ระบบร้านค้าออนไลน์ 252-258
TB:บทที่ 252 ไป่เตียซวน(กำปั้นเหล็กขาว)
“แปลกใจใช่ไหมละ?” เฉินหลงมองไปที่ไป่เตียซวน
“พลังของแกข้ามไปจนถึงระดับ 9 แล้วหรอเนี่ย” ไป่เตียซวนมองฉินหลงอย่างประหลาดใจ
“ใช่ พลังของข้าได้ผ่านมาถึงระดับหลอมรวมธรรมชาติแล้ว มา เอาพลังมาโจมตีใส่กันเถอะ” เฉินหลงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยกับกำปั้นเหล็กที่เขาต้านไว้ได้
เมื่อพลังของเฉินหลงได้เลื่อนขั้นมาถึงหลอมรวมธรรมชาติแล้ว เขาจึงสามารถต่อสู้ได้โดยทที่ไม่ต้องใช้พลังทั้งหมด และตอนนี้คู่ต่อสู้อย่างไป่เตียซวนก็อยู่ตรงหน้า เขาจะไม่ปล่อยให้หนีไปไหนแน่
“อุปกรณ์ที่แกมีมันช่างน่าอัศจรรย์ แกคิดว่ามันยุติธรรมกับข้าแล้วหรอ?” ไป่เตียซวนมองไปที่ไม้เท้าพลังและพูดกับเฉินหลง
ตอนนี้ไป่เตียซวนหมดหนทางแล้ว ตั้งแต่ที่เฉินหลงสามาถหาตัวเขาเจอได้แม้จะใช้เวลาสักพัก แต่นั้นก็พิสูจน์ได้แล้วว่าชายคนนี้มีความสามารถมากพอที่จะหาตัวของเขาพบ ตอนนี้ไป่เตียซวนวิ่งหนีไปไหนไม่ได้แล้ว เขาได้เพียงแต่เผชิญหน้าต่อสู้ แต่ไม้เท้าพลังที่อยู่ในมือของเฉินหลงก็ทำให้เขารู้สึกกลัวมากเช่นเดียวกัน
“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับแก” เฉินหลงยกไม้เท้าพลังขึ้นมาแล้วตีไปที่หัวของไป่เตียซวน
ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ไป่เตียซวนได้โกงใช้พลังของตนรังแกเขา ในตอนนั้นเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องความเป็นธรรมเลย พอมาครั้งนี้ ทำไมไป่เตียซวนถึงมาถามหาความเป็นธรรมให้กับตัวเองตอนนี้ละ
เมื่อเห็นไม้เท้าพลังที่รวมพลังธรรมชาติอยู่ตรงหน้า ไป่เตียซวนก็ไม่กล้าเข้าใกล้เฉินหลง ดังนั้นตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงหลบไปอยู่อีกด้านหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขารีบเอาตัวเองไปหลบอีกด้าน ระเบิดเปลวเพลิงก็ระเบิดขึ้นมาทันทีซึ่งนั้นทำให้ตัวของไป่เตียซวนกระเด็นกลับมาที่เดิม ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงต้องเผชิญหน้าและต้านพลังของเฉินหลงไว้เท่านั้น
เมื่อพลังของเฉินหลงอัพเกรดมาถึงระดับหลอมรวมธรรมชาติแล้ว เขาจึงสามารถสร้างระเบิดไฟขึ้นที่ไหนก็ได้ในระยะ 100 เมตรในทันทีเพียงแค่ใช้ความคิด
หลังจากที่ถูกระเบิดเปลวเพลิงโถมเข้ามาใส่ ไป่เตียซวนทำได้เพียงสวนเฉินหลงกลับไปด้วยหมัดของเขาและนั้นก็เป็นผลทำให้กำปั้นเหล็กที่ซัดออกไปถูกเฉินหลงสวนกลับมาจนทำให้กำปั้นที่มีพลังออกมาเหมือนปราการถึงกับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“มันไม่ยุติธรรมเลย” หลังจากที่กำปั้นเหล็กของไป่เตียซวนถูกทำลาย นั้นก็ทำให้มือของเขาได้รับบาดเจ็บไปด้วย ดังนั้นเขาจึงถอยและคิดที่จะใช้การต่อรองเข้าสู้แทน
“ไม่มีความยุติธรรมบนโลกสำหรับนักรบหรอก มีแค่เพียงแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ตอนที่แกแข็งแกร่งกว่าข้าและไล่ล่าข้า แกเคยคิดถึงเรื่องควายุติธรรมบ้างไหม? เมื่อมันไม่ได้เป็นแบบนั้น งั้นเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงเรื่องความยุติธรรม เข้ามาอีกสิ” เฉินหลงตามไป่เตียซวนไปและยังคงโจมตีไป่เตียซวนต่อด้วยไม้เท้าพลัง
ในเวลาเดียวกัน ระเบิดเปลวเพลิงก็ปรากฏขึ้นมากั้นกำปั้นเหล็กที่สวนมา เวลานี้ไป่เตียซวนถอยหนีไปไหนไม่ได้แล้ว เขาหมดหนทางแล้วเพราะกำปั้นเหล็กของเขาป้องกันได้เพียงการโจมตีด้วยแขนของฝ่ายคู่ต่อสู้เท่านั้น
แขนของเขาเป็นเพียงแค่เนื้อหนังที่ไม่สามารถเปรียบกับเนื้อโลหะได้ ยิ่งไปกว่านั้น ไม้เท้าพลังยังเป็นเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์กึ่งเทพอีกด้วย
หลังจากที่ถูกโจมตีไปสองสามครั้ง ไป่เตียซวนก็เริ่มรู้สึกถึงความพ่ายแพ้จนต้องร้องขอความเมตตา
“ท่านเทพ ท่านเทพ ได้โปรดหยุดโจมตีเถอะ ข้ายอมแพ้แล้ว ข้ายอมแพ้แล้ว”
เฉินหลงยิ้มและพูดว่า “การอ้อนวอนไม่ใช่วิธีที่ดีนักในการต่อสู้ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดกลับไปได้ ดังนั้น ไม่ว่าแกจะร้องขอความเมตตายังไง ข้าก็จะไม่ให้” พูดจบ เฉินหลงก็ใช้ไม้เท้าพลังในมือของเขาโจมตีไปที่ไป่เตียซวนต่อ
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินหลงแล้ว ใจของไป่เตียซวนก็จมอยู่กับความสิ้นหวัง เขาสู้ต่อไม่ไหวแล้วและไม่สามารถหนีไปไหนได้ด้วย มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่เขาเลือกได้ นั้นก็คือความตาย
ในความคิดของไป่เตียซวน เขาคงจะถูกฆ่าด้วยไม้เท้าพลังของเฉินหลง และคิดขึ้นมาได้ว่าท้ายที่สุดแล้วราชาหมีในดินแดนมหัศจรรย์ก็ยังถูกฆ่าโดยเฉินหลง และคงไม่ต้องพูดถึงชาวคุณหลุนที่มีพลังระดับขอบเขตหลอมรวมธรรมชาติเลย พลังของเขาคงจะต่อกรกับคนพวกนี้ไม่ได้เช่นกัน
หลังจากที่ฆ่าไป่เตียซวนแล้ว เฉินหลงก็เหาะกลับมายังทางของภูเขามด เขาไม่ได้ติดต่อกับลูกศิษย์ของเขาเลยมาเป็นเวลาหลายเดือน ตอนนี้คงถึงเวลาที่ต้องไปเยี่ยมกบ้างแล้ว
ในเวลาเดียวกัน เขาก็คิดได้ว่าทางวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็อยากจะให้เขาไปหาไม่ใช่หรือ? งั้นก็ไปดูกันว่าว่าพวกเขาต้องการอะไร?
ส่วนไป่เตียซวนได้ถูกฝังไว้ที่หุบเขาอสรพิษซึ่งการทำแบบนี้ทำให้ นักฆ่าทั้งเจ็ดแห่งคุณหลุนถูกทำลายไปด้วย
หลังจากผ่านไป 10 วัน เฉินหลงก็เดินทางมาถึงเขามด ซึ่งมีชาวคุณหลุนจำนวนมากกำลังขุดแร่เหล็กอยู่ ชาวคุณหลุนเป็นคนที่แข็งแรงและแข็งแกร่ง การขุดแร่เหล็กพวกนี้ พวกเขาจึงสามารถขุดได้อย่างรวดเร็ว
แร่เหล็กจำนวนมากถูกลำลียงไปยังเกวียนทองคำที่จอดอยู่ตรงตีนเขา เมื่อบรรจุจนเต็มคันรถแล้ว เกวียนทองคำก็จะถูกลากไปเมืองใต้ดินโดยมีสัตว์อสูรยาเบลเป็นตัวลากไป
เมื่อเฉินหลงปรากฏตัวขึ้น ณ ภูเขามด ชาวคุณหลุนก็กำลังขุดแร่เหล็กอยู่ก็ต่างพากันมาแสดงความเคารพกับเฉินหลงทีละคน
ความโกลาหลที่เกิดจากชาวคุณหลุนมารวมตัวกันทำความเคารพเฉินหลง ในไม่ช้าก็ทำให้ไป่ไท่ฮางที่อยู่ในเมืองได้ปรากฏตัวขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าอาจารย์กลับมาแล้ว ไป่ไท่ฮางก็เดินเข้าไปหาเฉินหลงและคุกเข่าลงต่อหน้าเขา เขาพูดออกมาอย่างตื่นเต้นว่า “อาจารย์ท่านกลับมาแล้วหรือ?”
“อืม เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลย ข้าพอใจกับผลงาน ลุกขึ้นเถอะ “
ในสามเดือนนี้ ไป่ไท่ฮางได้ฝึกวิชาระฆังทองจนถึงระดับ 11 แล้ว
ไป่ไท่ฮางลุกขึ้นจากนั้นก็พูดกับเฉินหลง
“อาจารย์ ไปคุยกันเรื่องนี้ที่ที่พักของข้ากันเถอะ” พูดจบ ไป่ไท่ฮางก็นำเฉินหลงไปยังแคมป์พักชั่วคราวในหุบเขามด ซึ่งแคมป์พักของที่นี่สร้างจากไม้
หลังจากที่ได้เข้ามาในห้องพักของไป่ไท่ฮางแล้ว เฉินหลงก็ได้ทราบเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่เดือนที่ผ่านมาจากปากของไป่ไท่ฮาง
ข้อมูลที่ว่าก็คือเหมืองแร่เหล็กและถ่านหินของภูเขาแสนลูกถูกค้นพบโดยท่านเทพได้ถูกแพร่กระจายข่าวออกไปทั่วเมืองคุณหลุน ซึ่งชื่อของท่านเทพเฉินหลงก็ถูกแพร่ออกไปด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามมีเพียงท่านเทพเท่านั้นที่รู้วิธีการสำรวจเหมือง
เช่นเดียวกับนักล่าไป่ไท่ฮางที่กำลังนั่งตัวแข็งอยู่ตอนนี้ด้วย เป็นเพราะหลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่เฉินหลงต้องการแล้ว ไป่ไท่ฮางก็รู้แล้วว่าเฮยจุ่ยก็มีความสามารถพอที่จะเข้าไปสำรวจในครั้งนี้เช่นกัน
หลังจากที่เหมืองแร่เหล็กได้ถูกขุดขึ้นมาแล้ว เมืองใหญ่หลายแห่งก็ต่างพากันสนับสนุนมหานครหลวงอย่างเต็มที่ ชาวเมืองหลายคนต่างพารถขนแร่และสัตว์อสูรยาเบลมาที่มหานครหลวงด้วยซึ่งมันทำให้การผลิตแร่เหล็กเพิ่มขึ้นและเป็นไปอย่างรวดเร็ว และยังทำให้ชาวคุณหลุนมีความมั่นใจขึ้นในการรับมือกับการโจมตีของสัตว์อสูรขนาดเล็กที่คอยตระเวนมาเป็นพักๆในช่วงครึ่งปีหลังนี้อีกด้วย
หลังจากที่พูดคุยกับไป่ไท่ฮางมาเป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม ในวันถัดมาเฉินหลงได้ออกเดินทางต่อและถึงเวลาที่เขาจะต้องไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์สักที
หลังจากที่ออกมาจากหุบเขามดแล้ว เฉินหลงก็ติดต่อไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ผ่านหินสื่อสารและได้บอกไปว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน
เฉินหลงรอการตอบกลับไม่เพียงกี่นาที หนึ่งในพวกเขาที่มีพลังระดับเดียวกับเฉินหลง นั้นก็คือ ผู้อาวุโสไป่ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา
เมื่อได้พบกับท่านอาวุโสไป่ เฉินหลงก็นึกถึงตอนที่เขาได้พบกับชาวตะวันตกผิวขาว แต่เฉินหลงก็ได้สลัดความคิดนี้ทิ้งไปทันทีเพราะคงไม่มีชาวตะวันตกบนโลกที่จะมีความสามารถที่จะมาอยู่อาศัยบนดาวเคราะห์แห่งนี้ได้
“เจ้าคือเฉินหลงหรอ? ข้า ไป่หลี่ หนึ่งในสิบสองของผู้อาวุโสแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ มากับข้าสิ” ไป่หลี่ยิ้มให้กับเฉินหลง พูดจบ ไป่หลี่ก็คว้าไปที่แขนเฉินหลงแล้วเหาะขึ้นไปบนฟ้าด้วยกัน
ทันใดนั้น เฉินหลงก็รู้สึกได้ถึงโล่ของพลังงานที่อยู่รอบนอกร่างกาย จากนั้นเขาก็รู้เริ่มสึกว่าเหมือนกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ความเร็ว 100 เท่าของความเร็วเสียง แต่ภาพที่เห็นกลับมันดูช้ามากๆจนทำให้ลืมวันและเวลาไปได้
หลังจาที่ผ่านไปไม่กี่นาที ไป่หลี่ก็หยุดและโล่พลังงานรอบตัวก็กลับเข้าไปที่ร่างเฉินหลง
“ที่นี่หรอ?”
ถึงแม้ว่าภาพข้างหน้าจะไม่มีสิ่งใดปรากฏอยู่ แต่เฉินหลงก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างตรงหน้าเขา
TB:บทที่ 253 พระเจ้าและเจ้าเหนือหัว
เมื่อไป่หลี่เห็นท่าทีของเฉินหลง เขาก็พยักหน้าอย่างพอใจ ตอนที่ชาวคุณหลุนระดับขอบเขตหลอมรวมธรรมชาติมาถึงที่นี่ พวกเขาสัมผัสไม่ได้ถึงการตั้งอยู่ของวิหารศักดิ์สิทธิ์ แต่อย่างไรก็ตาม วันนี้เฉินหลงกลับรู้สึกว่ามันควรค่ากับผู้สืบทอดที่ถูกสร้างโดยท่านเทพ
เพียงโบกมือขึ้น แสงจากประตูที่เป็นทางเข้าก็ค่อยๆปรากฏขึ้น ไป่หลี่หันไปมองเฉินหลงแล้วก็เดินนำต่อ ทางด้านเฉินหลงก็ยืนคิดอยู่ชั่วครู่และจากนั้นก็เดินตามไป
เมื่อผ่านประตูแสงเข้ามาแล้ว เฉินหลงก็มาถึงที่ตั้งของพระราชวังที่มีสไตล์ลักษณะเป็นแบบโบราณ และยังเห็นชาวคุณหลุนเดินปะปนร่วมอยู่ด้วยบ้าง
พูดก็คือไม่ใช่ชาวคุณหลุนทุกคนที่จะสามารถมาวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้ พวกเขาจะต้องมีพลังที่แข็งแกร่งพอเพื่อที่จะเตรียมมาเป็นนักบุญด้วย สองพันกว่าปีที่ผ่านมาที่นี่ไม่มีใครรุกรานเข้ามาได้ แล้วทำไมยังมีคนบางกลุ่มอยู่ที่นี่กันละ เฉินหลงสงสัย
“เฉินหลง มากับข้าสิ” เมื่อเห็นสีหน้าที่งงงวยของเฉินหลง ไป่หลี่จึงหันไปพูดกับเขา
“ท่านอาวุโสไป่ ทำไมถึงมีชาวคุณหลุนบางคนอยู่ที่นี่ได้?” เฉินหลงถามด้วยความสงสัย
“การเตรียมความพร้อมเพื่อที่จะเป็นนักบุญเป็นสิ่งที่ค่อยๆพัฒนาพลังของพวกเขาได้และพวกเขาที่เหลือจะถูกพระเจ้าเรียกตัวให้ไปช่วยเข้าร่วมสงครามศักดิ์สิทธิ์” ไป่หลี่ไม่ได้ปิดบังอะไรกับเฉินหลงเลย
“ศักดิ์สิทธิ์? อะไรคือสงครามศักดิ์สิทธิ์? ” เฉินหลงได้ฟังแล้วก็ยังรู้สึกงง
“พลังของพระเจ้านั้นมีเกินกว่าที่ปราจารย์แห่งดวงดาวจะไปถึงในระดับศิราได้ ถ้าเจ้าอยากที่จะอัพเกรดระดับศิลาของเจ้า เจ้าก็ต้องมีทรัพยากรเยอะหน่อย และสงครามศักดิ์สิทธิ์เป็นที่แย่งชิงกันด้วยทรัพยากร” ในขณะที่กำลังเดินไป ไป่หลี่ก็อธิบายให้เฉินหลงเข้าใจอย่างง่ายๆ ถึงอย่างไรพลังของเฉินหลงตอนนี้ยังอ่อนแอและระดับศิราในระบบก็ยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลสำหรับเขา
“สงครามทรัพยากร?! แต่ชาวคุณหลุนก็ต้องการพลังการต่อสู้ด้วยไม่ใช่หรอ เพื่อที่จะป้องกันพวกกองทัพสัตว์” เฉินหลงมองไป่หลี่อย่างไม่พอใจ
“พวกกองสัตว์ในเมืองคุณหลุนเป็นแค่เรื่องเล็ก สงครามการแย่งชิงทรัพยากรต่างหากถึงจะเป็นเรื่องใหญ่” ไป่หลี่ตอบเลี่ยงๆ
“นอกจากนี้ เจ้าก็ยังคงอยู่ที่นี่ในตอนนี้ และหมายถึงว่าเจ้าเป็นผู้สืบทอดที่ถูกกำหนดโดยพระเจ้า เจ้าจะต้องเข้ามาช่วยเหลือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเมืองคุณหลุน ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังทำเรื่องพวกหาแร่เหล็กและเหมืองถ่านหินได้ดีนี่ ” พูดจบ ไป่หลี่ก็มองเฉินหลงอย่างชื่นชม
“ผู้สืบทอด? ข้าไปเป็นผู้สืบทอดของพระเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ” เมื่อได้ยินคำพูดของไป่หลี่ เฉินหลงก็มองไปที่ไป่หลี่อย่างหมดคำจะพูด
“ตั้งแต่ที่เจ้ามาถึงเมืองคุณหลุน เจ้าก็กลายเป็นผู้สืบทอดของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว” ไป่หลี่หันไปมองเฉินหลง
คำพูดของไป่หลี่ทำให้เฉินหลงถึงกับขมวดคิ้ว
“ฟังจากคำพูดของท่านอาวุโสไป่แล้ว ข้ามาที่นี่ได้ก็เพราะพระเจ้าเป็นคนจัดสรรหรอกหรอ?”
ไป่หลี่พูดด้วยรอยยิ้มว่า
“ไม่มีใครสามารถจัดสรรโชคตะตาของตัวเองได้หรอก เราทุกคนต่างเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆตามเส้นทางของโชคชะตา ปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์สัมผัสและเห็นอย่างรางๆ เพียงว่าเจ้าจะมายังเมืองคุณหลุนในอนาคต และนั้นก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเจ้าถึงกลายมาเป็นผู้สืบทอด” เมื่อได้ยินไป่หลี่พูดดังนั้น เฉินหลงก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรต่อ
เมื่อเห็นว่าเฉินหลงไม่พูดอะไร ไป่หลี่ก็จบบทสนาลงและนำเฉินหลงไปยังตำหนักที่ใหญ่ที่สุดของทุกตำหนัก
ในขณะที่ไป่หลี่กำลังเดินเข้าไปในตำหนัก เฉินหลงก็เห็นท่านอาวุโสทั้งสิบเอ็ดคนกำลังยืนอยู่ในตำหนักและดูเหมือนจะมีระดับพลังเดียวกับเขา ในหมู่พวกเขา ท่านอาวุโสที่มีผิวกายสีเหลืองเป็นที่สะดุดมากที่สุด
“เฉินหลง ข้าเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของเหล่าผู้อาวุโสทั้งสิบสองของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ข้ามีชื่อว่า หวงเหริน ” ท่านอาวุโสผู้ที่มีผิวกายสีเหลืองยิ้มให้กับเฉินหลง
“ไป่อี้”
“ไป่จื่อ”
“ไป่ซิ่น”
“ไป่เหลียง”
“เฮยจง”
“เฮยเซี่ยว”
“เฮยก่าน”
“เฮยกง”
“เฮยเหลียน “
“เฮยหรั่ง”
หลังจากที่ได้ยินการแนะนำตัวของพวกเขาทั้งสิบเอ็ดคนแล้ว เฉินหลงก็มองไปที่หวงเหรินอย่างอยากรู้ คนอื่นๆต่างใช้นามสกุลไม่เฮยก็ไป่ แต่ทำไมเขาถึงใช้นามสกุลหวงอยู่คนเดียวละ
“เฉินหลง พระเจ้าก็มาจากเผ่าพันธุ์เดียวกับเจ้า และเขาก็ใช้นามสกุลหวง ผู้อาวุโสทั้งสิบสองคนก็ต่างได้พลังและทักษะมาจากพระเจ้าเหมือนกัน หลังจากที่ผ่านการฝึกแล้ว ผิวกายจะแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและนามสกุลทั้งไป่และเฮยก็จะสามารถเปลี่ยนเป็นหวงได้ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ทำไมพวกเขาถึงฝึกฝนกันไม่สำเร็จเสียที มีเพียงข้าที่ฝึกสำเร็จ ดังนั้นนามสกุลของข้าจึงเปลี่ยนจากไป่มาเป็นหวงได้” หวงเหรินพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ท่าน พระเจ้ามาจากเผ่าพันธุ์เดียวกับข้างั้นหรอ ท่านบอกข้าหน่อยได้ไหมว่าเขาเป็นใคร?” เมื่อหวงเหรินพูดจบ เฉินหลงก็อยากรู้เรื่องของพระเจ้าอย่างจริงจัง
“ไม่ต้องกังวลไป พวกเราพาเจ้ามาที่วิหารก็เพียงเพื่อให้เจ้าทราบว่าพระเจ้าเป็นใครและการมาที่นี่ของเจ้ามาเพื่ออะไร ตอนนี้มากับก่อนเถิด ” หวงเหรินพูดออกมาอย่างใจเย็น
เมื่อพูดจบ หวงเหรินก็เดินกลับไปปิดประตูตำหนัก
เฉินหลงก็ครุ่นคิดอยู่กับคำตอบที่ได้มาพร้อมกับเดินตามเขาไป
เขาผ่านเข้ามาที่นี่อย่างลึกลับแล้วที่นี่ก็เหมือนเป็นบ้านที่ไม่สามารถกลับออกไปได้ ยิ่งไปกว่านี้ ตอนนี้ยังได้รับภารกิจที่เจาะจงให้เขาทำด้วย เฉินหลงแค่อยากจะถามคำถามกับพระเจ้าว่าเขาควรจะทำอย่างไร
หลังจากที่เฉินหลงเดินผ่านประตูเข้ามา เขาก็ต้องตกใจกับภาพที่อยู่ตรงหน้า
ในอดีต ตำหนักเหล่านี้เดิมที่ควรจะมีภาพวาดสไตล์โบราณอยู่ แต่ภาพวาดที่อยู่ตรงหน้าเขากับเป็นภาพวาดที่ดูเปลี่ยนไป สิ่งที่ปรากฏบนภาพวาดพวกนั้นเป็นเหมือนกับภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ ที่นี่เต็มไปด้วยภาพวาดนับไม่ถ้วนที่อยู่บนหน้าจอภาพแสงเสมือนจริงซึ่งประกอบไปด้วยรูปการต่อสู้บนหลังม้าในสมัยจีนโบราณ ภาพเมืองคุณหลุนและฉากของหนังสตาร์วอร์
เจ้าของภาพพวกนี้เป็นชายที่มีพลังอำนาจอยู่ทั่วร่างและกำลังถือมีดด้วยท่าทางที่ดูมีพลังอำนาจ
หลังจากที่เฉินหลงเข้ามาในห้องแล้ว ชายทุกคนที่อยู่ในรูปภาพก็หันหน้ามาทางเฉินหลงและพูดว่า “ในที่สุดเจ้าก็มาถึง”
เวลานี้ เฉินหลงก็เห็นใบหน้าของชายผู้นั้นด้วย โครงหน้าของเขาค่อนข้างเหลี่ยม มีคิ้วเรียวยาวดั่งใบมีด ภายใต้คิ้วนั้นมีดวงตาคู่สีน้ำตาลเข้มที่ดูเว้าลึกเล็กน้อย ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ของเขาจะไม่ค่อยงดงามเท่าไหร่ แต่มันดูเป็นลูกผู้ชายที่เต็มไปด้วยความเข็มแข็ง
หลังจากที่ชายคนนั้นพูดว่า‘ในที่สุดเจ้าก็มาถึง’ ม่านแสงทั้งหมดก็หันไปทางใบหน้าของชายคนนั้นทั้งหมด
“ท่านเป็นใคร?” แม้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับชายผู้นี้ เฉินหลงก็อดไมได้ที่จะมีความรู้สึกดีๆให้กับเขา
“ข้ามีชื่อว่า เซี่ยงอวี่ เจ้าคงจะเคยได้ยินนามของข้ามาก่อน” ถึงแม้ชายคนนี้จะดูทรงอำนาจ แต่เมื่อกับเฉินหลงเขาก็พูดอย่างสุภาพ
อย่างไรก็ตาม คำพูดที่สุภาพเหล่านั้นไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมากกับเฉินหลง แต่กลับเป็นชื่อของชายผู้นั้นต่างหาก
“เซี่ยงอวี่?! เซี่ยงอวี่หรือซีฉู่ป้าหวาง เจ้าเหนือหัวผู้พิชิตแห่งฉู่ ขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยราชวงศ์ฉิน” เฉินหลงตาเบิกกว้างและมองไปที่ชายที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงอวี่บนหน้าจอด้วยสีหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ
“ซีฉู่ป้าหวาง! ตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นซีฉู่ป้าหวางมานานแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นแค่เซี่ยงอวี่ ” เมื่อเซี่ยงอวี่ได้ยินคำว่า ฉู่ป้าหวาง ดวงตาของเขาก็แสดงออกเหมือนกำลังหวนนึกถึงอดีต
หลังจากที่ได้ยินว่าชายผู้นี้คือเซี่ยงอวี่จริงๆ จักระทั้ง 8 ของเฉินหลงก็รุกโชนขึ้นมาทันที เขาไม่อยากจะเชื่อว่าได้ได้พบกับคนที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ที่มากกว่า 2,000 ปีที่ผ่านมาตัวเป็นๆ เขาคงเสียใจกับความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง ถ้าเขาไม่ถามเรื่องที่ค้างคาใจมานาน
“เอ่อ ท่านเจ้าเหนือหัว ท่านไม่ได้ฆ่าตัวตายที่แม่น้ำอู่เจียงใช่หรือไม่? ท่านมาปรากฏอยู่ที่เมืองคุณหลุนอีกครั้งได้ยังไง? แล้วท่านกลายมาเป็นพระเจ้าแบบไหนกัน? แล้วของหยูจีละครับ? หยูจีและท่านได้เผาทำลายพระราชวังอาฝางกงหรือไม่ ” เมื่อได้ยินคำถามของเฉินหลง ใบหน้าของเซี่ยงอวี่ก็แสดงออกอย่างงุนงง อย่างไรก็ตาม เฉินหลงก็สังเกตเห็นว่าสายตาของเซี่ยงอวี่นั้นดูเศร้าตอนที่เขาพูดถึงเรื่องของหยูจี
TB:บทที่ 254 เงื่อนไข 3 ประการ
“เฉินหลง เจ้าก็รู้ว่าบันทึกในประวัติศาสตร์มีหลายสิ่งที่ถูกบันทึกล้วนไม่เป็นความจริง เช่นคนที่ตัดสินใจฆ่าตัวตายริมแม่น้ำอู้เจียง ช่างไร้สาระเสียจริง อย่างไรก็ตามแม้ว่าข้าจะไม่ได้บงการให้คนไปเผ่าวัง แต่สาเหตุก็เกิดจากข้าอยู่ดี เช่นนั้น ตาเฒ่าอิ๋งเจิ้ง(嬴政)ก็ยังคงตามหาข้าอยู่ ” เซี่ยงอวี่พูดอย่างหมดหนทาง
เป็นไปได้ยากที่บันทึกในประวัติศาสตร์จะบันทึกเรื่องราวผิดพลาดเสมอไป โดยเฉพาะกับเหตุการณ์ที่ที่บันทึกเรื่องราวของผู้ชนะและผู้แพ้ มันต้องเป็นฝ่ายผู้ชนะอยู่แล้วที่จะได้เป็นผู้บันทึกเรื่องราว
“ตอนที่เป็นฝ่ายรบชนะ อิ๋งเจิ้งยังมีชีวิตอยู่หรอครับ? ” เมื่อเฉินหลงได้ยินว่าอิ๋งเจิ้งยังมีชีวิตอยู่ เขาก็เริ่มรู้สึกสับสน
“มันไม่มีอะไรที่เป็นไม่ได้ ในยุคของข้า พลังแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์มีอยู่มากมายซึ่งไม่น้อยไปกว่าแคว้นคุณหลุนเลย เช่นนั้นแล้วยจึงมีคนที่แข็งแกร่งในเวลานั้นเป็นจำนวนมากและความแข็งแกร่งของพลังก็มีอยู่สูงมากด้วยเช่นกัน ในเวลานั้น พลังของทั้งอิ๋งเจิ้งและตัวข้าอยู่ในระดับ ‘ปรมาจารย์แห่งดวงดาวเช่นเดียวกัน โดยธรรมดาแล้วเราย่อมต้องแยกตัวออกจากกัน ดังนั้น สงครามจึงได้บังเกิดขึ้น”
“ในสงครามนั้น ตาเฒ่าอิ๋งเจิ้งและตัวข้าได้เลื่อนขั้นไปถึงระดับศิรา เพียงเพื่อพบว่าการต้อสู้ของพวกเรากลายเป็นเพียงเรื่องตลก เพราะยังมีชายที่แข็งแกร่งอีกมากมายในจักรวาลนี้ที่แข็งแกร่งกว่าพวกเรา เช่นนั้นพวกเราทั้งคู่จึงยุติการต่อสู้ ตาเฒ่าอิ๋งเจิ้งกล่าวออกมาตรงๆเลยว่าโลกใบนี้เป็นของข้าแล้วและจากนั้นเขาก็ได้ลาจากโลกนี้ไป เวลานั้น ข้าไม่ฝักใฝ่ที่จะครอบครองโลกใบนี้ เช่นนั้นข้าจึงมอบมันให้กับพี่ชายข้า หลิวปัง แน่นอนว่าข้าอยากให้เขาเป็นผู้นำที่ดี พี่ชายข้าเกิดในตลาดและเขาย่อมรู้ดีถึงความทุกข์ทรมานของมนุษย์ปกติทั่วไปและย่อมรู้ดีว่าจะเป็นจักรพรรดิที่ดีได้ แต่อย่างไรเขาก็กระทำที่เกิดเหตุมากไปและได้เผ่าพระราชวังอาฝางกงไปด้วย เช่นนั้นตาแก่นั้นจึงหาข้ออ้างเพื่อที่จะเอาเปรียบเป็นครั้งคราว ข้าไม่อยากจะมีปัญหากับเขาเพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนร่วมชาติ” เซี่ยงอวี่พูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเซี่ยงอวี่เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์อีกเวอร์ชั่นที่เฉินหลงคุ้นเคยดี เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำได้เพียงแต่ไม่ออกความเห็นใดต่อไป
“งั้น ท่านกลายมาเป็นปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวคุณหลุนได้อย่างไรกัน? ” ในขณะที่เฉินหลงกำลังสับสน ในที่สุดเขาก็นึกออกถึงคำถามที่เขายังคางคาใจขึ้นมาได้
เวลานี้ เซี่ยงอวี่ก็อดไม่ได้ที่ยิ้มออกมา
“ข้ามาที่นี่ได้โดยเหตุบังเอิญ ส่วนประตูมิติที่ถูกส่งมา ข้าก็ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนทำ แต่อย่างไรเสีย หลังจากที่ข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว ข้าก็ได้เห็นว่าชาวคุณหลุนล้วนเกิดมาเพื่อเป็นนักรบ เช่นนั้นข้าจึงได้ให้วิชาความรู้แก่พวกเขา เพื่อจะให้พวกเขาได้มีสติปัญญารู้คิดและไม่ต้องกลายไปเป็นอาหารให้พวกสัตว์ประหลาดอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ชาวคุณหลุนเริ่มมีอำนาจมากขึ้นแล้ว พวกเขาก็สามารถเป็นผู้ช่วยให้กับข้าได้มากยิ่ง”
“ดังนั้น ท่านไปจากที่นี่แล้วหรอ?” เฉินหลงกังวลกับเขามากเรื่องที่เขาจะสามารถออกไปจากเมืองคุณหลุนและกลับไปยังโลกเดิมได้หรือไม่
“เจ้าอยากจะกลับไปยังโลกเดิมอีกจริงๆหรือ?” เซี่ยงอวี่มองเฉินหลง
“แน่นอนครับ ที่นั้นยังมีครอบครัวของข้าอยู่ ทุกอย่างที่ข้ารักที่ข้ามี และแน่นอนว่าข้าจะกลับไป ท่านไม่คิดอยากกลับไปบ้างหรือครับตอนที่อยู่ที่นี่? ” เฉินหลงพูดด้วยความมั่นใจ
“ตอนที่ข้ามาที่นี่ ข้าย่อมอยากที่จะกลับไปทุกเวลา ข้าอยากกลับไปพบกับคนโปรดของข้า หยูจี แต่อย่างไรเสียหยูจีก็เป็นเพียงแค่มนุษย์ ตอนที่ข้ากลับไปปเมื่อร้อยปีที่ผ่านมา นางได้กลายเป็นกองเถ้าธุลีไปแล้ว นอกจากนี้ ไม่เว้นแต่คนที่ข้าเคยรู้จักก็ต่างเปลี่ยนไปกันหมด เมือเห็นว่าบ้านเมืองที่ปกครองโดยพี่ชายข้าอยู่ในกฎระเบียบและยังมีผู้สืบทอดที่แข็งแกร่ง ข้าก็ไม่จำเป็นต้องการอยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว ข้าต้องการเดินทางต่อตามที่ข้าต้องการ สิ่งที่พบเจอตามทางทุกเส้นทางที่ข้าก้าวผ่านจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ข้าแข็งแกร่งและทรงพลังมากยิ่งขึ้น ” เซี่ยงอวี่พูดพร้อมกับหลั่งไหลความรู้สึกที่ทรงอำนาจออกมาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
แม้จะผ่านประตูม่านแสงมาแล้ว เฉินหลงก็ดูเหมือนจะยังสัมผัสได้ถึงรังสีอันทรงอำนาจอยู่
“ท่านเซี่ยงอวี่ ท่านหาทางกลับไปได้แล้วจริงๆหรอครับ?” เฉินหลงพูดอย่างแปลกใจ
“ข้าหามันไม่พบ แต่ข้าสร้างมันขึ้นมาเอง ประตูมิติบนโลกเป็นประตูมิติที่เปิดเพียงฝั่งเดียวซึ่งเป็นประตูมิติบนโลกที่สามารถข้ามมาได้เพียงที่เขตแคว้นคุณหลุน นี่คือสิ่งที่ข้าได้ร่ำเรียนมาตลอดสิบปีที่อยู่ในแคว้นคุณหลุน จากนั้นข้าก็ใช้เวลาถึงสิบปีในการสร้างเทเลพอร์ตข้ามเวลาเพื่อที่จะกลับไปยังโลกเดิมได้ แต่มันก็ผ่านไปนานมากแล้วนับตั้งแต่ที่ข้ากลับมา จากนั้นข้าก็ได้พบกับประตูมิติบนโลกที่จะเปิดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งในรอบ 2,000 ปี ใน 2,000 ปีที่แล้วเป็นข้าที่ข้ามมิติมา และ 2,000 ที่ผ่านมาไม่นานนี้ก็คือเจ้า ” เซี่ยงอวี่พูดด้วยใบหน้าที่เหมือนกำลังหวนนึกถึงอดีต
“จริงหรอครับ นั้นมันดีมากเลย บอกข้าหน่อยได้ไหมครับว่าเทเลพอร์ตอยู่ที่ไหน?”เฉินหลงถาม
“เจ้ามาที่แคว้นคุณหลุนได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น ไม่ต้องกังวลไป เพียงแค่ต้องฟังคำข้าก่อน” จากนั้นเซี่ยงอวี่ก็เงียบลง
“เอาละ หากเจ้ามีอะไรที่ต้องการ ขอเพียงแค่บอกกล่าวข้ามา” เมื่อเห็นว่าเฉินหลงดูร้อนรน เซียงหวี่จึงพูดให้เขาใจเย็นลง
“เดิมทีข้าต้องการรับเจ้ามาเป็นผู้สืบทอดของข้า แต่เมื่อได้พบเจ้าแล้วข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องแข็งแกร่งกว่าข้าในกาลข้างหน้าได้แน่และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าแนะแนวอะไรแล้ว เช่นนั้นมาผูกมิตรกับเหล่าสหายของข้าเถิด” เซี่ยงอวี่ยิ้ม
“เป็นเกียรติกับข้ามากครับที่จะได้ผูกมิตรกับเหล่าสหายของท่านเจ้าเหนือหัว” เวลานี้ เฉินหลงรู้ว่าเขาไม่ควรที่จะกังวลและควรทำให้ใจสงบลงเท่านั้น
“ดี สิ่งที่เป็นเกียรติยิ่งกับข้าคือการได้ผูกมิตรกับคนอย่างเจ้า น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถกลับไปโลกเดิมในครั้งนี้ได้ไม่เช่นนั้นข้าจะชวนเจ้าดื่มสักหน่อย ” เซี่ยงอวี่รู้สึกมีดีมากๆเมื่อได้ยินคำพูดของเฉินหลง
“จะต้องมีโอกาสสักครั้งแน่ครับ” เฉินหลงพยักหน้า
“เอาละ ข้าจะไม่พูดพร่ำเพรื่อแล้ว น้องเฉิน ตราบใดที่เจ้าทำตามเงื่อนไขทั้งสามข้อของข้าได้ ข้าจะให้เจ้าใช้เทเลพอร์ตและส่งพิกัดตำแหน่งของแคว้นคุณหลุนให้กับเจ้า บอกส่วนประกอบและวิธีการสร้างประตูมิติ เช่นนั้นเจ้าก็จะสามารถกลับมายังแคว้นคุณหลุนตราบที่เจ้าต้องการได้”เซี่ยงอวี่พูดเข้าประเด็น
“ครับ ข้าจะทำและข้าต้องทำได้” เพื่อที่จะกลับไปยังโลกเดิม เฉินหลงจึงยินดีที่จะทำทุกอย่างตราบเท่าที่เขาจะสามารถทำได้
“ไม่ต้องรีบกังวลไป ข้ายังไม่พูดถึงเงื่อนไขที่เจ้าต้องทำตามเลย อย่างแรก ตอนที่กระแสน้ำลดระดับลง ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยชาวคุณหลุนให้เอาชีวิตจากพวกสัตว์ร้ายที่หลบซ่อนอยู่หลายปีได้ อย่างที่สอง ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยชาวคุณหลุนแก้ไขปัญหาในเรื่องการมีทายาทสืบสกุล อย่างที่สาม ข้าหวังว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า เจ้าจะสามารถกลับมายังแคว้นคุณหลุนได้” เซี่ยงอวี่พูดอย่างจริงจัง
เมื่อได้ยินเงื่อนไขทั้งสามข้อของเซี่ยงอวี่แล้วทำให้มุมมองของเฉินหลงที่มี่ต่อเซี่ยงอวี่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เดิมทีเฉินหลงคิดว่าเซี่ยงอวี่ใช้คนของเมืองคุณหลุนอย่างไม่สนความเป็นความตาย แต่ตอนนี้เฉินหลงรู้แล้วว่าเขาไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะถ้าไม่มีเงื่อนไขทั้งสามข้อนี้เซี่ยงอวี่ก็ยังสามารถหาประโยชน์จากชาวคุณหลุนทางอื่นได้ แม้เงื่อนไขสามข้อนี้จะเป็นเงื่อนไขที่เกื้อหนุนเขาและเป็นตัวช่วยเขาทางอ้อมได้ แต่เขาก็ยังคิดทำเพื่อชาวคุณหลุนเช่นกัน
“ไม่ต้องกังวลครับ ข้าจะทำตามเงื่อนไขทั้งข้อ 1 และข้อ 2 แต่ข้าไม่รู้ว่าจะทำตามเงื่อนไขที่สามได้หรือเปล่า” หากเซี่ยงอวี่ไม่ได้พูดถึงเงื่อนไขข้อที่ 1 และ 2 เฉินหลงก็พร้อมที่จะช่วยเหลือชาวคุณหลุนแต่แรกอยู่แล้ว แต่เฉินหลงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นใน 20 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ประตูมิติก็ต้องการพลังที่ต้องสูงถึงระดับปรมาจารย์แห่งดวงดาว เฉินหลงไม่รู้ว่าเขาจะสามารถเลื่อนขั้นไปจนถึงระดับปรมาจารย์แห่งดวงดาวได้ไหมใน 20 ปีนี้ ดังนั้น เขาจึงยังไม่รับปากเซี่ยงอวี่
TB:บทที่ 255การเตรียมความพร้อม
“น้องเฉิน ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกังวลสิ่งใดอยู่ ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า ข้าเชื่อว่าภายใน 20 ปีเจ้าผ่านไปถึงระดับปรมาจารย์แห่งดวงดาวได้ แม้ว่าเจ้าจะทำไม่สำเร็จริงๆ ข้าก็จะไม่ถือโทษโกรธเจ้า ” เซี่ยงอวี่มองและพูดกับเฉินหลง
“เอาละ ข้าจะหาสาเหตุของปัญหาเรื่องการสืบสกุลของชาวคุณหลุนก่อนปัญหาเรื่องกองทัพสัตว์บุกขนาดเล็กที่เข้ามารุกรานในปีที่ผ่านมาและจะช่วยชาวคุณหลุนต่อต้านกองทัพสัตว์บุกจะมาในปีต่อไปด้วย หลังจากที่กำจัดพวกกองทัพสัตว์บุกในปีถัดมาได้แล้ว ข้าหวังว่าท่าน พี่เซี่ยงอวี่จะบอกวิธีที่จะทำให้ข้ากลับไปยังโลกเดิมได้นะครับ” เฉินหลงพยักหน้า
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าเซี่ยงอวี่ไม่ได้เป็นชายที่ไม่รักษาคำพูด” เซี่ยงอวี่พูดอย่างจริงจัง
หลังจากที่นัดหมายกับเซี่ยงอวี่เรียบร้อยแล้ว เฉินหลงก็ออกจากห้องไป
เฉินหลงยังคงยืนอยู่ข้างนอกห้อง เขาคิดและเลือกที่จะไม่กลับมายังวิหารศักดิ์อีก หากเขาทำตามที่พูดไม่ได้ ครั้งนี้ เฉินหลงไม่ได้ทิ้งสิ่งใดเอาไว้เลย เขาเพียงเหาะออกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ไปตัวเปล่า
ครึ่งเดือนต่อมา เฉินหลงก็กลับมายังหุบเขามด เนื่องจากเขาต้องแก้ไขความลับเรื่องการสืบพันธุ์ของชาวคุณหลุน ซึ่งเขาก็คิดว่าลูกศิษย์ของเขาเป็นตัวเลือกที่ดีสุดในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้
“อาจารย์ อาจารย์คิดว่าจะแก้ไขปัญหานี้ได้จริงๆหรือ?” เมื่อได้ฟังสิ่งที่เฉินหลงพูดว่าต้องการที่จะช่วยแก้ไขปัญหาการสืบพันธุ์ของชาวคุณหลุน ไป่ไท่ฮางก็รู้สึกประหลาดใจ
“นั้นน่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ข้าต้องการความช่วยเหลือจากนาย” เฉินหลงพูดจริงจัง
“อาจารย์ ไม่ว่าอาจารย์ต้องการอะไร เพียงแค่สั่งข้ามา ข้าก็จะทำให้ทุกอย่าง” ไป่ไท่ฮางก็พูดกลับไปอย่างจริงจัง
หลังจากที่เฉินหลงได้เริ่มศึกษาระบบร่างกายของชาวคุณหลุนบนหุบเขามดแล้ว
เนื่องจากต้องแก้ไขปัญหาเรื่องการสืบพันธุ์ของชาวคุณหลุน ไป่ไท่ฮางเพียงคนเดียวจึงไม่สามารถช่วยทำให้การวิจัยของเขาสำเร็จได้ ดูเหมือนว่าเฉินหลงจะต้องหาอาสาสมัครที่เป็นชาวคุณหลุนจำนวน 12 คนมาวิจัยเพิ่มเพื่อสอบถามและศึกษาระบบในร่างกายเพิ่มเติม ที่นี่มีชาวคุณหลุนทั้งชายและหญิงและพวกเขาทั้งหมดก็มีร่างกายที่แข็งแรงซึ่งสามารถเป็นตัวช่วยให้กับเขาได้เข้าใจถึงร่างกายของชาวคุณหลุนได้มากขึ้น
ด้วยความช่วยเหลือของชาวคุณหลุน ในไม่ช้าคุณหลุนก็พบถึงสาเหตุแล้วว่าทำไมชาวคุณหลุนถึงประสบปัญหาในด้านการสืบพันธุ์
ดูจากยีนที่ปรากฏส่วนใหญ่ ก่อนที่ชาวคุณหลุนจะเลื่อนขั้นมาถึงระดับขอบเขตกำเนิด ร่างกายของพวกเขาทุกคนแข็งแรงและสามารถสืบพันธุ์ได้ปกติ แต่ทว่าตราบใดที่ชาวคุณหลุนยกระดับพลังของตนมาถึงขอบเขตกำเนิด แก่นแท้หรือจิตวิญญาณในร่างกายของพวกเขาก็จะเปลี่ยนเป็นพลังงานที่แข็งแกร่งโดยอัตโนมัติซึ่งมันทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์
หลังจากที่พบสาเหตุของปัญหาแล้ว เฉินหลงได้ใช้เวลาครึ่งปีในการฝึกและสร้างวิธีการผนึกแก่นแท้ หากชาวคุณหลุนตั้งใจฝึกวิชาเฟิงจิง (唪经) ภายในเวลาหนึ่งเดือนพวกเขาก็จะสามารถสืบพันธุ์และมีทายาทได้เป็นปกติ แม้แต่คนที่สำเร็จวิชาไปจนถึงขั้นขอบเขตกำเนิดก็จะสามารถมีทายาทได้
หลังจากที่เฉินหลงได้คิดค้นและสร้างวิชาผนึกแก่นแท้ออกมาได้แล้ว มันย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ทางวิหารศักดิ์สิทธิ์อยากจะหาคนมาทดลอง
สองเดือนต่อมา ข่าวเรื่องวิชาผนึกแก่นแท้ของเฉินหลงได้แพร่กระจายไปถึงหูของชาวคุณหลุน
หลังจากที่แก้ไขปัญหาเรื่องการสืบสกุลของชาวคุณหลุนได้แล้ว เรื่องต่อไปที่เฉินหลงจะทำก็คือต่อสู้กับกองทัพสัตว์บุกขนาดเล็กที่เข้ามารุกรากชาวคุณหลุนซึ่งเขาต้องใช้เวลาสองสามเดือนกับอีก 10 วันในการจัดการกับปัญหานี้
สิ่งที่เฉินหลงต้องการจากเรื่องนี้ก็คือเรียนรู้ที่จะรู้จักตัวเองและรู้จักคู่ต่อสู้เพื่อที่จะฝึนตนให้สามารถต้านการโจมตีของสัตว์อสูรนับร้อยๆครั้งได้
ก่อนที่กองทัพสัตว์บุกพวกนี้จะมา สิ่งแรกที่เฉินหลงต้องการรู้ก่อนคือ สัตว์ประหลาดพวกนี้เป็นกองทัพสัตว์บุกประเภทใด จากนั้นเขาถึงจะรู้วิธีป้องกันตัวเองถูก
จากข้อมูลที่เฉินหลงศึกษามาพบว่าโดยปกติแล้วพวกมันเป็นสัตว์อสูรระดับ 8 และอาจมีสัตว์อสูรระดับ 9 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของสัตว์พวกนี้ปะปนมาด้วย หนึ่งในกองทัพสัตว์บุกพวกนั้นมีรูปร่างหน้าตาที่ประหลาดซึ่งพวกมันดูไม่ค่อยแข็งแรง อย่างไรก็ตาม เมืองคุณหลุนแห่งนี้เต็มไปด้วยสัตว์หน้าตาแปลกประหลาดมากมาย เหล่าสัตว์อสูรไม่ว่าจะเป็นพวกที่บินอยู่บนฟ้า วิ่งอยู่บนพื้น ที่โผล่ขึ้นมาจากใต้ดินหรือแม้กระทั่งที่กำลังว่ายน้ำมาอยู่ แน่นอนว่าเมื่อสัตว์ประหลาดพวกนี้โจมตี พลังแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็จะปรากฏขึ้นมาในทันที
เวลานี้ ทางด้านวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ส่งกองกำลังทหารไปรักษาการณ์แทนที่เมืองน้อยใหญ่เรียบร้อยแล้วเพราะคนในเมืองเหล่านั้นพากันไม่ต่อสู้กับสัตว์พวกนี้
ความจริงแล้ว เมื่อดูความแข็งแกร่งของชาวคุณหลุนบวกกับอำนาจของเซี่ยงอวี่และวิหารศักดิ์สิทธิ์แล้วสามารถกวาดล้างสัตว์ประหลาดพวกนี้ไปได้ แต่ที่แปลกมากก็คือใครจะไปรู้ว่าการกระทำและเหตุการณ์เช่นนี้จะเป็นคำสั่งชี้ขาดจากผู้มีอำนาจบางคนที่สั่งลงมาเพื่อสร้างความบันเทิงเท่านั้น หากมีใครไปทำลายความสามารถของพวกสัตว์อสูรและฝ่าฝืนกฎของเกมส์นี้ ก็จะมีสิ่งที่ทรงอำนาจปรากฎตัวขึ้นและแม้แต่เซี่ยงอวี่ยังไม่อาจสู้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น การที่มีสัตว์ประหลาดพวกนี้ดำรงอยู่ทำให้ชาวคุณหลุนเชื่อมาเสมอว่าหากพวกเขาไม่มีพลังพวกเขาอาจจะถูกจับกินได้
หลังจากที่รู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว สิ่งที่เฉินหลงทำได้ดีที่สุดก็คือเข้าช่วยเหลือชาวคุณหลุนอย่างเต็มที่
ครึ่งปีก่อนที่กองทัพสัตว์บุกพวกนี้จะมา เฉินหลงได้ขอให้วิหารศักดิ์สิทธิ์ออกคำสั่งให้ชาวคุณหลุนที่เป็นพวกชาวบ้านที่อยู่ในเมืองเล็กและที่อยู่บริเวณใกล้เคียงให้อพยพเข้าไปในเมืองใหญ่ภายในเวลาครึ่งปีเพื่อที่จะรวบรวมกองกำลังต่อสู้กับพวกกองทัพสัตว์บุก หลังจากที่น้ำลดระดับลงและเริ่มมีกองทัพสัตว์บุกบุกรุกเข้ามา สิ่งที่เฉินหลงเคยขอให้ทางวิหารศักดิ์สิทธิ์ทำไปนั้นทำให้ตอนนี้เมืองใหญ่มีกองกำลังที่แข็งแกร่งจนสามารถเข้าช่วยเหลือหมู่บ้านในเมืองได้หลายแห่ง และที่ประชาชนทุกคนต่างต้องทำตามคำสั่งของทางวิหารเนื่องด้วยว่าหากมีใครฝ่าฝนคำสั่งก็จะถูกทางการลงโทษเจ็ดชั่วโคตร
ทันทีที่ออกคำสั่งลงไป ชาวคุณหลุนทั้งหมดก็ต่างพากันรวบรวมกองกำลังทันทีและเมืองบางแห่งก็ได้ให้ความช่วยเหลือหมู่บ้านน้อยใหญ่ให้ย้ายมารวมกองกำลังกันในเมืองใหญ่
ไม่มีใครหรือผู้ใดกล้าขัดคำสั่งจากทางวิหารศักดิ์สิทธิ์
เวลาที่เหล่าสัตว์อสูรจะบุกมายิ่งเข้าใกล้มาเรื่อยๆ ทั้งเมืองใหญ่เมืองเล็กต่างก็เริ่มสร้างเกราะป้องกันเมือง ในขณะเดียวกันก็ได้เตรียมพลทหารที่แข็งแกร่งพร้อมทั้งมีความสามารถในการต่อสู้ไว้พร้อมโจมตีแล้ว
ชาวคุณหลุนทุกคนล้วนแต่ฝึกวิชาต้าลี่ฉุยของเซี่ยงอวี่ ซึ่งเซี่ยงอวี่ก็เป็นเจ้าแห่งดินแดนตะวันออกที่มีพละกำลังที่สามารถฉุดภูเขาทั้งลูกได้ โดยปกติแล้วพลังต้าลี่ฉุยของเขานั้นไม่ได้ธรรมดาอยู่แล้ว เมื่อรวมกับร่างกายที่แข็งแกร่งสมกับเป็นชาวคุณหลุนของเขาเข้าไปด้วย ยิ่งทำให้เขาดูทรงพลังขึ้นไปอีก
เฉินหลงได้สอนวิชาให้กับชาวคุณหลุนเพิ่มอีกอย่าง นั้นก็คือวิชา กายวัชระ ของดาบาร์ นับตั้งแต่ที่ชาวคุณหลุนมีวิชากลั่นกายบริสุทธิ์ พวกเขาก็ต้องพบเจอกับสัตว์อสูรตัวเล็กๆพวกนี้เพิ่มขึ้น ส่วนวิชาระฆังทอง วิชานี้มีไป่ไท่ฮางเป็นผู้ถ่ายทอดต่อให้กับชาวคุณหลุน หากวิชานี้ได้ถูกถ่ายทอดไปยังชาวคุณหลุนพวกเขาก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก
ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเฉินหลงได้ถ่ายทอดวิชาอีกอย่างให้กับไป่ไท่ฮางซึ่งเป็นวิชาที่เฉินหลงคิดว่าเหมาะสมกับไป่ไท่ฮาง นั้นก็คือ วิชาหมัดพลังเวทย์เฉียนจินของหวังเฉียนจินพลังของหวังเฉียนจินนั้นมีมากแต่เมื่อนำมาเทียบกับชาวคุณหลุนแล้ว มันก็ถือว่าไม่แย่นัก วิชานี้เป็นวิชาหมัดพลังเวทย์ของเฉียนจินที่ไป่ไท่ฮางจะได้ใช้และมันก็เป็นพลังที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง ตอนนี้เขาเป็นนักล่าระดับหกแล้วและด้วยหมัดพลังเวทย์เฉียนจิน เขาจึงสามารถฆ่านักรบระดับเจ็ดซึ่งมีระดับพลังที่สูงกว่าเขาได้
“อาจารย์ ข้าจะควบคุมหมัดพลังเวทย์เฉียนจินได้ไหม?” หลังจากที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาหมัดพลังเวทย์เฉียนจินมาจากเฉินหลงแล้ว ไป่ไท่ฮางก็มองไปหน้าที่เฉินหลงและถามด้วยความตื่นเต้น
พลังของวิชานี้เหมาะกับร่างกายของไป่ไท่ฮางมาก ด้วยพลังของหมัดเวทย์บวกกับวิชาระฆังทองระดับที่ 11 มันจึงทำให้เขาสามารถสังหารเหล่ากองทัพสัตว์บุกพวกนี้ได้
“ทักษะการต่อสู้ของเจ้าถือว่าอยู่ในระดับดี แต่ระดับพลังยังคงต่ำอยู่ ข้าหวังว่าเจ้าจะเพิ่มระดับพลังจนสามารถเป็นนักรบระดับที่ 7 ได้ก่อนที่พวกกองทัพสัตว์บุกจะบุกเข้ามา ด้วยวิธีนี้เจ้าก็จะสามารถต่อกรกับพวกสัตว์อสูรได้แล้ว ” เฉินหลงพูดพร้อมกับตบไปที่บ่าของไป่ไท่ฮาง
“อาจารย์ไม่ต้องห่วง ข้าคิดว่าระดับพลังของข้าจะต้องเพิ่มขึ้นจนถึงระดับที่ 7 ได้แน่” ไป่ไท่ฮางเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“อืม ข้าเชื่อในตัวเจ้า” เฉินหลงพยักหน้า
เฉินหลงมั่นใจในตัวของไป่ไท่ฮางเสมอ เมื่อเขามีความมั่นใจขนาดนี้ เขาคงสามารถเลื่อนขั้นไปเป็นนักรบระดับ 7 ได้ก่อนที่สัตว์อสูรจะบุกเข้ามาได้แน่
ในขณะที่เวลาผ่านไป ตอนนี้ก็ยิ่งเหมือนเข้าใกล้เวลาที่เหล่าสัตว์อสูรกำลังจะบุกเข้ามาแล้ว ชาวคุณหลุนทุกคนในเมืองคุณหลุนต่างเริ่มตื่นตระหนกกันมากกว่าเดิม
สิบวันก่อนที่เหล่าสัตว์อสูรพวกนี้จะมา ไป่ไท่ฮางได้ออกจากหุบเขาแสนลูกไปฝึกตนจนทำให้ในตอนนี้พลังของเขาได้มาถึงระดับ 7 และวิชาระฆังทองคำของเขาก็มาถึงระดับ 12 แล้ว
เมื่อเฉินหลงเห็นพลังของไป่ไท่ฮาง เขาก็พยักหน้าอย่างพอใจและจากนั้นก็รีบมุ่งไปยังเมืองใต้ดินพร้อมกับไป่ไท่ฮาง
TB:บทที่ 256 ชัยชนะ
ภายใน 10 วัน เหล่ากองทัพสัตว์บุกต้องถูกกำจัดหายไปจนหมด
สัตว์ประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วนที่มาจาก 4 สถานที่อันตรายแห่งหุบเขาแสนลูก ป่าเหล็ก สมุทรอนันต์ และทะเลทรายมรณะวิ่งกรูตรงไปยังบ้านเรือนของชาวคุณหลุน
สัตว์อสูรพวกนี้ดูแตกต่างจากพวกกองทัพสัตว์บุกปกติทั่วไป พวกมันมีดวงตาที่แดงก่ำที่แสดงออกอย่างดุร้ายและแม้แต่ร่างกายของพวกมันก็ดูจะใหญ่เกินกว่าปกติ ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันดูเหมือนถูกควบคุมโดยใครบางคน พวกมันเหมือนถูกสั่งให้มุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว หากมีใครตกลงไปกลางกลุ่มสัตว์อสูรพวกนั้น สัตว์อสูรที่เดินตามมาจากข้างหลังก็ดูไม่มีทีท่าที่จะหยุดเดิน พวกมันคงทำได้เพียงเดินเหยียบคนผู้นั้นจนแหลกเหลวเหมือนกับซอสเนื้อ ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกมันจะถูกบดขยี้จนแหลก
ภาพตรงหน้าคือฝูงสัตว์อสูรที่วิ่งกรูเข้ามาเหมือนกำลังมีคนขับรถไล่ตามพวกมันอยู่ข้างหลัง พวกมันต่างวิ่งมุ่งตรงมายังเมืองใหญ่ของชาวคุณหลุน
ทั้งเมืองใหญ่และเมืองเล็กประมาณ 1008 เมืองในอาณาจักรคุณหลุนตอนนี้มีการตั้งเกราะป้องกันด้วยเหล่าพลทหารชาวคุณหลุนทั่วทุกพื้นที่แล้ว สิ่งแรกที่สัตว์อสูรพวกนี้ต้องการที่จะทำลายล้างนั้นก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในเมืองใหญ่และเมืองเล็กทั้ง 1008 เมืองของชาวคุณหลุนให้สิ้นซาก
ทุกๆสิบปี กองทัพสัตว์บุกพวกนี้จะบุกโจมตีเป็นเวลา 10 วัน โดยปกติแล้วหลังจากที่พวกมันบุกจนผ่านเมืองใหญ่ เมืองขนาดกลางและเล็กไปได้แล้ว จะมีสัตว์อสูรขนาดเล็กยังหลงเหลืออยู่ในเมือง แต่แม้พวกมันจะมีตัวที่มีขนาดเล็กแต่กลับเป็นตัวที่ทำลายทั้งหมู่บ้านและประชาชนในเมืองได้อย่างแสนสาหัส
แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากสัตว์อสูรที่กล่าวข้างต้นไปแล้ว พวกมันยังมีสัตว์อสูรประหลาดตัวอื่นๆอีกมากมาย
“พวกนี้คือกองทัพสัตว์บุกงั้นหรอ?” เมื่อใช้สายตากวาดมองจากด้านบนลงสู่พื้นดินของเส้นทาเมืองใต้ดินที่ยังดูห่างไกลออกไป เฉินหลงก็พบว่ามีสัตว์อสูรยืนอยู่ตรงกำแพงด้านหน้าของทางที่จะเข้าเมือง
“ใช่แล้ว พวกนี้เป็นกองทัพสัตว์บุกขนาดเล็กที่อายุราว 10 ปีแต่เมื่อเทียบกับสัตว์อสูรที่มีอายุ 100 ปีแล้วพวกมันก็เป็นได้แค่เพียงอาหารจานเล็กๆของสัตว์อสูรตัวใหญ่ๆ” นอกจากจะมีสัตว์อสูรที่ยืนอยู่ตรงกำแพงข้างหน้า เมื่อหันหลังไปเขาก็พบกับเฮยเตียที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาด้วยจนเขาต้องร้องอุทานออกมา
เขานึกไปถึงตอนที่เมืองโดนบุก เขายังต้องมาพบกับสัตว์อสูรตัวใหญ่อายุร้อยปี เขาจำเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองนั้นได้ดี
“ทำไมสัตว์อสูรพวกนี้ถึงมาอยู่ที่นี่กันละ?” เฉินหลงถาม
เมื่อเห็นสัตว์ประหลาดปรากฏอยู่ตรงหน้า เฉินหลงก็คิดได้ว่าสัตว์ประหลาดพวกนี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ
“ข้าไม่รู้ ถ้าข้ารู้ว่าจะมีสัตว์อสูรอยู่ ข้าคงไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องเผชิญกับเหตุการณ์นี้หรอก” เฮยเตียพูด
“งั้น ขอข้าเช็กหน่อยว่ามีสัตว์อสูรมากขนาดไหนกัน” พูดจบ เฉินหลงก็กระโดดลงมาจากกำแพงและตรงไปที่ฝูงของเหล่าสัตว์ประหลาด
เมื่อเห็นเฉินหลงตรงไปที่ฝูงของสัตว์ประหลาดไป่ไท่ฮางจึงกระโดดลงจากกำแพงตามเขาไปด้วย
นี่ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมือนได้รับเกียรติจากเฉินหลงผู้เป็นอาจารย์ที่ให้เขาได้ร่วมทำภารกิจและถือโอกาสประกาศให้ชาวคุณหลุนทุกคนได้รู้ว่าเป็นลูกศิษย์ของท่านเทพเฉินหลงและเขาก็จะไม่ทำให้เฉินหลงต้องเสียชื่อแน่
เฉินหลงรู้ว่าไป่ไท่ฮางตามเขามา ใบหน้าของเขาจึงเผยให้เห็นรอยยิ้มที่มุมปากด้วยความรู้สึกพึงพอใจ หลังจากที่พุ่งตรงมาที่ฝูงของเหล่าสัตว์อสูร เฉินหลงได้ใช้พลังเป็นแรงผลักฝูงสัตว์อสูรให้ไปพ้นทาง ขยับเพียงครั้งเดียว เฉินหลงก็สามารถเคลียร์พื้นที่เพื่อเปิดช่องว่างให้กับตัวเองได้หลบฝูงสัตว์ประหลาดได้ แต่หลังจากนั้นไม่นานพื้นที่ว่างก็กลับมาแออัดและเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดพวกนั้นอีกครั้ง
ไป่ไท่ฮางที่อยู่ด้านหลังเฉินหลง หลังจากที่เขาได้รับการถ่ายทอดวิชาหมัดพลังเวทย์เฉียนจินมาแล้ว เขาจึงสามารช่วยเฉินหลงฆ่าสัตว์ประหลาดพวกนี้ได้ทีละตัว ในขณะเดียวกันวิชาระฆังทองของเขาที่สำเร็จจนถึงระดับ 12 แล้วยิ่งทำให้เขาหมดความกลัวจากการโจมตีของศัตรู
2 อาจารย์กับอีกหนึ่งศิษย์ตอนนี้พวกเขาเหมือนดาบที่กำลังจ้วงแทงร่างสัตว์ประหลาดทั้งฝูงและทำให้สัตว์ประหลาดพวกนั้นเหมือนโดนทำร้ายอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ดี ขนาดของศัตรูนั้นใหญ่เกินว่าที่เฉินหลงและเฮยเตียรวมทั้งไป่ไท่ฮางจะต่อกรได้ หากพวกเขาทั้งสามใช้ดาบแทงไปเรื่อยๆ มันก็เหมือนกับการเอาเข็มไปแทงที่สัตว์ประหลาดพวกนั้น และการทำเช่นนี้เป็นการทำให้พวกมันเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในไม่ช้าสัตว์ประหลาดพวกนั้นก็บินขึ้นไปบนฟ้าแล้วมุ่งตรงไปตามเส้นทางไปยังในเมือง
ตอนนี้ หนามที่อยู่บนหลังสัตว์ประหลาดพวกนั้นงอกขึ้นมาจนทำให้มีสัตว์ที่บินอยู่บนฟ้ามาติดกับหนามที่หลังจนดูเหมือนกลายเป็นเนื้อย่าง
ภายในเมืองชาวคุณหลุนแต่ละคนต่างกำหอกยาวที่อยู่ในมือไว้แน่น เมื่อเห็นฝูงสัตว์ประหลาดที่บินมาจากท้องฟ้าพวกเขาก็พร้อมใจกันแทงพวกที่บินโชบต่ำจนตกลงมาบนพื้น
ฝูงสัตว์ประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังบุกเข้าเมืองคุณหลุน ครึ่งวันหลังจากที่เฉินหลง เฮยเตียและไป่ไท่ฮางต่างฆ่าฟันเจ้าพวกสัตว์ประหลาดพวกนี้ไปพร้อมกับชาวเมมองคุณหลุน แต่มันกลับไม่มีทีท่าของจำนวนที่ลดลงเลย
เฉินหลงมองไปที่ไป่ไท่ฮางและพบว่าเขากำลังหายใจหอบถี่และมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ดูเหมือนว่าเขาจะใช้พละกำลังไปเยอะ
“ศิษย์ไป่ ที่นี่มีพวกสัตว์ประหลาดมากเกินไป พวกเราฆ่าพวกมันไม่ได้หมดหรอก พวกเราต้องถอยก่อน” เฉินหลงรีบนำให้ไป่ไท่ฮางถอย
“อืม” ไป่ไท่ฮางพยักหน้า
ตั้งแต่ที่อาจารย์เอ่ยปากพูด ไป่ไท่ฮางไม่มีทางที่จะกล้าหาญขึ้นมาได้ เขาจึงอยากจะยืนหยัดที่จะไม่ไปและต่อสู้
เฉินหลงกระแทกไปสัตว์อสูรลิงป่าเพื่อเคลียร์ทางและพาไป่ไท่ฮางกลับไปทางเข้าเมืองใต้ดินพร้อมกับลากลิงตัวนั้นมาด้วย
“อาจารย์ ทำไมถึงต้องจับเจ้าสัตว์อสูรลิงป่ากลับมาด้วย?” เมื่อมาถึงในเมือง ไป่ไท่ฮางจึงถามเฉินหลง
“เพราะข้าต้องหาคำตอบให้ได้ว่าทำไมถึงมีพวกสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนแบบนี้” เฉินหลงยิ้ม
หลังจากนั้นเฉินหลงก็กลับไปที่บ้านพักในเมืองของเขาเมื่อได้ทราบข้อมูลเบื้องต้นชนิดของสัตว์อสูรจากเฮยเตียแล้ว
หลังจากที่ปลุกสัตว์อสูรลิงคลั่งนี้ขึ้นมาแล้ว ก็พบว่ามันมีดวงตาที่แดงก่ำราวกับลิงที่กำลังคลั่งจากนั้นมันก็ส่งเสียงคำรามออกมาใส่เฉินหลงและพยายามกัดไปที่หัวของเขา
“ข้าจะกอดแกไว้จนกว่าแกจะสงบลง” เฉินหลพยายามทำให้ลิงป่าสงบลง
เมื่อเฉินหลงทำให้ลิงป่าเริ่มสงบลงได้ เขาก็เริ่มตรวดูไปทั่วร่างของเจาลิงคลั่งและพบบางอย่างที่หลังของมัน ซึ่งเขาใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะพบสาหตุของอาการบ้าคลั่งของลิงป่าพวกนี้
เขาพบสภาวะทางจิตที่สะเทือนใจอย่างรุนแรงในสมองจนทำให้ลิงป่าธรรมดากลายเป็นลิงคลั่ง ผลกระทบจากภาวะทางจิตจะทำให้พวกมันกลายเป็นบ้าจนถึงขั้นกระหายเลือดอย่างบ้าคลั่งได้
อย่างไรก็ตาม เฉินหลงก็ยังหาไม่พบว่าทำไมสมองของสัตว์ประหลาดพวกนี้ถึงได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตรุนแรงขนาดนี้
เนื่องจากยังไม่สามารถหาคำตอบได้ ก็คงต้องหยุดคิดเรื่องนี้ไปก่อนแล้วหันมาจัดการกับสัตว์อสูรต่อก่อนดีกว่า
ลักษณะของเมืองหลวงคล้ายกับแนวปะการังขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบจากเหล่ากองทัพสัตว์บุกและไม่กระทบเทือนได้เลยแม้แต่น้อย
พลังของเฉินหลงมาถึงระดับหลอมรวมธรรมชาติแล้ว ตราบใดที่ที่นี่ยังเต็มไปด้วยเหล่าฝูงสัตว์ประหลาด ด้วยความสามารถของเฉินหลง เขาจึงเป็นคนแรกที่จะสามารถกำจัดสัตว์ประหลาดพวกนี้ได้ก่อนและส่วนที่เหลือค่อยส่งต่อให้ชาวคุณหลุนจัดการ
เซี่ยงอวี่พูดถูกว่า ถึงแม้ว่าสัตว์ประหลาดพวกนี้จะเป็นสิ่งที่เลวร้ายแต่มันกลับเป็นสิ่งที่ทำให้ชาวคุณหลุนมีจิตใจที่เข็มแข็งอยู่ตลอดเวลา ท้ายที่สุด สิ่งที่เลวร้ายอาจกลายเป็นสิ่งที่ดีก็ได้
พวกกองทัพสัตว์บุกขนาดเล็กกินเวลาสู้ไปถึง 10 วัน แต่หากผ่าน 10 วันนี้ไปได้ พวกสัตว์อสูรก็จะหยุดโจมตีและส่วนที่เหลือที่ยังไม่ตายก็จะกลับไปยังหุบเขาที่พวกมันจากมา
10 วันเป็นเวลาที่ไม่ถือว่าสั้นหรือยาว หากเฉินหลงผ่านวันแรกมาได้ อีก 9 วันที่เขาต้องสู้กับกองทัพสัตว์บุกก็ถือจะว่าเป็นเรื่องง่ายไปเลยเพราะที่นี่มีทั้งเฉินหลงและชาวคุณหลุนที่พร้อมจะกำจัดเหล่ากองทัพสัตว์บุกให้สิ้นซาก
ยิ่งแปลกว่านั้น เฉินหลงได้ออกคำสั่งให้ชาวคุณหลุนรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อที่จะลดจำนวนการสูญเสียให้ได้ต่ำที่สุด
ไม่ช้าก็ผ่านไปได้ 10 วัน เหล่าสัตว์อสูรดวงตาสีแดงก่ำที่ยังไม่ตายต่างวิ่งถอยกลับไปยังที่ที่พวกมันจากมา
“เจ้าสัตว์อสูรตัวน้อยจบแล้วสินะ พวกเราชนะ” เมื่อมองไปที่สัตว์อสูรที่กำลังวิ่งกลับไป เฮยเตียก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย
“อาจารย์ พวกเราชนะ” ไป่ไท่ฮางก็มองไปที่เฉินหลงด้วย
“ใช่ พวกเราชนะ พวกเราชนะแล้ว” เฉินหลงพยักหน้ารับ
เวลานี้ มหานครก็ต่างมีเสียงดังหลุดรอดออกมาเช่นกัน
“พวกเราชนะ “
“พวกเราชนะ “
“พวกเราชนะ “
TB:บทที่ 257 มนุษย์หมาป่า
เมื่อเฉินหลงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของเขาในที่สุดก็กลับกลายเป็นอาคารตึกสูงบนโลกที่คุ้นเคย
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สรวงสวรรค์ ระบบอัฉริยะได้รีบระบุตำแหน่งให้กับเฉินหลงได้ทราบ ที่นี่คือฟ็อกซิตี้ หรือเมืองแห่งหมอก ตอนนี้เฉินหลงกำลังยืนอยู่บนสะพานของตึกในเมืองฟ็อกซิตี้ เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนจึงมีผู้คนจำนวนไม่มากอยู่บนสะพานของตึกแห่งนี้ บางช่วงมีรถยี่ห้อจากัวร์สองคันขับผ่านไปอย่างช้าๆซึ่งรถพวกนี้แสดงให้เห็นถึงสไตล์รถของคนประเทศนี้ว่าชื่นชอบรถที่มีประตูเปิดด้านท้ายและชอบที่จะใช้รถที่ผลิตโดยประเทศของตน
ชื่อของเมืองฟ็อกซิตี้หรือที่เรียกว่าเมืองแห่งหมอกไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อความไพเราะ แต่เมืองแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกที่หนาแน่นทั้งเมือง ซึ่งมีกลิ่นฉุนที่เกิดจากท่อไอเสียของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลผสมอยู่ด้วย การแก้ไขปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมของเมืองฟ็อกซิตี้ประสบปัญหาหลายปี แต่ดูเหมือนว่ามันไม่ได้สร้างผลกระทบใดๆเลย น้ำในแม่น้ำที่อยู่ใต้สะพานดูเป็นสีดำและเมื่อแสงจากตึกสูงกระทบกับน้ำและสะท้อนกลับไปยังตัวอาคารมันก็ยิ่งทำให้แม่น้ำใต้สะพานแห่งนี้ดูลึกและมืดมนเข้าไปอีก
“คิดไม่ถึงว่าฉันจะกลับมาที่นี่ได้ กลับมายังเมืองฟ็อกซิตี้ เอาละ วันพักผ่อนก่อนละกัน พรุ่งนี้ค่อยหาทางกลับ” หลังจากที่เฉินหลงยืนคิดอยู่ได้ไม่นาน เขาก็ค่อยก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
หลังจากที่จัดการเรื่องกองทัพสัตว์ได้สำเร็จแล้ว เฉินหลงก็ได้กล่าวลากับไป่ไท่ฮาง ไป่ไท่ฮางรู้สึกไม่เต็มใจนักเมื่อรู้ว่าเฉินหลงกำลังจะจากเมืองคุณหลุนไป แต่เขาก็รู้ดีว่าอาจารย์ของเขาไม่ได้เป็นคนของที่นี่และอาจารย์ก็มีบ้านของเขาที่อยู่ที่อื่น
“จงพยายยามอย่างเต็มที่ในการฝึกตนและช่วยเหลือชาวคุณหลุนให้กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น อีก 20 ปีข้างหน้า เจ้าและตัวอาจารย์จะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง หากเป็นไปได้ อาจารย์จะพาเจ้ามายังบ้านเกิดของอาจารย์และให้เจ้าได้เห็นที่ที่อาจารย์อาศัยอยู่” หลังจากที่เฉินหลงได้กล่าวลาทิ้งทายไว้ให้กับไป่ไท่ฮางแล้ว เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วมุ่งตรงไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเห็นเฉินหลงจากไปแล้ว ไป่ไท่ฮางก็ตั้งใจไว้ว่าจะทำตามที่อาจารย์สั่ง
หลังจากที่เฉินหลงมายังวิหารศักดิ์สิทธิ์ หวงเหรินก็ได้ให้อุปกรณ์และบอกวิธีการในการสร้างประตูมิติ และจากนั้นก็นำเฉินหลงไปยังประตูมิติขนาดเล็กในวิหารศักดิ์สิทธิ์
ประตูมิติบานนี้ไม่ใหญ่มากนั้นและมันก็มีลักษณะเป็นประตูบานกลม
หลังจากที่หวงเหรินได้ใส่เหล่าผลึกอัญมณีสัตว์ไปในประตูมิติแล้ว เส้นของประตูมิติก็สว่างขึ้นซึ่งแสงที่ส่องสว่างออกมาเป็นส่องที่สาดออกมาจากประตูมิติ
“เฉินหลง ก้าวจากตรงนี้ไป เจ้าสามารถกลับไปยังที่ของเจ้าได้แล้ว”
หลังจากที่ได้เปิดประตูมิติแล้ว หวงเหรินจึงได้พูดกับเฉินหลงแต่พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังจึงทำให้เฉินหลงต้องหันกลับไปมองเขา โลกอีกด้านหนึ่งของประตูมิติเป็นโลกของพระเจ้าซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่ที่หวงเหรินจะโหยหาอยากที่จะข้ามไป แต่หากไม่ได้รับความอนุญาตจากเซี่ยงอวี่แล้ว เขาไม่มีวันที่จะได้ข้ามไปด้วยตนเองแน่
เฉินหลงยิ้มให้หวงเหรินพร้อมกับพยักหน้าให้ จากนั้นก็ข้ามประตูมิติไป
เป็นเพราะว่าเพิ่งกลับมา ทุกสิ่งบนโลกจึงดูงดงามในสายตาของเฉินหลง แม้ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านเมืองของเขา แต่เขาก็ได้จากโลกแห่งนี้ไปถึง 2 ปี แม้จะมีกลิ่นมลพิษของน้ำมันดีเซลในอากาศแต่มันกลับเป็นกลิ่นที่หอมมากสำหรับเฉินหลง ในเมื่อที่นี่ไม่ใช่เมืองของเขา เขาจึงย่อมไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว
เฉินหลงไม่ได้รีบร้อนหาที่พักนัก ตอนนี้เขาต้องการเพียงมองความสวยงามของโลกใบนี้เท่านั้น
เวลานี้ ท้องฟ้าก็เริ่มมีหยดน้ำฝนตกลงมาแต่เฉินหลงกลับไม่ได้สนใจและปล่อยให้น้ำฝนตกลงมาโดนตัวเขาเพียงเพราะว่าเขาไม่ได้สัมผัสกับน้ำฝนบนโลกมาสองปีแล้ว
เมื่อเดินเฉินหลงไป เขาเดินไปที่ย่านเมืองเก่าของเมืองแห่งนี้อย่างช้าๆ เช่นเดียวกับเมืองใหญ่ๆหลายเมือง ที่โดยทั่วไปแล้วย่านเมืองเก่าเป็นเหมือนความแตกต่างของความสวยงามจากความทันสมัยในเมืองและความสกปรกและดูยากจนในย่านเมืองเก่า
ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ บวกกับความมืดที่ปกคลุมทั่วบริเวณจึงย่อมมีการปล้นทรัพย์เกิดขึ้นได้ เวลานี้ เฉินหลงกำลังเผชิญกับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่เบื้องหน้า นั้นก็คือกลุ่มวัยรุ่นผิวสีที่อายุราว 16-17 ปี พวกเขาสวมหมวกปีกกว้างและตอนนี้กำลังยืนล้อมเฉินหลงอยู่ หนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นผิวสีนี้มีชายร่างกำยำที่กำลังชี้ไปที่เฉินหลงพร้อมกับปืนพกดีเสิร์ทอีเกิ้ลและพูดว่า “โชคมาแล้วพวก”
เฉินหลงที่กำลังอารมณ์ดีอยู่ตอนนี้ เมื่อได้ยินเสียงที่ดังมาจากชายผิวสิที่กำลังพูดถึงเขาพร้อมกับถือปืนพกในมือ เขาก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรและยังมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าพร้อมกับพูดว่า “นี้มันปืนพกดีเสิร์ทอีเกิ้ลหนิ ฉันไม่ได้เห็นปืนนี้มานานแล้ว”
“หมางเฉิ่น(忙神)” เมื่อได้ยินเฉินหลงพูดเป็นภาษาจีน ชายวัยรุ่นผิวสีก็คิดว่าเฉินหลงพูดกวนประสาท เขาจึงจ่อปืนไปที่หน้าผากของเฉินหลงทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยวยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน ชายวัยรุ่นผิวสีอีกคนก็บอกให้เพื่อนในกลุ่มค้นตัวเฉินหลง เนื่องจากเฉินหลงไม่ยอมให้ค้น ชายวัยรุ่นคนนั้นจึงก้าวไปหาเฉินหลงตรงหน้าเพราะไม่อย่างนั้นหากปล่อยให้เวลาผ่านไปนานกว่านี้ตำรวจอาจจะมาที่นี่
แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นผิวสีได้กระซิบบอกบางอย่างกับเพื่อนในกลุ่มข้างหู
หลังจากที่ฟังคำกล่าวจากเพื่อนแล้ว สีหน้าของชายผิวสีคนนั้นก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยและพูดกับเฉินหลงว่า “คนจีน?”
“ใช่ ฉันมาจากประเทศจีน” เฉินหลงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าตอบไปด้วย
หลังจากที่เห็นเฉินหลงพยักหน้ารับ วัยรุ่นผิวสีคนนั้นก็เกิดลังเลใจ หลังจากที่คิดได้ เขาก็ลดปืนลงแล้วยื่นให้กับเพื่อนเขา
ตอนนที่เขาถอยออกมา เพื่อนในกลุ่มได้บ่นกับเขาว่า
“เป็นอะไรไป? ทำไมพวกเราถึงทำอะไรพวกญี่ปุ่นหรือเกาหลี(棒子国)ได้เลยวะ? แล้วทำไมไอ้หนุ่มคนนี้ต้องเป็นคนจีนอีก? โชคไม่ดีตริงๆเลยวะ”
“บอส ไอพวกญี่ปุ่นกับเกาหลีจะกล้ามาเดินแถวนี้ได้ยังไง เว้นแต่จะเป็นคนจีนหรอก ถ้าเป็นแบบนี้ พวกเราก็ไปหารายอื่นเถอะ” เพื่อนในแก๊งค์ผิวสีคนหนึ่งพูด
“ไป ไปกันเถอะพวก พวกเราค่อยพูดเรื่องนี้ทีหลังกัน”
จากนั้นกลุ่มแก๊งค์วัยรุ่นผิวสีก็หายไปจากตรอกในความมืด
“นี้มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นที่นี่กันเนี่ย?” เมื่อพบว่ากลุ่มวัยรุ่นกลุ่มนั้นไม่ได้มาปล้นตน เฉินหลงจึงรู้สุกงุนงง
“ถ้านายยังไม่เข้าใจ ก็ตามฉันมาสิ” อยู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นมา เฉินหลงจึงได้เดินตามไปในตรอก
หลังจากที่เข้าตรอกมา เฉินหลงก็เห็นกลุ่มคนหนุ่มสาวกำลังยืนล้อมชายกำยำร่างสูงที่กำลังถูกปืนไปที่หน้าผากโดยชายอีกคนที่เหมือนกำลังขู่เอาเงินจากเขา
“ไก่อ่อนอย่างแกกล้ามาปล้นคนอย่างฉันหรอ แกไม่รู้จริงๆหรอว่ากำลังรนหาที่ตายอยู่?” ชายร่างสูงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงจองหองราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจปืนที่กำลังจ่ออยู่ที่หน้าผากของเขาเลย
“แกรู้รึเปล่า ว่าในนิวเวิร์ลฉันมาถึงระดับ 10 แล้ว มันยากที่นายจะหนีฉันไปได้ ฉันจะให้เงินตามที่แกขอและปล่อยแกไป” ชายหนุ่มที่ถือปืนไม่ได้กลัวเลยกับคำพูดของชายตรงหน้าสักนิด
“นิวเวิร์ล ทักษะการยิงปืนระดับ 10 งั้นหรอ?” รอยยิ้มที่เหยียดหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายร่างสูง
“แกคิดว่าแกมีสิทธิ์มาโชว์ออฟต่อหน้าฉันหรอ? แต่ถ้าอยากจะโชว์ละก็ ฉันก็จะทำให้แกได้รู้ว่าความสยดสยองคืออะไร” พูดจบ ชายร่างใหญ่ก็คว้าไปที่ปืนของชายหนุ่มตรงหน้าแล้วบดขยี้ปืนของชายคนนั้นตรงหน้า
“ปืนก็เหมือนของเล่นในสายตาของฉัน” พูดจบ อยู่ๆชุดของชายร่างสูงก็ฉีกและขาดออกจากกัน สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับมนุษย์ที่มีความสูงมากกว่า 2 เมตร ร่างกายที่ปกคลุมขนสีดำราวและส่วนหัวที่มีลักษณะคล้ายกับหมาป่าปรากฏขึ้นมาแทนที่ชายก่อนหน้านั้น
“ไอ้ไก่อ่อน ฉันเป็นมนุษย์หมาป่านิวเวิร์ล ตอนนี้ก็ได้เวลามื้อค่ำของฉันแล้ว” ชายตรงหน้าก่อนหน้านี้ได้กลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าได้พูดกับกลุ่มวัยรุ่น
TB:บทที่ 258 การกลับมา
“มนุษย์หมาป่า? นี่มันอะไรกันเนี่ย?” เฉินหลงประหลาดใจที่เห็นชายผู้นั้นแปลงร่างกลายเป็นมนุษย์หมาป่า โลกเหมือนจะต่างออกไปจากเดิมเลกน้อยเมื่อเขากลับมาครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของมนุษย์หมาป่านั้นก็ไม่ได้มีมากเท่ามนุษย์หมาป่าขั้นปรมาจารย์ระดับสูง
“แฮนซั่น(汉森) เขาเป็นมนุษย์หมาป่า วิ่ง!” เมื่อวันรุ่นชายผิวสีเห็นว่าชายร่างยักษ์กลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่า เขาจึงรีบร้องตะโกนเตือนให้เพื่อนของเขาวิ่ง
“ถ้าแกวิ่งหนี ก็จงตายซะ”
วัยรุ่นพวกนี้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่กำลังเผชิญหน้ากับมนุษย์หมาป่าที่เชี่ยวชาญในการล่าอยู่แล้วและในสถานการณ์แบบนี้มนุษย์หมาป่าย่อมที่จะได้เปรียบ เช่นนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางรอด พวกเขาจะโดนตะปบด้วยกรงเล็บของมนุษย์หมาป่าและถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
หลังจากนั้น มนุษย์หมาป่าได้ควักหัวใจของหนุ่มผิวสีออกมาแล้วเอาเข้าปาก
“อร่อย หัวใจสดๆของพวกเด็กวัยรุ่นนี้มันอร่อยที่สุด” หลังจากที่ได้กลืนหัวใจของหนุ่มวัยรุ่นผิวสีคนนั้นเข้าไปแล้ว มนุษย์หมาป่าก็เลียเลือกที่เปรอะรอบๆปากของเขาพร้อมพูดออกมาอย่างพึงพอใจ
หลังจากมองไปที่ร่างของหนุ่มวัยรุ่นผิวสีด้วยสายตาที่กระหายและรสราติยังกรุ่นอยู่ในปาก มนุษย์หมาป่าก็ได้จากไป
“สัตว์ดโสโครกกลางคืนที่เพิ่งก่ออาชญากรรมอย่างแกคิดจะไปแล้วหรอ?”
น้ำเสียงเย็นชานที่แฝงไปด้วยความจองหองดังขึ้นมาพร้อมกับเงาแสงรูปไม้กางเขนสีขาว
มนุษย์หมาป่าหลบไม่ทัน เช่นนั้น เขาจึงถูกไม้กางเขนแสงตีเข้าที่หน้าอก
ทันใดนั้นมนุษย์หมาป่าจึงร้องโหยหวนออกมาและร่างของมันก็กระเด็นออกไปในระยะสิบเมตร ในขณะเดียวกัน ผิวหนังและบริเวณบนร่างกายที่โดนไม้กางเขนฟาดลงไปก็ดูดเน่าเฟะ เนื่องจากแสงของไม้กางเขนได้เผ่าเนื้อหนังบริเวณหน้าอกของมันราวกับเปลวไฟ
เวลานี้ ชายผมบลอนด์ในเสื้อคลุมสีขาวได้เดินออกมาจากความมืด ร่างคนนี้ดูเหมือนกับมีแสงสว่างออกมาจากร่างของเขาด้วย เมื่อเขาเดินมา ความมืดในซอยก็เหมือนจะสว่างตามเขาไปด้วย
“ราชสำนักของสันตะปาปา?” มนุษย์หมาป่ามองไปที่ชายผมบลอนด์ด้วยความเจ็บปวด
มนุษย์หมาป่าโดยปกติแล้วจะมีพละกำลังมากและว่องไว แต่เมื่อแสงแห่งราชสำนักของสันตะปาปาปรากฏขึ้น พลังของพวกมันจะถูกยับยั้งและควบคุมในทันที
“ความชั่วร้ายทั้งหลายจงถูกกำจัดออกไป” ชายผมบลอนด์ผมพร้อมกับยกไม้กางแขนขึ้นแล้วสาดแสงไปที่ร่างของมนุษย์หมาป่า
เมื่อได้เห็นราชสำนักของสันตะปาปา เฉินหลงจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญ แต่ทำไมเขากลับไม่รู้วิธีในการโจมตีในเลวลระดับสูงและดูเหมือนไม่ส่งผลต่อร่างกายเขาด้วย
“ให้ตายเถอะ พระเจ้า คนพวกนี้มันเป็นคนเลว ธุระอะไรของนายที่ต้องมาตามฆ่าพวกมันด้วย?” มนุษย์หมาป่าที่กำลังเกรียวกราดพูดกับชายผมบลอนด์
“พวกคนเลวก็เป็นมนุษย์ แม้ว่าพวกเขาจะทำสิ่งที่ชั่วร้าย พระเจ้าก็จะให้อภัยแก่พวกเขา แต่อย่างไรก็ตาม แกก็เป็นสัตว์ร้ายที่มาจากความมืดและดูหมิ่นพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจะไม่อภัยให้กับแก ฉะนั้น จงล้างบาปเสีย ชำระล้างให้บริสุทธิ์เพื่อพระ ” ไม้กางเขนที่อยู่ในมือชายผมบลอนด์เปล่งแสงที่ขาวออกมาแล้วสาดไปทั่วร่างของมนุษย์หมาป่า
เมื่อเห็นแสงสีขาวกำลังสาดส่องมาที่ตน แววตาของมนุษย์หมาป่าก็เต็มไปด้วยความโกรธแต่แฝงไปด้วยความสลดใจ
เวลานี้ แสงสีดำที่เป็นเหมือนเกราะป้องกันร่างมนุษย์หมาป่าไว้จากการโจมตีของตัวแทนพระเจ้า ขณะนั้นเขาได้แอบสร้างก้อนกลุ่มพลังสีดำโจมกลับไปที่ชายผมบลอนด์
ตัวแทนของพระเจ้าที่คิดไม่ถึงว่าเขาจะโดนลอบโจมตี เขาทุบไปที่หน้าอกของตัวเองจนไม่มีเวลาตอบโต้กลับ และคนที่ถูกจับกุมไว้ได้เมื่อสักครู่ก็ได้โจมตีไปที่เขาซ้ำจนร่างของเขากระเด็นห่างออกไป 10 เมตร ร่างของเขากระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรงจนทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้ชั่วขณะ
อยู่ๆก็มีชายสวมเสื้อคลุมที่คล้ายกับพ่อมดยุคกลางปรากฏตัวขึ้นมาและเขาไปจับตัวมนุษย์หมาป่าและได้หายไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน ชายผมบลอนด์ก็ลุกขึ้นจากพื้นอย่างช้าๆและมองไปที่ร่องรอยของชายในชุดคลุมสีดำพร้อมกับร่างมนุษย์หมาป่าที่จากไป แววตาเยือกเย็นปรากฏขึ้นในดวงตาเขาก่อนที่จะจากไป
เมื่อตรอกกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เฉินหลงจึงปรากฏตัวขึ้น
ตอนที่เขาเขามาในตรอกนี้ เฉินหลงได้ใช้พลังปราณแห่งฟ้าดินคลุมร่างตัวเองไว้ ดังนั้น มนุษย์หมาป่าและตัวแทนพระเจ้าจึงย่อมไม่พบร่างของเขาที่อยู่ตรงนี้
“ดูเหมือนว่าโลกจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยหลังจากที่ฉันกลับมาแล้วจริงๆ” เฉินหงมองไปที่รอยเลือดในตรอกแล้วค่อยจากไป
หลังจากที่หาโรงแรมเล็กๆที่จะพักได้แล้ว เฉินหลงก็หยิบโทรศัพท์มือถือมือถือที่ไม่ได้ใช้งานมามากกว่า 2 ปีออกมาชาร์จแบตเตอร์รี่
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เฉินหลงได้หยิบโทรศัพท์มือถือเปิดเครื่องและกดโทรออกไปหาจี้โม่ซี เพียงเพราะอยากจะบอกกับเธอว่าเขากลับมาแล้ว
“เฉินหลง นั้นคุณหรอคะ?” หลังจากที่ต่อสายติดแล้ว เสียงของจี้โม่ซีก็ดังออกมาจากมือถือซึ่งเสียงของเธอนั้นเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ โม่ซี ผมกลับมาแล้ว” เฉินหลงพูดด้วยน้ำสียงอย่างขอโทษ
อยู่เขาก็หายตัวไปมากกว่า 2 ปี ไม่ว่ากับจี้โม่ซีหรือครอบครัวของเขา เฉินหลงก็รู้สึกผิดและอยากขอโทษอย่างสุดซึ้ง
หลังจากที่เฉินหลงพูดว่าเขากลับมาแล้ว เขาก็ได้ยินเสียงจี้โม่ซีร้องไห้ดังออกมาผ่านโทรศัพท์
เมื่อได้ยินเสียงจี้โม่ซีร้องไห้ เฉินหลงจึงทำได้เพียงกล่าวขอโทษและปลอบโยนเธอ สิบนาทีผ่านไป จี้โม่ซีจึงค่อยๆหยุดร้องไห้ จากนั้นก็เริ่มวีดิโอคอลกับเฉินหลง
ในภาพหน้าจอแสดง ดวงตาทั้งคู่ของจี้โม่ซีแดงก่ำ
“เฉินหลง ฉันคิดถึงคุณมาก ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน? ทำไมถึงหายไปนานโดยไม่บอกกล่าวหรือทิ้งข้อความไว้ว่าจะกลับมาสักคำ? คุณรู้ไหมว่าฉันกังวลมากแค่ไหน? ” หลังจากที่เชื่อมต่อสัญาญาณวีดิโอคอลได้ จี้โม่ซีก็เริ่มเล่าเรื่องของตนตอนที่เฉินหลงไม่อยู่
เมื่ออยู่ต่อหน้าจี้โม่ซี เฉินหลงไม่สามารถพูดอออกมาได้ว่าเขาเพิ่งกลับมาจากดาวเคราะห์อีกดวง เขาพูดได้เพียงว่าเขาหายไปในที่ที่ลึกลับแห่งหนึ่งเพื่อทำภารกิจลับบางอย่าง โดยที่ไม่ได้ติดต่อกับโลกภายนอกเลยและเขาไม่สามารถออกมาจากที่แห่งนั้นได้จนกว่าจะจบภารกิจเท่านั้น วันนี้ เขาทำหน้าที่ของเขาเสร็จสิ้นแล้วและออกมาจากที่ตรงนั้นแล้ว จากนั้นเขาจึงย้ำกับตัวเองว่าเมื่อเขากลับมาได้แล้ว เขาจะโทรหาจี้โม่ซีเป็นคนแรก
“เฉินหลง ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน? เมื่อไหร่คุณจะมาหาฉันคะ?” จี้โม่ซีไม่สนใจว่าเฉินหลงจะพูดความจริงหรือโกหกเธอ ตราบใดที่เฉินหลงกลับมาหาเธอได้ ก็ไม่มีอะไรสำคัญสำหรับเธออีกต่อแล้ว
“ตอนนี้ผมอยู่ที่เมืองฟ็อกซิตี้ อีกสองวันผมถึงจะกลับบ้านได้” เฉินหลงพูดพร้อมยิ้มให้
……
หลังจากนั้น เฉินหลงก็ได้คุยกับจี้โม่ซีอยู่นาน เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากปากของเฉินหลงแล้วก็ก็ได้เข้าใจและรู้จักกับนิวเวิร์ลว่าเป็นที่รู้โดยแพร่หลายไปทั้งประเทศ และด้วยความช่วยเหลือจากนิวเวิร์ล ร่างกายของผู้คนก็เริ่มดีขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากการเกิดขึ้นของ ‘นิวเวิร์ล’รัฐก็ได้ส่งเสริมให้มีการออกกำลังกายประเภทหนึ่งที่เรียกกันว่า ‘เทคนิคการออกกำลังกายฟิตเนส’
เมื่อได้รู้เทคนิคสำคัญจากปากของจี้โม่ซีแล้ว เฉินหลงก็รู้สึกได้ว่าการอกกำลังกายนี้ไม่น่าใช่การเต้นแอโรบิค แต่เป็นเทคนิคศิลปะการต่อสู้เบื้องต้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคอะไร ตราบใดที่คุณสามารถพัฒนาและเพิ่มสมรรถภาพทางร่างกายของคนจีนได้ ก็ถือว่าโอเคแล้ว
เนื่องจากนิวเวิร์ล ฮาร์ดดิสก์และแบตเตอร์รี่เป็นส่วนประกอบหลักที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนานี้ บริษัทเว่ยหลงจึงกลายเป็นบริษัทที่ได้รับผลกำไรมากที่สุดในโลกและแน่นอนว่าสิ่งที่สร้างผลกำไรให้กับบริษัทมากที่สุดก็คือนิวเวิร์ล
หลังจากที่เรื่องของ ‘นิวเวิร์ล’แพร่หลายไปทั่วประเทศจีน และเวอร์ชั่นดังกล่าวก็เป็นเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์แบบที่สุด ส่วนสำหรับ ‘นิวเวิร์ล’ในต่างประเทศนั้นยังไม่ได้การอัปเดตเวอร์ชั่นเต็มรูปแบบ บริษัทจึงได้สร้างอุปกรณ์ประกอบบางอย่างเช่น เครื่องมือ อาวุธและขวดเลือด แน่นอนว่าราคาของเหล่านี้ล้วนราคาสูง แต่อย่างไรลูกค้าต่างชาติพวกนั้นต่างมีฐานะร่ำรวยและไม่ได้มีปัญหาเรื่อง ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือชาวต่างชาติรู้แล้วว่า ‘นิวเวิร์ล’ของประเทศจีนสามารถพัฒนาและปรับปรุงสมรรถภาพทางร่างกายของผู้คนได้ อย่างไรก็ตามแล้ว มักจะมีบางคนที่ปากเสียท่ามกลางเหล่าผู้คนในประเทศนี้ที่ป่าวประกาศเรื่องที่เกี่ยวกับสหรัฐอเมริกาเป็นผลทำให้มีประเทศผู้นำร่วมกับสหรัฐและสหรัฐเองก็เริ่มมีปัญหาให้กับจีนมหาอำนาจ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น