ลิขิตฟ้าชะตารัก 251-258
ตอนที่ 251 จะได้เห็นดีกัน
“เจ้าค่ะ” อวี้จื่อเยียนฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ทำได้แต่พยักหน้ารับน้อยๆ
หลิงอ๋องมาส่งอวี้อาเหาถึงห้องพัก ก่อนจะรีบให้คนมาเติมถ่านจุดฟืน เกิดเป็นความโกลาหลเสียยกใหญ่ด้วยเกรงว่าจะไม่ได้ดั่งใจนาง นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าในใจของเขานั้นเป็นกังวลมากเพียงใด
“เสด็จพ่อ ลูกไม่เป็นอะไรจริงๆ เพคะ” อวี้อาเหรานั่งอยู่บนตั่ง กุมเตาอุ่นมือเอาไว้ เมื่อเห็นว่าหลิงอ๋องไม่กล้าจากนางไปไหนด้วยตาแดงๆ เพราะกลัวว่านางจะเกิดอันตรายอะไรขึ้นนั้น ในใจของนางก็พลันเกิดความรู้สึกลำบากใจขึ้นมาในทันที คิดว่าหากคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องยังไม่ตายจริงๆ นางที่เข้ามาช่วงชิงชีวิตของผู้อื่นเช่นนี้ก็ช่าง…
แต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เดิมทีนางก็ไม่สามารถเลือกอะไรได้เลย
“พ่อให้คนไปตามหมอหลวงมาดูอาการของเจ้าแล้ว อย่างไรก็ต้องให้หมอหลวงตรวจดูเสียหน่อย หากเจ้าพวกโจรสมควรตายเหล่านั้นกล้าที่จะทำร้ายเจ้าแม้เพียงปลายเล็บ พ่อก็ไม่มีทางปล่อยพวกมันเอาไว้!” ดวงตาของหลิงอ๋องเต็มไปด้วยความดุดัน ราวกับมีพายุก่อตัวขึ้นในดวงตา ท่าทางราวกับว่าจะเฉือนอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ เข้าจริงๆ
อวี้อาเหราเองก็รู้สึกตกใจเพราะสายตาเช่นนั้น
เมื่อหลิงอ๋องสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวของนาง ทันใดนั้นก็รีบปรับสีหน้าให้อ่อนโยนขึ้น “อาเหราอย่ากลัวไปเลยนะ ไม่ว่าใครที่กล้าทำร้ายเจ้า พ่อจะทำให้มันได้เห็นดี”
“เพคะ” นางเชยดวงหน้าขึ้นก่อนจะพยักหน้าลงน้อยๆ
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วหลิงอ๋องก็เจ็บปวดหัวใจไม่น้อย นึกสงสารบุตรสาวของตนเองยิ่งนัก ยามที่นางเกิดมามารดาของนางก็ลาลับไป หลังจากนั้นยังถูกอนุรองสองแม่ลูกรังแกมาเสียหลายปี ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะกลายเป็นคนแข็งแกร่งขึ้นมาบ้าง ก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกจนได้รับบาดเจ็บ เหตุใดชีวิตของนางถึงได้อาภัพเพียงนี้
ไม่ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขาดูแลนางไม่ดีต่างหาก!
อวี้อาเหรามองเขาอีกครั้งด้วยอารมณ์ความรู้สึกสับสน “เสด็จพ่ออย่าได้เป็นกังวลไปเลยเพคะ ลูกไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ นอกจากจะตกใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่นี้อยู่บ้างก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรตรงไหน พวกมันก็ไม่ได้ทำอะไรลูกเลยแม้แต่น้อย”
“พวกมัน?” หลิงอ๋องชะงัก “ไม่ได้มีเพียงคนเดียวหรือ”
“เพคะ” อวี้อาเหราพยักหน้าลง “แต่คนอื่นเป็นเพียงลูกน้องของคนที่สวมหน้ากากเท่านั้นเพคะ”
“พ่อเข้าใจแล้ว” หลิงอ๋องรับคำ ก่อนจะถามขึ้นอีกว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จำลักษณะพิเศษของมันได้หรือไม่ บอกพ่อมาเถิด พ่อจะได้สั่งคนไปตามตัวพวกมันมา ครั้งก่อนที่เจ้าถูกทำร้ายก็ยังหาตัวคนผิดไม่ได้ ครั้งนี้ก็ไม่อาจปล่อยผ่านได้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกมันก็คงคิดว่าธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋องของเรานั้นรังแกได้ง่ายๆ”
“คนผู้นั้นสวมหน้ากากอีกทั้งยังใส่ชุดดำ ลูกก็มองไม่ออกจริงๆ เพคะว่าเขามีลักษณะพิเศษเช่นไร” อวี้อาเหราส่ายหน้าด้วยความปวดหัว เรื่องของหนิงจื่อเย่นั้นก็ไม่อาจบอกหลิงอ๋องให้รู้ได้เป็นอันขาด ตอนนี้นางถึงได้เข้าใจแล้วว่าที่เขากล้าลักพาตัวนางอย่างเปิดเผยต่อหน้าประตูวังเช่นนี้ คิดดูแล้วเขาก็คงจะรู้ว่านางไม่กล้าที่จะบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คนอื่นได้รู้เป็นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ถึงได้รู้ว่าความคิดของหนิงจื่อเย่นั้นลึกลับซับซ้อนจนไม่อาจคาดเดายิ่งนัก
ทะลุมิติมาถึงต้าเยี่ยนได้ไม่ถึงสองเดือนดีก็กลับเกิดเรื่องราวต่างๆ นานามากมายเช่นนี้ ถ้าหากนางอยู่ต่อไปอีกหลายสิบปีคงได้จบชีวิตลงเสียกระมัง สิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดในตอนนี้ก็คือการที่คนในที่ลับล่วงรู้จุดอ่อนของนางเข้า เพราะอย่างนั้นนางจึงต้องยิ่งระมัดระวังตัวเอาไว้ให้ดี
“หากเป็นเช่นนี้ก็คงหาตัวได้ยากแล้ว แต่ว่าอาเหราเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป พ่อจะต้องตามจับคนที่รังแกเจ้าให้ได้!” แม้ว่าหลิงอ๋องจะเสียใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะเอ่ยวาจาปลอบโยนอวี้อาเหรา
อวี้อาเหราพยักหน้าลง “ลูกเชื่อว่าเสด็จพ่อจะต้องหาตัวพวกมันได้พบแน่ๆ เพคะ”
“เจ้ารีบพักผ่อนเสียเถิด พ่อขอตัวก่อน หากเจ้ามีเรื่องอะไรก็ส่งเจาเอ๋อร์มารายงานได้ทันที” หลิงอ๋องออกคำสั่ง เมื่อออกเดินไปได้สองก้าวก็หยุดลงแล้วหันกลับมา
ตอนที่ 252 จวนเซิ่นอ๋องยามดึกสงัด
“เอาเช่นนี้แล้วกัน พ่อจะส่งองครักษ์มาอารักขาเจ้าเพิ่ม พวกที่ส่งมาให้ครั้งก่อนก็ไม่รู้ว่ามัวแต่ทำอะไรกันอยู่ ถึงได้ปล่อยให้เจ้าได้รับอันตรายถึงสามครั้ง ครั้งนี้พ่อจะไม่ปล่อยไปอีกแล้ว”
“เสด็จพ่อโปรดทรงเมตตาด้วยเพคะ” อวี้อาเหรารีบเอ่ยปากร้องขอในทันที “พวกเขาต่างก็ไม่คิดว่าจะมีคนกล้าลงมือที่หน้าประตูวังเช่นนี้ การคุ้มกันจึงหย่อนยานไปบ้าง อีกอย่างเรื่องในวันนี้ก็ไม่ควรโทษพวกเขาเลยเพคะ ควรโทษที่ลูกรนหาเรื่องเสียมากกว่า”
“เฮ้อ ช่างเถิด เช่นนั้นเจ้าก็รีบพักผ่อนให้เร็วเสียหน่อย” หลิงอ๋องที่ก่อนหน้านี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เมื่อได้ยินนางรับความผิดไว้เองเช่นนี้ก็พลันระงับอารมณ์โกรธ เพียงถอนหายใจแล้วหันกายเดินจากไป
เมื่อเห็นว่าหลิงอ๋องจากไปแล้ว อวี้อาเหราก็ลุกขึ้นจากตั่งที่นั่งอยู่ “เจาเอ๋อร์”
“มีอะไรหรือเจ้าคะคุณหนู” เจาเอ๋อร์รีบเปิดม่านเข้ามาจากด้านนอกทันที สายลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาผ่านช่องว่างเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้หนาวเสียจนสั่น
อวี้อาเหราสั่งว่า “วันนี้ข้าก็เหนื่อยยิ่งนัก อยากจะนอนเสียหน่อย ไม่อยากกินอะไรแล้ว อีกประเดี๋ยวเจ้าก็ออกไปเฝ้าที่หน้าประตูเถิด ไม่ว่าใครก็อย่าให้เข้ามารบกวนการนอนของข้า แม้แต่เสด็จพ่อเองก็ไม่ได้ ส่วนเจ้าก็เตรียมของว่างมื้อดึกเอาไว้ หากข้าตื่นแล้วจะเรียกหาเอง เข้าใจหรือไม่”
“บ่าว…บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” หลังจากที่คิดทบทวนอยู่รอบหนึ่ง เจาเอ๋อร์จึงพยักหน้าตอบรับ
อวี้อาเหราโบกมืออย่างพึงพอใจ “เจ้าออกไปเถิด ข้าจะนอนแล้ว”
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นบ่าวขอลา” เจาเอ๋อร์ไม่สงสัยสิ่งใดอีก รีบเดินออกไปในทันที
เมื่อเห็นว่าคนออกไปจนหมดแล้ว อวี้อาเหราถึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมา แอบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นแบบที่เรียบง่ายขึ้น ก่อนจะกระโดดออกจากหน้าต่างไป ตอนนี้นางก็อยากจะไปที่จวนเซิ่นอ๋องเพื่อถามให้แน่ใจ นี่ก็เป็นทางเดียวที่จะสามารถยืนยันคำพูดของหลิงจื่อเย่ได้ ถ้าหากไม่ใช่…นางจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากเช่นนี้
ส่วนเจาเอ๋อร์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูนั้นก็ยังคงคุกเข่าลงทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป
เรื่องนี้นางจำต้องเก็บไว้เป็นความลับ แม้แต่สาวใช้ที่แสนซื่อสัตย์ก็ไม่อาจให้นางรับรู้ได้
ยามที่นางลอบฝ่าลมหนาวมาจนถึงจวนเซิ่นอ๋องอย่างไม่ง่ายดายนัก ก็กลับถูกองครักษ์ที่คุ้มกันอยู่หน้าประตูนั้นกักตัวเอาไว้ ยามนี้นางเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ไม่คุ้นเคย อีกทั้งบนใบหน้ายังประทินโฉมเสียจนดูต่างจากในยามปกติ หากคนทั่วไปมองไปก็คงจำนางไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะถูกองครักษ์กักตัวเอาไว้เช่นนี้
อวี้อาเหรานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทำเพียงเงยหน้าขึ้น “ข้าคือธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋อง พวกเจ้าก็จำข้าไม่ได้หรือ”
องครักษ์ที่คุ้มกันประตูอยู่นั้นตกใจเป็นอย่างมาก นี่ก็คือคุณหนูรองหรือ เหตุใดนางถึงได้แต่งตัวเช่นนี้เล่า
“จะตกใจอีกนานหรือไม่” อวี้อาเหราแสดงออกให้เห็นถึงน้ำเสียงและอารมณ์เหมือนเช่นทุกวัน จนทำให้องครักษ์ที่คุ้มกันประตูอยู่นั้นมั่นใจว่าหญิงสาวที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้เป็นคนเดียวกับคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องแน่แล้ว เช่นนั้นจึงปล่อยให้นางเข้าไปข้างในโดยไม่ได้รั้งเอาไว้
นางก้าวเดินไปข้างหน้า อาศัยความเคยชินเพื่อเดินไปยังเรือนพักของฉู่ป๋าย
เมื่อมาถึงหน้าประตูแล้ว ก็เห็นว่าหานสือกำลังยืนเฝ้าประตูด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอยู่เพียงผู้เดียว
อวี้อาเหรารีบเดินเข้าไปทันที แต่กลับถูกเขาขวางเอาไว้เหมือนคนที่ไม่เคยได้รู้จัก นางจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาเบื่อหน่ายอีกครั้ง เห็นว่าในสายตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย “ข้าคือธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋อง หานสือ เจ้าก็จำข้าไม่ได้หรือ”
“คะ…คุณหนูรอง?” หานสือตกตะลึงในทันใด ก่อนจะไตร่ตรองเล็กน้อย “คุณหนูรอง เหตุใดท่านถึงได้แต่งกาย…แต่งกายเช่นนี้แล้วมาถึงที่นี่ได้ขอรับ”
“อ้อ หากจะให้พูดก็คงจะยาว” อวี้อาเหราไม่อยากตอบคำถามนี้ เช่นนั้นจึงคิดหาทางหลบเลี่ยง แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “จริงสิ ซื่อจื่อของเจ้าเล่า”
“ซื่อจื่อ…” สีหน้าของหานสือพลันเปลี่ยนไป
ตอนที่ 253 หญิงชายตัวเปล่าเล่าเปลือย
“ซื่อจื่อของเจ้าทำไมหรือ” อวี้อาเหราเห็นเขาอึกๆ อักๆ ในใจย่อมเกิดความสงสัยขึ้นเป็นธรรมดา พยายามที่จะเยี่ยมหน้าเข้าไปในห้องเพื่อมองดู แต่ก็กลับถูกหานสือเอาตัวเข้าบังไว้ “คุณหนูรอง ตอนนี้ร่างกายของซื่อจื่อไม่ใคร่ดีนัก ไม่สะดวกที่จะพบท่าน ขอให้ท่านกลับไปก่อนเถิดนะขอรับ”
“มีอะไรไม่สะดวกกัน” อวี้อาเหราเอ่ยถามนิ่งๆ “ถ้าหากป่วยก็เรียกหมอหลวงมาดูอาการสิ”
หานสือหลุบตาลงเพื่อครุ่นคิดอยู่เป็นนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกักว่า “หญิงชายตัวเปล่าเล่าเปลือยอยู่ในห้องสองต่อสองคงจะไม่เหมาะนัก ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ให้ท่านหมอมาดูอาการแล้ว คงไม่รบกวนคุณหนูรองขอรับ”
“หญิงชายตัวเปล่าเล่าเปลือย?” น้ำเสียงของอวี้อาเหราติดจะขึ้นจมูก “ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นว่าซื่อจื่อของเจ้าจะกังวลเรื่องนี้เลย สิ่งที่ควรหรือไม่ควรจะได้เห็นข้าก็เห็นมาจนหมดแล้ว ตอนนี้จะมาปกปิดเพื่ออะไรกันอีก รีบหลีกทางให้ข้าเร็วเข้า อย่ามาขวางทางข้า!”
“คุณหนู ท่าน…” หานสือเหงื่อผุดพราย อะไรที่กล่าวว่าเห็นในสิ่งที่ควรเห็นและไม่ควรเห็น คุณหนูดีๆ ที่ไหนบ้างจะกล้าพูดเช่นนี้
“แค่กๆ” อวี้อาเหรารู้ตัวว่าตัวเองปากไวเกินไปแล้ว เช่นนั้นจึงรีบจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย “หานสือ ที่เจ้าขวางข้าเช่นนี้ก็เป็นเพราะด้านในมีสิ่งที่ข้าไม่สมควรเห็นใช่หรือไม่”
“ไม่มีขอรับ” หานสือส่ายหน้า
“เช่นนั้นก็ถอยไปสิ!” อวี้อาเหราไม่ทนอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้นางก็ถูกเรื่องที่ได้เผชิญมาก่อนหน้านี้บีบคั้นจนแทบจะบ้าแล้ว ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจเรื่องของคนอื่นได้อีก ที่เขาขัดขวางนางเช่นนี้ก็คงเพราะมีเรื่องอะไรที่ไม่ต้องการให้นางรู้เป็นแน่
“คุณหนูรองโปรดระงับโทสะด้วยขอรับ” หานสือกล่าวแล้วก้มหน้าลง ทว่าร่างกายกลับไม่ขยับถอยห่างแม้เพียงครึ่งก้าว
อวี้อาเหราบันดาลโทสะ จากนั้นก็ค่อยๆ กดเก็บความโกรธกล่าวขึ้นว่า “ไม่ให้เข้าก็ไม่เข้า ทำราวกับกลัวว่าข้าจะเข้าไปขโมยของในจวนเซิ่นอ๋องของพวกเจ้าอย่างนั้นล่ะ ต่อไปนีหากเชิญข้ามาข้าก็จะไม่มาอีกแล้ว”
เมื่อกล่าวจบ นางก็หมุนกายแล้วจากไป
อาศัยช่วงที่หานสือตกตะลึงอยู่นั้นเอง นางก็รีบพุ่งกายไปข้างหน้า ศีรษะของนางกระแทกเข้ากับแผ่นอกอันแข็งแรงกำยำราวกับกำแพงเหล็กของหานสือโดยพลัน เขาเองก็มองลูกเล่นของนางออกเสียนานแล้ว เช่นนั้นจึงไม่ยอมหลงกล เมื่อเห็นว่านางลูบศีรษะของตัวเองด้วยความเจ็บปวด เช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขึ้นว่า “คุณหนูรองอย่าทำให้ข้าน้อยต้องลำบากใจเลยนะขอรับ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรข้าน้อยก็ไม่อาจให้ท่านเข้าไปได้ หากมีเรื่องอะไร พรุ่งนี้ค่อยมาอีกครั้งเถิดนะขอรับ”
“ฉู่ป๋าย เหตุใดเจ้าถึงออกมาล่ะ…” อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้นแล้วร้องเข้าไปในห้อง หานสือได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจจนต้องหันหน้ากลับไปมองโดยพลัน และนางก็รีบอาศัยโอกาสนี้ลอบเข้าไป ทว่าเมื่อเลิกม่านออกนั้นกลับเห็นว่าฉู่ป๋ายนั่งก้มหน้าอยู่บนเตียงนิ่งไม่ขยับไปไหน เส้นผมสีขาวสยายยาวไปทั่วแผ่นหลัง
พวกเขาทั้งสองต่างตกตะลึงในทันที
“เจ้า…” เมื่ออวี้อาเหราเพิ่งจะก้าวเข้าไป ฉู่ป๋ายก็เงยหน้าขึ้นมองนางด้วยความเงียบงันทันที ช่วงเวลานั้น กลับเกิดเป็นความสั่นสะท้านอยู่ในส่วนลึก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดมากมาย เป็นสีแดงก่ำจนดูเหมือนดวงตาของสัตว์ป่า ไร้ซึ่งแววตาและความรู้สึก ราวกับสัตว์ร้ายที่หิวโหยกำลังจ้องมองเหยื่ออันโอชะ
ใบหน้าซีดเผือด แตกต่างไปจากยามปกติราวกับคนละคน
ริมฝีปากแดงก่ำราวกับเลือดสดๆ ช่วงเวลาที่หยุดนิ่งนั้น เห็นแม้กระทั่งหยดเลือดที่ยังไม่แห้งเหือดไหลออกมาจากมุมปากของเขา
อวี้อาเหรามองจนตัวสั่นไหว น้ำเสียงเปลี่ยนไปเป็นแหบแห้งโดยพลัน “จะ…เจ้า นี่เจ้าเป็นอะไรไป”
“คุณหนูรอง รีบถอยออกมาขอรับ!” หานสือที่เห็นเช่นนี้ก็พลันตื่นตระหนกอยู่หลายส่วน ไม่มีท่าทีนิ่งสงบเหมือนที่เคยเป็นมาก่อน ดวงตาเบิกกว้างขึ้น ราวกับพบเจอกับสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดกลัว
สมองของอวี้อาเหราหยุดประมวลผลไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินเสียงร้องตื่นตระหนกของหานสือก็ลืมที่จะตอบสนอง ยังคงยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ด้วยเพราะตกใจกับสภาพเช่นนี้ของฉู่ป๋ายไปเสียแล้ว
นี่เขาเป็นอะไรไป
ตอนที่ 254 โรคกระหายโลหิต
“คุณหนูรอง ท่านรีบออกมาเถิดนะขอรับ ตอนนี้ซื่อจื่อก็อันตรายเกินไปแล้ว” หานสือเมื่อเห็นว่านางยังคงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว ก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายลึกๆ รีบเอ่ยประโยคเดิมซ้ำขึ้นมาในทันที ก่อนจะหันไปมองสภาพของซื่อจื่อในตอนนี้อีกครั้ง ตอนนี้ก็ยากที่จะรับรองได้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วจริงๆ
“หานสือ นี่ซื่อจื่อของเจ้าเป็นอะไรกันแน่” อวี้อาเหราถูกเขาร้องเรียนจนได้สติขึ้น ทันใดนั้นก็รู้ได้ทันทีว่านี่ก็ไม่ปกติเสียแล้ว
ดวงตาของคนธรรมดาไหนเลยจะสามารถเปลี่ยนไปเป็นสีแดงได้ถึงเพียงนี้
ใบหน้าของคนธรรมดาไหนเลยจะซีดขาวได้ถึงเพียงนี้
ริมฝีปากของคนธรรมดาไหนเลยจะกลายเป็นสีแดงถึงเพียงนี้
ย่อมไม่มีทางแน่!
หานสือปิดปากไม่พูดถึงเรื่องนี้ “คุณหนูรองท่านรีบออกไปเถิด หากช้าไปกว่านี้จะไม่ทันการนะขอรับ ซื่อจื่ออาจจะทำร้ายท่านได้”
“หากเจ้าไม่ยอมบอกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าก็จะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น” อวี้อาเหราตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าอย่างไรนางจะต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่ว่าหานสือจะพูดอย่างไรนางก็ไม่มีทางออกไป จนทำให้อีกฝ่ายปวดหัว จำต้องอธิบายขึ้นมาอย่างไม่มีทางเลือก
“ซื่อจื่อป่วยเป็นโรคกระหายโลหิตตั้งแต่เด็ก อาการจะกำเริบทุกครั้งที่เข้าสู่ฤดูหนาว หากได้เจอผู้ใดก็จะสังหารเสียสิ้น แม้จะมีอาการเพียงแค่เล็กน้อยแต่ก็ทำให้ซื่อจื่อต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก ตอนนี้อาการนับว่ายังดีที่ซื่อจื่อยังคงไม่สูญเสียการควบคุมสติไปจนหมด แต่หากรออีกสักพักจนอาการกำเริบขึ้นมา ซื่อจื่อจะทำสิ่งใดเขาก็คงไม่รู้ตัวแล้ว ถ้าหากไม่เห็นเลือดก็จะไม่สามารถฟื้นฟูสติขึ้นมาได้ เพราะอย่างนั้นข้าน้อยจึงขอร้องคุณหนูรองว่าอย่าได้เข้ามา”
“ที่ใบหน้าของเขาขาวซีดถึงเพียงนี้ก็เป็นเพราะโรคนี้อย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่ขอรับ” หานสือส่ายหน้า “โรคนี้เพียงแค่ทำให้ซื่อจื่อกระหายโลหิตทุกครั้งที่เข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ในยามปกติก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อปีนั้นที่ซื่อจื่อได้พยายามที่จะควบคุมอาการของโรคนี้ก็ได้ทุ่มกำลังฝึกวิชาเผาไหม้ตัวตนที่แสนอันตรายอย่างยากลำบาก ถึงแม้จะอันตราย แต่ก็สามารถยับยั้งอาการของโรคกระหายโลหิตได้ หลายปีมานี้ก็ถือว่าดีขึ้นบ้าแล้ว แต่ก็เพราะว่าฝึกวิชานี้ ทำให้ต้องควบคุมเปลวเพลิงน้ำแข็งไม่ให้ลุกไหม้ ดังนั้นใบหน้าจึงขาวซีดผิดปกติ”
“ในเมื่อควบคุมได้แล้วทำไมถึงได้กำเริบอีกล่ะ” อวี้อาเหราตื่นตระหนก
“นี่ก็เป็นเพราะว่าเมื่อหลายวันก่อนซื่อจื่อได้ช่วยคุณหนูเอาไว้ ซื่อจื่อได้ถ่ายทอดลมปราณเข้าสู่ร่างของท่านจนทำให้ไม่อาจควบคุมไว้ได้ โรคกระหายโลหิตและลมปราณของวิชาเผาไหม้ตัวตนในร่างจึงปะทุขึ้นในเวลาเดียว ทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิมขอรับ”
“เพราะว่าเขาช่วยข้า?” อวี้อาเหรายืนนิ่งอยู่ที่เดิม คิดไม่ถึงเลยว่าเพื่อช่วยชีวิตตนเองในครั้งก่อนทำให้ฉู่ป๋ายต้องเสี่ยงชีวิตจนเขาต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ และครั้งนั้นนางก็ยังโกรธเขาเพราะเรื่องของอวิ๋นเซิ่นอีก
ราวกับมีน้ำชาร้อนๆ รินรดลงบนหัวใจของราง นางเริ่มที่จะแยกแยะออกแล้วว่าอะไรเป็นอะไร
และตอนนี้นางก็กลับเชื่อคำสั่งของหนิงจื่อเย่ ฆ่าเขาอย่างนั้นหรือ?
เขาที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เดิมทีก็ไม่จำเป็นให้นางลงมือก็เกรงว่ายากที่จะรอดได้แล้ว…
อวี้อาเหรามองฉู่ป๋ายอย่างเงียบงัน ใบหน้าหล่อเหลาสง่างามของของเขาค่อยๆ บิดเบี้ยวมากยิ่งขึ้น เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาเครียดเขม็ง กัดริมฝีปากอย่างอดกลั้น ทั้งๆ ที่ท่าทางเช่นนี้ช่างดูโหดร้ายและอันตรายยิ่งนัก แต่เมื่อนางได้เห็นใบหน้างดงามและความอดทนอดกลั้นของเขาเช่นนี้แล้ว ในใจของนางก็รู้สึกขมขื่นขึ้นมาในทันที
ไม่สิ เขาช่วยชีวิตนางหลายครั้งต่อหลายครั้ง แล้วนางจะหลงลืมบุญคุณฆ่าเขาได้อย่างลงคอเชียวหรือ
อย่าได้กล่าวเลยว่าด้วยความสามารถของนางแล้วไม่มีทางที่จะทำได้ ทว่าแม้แต่ความคิดที่จะยกมีดขึ้นจ่อคอเขาก็ยังไม่กล้า
ทันใดนั้นเอง ในที่สุดฉู่ป๋ายก็ไม่อาจต้านทานความกระหายเลือดอย่างรุนแรงของตัวเองได้อีกแล้ว ท่าทางของเขาค่อยๆ ดุดัน เดินเข้าทางพวกเขาอย่างเชื่องช้า
ตอนที่ 255 ถูกควบคุม
ระหว่างทางที่เดินเข้ามา ราวกับมองเห็นหยดเลือดที่กระจายอยู่บนชุดสีขาวเต็มไปหมด เลือดเหล่านี้คงเป็นเพราะเขาต้องการที่จะย้ำเตือนตัวเองให้มีสติ จึงต้องทำร้ายร่างกายของตัวเอง
ในชั่ววินาทีนั้นเลือดได้หยดลงบนพื้นราวกับดอกเหมยที่เบ่งบานดอกแล้วบอกเล่า ทุกย่างก้าวที่เดินเข้ามา หยดเลือดก็ไหลลงที่ใต้ฝ่าเท้าราวกับบุปผาแดงกระหายเลือดเบ่งบาน
“คุณหนูรอง รีบไปเร็วขอรับ!” หานสือร้องเตือนขึ้น ทันใดนั้นเขาก็ผลักอวี้อาเหราไปทางด้านหลัง ก่อนจะก้าวเข้าไปหาฉู่ป๋าย
ฉู่ป๋ายที่รับรู้ถึงอันตรายก็พลันเบนสายตามองไปบนร่างของหานสือ สะบัดแขนเสื้อตัวยาว ก่อนจะใช้ฝ่ามือฟาดลงไปหนักๆ ที่ร่างของเขา หานสือก็พลันล้มลงไปกับพื้นโดยไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต้านทาน ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้
เมื่อเห็นถึงความน่ากลัวของฉู่ป๋าย ในใจของอวี้อาเหราก็เกิดเป็นความตื่นตระหนกขึ้น แต่นางก็ยังคงยืนนิ่งที่ข้างประตู ไม่ยอมหนีไปไหน
แม้เพียงฝ่ามือเดียวก็ทำให้หานสือซึ่งมีวรยุทธ์แกร่งกล้าไร้หนทางต่อสู้แม้แต่น้อย แล้วนางผู้ซึ่งเป็นหญิงสาวอ่อนแอไร้ซึ่งพลังอำนาจใดๆ เล่า?
แต่ถ้าหากตอนนี้นางหนีไป แล้วเขาจะทำอย่างไร หานสือจะเป็นอย่างไร คนของจวนเซิ่นอ๋องที่อยู่ด้านนอกเล่าจะเป็นเช่นไร
หานสือกระอักเลือดสดๆ ออกมาจากปาก นึกอยากจะใช้แรงเฮือกสุดท้ายเพื่อบอกให้อวี้อาเหรารีบหนีไป แต่ทำอย่างไรก็ร้องไม่ออก
ตอนนี้ซื่อจื่อของเขานั้นร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากโรคกระหายโลหิตและวิชาเผาไหม้ตัวตนนั้นเป็นสิ่งที่อันตรายต่อร่างกายมาก เมื่อออกฤทธิ์แล้วก็สามารถปลุกอารมณ์สังหารไม่เลือกหน้าขึ้นมาได้!
คุณหนูรองที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเช่นนี้ นี่ก็ไม่เท่ากับส่งตัวเองไปตายหรอกหรือ
ฉู่ป๋ายเมื่อเห็นหานสือนอนนิ่งไม่ขยับ เขาก็สัมผัสได้ว่ายังมีคนที่ร่างกายปราศจากบาดแผลยืนอยู่ตรงนั้น เช่นนั้นจึงหันหน้ากลับไปมอง ดวงตาน่ากลัวจับจ้องไปที่ร่างของอวี้อาเหรา แล้วเดินเข้าไปหานาง ทุกย่างก้าวหน่วงช้า กลับทำให้จิตใจคนมองตกลงไปกองที่พื้น
ในยามนี้องครักษ์หลายคนยืนขวางอยู่ด้านหน้าของอวี้อาเหรา สายตาตื่นตระหนกจ้องมองไปยังฉู่ป๋ายที่สูญเสียการควบคุมไปแล้ว
“คุณหนูรอง ท่านรีบไปเถิด ตรงนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเรา”
เมื่อพูดจบคนเหล่านี้ก็พุ่งเข้าโจมตี แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ถูกฉู่ป๋ายสะบัดฝ่ามือใส่ให้ออกไปจนพ้นทาง องครักษ์เหล่านั้นต่างพากันล้มลงกับพื้นจนหมด ตอนนี้เขาเหมือนกับสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งที่มีเรี่ยวแรงมากกว่าคนทั่วไปจนน่าตกใจ ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือดสดๆ เมื่อจัดการคนเหล่านี้จนหมดแล้วก็พลันมองเห็นอวี้อาเหราที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เมื่อเขาเดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงตัวนาง
อวี้อาเหราค่อยๆ ก้าวถอยหลังไปอย่างช้าๆ ในดวงตาไม่อาจหลบซ่อนความหวาดกลัวที่พยายามบังคับให้มันสงบลงได้เลย
“เจ้ารีบได้สติขึ้นมาเถิด…”
“อย่าถูกควบคุมเช่นนี้เลย…”
ไม่ว่านางจะร้องบอกอย่างไร แต่ฉู่ป๋ายก็ยังคงไม่ยินดียินร้าย ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปกำรอบคอของนาง เพิ่มแรงเข้าไปโดยไม่รู้ตัว อวี้อาเหราจ้องมองขา นางที่ถูกเขาบีบคอเช่นนี้จนแทบจะหายใจไม่ออก
หานสือเห็นดังนั้นแล้วก็ตกใจเสียจนรีบตะกายร่างให้ลุกขึ้น ก่อนจะคว้าขาของฉู่ป๋ายเอาไว้อย่างแน่นหนา
ฉู่ป๋ายชะงัก สายตาเรียบนิ่งมองไปยังข้อเท้าของตัวเอง เมื่อเห็นว่าหานสือเกาะขาของเขาไม่ยอมปล่อย ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วและเตะเท้าออก หานสือที่ไม่อาจทนกำลังของเขาได้จึงถูกเตะออกไปไกล
“ฉู่ป๋าย…” อวี้อาเหราได้ช่องสบโอกาส ใบหน้าที่มีสีแดงสลับม่วงจ้องมองเขานิ่ง
เมื่อได้ยินคำสองคำนั้น ท่าทีของฉู่ป๋ายก็ชะงักในทันที สติสัมปชัญญะของเขานั้นราวกับไม่ได้ถูกพรากเอาไปเสียทั้งหมด อวี้อาเหราเลิกคิ้วอย่างยินดี ก่อนจะร้องขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
อารมณ์ของฉู่ป๋ายยิ่งสงบลงมากขึ้น ใบหน้าบิดเบี้ยวเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้น เขาก็เพิ่มแรงที่ฝ่ามือ ราวกับพยายามที่จะหักคอนางเสีย
ภายในสถานการณ์บีบบังคับเช่นนี้ อวี้อาเหราจ้องมองดวงตาของเขาอย่างจริงจัง ราวกับมีเวทมนตร์มากมายไหลบ่าออกมาจากดวงตาของนาง ที่ค่อยๆ ทำให้ฉู่ป๋ายสงบลงได้
ตอนที่ 256 ดวงตาแดงแสนอาฆาต
มือที่เตรียมจะหักคอนางพลันหยุดชะงัก อวี้อาเหราค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมา ยกกำไลหยกเลือดที่ข้อมือของตัวเองขึ้นมาตรงหน้าเขาอย่างยากลำบาก พยายามที่จะเปล่งเสียงออกมาเป็นอย่างมาก
“ฉู่ป๋าย เจ้าได้สติเถิดนะ อย่าเป็นเช่นนี้อีกเลย อย่าได้…”
เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้น เพียงได้ยินเสียงแผ่วเบาของนางเท่านั้น ดวงตาแดงที่แสนอาฆาตของชายหนุ่มเมื่อครู่นี้ก็เปลี่ยนไปเป็นสงบนิ่งขึ้นมาก ถึงขนาดปล่อยมือที่บีบคอนางลง อวี้อาเหราที่เป็นอิสระแล้วก็รีบตรงเข้าไปกอดฉู่ป๋ายไว้ จ้องมองดวงตาของเขาพลางร้องตะโกนขึ้น
หานสือและเหล่าองครักษ์จ้องมองภาพเหตุการณ์นั้นด้วยความนิ่งงัน เหตุใดท่าทีของซื่อจื่อถึงได้อ่อนลงเช่นนี้…
นี่ก็ไม่อยากจะเชื่อยิ่งนัก! เมื่อครู่นี้คุณหนูรองใช้วิธีใดกันถึงสามารถทำให้เขาสงบลงได้เช่นนี้? หากเป็นคนธรรมดาคาดว่าคงจะต้องตายไปเสียนานแล้ว
อวี้อาเหราโอบกอดฉู่ป๋ายไว้ ผ่านไปหลายวันร่างกายของเขาก็ผ่ายผอมลงจนแทบไม่เหมือนกับร่างกายของมนุษย์ ร่างกายที่ผอมบางจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกหากจะใช้ไม้ฟืนมาบรรยายร่างกายนี้ก็คงไม่เกินไปนัก ชายหนุ่มผอมบางถึงเพียงนี้ แม้นางจะรั้งเขามากอดไว้ในอ้อมอกก็ดูจะไม่เปลืองแรงเท่าไร
นางวางข้อมือที่มีกำไลหยกเลือดเอาไว้ในฝ่ามือของเขา
พลังอำนาจของหยกเลือดนั้นไม่ธรรมดา หวังว่าอัญมณีชิ้นนี้จะสามารถช่วยเหลือเขาได้
ทั้งสองยืนนิ่งกันอยู่ตรงนั้น โอบกอดกันอย่างเงียบงัน จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด
อาการของหานสือค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ เขาก้าวเข้ามาหาคนทั้งสองอย่างเชื่องช้า ก่อนจะถามอย่างประหลาดใจว่า “คุณหนู เมื่อครู่ท่านทำอะไรกับซื่อจื่อหรือขอรับ เหตุใดเขาถึงได้ยอมสงบลงเช่นนี้”
“น่าจะเป็นเพราะหยกชิ้นนี้กระมัง” อวี้อาเหราตอบไม่หมด
แน่นอนว่าหานสือย่อมไม่เชื่อ เมื่อครู่นี้เขาก็ไม่เห็นว่านางจะใช้หยกเลือดทำให้ซื่อจื่อของเขาสงบลงเลยแม้แต่น้อย เขาก็จำเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ได้อย่างชัดเจน อาศัยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ เขาก็คงไม่ไม่อาจมองข้ามความสามารถของคุณหนูรองอีกต่อไปแล้ว!
แต่ในเมื่อนางไม่ต้องการที่จะพูดอะไรมากไปกว่านี้ เขาก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรอีก
เมื่อเห็นซื่อจื่อของตนค่อยๆ หลับตาลง เขาถึงได้เอ่ยปากขึ้นว่า “คุณหนูรองเองก็คงเหนื่อยแล้ว ให้ข้าน้อยอุ้มซื่อจื่อไปนอนพักที่เตียงเถิดขอรับ”
“ตกลง” อวี้อาเหราค่อยๆ ปล่อยมือออก
หานสือได้รับบาดเจ็บหนัก แน่นอนว่าเขาไม่อาจออกแรงได้ตามใจนึก แต่ร่างของฉู่ป๋ายในยามนี้ก็ผอมแห้งเสียจนน่ากลัว เช่นนั้นจึงสามารถอุ้มได้ง่ายๆ
อวี้อาเหรานั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ แล้วจ้องมองเขา ดื่มชาลงไปอึกหนึ่งเพื่อขจัดความแห้งผากในลำคอ กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่ในอากาศนั้นทำให้นางอดไม่ได้ที่จะนิ่วคิ้ว หันไปมองหานสือที่กำลังก้าวเข้ามาหา แล้วเอ่ยปากถามว่า “เมื่อครู่เจ้าถูกซื่อจื่อของเจ้าทำร้าย ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
“ไม่เป็นไรขอรับ ยังพอทนได้อยู่ แต่ว่าพวกเขาคงจะยุ่งยากเสียหน่อยแล้ว…” หานสือกวาดตามองไปยังองครักษ์ที่นอนเกลื่อนอยู่บนพื้น ก่อนจะเอ่ยปากสั่งให้คนมาช่วยรักษา ครั้งนี้ซื่อจื่อของเขานั้นสูญเสียการควบคุมโดยสิ้นเชิง ไม่อาจกักเก็บแรงที่เหนือมนุษย์ของตัวเองไว้ได้ แม้แต่เขาเองก็ยังไม่อาจต้านทานได้ แล้วผู้อื่นจะสามารถทนได้อย่างไร
แต่ครั้งนี้ยังดีที่มีคุณหนูรอง มิเช่นนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เมื่อหันกลับไปก็เห็นว่าลำคอของอวี้อาเหราแดงขึ้นเพราะถูกบีบ “คุณหนูรอง คอของท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ขอรับ”
“อืม” อวี้อาเหรายกมือขึ้นลูบคอโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าจะไม่เจ็บแต่ก็แดงอยู่บ้าง จะว่าไปแล้ววันนี้นางก็โชคไม่ดียิ่งนัก ครั้งแรกก็ถูกหนิงจื่อเย่บีบคอ ต่อมายังจะถูกฉู่ป๋ายหักคอเสียอีก หัวแทบจะไม่อยู่บนบ่าเสียแล้ว เมื่อคิดแล้วนางก็ทำเพียงส่ายหน้า “ไม่เป็นอะไรหรอก”
“เช่นนั้นก็ดีแล้วขอรับ” หานสือวางใจไปเปราะหนึ่ง
อวี้อาเหราปรายตามองฉู่ป๋าย แล้วถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “อาการป่วยของซื่อจื่อของเจ้านั้นเป็นมาตั้งแต่กำเนิดเลยหรือ ไม่มีวิธีการรักษาเลยหรืออย่างไร”
ตอนที่ 257 จับกุมอย่างโจ่งแจ้ง
“ขอรับ เป็นโรคที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด หลายปีมานี้ได้เสาะหาหมอฝีมือดีมารักษา กินยาไปก็มาก แต่ก็ไม่เห็นว่าจะดีขึ้น ภายหลังได้คำแนะนำจากนักพรตผู้หนึ่งหันมาฝึกวิชาเผาไหม้ตัวตน เช่นนั้นจึงยังพอสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้” ยามที่หานสือกล่าวประโยคนี้ขึ้นมาใบหน้าก็เต็มไปด้วยความกังวล เงยหน้าขึ้นมองนาง “แต่ว่าครั้งนี้ก็แปลกยิ่งนัก ไม่นึกว่าคุณหนูรองจะสามารถควบคุมซื่อจื่อได้”
“อ้อ” อวี้อาเหราลูบเส้นผมของตัวเองแผ่วเบา นึกจะหาวิธีหลบเลี่ยงคำถามนี้ ดวงตาทั้งสองของนางนั้นมีพลังอำนาจไม่น้อย หนึ่งในนั้นคือสามารถจูงใจคนได้ แต่ไม่ใช่ว่าจะสามารถใช้ได้เสียทุกครั้งไป กลับใช้ได้เพียงในสถานการณ์คับขันเท่านั้น
เมื่อครู่นี้หากไม่ใช่เพราะว่านางกำลังถูกบีบคอจนรู้สึกว่าตัวเองต้องตายเป็นแน่แท้แล้ว อีกทั้งในใจก็นึกกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉู่ป๋าย บางทีพลังนี้ก็อาจจะใช้ไม่ได้ผล
และเนื่องจากดวงตาทั้งสองของนางมีพลังอำนาจพิเศษ เช่นนั้นจึงมักจะถูกผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในยุคปัจจุบันคอยดักจับกุมตัวอย่างโจ่งแจ้ง เพื่อต้องการที่จะวิจัยถึงเรื่องราวพลังของนาง แม้ว่าจะไม่ใช่เป็นการสังหารโดยตรง แต่ฝีมือของนักวิจัยเหล่านั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากการทรมานผู้อื่น
ก่อนหน้านี้ก็เคยมีผู้ที่มีพลังพิเศษโชคร้ายจนถูกจับได้ ผลสุดท้ายก็ถูกทรมานจนเกือบไม่ใช่คน
นางเป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เกิด ไม่มีทั้งพ่อไม่มีทั้งแม่ นับตั้งแต่จำความได้ก็ต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดเพียงลำพัง ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาจากไหน ทำไมถึงมักจะโดดเดี่ยวอยู่เสมอ หากไม่ใช่เพราะนางปราดเปรียวว่องไว ก็เกรงว่าคงถูกจับได้ไปเสียนานแล้ว
แม้ชีวิตในยุคปัจจุบันของนางจะไม่อาจพูดได้ว่าดีนัก แต่ก็เป็นอิสระ ไม่ต้องมาสู้รบตบมือกับพวกของอนุรองทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้
แม้ว่าจิตใจของนางจะเข้มแข็ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางอยากจะใช้ชีวิตที่ต้องแก่งแย่งชิงดีกับใคร
แม้ว่านางจะมีนิสัยเกียจคร้าน แต่เมื่อตกอยู่ในเหตุการณ์อันตราย นางก็พร้อมที่จะยืนหยัดตั้งรับ
นี่ก็คือนาง อวี้อาเหรา
แต่เมื่อเห็นฉู่ป๋ายที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงเช่นนี้แล้ว ในใจของนางก็เกิดเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดขึ้นมา
“จริงสิ เรื่องอาการป่วยของซื่อจื่อมีใครรู้บ้าง” อวี้อาเหรานึกขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามขึ้นมาในทันที
“นอกจากองครักษ์ข้างกายที่คอยดูแลเพียงไม่กี่คนแล้ว ก็มีเพียงพระชายา นอกนั้นก็ไม่มีผู้ใดรู้แล้วขอรับ”
“นี่ก็หมายความว่า อาการป่วยของซื่อจื่อของพวกเจ้าก็เป็นความลับ ห้ามไม่ให้คนภายนอกล่วงรู้ใช่หรือไม่”
“ขอรับ ในจวนนี้ยังมีท่านลุงและท่านอาของซื่อจื่อที่ต้องการที่จะกำจัดเขาอยู่ หากพวกเขาล่วงรู้เข้าก็ไม่แน่ว่าอาจจะทำเรื่องอะไรบางอย่างที่พวกเราคาดไม่ถึง เพราะอย่างนั้นพวกเราจึงตั้งใจที่จะปกปิดเรื่องนี้ไว้ ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะคุณหนูรองมาเห็นด้วยตาตัวเอง ข้าน้อยก็คงไม่กล้าที่จะบอก” หานสือตอบ
อวี้อาเหราเข้าใจแล้ว มิน่าเล่าเมื่อครั้งก่อนที่นางโมโหใส่ฉู่ป๋าย หานสือที่โกรธนางถึงเพียงนั้นก็ราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่กลับถูกฉู่ป๋ายจ้องมองจนไม่กล้าพูด หรือว่าเขาคิดจะพูดเรื่องเหล่านี้?
“คุณหนูรอง” หานสือร้องเรียกขึ้น แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ดึกดื่นเช่นนี้ ท่านมาถึงที่นี่ก็มีเรื่องด่วนอะไรหรือไม่ขอรับ”
“ไม่มีอะไร” อวี้อาเหรามองไปทางฉู่ป๋าย ที่จริงนางอยากจะมาถามเรื่องที่หนิงจื่อเย่พูดให้รู้แน่ชัด แต่เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ถามไม่ออก เช่นนั้นจึงจำต้องยอมรามือไปก่อน แต่หลังจากนั้นก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าแสดงถึงความสงสัย “หานสือ เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่ามีนักพรตผู้หนึ่งแนะนำให้ซื่อจื่อของเจ้าฝึกวิชาเผาไหม้ตัวตนใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วขอรับ” ท่าทีของหานสือตึงเครียดขึ้นมาทันที แต่ก็พยักหน้ารับหนักๆ
เป็นนักพรตอีกแล้ว…
นางจำได้ว่าหยกเลือดชิ้นนี้ก็มาจากนักพรตคนหนึ่ง นั่นเป็นเรื่องที่หนิงจื่อเย่บอกนางด้วยตัวเอง
หรือว่าจะเป็นอย่างที่หนิงจื่อเย่ว่าเอาไว้จริงๆ?
แต่นักพรตคนนั้น ไม่เพียงแต่บอกให้พระชายาเซิ่นอ๋องมอบหยกเลือดให้แก่ฉู่ป๋าย อีกทั้งยังให้เขาฝึกวิชาเผาไหม้ตัวตนเพื่อรักษาชีวิต จนเขามอบหยกเลือดนี้ให้กับนาง และยังบอกอีกว่าไม่สามารถถอดมันได้
ตอนที่ 258 มีญาณรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
เขาใช้พลังปราณที่มีทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือนาง และนางก็ใช้หยกเลือดเพื่อช่วยชีวิตเขา
ท่ามกลางเรื่องราวเหล่านี้ ราวกับมีเส้นด้ายบางๆ ที่ถักทอความสัมพันธ์ของพวกเขาให้ผูกติดกัน
ปัญหาจะต้องอยู่ที่นักพรตผู้นั้นแน่ๆ!
ราวกับเขารู้เรื่องราวทุกอย่าง ราวกับว่าชะตาชีวิตของพวกนางกำลังอยู่ในกำมือของเขา
ทว่าคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่? แล้วเขาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่นางทะลุมิติมาด้วยหรือไม่
หากว่านางไม่ได้ทะลุมิติมายังโลกใบนี้ นางก็คงไม่ได้พบกับฉู่ป๋าย คนสองคนที่อยู่กันคนละภพก็คงดำเนินชีวิตของตนเองต่อไป แต่ในเมื่อนางได้ทะลุมิติมาอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ภายใต้ความคลุมเครือนี้ นางก็รู้สึกราวกับว่านางสมควรที่จะอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก
หรือว่า เรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้นเพราะฝีมือของนักพรตผู้นั้น?
อวี้อาเหราไม่เข้าใจแม้แต่น้อย คิดไม่ตกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น หากเรื่องทั้งหมดเป็นสิ่งที่นักพรตผู้นั้นจัดฉากขึ้นมา แล้วเขาจะทำไปเพื่อจุดประสงค์อันใดกันแน่
ในโลกใบนี้จะมีผู้ที่มีญาณวิเศษล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้จริงๆ หรือ
ยากเหลือเกินที่นางจะเชื่อได้
หานสือมองนางที่กำลังเหม่อลอย เช่นนั้นจึงไม่กล้าที่จะรบกวน
ท้องฟ้ายิ่งกลายเป็นสีดำมืด อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ข้าขอตัวก่อน หากซื่อจื่อของเจ้าฟื้นขึ้นมาแล้วอาการกำเริบขึ้นมาอีก ก็ให้คนไปเรียกข้าที่จวนหลิงอ๋องทันที”
“…ขอรับ” น้ำเสียงของหานสือสั่นเครือด้วยความซาบซึ้ง หากเป็นคนอื่นคาดว่าก็คงจะรีบพากันหลบลี้หนีหายไปจากซื่อจื่อเป็นแน่ เขาก็ไม่เคยพบเจอหญิงสาวนางใดที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัวเช่นคุณหนูรองมาก่อน นางก็ไม่เหมือนกับเหล่ากุลสตรีผู้อื่นเลยจริงๆ
อวี้อาเหราแอบกลับเข้ามาในจวนหลิงอ๋อง เพราะกลัวว่าหากนางกลับมาดึกกว่านี้จะถูกพบเข้า หากถูกหลิงอ๋องไต่สวนก็คงเจอปัญหาใหญ่แน่ นางคงไม่อาจพูดว่าแอบไปยังตำหนักเซิ่นอ๋อง หญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนกลับออกไปยังบ้านของผู้ชายดึกๆ ดื่นๆ ซ้ำยังอยู่ด้วยกันตั้งนานเช่นนี้ แม้จะเป็นใครก็ล้วนถูกมองไม่ดีแน่
รอจนนางกลับมาถึงห้องก็เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วจึงนั่งลงบนตั่ง แสร้งทำทีเป็นดื่มชา ก่อนจะร้องเรียกเจาเอ๋อร์ให้เข้ามา
“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
“อืม”
อวี้อาเหราแสร้งทำเป็นเหมือนเพิ่งตื่นนอน ใช้มือเช็ดมุมปาก ดวงตาหรี่ปรือ “ก่อนหน้านี้บอกให้เจ้าเตรียมมื้อดึกเอาไว้ เรียบร้อยแล้วหรือยัง”
“เตรียมไว้พร้อมแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูออกปากเองเช่นนี้ไหนเลยบ่าวจะลืมได้ ประเดี๋ยวบ่าวจะไปยกมาให้เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์พูดจบก็ถอยออกไป
เมื่ออาหารถูกวางไว้บนโต๊ะ ราวกับเพิ่งจะถูกอุ่นร้อน เห็นว่ายังคงมีไออุ่นพุ่งขึ้นมาอยู่
เจาเอ๋อร์ช่วยนางตักน้ำแกงไก่ขึ้นมา อวี้อาเหราได้กลิ่นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เหตุใดถึงเป็นน้ำแกงไก่กันเล่า”
“คุณหนู ฝืนใจทานหน่อยนะเจ้าคะ ท่านอ๋องสั่งเอาไว้ว่าวันนี้ท่านได้รับความตกอกตกใจเสียยกใหญ่ จะต้องบำรุงร่างกายให้ดี มิเช่นนั้นจะส่งผลร้ายต่อร่างกายได้” เจาเอ๋อร์ตอบอย่างอึดอัดใจ
“เหอะ” อวี้อาเหราใช้ตะเกียบคีบอาหาร เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา หลิงอ๋องนั้นจะห่วงนางเกินไปแล้ว มีใครจะตกใจเสียจนเสียสุขภาพกัน ทันใดนั้นนางก็นึกอยากจะหัวเราะอย่างขมขื่นใจ เจาเอ๋อร์เห็นนางยิ้มแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นง่ายๆ ทันใดนั้นก็เกิดยินดีขึ้นมา “คุณหนู ในที่สุดท่านก็ยิ้มแล้ว!”
“ข้ายิ้มแล้วมันแปลกตรงไหนกัน” อวี้อาเหราไม่เข้าใจ
“นับตั้งแต่ที่คุณหนูรอดมาจากเงื้อมมือของพวกชุดดำก็เอาแต่เหม่อตลอด แม้รอยยิ้มที่มอบให้ท่านอ๋องก็ยังดูฝืนๆ เป็นเพราะวันนี้เสียขวัญไม่น้อย ท่านอ๋องตรัสได้ถูกต้อง ดื่มน้ำแกงไก่ให้มากๆ หน่อยเถิด จะได้บำรุงร่างกายเจ้าค่ะ” ท่าทีของเจาเอ๋อร์เปลี่ยนไปเป็นมีความสุข ราวกับนางได้ปลดปล่อยความวิตกกังวลไปจนหมดแล้ว
อวี้อาเหรานิ่งอยู่ชั่วครู่ รอยยิ้มที่อยู่บนริมฝีปากก็ค่อยๆ หายไป ที่นางยิ้มไม่ออกก็คงเป็นเพราะคำพูดของหนิงจื่อเย่นั่นเอง…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น