เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย 251-259

 ตอนที่ 251 ออกเดินทางท่องเที่ยว 


 


จิ้นหยวนชักหัวคิ้วชนกันมุ่น “ทำไมล่ะ?” 


 


 


เธอลังเลเล็กน้อย “ถ้าฉันพูดไปแล้วคุณอย่าโกรธนะคะ” 


 


 


“คุณพูดเถอะ” จิ้นหยวนเปลี่ยนท่านั่ง รู้สึกว่าสิ่งที่เธอกำลังจะพูดอาจจะทำให้ตัวเองไม่พอใจได้ 


 


 


“คุณแม่บอกว่าอยากจะพาฉันออกไปเที่ยวเพื่อผ่อนคลายน่ะค่ะ” เธอลังเลอีกเล็กน้อย ตัดสินใจเอ่ยบอกอย่างอ้อมค้อม 


 


 


“คุณไม่มีความสุขอย่างนั้นเหรอ?” เขาเอ่ยถาม 


 


 


“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ” เธอลังเล ไม่รู้ควรจะพูดอย่างไรดี 


 


 


“คุณพูดเถอะ ผมไม่โกรธหรอก” เขามองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเธอกำลังกังวล 


 


 


เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ฉันมีความสุขมากเวลาที่อยู่กับคุณ แต่ว่า… พอฉันคิดว่าตัวเองกำลังมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น มันก็ทำให้ฉันกลัว เพราะฉะนั้น …” 


 


 


“เพราะฉะนั้น คุณก็เลยคิดจะไปจากผมใช่ไหม?” เขาเอ่ยถามเสียงเฉียบ 


 


 


“เปล่า ไม่ใช่นะคะ ฉันแค่อยากจะทำใจให้สงบ จะได้คิดให้ดีๆ ว่าเราควรจะเดินต่อไปยังไง” 


 


 


เขาจ้องเธอนิ่งนาน จากนั้นค่อยๆ พยักหน้าให้เธอช้าๆ “ได้ ผมอนุญาต” 


 


 


แม้เขาจะพูดอย่างนั้น แต่จากร่างกายที่แข็งเกร็ง หัวคิ้วที่ขมวดกันแน่น ริมฝีปากที่เม้มเป็นเส้นตรง กรามที่ขบกันแน่น บ่งบอกชัดเจนว่าตอนนี้เขากำลังอารมณ์เสียมาก 


 


 


เฉียวซือมู่เห็นท่าทางของเขาแล้วชักใจไม่ดี ไม่รู้ว่าทำแบบนี้เป็นการทำเพื่อตัวเองหรือเพื่อเขากันแน่ เธอถอนหายใจแล้วก้าวไปข้างหน้า ยื่นแขนออกไปกอดเขา “ขอโทษ ฉันเห็นแก่ตัวมากเกินไป คิดถึงแต่ความรู้สึกของตัวเองจนละเลยความรู้สึกของคุณ” 


 


 


เขาฟังคำพูดของเธอแล้ว ใบหน้าที่เคยตึงเครียดเผยรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง 


 


 


นับแต่นั้นความรู้สึกของเขาและเธอก็พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ไม่นาน เฉียวซือมู่ก็ไปเที่ยวต่างประเทศกับคุณนายเฉียว ก่อนออกเดินทางเธอยังพยายามบอกเป็นนัยๆ ให้เขาจัดการเรื่องระหว่างเขากับหร่วนเซียงเซียงให้เรียบร้อย แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจิ้นหยวนจะเข้าใจหรือเปล่า 


 


 


เธอถอนหายใจเบาๆ จากนั้นออกเดินทางพร้อมคุณแม่ 


 


 


นับแต่นั้นจิ้นหยวนก็ใช้ชีวิตที่แสนจะเรียบง่ายและธรรมดา เขาเข้าออกงานตามปกติ กลับถึงบ้านแล้วยังคงทำงานต่อ โทรศัพท์หาเฉียวซือมู่ จากนั้นค่อยเข้านอน เขาทำเช่นนี้เป็นกิจวัตรประจำวัน และยังคงไม่สนใจหร่วนเซียงเซียงแม้แต่นิดเดียวเหมือนเช่นเคย 


 


 


ในขณะเดียวกัน หร่วนเซียงเซียงเองก็ไม่มีเวลาสนใจเขาเช่นเดียวกัน 


 


 


หร่วนเซียงเซียงอยู่ในห้องน้ำ เธอมองขีดเล็กๆ ตรงหน้าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ผลที่ปรากฎออกมาทำให้เธอตื่นตระหนก ทำไมถึงเป็นแบบนี้? 


 


 


ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น เธอรีบถลาเข้าไปหยิบมันขึ้นมาดู ชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอทำให้เธอโกรธจัด เธอยกโทรศัพท์มือถือขึ้นแนบหูทันที “ไอ้สารเลวหวังจื้อ นี่คุณยังกล้าโทรหาฉันอีกเหรอ?” 


 


 


หวังจื้อเอ่ยเนิบนาบ “คุณอ่อนโยนหน่อยสิ อารมณ์ร้ายทุกวันแบบนี้ มิน่าเล่า จิ้นหยวนถึงไม่ชอบคุณ” 


 


 


“คุณ… คุณคิดว่าทำไมฉันถึงด่าคุณ?” เธอโกรธจนหัวเราะออกมา “ฉันบอกคุณก็ได้ ฉันท้อง” 


 


 


“ท้อง?” ตอนแรกเขายังไม่เข้าใจ แต่เพียงครู่เดียวดวงตาเขาก็เป็นประกาย “จริงเหรอ? ท้องจริงเหรอ? ดีมาก” 


 


 


“ดีตรงไหนไม่ทราบ? คิดว่าฉันกล้าเก็บเด็กเอาไว้อย่างนั้นเหรอ?” 


 


 


“ทำไม่ถึงไม่กล้าล่ะ แต่จะว่าไปแล้ว เด็กนั่นเป็นลูกผมจริงเหรอ? ไม่ใช่ของจิ้นหยวนใช่ไหม?” 


 


 


“ไอ้สารเลว จิ้นหยวนไม่เคยแตะต้องตัวฉันด้วยซ้ำ” เธอโกรธจนด่าอย่างสาดเสียเทเสีย 


 


 


“จริงเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ดีมากเลยนะสิ จิ้นหยวนนี่ไร้น้ำยาจริงๆ ผู้หญิงเจ๋งขนาดนี้แต่กลับไม่แตะต้อง ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าคนอย่างหวังจื้อคนนี้จะมีวันสวมเขาให้จิ้นหยวนด้วย” หวังจื้อสะใจมาก 


 


 


“คุณหัวเราะบ้าอะไร รีบจัดการให้ฉันเลยนะ จิ้นหยวนไม่เคยแตะต้องฉัน แล้วจะทำยังไงกับเด็กคนนี้? ฉันต้องหาเวลาไปโรงพยาบาลแล้ว” เธอไม่รู้สึกดีใจเหมือนหวังจื้อเลยสักนิด คิดแต่จะจัดการปัญหายุ่งยากนี้ให้เร็วที่สุด 


 


 


หวังจื้อได้ยินแล้วตกใจยกใหญ่ “ไม่ได้นะ ที่รัก อย่าทำอย่างนี้เลยนะ เชื่อผม เก็บเด็กเอาไว้” 


 


 


“เก็บไว้จิ้นหยวนก็เอาฉันตายนะสิ คุณคิดว่าเขาเป็นคนยังไงกัน?” เธอเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ รู้สึกเสียใจมากที่ตัวเองเสียสติจนยอมให้เขาเข้าใกล้ จนเกิดปัญหาใหญ่โตขนาดนี้ นี่เขายังจะใจเย็นได้อยู่อีก 


 


 


เธอตัดสินใจแล้วว่าจะเอาเด็กออก เธอคุยกับเขาไม่กี่ประโยคก็จะวางสาย ไอ้บ้าเอ๊ย รอให้มีเวลาก่อนเถอะ เธอจะกลับมาคิดบัญชีกับเขาย้อนหลังแน่ 


 


 


หวังจื้อรีบห้ามเธอเอาไว้ “ที่รัก คุณฟังผมก่อน ไม่ใช่ลูกเขาก็ทำให้เป็นลูกเขาได้นี่ ทำไมคุณถึงบื้อ อย่างนี้นะ?” 


 


 


“อะไรคือทำให้เป็นของเขา?” เธอตะลึงนิ่งอึ้ง 


 


 


“ผมจะบอกอะไรให้…” หวังจื้อเริ่มเล่าแผนการของตัวเองให้เธอฟัง 


 


 


เธอยิ่งฟังดวงตายิ่งเบิกโตขึ้นเรื่อยๆ “ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ? แล้วถ้าเกิด…” 


 


 


หวังจื้อพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างใจเย็น “วางใจเถอะน่า คุณบอกว่าคนตระกูลจิ้นชอบคุณมากไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้แหละเหมาะที่สุดที่จะใช้พวกเขาให้เป็นประโยชน์ อีกอย่าง คุณคงไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้ไปตลอดชีวิตใช่ไหมล่ะ ส่วนเรื่องหย่าคุณก็เลิกคิดไปได้เลย เพราะไม่ว่าจะเป็นครอบครัวคุณหรือครอบครัวตระกูลจิ้น พวกเขาไม่มีวันยอมให้มีเรื่องหย่าร้างเกิดขึ้นแน่ หรือว่าคุณอยากเป็นม่ายผัวร้างไปทั้งชาติ ไม่มีแม้แต่ลูกสักคน?” 


 


 


คำพูดเขาแทงใจดำเธอเข้าอย่างจัง มาคิดๆ ดูแล้วเธอเป็นถึงคุณหนูหร่วนเซียงเซียงที่มีแต่คนรักและปกป้องตั้งแต่เล็กจนโต แล้วดูตอนนี้สิ จิ้นหยวนกลับทิ้งๆ ขว้างๆ เธอเหมือนของไร้ค่า ไม่แม้แต่จะชายตาแลเธอสักนิด และยิ่งไม่อยากแตะต้องตัวเธอด้วยซ้ำ แล้วเธอจะยอมให้เขาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีเธออยู่แบบนี้ได้อย่างไรกัน? 


 


 


หวังจื้อเห็นว่าเธอไม่ได้พูดอะไรอีกจึงรู้แล้วว่าเธอน่าจะหวั่นไหวกับแผนการของเขาแล้ว จึงรีบสุมไฟเข้าไปอีก “คุณลองคิดดูนะว่าถ้าสำเร็จแล้วจะมีข้อดีอะไรบ้าง” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 252 แผนร้าย  


 


 


 


 


 


หวังจื้อล่อหลอก “คุณมีหลานชายคนเดียวให้ตระกูลจิ้น พวกเขาจะต้องโอ๋คุณเหมือนไข่ในหินแน่ๆ แม้แต่จิ้นหยวนก็จะทำอะไรคุณไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจิ้นเฮ่าคงไม่ปล่อยเขาเอาไว้แน่ แล้วคุณจะทำอะไรกับผู้หญิงคนนั้นก็ได้” 


 


 


และเป็นอีกครั้งที่เขาพูดแทงใจดำเธอ น้ำเสียงเธอสั่นเล็กน้อย “วิธีของคุณมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน?” 


 


 


หวังจื้อเอ่ยอย่างไม่ต้องคิด “อย่างน้อยก็แปดสิบเปอร์เซ็นต์ คุณไม่ต้องรีบ พรุ่งนี้ผมจะเอายาให้คุณ ถึงเวลาคุณก็แค่ใส่ในเหล้าของเขาก็พอ” 


 


 


เธอครุ่นคิดไปมาพักใหญ่ รู้ทั้งรู้ว่าถ้าเกิดเรื่องนี้รั่วไหลออกไปเธอต้องตายแน่ และจุดจบของเธอคงน่าสมเพชมาก แต่ภาพอนาคตที่หวังจื้อวาดให้เธอก็ล่อใจเหลือเกิน เธอดิ้นรนต่อสู้ในใจอยู่นานสองนาน และในที่สุดเธอก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับแรงยั่วยวนนั้น 


 


 


เธอกำโทรศัพท์มือถือในมือแน่น ตัดสินใจแน่วแน่ “ได้ ฉันเชื่อคุณ” 


 


 


หวังจื้อที่อยู่อีกฟากสายยิ้มสะใจ 


 


 


ใกล้ถึงกำหนดกลับของเฉียวซือมู่กับคุณนายเฉียวแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะได้เห็นหน้าเธอแล้ว จิ้นหยวนดีใจมาก ขณะที่เขากำลังดีใจอยู่นั้น เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากฉินเพ่ยหรงพอดี 


 


 


เธอบอกให้เขากลับไปทานข้าวที่บ้านช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะเธอไม่ได้เจอหน้าลูกชายนานมากแล้ว 


 


 


คำพูดของคุณแม่ทำให้เขาใจอ่อนยวบทันที ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณพ่อไม่ค่อยดีนัก แต่กับคุณแม่กลับไม่เหมือนกัน เขารับปากโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำว่าจะกลับไปรับประทานอาหารที่บ้านหลังเลิกงานทันที 


 


 


หร่วนเซียงเซียงทำตาแป๋วฟังฉินเพ่ยหรงคุยโทรศัพท์อยู่ข้างๆ หัวใจเต้นตึกตัก คิดแต่ว่าถ้าเขาไม่ยอมมาแล้วเธอควรจะทำอย่างไรดี 


 


 


เธอเริ่มกลัวจิ้นหยวนมากขึ้น จึงใช้เหตุผลที่ต้องดูแลจิ้นเฮ่าเป็นข้ออ้างเพื่อจะได้กลับไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ของจิ้นหยวน ตอนนั้นเธอรู้สึกโล่งอกมาก แต่ตอนนี้เธอชักรู้สึกเสียใจขึ้นมาเสียแล้วสิ เธอควรจะอยู่ใกล้จิ้นหยวนเอาไว้ เวลาคิดจะลงมือกับเขาจะได้ไม่ต้องลำบากแบบนี้ 


 


 


ฉินเพ่ยหรงวางโทรศัพท์มือถือลง หันไปบอกกับหร่วนเซียงเซียงที่มีสีหน้าตื่นเต้นมากว่า “สบายใจได้ เขาบอกว่าจะมาคืนนี้” 


 


 


หร่วนเซียงเซียงถอนหายใจโล่งอกทันที 


 


 


ฉินเพ่ยหรงเห็นท่าทางเธอแล้วคิดว่าเธอคงคิดถึงจิ้นหยวนมาก จึงเอ่ยยิ้มๆ “เด็กคนนี้นี่ ปกติบอกให้ไปอยู่กับจิ้นหยวนก็เอาแต่ผลัดไปผลัดมา แล้วดูตอนนี้สิ อยากจะเจอหน้าเขาก็ต้องมาขอให้คนแก่คนนี้เป็นคนออกหน้าให้ จริงๆ เลย คืนนี้ก็กลับไปกับเขาซะ สองคนผัวเมียแยกกันอยู่แบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน?” 


 


 


หร่วนเซียงเซียงพยักหน้าหงึกๆ เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ไม่รู้ว่าเขาหายโกรธหนูหรือยัง” 


 


 


ก่อนหน้านี้เธออ้างว่าจิ้นหยวนโกรธเธอ เธอจึงขอย้ายกลับมาอยู่ที่นี่แทน 


 


 


ฉินเพ่ยหรงตบหลังมือเธอเบาๆ “เด็กโง่ เป็นสามีภรรยาเพียงวันเดียวผูกพันกันร้อยวัน เขาจะโกรธหนูได้ยังไง?” 


 


 


จิ้นเฮ่าที่นั่งฟังอยู่ตลอดเอ่ยขึ้น “มันกล้าเหรอ ถ้ากล้าเดี๋ยวฉันตีให้ขาหักเลย คอยดูสิ!” 


 


 


ฉินเพ่ยหรงมุ่นหัวคิ้วมองเขา “ดูพูดเข้าซิ คิดว่าอาหยวนยังเป็นเด็กอยู่หรือไง เอะอะก็จะใช้กำลังท่าเดียว” ฉินเพ่ยหรงเอ่ยจบแล้วจิ้นเฮ่าก็ไม่กล้าปริปากอีก จิ้นเฮ่าอารมณ์ร้าย แต่ทั้งบ้านมีแต่ฉินเพ่ยหรงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เขาไม่กล้าหือด้วย 


 


 


ฉินเพ่ยหรงเอ่ยจบแล้วเดินจูงมือหร่วนเซียงเซียง “ไป ไม่ต้องไปสนใจเขา เราไปเข้าครัวกันดีกว่า ดูซิว่าทำอะไรอร่อยๆ ให้อาหยวนกินดี” 


 


 


หร่วนเซียงเซียงยิ้มพลางพยักหน้า เดินตามฉินเพ่ยหรงเข้าไปในครัว 


 


 


ตอนหัวค่ำ จิ้นหยวนกลับบ้านตามที่รับปากเอาไว้ ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว สายลมยามราตรีพัดพาความเย็นมาด้วย เขาเดินเข้าไปในบ้าน เห็นอาหารมากมายเต็มโต๊ะ มีแต่อาหารที่เขาชอบทั้งนั้น แววตาเขาอ่อนลงทันที 


 


 


ฉินเพ่ยหรงเห็นเขาแล้วรีบทักทายทันที “อาหยวน มาถึงแล้วเหรอ มาๆๆ เรารอลูกนานแล้ว” 


 


 


เขาเดินเข้าไปที่โต๊ะอาหารพลางอธิบาย “รถติดน่ะครับ ก็เลยมาถึงช้า” ระหว่างที่พูด เขาไม่แม้แต่จะชายตาแลหร่วนเซียงเซียงสักนิด 


 


 


หร่วนเซียงเซียงรู้สึกประหม่ามาก ในมือกำขวดเล็กๆ เอาไว้แน่น 


 


 


จิ้นหยวนนั่งลง ฉินเพ่ยหรงแตะหร่วนเซียงเซียงเบาๆ เป็นกำลังใจให้เธอเป็นฝ่ายรุกมากกว่านี้ แล้วหันไปเอ่ยกับจิ้นหยวน “มาช้าก็ไม่เป็นไร พ่อกับแม่ก็แก่แล้ว อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ มีแต่เซียงเซียงนี่แหละที่เข้าครัวเป็นเพื่อนแม่ทั้งบ่าย แล้วยังต้องมารอลูกตั้งนาน ลูกต้องขอบใจหนูเซียงเซียงเขานะ” 


 


 


จิ้นหยวนกวาดสายตามองเธอแวบหนึ่ง เอ่ยเพียง “อืม” แค่คำเดียว 


 


 


ฉินเพ่ยหรงได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในอก ลูกชายคนนี้อะไรๆ ก็ดีหมดทุกอย่าง เสียอยู่อย่างเดียว เย็นชามากไปหน่อย หร่วนเซียงเซียงต้องมาแต่งงานด้วยก็ไม่ใช่ง่ายๆ เหมือนกัน 


 


 


จิ้นเฮ่าเห็นท่าทางจิ้นหยวนแล้วไม่พอใจ เขาครางเสียงฮึเย็นๆ กำลังจะอ้าปากพูดอะไรสักหน่อย แต่กลับถูกฉินเพ่ยหรงขึงตาปรามเอาไว้เสียก่อน 


 


 


จะหาเรื่องอะไรอีก ครอบครัวจะกินข้าวกันดีๆ สักมื้อไม่ได้ใช่ไหม? 


 


 


ฉินเฮ่าหุบปากทันที หร่วนเซียงเซียงพยายามรวบรวมความกล้าไปนั่งลงข้างจิ้นหยวน เธอยิ้มขวยเขิน “พี่จิ้นหยวน เรื่องก่อนหน้านี้ฉันผิดเอง ฉันขอโทษนะคะ พี่ให้อภัยฉันเถอะนะคะ” เอ่ยพลางยกแก้วไวน์ตรงหน้าขึ้น “ฉันขอโทษค่ะ” 


 


 


เอ่ยจบแล้วยกแก้วขึ้นดื่มไวน์แดงจนหมดแก้ว 


 


 


จิ้นหยวนชายตามองเธอแวบหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย 


 


 


เธอวางแก้วไวน์ลง เห็นเขายังคงปั้นหน้านิ่งไม่เปลี่ยนแล้วรู้สึกอับอายเล็กน้อย เธอกัดริมฝีปากล่างเบาๆ หยาดน้ำตาเอ่อคลอเต็มเบ้า 


 


 


จิ้นเฮ่าทนไม่ไหวอีกต่อไป ตบโต๊ะเสียงดังปังใหญ่ “ไอ้เด็กเปรต นี่แกยังมีหัวใจอยู่หรือเปล่า!” 


 


 


ฉินเพ่ยหรงพยายามคลี่คลายสถานการณ์ “นั่นสิอาหยวน เซียงเซียงเป็นเด็กดีมากเลยนะ คอยอยู่เป็นเพื่อนคนแก่อย่างเราทุกวัน ปรนบัติไม่เคยขาดตกบกพร่อง หาได้ยากมากเลยนะ ลูกก็เห็นแก่หน้าพ่อแม่หน่อยเถอะ ให้อภัยเซียงเซียงเถอะนะ” 


 


 


จิ้นหยวนเห็นฉินเพ่ยหรงพูดขนาดนี้แล้ว เขาจึงยกแก้วไวน์ขึ้นช้าๆ จากนั้นดื่มไวน์แดงจนหมดแก้ว 


 


 


นี่ถือเป็นการให้อภัยเธอแล้ว ฉินเพ่ยหรงเห็นแล้วยิ้มหน้าบานด้วยความพอใจ 


 


 


ความจริงเธอเองก็ไม่รู้หรอกว่าหร่วนเซียงเซียงไปทำอะไรให้จิ้นหยวนไม่ชอบเธอมากขนาดนี้ แต่ลงมือก่อนได้เปรียบก่อน เธอคิดมาตลอดว่าหร่วนเซียงเซียงเป็นคนเรียบร้อยว่าง่ายขนาดนี้ ต่อให้ทำผิดก็คงไม่ได้ตั้งใจ จิ้นหยวนน่ะใจแคบเอง แต่ดูท่าทางตอนนี้ ดูเหมือนจิ้นหยวนเองก็ไม่ได้คิดแตกต่างจากเธอนี่นา 


 


 


จิ้นหยวนไม่อยากทำให้คุณแม่โกรธ และยิ่งไม่อยากกระตุ้นอารมณ์คุณพ่อ เขาจึงจำใจปกปิดเรื่องที่หร่วนเซียงเซียงทำเอาไว้ไม่ให้พวกท่านรู้ และแน่นอน เขาเองก็ไม่ใช่คนที่ใครจะมาหาเรื่องกันได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้น ตอนนี้เขากำลังลงบัญชีเอาไว้ทีละเรื่องๆ และเตรียมคิดบัญชีรวบยอดทีเดียว 


 


 


หลังจากนั้นหร่วนเซียงเซียงไม่กล้าเล่นลูกไม้อะไรอีก ก่อนหน้านี้เธอถูกจิ้นหยวนสั่งสอนอย่างหนักตั้งหลายครั้ง ความรักที่เธอมีให้เขาลดน้อยถอยลงไปมาก แต่ความกลัวกลับเพิ่มขึ้นมากเป็นเท่าทวีเช่นเดียวกัน ดังนั้น เธอจึงฉวยโอกาสตอนที่จิ้นหยวนผ่อนคลายลงและไม่ระวังตัว แอบเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบโดยไม่มีใครสังเกตเห็น โดยการดีดผงยาที่ซ่อนอยู่ในเล็บเข้าไปในแก้วไวน์ของเขา 


 


 


จิ้นหยวนไม่ได้ระวังตัวเพราะไม่คิดว่าเธอจะกล้าลงมือต่อหน้าต่อตาตัวเองเช่นนี้ อีกทั้งตรงหน้ายังมีแต่อาหารอร่อยที่ตัวเองชอบทั้งนั้น นอกจากนี้ คุณแม่ยังคอยคีบอาหารให้เขาไม่หยุด และนานๆ ทีที่คุณพ่อจะไม่ดุด่าเขาด้วย เขาจึงพึงพอใจกับการรับประทานอาหารมื้อนี้มาก 


 


 


อาจเป็นเพราะเขาพอใจมาก ทำให้เขาดื่มไวน์แดงไปหลายแก้วจนรู้สึกเวียนศีรษะ 


 


 


เขาจับหน้าผากตัวเอง รู้สึกแปลกใจมาก เขาดื่มไวน์ไปเพียงไม่กี่แก้ว ทำไมถึงรู้สึกไม่สบายแบบนี้? 


 


 


ฉินเพ่ยหรงสังเกตเห็นท่าทางไม่สบายของเขาทันที เธอชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม “ลูกเมาหรือเปล่า? หน้าแดงไปหมดแล้ว” 


 


 


เขานวดคลึงหน้าผากตัวเองเบาๆ พลางพยักหน้าเล็กน้อย “ปวดหัวนิดหน่อยครับ” 

 

 

 


ตอนที่ 253 พลาด

 

“ลูกคนนี้นี่ ดื่มไม่เก่งแล้วยังจะดื่มเยอะอีก” ในสายตาคนเป็นแม่ ต่อให้ลูกโตมากแค่ไหนก็ตาม ลูกก็ยังคงเป็นเด็กน้อยในอกที่ชอบขี้อ้อนอยู่ดี ดังนั้น พอเห็นลูกชายตัวเองรู้สึกไม่สบายตัวจึงสงสารลูกจับใจ ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเมื่อกี้ตนเป็นคนคะยั้นคะยอให้เขาดื่มเอง 


 


 


และแน่นอนว่าไม่มีใครกล้าพูดให้เธอเสียหน้า 


 


 


ฉินเพ่ยหรงหันไปขยิบตาให้หร่วนเซียงเซียง หร่วนเซียงเซียงรู้กัน รีบยื่นมือออกไปประคองจิ้นหยวนเอาไว้ สองผู้เฒ่ามองสองหนุ่มสาวยิ้มๆ หร่วนเซียงเซียงยิ้มเขิน “หนู… หนูพาเขาขึ้นชั้นบนก่อนนะคะ” 


 


 


จิ้นเฮ่าพยักหน้าพลางเอ่ยอย่างรู้กันแต่ยังคงความน่าเกรงขามเช่นเดิม “ไปเถอะ” 


 


 


หร่วนเซียงเซียงหน้าแดงซ่านเพราะเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น แต่ตอนนี้เธอตื่นเต้นที่แผนการกำลังจะสำเร็จมากกว่า ตอนนี้เธอมีเหงื่อชื้นเต็มฝ่ามือ ใบหน้าขาวเผือด 


 


 


แต่ในสายตาของสองผู้เฒ่ากลับเห็นภาพลูกสะใภ้กำลังเขินเสียนี่ 


 


 


หร่วนเซียงเซียงประคองจิ้นหยวนเดินโงนเงนขึ้นบันไดไป 


 


 


ฉินเพ่ยหรงมองตามแผ่นหลังของสองหนุ่มสาวจนทั้งคู่เดินขึ้นบันไดจนลับตา จากนั้นหันไปเอ่ยกับจิ้นเฮ่าอย่างปลงอนิจจัง “หวังว่าวันนี้เราจะไม่ได้เสียแรงเปล่านะคะ” 


 


 


จิ้นเฮ่าทำเสียงฮึดฮัด “ก็ลองดูสิ ผู้หญิงที่มันเลี้ยงเอาไว้ข้างนอกคนนั้นไม่ใช่คนดี ถ้ามันไม่รีบจัดการให้เรียบร้อย อย่าหาว่าผมใจร้ายก็แล้วกัน” 


 


 


ฉินเพ่ยหรงมองเขาอย่างไม่พอใจนัก “นี่คุณอยากทำให้ความสัมพันธ์ของตัวเองกับลูกชายแย่มากไปกว่านี้หรือไง? ถ้าคุณทำอะไรผู้หญิงคนนั้น ดูซิว่าลูกจะให้อภัยคุณหรือเปล่า” 


 


 


เหตุผลที่จิ้นเฮ่ายอมออกหน้าเรียกจิ้นหยวนกลับบ้านครั้งนี้ เป็นเพราะเขาได้ข่าวมาว่าจิ้นหยวนกับเฉียวซือมู่กลับมาอยู่ด้วยกันอีกแล้ว เขาจึงเป็นกังวลมาก พวกเขาคิดว่าเฉียวซือมู่ต้องไม่ใช่คนดีแน่ ที่ยังคอยเกาะแกะลูกชายอยู่แบบนี้ก็เพราะต้องการเงินของลูกชายเท่านั้น เพื่อลูกชายแล้ว เขาจะต้องแยกทั้งสองคนออกจากกันให้ได้ 


 


 


และเหตุผลอีกข้อก็คือ เพื่อลูกสะใภ้แสนดีในใจเขา เธอมาร้องห่มร้องไห้บอกว่าจิ้นหยวนไม่สนใจไยดีเธอ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าหลานตระกูลจิ้นคงต้องเกิดจากผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่อยู่ข้างนอกแน่  คำพูดนี้แทงใจดำเรื่องที่สองผู้เฒ่ากำลังเป็นกังวลอยู่พอดี ด้วยเหตุนี้ ทั้งสามจึงร่วมมือกัน คิดแผนการที่จะช่วยทำให้จิ้นหยวนยอมรับในตัวหร่วนเซียงเซียง 


 


 


แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ หร่วนเซียงเซียงยังแอบวางยาจิ้นหยวนเพื่อให้แผนการสำเร็จตามแผนที่วางเอาไว้ แผนรัดกุมขนาดนี้ คงยากที่จิ้นหยวนจะไม่ตกหลุมพราง 


 


 


หร่วนเซียงเซียงทั้งดึงทั้งลากจิ้นหยวนเข้าไปในห้องที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้เป็นพิเศษสำหรับพวกเขา เธอต้องกลั้นใจดมกลิ่นแอลกอฮอล์รุนแรงจากตัวจิ้นหยวน ลากเขาไปวางลงบนเตียงจนได้ เธอกวาดสายตาสำรวจเขาแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขาอยู่ในสภาพไร้สติสัมปชัญญะจึงค่อยวางใจลง 


 


 


เธอนิ่งคิดชั่วครู่ เริ่มลงมือจากถอดรองเท้าให้เขา แม้จะตกอยู่ในสภาพมึนเมา แต่ใบหน้าเขายังคงหล่อเหลาไม่เปลี่ยน จู่ๆ หัวใจเธอก็เต้นเร็วและแรงขึ้น 


 


 


เธอลังเลเล็กน้อย เริ่มปลดกระดุมเสื้อเขาออกทีละเม็ดๆ เป้าหมายต่อไปคือกางเกง ขณะที่เธอกำลังจะลงมือนั้น จู่ๆ จิ้นหยวนก็คว้าจับมือเธอหมับ 


 


 


เธอตกใจเงยหน้าขึ้นมอง สบเข้ากับดวงตาล้ำลึกดั่งมหาสมุทรของเขาเข้าอย่างจัง 


 


 


เธอตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง สมองประมวลทันทีว่าควรจะแก้ตัวอย่างไร แต่กลับพบว่าแม้ดวงตาเขาจะลึกล้ำ หากแต่เลื่อนลอย 


 


 


เธอตะลึงอึ้ง พยายามหยั่งเชิง “พี่จิ้นหยวน?” 


 


 


ร่างกายเขาโงนเงน ราวกับพยายามดิ้นรนให้ตัวเองฟื้นคืนสติ ริมฝีปากบางเปล่งคำว่า “ออกไป!” จากนั้นล้มตัวลงบนเตียงเหมือนเดิม 


 


 


หัวใจเธอเต้นโครมคราม ตั้งนานกว่าเธอจะกล้ายื่นหน้าเข้าไปดูเขาเขาใกล้ๆ จิ้นหยวนหลับตาแน่น ดูเหมือนว่าเขาจะหลับไปแล้ว 


 


 


เธอถอนหายใจเฮือก จู่ๆ ความโกรธก็ปะทุขึ้นในใจ ไม่คิดเลยว่าขนาดเมาจนไม่ได้สติขนาดนี้แล้ว เขายังรังเกียจเธอมากขนาดนี้ 


 


 


เธอยืนอยู่ข้างเตียง สีหน้าเ**้ยมเกรียม แววตาสลับซับซ้อน ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจแน่วแน่ เธอค่อยๆ เปลื้องผ้าตัวเองอออก เดินเข้าไปใกล้เขา ค่อยๆ ยื่นมือออกไปลูบไล้หน้าอกหนั่นแน่นของเขา สีหน้าเ**้ยมเกรียมหายไปแล้ว หากแต่แทนที่ด้วยความลุ่มหลงอย่างลึกซึ้งแทน ดุจหญิงสาวที่แอบรักชายในฝันมานาน และในที่สุดก็ได้สัมผัสเขาเสียที… 


 


 


จิ้นหยวนค่อยๆ ลืมตาขึ้น ยื่นมือประคองใบหน้าเธอไว้ จ้องมองดวงตาตื่นตระหนกของเธอแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “มู่มู่…” 


 


 


เสี้ยววินาทีนั้น ดวงตาเธอเป็นประกายวาบ… 


 


 


กลางดึก เฉียวซือมู่นั่งรถแท็กซี่กลับบ้าน เธอและคุณนายเฉียวลงจากเครื่องบินเมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว จากนั้นนั่งรถแท็กซี่บ้าน 


 


 


คุณนายเฉียวแยกตัวกลับไปเมื่อสิบนาทีที่แล้ว เพราะ “ไม่อยากรบกวนความสุขของลูก” คุณนายเฉียวจึงกลับที่พักของตัวเองอย่างรู้หน้าที่ เหลือเพียงเฉียวซือมู่ที่ยังยืนอยู่หน้าประตูบ้านคนเดียว 


 


 


ทันทีที่พ่อบ้านรู้ว่าเธอกลับมาแล้วจึงรีบเปิดประตูให้เธอทันที แม้เธอจะกลับมาก่อนกำหนด แต่พ่อบ้านที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีจะไม่มีวันละลาบละล้วงถามเด็ดขาด 


 


 


เฉียวซือมู่ถามถึงจิ้นหยวน เขาลังเลชั่วครู่จึงเอ่ยตอบ “วันนี้คุณชายกลับบ้านใหญ่ครับ ตอนนี้ยังไม่กลับมา คิดว่าน่าจะค้างคืนที่นั่นนะครับ” 


 


 


เธอผิดหวังเล็กน้อย เดินเข้าไปในห้องนอนแล้วไม่เห็นเขาถึงยอมเชื่อว่าเขายังไม่กลับจริงๆ เธอเบ้ปากด้วยความไม่พอใจ จู่ๆ เธอก็รู้สึกขำตัวเองขึ้นมา เธอเป็นคนกลับก่อนกำหนดเองนี่นา เขาไม่รู้ด้วยเสียหน่อย จะปล่อยให้เขากลับมารอเธอตาละห้อยทุกวันก็คงเป็นไปไม่ได้ 


 


 


กะว่าจะกลับมาเซอร์ไพรส์เขาเสียหน่อย ตอนนี้เสียแผนหมดแล้ว เธอทอดถอนใจ วางกระเป๋าเดินทางในมือลง ดูเวลาแล้วเริ่มลงมือจัดของที่ตัวเองขนกลับมาด้วย 


 


 


ตอนนี้ดึกมากแล้ว ท่าทางเขาคงไม่กลับบ้านจริงๆ เธอครุ่นคิดเล็กน้อย สลัดความคิดที่จะโทรศัพท์หาเขาออกจากหัว มีอะไรเอาไว้ค่อยว่ากันพรุ่งนี้ก็ได้ 


 


 


เธอเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะที่กำลังจะเข้านอนนั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงรถขับเข้ามาในบ้าน 


 


 


เธอชะงักเล็กน้อย รีบเดินไปดูตรงหน้าต่าง เห็นรูปร่างสูงใหญ่ของจิ้นหยวนก้าวลงจากรถฝั่งที่นั่งคนขับพอดี จากนั้นเดินก้าวยาวเข้ามาในบ้าน 


 


 


เขากลับมาแล้ว ความเร่าร้อนแผ่ซ่านในอก กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ 


 


 


จิ้นหยวนหน้าดำคร่ำเครียดเดินเข้ามาในบ้าน พ่อบ้านรีบเดินเข้าไปต้อนรับเขา เขาเห็นพ่อบ้านแล้วชักหัวคิ้วชนกันมุ่น “ต่อไปถ้าฉันกลับดึกก็ไม่ต้องออกมารับ พักผ่อนได้แล้ว” 


 


 


พ่อบ้านไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น น้ำเสียงของจิ้นหยวนถึงได้ฟังดูเย็นเยียบกว่าปกติ พ่อบ้านตาไวมาก เห็นแวบเดียวก็รู้แล้วว่าจิ้นหยวนเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว แถมได้กลิ่นแอลกอฮอล์หึ่งอีกต่างหาก เขาอึ้งไปเล็กน้อย กำลังจะอ้าปากพูดกลับเห็นจิ้นหยวนเดินขึ้นบันไดไปแล้ว 


 


 


เขาเขกกบาลตัวเองเบาๆ ด้วยความขัดเคืองใจ สงสัยตัวเองคงอายุมากแล้ว ถึงได้ลืมบอกเรื่องสำคัญกับคุณชาย  


 


 


เขามองตามแผ่นหลังที่เดินลับตาไปแล้วของจิ้นหยวน ถอนหายใจออกมาเบาๆ ช่างเถอะ ถือเสียว่าเป็นเซอร์ไพรส์ก็แล้วกัน… 


 


 


จิ้นหยวนเซอร์ไพรส์จริงๆ เขาเปิดประตูห้องออก อยากจะเอาน้ำเย็นราดทั้งตัวเร็วๆ แต่กลับเห็นแผ่นหลังแสนคุ้นเคยยืนอยู่กลางห้องแทน 


 


 


เขาตะลึงนิ่งอึ้ง เฉียวซือมู่หันกลับมายิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวาน “กลับมาแล้วเหรอคะ?” 


ตอนที่ 254 นิ่งคิด 


 


 


 


 


 


จิ้นหยวนรีบปรับสีหน้าทันที เขาเผยรอยยิ้มประหลาดใจตามที่เธอคาด “คุณกลับก่อนกำหนดเหรอ? ทำไมไม่บอกผมก่อนล่ะ? ผมจะได้ไปรับคุณ” เอ่ยพลางก้าวเข้าไปหาเธอพลาง เขาอยากจะเข้าไปกอดเธอ แต่ไม่รู้ทำไมถึงชะงักกะทันหัน 


 


 


เธอไม่ทันสังเกตเห็น ยังคงยิ้มตาหยีให้เขา “ก็เพราะฉันอยากรู้นะสิคะว่าคุณทำตัวดีหรือเปล่า? ใครจะไปรู้ ถ้าโชคดีฉันอาจจะจับชู้ได้คาเตียงก็ได้” 


 


 


เขายิ้มน้อยๆ มองดวงตาสีดำขลับที่มีแต่รอยยิ้มของเธอแล้วเอ่ย “ถ้างั้นตอนนี้คุณก็ผิดหวังมากนะสิ?” 


 


 


“ก็ใช่นะสิคะ คิดไม่ถึงเลยว่าเสน่ห์ของคุณจะไม่ได้รุนแรงเหมือนกับที่ฉันคิดเอาไว้ เฮ้อ คงได้แค่นี้แหละนะ” เธอหัวเราะหยอกล้อ ดวงตาเป็นประกายวิบวับ ท่าทางอารมณ์ดีมาก 


 


 


เขายิ้มพลางลูบผมยาวสลวยของเธอเบาๆ ซ่อนความโหดเ**้ยมเอาไว้ส่วนลึกสุดในใจจนมิดชิด เขาเอ่ยกับเธอ “ผมกลับบ้านก็เลยดื่มนิดหน่อย คุณนั่งก่อนนะ ผมขอไปอาบน้ำแป๊บ” 


 


 


เธอพยักหน้า “พ่อบ้านบอกแล้วค่ะ คิดว่าคุณจะค้างคืนที่นั่นซะอีก ไม่คิดเลยว่าคุณจะกลับมา ฉันว่าเขาต้องประหลาดใจมากแน่เลยค่ะ” 


 


 


เขาลูบศีรษะเธอเบาๆ หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ 


 


 


เธอยิ้มพลางมองตามแผ่นหลังที่กำลังเดินไปที่ห้องน้ำ จู่ๆ ก็นึกสนุกขึ้นมาแล้วตะโกนเสียงดัง “ให้ฉันช่วยไหมคะ?” 


 


 


เขาชะงักกายนิ่ง กวาดสายตามองเธอแวบหนึ่ง สายตาร้องเตือนของเขาทำให้เธอตัวหงอ 


 


 


จากนั้นปิดประตูห้องน้ำลง 


 


 


เธอยักไหล่ หยิบของขวัญที่เพิ่งเก็บเข้าที่ออกมา 


 


 


มันเป็นเนคไทสีสวยมาก จิ้นหยวนสวมชุดสูทเป็นประจำ ของขวัญชิ้นนี้ต้องเหมาะกับเขาแน่ 


 


 


และเป็นไปตามคาด จิ้นหยวนเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นเนคไทในมือเธอแล้วสีหน้าดีใจมาก “นี่ให้ผมเหรอ?” 


 


 


เธอพยักหน้า หยิบเนคไทออกจากกล่องแล้ววางลงบนมือเขา “ลองดูสิคะว่าชอบไหม?” 


 


 


เขารับมันมาพร้อมรอยยิ้ม เขาไม่รีบลอง แต่ยิ้มอย่างมีเลศนัย “คุณให้เนคไทผม อยากจะบอกอะไรผมหรือเปล่า?” 


 


 


เธอพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “คุณคิดมากเกินไปแล้ว ฉันแค่เห็นว่ามันสวยดีและเหมาะกับคุณมาก ก็เลยซื้อให้คุณก็เท่านั้น” 


 


 


เขาทาบเนคไทกับอก “คุณคิดว่าผมจะเชื่อเหรอ?” 


 


 


ในสายตาของคนบางคน เนคไทยังมีความหมายพิเศษอื่นอีกด้วย เขาไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะไม่รู้ 


 


 


เธอหน้าแดงซ่านอย่างห้ามไม่อยู่ “ฉันบอกแล้วไงว่าคุณคิดมาก…” 


 


 


จู่ๆ เธอก็หยุดพูดกะทันหัน เพราะเขาเดินเข้าไปใกล้เธอ โน้มกายเข้าไปใกล้เพียงคืบ จ้องมองเธอด้วยสายตาลึกล้ำ 


 


 


เธอขยับกายด้วยความกระสับกระส่าย “คุณจะทำอะไรน่ะ?” 


 


 


เขาถอนหายใจเบาๆ “ผมเข้าใจความหมายของของขวัญที่คุณให้ผม วางใจเถอะ อีกไม่นานแล้วล่ะ” น้ำเสียงขณะที่เอ่ยฟังดูเย็นยะเยือก 


 


 


เธอกะพริบตาปริบๆ ในที่สุดก็สังเกตเห็นความผิดปกติของเขา เงามืดก่อเกิดในใจเงียบๆ “คุณเป็นอะไรไปคะ?” 


 


 


หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาระหว่างที่เธอออกไปท่องเที่ยว? 


 


 


เขาส่ายศีรษะน้อยๆ พลางหลุบตาลง แววตากลับคืนสู่ความสงบ “ไม่มีอะไร แค่ช่วงนี้ตระกูลหร่วนเล่นใหญ่ไปหน่อย ผมชักจะหมดความอดทนแล้ว” 


 


 


เธอสบายใจขึ้น เอ่ยปลอบเขา “คุณวางใจเถอะค่ะ ต่อให้พวกเขาเก่งมากแค่ไหนก็สู้คุณไม่ได้หรอกค่ะ” 


 


 


“เชื่อใจผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” เขาเอ่ยยิ้มๆ เห็นได้ชัดว่าคำปลอบโยนของเธอมีอิทธิต่อเขามาก 


 


 


“แน่นอนสิคะ คุณเป็นคนที่เก่งที่สุดในใจฉันเลยนะ” เธอยิ้มกริ่มพลางเอ่ยทีเล่นทีจริง 


 


 


“ยัยขี้ประจบ” เขาขยี้ศีรษะเธอเบาๆ หันไปหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมา “มา ช่วยไดร์ผมให้ที่รักของคุณหน่อยนะครับ” 


 


 


 “ขี้เกียจขนาดนั้นเชียว” เธอบ่นอุบอิบ แต่ก็รับไดร์เป่าผมมาจากเขาอย่างว่าง่าย 


 


 


เธอเห็นเขาหลุบตาลงต่ำ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นเงียบๆ เธอเอ่ยเสียงเบา “คุณอย่าหักโหมจนเหนื่อยเกินไป เรื่องอะไรที่วางมือได้ก็วางมือเถอะค่ะ คุณแบกรับทุกอย่างเอาไว้กับตัวแบบนี้ เดี๋ยวร่างกายจะรับไม่ไหวนะคะ” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 255 ไม่คาดคิด 


 


 


 


 


 


จิ้นหยวนเปลี่ยนเรื่องคุย ถามถึงเรื่องสนุกที่เธอพบเจอระหว่างท่องเที่ยวแทน เธอถูกดึงดูดความสนใจทันที สองหนุ่มสาวคุยกันกะหนุงกะหนิงจนค่อยๆ หลับไป 


 


 


หลังจากเฉียวซือมู่หลับสนิทแล้ว จิ้นหยวนค่อยๆ ลุกออกจากเตียงเงียบๆ แล้วเดินไปยังระเบียงห้อง เขาสั่งงานกับลูกน้อง เสร็จแล้วค่อยปีนขึ้นเตียงไปนอนกอดเธอเหมือนเดิม 


 


 


 เช้าวันรุ่งขึ้น เธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับเตียงว่างเปล่า นี่เป็นเรื่องปกติ จิ้นหยวนเป็นคนบ้างาน เขาทำงานหนักจนแทบจะไม่มีวันหยุดด้วยซ้ำ เธอชินเสียแล้ว 


 


 


เธอนั่งรับประทานอาหารเช้าช้าๆ พลางครุ่นคิดไปมา ตัดสินใจว่าวันนี้เธอจะออกไปเยี่ยมคุณแม่ หากพอมีเวลา เธอก็จะแวะไปดูที่ออฟฟิศเสียหน่อย 


 


 


ได้ข่าวว่านิตยสารกำลังไปได้ดี พนักงานที่เธอรับเข้าทำงานทำผลงานได้ดีมาก เธอจึงรู้สึกภูมิใจในสายตาการเลือกคนของตัวเองมาก 


 


 


เธอไปเยี่ยมคุณแม่ก่อนตามแผน แต่ที่ชั้นหนึ่งกลับไม่มีใครอยู่เลยสักคน เธอเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องนอนของคุณแม่ แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยจึงนึกแปลกใจ 


 


 


เธอรู้กิจวัตรประจำวันของคุณแม่เป็นอย่างดี เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะออกจากบ้านช่วงเช้าแบบนี้ 


 


 


เธอเป็นห่วงคุณแม่มาก รีบเปิดประตูเข้าไปในห้องทันที 


 


 


คุณนายเฉียวตกใจสะดุ้งโหยง ลนลานจนทำแก้วน้ำบนโต๊ะตกลงพื้น เสียงแก้วแตกดังกังวาน เศษแก้วกระจายเต็มพื้น 


 


 


คุณนายเฉียวหันกลับไปมองด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย อิดโรย น้ำเสียงไม่พอใจ “ทำไมไม่เคาะประตูก่อนเข้ามา?” 


 


 


เฉียวซือมู่รู้สึกผิด รีบแก้ตัว “หนูนึกว่าคุณแม่ไม่อยู่บ้าน” พลันสงสัยว่าเหตุใดคุณแม่ถึงตกใจมากขนาดนั้น “คุณแม่ดูอะไรอยู่เหรอคะ?” 


 


 


คุณนายเฉียวรีบซ่อนโทรศัพท์มือถือเอาไว้ข้างหลัง สูดหายใจลึกแล้วเอ่ยตอบ “ไม่มีอะไร แม่กำลังดูหนังผีอยู่น่ะ แล้วลูกก็เข้ามาพอดี” 


 


 


ที่แท้ก็ตกใจเพราะเรื่องนี้เอง มิน่า ท่าทางถึงได้ลนลานขนาดนั้น เธอยิ้มน้อยๆ มองไปที่มุมห้องแวบหนึ่งแล้วลากเครื่องดูดฝุ่นมาจัดการกับเศษแก้วที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นให้สะอาด 


 


 


คุณนายเฉียวเห็นท่าทางลูกสาวแล้วปรับอารมณ์กลับมาเป็นปกติ เธอวางโทรศัพท์มือถือลงแล้วเดินเข้าไปหาเฉียวซือมู่ “แม่ทำเอง” 


 


 


เฉียวซือมู่ส่ายศีรษะ “คุณแม่อย่าเข้ามาค่ะ ระวังโดนบาดนะคะ” 


 


 


คุณนายเฉียวมองสายตาสงบนิ่งของลูกสาวแล้วขยับปากเล็กน้อย อยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก ชั่วครู่ จู่ๆ เธอก็โพล่งถาม “มู่มู่ แม่ขอถามอะไรหน่อย ถ้าพ่อของลูกกลับมา ลูกยังจะเกลียดพ่ออยู่หรือเปล่า?” 


 


 


เฉียวซือมู่ชะงัก คิดไม่ถึงว่าท่านจะถามตัวเองแบบนี้ เธอหันกลับไปมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณแม่ ทำไมจู่ๆ ถึงถามแบบนี้ล่ะคะ?” 


 


 


คุณนายเฉียวส่ายศีรษะพลางเอ่ย “เมื่อคืนแม่ดูหนัง พ่อพระเอกนอกใจทิ้งลูกเมียตัวเองไป ตอนหลังกลับตัวกลับใจ คนในครอบครัวเลือกที่จะให้อภัยเขา แม่ก็เลยอยากจะถามลูก ถ้าเกิดพ่อของลูกกลับมา…” 


 


 


เฉียวซือมู่เอ่ยเสียงเฉียบโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา “คนอื่นก็คือคนอื่น เราก็คือเรา คุณแม่เลิกดูละครน้ำเน่าพวกนั้นเถอะค่ะ” เธอเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถาม 


 


 


คุณนายเฉียวดูออกว่าเฉียวซือมู่ต่อต้านและปฏิเสธ เธอเม้มริมฝีปากแน่นโดยไม่เอ่ยอันใดอีก ในห้องได้ยินแต่เสียงเครื่องดูดฝุ่นที่กำลังทำงานเท่านั้น 


 


 


ไม่นานคุณนายเฉียวจึงเอ่ยขึ้นใหม่ “ทำไมวันนี้ถึงมาแต่เช้าล่ะ?” 


 


 


เฉียวซือมู่ตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีเศษแก้วหลงเหลือแล้วจึงยกตัวขึ้นยืนตรง “หนูอยู่ว่างๆ ก็เลยออกมาข้างนอกน่ะค่ะ กะว่าเดี๋ยวจะแวะไปดูที่ออฟฟิศซะหน่อย” 


 


 


คุณนายเฉียวมุ่นหัวคิ้ว “บริษัทที่ลูกทำงานก่อนหน้านี้นะเหรอ ลูกจะกลับไปทำงานที่นั่นอีกเหรอ?” 


 


 


เฉียวซือมู่นั่งลงข้างๆ คุณนายเฉียว กอดแขนคุณนายเฉียวเอาไว้แล้วเอ่ยเสียงออดอ้อน “คุณแม่ยังไม่รู้ใช่ไหมคะ หนูซื้อบริษัทนั้นเอาไว้แล้ว ตอนนี้หนูเป็นเจ้าของที่นั่นค่ะ” 


 


 


“จิ้นหยวนเป็นคนออกเงินใช่ไหม?” คุณนายเฉียวเดาถูกเผง เฉียวซือมู่พยักหน้าหงึกๆ เป็นคำตอบ 


 


 


คุณนายเฉียวคิดๆ แล้วถอนหายใจ รู้สึกว่าโชคชะตาของลูกสาวดูสลับซับซ้อนอย่างไรบอกไม่ถูก เธอสรุปได้แค่ว่า “ลูกก็ระวังตัวเอาไว้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ให้มาหาแม่นะ” 


 


 


“ค่ะ” เธอพยักหน้าอย่างว่าง่าย 


 


 


“จริงสิ” คุณนายเฉียวเพิ่งนึกขึ้นได้จึงเอ่ยขึ้น “อีกสักพักแม่จะย้ายออกไปจากที่นี่แล้วนะ” 


 


 


“ทำไมล่ะคะ?” เฉียวซือมู่เอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ และรู้สึกแปลกใจมาก 


 


 


คุณนายเฉียวมุ่นหัวคิ้ว “ยังจะต้องถามอีกเหรอ? แม่เป็นอะไรกับจิ้นหยวนไม่ทราบ? ก่อนหน้านี้เป็นเพราะแม่ต้องรักษาตัวถึงต้องอยู่ที่นี่ ตอนนี้หายดีแล้วก็ต้องย้ายออกไปนะสิ” 


 


 


เฉียวซือมู่ร้อนใจ “แล้วคุณแม่จะย้ายไปอยู่ที่ไหนคะ? เราไม่มีบ้านที่ไหนอีกแล้วนะคะ” 


 


 


“เรื่องนี้ลูกไม่ต้องเป็นห่วง” ดูเหมือนว่าคุณนายเฉียวจะมีแผนในใจแล้ว “แม่ติดต่อเพื่อนเก่าเอาไว้แล้ว เพื่อนแม่จะช่วยหาบ้านให้เอง หาได้แล้วแม่ก็จะย้ายออกทันที” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นหนูก็จะไม่ได้เจอคุณแม่อีกนะสิคะ” เฉียวซือมู่ดึงแขนคุณนายเฉียวเอาไว้ 


 


 


“เด็กโง่ โตขนาดนี้แล้ว จะเอาแต่อยู่กับแม่ทุกวันได้ยังไง? อีกอย่าง แม่ก็ไม่ได้ไปไหนไกล ก็แค่ย้ายที่อยู่เท่านั้นเอง ถ้าลูกอยากเจอแม่ก็ไปเยี่ยมได้เสมอนี่นา” 


 


 


“แล้วสุขภาพของคุณแม่ล่ะคะ?” เฉียวซือมู่ยังไม่วางใจ พยายามพูดโน้มน้าวให้คุณนายเฉียวเลิกล้มความคิดนี้ “ตอนนี้ยังมีคนคอยดูแลคุณแม่อย่างใกล้ชิด คุณแม่ย้ายออกไปอยู่คนเดียวแบบนั้น ถ้าเกิดไม่สบายขึ้นมาจะทำยังไงคะ?” 


 


 


“แม่ก็ยังมีลูกอยู่นี่ไง” คุณนายเฉียวตัดสินใจแล้ว เธอเอ่ยขึ้นช้าๆ “อาการแม่ดีขึ้นมากแล้ว ถ้าลูกไม่สบายใจ เดี๋ยวแม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกรอบก็ได้ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ลูกก็ไม่ต้องมาห้ามแม่อีก” 


 


 


เฉียวซือมู่พยักหน้าน้อยๆ ในที่สุดเธอก็ถูกคุณนายเฉียวเกลี้ยกล่อมสำเร็จจนได้  


 


 


เธอไม่เข้าใจว่าทำไมคุณแม่ต้องดึงดันย้ายออกไปให้ได้ เธอคิดไปตลอดทาง และได้ข้อสรุปว่าคุณแม่อาจจะไม่อยากทำให้เธอลำบาก สถานะระหว่างเธอกับจิ้นหยวนยังคลุมเคลือไม่ชัดเจน พูดให้น่าเกลียดก็คือเป็นเมียน้อยเขา สถานการณ์เช่นนี้ ท่านคงไม่อยากทำให้เธอต้องแบกรับคำตำหนิว่าร้ายอะไรอีก 


 


 


เธอคิดๆ แล้วรู้สึกซาบซึ้งใจมาก 


 


 


สภาพจิตใจที่กำลังสับสนปนเปในตอนนี้ทำให้เธอหมดอารมณ์เข้าออฟฟิศอีก เธอเดินเอ้อระเหยลอยชายอยู่บนฟุตบาท เดินไปคิดไป ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอหยิบมันขึ้นมากดรับสาย เสียงทักทายแสนคุ้นเคยดังลอดมาตามสาย “ไฮ เฉียว?” 


 


 


เสียงคุ้นเคยของคริสนั่นเอง 


 


 


เธอประหลาดใจมาก เอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น “คุณนั่นเอง ทำไมถึงโทรหาฉันได้ล่ะคะ? คุณรู้เบอร์โทรฉันได้ยังไงคะ?” 


 


 


คริสเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “ผมถามจากฉีน่ะ ได้ข่าวว่าคุณกลับจีนแล้ว” 


 


 


เธอรู้สึกผิดเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องราวมากมาย เธอเองก็ถูกวางยาจนนอนสลบไปนาน ตื่นมาอีกทีก็ลืมคริสไปจนสิ้น พอเขาถามแบบนี้ เธอถึงนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อก่อนเขาดูแลเธอดีมากขนาดไหน จึงได้แต่เอ่ยตอบไปด้วยความอาย “ค่ะ ฉันกลับมาแล้ว ขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้บอกคุณก่อน” 


 


 


คริสยังคงเอ่ยอย่างร่าเริง “อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ผมรู้ว่าตอนนั้นคุณกำลังตกอยู่ในอันตราย ฉีเล่าให้ผมฟังหมดแล้ว ผมไม่เคยโทษคุณเลยนะ” เอ่ยจบแล้วเสียงขรึมลง เขาเอ่ยถามขึ้นใหม่อย่างยากลำบาก “เฉียว ตอนนี้คุณสบายดีไหม?”  

 

 


ตอนที่ 256 คำสารภาพที่ไม่คาดฝัน

 

 


 


 


“ฉันสบายดีค่ะ ร่างกายก็ฟื้นฟูดีมาก ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ” เธอเอ่ยอย่างจริงใจ แม้เธอจะรู้แล้วว่าที่เขาตั้งใจเข้าใกล้เธอนั้นเป็นเพราะฉีหย่วนเหิง แต่เขาก็ดูแลเธอดีมากเป็นพิเศษ เธอไม่อาจลืมน้ำใจที่เขามีให้ได้ ที่สำคัญ เขายังเคยช่วยชีวิตเธอเอาไว้ด้วย 


 


 


เขาหัวเราะร่า “ไม่ต้องเกรงใจ ได้รับใช้สุภาพสตรีถือเป็นเกียรติของผม ไม่แน่นะ บางทีผมอาจจะได้เจอคุณอีกก็ได้” 


 


 


“เจอฉันเหรอคะ?” เธอนิ่งอึ้ง พอเรียกสติกลับมาได้จึงเอ่ยถาม “คุณกำลังจะบอกว่าคุณอยู่ที่นี่เหรอคะ?” 


 


 


 “พอดีผมมาทำธุระที่นี่น่ะ ถ้าคุณพอมีเวลาว่าง เราอาจจะได้ดื่มกาแฟด้วยกันสักแก้วก็ได้” เสียงเขามีเสน่ห์มาก 


 


 


เธอดีใจมาก รีบโบกมือเรียกรถแท็กซี่ทันที “ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนคะ? อยู่ที่สนามบินหรือเปล่า?” 


 


 


“ไม่ใช่ครับ” เขาบอกที่อยู่แห่งหนึ่งให้เธอ เธอฟังแล้วรู้ทันทีว่าเป็นร้านกาแฟที่อยู่ใกล้สนามบิน 


 


 


เธอก้าวขึ้นรถ บอกที่อยู่ให้คนขับแท็กซี่ จากนั้นตรงไปยังที่หมายทันที 


 


 


เธอก้าวลงจากรถพลันเห็นคริสกำลังนั่งสบายอารมณ์อยู่ตรงโต๊ะติดริมหน้าต่างพอดี เขาเห็นเธอแล้วยิ้มกว้าง ดวงตาสีเขียวเป็นประกายวิบวับใต้แสงอาทิตย์ 


 


 


เธอยิ้มสวยเดินเข้าไปในร้าน 


 


 


ผ่านเวลาไปนานมากแล้ว ทั้งสองเพิ่งจะได้เจอกันอีกเป็นครั้งแรก ตอนแรกบรรยากาศค่อนข้างจะอึดอัดเล็กน้อย เพราะเธอรู้สึกผิดที่ตัวเองไม่เคยติดต่อเขาเลย 


 


 


ส่วนเขานั้นดูเหมือนจะมีความในใจอะไรบางอย่าง ท่าทางไม่ได้สดใสเหมือนตอนที่คุยกันในโทรศัพท์เลยสักนิด เธออดถามไม่ได้ “คุณมีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่าคะ?” 


 


 


เขาฝืนยิ้มเล็กน้อยๆ “คุณดูออกด้วยเหรอครับ?” 


 


 


“ฉันว่านะ ถ้าไม่ตาบอดใครๆ ก็ดูออกทั้งนั้นแหละค่ะ” เอ่ยจบแล้วหันไปกวาดสายตามองข้างหลังตัวเอง “คุณคงไม่รู้ สีหน้ากลุ้มใจของคุณทำให้สาวๆ ทั้งหมดในนี้มองคุณเป็นตาเดียวแล้ว” 


 


 


เขาหัวเราะขำที่เธอพูดเกินจริง “เฉียว คุณนี่ตลกจังเลยนะ” 


 


 


“เล่ามาสิคะว่าเกิดอะไรขึ้น?” เธอหุบยิ้มไม่พูดเล่นอีก 


 


 


เขาสูดหายใจลึก “ผมต้องกลับเข้าองค์กรแล้ว” 


 


 


“อะไรนะคะ?” เธอมุ่นหัวคิ้ว “ฉันฟังไม่เข้าใจเลยค่ะ” 


 


 


“ความจริงผมรู้ว่าคุณเองก็สงสัยเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ผมเป็นส่วนหนึ่งในนั้น แต่กลับหนีไปเปิดบริษัทนิตยสารที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย” เขาเอ่ยขึ้นช้าๆ 


 


 


เธอพยักหน้า “ฉันเคยสงสัยค่ะ แต่ฉันคิดว่าอาจจะเป็นเพราะองค์กรของคุณไม่ได้เข้มงวดมาก ไม่จำเป็นที่ทุกคนจะต้องอุทิศทั้งชีวิตให้กับองค์กร พอคิดได้อย่างนี้แล้วฉันก็เลยไม่ได้คิดอะไรอีก” 


 


 


แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างที่เธอคิดเสียแล้วสิ 


 


 


คริสส่ายศีรษะ “คนอื่นอาจจะทำแบบนั้นได้ แต่ไม่ใช่สำหรับผม ผมเป็นลูกชายคนโต ตามธรรมเนียมแล้ว ผมเกิดมาเพื่ออุทิศตนให้กับองค์กร ผมทนแรงกดดันนั้นไม่ได้ถึงได้หนีออกมา แต่ผมเพิ่งพบว่า ต่อให้ผมพยายามเปลี่ยนแปลงทุกอย่างยังไง แต่สถานะของผมก็กำหนดเอาไว้แล้วว่าทุกอย่างที่ผมพยายามทำจะต้องล้มเหลว” 


 


 


น้ำเสียงเขาฟังดูไม่ดีนัก แต่เธอฟังออกว่านั่นเป็นเพราะแรงกดดันจากองค์กรที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ เธอคิดๆ แล้วเอ่ยถาม “เพราะฉะนั้น ตอนนี้คุณก็เลยตัดสินใจจะกลับไปใช่ไหมคะ?” 


 


 


สีหน้าเขายุ่งยากใจมาก เขาลังเลอยู่สักพักจึงตัดสินใจ “ครับ ผมคิดว่าผมควรกลับไป ทุกคนก็บอกกับผมอย่างนั้น แต่ว่า…” 


 


 


เขาจ้องเธอนิ่ง สูดหายใจลึก จู่ๆ ก็จับมือเธอเอาไว้ “ก่อนที่ผมจะยอมแพ้ให้กับโชคชะตา ผมอยากจะสู้อีกสักตั้ง เฉียว คุณยินดีสู้เคียงข้างผมไหมครับ” 


 


 


เขาจับมือเธอแน่น สายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเธอจะตอบอย่างที่ใจเขาต้องการ 


 


 


เฉียวซือมู่ตกตะลึงจนพูดไม่ออก เธอไม่คิดเลยว่าการออกมาเจอเพื่อนเก่าจะกลายเป็นสถานการณ์ชวนอึดอัดแบบนี้ไปได้ เธอนิ่งไปครึ่งค่อนวันกว่าจะตั้งสติได้ เธอค่อยๆ ดึงมือตัวเองออกมาจากมือเขาแล้วเอ่ยกับเขาที่สีหน้าค่อยๆ ขรึมลง “ขอโทษ…”    


 


 


คริสมองมือตัวเองพลางยิ้มขมขื่น “ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ก่อนมาที่นี่ ผมก็พอจะเดาออกแล้วว่าจะได้คำตอบแบบนี้ แต่ผมยังไม่อยากยอมแพ้ อยากจะลองดูอีกสักตั้ง ถึงตอนนี้ผมคงต้องยอมแพ้แล้วจริงๆ” 


 


 


เธอมองคริสที่พยายามแกล้งทำเป็นสบายๆ แต่ดวงตาฉายแววขมขื่นแล้วรู้สึกผิดมาก แม้เธอจะรู้สึกผิดมากแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็ไม่อาจตอบรับคำขอของเขาได้ เธอเห็นเขาเป็นเจ้านายตั้งแต่แรก และเห็นเป็นเพื่อนในตอนหลัง ไม่เคยคิดกับเขาเกินคำว่าเพื่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว 


 


 


ถึงเธอจะรู้ว่าเขาผิดหวังมาก แต่เธอก็รับปากเขาไม่ได้ ได้แต่ขอโทษเขาอย่างเดียว 


 


 


“ขอโทษที่ทำให้คุณผิดหวังค่ะ” 


 


 


เขาส่ายศีรษะ “เป็นเพราะผมดื้อดึงเอง คุณไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ ผมรู้มาตลอดว่าคุณไม่มีใจให้ผม เพราะหัวใจคุณอยู่ที่ชายเอเชียคนนั้นต่างหาก แต่ผม…” เอ่ยได้เพียงครึ่งแล้วยิ้มขมขื่น เขายกถ้วยกาแฟขึ้น “ดื่มให้กับผมที่เพิ่งอกหักครับ” 


 


 


เอ่ยจบแล้วกระดกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มจนหมดแก้วเหมือนดื่มเหล้าไม่มีผิด 


 


 


เธอมองเขาแล้วได้แต่ทอดถอนใจเงียบๆ รีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “เสร็จจากที่นี่แล้วคุณจะไปไหนต่อคะ?” 


 


 


พอเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วท่าทางเขาดูดีขึ้น “ผมว่าจะไปเดินเล่นในเมืองสักหน่อย จากนั้นออกเดินทางท่องเที่ยวไปตามประเทศต่างๆ อีกครึ่งปีค่อยกลับบ้าน” 


 


 


“ก็ไม่เลวนะคะ วิวที่นี่สวยมาก อาหารอร่อย สาวๆ ก็สวยๆ ทั้งนั้น คุณต้องชอบมากแน่” เธอแสร้งเอ่ยอย่างสบายๆ 


 


 


“ดีครับ ผมชอบทั้งสองอย่างเลย คุณแนะนำได้เยี่ยมมาก” เขาแสร้งเอ่ยเกินจริง ดวงตาเป็นประกาย 


 


 


“จริงสิ แล้วที่บริษัทเป็นยังไงบ้างคะ? เจนนี่ล่ะคะ? เธอยังทำงานที่นั่นหรือเปล่า?” เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ ถ้าเขาจะกลับเข้าองค์กรจริง แล้วบริษัทนิตยสารของเขาจะทำอย่างไร? 


 


 


เขาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “ผมหาคนไปดูแลแทนแล้วล่ะ รอให้ผมกลับไปก่อน ถึงตอนนั้นผมคงบริหารงานผ่านระบบออนไลน์ทั้งหมด ไหนๆ งานที่นั่นก็ไม่มีอะไรยากอยู่แล้ว ส่วนเจนนี่ก็เหมือนเดิม ได้ข่าวว่ามีแฟนแล้วนะครับ” 


 


 


“จริงเหรอคะ? เป็นใครเหรอคะ?” เธอสนใจมาก ความจริงเป็นเรื่องง่ายมากที่จะเอาชนะใจเจนนี่ แค่ทำอาหารเป็นก็พอแล้ว โดยเฉพาะอาหารจีน 


 


 


“เป็น…” ความผิดหวังในตอนแรกหายไปแล้ว คริสเองถือเป็นชายหนุ่มที่ใจกว้างมาก อาจเป็นเพราะเขาเป็นชาวต่างชาติที่เปิดเผยมากก็ได้ เพียงไม่นานเขาก็ลืมความผิดหวังไปจนสิ้น พูดคุยเรื่องซุบซิบกับเธออย่างออกรสออกชาติ คุยไปหัวเราะไปอย่างสนุกสนาน 


 


 


จนกระทั่งโทรศัพท์มือถือของเขาสั่น เขาชายตามองแวบหนึ่ง สีหน้าขรึมลงทันที “ขอโทษนะครับ ผมต้องไปแล้ว”  

 

 


ตอนที่ 257 ลาจาก

 

เฉียวซือมู่ลุกขึ้นยืน “ฉันขอให้คุณโชคดีนะคะ” เธอยื่นมือออกไปให้เขาอย่างสง่างาม 


 


 


คริสลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกัน เขามองมือเธอนิ่งนาน ทันใดนั้น เขาทำในสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงมาก่อน เขายื่นสองแขนออกไปรวบตัวเธอเข้าไปกอด “ขอโทษ กอดนี้แทนคำบอกลาของคุณที่ให้ผมก็แล้วกันนะครับ” 


 


 


เขาเอ่ยจบแล้วคลายวงแขนออก ส่งยิ้มให้เธอ “ผมไปก่อนนะครับ บ๊ายบาย” 


 


 


เอ่ยจบแล้วก้าวเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองเธออีก 


 


 


เธอยืนนิ่งอึ้งมองเขาเดินจากไปอยู่กับที่ รู้สึกว่าคำพูดของเขาแฝงความคิดถึงมากมายเอาไว้ มันทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ 


 


 


แปลกจัง กลับไปสืบทอดกิจการครอบครัวนี่มันทรมันมากขนาดนั้นเลยหรือ? 


 


 


เธอส่ายศีรษะน้อยๆ ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับแก๊งมาเฟียสักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเขากลับไปสืบทอดกิจการในครอบครัวต่อแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง 


 


 


เธอคิดอยู่ตั้งนาน มองผ่านกระจกร้านเห็นเขาก้าวขึ้นรถคันเล็กแล้วจึงค่อยๆ เดินออกจากร้าน 


 


 


เธอมุ่นหัวคิ้ว จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนเสียเพื่อนไปอีกคนอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


การปรากฎตัวของคริสทำให้แผนในวันนี้ของตัวเองยุ่งเหยิงไปหมด เธอดูเวลาเห็นว่าเที่ยงแล้ว เข้าออฟฟิศตอนนี้คงไม่ทันแล้ว 


 


 


เวลาเดียวกัน จิ้นหยวนโทรศัพท์หาเธอพอดี “ที่รัก ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?” 


 


 


เขาเอ่ยถามว่าเธออยู่ที่ไหนโดยตรง แสดงว่าพ่อบ้านรายงานเขาแล้วว่าเธอไม่อยู่บ้าน เธอเองก็ไม่แปลกใจเหมือนกัน “ฉันอยู่ข้างนอก…” เธอชะงักเล็กน้อย “เดินช้อปปิ้งน่ะค่ะ” 


 


 


ใช่ว่าเธอไม่อยากบอกความจริงว่าออกมาพบคริส แต่เธอรู้ว่าจิ้นหยวนใจแคบมาก ขืนเธอบอกไปตามตรงเขาต้องไม่พอใจแน่ จึงเลือกที่จะไม่บอกดีกว่า 


 


 


จิ้นหยวนชะงักชั่วครู่ “จริงเหรอ?” 


 


 


เธอพยักหน้า รู้สึกผิดเล็กน้อย “ก็จริงนะสิคะ ฉันเดินช้อปปิ้งอยู่ข้างนอก กำลังจะกลับพอดี คุณล่ะคะ?” 


 


 


น้ำเสียงเขาเคร่งขรึม แฝงรอยไม่พอใจ “ผมเพิ่งเลิกงาน กำลังจะออกไปทานข้าว คุณอยู่ไหน? เดี๋ยวผมไปรับ” 


 


 


เธอลังเลชั่วครู่ “ฉันอยู่แถวๆ สนามบินค่ะ” 


 


 


“อ้อ ได้ คุณรอแป๊บ ผมไปรับคุณเดี๋ยวนี้แหละ” เขาเอ่ยจบแล้ววางสายทันที 


 


 


สีหน้าเขาแย่มาก หลินจื้อเฉิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ของเขาแวบหนึ่ง เห็นบนหน้าจอปรากฎภาพเฉียวซือมู่ที่กำลังยืนกอดกันกลมอยู่กับชายชาวต่างชาติหน้าตาหล่อเหลาแล้วหัวใจกระตุกวาบ 


 


 


ท่าทางดวงความรักของเฉียวซือมู่จะแรงมากนะเนี่ย 


 


 


จิ้นหยวนหน้าบึ้งตึงเดินออกจากห้อง เขาขับรถไปรับเธอด้วยตัวเอง เขาขับรถเร็วมาก ไม่สนว่าข้างหลังจะมีรถตำรวจจราจรขับตามมาหรือเปล่า พอขับไปถึงที่หมายก็เห็นเฉียวซือมู่กำลังยืนรอเขาอยู่ริมถนนคนเดียวพอดี 


 


 


หัวใจเขาอ่อนยวบ ไฟโทสะลดลงไปไม่น้อย เขาเปิดประตูรถออก พยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่สุด “ทำไมไม่รออยู่ในร้านล่ะ?” 


 


 


เธอยิ้มๆ “ฉันกลัวคุณจะไม่เห็นฉันนะสิคะ” 


 


 


คำพูดเธอแค่ประโยคเดียวก็สามารถทำให้ไฟโทสะของเขาลดลงไปอีกเยอะโข 


 


 


ถึงกระนั้นก็เถอะ เขายังคงรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี ฟังเธอพูดแบบนั้นแล้วเขาควรจะต่อปากต่อคำกับเธออีกสักหน่อย แต่ตอนนี้เขายังไม่อยากจะพูดอะไรทั้งนั้น ได้แต่เบือนหน้าหนีไปทางอื่นเงียบๆ 


 


 


เห็นท่าทางเขาแล้วเธอรู้สึกว่าเขากำลังไม่ค่อยพอใจ จึงเอ่ยถามหยั่งเชิง “คุณเป็นอะไรไปคะ? ใครทำให้คุณไม่พอใจหรือเปล่า?” 


 


 


เขามองเธอแวบหนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไร แค่ขับรถเร็วมากเท่านั้น เขานึกถึงภาพนั้นทีไรก็รู้สึกแย่มากทุกที รู้ทั้งรู้ว่าคนที่ส่งรูปถ่ายนั้นให้เขาเจตนาทำให้เขาไม่พอใจ แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ 


 


 


เฉียวซือมู่ถามเขาหลายครั้งแต่ไม่ได้คำตอบเสียทีจนชักจะมีน้ำโห เธอไม่ถามเขาแล้ว เบือนหน้าหันไปมองวิวนอกรถแทน 


 


 


เขาคอยเหลือบมองเธอตลอดเวลา ในใจมีแต่คำถามเต็มไปหมด แต่กลับไม่อยากจะถามเธอเสียอย่างนั้น เขาไม่อยากได้ยินคำตอบนั้น เพราะมันจะทำให้หัวใจเขาทนรับไม่ไหว 


 


 


ท่ามกลางบรรยากาศเงียบกริบน่าอึดอัด เขาพาเธอไปรับประทานมื้อเที่ยงที่แสนจะกร่อย จากนั้นเฉียวซือมู่บอกว่าจะแยกกับเขาเพื่อไปที่ออฟฟิศซินเฟิง  


 


 


จิ้นหยวนดวงตาไหววูบ เขายื่นแขนออกไปกอดเอวเธอไว้ “คุณไปที่บริษัทกับผมได้ไหม?” 


 


 


เธอเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมคะ?” 


 


 


จิ้นหยวนเป็นคนที่แยกเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานออกจากกันอย่างชัดเจน เธออยู่กับเขามานานขนาดนี้ แต่ยังไม่เคยไปที่บริษัทของจิ้นซื่อ กรุ๊ป แม้แต่ครั้งเดียว พอได้ยินเขาชวนให้เธอไปด้วย เธอจึงรู้สึกประหลาดใจมาก 


 


 


เขาส่ายศีรษะน้อยๆ “ไม่มีเหตุผล แค่อยากเห็นคุณอยู่ในสายตาเท่านั้น ผมไม่อยากให้คุณอยู่ห่างจากผม” 


 


 


คำพูดของเขาทำให้เธอหน้าแดงซ่าน เธอไม่คิดจะปฏิเสธจริงจังตั้งแต่แรก พอได้ยินแบบนี้ยิ่งหวั่นไหวเข้าไปใหญ่ 


 


 


หลินจื้อเฉิงสังเกตเห็นว่าข้างกายพี่ใหญ่มีคนเพิ่มมาคนหนึ่งทันที พอเห็นว่าเป็นเฉียวซือมู่เขาก็เบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ นี่เขาไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม พี่ใหญ่พาคุณเฉียวมาถึงนี่ ตระกูลหร่วนรู้เข้าต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่ 


 


 


แม้หลินจื้อเฉิงจะแอบตำหนิอยู่ในใจ แต่เขาก็คลี่ยิ้มต้อนรับเธอเต็มที่ “คุณเฉียวมาถึงที่นี่ เป็นเกียรติจริงๆ เลยครับ” 


 


 


เธอยิ้มบางๆ พลางพยักหน้าเล็กน้อย “สวัสดีค่ะ ไม่เจอกันนานเลยนะคะ” 


 


 


จิ้นหยวนมองทั้งสองแวบหนึ่ง จูงมือเธอด้วยความไม่พอใจ “ไปกับผม” เอ่ยจบแล้วจูงมือเธอเดินเข้าไปในห้องทำงานทันที 


 


 


เฉียวซือมู่ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้หลินจื้อเฉิงแทน 


 


 


จิ้นหยวนพาเธอไปนั่งลงบนโซฟาด้วยท่าทางหยาบกระด้าง “คุณนั่งอยู่ตรงนี้แหละ จำไว้ ห้ามอยู่ห่างจากสายตาผมเด็ดขาด” 


 


 


น้ำเสียงเขาแข็งกระด้างจนทำให้เธอมุ่นหัวคิ้วชนกันด้วยความไม่พอใจ “วันนี้คุณเป็นอะไรกันแน่?” เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วหลุดขำออกมา “เมื่อกี้ฉันแค่ทักทายเขาเท่านั้น แค่นี้คุณก็ไม่พอใจแล้วเหรอคะ?” 


 


 


เขาครางเสียงฮึดฮัด “ในสายตาคุณต้องมีแต่ผมคนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าผู้ชายหน้าไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น” 


 


 


เฉียวซือมู่ส่ายศีรษะ “คุณนี่มันจริงๆ เลย จอมขี้หึง ฉันว่านะ ถ้าคุณปิดบริษัทแล้วไปขายน้ำส้มสายชูแทนคงรวยอื้อซ่าแน่” 


 


 


คำพูดตรงไปตรงมาของเธอทำให้จิ้นหยวนมองเธออย่างเซ็งๆ เขาตัดสินใจไม่พูดมากกับเธออีก หมุนตัวแล้วเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน 


 


 


เธอมองโต๊ะตรงหน้าอย่างเบื่อหน่าย บนโต๊ะมีแท็บเล็ตวางอยู่ เขาคงเตรียมเอาไว้ให้เธอเล่นแก้เบื่อ เธอหยิบมันขึ้นมา ใช้นิ้วปัดหน้าจอ  


 


 


เธอชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งแล้วหันกลับมาดูหน้าจอแท็บเล็ตตรงหน้า รู้สึกเซ็งๆ “วันนี้ช่างมันเถอะ ถือว่ามาออกเดทก็แล้วกัน” 


 


 


เธอจึงตั้งหน้าตั้งตาเล่นแท็บเล็ต จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงานจึงกลับบ้านพร้อมเขา 


 


 


เธอคิดว่าวันนี้เป็นกรณีพิเศษ แต่ไม่คิดเลยว่าวันรุ่งขึ้น เขายังคงพาเธอไปที่บริษัทเหมือนเดิม วันที่สาม วันที่สี่ และวันต่อๆ มาก็ทำเหมือนเดิม เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจมาก แต่ทุกครั้งที่เธอคิดจะปฏิเสธ เขามักจะมีคำพูดที่ทำให้เธอพูดไม่ออกทุกครั้ง 


 


 


เธอจนปัญญา ได้แต่ตามเขาไปทำงานทุกวัน และปรากฎตัวต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย 


 


 


เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เธอค่อยๆ ชินกับการติดสอยห้อยตามเขาไปที่บริษัท ตอนหลังเธอเริ่มเบื่อมากจึงทำหน้าที่เป็นลูกมือให้เขา ช่วยเขาจัดการเอกสารต่างๆ ดูเหมือนจิ้นหยวนจะดื่มด่ำกับการบริการของเธอมาก และนั่นทำให้เขาอารมณ์ดีทุกวัน  

 

 


ตอนที่ 258 หงายไพ่

 

เดือนนั้น คุณนายเฉียวย้ายออกจากคฤหาสน์ของจิ้นหยวนตามที่เคยบอกเอาไว้ เธอย้ายไปอยู่ที่บ้านเช่าละแวกนั้น วันที่ย้ายออก พวกเฉียวซือมู่ไปช่วยกันขนของด้วย พอเห็นว่าบ้านเช่าหลังเล็กนิดเดียว ไม่ได้ครึ่งที่เคยอยู่ด้วยซ้ำ เฉียวซือมู่ก็รู้สึกปวดใจมาก พยายามเกลี้ยกล่อมให้คุณนายเฉียวกลับไปอยู่ที่เดิม แต่กลับถูกคุณนายเฉียวปฏิเสธอย่างเฉียบขาด 


 


 


และแผนการต่อไปของคุณนายเฉียวก็คือหางานทำ 


 


 


เฉียวซือมู่กลัดกลุ้มอยู่ครึ่งค่อนวันกว่าจะยอมรับความคิดของคุณแม่ได้ จิ้นหยวนต้องพูดปลอบอยู่นานกว่าเธอจะยอมรับความจริงได้ 


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน จิ้นหยวนต้องไปร่วมงานสังสรรค์ของตระกูลจิ้น ดูเหมือนว่างานเลี้ยงแซยิดของจิ้นเฮ่ากำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เนื่องจากฐานะทางสังคมของตระกูลจิ้น คืนวันงานจะต้องมีแขกเหรื่อมากมายไปร่วมงานอย่างแน่นอน ดังนั้น จิ้นหยวนจึงจำเป็นต้องไปออกงานอย่างเลี่ยงไม่ได้ 


 


 


ตอนแรกเขาคิดเพ้อเจ้อจะพาเธอไปร่วมงานด้วย แต่ก็ถูกเธอปฏิเสธ พูดเป็นเล่นไปได้ ตอนนี้เขาเป็นสามีของหร่วนเซียงเซียงอยู่นะ ขืนพาเธอไปด้วย มีหวังตระกูลหร่วนต้องเกลียดเธอตายแน่ เธอยังอยากจะมีชีวิตอยู่ไปนานๆ นะ 


 


 


จิ้นหยวนเกลี้ยกล่อมอีกสักพัก เมื่อเห็นท่าทางเด็ดขาดของเธอแล้วจึงเลิกล้มความตั้งใจ เขากำชับให้เธออยู่บ้านดีๆ เขาไปแค่วันเดียวก็กลับแล้ว จากนั้นจึงออกจากบ้านไป 


 


 


เธอรู้ว่าเขาคงไม่กลับเร็วขนาดนั้น เธอเดินไปมาอยู่ในห้องอย่างใจเย็น เหลือบดูเวลาเห็นว่ายังเช้าอยู่จึงตัดสินใจแวะเข้าไปดูที่ออฟฟิศเสียหน่อย เมื่อไปถึงออฟฟิศถึงได้รู้ว่ากิจการกำลังไปได้ดีมาก ตอนนี้นิตยสารซินเฟิงถือเป็นนิตยสารอันดับหนึ่งในเมืองนี้ไปแล้ว เธอดีใจมากจึงพาพนักงานไปเลี้ยงอาหารเที่ยง พวกหรงเซียวกอดเธอแน่นไม่ยอมปล่อย 


 


 


เธออยู่ที่ออฟฟิศจนค่ำถึงกลับบ้าน ถึงบ้านแล้วยังไม่เห็นจิ้นหยวนกลับบ้านตามคาดจึงเบ้ปากน้อยๆ อย่างผิดหวัง พยายามไม่คิดฟุ้งซ่านว่าตอนนี้มีใครยืนอยู่ข้างกายเขา เธอกลับขึ้นห้องแล้วอาบน้ำ จากนั้นปีนขึ้นเตียง กะจะเล่นคอมพิวเตอร์ก่อนแล้วค่อยเข้านอน 


 


 


ขณะที่เธอกำลังจดจ่ออยู่กับการดูซีรีส์เกาหลีอยู่นั้น จู่ๆ เธอก็รู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย อีกทั้งรู้สึกง่วงมากด้วย เธอยืดตัวบิดขี้เกียจ โยนคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คไปอีกทาง จากนั้นปิดเปลือกตาลง 


 


 


ขณะที่กำลังจะผลอยหลับนั้น จู่ๆ เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเร็วเกินไปที่จะเข้านอนตอนนี้ นี่มันยังไม่ถึงเวลาเข้านอนนะ… 


 


 


ขณะที่เฉียวซือมู่กำลังหลับสนิทอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงดังเบาๆ อยู่นอกหน้าต่างห้องนอนที่ถูกปิดสนิท จากนั้น ใครคนหนึ่งเปิดหน้าต่างออกอย่างคล่องแคล่ว ใครคนนั้นกระโดดเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบ…  


 


 


จิ้นหยวนสีหน้าไม่ดีนัก เขากำลังมองจิ้นเฮ่าและฉินเพ่ยหรงที่กำลังยิ้มหน้าบานอยู่ตรงหน้า เขามุ่นหัวคิ้วพลางเอ่ยถาม “คุณแม่แน่ใจแล้วเหรอครับ?”  


 


 


ฉินเพ่ยหรงชะงักชั่วครู่ “เด็กโง่ เรื่องแบบนี้พวกเราจะพลาดได้ยังไง? เราเชิญหมอมาตรวจอาการแล้ว ยืนยันว่าท้องแน่นอน” 


 


 


“จริงเหรอครับ?” เขาฟังแล้วสีหน้าไม่ได้ดูดีขึ้นเลย กลับดูเคร่งเครียดมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ “คุณแม่แน่ใจได้ยังไงว่าเด็กในท้องเป็นลูกของผม?” 


 


 


“นี่แกพูดบ้าอะไร?” ครั้งนี้จิ้นเฮ่าเป็นคนเอ่ยขึ้นแทน เขาโมโหจนหน้าแดงก่ำ ใช้ไม้เท้าฟาดลงบนตัวจิ้นหยวน “ดูซิว่าแกพูดอะไรออกมา เซียงเซียงเขาต้องลำบากท้องลูกของแก ตอนนี้แพ้ท้องหนักจนอาเจียนทั้งวัน แต่แกกลับพูดจาพล่อยๆ แบบนี้เหรอ? นี่ฉันทำเวรทำกรรมอะไรไว้ ถึงได้มีลูกอย่างแก!” 


 


 


จิ้นเฮ่าด่าว่าเสียๆ หายๆ ให้เจ็บช้ำน้ำใจ เหลือแค่ไม่ได้ไล่เขาออกจากบ้านเท่านั้น จิ้นหยวนยังคงปั้นหน้านิ่งเหมือนเดิม เขายิ้มเยาะพลางเหลือบมองหร่วนเซียงเซียงแวบหนึ่ง เห็นสีหน้าหร่วนเซียงเซียงตื่นตระหนกเล็กน้อย ยิ่งทำให้เขามั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิดมากยิ่งขึ้น เขายิ้มเย้ยในใจ คราวนี้เธอเป็นคนหาเรื่องใส่ตัวเองนะ อย่ามาโทษเขาก็แล้วกัน 


 


 


จิ้นหยวนเดินก้าวยาวไปหาหร่วนเซียงเซียง จ้องใบหน้าซีดเผือดของเธอตาเขม็ง “ฉันขอถามหน่อย เธอบอกว่าท้องใช่ไหม? เด็กในท้องเป็นลูกฉันเหรอ?” 


 


 


เธอลังเลชั่วครู่ กัดฟันตอบ “ก็ใช่นะสิ คุณเป็นสามีฉันนะ ลูกในท้องไม่ใช่ของคุณแล้วจะเป็นของใครล่ะ?” 


 


 


หร่วนเซียงเซียงเอ่ยจบพลันเห็นรอยยิ้มเย็นยะเยือกตรงมุมปากจิ้นหยวน หัวใจเธอหนักอึ้ง “อย่างนั้นเหรอ? เธอแน่ใจนะว่าเด็กคนนี้แซ่จิ้น ไม่ใช่แซ่หวัง?” 


 


 


เสียงดัง “เปรี้ยง” เหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เธอตัวแข็งทื่อ แววตาตื่นตระหนก ตัวสั่นไปทั้งร่าง “ทะ… ทะ… ทำไมคุณถึง…” 


 


 


เธอตัวสั่นงันงกจนพูดไม่ออก ตอนนี้เธอช็อกมาก ทั้งๆ ที่รู้ว่าท่าทางของตัวเองต้องทำให้เป็นเรื่องแน่ แต่เธอกลับควบคุมตัวเองไม่ได้เลยสักนิด 


 


 


“เธออยากถามว่าฉันรู้เรื่องนี้ได้ยังไงใช่ไหม?” จิ้นหยวนหัวเราะเสียงเย็นยะเยือก ท่าทางเต็มไปด้วยเสน่ห์ร้ายๆ “มีคนกล่าวไว้ว่า ถ้าไม่อยากให้คนอื่นรู้ก็ไม่ต้องทำ บางครั้ง คำพูดของคนแก่ก็มีเหตุผลจริงๆ” 


 


 


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้จิ้นเฮ่ากับฉินเพ่ยหรงงงเป็นไก่ตาแตก “นี่ลูกกำลังพูดอะไร? อะไรคือแซ่จิ้นแซ่หวัง?” 


 


 


จิ้นหยวนจ้องเธอตาเขม็ง แววตาเย็นเยียบ “เธอจะพูดเอง หรือให้ฉันพูด?” 


 


 


หร่วนเซียงเซียงเข่าอ่อนจนแทบทรุดกับพื้น เธอเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “คุณใช่ไหม คุณตั้งใจวางแผนนี้ขึ้นใช่ไหม? จิ้นหยวน คุณโหดเ**้ยมมาก ฉันเป็นเมียคุณนะ ไม่ใช่หมูหมากาไก่ที่ไหน นี่คุณถึงกับส่งผู้ชายคนอื่นมาล่อลวงฉันอย่างนั้นเหรอ คุณมัน…” 


 


 


ใช่แล้ว ความคิดเธอในตอนนี้ก็คือ เธอคิดว่าตัวเองติดกับดักที่จิ้นหยวนวางเอาไว้ เธอตกหลุมพรางของเขาเข้าอย่างจัง จิ้นหยวนคงอยากตีตัวออกจากเธอถึงได้ให้คนแซ่หวังคนนั้นมาล่อลวงเธอ เธอไม่ผิด! 


 


 


เธอยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเดาถูกต้อง เธอโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ไม่สนใจสายตาที่เย็นเยียบขึ้นเรื่อยๆ ของจิ้นหยวน “ต้องเป็นคุณแน่ๆ นี่คุณกล้าทำกับฉันขนาดนี้เลยเหรอ ฉันทำผิดอะไรคุณถึงไม่ชอบฉัน แม้แต่เรื่องที่ฉันอยากจะมีลูกคุณก็ไม่ยอม คุณมันโหดร้ายที่สุด…” 


 


 


เธอร้องไห้คร่ำครวญน้ำตานองหน้า ท่าทางน่าเวทนาเหลือเกิน สองผู้เฒ่าที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เห็นแล้วร้อนใจมาก จิ้นเฮ่าดุด่าจิ้นหยวน “นี่แกจะทำอะไรกันแน่ เซียงเซียงไม่ดีตรงไหน? แกถึงได้ทำร้ายเธอแบบนี้ ต้องทำให้ถึงตายแกถึงจะพอใจหรือไง?” 


 


 


ฉินเพ่ยหรงรีบเข้าไปประคองหร่วนเซียงเซียงลุกขึ้น “เด็กดี หยุดร้องได้แล้ว หนูต้องระวังสุขภาพนะ กระทบกระเทือนถึงลูกในท้องจะแย่ได้ วางใจเถอะ ถึงอาหยวนจะไม่เอาหนู แต่เราสองคนจะอยู่ข้างหนูเองนะ สบายใจเถอะนะ…” 


 


 


จิ้นหยวนมองหร่วนเซียงเซียงอย่างรังเกียจ รู้สึกว่าตัวเองประเมินความหน้าด้านของเธอน้อยเกินไป นึกไม่ถึงเลยว่าจนป่านนี้แล้วเธอก็ยังไม่ลืมเรียกคะแนนสงสารให้ตัวเอง 


 


 


เขาไม่สนใจจิ้นเฮ่าที่กำลังโกรธจัด มองหร่วนเซียงเซียงสีหน้าเย็นชา “ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ใช่คนที่ฉันหามาด้วย จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เธอ แต่เรื่องที่เธอคบชู้เป็นเรื่องจริง ฉันให้โอกาสเธอเป็นครั้งสุดท้าย เซ็นใบหย่าซะ ไม่อย่างนั้น ฉันจะบอกเรื่องที่เธอคบชู้กับหวังจื้อให้ตระกูลหร่วนรู้ ถึงตอนนั้นเธอน่าจะรู้นะว่าผลมันจะเป็นยังไง”  

 

 


ตอนที่ 259 เปิดโปงและทำร้ายจิตใจ

 

หร่วนเซียงเซียงตัวสั่นงันงกจะเป็นจะตาย ฉินเพ่ยหรงเห็นแล้วสงสารเธอจับใจ แต่พอได้ยินสิ่งที่จิ้นหยวนพูดแล้วก็เกิดความระแวงสงสัย จึงหันไปเอ่ยถาม “ที่ลูกพูดมันหมายความว่ายังไง?” 


 


 


จิ้นหยวนตวัดสายตาเย็นยะเยือกมองหร่วนเซียงเซียงที่กำลังซบอยู่ในอกฉินเพ่ยหรงโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้น เขายิ้มเยาะ “คุณแม่ก็ถามเองสิครับว่าเด็กในท้องเป็นลูกใครกันแน่?” 


 


 


หร่วนเซียงเซียงตัวสั่นหนักขึ้นไปอีก แต่เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ยอมปริปากสักคำ 


 


 


ฉินเพ่ยหรงไม่เข้าใจ “ถ้าเด็กคนนี้ไม่ใช่ของลูกแล้วจะเป็นของใคร? แม่คำนวณเวลาดูแล้วก็พอดีนี่นา…” เอ่ยจบแล้วถึงรู้สึกตัวว่าพูดผิดไป เห็นสายตาจับผิดที่จิ้นหยวนมองตัวเองจึงเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ก็แม่ร้อนใจนี่นา ถึงได้คิดจะทำให้พวกลูกใกล้ชิดกัน… ก็ใครใช้ให้ลูกไม่ยอมแตะต้องเธอล่ะ ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วแม่จะมีหลานได้ยังไง?” 


 


 


ฉินเพ่ยหรงกำลังพูดถึงเหตุการณ์วันที่ครอบครัวรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน ยอมรับกลายๆ ว่าเรื่องที่เขาดื่มไวน์จนเมาเป็นฝีมือพวกเธอเอง แต่จิ้นหยวนรู้ดีว่าคืนนั้นต้องมีเรื่องผิดปกติแน่ ถึงเขาจะไม่ใช่พวกคอทองแดง แต่เขาก็ไม่ได้คออ่อนถึงขั้นดื่มไวน์เพียงแค่ไม่กี่แก้วก็ล้มฟุบแบบนั้น ก่อนหน้านั้นหร่วนเซียงเซียงจะต้องทำอะไรสักอย่างแน่ 


 


 


ฉินเพ่ยหรงยิ่งพูดยิ่งสะเทือนอารมณ์ “แม่ไม่สนหรอกว่าระหว่างลูกสองคนเกิดอะไรขึ้น แต่หลานแม่อยู่ในท้องของเธอ ลูกจะทำอะไรเธอไม่ได้ทั้งนั้น” 


 


 


จิ้นหยวนส่ายศีรษะ “ผมไม่เคยแตะต้องตัวเธอมาก่อน แล้วเธอจะท้องกับผมได้ยังไง หรือเธอจะเป็นพระแม่มารี?”   


 


 


“อะไรนะ!” 


 


 


“แกพูดว่าไงนะ!” 


 


 


สองผู้เฒ่าอุทานออกมาพร้อมกัน สีหน้าแต่ละคนเหมือนกันไม่มีผิด นั่นก็คือกำลังช็อกสุดขีด 


 


 


“แกพูดว่าไงนะ? พูดอีกทีซิ” จิ้นเฮ่าทนไม่ไหวอีกต่อไป เดินเข้าไปกระชากคอเสื้อจิ้นหยวนแล้วจ้องเขาตาเขม็ง 


 


 


ฉินเพ่ยหรงหัวใจเย็นวาบ สองแขนที่โอบหร่วนเซียงเซียงเอาไว้ไร้เรี่ยวแรงในบัดดล 


 


 


หร่วนเซียงเซียงรู้สึกสิ้นหวัง ไม่รู้ว่าเธอไปเอาความกล้ามาจากไหน จู่ๆ เธอก็ผลักฉินเพ่ยหรงออกอย่างแรง จนฉินเพ่ยหรงล้มลงกับพื้นอย่างหมดแรง 


 


 


เธอจ้องจิ้นหยวนอย่างบ้าคลั่ง “คุณมันโหดร้ายที่สุด เรื่องนี้เป็นเพราะคุณทำผิดต่อฉันก่อนต่างหาก แต่งงานกันตั้งนาน คุณไม่เคยให้ความรักฉันแม้แต่นิดเดียว คุณลองถามใจตัวเองดูว่าคุณโหดร้ายขนาดนี้ คุณไม่รู้สึกผิดบ้างเลยหรือไง?” 


 


 


เธอตะเบ็งเสียงดังลั่น “ที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะคุณบีบฉัน เพราะคุณคนเดียว! คุณอยู่กินกับผู้หญิงแซ่เฉียวคนนั้นที่ข้างนอก รักกันจะเป็นจะตาย แต่คุณเคยเห็นเมียที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างฉันอยู่ในสายตาบ้างไหม? ฉันจะบอกอะไรคุณให้ ฉันเกลียดคุณ ถ้าเป็นไปได้ ฉันจะคบชู้กับผู้ชายเยอะๆ เอาให้คุณกระอักเลือดตายไปเลย ฉันจะสวมเขาให้คุณมากกว่านี้อีก…” 


 


 


เธอบ้าคลั่งราวกับเสียสติไปแล้ว 


 


 


แต่จิ้นหยวนกลับใจเย็นมาก เขามองเธออย่างเย็นชา “ฉันไม่เคยบีบบังคับให้เธอแต่งงานกับฉัน ที่ผ่านมาเธอเป็นคนบีบฉันต่างหาก เธอคิดว่าฉันแต่งงานกับเธอแล้วจะรักเธอเองอย่างนั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ! ฉันจะบอกให้นะ ในเมื่อเธอกล้าใช้จุดอ่อนของฉันเพื่อให้ตัวเองได้เป็นคุณนายตระกูลจิ้น ฉันก็จะทำให้เธอได้ชื่อว่าคุณนายจิ้นแต่ในนามเท่านั้น นอกจากคำว่าคุณนายจิ้นแล้วเธอก็จะไม่เหลืออะไรอีก ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครกล้าข่มขู่คนอย่างฉัน เธอเป็นคนแรก” 


 


 


 เขาเอ่ยพลางก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวๆ อย่างคุกคาม เงาร่างสูงใหญ่ทาบทับอยู่เหนือศีรษะเธอ มันทำให้เธอตัวหงออย่างห้ามไม่อยู่ เขาไม่สนใจปฏิกิริยาเธอสักนิด ยังคงพูดสิ่งที่ทำให้เธอสิ้นหวังต่อ “และจะเป็นคนสุดท้าย เพราะฉะนั้น เธอจงภูมิใจเถอะ” 


 


 


เอ่ยจบแล้วหมุนตัวไปประคองฉินเพ่ยหรงที่ยังคงนั่งตะลึงนิ่งอึ้งอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้น สีหน้าฉินเพ่ยหรงผิดหวังมาก “ที่แท้สิ่งที่ลูกพูดก็เป็นความจริงทั้งหมด เด็กในท้องของเธอ ไม่ใช่… ไม่ใช่ของลูกจริงๆ …” 


 


 


จนกระทั่งถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่อยากจะเชื่อความจริงข้อนี้ ยังคงมีความหวังเสี้ยวสุดท้าย แต่พอเห็นลูกชายพยักหน้าอย่างเด็ดขาดนั่นแหละ เธอจึงหมดหวังอย่างสิ้นเชิง เรี่ยวแรงที่มีอันตรธานหายไปจนหมด เธอยืนตัวเซ จิ้นหยวนประคองเธอให้เดินไปนั่งลงบนโซฟา จากนั้นรินน้ำชาใส่ถ้วยให้เธอ “คุณแม่ดื่มน้ำชาสักหน่อยนะครับ จะได้ใจเย็นลง” 


 


 


ฉินเพ่ยหรงยังดึงสติกลับมาไม่ได้ เธอยื่นมือรับถ้วยน้ำชาอย่างเหม่อลอยเหมือนคนไม่มีสติ 


 


 


จิ้นหยวนหมุนตัวกลับ เห็นสีหน้าจิ้นเฮ่าเต็มไปด้วยความสับสนปนเป เขากำลังมองจิ้นหยวนสลับกับมองหร่วนเซียงเซียงที่มีสีหน้าบ้าระห่ำ จิ้นเฮ่านิ่งเงียบสักพัก จากนั้นเดินไปทางหร่วนเซียงเซียง เขาก้มลงมองเธอ “เซียงเซียง พ่อขอถามหนูตรงๆ ที่อาหยวนพูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?” 


 


 


เขาเป็นคนที่ชอบหร่วนเซียงเซียงมากที่สุดในบ้าน หากไม่ใช่เพราะเขา จิ้นหยวนก็คงไม่ต้องแต่ง หร่วนเซียงเซียงเข้าบ้านเพราะเป็นห่วงสุขภาพของเขา เห็นได้ชัดว่าจิ้นเฮ่าเชื่อมั่นในตัวหร่วนเซียงเซียงมากขนาดไหน แต่มาตอนนี้ จิ้นหยวนเปิดโปงทุกอย่างออกมา ทำให้เขาช็อกจนไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง 


 


 


จิ้นเฮ่ามองหร่วนเซียงเซียงอย่างมีความหวัง หวังว่าเธอจะให้คำตอบที่แตกต่างไปจากจิ้นหยวน แต่หร่วนเซียงเซียงเองก็รู้ว่าไม่สามารถปฏิเสธได้อีกแล้ว ตอนนี้เธอไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนแล้ว เธอหัวเราะเยาะ “แล้วแกคิดว่าไงล่ะ? ลูกชายแกแต่งงานกับฉันแต่กลับไม่เคยแตะต้องตัวฉันสักครั้ง แล้วฉันจะไปมีลูกได้ยังไง? คนตระกูลจิ้นก็เหมือนกันหมด เลือดเย็นไร้หัวใจ ทำลายชีวิตฉันจนย่อยยับ ต่อให้ตายไปฉันก็ไม่มีวันปล่อยแกไปเด็ดขาด!”   


 


 


เธอจ้องเขาตาแข็งกร้าว ไม่เหลือความเรียบร้อยน่ารักเลยสักนิด จิ้นเฮ่าทั้งช็อกทั้งผิดหวัง งึมงำเสียงแผ่ว “นี่สินะ ความคิดที่แท้จริงของเธอ…” 


 


 


“ใช่ นี่แหละคือสิ่งที่ฉันคิด แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ถ้าไม่ใช่เพราะฉันอยากจะแต่งงานกับจิ้นหยวน ใครจะไปอยากอยู่กับตาแก่อย่างแกทุกวัน…” เธอยิ่งพูดยิ่งสะใจ ยิ่งพูดยิ่งลามปาม 


 


 


จิ้นเฮ่าปิดเปลือกตาลงด้วยความเจ็บปวด จู่ๆ เขาก็เงื้อมือขึ้นแล้วฟาดลงบนใบหน้าหร่วนเซียงเซียงอย่างแรงจนใบหน้าเธอบวมฉึ่ง 


 


 


เธอตะลึงนิ่งอึ้ง จากนั้นกรีดเสียงร้องโวยวายอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่แกกล้าตบฉันเหรอ! แกกล้าตบฉันเหรอ!” 


 


 


เธอโกรธจัดจนคิดจะพุ่งเข้าไปดึงทึ้งจิ้นเฮ่า แต่พอเหลือบไปเห็นจิ้นหยวนกำลังจ้องเธอตาเขม็งแล้วก็กลัวจนหัวหด 


 


 


หลังจากตบหร่วนเซียงเซียงไปฉาดใหญ่ ดูเหมือนเรี่ยวแรงทั้งหมดของจิ้นเฮ่าจะอันตรธานตามไปด้วย สีหน้าเขาอิดโรย เขาไม่มองหน้าเธออีก ค่อยๆ หมุนตัวแล้วเดินไปหาฉินเพ่ยหรง เขาประคองเธอลุกขึ้น เอ่ยโดยที่ไม่หันไปมอง “ฉันจะไม่ยุ่งเรื่องของพวกเธออีก อยากจะทำอะไรก็ตามใจ” 


 


 


เอ่ยจบแล้วประคองคู่ทุกข์คู่ยากของตัวเองค่อยๆ เดินกลับไปที่ห้องโดยไม่หันไปมองสองหนุ่มสาวที่อยู่เบื้องหลังอีกเลย 


 


 


ครั้งนี้จิ้นเฮ่าถูกหร่วนเซียงเซียงทำร้ายจิตใจจนบอบช้ำ เขารักและเอ็นดูเธอเหมือนลูกเหมือนหลานจากใจจริง แต่ไม่คิดเลยว่าความจริงจะเลวร้ายสุดที่จะรับได้เช่นนี้ 


 


 


จิ้นหยวนมองดูทั้งสองค่อยๆ เดินจากไปจนหายลับไปจากสายตา เขารู้สึกว่าแผ่นหลังของทั้งคู่ดูแก่ขึ้นอีกเป็นกอง ความเกลียดเอ่อท้นในใจ เขาไม่ได้ระบายมันออกมา หากแต่มองเธออย่างเฉยชา “พอใจหรือยัง? พวกท่านดีกับเธอมากขนาดนั้น แล้วเธอตอบแทนด้วยการทำร้ายจิตใจพวกท่านแบบนี้เหรอ? 


 


 


หร่วนเซียงเซียงหัวเราะสะใจ “ยังไม่พอใจหรอก จิ้นหยวน หัวใจคุณทั้งแข็งทั้งเย็นแบบนี้ ฉันอยากเห็นเหลือเกินว่าถ้าคนที่คุณรักถูกทำร้ายคุณจะเป็นยังไงบ้าง ฉันว่ามันต้องน่าสนุกมากแน่” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม