท่เหอ ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ชี้ไปที่เฝิงเยี่ยไป๋ “ท่านอ๋องอยู่ก่อน เรามีเรื่องจะคุยกับเจ้า” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ตอบรับ รอให้เหล่าขุนนางไปจนหมดแล้ว ถึงได้ทูลว่า “ฝ่าบาทให้กระหม่อมอยู่ต่อเพียงคนเดียว ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ที่ผ่านมาสามสี่ชั่วยามนี้ พระองค์ทรงประทับอยู่ก็ยังรู้สึกเหนื่อย แต่พอทอดพระเนตรไปที่เฝิงเยี่ยไป๋ สีหน้าเป็นปกติ มองไม่เห็นความเหนื่อยล้าใดๆ เลย พระองค์ที่เป็นถึงฮ่องเต้นั้น จะแพ้อำนาจของบรรยากาศไม่ได้ จึงตั้งสติใหม่ขึ้นมา แล้วพูดกับเขาว่า “เรื่องของวันนี้เจ้ามองว่าอย่างไรบ้าง ที่ยากไม่ใช่บุกตีเมือง แต่เป็นเหล่าประชาชนที่อยู่ในเมือง ล้วนเป็นประชาชนของเรา ให้เราไปทำลายชีวิตของพวกเขา เราทำไม่ลงจริงๆ ” 


 


 


ทำไม่ลงหรือ เป็นถึงฮ่องเต้มีอะไรที่ทำไม่ลงบ้าง เพื่อตำแหน่งฮ่องเต้แล้วพี่น้องแท้ๆ ของตนเองก็ยังลงมือได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าประชาชนเลย พระองค์เพียงกลัวว่าจะถูกประชาชนใต้ฟ้าแอบนินทา น้ำสามารถใช้ล่องเรือได้ย่อมสามารถทำให้เรือจมได้ หากเสียความนับถือจากประชาชนไป ต่อให้ชนะแล้วจะเป็นอย่างไรอีก ไม่ช้าก็จะถูกล้มล้างอย่างแน่นอน 


 


 


ฮ่องเต้กับซู่อ๋องใครจะชนะใครจะแพ้เขาไม่สนใจ และก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขามากนัก เพียงแต่ในเมื่อพระองค์คิดจะทำร้ายเขา เขาก็จะไม่ยอมถูกกระทำได้ง่ายๆ ตอนนี้ฮ่องเต้มาขอความคิดจากเขา วิธีใช่ว่าจะไม่มี เพียงแต่อาศัยอะไรจะต้องช่วยพระองค์ด้วย 


 


 


เขาดึงสติแล้วรีบทูลว่า “กระหม่อมโง่เขลานัก คิดวิธีดีๆ ไม่ออกจริงๆ เรื่องการทหาร ฝ่าบาทหารือกับเหล่าแม่ทัพเสียจะดีกว่า เหล่าแม่ทัพผ่านศึกมานาน ฮ่องเต้ทรงพระปรีชาสามารถ จะจัดการกับซู่อ๋องไม่ใช่ว่าง่ายดายนักหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ฮ่องเต้ฟังออกว่า เฝิงเยี่ยไป๋กำลังด่าพระองค์อ้อมๆ อยู่ หากง่ายดายเช่นนั้นนัก ตอนนี้จะยังหารือไม่ได้ผลอีกหรือ เขาช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก จะยังขาดวิธีไปได้หรือ 


 


 


“เจ้าไม่จำเป็นต้องถ่อมตน เมื่อครู่ที่เหล่าขุนนางทูลอยู่นั้น เราเห็นเจ้าทั้งยิ้มทั้งส่ายหน้า หากมิใช่เพราะรู้สึกว่าวิธีของพวกเขานั้นไม่เหมาะ ไฉนถึงได้ทำสีหน้าเช่นนั้น” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม