รักเล่ห์เร้นใจ 253-259
ตอนที่ 253 เผยพิรุธ
ดังนั้นตอนนี้เธอจึงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี เธอได้แต่พยายามเต็มที่ที่จะไม่แสดงทีท่าชัดแจ้งนัก ในเมื่ออันจี๋ถิงคีบพริกเขียวมาใส่ชามของเธอแล้ว เธอก็ใส่มันเข้าปากตัวเองซะ
แต่พออันจี๋ถิงเห็นภาพนี้เข้า กลับทำให้เธอตกใจอยู่บ้าง ตอนหลินหว่านยังเป็นเด็กเธอเกลียดพริกเขียวที่สุด แต่เมื่อครู่อี้อวิ๋นฉังกลับทำทุกอย่างตรงกันข้ามหมด เธออดที่จะตื่นตัวสงสัยขึ้นมาบ้างไม่ได้
อี้อวิ๋นฉังกลับไม่รู้เลยสักนิดว่าแม่ของหลินหว่านทดสอบเธอ ยังคงทานอาหารต่อไปเรื่อยๆ แต่ตอนนั้นเองอันจี๋ถิงยังไม่ยอมเชื่อ เธอยังอยากจะทดสอบเธอต่อไปอีก
“เพื่อนสมัยเด็กที่ลูกเล่นด้วยกันบ่อยๆ ยังได้ติดต่อกันรึเปล่า? แม่จำได้ว่าพวกเธอสนิทกันออก แม่จะเรียกให้กลับบ้านมาทำการบ้านก็ไม่ยอมกลับ จะอยู่เล่นกับเพื่อนคนนั้น” อันจี๋ถิงพูดยิ้มๆ ที่จริงแล้วเป็นยิ้มซ่อนมีด ดูแล้วชวนให้ขนลุกมากๆ
“อ่าฮ่า หรือคะ? เรื่องตอนเป็นเด็กหนูลืมไปหมดแล้ว นึกไม่ออกแล้วค่ะ ผ่านเรื่องราวมาตั้งมากมาย ใครยังจะไปจำได้คะ” อี้อวิ๋นฉังพอฟังก็หัวใจตกวูบ แต่เธอรีบปรับสีหน้าท่าทางเป็นปกติ เฉไฉพูดเรื่องอื่นไป
เธอนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าอันจี๋ถิงจะรับมือยากขนาดนี้ ถามปัญหามากมายที่เธอไม่รู้ ทำให้เธอทำตัวไม่ถูก ถ้าเธอเอาไม่อยู่ แผนของเธอก็จะพังไม่เป็นท่า สิ่งที่เธอทุ่มเทกำลังและเวลามาทั้งหมดก็จะสูญเปล่า สุดท้ายยังจะหาเรื่องใส่ตัวเสียอีก
แต่พออี้อวิ๋นฉังนึกถึงเป้าหมายของเธอ ก็คิดอยากจะรู้ข่าวคราวของหลินหว่าน เธอไม่ลืมเป้าหมายแต่แรกที่เธอมานี่เด็ดขาด ตอนนี้เธอจึงรีบแต่งบทพูดในสมอง รอจังหวะโอกาสดีที่จะถามอันจี๋ถิง
“เอ่อใช่แล้ว แม่คะ ตอนนี้อินเสี่ยวเสี่ยวอยู่ที่ไหนหรือคะ? ตั้งนานแล้ว ทำไมเธอยังไม่มีข่าวคราวอะไรเลยล่ะ มันเป็นไปได้หรือคะ?” อี้อวิ๋นฉังแกล้งถามขึ้น เธอไม่อยากให้อันจี่ถิงรู้จุดหมายของเธอ จึงถามเหมือนไม่ตั้งใจนัก พยายามไม่ให้อันจี๋ถิงมองออก
บางครั้งที่เธอเห็นสายตาของอันจี๋ถิง ไม่รู้ว่าตาฝาดไปรึเปล่า บางครั้งรู้สึกเหมือนสายตาเธอคมกริบดุดันมาก ทำเอาเธอสะดุ้งตกใจทีเดียว ทำให้เธอไม่กล้าพูดคำพูดที่เตรียมจะพูดออกมา คงต้องบอกว่าอันจี๋ถิงมีออร่ารอบตัวแรงมาก คนธรรมดาทั่วไปเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอจึงต้องระวังตัวไม่กล้าทำตัวตามสบาย
อันจี๋ถิงพอได้ยินอี้อวิ๋นฉังจู่ๆ ก็ถามแบบนี้ จึงเกิดสนใจขึ้นมา เธอพยายามจะไม่ไปขัดการแสดงของอี้อวิ๋นฉัง จะดูซิว่าถ้าปล่อยให้เธอแสดงไปเรื่อยๆ จะเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เอ๋ ทำไมจู่ๆ ลูกก็ถามถึงเธอล่ะ? ลูกมีธุระกับเธอรึไง? ตอนนี้เธอยังสบายดี!” อันจี๋ถิงแกล้งพูดขึ้น ตอนเธอพูดก็ไม่ลืมที่จะโปรยยิ้มอย่างอบอุ่นนุ่มนวล แต่บางครั้งแม้ใบหน้าเธอจะยิ่งยิ้มแย้ม ก็ยิ่งแสดงว่าในใจเธอมีเรื่องต้องคิด
“ค่ะ หนูอยากเจอเธอมาก หนูอยากให้เธอกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีกับเขา ไม่ดีหรือคะ? หนูก็เลยรู้สึกว่าต้องพูดกับเธอนะคะ” อี้อวิ๋นฉังพูดด้วยรอยยิ้ม ทำท่าเหมือนใจดีมีเมตตาเอามาก คนที่ไม่รู้ก็จะนึกว่าเธอเป็นเด็กสาวที่มีใจบริสุทธิ์สะอาดมากคนหนึ่ง
“ลูกนี่ช่างใจกว้างจริงๆ นะ ถ้าเธอรู้ว่าลูกมีใจให้เธอขนาดนี้ เธอคงต้องซาบซึ้งใจตายเลย แต่ลูกเองก็ต้องระวังนะ แม่กลัวว่าเธอจะทำเรื่องไม่ดีกับลูกนะสิ!” อันจี๋ถิงพูด อันที่จริงเธอก็ไม่แคร์ถ้าจะบอกที่อยู่ของหลินหว่านให้เธอรู้
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ที่จริงพวกเราสองคนก็นับว่ามีวาสนาต่อกันนะคะ หน้าก็เหมือนกันมาก ไม่ว่าเธอจะทำหน้ามาหรือไม่ แต่ทำจนหน้าเหมือนลูกขนาดนี้ อย่างน้อยลูกกับเธอก็คงมีวาสนาต่อกัน” อี้อวิ๋นฉังพูดอย่างเสแสร้ง เธอพูดโกหกได้ง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปากอย่างไรอย่างนั้น แถมไม่กระพริบตาเลยด้วย
อันจี๋ถิงพอฟังเธอพูดแบบนี้ก็แค่หัวเราะออกมา แล้วบอกที่อยู่ของหลินหว่านให้เธอรู้ อี้อวิ๋นฉังพอฟังจบก็แอบหัวเราะในใจ คิดว่าเป้าหมายเธอสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ขาดอีกก้าวเดียวก็จะได้ในสิ่งที่เธอต้องการแล้ว
อันจี๋ถิงเห็นท่าทางกระหยิ่มใจของอี้อวิ๋นฉังแล้วกลับรู้สึกเย็นเยือกไปทั้งหัวใจ เธอไม่อยากคิดเลยว่าเรื่องที่เธอคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้จะเป็นจริง ถ้าเป็นอย่างนั้นจะทำให้เธอเสียใจมาก ความรู้สึกที่ให้ความหวังกับเธอแล้วทำให้ความหวังเธอพังทลาย เธอทนไม่ได้จริงๆ
“ดึกแล้วลูกก็พักผ่อนเถอะ หลายวันมานี้แม่เห็นลูกยุ่งเชียว ลูกอยู่บ้านก็อย่าเอาแต่เล่นสนุกล่ะ ต้องดูแลสุขภาพตัวเองด้วย รู้ไหม” พอทานข้าวเสร็จ อันจี๋ถิงก็กำกับดูแลอี้อวิ๋นฉังราวกับแม่ผู้เมตตา จากนั้นขึ้นห้องไปพักผ่อนตามลำพัง
ส่วนอี้อวิ๋นฉังในตอนนี้ กลับนึกย่ามใจเสียจนไม่รู้ว่าอันจี๋ถิงพบพิรุธของเธอเข้าแล้ว เธอยังรู้สึกว่าตัวเองฉลาดล้ำเลิศซะเหลือเกิน หลอกผู้คนได้ตั้งมากมาย ที่จริงเธอก็แค่ถูกผ้าปิดตาตัวเองเท่านั้น
อันจี๋ถิงพอกลับถึงห้องตัวเอง ก็หยิบมือมือขึ้นมาโทรไปที่หมายเลขหนึ่ง คนคนนี้ก่อนหน้านี้ทำงานให้กับเธอบ่อยครั้ง ตอนนี้ก็เช่นกัน ขอเพียงอันจี๋ถิงมีเรื่องที่ต้องสืบอย่างเป็นความลับ เธอก็จะให้คนคนนี้ไปทำ และเขาก็ทำงานได้อย่างดีเยี่ยมเสียด้วย อันจี๋ถิงเชื่อถือเขามากเช่นกัน
“ฮัลโหล หลายวันมานี้คุณช่วยสะกดรอยตามลูกสาวฉันด้วยนะ อย่าให้เธอคลาดสายตาไปเด็ดขาด แล้วกลับมารายงานฉัน ดูว่าเธอไปทำอะไรบ้าง” อันจี่ถิงสั่งการเสียงเครียดไปที่ปลายสายอีกด้าน เธอในตอนนี้กับเมื่อครู่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง คนเมื่อครู่ยังเหมือนเป็นแม่ที่รักลูกคนหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับต่างจากเมื่อครู่ราวกับคนละคน
“ได้ครับ มีข่าวอะไรผมจะรีบรายงานให้คุณทราบทันที” อีกฝ่ายพอฟังจบก็เข้าใจได้ทันที ไม่ได้ถามคำถามมากมายอย่างอื่นอีก ทั้งสองวางสายไป อันจี๋ถิงจัดการเรื่องต่างๆ อย่างเด็ดขาด เธอไม่เคยทำอะไรยืดเยื้อมาก่อน
ส่วนอี้อวิ๋นฉังในตอนนี้อยู่ในห้องของตัวเอง กำลังนึกวางแผนอย่างมีความสุข เธอคิดไม่ถึงเลยว่าอันจี่ถิงจะสงสัยเธอจนส่งคนมาสะกดรอยตามเธอ สังเกตพฤติกรรมเธอทุกการเคลื่อนไหว
ถึงตอนนั้นถ้าหากเธอพบตัวหลินหว่าน เธอจะไม่ออมมือแน่ ถ้าหากสามารถทำให้เธอได้ในสิ่งที่ต้องการในที่สุด เธอก็ไม่สนว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรต้องให้หลินหว่านไม่ได้ไปผุดไปเกิดอีก
อี้อวิ๋นฉังคิดอยู่นาน แล้วเลิกคิดต่อไปอีก เธอขึ้นเตียงเข้านอน คิดว่าพรุ่งนี้เธอจะไปหาหลินหว่านแต่เช้า จัดการให้เรื่องนี้เสร็จสิ้นลงไปซะที
เช้าวันรุ่งขึ้น อี้อวิ๋นฉังลุกขึ้นมาแต่งตัวแต่เช้า เมื่อคืนเธอวางแผนไว้อย่างดีแล้ว
ตอนที่ 254 หนี
ตอนนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อม แค่รอโอกาสเท่านั้น อี้อวิ๋นฉังอ่านดูที่อยู่ของหลินหว่านที่เมื่อคืนเธอเขียนเอาไว้ เธอทานข้าวเช้าเสร็จก็ขับรถตรงไปยังสถานที่นี่ทันที
อันจี๋ถิงเห็นอี้อวิ๋นฉังออกไป พอคิดดูก็เข้าใจว่าตอนที่เธอจะไปทำอะไร เธอรีบโทรหาคนของเธอ บอกความเคลื่อนไหวของอี้อวิ๋นฉังให้เขาทราบ เช่นนี้คนของเธอก็จะสามารถติดตามดูเธอได้สะดวกยิ่งขึ้น แล้วกลับมาบอกพฤติกรรมของเธอทุกความเคลื่อนไหว
อี้อวิ๋นฉังเปิดสัญญาณนำทาง ที่อยู่หลินหว่านค่อนข้างห่างไกลผู้คน ดังนั้นอี้อวิ๋นฉังจึงไม่รู้จักเลย แต่มีสัญญาณนำทาง เธอจึงมาถึงที่หมายได้ไม่ยากนัก แต่ระหว่างทางเธอมักจะต้องเลี้ยวโค้ง เธอจำได้ว่าเลี้ยวไปหลายถนนกว่าจะมาถึงสถานที่นี้ได้
อี้อวิ๋นฉังกวาดตามองไปรอบข้าง สภาพแวดล้อมค่อนข้างทรุดโทรม ไม่รู้ว่าหลินหว่านอยู่ที่นี่เข้าไปได้ยังไง คิดว่าคงน่าจะอยู่อย่างลำบากแน่ แต่ยิ่งคิดว่าเป็นเช่นนี้ อี้อวิ๋นฉังก็ยิ่งกระหยิ่มใจ ขอเพียงให้หลินหว่านได้รับความลำบาก ก็เป็นเรื่องสุดยอดมากแล้ว
ดังนั้นเธอจึงค่อยๆ เดินดูไป จนในที่สุดมาถึงห้องใต้ดินหลังหนึ่ง ห้องใต้ดินนี้เป็นที่อยู่ของหลินหว่าน เก่าแก่ทรุดโทรมมาก และยังมืดครึ้มมากด้วย เด็กผู้หญิงคนหนึ่งถ้าต้องอยู่ที่นี่คนเดียวคงต้องหวาดกลัวมากแน่ เธอไม่เชื่อว่าหลินหว่านจะกล้าขนาดนี้ การที่ไม่กลัวอะไรเลย คิดว่าตอนนี้คงกำลังหดหู่ท้อแท้ละสิ อี้อวิ๋นฉังนึกอย่างสะใจ
อี้อวิ๋นฉังถือกุญแจในมือ เธอยืนอยู่หน้าประตูห้องใต้ดิน เธอยืนลังเลอยู่นานมาก กว่าจะไขกุญแจเปิดประตูออก พอเปิดประตูก็เห็นหลินหว่านนั่งอยู่ที่มุมห้องอย่างน่าสงสารมาก
เดิมทีห้องใต้ดินนี้มืดครึ้มมาก แต่เนื่องจากการมาถึงของอี้อวิ๋นฉัง ประตูเปิดออก แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา หลินหว่านรู้สึกแสบตาอยู่บ้าง แต่เธอยังรู้สึกดีใจมากที่ยังมีความหวังว่าตัวเองจะได้ออกไป หลายวันมานี้เธอใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ใช้ชีวิตผ่านไปวันวันอย่างไร้ความหวัง ไม่มีใครมาช่วยเธอได้
ตอนนี้พออี้อวิ๋นฉังเห็นสภาพของหลินหว่าน ก็มีสีหน้าสะใจ อยากตะโกนบอกผู้คนทั้งโลกว่า เธอนี่แหละผู้ชนะ ใครก็ไม่อาจสู้เธอได้ คนที่สู้กับเธอก็จะเหมือนกับหลินหว่านอย่างนี้
ตอนนี้หลินหว่านฟื้นความทรงจำกลับคืนมาแล้ว พอเห็นคนตรงหน้านี้ ก็รู้สึกโมโหพุ่งปรี๊ดขึ้นมา แต่เธอกลับทำอะไรไม่ได้เลย ตอนนี้เธอจะแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าอี้อวิ๋นฉังจะทำอะไรได้บ้าง
ตอนนี้เรื่องเร่งด่วนที่สุดคือทำให้อี้อวิ๋นฉังหลงคิดว่าเธอเป็นคนอ่อนแอไร้ทางสู้ ที่สิ้นหวังคนหนึ่ง เช่นนี้อี้อวิ๋นฉังก็จะลดความระวังตัวลง ถ้าอี้อวิ๋นฉังประมาท เธอจึงจะมีหวังหนีออกไปได้ ไม่อย่างนั้นคงต้องถูกขังอยู่ที่นี่ตลอดไป ถ้าเป็นแบบนั้นเธอเองก็ไม่อยากคิดเหมือนกัน
“หลินหว่าน พักนี้เธออยู่นี่สบายดีไหมล่ะ? แต่ที่แบบนี้ก็เหมาะกับเธอดีนี่ เธอก็อยู่ที่นี่ไปทั้งชาติก็แล้วกันนะ ไม่ต้องออกไปอีกแล้ว!” อี้อวิ๋นฉังพูดเสียงดุดัน เธอมีใบหน้าราวกับนางฟ้า แต่ใจกลับเหมือนเป็นอสรพิษที่อัปลักษณ์จนผู้คนไม่กล้ามอง
“เธอต้องการอะไรกันแน่? เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก็เพราะเธอ เธอยังจะทำผิดบาปไปถึงไหนกัน?” หลินหว่านโกรธจัด เธอลุกขึ้นยืน ตะโกนใส่หน้าอี้อวิ๋นฉัง เธอเป็นแบบนี้ล้วนเป็นเพราะอี้อวิ๋นฉัง ทั้งหมดเป็นเพราะอี้อวิ๋นฉังใส่ร้ายเธอ
อี้อวิ๋นฉังเห็นหลินหว่านเป็นเช่นนี้ก็ประหลาดใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เธอจะฟื้นความทรงจำแล้ว ทำให้อี้อวิ๋นฉังระวังตัวขึ้นมาทันที แต่พอมาคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร ตอนนี้เธอเป็นนักโทษในเงื้อมมือเธอแล้ว อี้อวิ๋นฉังไม่กลัวว่าเธอจะทำอะไรได้อีก
ดังนั้นอี้อวิ๋นฉังยังมีสีหน้าผ่อนคลายสบายใจ เธอไพล่มือไปด้านหลังแล้วหันหลังกลับ พูดกับตัวเองถึงแผนการใหญ่ของเธอ ความทะเยอทะยานของเธอกับความสำเร็จของเธอในระหว่างนี้ ดูเหมือนเธอจะพอใจมากกับทุกอย่างที่เธอมี พูดพล่ามไม่หยุดราวกับที่นี่มีตัวเธออยู่เพียงลำพัง
ขณะที่อี้อวิ๋นฉังพูดนั้นไม่ได้สนใจเลยว่าหลินหว่านจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร เธอจมอยู่กับโลกของตัวเอง
แต่ในตอนนี้หลินหว่านกลับรู้สึกว่าเธอมีความหวังแล้ว เธอแอบคว้าท่อนไม้ที่ด้านข้างไว้แน่น ใช่แล้ว เธอคิดจะลอบทำร้ายอี้อวิ๋นฉัง นี่เป็นโอกาสเดียวของเธอแล้ว ถ้าเธอไม่คว้าไว้ ก็จะเป็นเหมือนที่อี้อวิ๋นฉังพูด เธอจะไม่ได้ออกไปอีกตลอดกาล
ดังนั้นเธอจึงขยับเข้าหาอี้อวิ๋นฉังอย่างช้าๆ ไร้เสียงฝีเท้า แล้วก็…เธอใช้ท่อนไม้ฟาดจนอี้อวิ๋นฉังสลบไป!
อี้อวิ๋นฉังหมดสติล้มลงบนพื้น หลินหว่านเห็นอี้อวิ๋นฉังเป็นแบบนี้ก็พอใจมาก เธอโยนท่อนไม้ทิ้งลงกับพื้น ตอนนี้ต้องรีบฉวยโอกาสหนี ถ้าให้เธอตื่นขึ้นมา คิดจะหนีก็คงไม่ทันแล้ว แต่ตอนที่เธอจะไปนั้น เธอได้หันกลับไปหยิบกุญแจรถของอี้อวิ๋ฉังด้วย
ที่นี่รกร้างห่างไกลผู้คนคงไม่มีรถรับจ้างผ่านมาแน่ แล้วเธอก็ไม่มีเงินด้วย ก่อนหน้านี้ตอนถูกจับตัวมาที่นี่ก็ฉุกละหุกมาก เธอยังไม่รู้สถานการณ์ว่าเป็นอย่างไรแน่ เธออยู่ที่นี่มาระยะหนึ่งแล้ว ก็ไม่รู้ว่าด้านนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
หลินหว่านขับรถมุ่งหน้าไปทางบริษัทของเซียวจิ่งสือ ตอนนี้เรื่องแรกที่เธอต้องทำคือไปหาเซียวจิ่งสือ จากนั้นบอกกับเขาว่าเธอได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้ว ระหว่างนี้เธอลำบากมากเกินไปทั้งๆ ที่เซียวจิ่งสืออยู่ต่อหน้าเธอ แต่เธอกลับสูญเสียความทรงจำ พูดว่าไม่รู้จักเขา
แต่เธอเชื่อว่าเซียวจิ่งสือเองก็ทุกข์ทรมานเช่นเดียวกัน ตอนนี้เธอรู้สึกผิดอย่างมาก รู้สึกว่าตัวเองทำผิดต่อเซียวจิ่งสือ เธอหายตัวไปแบบนี้ เชื่อว่าเซียวจิ่งสือคงออกค้นหาตัวเธอตลอด ไม่รู้ว่าเขาจะได้ทานข้าว เข้านอนตามเวลาหรือเปล่าสิ พอนึกถึงตรงนี้ สายตาเธอก็มัวลงไปทันควัน หลินหว่านน้ำตาไหลพราก เธอทั้งเป็นทุกข์และเศร้าเสียใจมาก
เธอเหยียบคันเร่งอย่างแรง นาทีนี้เธออยากจะได้พบกับเซียวจิ่งสือเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้น อย่างเร็ว หลินหว่านก็มาถึงบริษัทของเซียวจิ่งสือ เธอจอดรถไว้ที่ตึกด้านล่างของบริษัท ส่วนตัวเองก็รีบวิ่งขึ้นตึกไป
หลินหว่านมาถึงชั้นที่เป็นห้องทำงานของเซียวจิ่งสือ ขณะที่เธอยังไม่ทันได้เข้าห้องทำงานไปนั้นก็ถูกเลขารั้งตัวไว้
“คุณคะ คุณเข้าไปไม่ได้นะคะ ตอนนี้คุณเซียวหายตัวไป พวกเราก็กำลังตามหาตัวเขาอยู่เหมือนกัน” เลขาพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เห็นได้ชัดว่าเจ้านายของพวกเธอไม่อยู่ และพวกเธอที่เป็นพนักงานทั้งหลายก็ปวดหัวมากเช่นกัน
“หายตัวไป? เขาจะไปที่ไหนพวกคุณไม่รู้หรือคะ? เขาหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” คราวนี้หลินหว่านร้อนใจขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
ตอนที่ 255 ช่วยเหลือ
ความนึกคิดแรกของเธอก็คือเซียวจิ่งสือเกิดเรื่องแล้ว เธออุตส่าห์ได้โอกาสนี้มาอย่างลำบาก แต่เซียวจิ่งสือกลับไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนเสียนี่
“เรื่องนี้พวกเราก็ไม่ทราบเหมือนกัน เอาอย่างนี้นะคะ ถ้าพวกเราพบตัวเขาเมื่อไร เราจะแจ้งให้คุณทราบนะคะ” เลขาขมวดคิ้วพูดพลางหยิบกระดาษมาแผ่นหนึ่ง กับปากกายื่นให้หลินหว่านเขียนเบอร์โทรศัพท์ลงไป หลินหว่านเห็นว่าเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีหนทางอื่นอีก จึงได้แต่เขียนหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเองลงไป
ตอนนี้เธอไม่รู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไรดี เธอรู้ว่าเซียวจิ่งสือคงต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่
แต่ตอนนี้ในหัวสมองของเธอกลับปรากฏชื่อของเหลยลี่โผล่ขึ้นมา! เธอเชื่อใจคนคนนี้มาก และในเวลานี้คนที่น่าจะช่วยเธอได้ ก็คือเหลยลี่ และก็คงจะมีแต่เขาที่สามารถช่วยได้แล้ว คนอื่นไม่น่าจะได้
หลินหว่านคิดแล้วต้องทำ เธอจึงรีบลงจากตึก ขับรถบึ่งไปทางที่เหลยลี่อยู่ ตอนนี้ทุกเวลานาทีมีค่ามาก เธอก็ไม่อยากเสียเปล่าซะด้วย เพียงไม่นาน เธอก็ขับรถมาถึงบ้านของเหลยลี่ บ้านของเหลยลี่หลังใหญ่มาก ต้องเดินเป็นเวลานานจึงจะเข้าไปถึงด้านใน
คนรับใช้ของบ้านเขาให้การต้อนรับหลินหว่านอย่างดี แต่หลินหว่านไม่มีกะจิตกะใจจะรับน้ำใจในตอนนี้ ในหัวเธอมีแต่เรื่องของเซียวจิ่งสือ คนรับใช้พอไปรายงานเหลยลี่แล้วก็ปล่อยให้หลินหว่านผ่านเข้าไป
คนรับใช้พาหลินหว่านมาที่ห้องหนังสือของเหลยลี่ หลินหว่านเดินเข้าไป เห็นเหลยลี่หันหลังให้เธอ และมองออกไปนอกหน้าต่าง
“เหลยลี่! ฉันเองค่ะ!” หลินหว่านทักกับเหลยลี่อย่างตื่นเต้น พวกเขาไม่ได้พบกันมานานแล้ว ไม่รู้ว่าจะเหินห่างกันไปหรือเปล่า แต่เห็นได้ชัดว่าเธอคิดมากไปเอง เหลยลี่ไม่ได้ทำตัวเหินห่างกับหลินหว่านเลยแม้แต่น้อย
“ในที่สุดเธอก็มาซะที พักนี้ทำไมจู่ๆ เธอก็หายตัวไปล่ะ!” เหลยลี่หันขวับกลับมา พอเห็นหลินหว่านเข้าก็แปลกใจมาก ตั้งแต่เขาเห็นว่าเป็นหลินหว่าน ดวงตาของเขาก็เป็นประกายวาววับตลอดเวลา
“พักนี้ฉันเกิดเรื่องมากมาย คราวที่แล้วพวกคุณหาตัวฉันไม่เจอ เพราะว่าฉันถูกคนอื่นจับตัวไป สถานที่นั้นเร้นลับมาก วันนี้ฉันโชคดี เพิ่งจะหนีออกมาได้ ไม่อย่างนั้นต่อไปฉันก็ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสเห็นหน้าคุณอีกหรือเปล่า” หลินหว่านบอกเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเธอให้เหลยลี่ฟัง
ตอนที่เธอเล่านั้นขอบตาค่อยๆ แดงก่ำขึ้น สายตาเปลี่ยนเป็นพร่าเลือน แต่เธอยังสะกดกลั้นไว้ ถึงแม้เธอจะได้รับความลำบาก แต่เธอยังเผชิญหน้ากับสถานการณ์อย่างเข้มแข็ง เสียงที่เธอพูดกลายเป็นเสียงกลั้นสะอื้นอยู่บ้าง
เหลยลี่เห็นสภาพแบบนี้ของหลินหว่านก็สงสารเธอมาก รีบให้หลินหว่านนั่งลง แล้วให้สาวใช้ชงกาแฟมาให้เธอดื่ม สภาพหลินหว่านในตอนนี้ดูไม่จืดเลยจริงๆ สีหน้าซีดขาว เหมือนกับระยะนี้เธอผ่านช่วงเวลาที่ย่ำแย่เอามากๆ มา
เหลยลี่ถึงกับบ่นโวยวายแทนเธอว่า ทำไมเด็กสาวตรงหน้านี้จึงต้องเจอกับเรื่องอยุติธรรมมากมายขนาดนี้ด้วย? คนที่ให้ร้ายหลินหว่านนั่นก็ชั่วร้ายเกินไปแล้ว
“ตอนนี้ฉันหาตัวเซียวจิ่งสือไม่พบ แล้วก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คุณจะช่วยฉันหน่อยได้ไหม?” หลินหว่านใช้สายตาเว้าวอนชวนสงสารมองดูเหลยลี่ ตอนนี้คนเดียวที่สามารถช่วยเธอได้ก็มีแต่เหลยลี่แล้ว เธอเองก็มาหาเขาด้วยความจำเป็นเช่นกัน
“ได้เลย เธอไม่ต้องร้องไห้อีกแล้ว ฉันจะหาวิธีช่วยเธอเอง” เหลยลี่รับปาก
ถึงตอนนี้จะมากจะน้อยเหลยลี่ก็พอเข้าใจอยู่บ้าง เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเดียวกับเซียวจิ่งสือ และพวกเขาทั้งสองยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัทอีกด้วย ซึ่งผลประโยชน์ที่ได้นั้นเขาน่าจะเข้าใจได้เป็นอย่างดี ระยะนี้บริษัทเกิดความปั่นป่วนด้วยเรื่องเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการเปลี่ยนตัวทายาทผู้รับช่วงกิจการ ซึ่งก็ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินแล้ว ดังนั้นพอได้ยินหลินหว่านพูดเช่นนี้เขาก็เข้าใจได้ทันที
เหลยลี่ทำตามที่รับปากไว้ เขารีบเรียกประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท
“เรื่องที่บริษัทคิดจะเปลี่ยนผู้รับสืบทอดกิจการในครั้งนี้ ผมขอคัดค้าน” ภายในห้องประชุมเหลยลี่เสนอแนวคิดของเขาต่อบรรดาผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทุกคน
“แต่พวกเราผู้ถือหุ้นรายย่อยทุกคนได้ตัดสินใจแล้ว ต่อให้คุณไม่เต็มใจอย่างไรก็เสียงข้างน้อยย่อมต้องรับฟังเสียงข้างมากกระมัง นี่คือความจริงที่ทุกคนต่างก็เห็นด้วยแล้ว” พวกผู้ถือหุ้นฟังคำพูดของเขาแล้ว ต่างพากันแสดงความไม่พอใจกันขึ้นมาอย่างแรง
“คุณลองคิดดูสิตอนนี้บริษัทนี่ ผมเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด อำนาจการตัดสินใจสุดท้ายก็อยู่ในมือผมอยู่ดี ผมหวังว่าพวกคุณจะเข้าใจเหตุผลข้อนี้ด้วย” เหลยลี่พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว เรื่องที่เขาตัดสินใจแล้ว จะไม่ยอมให้ใครอื่นมาขัดขวางเขาได้ นอกจากนี้แล้วตัวเขาเองยังรู้ดีอีกด้วยว่ากำลังทำอะไรอยู่
บรรดาผู้ถือหุ้นที่ด้านล่างพอฟังว่าเขาพูดเช่นนี้ก็ยิ่งถกเถียงกันไม่เลิก พวกเขาลองมาสงบใจคิดดู พวกเขา (เธอ) ไม่มีความสามารถที่จะคัดง้างกับเหลยลี่ได้จริงๆ ในเมื่อเขาเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่ทุกคนต่างก็รู้กันดีอยู่
ต่อมาพวกเขาก็ไม่ได้คัดค้านต่อไปอีก แต่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเหลยลี่ พวกเขาได้แต่ก้มหน้ายอมรับมัน ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งหมดจึงเป็นไปตามที่เหลยลี่ต้องการ
เรื่องนี้พอเล่าลือกันออกไป ก็ถึงหูอันจี๋ถิง พอได้ฟังข่าวนี้แล้ว เธอรู้สึกตกใจมาก เธอไม่เข้าใจการกระทำของเหลยลี่ เมื่อก่อนเธอไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับหลินหว่านนั่น ในความคิดของเธอแล้ว หลินหว่านก็เป็นแค่ผู้หญิงจอมปลอมคนหนึ่ง จนอาจพูดได้ว่า ในสายตาของเธอแล้ว หลินหว่านก็คือผู้หญิงฉาบฉวยที่เห็นแก่เงินทองคนหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้นอันจี๋ถิงจึงนัดเหลยลี่ออกมาพบกันตามลำพัง มีคำถามมากมายที่เธออยากจะถามเขา เพราะเธอคิดมานานมากแล้ว มีบางเรื่องที่ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
ทั้งสองนั่งอยู่ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
“ลมอะไรพัดคุณมานี่ได้นะ? ทำไมอยู่ดีๆ ก็นัดผมออกมาแบบนี้ครับ” เหลยลี่เห็นอันจี๋ถิงก็พูดยิ้มๆ เขารู้ว่าจู่ๆ เธอก็นัดเขาออกมา ต้องมีเรื่องอะไรแน่ ถึงยังไงถ้าไม่มีลมก็ไม่มีคลื่น
“มีเรื่องหนึ่งที่ฉันข้องใจมาก” อันจี๋ถิงพูดไปตรงๆ เธอพูดอย่างเปิดอกไม่มีการอ้อมค้อมล้อมภูเขา
“คุณมีอะไรไม่เข้าใจ ก็ถามมาได้เลยครับ ระหว่างเราไม่มีอะไรต้องปิดบัง” เหลยลี่พูด
“ฉันรู้ว่าเรื่องคราวนี้มีคนขอความช่วยเหลือจากคุณ แต่คนคนนี้กลับเป็นผู้หญิงที่ฉันไม่ค่อยจะถูกชะตาคนหนึ่ง เธอคิดจะสวมรอยทำเป็นลูกสาวของฉันอยู่หลายครั้ง ทำไมคุณถึงได้ช่วยคนอย่างเธอนะ? นี่ล่ะที่ฉันคิดไม่ตก” อันจี๋ถิงพูดด้วยสีหน้าสงสัยอย่างแรง
เหลยลี่ฟังคำพูดเธอแล้วก็นิ่งอึ้งไป เขาใช้สายตาประหลาดใจมองดูอันจี๋ถิง เข้าใจว่าเมื่อครู่ตัวเองฟังผิดไป เหมือนกับว่าตั้งแต่เกิดมาเพิ่งจะได้ยินเรื่องน่าหัวเราะที่สุดอย่างนั้น
ตอนที่ 256 โน้มน้าว
เหลยลี่ได้ฟังคำของอันจี๋ถิงแล้ว แต่ไม่รีบร้อนอธิบาย
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในโลกนี้ยังมีแม่ที่จำลูกตัวเองไม่ได้
ต่อให้หน้าตาเปลี่ยนไปบ้าง แต่นิสัยความเคยชินและการพูดจาไม่มีทางเปลี่ยนกันได้
แม่เป็นคนที่ใกล้ชิดลูกที่สุด จะหลงลืม ไม่เข้าใจไปได้ยังไงกันนะ
อันจี๋ถิงเห็นเหลยลี่เป็นเช่นนี้ก็ตั้งป้อมเข้าใจว่าเขาคงพูดมั่วไปอย่างนั้นเอง
ถึงกับคิดอยากจะเห็นเขาขายหน้าผู้คน เธอยกถ้วยขึ้นด้วยทีท่าสง่างาม จิบกาแฟคำหนึ่ง
กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ดีมาก ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง รสขมฝาดเข้ามาในปาก ทำให้รู้สึกถึงความสุขสบายเหลือล้น เหลยลี่ก็ดื่มกาแฟตามไปด้วยคำหนึ่ง
จากนั้นก็หันมาทำหน้าเครียดกับอันจี๋ถิง อันจี๋ถิงยังทำท่าไม่สนใจเขา
เหลยลี่โมโหกรุ่นขึ้นมาบ้าง เขาวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะอย่างแรง เพื่อดึงความสนใจจากอันจี๋ถิง อันจี๋ถิงเลิกคิ้วขึ้นตวัดสายตามาที่ใบหน้าของเหลยลี่อย่างไม่ชอบใจนัก
เหลยลี่ก็ไม่เปิดศึกสงครามจิตวิทยากับเธออีก เอ่ยปากออกมาตรงๆ ว่า “คุณรู้สึกว่าลูกสาวที่อยู่ด้วยตอนนี้เป็นตัวจริงงั้นรึ?”
อันจี๋ถิงดึงสติจากความคิดของตัวเองออกมา เธอเงยหน้าขึ้นมองเหลยลี่อย่างสำรวจ
ตอนนี้มาพูดเรื่องลูกสาวของเธอ เขาคิดอะไรอยู่กันแน่ สังคมสมัยนี้แต่ละคนต่างก็มีวิธีการของตัวเอง และต่างเก็บซ่อนความต้องการส่วนลึกเอาไว้ในใจ
อย่าว่าแต่พวกเขาที่อยู่ในสังคมชั้นสูง ถ้าหากไม่มีลู่ทางอยู่บ้างคงยากที่จะอยู่มาได้จนถึงบัดนี้
แต่ละคนต่างก็ผ่านเตาหลอมของสังคม ผ่านกระบวนการคัดเลือกกันมาแล้ว สุดท้ายเหลือเพียงพวกหนังเหนียวเคี้ยวยากไว้…ท้าชิงกัน
ยศศักดิ์เงินทองอยู่ที่การทำตัว ส่วนชะตาเป็นตายนั้นอยู่ที่ฟ้าลิขิต ผลสุดท้ายก็ต้องดูที่เวรกรรมที่ทำไว้ของแต่ละคนแล้ว
และระหว่างที่ทำกรรมนี้เอง พวกเขาก็จำต้องใช้หลุมพรางไปดักล่อคนอื่น ต้องใช้แผนอุบายมาป้องกันกันตัวเองจากการตกหลุมพรางคนอื่น
ดังนั้นคนพวกนี้จึงใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับหลุมพรางกับดักวางแผนการไม่หยุด อันจี๋ถิงเห็นด้วยกับคำถามของเหลยลี่อยู่ในใจ แต่ต่อให้ตอนนี้เธอจะมีข้อสงสัยมากมายแค่ไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอก เธอก็ไม่กล้าพูดความในใจที่แท้จริงของตัวเองออกมาหรอก
ด้วยกลัวว่าจะมีคนคิดร้าย ฉวยโอกาสนี้ทำให้ตัวเองถึงตายได้ เหลยลี่พูดยิ้มๆ กับอันจี๋ถิงว่าเธอไม่ได้พูดความในใจของตัวเองออกมา
อันจี๋ถิงกลับปฏิเสธไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า อันที่จริงเหลยลี่ก็ไม่กล้าแน่ใจว่าอันจี๋ถิงสงสัยอี้อวิ๋นฉังที่อยู่ข้างตัวเธอหรือไม่
ตอนนี้เขาใช้ยุทธวิธีแกล้งยอมอ่อนข้อให้ โดยคิดใช้คำพูดของตัวเองมาสะกิดให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยขึ้น
จากนั้นจับสังเกตดูพิรุธที่เกิดขึ้น อันจี๋ถิงจะยังไงก็ถือกำเนิดจากครอบครัวใหญ่ ย่อมจะยอมรับฟังหลักเหตุผลได้ง่าย คนที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนจะคล้อยตามคำพูดเล่าลือพวกนี้จนไร้สติคิดตรองได้ยังไง
อันจี๋ถิงท่าทางมั่นคงประดุจขุนเขา ทำให้เหลยลี่นั่งไม่ติดที่อยู่บ้าง
เขาถามต่อว่า “คุณดูไม่ออกหรือว่ามีอะไรผิดปกติ?” อันจี๋ถิงยังทำท่าว่ามั่นใจไม่หวั่นไหว บอกว่าเธอไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย เพราะอี้อวิ๋นฉังเป็นลูกสาวของเธอ
เหลยลี่โต้แย้งเธออย่างโมโหอยู่บ้างว่า “คนเป็นแม่ทำไมไม่รู้จักเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง ต่อให้หน้าตาเปลี่ยนไป นิสัยใจคอ ท่าทางคำพูดคำจาก็ไม่เปลี่ยนไปนี่นา”
อันจี๋ถิงตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่าก็อย่างนั้นนะสิ เธอเป็นลูกสาวของตัวเองจริงๆ เหลยลี่เองก็หมดแรงจะอธิบายแล้ว
แต่พอนึกถึงหลินหว่านที่มาขอร้องเขาอย่างน่าสงสารแล้ว เขายังคิดจะพูดจาโน้มน้าวอันจี๋ถิงอีกหน่อย หรือจะหาวิธีแก้ไขมาสักทาง ให้ทั้งสองฝ่ายได้มาสงบสติอารมณ์คุยกันดีๆ
ดูเหมือนว่าประสบการณ์ของเหลยลี่คงยังอ่อนหัดไปบ้าง เมื่อเทียบกับอันจี๋ถิง เหลยลี่ก็เหมือนเป็นแค่มดเล็กๆ ตัวหนึ่ง
เหลยลี่ทำท่าเป็นปกติ พูดว่า “คุณอัน ประเทศจีนมีคำกล่าวโบราณว่าไว้ ‘ไร้ลมไม่เกิดคลื่น’ บางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลเสียทีเดียว
เชื่อว่าคุณคงไม่อยากให้ผ่านไปอีกหลายปีแล้วค่อยมาพบว่า ลูกสาวสุดที่รักที่อยู่กับคุณมาตลอดเป็นแค่ตัวปลอม ส่วนลูกสาวสุดที่รักตัวจริงกลับต้องตกระกำลำบากอยู่ข้างนอกนั่นนะ”
อันจี๋ถิงเปลือกนอกดูไปสงบราบเรียบ แต่ในใจนั้นปั่นป่วนเป็นคลื่นมรสุมตั้งแต่แรกแล้ว
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยสงสัย แต่ยังไม่กล้าฟันธงต่างหาก ก็พวกเธอแม่ลูกไม่ได้พบเจอกันมาตั้งหลายปี
นิสัยใจคอ และความเคยชินเล็กๆ น้อยๆ อย่างอื่นก็สามารถเปลี่ยนไปได้เพราะสภาพแวดล้อม
พวกนี้เป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่อันจี๋ถิงก็รู้ดีว่า เหลยลี่เป็นคนตรงมากๆ เขาจะไม่ช่วยคนที่เขาเห็นว่าเป็นฝ่ายผิดอย่างเด็ดขาด
และเหลยลี่ก็ไม่ทำเรื่องที่ไม่มั่นใจว่าจะทำได้ ดังนั้นเรื่องลูกสาวนี้ อันจี๋ถิงเห็นว่าเธอต้องคิดใคร่ครวญจริงๆ ซะแล้ว
ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้มีความสงสัยอยู่สามสิบเปอร์เซ็นต์ ดูจากสภาพตอนนี้แล้ว เพิ่มเป็นห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว สัดส่วนมากขนาดนี้ทำให้รู้สึกกังวลใจขึ้นมาได้
อันจี๋ถิงรู้สึกว่าใจเธอว้าวุ่นปั่นป่วนไปหมด เรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรได้ ถ้าให้อี้อวิ๋นฉังรู้ว่าเธอกำลังสืบเรื่องนี้อยู่ละก็…
คงเกิดผลกระทบที่ไม่อาจวัดได้เลยทีเดียว ถ้าอันจี๋ถิงไม่ใช่ลูกสาวเธอก็ยังพอทำเนา แต่ถ้าผลการตรวจสอบออกมาบอกว่าเธอเป็นลูกสาวตัวเองจริงๆ อย่างนั้นเรื่องนี้คงกระทบใจเธออย่างมาก อันจี๋ถิงจึงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
งั้นสภาพอิหลักอิเหลื่อนี้ควรจะจบลงอย่างไร โอกาสพลิกผันมีสูงเกินไป ทำให้เจ้าของเรื่องไม่กล้าตัดสินใจโดยง่าย เหลยลี่ดูเหมือนจะดูออกว่าอันจี๋ถิงลังเลไม่อาจตัดสินใจได้
จึงไม่ไล่บี้ให้อันจี๋ถิงเป็นคนตัดสินใจ แค่เห็นว่าอันจี๋ถิงเกิดความสงสัย ทุกอย่างก็ไม่ต้องร้อนใจขนาดนั้นแล้ว
เหลยลี่ถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก พิงร่างกับพนักเก้าอี้ด้านหลัง ดื่มกาแฟอย่างสบายใจไร้กังวล
ตอนนี้สภาพของทั้งสองสลับสับเปลี่ยนกันไปแล้ว อันจี๋ถิงเหมือนกับเหลยลี่ตอนเพิ่งเข้าประตูมาเมื่อครู่ เหมือนเป็นมดในกระทะร้อน ตะกายค้นหาไปทั่ว โดยไม่มีคนช่วยเหลือ
เธอยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว เรื่องของลูกสาวนี้ เธอตัดสินใจเร็วเกินไป เห็นได้ชัดว่าตัวเองใช้อารมณ์มากเกินไป
อันจี๋ถิงล้วงเงินจากกระเป๋าอย่างลนลาน วางลงบนโต๊ะอย่างแรง แล้วยืนขึ้นช้าๆ
บอกลาเหลยลี่ เหลยลี่ยังจมอยู่กับคำพูดสั่งสอนเมื่อครู่ของตัวเอง คิดไม่ถึงว่าอันจี๋ถิงจะตื่นเต้นขนาดนี้
นาทีนั้นเหลยลี่ยังไม่ทันได้ตั้งสติ ก็เห็นอันจี๋ถิงหันหลังจากไป เขารีบเร่งฝีเท้าตามไปอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ตามทันอันจี๋ถิงนั้น เธอนั่งนิ่งอยู่บนรถแล้ว เหลยลี่กระหืดกระหอบมาตบประตูรถของอันจี๋ถิง บอกให้เธอไขกระจกรถลงมา
อันจี๋ถิงก็ไม่ได้ปฏิเสธ เธอเลื่อนกระจกหน้าต่างรถลงช้าๆ หน้าเชิดคอแข็งอย่างทระนงตัว ไม่มองเหลยลี่เลยสักแวบเดียว เหลยลี่เห็นแก่ว่าเธอเป็นแม่ของหลินหว่านจึงข่มโทสะในใจตัวเองไว้
พูดกับเธอช้าๆ ว่า “ผมรู้สึกเห็นใจอย่างยิ่งกับการกระทำที่ไร้มารยาทเมื่อครู่ของคุณ แต่ผมยังอยากจะเตือนคุณว่า มีบางเรื่องที่คุณมองเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น ส่วนที่ลึกกว่านั้นคุณคงต้องไปขุดหาเอาเอง” ในที่สุดอันจี๋ถิงก็ปรับสีหน้าท่าทางคอแข็งเริ่ดเชิดหยิ่งของเธอลง หันมามองเหลยลี่ เห็นเหลยลี่มีสีหน้าจริงจัง อันจี๋ถิงก็ไม่คอแข็งนักแล้ว
ตอนที่ 257 แม่ลูกพบกัน
หลังจากอันจี๋ถิงกล่าวขอบคุณเหลยลี่แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แค่บอกว่าตัวเองต้องการสงบจิตใจตามลำพังสักครู่ หวังว่าเหลยลี่จะไม่รบกวนเธอ
เหลยลี่ก็เห็นใจอันจี๋ถิงมาก จึงไม่ได้ตามตื้อพัวพันเธออีก แต่พอคิดว่าตอนนี้หลินหว่านคงกำลังร้อนใจอยากรู้ท่าทีของแม่ที่มีต่อเธอ เขาก็ยิ่งอยากให้แม่ลูกได้พบกันซะที
เหลยลี่จึงเอ่ยปากขอร้องเธอต่อไป และบางทีอาจเป็นคำขอจากใจของหลินหว่านด้วยก็ได้ เหลยลี่เสนอให้อันจี๋ถิงพบกับหลินหว่านตัวจริงสักครู่
อันจี๋ถิงขมวดคิ้ว คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบตกลง เหลยลี่มองดูสภาพเหนื่อยใจของอันจี๋ถิงแล้วก็ไม่อยู่พัวพันอีก หันกายจากไป
เหลยลี่แยกจากอันจี๋ถิงแล้ว ก็ยังไม่รีบร้อนจากไป เขาโทรเข้าเบอร์มือถือของหลินหว่าน หลินหว่านรับสายอย่างเร็ว
เหลยลี่ไม่ได้บอกเธอตรงๆ ว่าจะนัดเธอออกมา เพื่อให้แม่ลูกได้พบกัน แต่บอกแค่ว่าเขาต้องการพบเธอ มีคำพูดบางอย่างต้องการพูดกันต่อหน้าให้เข้าใจชัดเจน
หลินหว่านก็ไม่ได้ถามมากความ รับปากว่าจะมาพบ ในตอนนี้เธอกำลังเป็นห่วงว่าเหลยลี่กำลังทำเรื่องเปลี่ยนตัวผู้บริหารของบริษัทอยู่หรือเปล่า
เธอยังเข้าใจว่าเรื่องนี้คงมีอุปสรรคอะไรบางอย่าง ที่จำเป็นต้องให้เหลยลี่มาพูดกับเธอให้แน่ชัด ซึ่งนั่นทำให้หลินหว่านเป็นกังวลและร้อนใจ
หลินหว่านแต่งตัวง่ายๆ แล้วรีบออกจากบ้าน
หลินหว่านเดินอยู่บนถนนใหญ่ท่ามกลางแสงแดดแผดเผาของฤดูร้อน แต่ใจของหลินหว่านร้อนรุ่มยิ่งกว่าพื้นถนนซะอีก ใจกลัดกลุ้มเป็นกังวลทั้งยังนึกปลอบใจตัวเองไปด้วย
ฝ่ายอันจี๋ถิงขับรถออกไปได้ครึ่งทางก็โทรศัพท์หาเหลยลี่ อยากจะรีบนัดหลินหว่านออกมาพบกัน ซึ่งเข้ากับแผนการของเหลยลี่พอดี
เหลยลี่จึงบอกสถานที่นัดพบกับหลินหว่านให้อันจี๋ถิงรู้ บอกเธอว่า หลินหว่านกำลังจะมาถึงแล้ว อันจี๋ถิงนิ่งเงียบไปสามวิแล้ววางสายไป
เธอหาที่กลับรถ เหยียบคันเร่งจนมิด หาเส้นทางลัดที่ใกล้ที่สุด บึ่งออกไปราวกับแข่งรถ
ตอนใกล้ถึงหน้าประตู จู่ๆ อันจี๋ถิงก็ชะลอความเร็วรถ ที่ผ่านมาเธอเป็นผู้หญิงที่ดูสำรวมสุภาพเสมอ อยู่ต่อหน้าคนอื่นจึงไม่อยากให้ตัวเองดูเสียกิริยา
หลินหว่านมาถึงสถานที่นัดหมายก่อนเวลานัดเล็กน้อย เพิ่งลงจากรถก็เห็นเหลยลี่
เหลยลี่ก็ไม่รีบร้อนที่จะบอกหลินหว่าน ว่าอีกสักครู่แม่ของเธอจะมา เขาแค่พาเธอเข้าร้านไปอย่างสุภาพทั้งสองเพิ่งนั่งลง
หลินหว่านก็ซักไซ้คำถามอย่างรอต่อไปไม่ไหว “ทางบริษัทเกิดเรื่องรึเปล่า?” เหลยลี่มองดูหญิงสาวที่ปากไวใจเร็วตรงหน้านี้แล้ว อดหัวเราะออกมาไม่ได้
หลินหว่านรู้สึกตัวทันทีว่าเธอเสียกิริยาแล้ว แต่เธอร้อนใจเกินไปจริงๆ จึงซักถามออกไปอย่างนั้นโดยลืมนึกถึงมารยาท
หลินหว่านรีบขอโทษเหลยลี่ บอกว่าตัวเองร้อนใจเกินไป แล้วแสดงความรู้สึกเสียใจที่เสียมารยาทกับเขา เหลยลี่หัวเราะแล้วบอกว่าเขาไม่ถือสาหรอก แล้วปรายตามองนาฬิกาโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งถูกหลินหว่านสังเกตเห็นเข้า
คราวนี้หลินหว่านกลับไม่รีบร้อนถามอะไรเขาอีก เหลยลี่บอกเธอน้ำเสียงเรื่อยๆ ว่าเรื่องปัญหาในบริษัทแก้ไขไปแล้ว ให้เธอไม่ต้องเป็นกังวลเกินไปนัก
หลินหว่านได้ฟังคำตอบของเหลยลี่ ก็คลายใจที่นึกหวั่นกังวลมาตลอดลงได้ หลินหว่านกล่าวขอบคุณเหลยลี่แล้วพูดต่อไปว่า “ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือคะ คงไม่ใช่แค่เรื่องเดียวกระมัง”
เหลยลี่หัวเราะออกมา อยู่ต่อหน้าเด็กสาวที่น่ารักคนนี้ เหลยลี่ยิ้มได้บ่อยขึ้น เหมือนเธอมีพลังอะไรบางอย่างที่ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นพากันมีความสุขสบายใจ
เหลยลี่ผงกศีรษะ บอกว่ามีเซอร์ไพรส์จะมอบให้เธอ หลินหว่านมองเหลยลี่อย่างสงสัย คิดอยู่นานก็ยังไม่รู้ว่าเหลยลี่จะมอบเซอร์ไพรส์อะไรให้เธอกันแน่
เหลยลี่ถามตรงๆ ว่า “เธอคิดถึงแม่ไหมล่ะ?” หลินหว่านถูกคำถามของเหลยลี่ทำเอาตกใจจนนิ่งไป
เธอคิดไม่ถึงว่าเหลยลี่จะพูดถึงแม่ขึ้นมา สำหรับเธอแล้วแม่เป็นรอยแผลเป็น ความทรงจำของแม่หยุดอยู่ที่ความทรงจำในวัยเด็กเท่านั้น
เธอนึกไม่ออกแล้วว่าหน้าตาของแม่เป็นอย่างไร มีภาพถ่ายเพียงหนึ่งเดียวที่เหลือไว้เป็นที่ระลึก ระลึกถึง…ก็เหลือแค่ความระลึกถึงเท่านั้นเอง
ขณะที่หลินหว่านจมอยู่กับความคิดนั้น เหลยลี่เห็นว่าอันจี๋ถิงจอดรถเสร็จก็ลงจากรถมาด้วยมาดคุณนายผู้สำรวมสุภาพ
พอหันไปมองหลินหว่าน เธอยังจมอยู่กับความคิดเป็นนานจนไม่ทันได้ตั้งสติ เหลยลี่ใช้เสียงกระแอมดึงสติหลินหว่านกลับมาจากความทรงจำเหล่านั้น
หลินหว่านรู้ตัวว่าเสียกิริยาแล้ว ระยะนี้เกิดเรื่องราวมากมายเกินไป ทำให้เธอไม่ทันได้ขบคิดให้เข้าใจ หลินหว่านกล่าวขอโทษเหลยลี่อีกครั้ง เหลยลี่ก็ไม่ได้ถือสาเรื่องพวกนี้ เขาก้มลงพูดกับหลินหว่านว่า “ผมช่วยคุณหาตัวแม่มาได้แล้ว และตอนนี้เธอก็เข้ามาแล้ว”
หลินหว่านเบิกตากว้าง เหมือนกับเหลยลี่กำลังพูดถึงคนอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ หลินหว่านเข้าใจมาตลอดว่าแม่ของเธอไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว จู่ๆ แม่ก็มาปรากฏตัวขึ้น ทำให้หลินหว่านรู้สึกประหลาดใจมาก ยังไม่ทันที่เธอจะตั้งสติได้
อันจี๋ถิงก็มาถึงโต๊ะของพวกเขา เหลยลี่เข้าไปดึงเก้าอี้ให้อันจี๋ถิงนั่ง จัดให้เธอนั่งลงอย่างสบายในที่นั่งตรงข้ามกับหลินหว่าน
หลินหว่านเศร้าใจมาก เธอถามว่า “เธอนี่นะแม่ของฉัน?” เหลยลี่ผงกศีรษะเบาๆ ยืนยันคำถามของหลินหว่าน
หลินหว่านส่ายหน้า เธอพูดอย่างโมโหว่า “พวกคุณมันจอมโกหก หลอกลวง ทำแบบนี้ได้ยังไงกัน คุณไม่ใช่แม่ของฉันซะหน่อย ฉันไม่มีแม่อย่างคุณ ไม่มี” หลินหว่านพูดพลางร้องไห้โฮออกมา
อันจี๋ถิงมองดูท่าทีของหลินหว่านในตอนนี้ รู้สึกปั่นป่วนจนบอกไม่ถูก ชั่ววูบนั้นเธอนึกถึงตอนลูกยังเล็กมีครั้งหนึ่งที่ลูกโกรธเธอ ก็เป็นแบบนี้แหละ (ฉากแม่ลูกพบกันมีปัญหา ก่อนหน้านี้อันจี๋ถิงจับตัวหลินหว่านไปขัง อี้อวิ๋นฉังไปถามจนรู้ที่อยู่หลินหว่าน เอากุญแจห้องขังไปด้วย แต่ถูกหลินหว่านหนีออกมาได้ คนที่อันจี๋ถิงส่งไปจับตาดูอี้อวิ๋นฉังก็หายไป ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้บอกแม่หลินหว่านด้วยว่าเกิดอะไร แต่พอเธอเห็นหลินหว่าน เธอไม่แปลกใจว่าคนที่ถูกจับขังหนีออกมาได้ แล้วลูกสาวที่แท้จริง ของเธอไปอยู่ที่ไหน? – ผู้แปล)
อันจี๋ถิงขอบตาแดงขึ้นอย่างอดไม่ได้ นี่ต่างหากที่เป็นลูกสาวที่แท้จริงของเธอ ลูกสาวคนที่เป็นเด็กดีว่าง่ายเสมอ แค่เธอเอ่ยปากเพียงคำเดียวก็ไม่เคยขัดใจ ไม่เถียงเธอเลยคนนั้น ก็เป็นอย่างที่เขาว่ากระมัง แม่อย่างเธอจำลูกผิดคนไปจริงๆ ขณะที่อยู่ต่อหน้าคนคนนี้ เหมือนเป็นการยืนยันว่าแม่ลูกมีใจเชื่อมโยงกันจริงๆ
ลูกหัวเราะ คนเป็นแม่ก็มีความสุข ลูกร้องไห้ คนเป็นแม่ก็เป็นทุกข์
อันจี๋ถิงมองหลินหว่านที่หลุดแสดงอารมณ์ออกมา เธอกล่าวโทษตัวเองอยู่บ้าง “หว่านเอ๋อร์ หว่านเอ๋อร์ของแม่ แม่ขอโทษ ที่ตอนนี้ค่อยจำลูกได้”
หลินหว่านมองอันจี๋ถิงอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี เธอทั้งดีใจและก็เสียใจ ทำไมไม่มาหาเธอเร็วกว่านี้ ทำไมนะ ทำให้เธอเดินห่างไปจากเส้นทางที่เธอคิดถึงแม่มาตลอด
หลินหว่านยังส่ายหน้าไม่หยุด อันจี๋ถิงคว้ามือเธอไว้อย่างตื่นเต้น พูดว่า “ลูกแม่ ลูกให้อภัยแม่ได้ไหม? อภัยให้แม่นะ” หลินหว่านไม่ได้มองอันจี๋ถิงแม้แต่แวบเดียว เธอลุกขึ้นแล้วออกไปจากร้านอาหาร
ตอนที่ 258 ผิดปกติ
พอกลับมาย้อนคิดถึงคำพูดของเธอกับแม่แล้ว หลินหว่านก็ยิ่งเศร้าเสียใจขึ้นไปอีก คนอื่นเขาต่างก็สามารถสนิทสนมรักใคร่กับแม่ได้ทั้งนั้น ตอนที่คนอื่นเขาผิดหวังเสียใจก็ยังมีแม่ให้เล่าระบายทุกข์ได้ แม่ช่วยปิดบังลมฝนให้เขา
แล้วทำไมมีเพียงเธอที่ทำไม่ได้ ทั้งๆ ที่เธอเองก็มีแม่อยู่ตรงหน้า แต่แม่กลับมองเธอเหมือนเป็นคนแปลกหน้าก็ไม่ปาน เธอนึกยังไงก็นึกไม่ออก และก็ยิ่งไม่อาจให้อภัยแม่ได้
เธอขับรถไปร้านกาแฟที่ตัวเองเคยไปเป็นประจำ หลินหว่านขับรถเปิดเพลงมาตลอดทาง และก็ร้องไห้มาตลอดทาง
แต่แล้วกลับพบว่าคนที่เข้ามาในร้านต่างก็มากันเป็นคู่ เธอหาโต๊ะข้างหน้าต่างที่ไม่สะดุดตา นั่งเงียบๆ ค่อยๆ สงบใจตัวเองลงมาได้ ตอนนั้นเองพนักงานต้อนรับของร้านก็เดินเข้ามา “คุณครับ ไม่ทราบว่าคุณจะดื่มอะไรครับ”
“อะไรก็ได้ค่ะ” ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์จะดื่มอะไรแล้ว แค่อยากจะหาสถานที่สงบสักแห่งทำให้ใจเธอเย็นลงได้เท่านั้น
แต่ยังไม่ทันรอให้กาแฟยกมา หลินหว่านก็เดินออกไปแล้ว
คู่รักที่อยู่ในร้านกาแฟกระทบใจหลินหว่าน เธอรู้สึกว่าอารมณ์ของเธอในตอนนี้ยิ่งไม่มีที่ระบายออก จึงหยิบมือถือขึ้นมา แม้ว่าภายในบันทึกเบอร์โทรติดต่อผู้คนมากมาย แต่เธอพบว่าเธอไม่รู้จะโทรไปหาใคร
อันที่จริงเธอมีเพื่อนสาวอยู่ก็มากมาย ที่จะคอยฟังคำพูดระบายความอัดอั้นในใจเธอก็มีอยู่มาก แต่เธอพบว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่เธอต้องการ หลินหว่านคิดแล้วก็ไปหาเซียวจิ่งสือ
เพราะเธอรู้แก่ใจดีว่า คงมีเพียงเซียวจิ่งสือเท่านั้นที่จะคลายปมในใจของเธอได้ และก็มีเพียงเซียวจิ่งสือที่สามารถทำให้จิตใจที่ร้อนรุ่มกระวนกระวายของเธอกลับกลายเป็นสงบได้
แม้ว่าเมื่อครู่หลินหว่านพูดกับแม่ทำให้ไม่สบายใจมาก แต่พอเธอนึกถึงเซียวจิ่งสือก็เหมือนกับภายในใจมีแรงขับเคลื่อนขึ้นมา
เธอไปหาเซียวจิ่งสือด้วยความยินดี อยากจะให้เซียวจิ่งสือแบ่งเบาความเศร้าเสียใจของเธอ เพราะเธอเชื่อว่าเซียวจิ่งสือจะเข้าใจเธอได้แน่
หลินหว่านขับรถมาถึงบริษัทของเซียวจิ่งสืออย่างรวดเร็ว เลขาของเขาเห็นหลินหว่านมาหา ก็จะพาหลินหว่านเข้าไปด้วยกัน แต่หลินหว่านกระซิบกับเธอว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันเข้าไปเองก็ได้”
หลินหว่านพึมพำกับตัวเองว่า “ต้องให้เขาดีใจได้แน่” มองผ่านกระจกกั้นห้องทำงานก็เห็นว่าเซียวจิ่งสือกำลังมองดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยท่าทางจริงจัง
หลินหว่านผลักประตูเข้าห้องทำงานไป เซียวจิ่งสือพูดโดยไม่เงยหน้าว่า “มีอะไรเหรอ?”
แต่ไม่มีใครตอบ หลินหว่านแกล้งไม่ตอบเพื่อจะให้เขาเซอร์ไพรส์
“เป็นไงบ้างคะ วันนี้ทำงานเหนื่อยมากเลยสิ ดูคุณตั้งใจดูคอมพิวเตอร์ไม่ละสายตาขนาดนี้” หลินหว่านแอบหัวเราะพลางพูดขึ้น
หลินหว่านคิดว่าเซียวจิ่งสือได้ยินเสียงเธอคงต้องดีใจมากแน่เลย คงต้องวิ่งเข้ามากอดเธอไว้แล้วบอกว่าคิดถึงเธอ
แต่เรื่องไม่เป็นอย่างที่เธอคิดไว้ กลับเป็นตรงกันข้าม
“ก็พอใช้ได้กระมัง” พอเขาเห็นว่าคนที่เดินเข้าห้องทำงานมาไม่ใช่เลขา ก็เงยหน้าขึ้น มองดูหลินหว่านที่อยู่ตรงหน้าเขา เซียวจิ่งสือไร้อารมณ์อื่นใด แค่พูดด้วยเสียงราบเรียบมากๆ
เซียวจิ่งสือไม่มีความยินดีที่หลินหว่านมาถึงเลยแม้แต่น้อย หลินหว่านเห็นปฏิกิริยาของเซียวจิ่งสือก็แอบผิดหวังอยู่บ้าง มีงานตั้งมากมาย เธอก็ควรจะเข้าใจเขาบ้าง
หลินหว่านเห็นว่าเขาอาจเหนื่อยเกินไป บริษัทก็ใหญ่ขนาดนี้ งานตั้งมากมายรอให้เขาไปจัดการ ดังนั้นหลินหว่านจึงไม่สนใจมากนัก แค่รู้สึกว่าเขาแปลกไปกว่าปกติอยู่บ้างเท่านั้น
“คุณดูสิฉันเอาอะไรมาให้ทานบ้าง ของชอบของคุณทั้งนั้นเลยนะ” หลินหว่านมาที่ด้านข้างเซียวจิ่งสือ ยังพูดโดยรักษาน้ำใจเหมือนเดิม
“พอเถอะค่ะ ทำงานตั้งนานแล้ว พักผ่อนสักหน่อยเถอะ ดูสิว่าฉันเอาของอร่อยมาให้คุณ?” หลินหว่านถือของมาให้เขาดู จะให้เขาเปิดออก
เซียวจิ่งสือพูดว่า “แต่ว่าตอนเที่ยงผมทานข้าวแล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ นี่แค่อาหารว่างนิดหน่อยเอง ปกติคุณทานได้ตั้งเยอะ ของแค่นี้ทำไมจะทานไม่หมดล่ะ” หลินหว่านยิ้มยั่วเย้าเขา
“ผมยังมีงานอีกหน่อยต้องไปทำ เดี๋ยวจัดการเสร็จแล้วผมค่อยทานก็แล้วกัน คุณวางไว้ก่อนเถอะ” เซียวจิ่งสือพูด
“คุณดูสิ คุณทำงานทีนานขนาดนี้ จะไม่ให้เวลาตัวเองพักสักหน่อยรึไงคะ?” หลินหว่านพูดพลางเดินมาที่ตรงหน้าเขา ดึงเขาลุกขึ้นยืน
“ช่างบ้างานซะจริงเลย ไปกันเถอะ พักผ่อนสักครู่นะคะ” หลินหว่านดึงเขาไปที่โซฟา
หลินหว่านคิดในใจว่า หรือว่าบริษัทเกิดเรื่องทำให้เขาไม่สบายใจ แต่เลขาของเขาก็ยังดูปกติดี ไม่เหมือนบริษัทเกิดเรื่องอะไร แต่ทำไมเธอรู้สึกว่าวันนี้เขาเย็นชาขนาดนี้นะ?
“หรือว่าระยะนี้เครียดเรื่องงานมากไป?” หลินหว่านแข็งใจข่มกลั้นความน้อยใจเอาไว้ เห็นเขาอารมณ์ไม่ดีก็อยู่ที่นี่คอยปลอบใจเขา
“ถ้ามีเรื่องอะไรคุณก็คุยกับฉันได้นะคะ ถึงแม้ว่าเรื่องของบริษัทฉันจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่เก็บเอาไว้ในใจคนเดียวก็จะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพคุณนะคะ เดี๋ยวก็อัดอั้นใจตายหรอก!” หลินหว่านพูดพลางกุมมือเซียวจิ่งสือเอาไว้
“ไม่มีอะไร คุณก็รู้ว่าบริษัทก็มีแค่เรื่องงานพวกนี้ไม่ใช่เหรอ ผมจัดการได้” เซียวจิ่งสือพูดพลางหันกลับมาจับมือหลินหว่านเอาไว้แน่น
“งั้นก็แล้วกันไปเถอะ ถ้าคุณจัดการได้ งั้นเราไปทานอาหารว่างก่อน ในเมื่อคุณไม่อยากพูด ฉันก็จะไม่ถามค่ะ”
“วันนี้ทำไมจึงแปลกจังเลยนะ?” หลินหว่านพึมพำเบาๆ
หลินหว่านพูดพลางดึงมือออกมา หยิบของที่เอามาฝากเซียวจิ่งสือออกมา
“คุณดูสิ ของที่ฉันซื้อมาฝากมีแต่ของที่คุณชอบทานที่สุดเลยนะ ยังไม่ต้องไปคิดเรื่องไม่สบายใจพวกนั้นหรอก มาเถอะ คุณทานนี่ลองดูสิคะ?” หลินหว่านพูดพลางยื่นของถึงมุมปากเขา
“ของหวานวันนี้เป็น…” หลินหว่านยังพูดไม่ทันจบ เซียวจิ่งสือก็ทานเข้าไปคำใหญ่ “อืม รสชาติยังเหมือนเมื่อก่อนเลย อร่อยมากครับ”
“ที่จริงบริษัทไม่มีเรื่องอะไรหรอก เมื่อครู่ผมแค่อยากจะล้อคุณเล่นน่ะ ดูว่าคุณจะเป็นยังไง?” เซียวจิ่งสือพูดพลางขยับนั่งเข้ามาชิดอีกหน่อย
“ทำไมคุณทำแบบนี้ วันนี้ฉันยังมีเรื่องอยากจะพูดกับคุณเชียว” เมื่อก่อนเซียวจิ่งสือไม่เคยล้อเล่นแบบนี้กับเธอเลย
หลินหว่านยังคิดถึงท่าทีเย็นชาเมื่อครู่อยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนไปเร็วนัก?
แต่หลินหว่านเห็นว่าเซียวจิ่งสือทานลงไปแล้วก็เผยอยิ้มออกมา ยังรู้สึกประหลาดอยู่มาก ทั้งๆ ที่วันนี้ของหวานชุดนี้เป็นสินค้าตัวใหม่ของร้าน ถ้าจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเอามาให้เขาลองชิมดู
หลินหว่านนึกดูแล้ว อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เลขาของเขาเคยเอามาให้ชิมแล้วกระมัง ก็เขาชอบไปซื้อที่ร้านนี้เป็นประจำเลย
“ทำไมวันนี้มาบริษัทได้ล่ะ คงไม่ใช่คิดถึงผมมากไปหรอกนะ คนสวยของผม แล้วเมื่อกี้คุณบอกว่ามีเรื่องอะไรหรือ?” เซียวจิ่งสือมองหลินหว่าน ยื่นมือออกไปอีกครั้งจับขาของเธอไว้แน่น
“วันนี้ฉันอยากมาเจอหน้าคุณค่ะ แล้วก็จะมาเล่าเรื่องเมื่อวานนี้ให้คุณฟังด้วย” หลินหว่านพูดอย่างน้อยใจ
“เมื่อวานทำไมเหรอ”
ตอนที่ 259 สืบรู้ความจริง
เซียวจิ่งสือพูดแล้วยิ้ม จากนั้นมืออีกข้างวางลงบนบ่าของหลินหว่าน
หลินหว่านเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เซียวจิ่งสือฟังอย่างละเอียด เซียวจิ่งสือก็คอยปลอบโยนเธออยู่ด้านข้าง
“ไม่ต้องเสียใจแล้ว ไม่มีอะไรหรอก” เซียวจิ่งสือโอบร่างหลินหว่านเข้ามาแล้วพูด
“ฉันคิดขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง อี้อวิ๋นฉังนั่นคุณจะทำโทษเธอยังไงกันแน่คะ?”
“ดูสิเมื่อครู่ยังคิดแต่จะป้อนให้ผมทานของหวานอยู่เลย คุณก็ทานหน่อยนะ” เซียวจิ่งสือหยิบของหวานมาป้อนหลินหว่าน
“ฉันถามคุณอยู่นะ คุณคิดหรือยังกันแน่คะ” หลินหว่านกัดไปคำหนึ่ง
“ไม่ง่ายเลยกว่าพวกเราจะได้อยู่ด้วยกัน คุณก็เอาแต่พูดถึงแต่เรื่องเธอทำไมกันครับ?” เซียวจิ่งสือพูด
“ถึงยังไงก็ต้องหาข้อสรุปออกมาให้ได้ จะปล่อยไปอย่างนี้ง่ายๆ ไม่ได้นะคะ” หลินหว่านพูด
“ยังไงซะผมก็ต้องหาทางจัดการได้อยู่แล้ว คุณก็วางใจเถอะ” เซียวจิ่งสือพูด
“คุณนี่ก็เรื่องอะไรก็คอยแต่จะผลัดไปก่อนอยู่เรื่อย เมื่อก่อนคุณไม่ใช่คนแบบนี้ซะหน่อยนี่คะ” หลินหว่านพูด
“ผมไม่ได้คิดจะผัดผ่อนหรอกนะ เรื่องนี้ผมคิดหาวิธีเอาไว้ตั้งนานแล้ว คุณรอฟังผลจากจัดการเถอะ” เซียวจิ่งสือยิ้มลึกลับ
“ฉันดูคุณในตอนนี้แล้ว สงสัยอยู่บ้าง ถ้าคุณมีวิธีจัดการได้จริง งั้นคุณก็พูดออกมาให้ฉันฟังหน่อยสิคะ” หลินหว่านพูดเสียงจริงจัง
“ทำไมคุณจะมาสงสัยผมเล่าครับ? นิสัยผมคุณก็รู้ไม่ใช่รึไง เรื่องพวกนี้ผมคิดวิธีจัดการเอาไว้แล้วจริงๆ” เซียวจิ่งสือพูด
“งั้นก็ได้ค่ะ รอให้ผลการจัดการต้องบอกฉันทันทีนะคะ ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคุณจะจัดการอย่างไร?” หลินหว่านพูดออดอ้อน
“ได้ๆๆ จะบอกคุณทันทีเลย” เซียวจิ่งสือหัวเราะ
“เรื่องของคนอื่นพูดไปแล้ว ก็น่าจะคุยเรื่องของเราสองคนกันบ้างนะครับ” เซียวจิ่งสือพูดต่อทันควัน
“เราสองคนยังมีเรื่องต้องคุยกันอีกหรือคะ?” หลินหว่านถาม สีหน้าสงสัย
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว” เซียวจิ่งสือพูดพลางขยับเข้าชิดริมหูหลินหว่าน
“คุณรู้ไหม ผมคิดถึงคุณจะตายอยู่แล้ว” เธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขาที่ข้างหู
“ทำไมแค่ไม่เจอกันไม่นานก็ทำท่าน่าขนลุกขนาดนี้นะ อีกอย่าง เลขายังอยู่ข้างนอกแน่ะ?” หลินหว่านผลักเซียวจิ่งสือออกอย่างไม่สนใจนัก
“อย่างนี้มันน่าขนลุกที่ตรงไหนกัน? เลขาอยู่ข้างนอกแล้วจะทำไม? ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอสักหน่อย พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว ต่อให้ทำอะไรบ้างแล้วจะทำไม?” พูดพลางวางมือลงบนเอวของหลินหว่าน
“ถ้าเรื่องนี้ถูกพนักงานในบริษัทคุณเล่าลือออกไป มันไม่ดีกับภาพลักษณ์ของคุณนะคะ ถึงยังไงคุณก็เป็นผู้บริหาร”
“ผู้บริหารก็มีผู้หญิงบ้างไม่ได้รึไง?” เซียวจิ่งสือพูด
“คุณก็รู้ว่าฉันไม่ได้หมายความอย่างนี้”
“แค่จู่ๆ ทำแบบนี้ฉันไม่เคยชินนะค่ะ แล้วนี่ก็เป็นบริษัทของคุณ ฉันเห็นแก่คุณหรอกนะคะ” หลินหว่านเอามือของเซียวจิ่งสือออกจากร่างของเธอ อันที่จริงอยู่กับคนรักทำแบบนี้ก็พอจะเข้าใจได้
แต่เรื่องนี้พอเกิดกับเซียวจิ่งสือและหลินหว่าน โดยเฉพาะในมุมของหลินหว่านแล้ว เธอรู้สึกได้ถึงความผิดปกตินี้ เนื่องจากนี่ไม่ใช่นิสัยของเซียวจิ่งสือ และเซียวจิ่งสือก็ไม่เคยให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของตัวเองในบริษัทมาก่อน
วันนี้ในห้องทำงานเขาอยากจะทำอย่างอื่นกับหลินหว่านตั้งหลายครั้ง หลินหว่านก็รู้สึกแปลกๆ จึงปฏิเสธไปอย่างนุ่มนวล
ทั้งสองคุยกันสักครู่หนึ่งแล้ว หลินหว่านก็จากไป
พักนี้หลินหว่านมักรู้สึกว่าเซียวจิ่งสือไม่ค่อยปกตินัก จึงมักจะมาเยี่ยมที่บริษัทของเซียวจิ่งสือ
หลายวันมานี้หลินหว่านเริ่มพูดคุยกับเซียวจิ่งสือเรื่องของบริษัท
แต่หลินหว่านกลับค้นพบโดยบังเอิญว่า เซียวจิ่งสือไม่สนใจเรื่องของบริษัทเอาซะเลย
“พวกเราพักผ่อนกันหน่อยดีไหม? ทำไมถึงพูดเรื่องบริษัทขึ้นมาอีกแล้วล่ะ?” เซียวจิ่งสือพูด
“ไม่ได้นะคะ พักนี้คุณไม่ค่อยสนใจงานในบริษัทเลย พูดมาสิคะว่าเป็นอะไรไป เมื่อก่อนคุณไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนี่” หลินหว่านพูดเสียงเข้ม
“คุณอย่าจริงจังไปนักเลย เรื่องของบริษัทผมก็จัดการอยู่แล้ว คุณไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก วางใจเถอะน่า” เซียวจิ่งสือพูดอย่างยิ้มแย้ม
“คุณเปลี่ยนไปรึเปล่านี่ ทำไมหรือคะ ปรึกษากับคุณเรื่องงานบริษัทครู่เดียวคุณก็อารมณ์บูดแล้ว พวกเรายังจะคุยกันได้อีกหรือคะ และนี่ฉันก็หวังดีกับคุณนะ เที่ยวเล่นมากเกินไปนั่นมันเรื่องที่ควรทำตอนยังเป็นเด็ก โตจนป่านนี้แล้วยังอย่างนี้อีก?” หลินหว่านพูด
“ได้ๆๆ ฟังเธอก็ได้แล้ว ดูสิพูดแค่นี้คุณก็โมโหแล้ว” เซียวจิ่งสือพูด
จากนั้นหลินหว่านก็เริ่มคุยกับเซียวจิ่งสือถึงเรื่องอนาคตของบริษัทอีก แต่แล้วหลินหว่านก็ได้เข้าใจว่า เซียวจิ่งสือไม่ใช่ว่าไม่สนใจเรื่องของบริษัท และไม่ใช่เอาแต่นึกอยากจะสนุก แต่เป็นเพราะว่าเขาไม่รู้เรื่องธุรกิจการค้าเลยต่างหาก
นับแต่หลินหว่านค้นพบเรื่องนี้ เธอก็นึกสงสัยขึ้นมา อยู่ดีๆ เซียวจิ่งสือก็ปฏิบัติต่อเธอไม่เหมือนเดิม นั่นยังพอจะเข้าใจได้ แต่ไม่รู้เรื่องงานของบริษัทก่อนหน้านี้เลยนี่สิ
ในฐานะผู้บริหาร ไม่รู้เรื่องการทำธุรกิจนี่เป็นเรื่องยากจะเข้าใจจริงๆ เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย มันทำให้หลินหว่านไม่สงสัยไม่ได้แล้ว
หลินหว่านเริ่มทดสอบเซียวจิ่งสือ เธอไม่เข้าใจเลยว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะอะไร คนเราอยู่ดีๆ ทำไมถึงเหมือนกับสูญเสียความทรงจำไปนะ?
ภายหลังเซียวจิ่งสือถึงกับโยนงานของบริษัททั้งหมดให้อี้อวิ๋นฉังเป็นคนจัดการ หลินหว่านเริ่มตระหนักรู้แล้วว่าเซียวจิ่งสือนี้เป็นตัวปลอม เมื่อเธอเริ่มสงสัยก็อดปวดใจไม่ได้
หวนนึกถึงเรื่องราวในวันนั้น ตอนแรกเธอคุยกับเขาเรื่องของแม่ รู้สึกได้ว่าเขาแค่รับฟังอย่างขอไปที เธอรู้สึกอยู่ว่าเซียวจิ่งสือไม่ได้ช่วยให้เธอคลายทุกข์ลงไปเลย? ตอนนั้นยังคิดว่าบางทีระยะนี้ตัวเองเกิดเรื่องมากเกินไป เธอจึงเครียดมาก ทำให้คิดมากไปเอง จึงไม่ได้สนใจมากนัก
วันนั้นในตอนแรกเธอไม่ได้สนใจการกระทำของเซียวจิ่งสือนัก แต่ตอนนี้พอมาคิดดูโดยละเอียดแล้ว เมื่อก่อนเซียวจิ่งสือไม่เคยมีท่าทีสนิทชิดเชื้อกับเธอในห้องทำงานมาก่อน แล้วเธอก็ปฏิเสธเขาไปหลายครั้ง ยังทำเหมือนไม่รู้ตัวอีกด้วย ทั้งๆ ที่รู้ว่าในตอนนั้นเธอไม่ต้องการให้เขาทำแบบนั้น แต่เขายังเข้ามานัวเนียกับเธอโดยไม่สนใจอะไรเลย
ตอนที่คุยกันเรื่องอี้อวิ๋นฉัง เขาก็คอยแต่จะบ่ายเบี่ยงไปเรื่อย จนตอนนี้กลับเอางานทั้งหมดโยนให้อี้อวิ๋นฉัง หลินหว่านคิดยังไงก็คิดไม่ตกในเรื่องนี้
แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่เซียวจิ่งสือที่เธอชอบคนนั้นแล้ว เขาแค่มีหน้าตาเหมือนกับเซียวจิ่งสือเท่านั้น
หลินหว่านเป็นคนที่ทำทุกอย่างด้วยตัวเองอยู่แล้ว ทั้งยังผ่านประสบการณ์มามากมาย พอเจอเข้ากับเรื่องแบบนี้ก็ยอมรับไปโดยปริยาย
เธอเริ่มพูดคุยเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจได้ หลินหว่านรู้ดีว่าบริษัทไม่สามารถตกอยู่ในมือใครคนใดคนหนึ่งอย่างเด็ดขาด เธอจะไม่ปล่อยให้บริษัทถูกเขาทำลายจนพังพินาศอย่างเด็ดขาด
ดังนั้นเธอจึงวางแผนกับเพื่อนร่วมงานว่าจะโยกย้ายหุ้นทั้งหมดของบริษัทไป และทำโดยที่ไม่ให้เซียวจิ่งสือรู้เรื่อง ไม่นานนัก บริษัทของเซียวจิ่งสือก็กลายเป็นเพียงเปลือกนอกที่ว่างเปล่า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น