เนตรเซียนทะลุสมบัติ 251-257

 ตอนที่ 251 ผู้เฒ่าสกุลชุย


หยางโปมองไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดหม่นลงแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว


นี่ฉันเป็นอะไรไป ? หยางโปออกแรงยันตัวขึ้นมานอนเอนตัวอยู่บนเตียง


คุณหมอบอกว่าความร้อนในหัวใจมากเกินไป ร่างกายเหนื่อยล้าเกินไป จำเป็นต้องพักผ่อน ลัวย่าวหัวกล่าว


หยางโปพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมาก เงยหน้าขึ้นไปก็มองเห็นชุยอี้ผิงถือชาจอกหนึ่งอยู่ หยางโปรับมาแล้วก็ดื่มไปอึกหนึ่ง รสขมฝาดไปทั่วทั้งปาก


นี่คือชาขู่ติง ใช้เพื่อลดความร้อนภายใน ถ้าหากไม่อยากกินยาเยอะก็ทำได้แค่ดื่มชาให้มากแล้วล่ะ ชุยอี้ผิงกล่าว


หยางโปไม่ได้ดื่มอีก แต่มองไปทางชุยอี้ผิง


 


ชุยอี้ผิงหัวเราะขึ้นมา ฉันขอให้หงอวี้ช่วยฉันนัดนายให้มาปรึกษาที่จิงเฉิง เมื่อวานโทรศัพท์หานายตลอดนายไม่ได้รับสายเลย ถึงได้แล่นมานี่น่ะ


การประเมินเครื่องลายครามผมก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสุดยอดอะไร จิงเฉิงเองก็มีผู้เชี่ยวชาญไม่น้อย โดยเฉพาะทางพิพิธภัณฑ์แห่งชาตินั่น… หยางโปคิดถึงเหตุผลที่หงอวี้เชิญเขามา เป็นการประเมินเครื่องลายครามสมัยราชวงศ์ซ่งใบหนึ่ง


หยางโป พวกเราอยากให้นายมาประเมินให้น่ะ ชุยอี้ผิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง


หยางโปมองไปอย่างสงสัย อีกฝ่ายเน้นย้ำให้เขาไปมาโดยตลอด ราวกับไม่ได้สนการประเมินค่าเลยแม้แต่น้อย สิ่งนี้ทำให้หยางโปอดที่จะสงสัยขึ้นมาไม่ได้


พวกนายมีเรื่องอื่นใช่ไหม ? หยางโปเอ่ยถาม


 


รอจนนายไปถึงจิงเฉิงก็จะรู้เอง ชุยอี้ผิงกล่าว


หยางโปไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอะไรกันแน่ ชุยอี้ผิงก็ไม่ได้อธิบายยิ่งทำให้หยางโปสงสัยขึ้นมา


ฉันตุ๋นซุปเอาไว้ที่ร้านอาหารด้านล่าง เดี๋ยวฉันลงไปเอามาให้ นายจะต้องหิวแล้วแน่ๆ ไม่ต้องรีบร้อนนะ อีกเดี๋ยวฉันก็กลับมา ชุยอี้ผิงกล่าวพลางออกจากห้องพักผู้ป่วยไป


หยางโปสงสัยมาก หันหน้าไปมองลัวย่าวหัว นายรู้เรื่องใช่ไหม ?


ลัวย่าวหัวส่ายหน้า ฉันไม่รู้


นายต้องรู้แน่ รีบบอกฉันมาเลยนะ ! หยางโปมองไป เห็นลัวย่าวหัวหลบตาก็ยิ่งตระหนักว่านี่จะต้องมีความลับอะไรอยู่แน่ๆ


ลัวย่าวหัวส่ายหน้า เรื่องนี้ฉันไม่ควรพูด เดี๋ยวนายจะได้รู้แน่ล่ะน่า


 


กล่าวจบ จู่ๆ ลัวย่าวหัวก็ยืดตัวขึ้นแล้วกล่าว ” ฉันไม่ไหวแล้ว ง่วงจะตายแล้ว คืนนี้อยากกลับไปนอน เดี๋ยวจะหานางพยาบาลสวยๆ มาอยู่เป็นเพื่อนนายนะ “


เห็นลัวย่าวหัวเป็นตายก็ไม่พูดอย่างแน่นอน หยางโปก็จนปัญญา


ชุยอี้ผิงเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไปครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร ” คุณอาครับ หยางโปฟื้นแล้วครับ คุณอาวางใจเถอะนะครับ “


” ดี ! ” ชุยซื่อหยวนที่อยู่ปลายสายเอ่ยอย่างยินดีมาก ” ตอนนี้อาการของเขาดีอยู่ใช่ไหม ? “


” ครับ ดูไม่เลวแล้ว คุณอาวางใจเถอะครับ ผมกำลังดูทางนี้ให้อยู่ ! ” ชุยอี้ผิงกล่าว


” คิดไม่ถึงเลยจริงๆ เจ้าเสี่ยวโปคนนี้ถึงกับต้องลำบากขนาดนี้ เป็นฉันที่ทำผิดต่อเขา ! ” ชุยซื่อหยวถอนหายใจออกมา


 


” คุณอา อย่าโทษตัวเองนักเลยครับ ยังไงเรื่องก็ผ่านไปแล้ว ครั้งนี้ถ้าหากสามารถนับญาติกันได้ คุณอาก็ค่อยชดเชยเขาให้ดีก็ได้ครับ ” ชุยอี้ผิงกล่าว


” ใช่แล้ว ต้องชดเชยเขาให้ดี ก่อนหน้านี้ฉันยังคิดมาตลอดว่าความสัมพันธ์ของเขากับพ่อแม่บุญธรรมดีมาก กลัวว่าเขาจะไม่มีทางยอมรับ คิดไม่ถึงว่าตัวเขาเองจะสืบเจอเบาะแสได้เล็กน้อยแล้ว เพื่อนสนิทของเขาคนนั้นได้บอกอะไรอีกไหม ? ” ชุยซื่อหยวนเอ่ยถาม


” ก็ไม่ได้มีอะไรอีกนะครับ จริงสิ คุณอาครับ ตอนนี้พ่อบุญธรรมของเขาถูกจับข้อหาลักทรัพย์ พวกเราจะดึงเรื่องเอาไว้ไหมครับ ? ” ชุยอี้ผิงเอ่ยถาม


” ไม่ต้อง เรื่องนี้ให้เอาตามวิธีที่เสี่ยวโปจัดการเถอะ พวกเราไม่ต้องรีบร้อนสอดมือไป ” ชุยซื่อหยวนกล่าว


” ถ้าหากต่อไปมีเรื่องอะไร เธอติดต่อฉันได้เลยนะ “


 


” อ้อ ครับ คุณอาวางใจเถอะนะครับ ตอนนี้ผมไปเอารังนกกับซุปไปให้เขา รอจนร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นอีกหน่อย ผมก็จะพาเขาไปที่จิงเฉิง จะได้ไม่ให้คุณอาต้องรอนาน ” ชุยอี้ผิงกล่าว


” อี้ผิง ไม่ต้อง เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน รอจนเขาแข็งแรงดีแล้วค่อยว่ากันเถอะ ! ฉันรอมายี่สิบปีแล้ว ก็แค่อีกสักวันสองวันนี้เองทำไมจะรอไม่ได้ ” ชุยซื่อหยวนกล่าว


” ได้ครับ ถ้างั้นผมจะจัดการตามสมควรนะครับ ! ” ชุยอี้ผิงกล่าว


ชุยซื่อหยวนวางสายโทรศัพท์แล้วก็อดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ เพราะว่าหยางโปเข้าโรงพยาบาล ชุยอี้ผิงก็เลยเอาตัวอย่าง DNA ของหยางโปมาได้ง่ายดายยิ่งขึ้น ตอนนี้ข้อมูลของพวกเขาสองคนพ่อลูกถูกส่งไปที่เซินเฉิงแล้ว ศูนย์วิจัยของทางนั้นจะส่งผลออกมาให้อย่างรวดเร็ว


 


ถึงแม้ผลลัพธ์จะยังไม่ออกมาแต่ชุยซื่อหยวนก็กล้ามั่นใจว่าหยางโปเป็นลูกชายที่หายไปกว่ายี่สิบปีของตน ! ตอนนี้ตนเองจะต้องเตรียมตัวล่วงหน้าเอาไว้ให้ดี !


ชุยซื่อหยวนครุ่นคิด เรื่องที่สำคัญตอนนี้มีอยู่สามเรื่อง เรื่องแรกคือท่าทีของหยางโป เรื่องที่สองคือท่าทีของภรรยาของเขา เรื่องที่สามก็คือท่าทีของคุณพ่อของเขา


ท่าทีของหยางโปน่าจะไม่ต้องคิดมาก พ่อแม่บุญธรรมทำกับเขาแบบนี้ พ่อแท้ๆ ใส่ใจขนาดนี้ ตระกูลชุยยิ่งใหญ่เกรียงไกร ไม่ว่าในอนาคตหยางโปจะทำอะไร ขอแค่ยอมรับความสัมพันธ์ทางสายเลือดนี้เขาก็จะสะดวกขึ้นมาก


 


ท่าทีของภรรยาจำเป็นต้องครุ่นคิด แต่ที่สำคัญก็ขึ้นอยู่กับคุณพ่อของเขา ขอแค่คุณพ่อพยักหน้าก็จะไม่มีใครกล้าคัดค้านเขาอย่างแน่นอน ถึงแม้ในครอบครัวจะโวยวายก็ต้องไม่กล้าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ชุยซื่อหยวนก็นั่งไม่ติด ไม่รอให้เลิกงานเขาก็ขึ้นรถแล้วรีบมุ่งหน้าไปที่คฤหาสน์ของคุณพ่อทันที


ตอนที่มาถึงเรือนสี่ประสาน ชุยซื่อหยวนก็รีบร้อนเดินเข้าไป มองเห็นคุณพ่อเล่นหมากรุกอยู่กับผู้เฒ่าเก๋อ ชุยซื่อหยวนจำต้องสงบสติลงแล้วยืนรออยู่ด้านข้าง


หมากกระดานหนึ่งเล่นไปครึ่งชั่วโมงกว่าแล้วค่อยได้บทสรุป ผู้เฒ่าเก๋อแพ้ไปครึ่งตัว หันหน้ามามองเห็นชุยซื่อหยวนยืนอยู่ด้านข้าง ทันใดนั้นก็โยนหมากลงบนกระดาน


” ฉันก็ว่าฉันแพ้ได้ยังไง ? ที่แท้ก็เป็นลูกชายของบ้านนายกลับมาแล้ว ฮึ


พวกนายสองคนพ่อลูกรุมรังแกฉัน ! “


 


กล่าวจบ ผู้เฒ่าเก๋อก็หันหลังแล้วเดินจากไป


เส้นผมของคุณพ่อขาวโพลนไปทั้งศีรษะแล้ว รอจนผู้เฒ่าเก๋อเดินออกไป ชุยซื่อหยวนเริ่มเก็บหมากแล้วถึงค่อยเอ่ยปากถาม ” ครั้งนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ ? “


สองมือของชุยซื่อหยวนที่กำลังเก็บหมากชะงัก ” พ่อ ผมมีเรื่องหนึ่งอยากปรึกษาพ่อ “


” เรื่องอะไรล่ะ ? ” คุณพ่อเอ่ยถาม


ชุยซื่อหยวนลังเลเล็กน้อยแล้วก็เอ่ยปากว่า ” พ่อก็รู้ว่าเมื่อยี่สิบปี ผมมีลูกที่จินหลิงคนหนึ่ง หลายปีมานี้ผมตามหาเขามาตลอด “


ในที่สุดคุณพ่อก็หันหน้ามามอง ” ตอนนี้หาเจอแล้ว ? “


 


ชุยซื่อหยวนพยักหน้า ” หาเจอแล้วครับ ตอนนี้ผมส่ง DNA ของเขาไปตรวจแล้ว อีกเดี๋ยวผลก็ออกแล้ว ผมคิดว่าครั้งนี้ความเป็นไปได้สูงมาก เพราะว่าหน้าตาของเขาเหมือนผมตอนหนุ่มๆเลย “


กล่าวจบ ชุยซื่อหยวนก็หยิบรูปภาพใบหนึ่งส่งไป


คุณพ่อมองดูแล้ว เขาก็รีบลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปในห้อง มองเห็นคนหนุ่มที่อยู่บนรูปภาพถึงกับคล้ายชุยซื่อหยวนอยู่หกเจ็ดส่วน ทันใดนั้นเขาก็กล่าวว่า


” นี่คือคนของตระกูลชุยของเรา !


ชุยซื่อหยวนดีใจอย่างมาก ” พ่อ พ่อเห็นด้วยที่ผมจะยอมรับเขา ? “


พ่อพยักหน้า ” ความจริงไม่ใช่แค่แกที่ตามหา ฉันก็วานให้เพื่อนในสนามรบช่วยอีกด้วย แกก็อายุไม่น้อยแล้ว หลายปีนี้ไม่มีลูกมาตลอด ฉันไม่มีทางปล่อยให้แกไร้ผู้สืบสกุลหรอก ! “


ชุยซื่อหยวนน้ำตาเอ่อคลอทั้งสองตา ” พ่อครับ ! ขอบคุณ ! ขอบคุณมากครับ ! “


ตอนที่ 252 มื้อเช้า


หลังจากชุยอี้ผิงส่งซุปและรังนกมาแล้ว หยางโปก็ให้เขากลับไป ร่างกายของเขาไม่ได้ป่วยหนักอะไร แค่จำเป็นต้องพักผ่อนให้มากก็พอแล้ว


ชุยอี้ผิงก็ไม่ได้พูดมาก เอ่ยเตือนสองประโยคแล้วก็จากไป


หยางโปยังรู้สึกสงสัย แต่ว่าชุยอี้ผิงเพิ่งจะออกไป ก็มีสาวน้อยเดินเข้ามา หยางโปเงยหน้าไปมองก็เห็นว่าคนที่มาถึงกับเป็นเย่เสี่ยวซวน เขาประหลาดใจเล็กน้อย


เย่เสี่ยวซวนสีหน้าไร้อารมณ์ ” วันนี้ฉันเข้าเวร “


หยางโปพยักหน้า เขาแปลกใจกับท่าทีของเย่เสี่ยวซวนอยู่บ้าง แต่ว่าเขาหวนคิดถึงการปฏิบัติต่อครอบครัวแบบนี้ของตน ถึงแม้จะชื่นชอบกว่านี้ก็สลายหายไปแล้ว


 


เย่เสี่ยวซวนจัดข้าวของในห้องรอบหนึ่งแล้วก็นั่งลงบนโซฟา ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน


หยางโปมองอยู่หลายครั้ง ทั้งคิดอยากจะพูดเรื่องในช่วงนี้ ในใจก็หงุดหงิดเล็กน้อย พลิกไปพลิกมานอนไม่หลับ


เย่เสี่ยวซวนอ่านหนังสือ สายตากลับจ้องไปที่หยางโป ชั่วครู่หนึ่งเห็นหยางโปนอนไม่หลับ เธอก็ไม่ได้พูดอะไร


ผ่านไปเนิ่นนาน จู่ๆ หยางโปก็เอ่ยปากว่า ” เสี่ยวซวน งานเธอยุ่งไหม ? “


เย่เสี่ยวซวนมองไป คิดถึงการกำชับของพี่สาวตนก็เอ่ยเสียงเย็น ” ยุ่ง ยุ่งมากๆ “


” อื้ม ” หยางโปตอบกลับคำหนึ่งแล้วก็เงียบลงไป


ผ่านไปอีกพักหนึ่ง จู่ๆ หยางโปก็เอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า ” พ่อแม่ของเธอดีกับเธอมากมาตลอดเลยใช่ไหม ? “


 


” ดี ดีกับฉันมากมาตลอด ! ” เย่เสี่ยวซวนตอบกลับอย่างเรียบง่ายมาก


หยางโปหันหลังกลับมา ” ถ้าหากว่าวันหนึ่ง จู่ๆ เธอค้นพบว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเธอมายี่สิบปีไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆ อีกทั้งพวกเขาจู่ๆ ก็มีท่าทีเปลี่ยนแปลงไปมาก เธอจะเผชิญหน้ายังไง ? “


สีหน้าของเย่เสี่ยวซวนถึงได้เปลี่ยนไป เธอจ้องมองหยางโป ครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยปากว่า


” เกรงว่านี่จะยากเย็นและกระอักกระอ่วนมากเลยนะ ! “


กล่าวจบ เย่เสี่ยวซวนก็จ้องมองหยางโป คิดถึงท่าทีของพ่อแม่หยาง เธอก็กระจ่างใจขึ้นมา


หยางโปถอนหายใจเบาๆ ” ถ้าหากเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ การรับหน้ากับพวกเขาที่ไร้เหตุผลถึงขนาดร้องขอกับเราอย่างไม่มีเหตุผล เธอจะยอมรับทุกอย่างเลยไหม ? ถ้าหากรู้ว่าเธอมีพ่อแม่แท้ๆอยู่ เธอจะไปหาตามไหม ? “


 


เย่เสี่ยวซวนมองหยางโป ” ถ้าหากพ่อแม่บุญธรรมเลี้ยงดูเราอย่างดี ปกติแล้วลูกเลี้ยงก็ไม่อยากตามหาพ่อแม่ที่ให้กำเนิดหรอก มีแค่พ่อแม่บุญธรรมไม่ดีเลยถึงได้ตามหา แต่ว่าคำขอไร้เหตุผลพวกนั้น ไม่ต้องตอบรับหรอก อย่าทำผิดต่อตัวเองจะดีกว่า “


หยางโปส่ายหน้ายิ้มขมขื่น ตัวเองเผชิญหน้ากับเรื่องซับซ้อนพวกนี้ คำพูดไม่กี่คำไม่มีทางเล่ามันออกมาได้ชัดเจนหรอก ” ช่างเถอะ ฉันคิดอีกทีก็แล้วกัน “


หยางโปเอนอยู่บนเตียง มองไปนอกหน้าต่าง แสงจันทร์สว่างดวงดาวริบหรี่ ภายนอกสงบเงียบ


เย่เสี่ยวซวนถอนหายใจ ในใจก็รู้สึกซับซ้อน


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หยางโปจึงหลับไปอย่างเงียบงัน


แต่เธอรู้ว่าในอกมีความร้อนกลุ่มหนึ่งพลุ่งพล่านอยู่…


 


ตื่นขึ้นในวันต่อมา หยางโปรู้สึกว่าพละกำลังกลับมาแล้ว ความอ่อนล้าของร่างกายหายไปแล้ว ทั้งหมดฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ


เขาเดินเล่นในสวนดอกไม้ของโรงพยาบาลไปรอบหนึ่งแล้วถึงค่อยกลับมาที่ห้องพักผู้ป่วย ชุยอี้ผิงนั่งรอเขาอยู่ในห้องแล้ว


” อรุณสวัสดิ์ ! ” ชุยอี้ผิงกล่าว


หยางโปพยักหน้ายิ้มบาง ” อรุณสวัสดิ์ ! “


” ฉันเอาซาลาเปาไส้ปู ซุปลำไยกับเม็ดบัว แล้วก็ซาลาเปาไส้หมูแดง ตีนไก่อบ… “


หยางโปมองไป เห็นด้านหน้าของชุยอี้ผิงจัดวางไว้มากมาย เป็นอาหารเช้าทั้งหมด ทำให้เขาชะงักนิ่งไปทันที


” อาหารเช้าเท่านั้นเอง ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้มั้ง ? “


 


” อาหารเช้าจะต้องกินให้ดี ตอนนี้ร่างกายของนายอ่อนแอ จำเป็นต้องบำรุงให้มาก เพื่อให้นายหายป่วยเร็วๆ พวกนี้เป็นของจำเป็น นายวางใจเถอะนะ ฉันปรึกษากับคุณหมอแล้วถึงได้ซื้อของพวกนี้มา ” ชุยอี้ผิงกล่าว


หยางโปมองไปทางชุยอี้ผิง เขาประหลาดใจเล็กน้อย


” ถ้ายังไงฉันช่วยแนะนำอาจารย์หลายท่านให้กับนายได้นะ พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประเมินเครื่องลายครามมากกว่า นายไปหาพวกเขาก็ได้ “


ชุยอี้ผิงชะงัก เงยหน้ามองหยางโป ทันใดนั้นก็เข้าใจความหมายของหยางโปแล้ว ไม่ใช่เพื่อนไม่ใช่ญาติมาดูแลอย่างอบอุ่นแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกรับไม่ไหวจริงๆ


” หยางโป นายอย่าเข้าใจผิดเด็ดขาดนะ ฉันไม่ได้มีเจตนาอื่นก็แค่อยากให้นายหายดีเร็วขึ้นหน่อย พวกเราก็จะไปจิงเฉิงด้วยกัน ” ชุยอี้ผิงกล่าว


 


หยางโปมองชุยอี้ผิง ” ฉันรู้จักผู้เชี่ยวชาญหลายคนจริงๆ นะ “


” อย่าพูดเหลวไหลมากนักเลย ” ชุยอี้ผิงกล่าว


ลัวย่าวหัวเดินเข้ามา มองดมกลิ่นฟุดฟิด ” หอมจังเลยนะเนี่ย “


กล่าวจบ เขาก็เดินเข้ามา ” ยอดเยี่ยมจริงๆ ! “


เขาหยิบตีนไก่ขึ้นมากัด เขายังไม่ลืมหันไปโบกมือให้หยางโป ” ทำไมนายไม่มากินล่ะ อาหารเช้าดีๆ ขนาดนี้ หายากจริงๆ นะ ! “


หยางโปจำต้องเดินเข้าไป ชุยอี้ผิงยิ้มแล้วก็เอ่ยอธิบาย ” เมื่อกี้หยางโปกำลังสงสัยว่าฉันมีแผนการอื่นหรือเปล่า ? นายว่าฉันจะมีแผนการอะไรกับเขาได้ ? หลอกเอาสมบัติหรือว่าหลอกไปปล้ำ ? “


 


ลัวย่าวหัวเงยหน้าขึ้น ” ความเป็นไปได้ที่จะหลอกไปปล้ำต่ำเกินไป แต่ว่าหลอกเอาสมบัติน่ะได้ นายอย่าดูถูกเขา เขากำลังจะเป็นมหาเศรษฐีในอนาคต ! “


” โอ้ ? มหาเศรษฐีในอนาคต ? ทำไมล่ะ ? ” ชุยอี้ผิงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ


ลัวย่าวหัวหัวเราะขึ้นมา ” เพราะว่าเขาเป็นหุ้นส่วนของโรงประมูลจินหลิงชุน ! “


” โรงประมูลจินหลิงชุน ? ทำไมฉันไม่เคยได้ยินล่ะ ? ” ชุยอี้ผิงเอ่ยถาม


ลัวย่าวหัวยิ้มฝืด ” เพราะว่าโรงประมูลนี้พวกเราสองคนร่วมเป็นหุ้นส่วนกัน ตอนนี้มันยังไม่เปิดกิจการ ดังนั้นถึงได้บอกว่าเป็นมหาเศรษฐีในอนาคตไง ! “


สีหน้าหยางโปอิหลักอิเหลื่อ เขาส่ายหน้าแล้วก็เริ่มกินข้าว


 


ชุยอี้ผิงหัวเราะฮ่าฮ่า ” ถ้างั้นก็เป็นเรื่องดีจริงๆ รอให้พวกนายเปิดกิจการแล้วต้องบอกฉันนะ ถึงตอนนั้นฉันจะมาอวยพรพวกนาย ! “


” ได้เลย ! ” ลัวย่าวหัวกล่าว


ถึงแม้ว่าหยางโปจะหายดีแล้ว แต่ว่าความอยากอาหารยังไม่มากนัก ไม่นานเขาก็กินอิ่มแล้ว ส่วนที่เหลือทั้งหมดถูกลัวย่าวหัวจัดการเรียบ


กินอาหารเสร็จแล้ว จากนั้นชุยอี้ผิงก็ต้มชา หยางโปนั่งอาบแดดอยู่บนโซฟาด้านหน้าของหน้าต่าง


ชุยอี้ผิงดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งอยู่ไม่ไกล ลังเลเล็กน้อยแล้วก็เอ่ยกับหยางโปว่า ” หยางโป พรุ่งนี้พวกเราไปจิ่งเฉิงกันไหม ? “


หยางโปมองไป ” รีบขนาดนี้เลย ? “


 


ชุยอี้ผิงพยักหน้า ” การประเมินเสร็จเร็วสักหน่อยก็จะสามารถตัดสินใจได้เร็วขึ้นอีกนิด ! “


หยางโปลังเลเล็กน้อย เขามองออกแล้วว่าชุยอี้ผิงมีเรื่องอื่น ที่ว่าประเมินค่านั่นเป็นแค่ข้ออ้างล้วนๆ แต่ลัวย่าวหัวกลับยังร่วมเล่นงิ้วฉากนี้กับอีกฝ่าย เขาก็ไม่มีทางเลือก


แต่ว่า คิดถึงคำตอบที่ในท้ายที่สุดก็จะเปิดเผยออกมา หยางโปก็อดที่จะมองไปอย่างประหลาดใจไม่ได้


” คุณชุยไม่น่าจะมีเซอไพรส์รอผมอยู่ใช่ไหมครับ ? “


ชุยอี้ผิงพยักหน้า ” เดาถูกแล้ว “


ไม่ว่ายังไงหยางโปก็เดาว่าที่แท้เนื้อหาของพวกนี้คืออะไรไม่ถูก กระนั้นเขาก็ไม่ได้คิดมาก จึงพยักหน้ากล่าวว่า ” โอเค คุณไปจองตั๋วเลย พรุ่งนี้พวกเราไปกัน “


 


กล่าวจบ หยางโปก็มองลัวย่าวหัว ” จองตั๋วให้ย่าวหัวด้วยนะ เขาจะไปกับผม “


ลัวย่าวหัวรีบบ่ายเบี่ยงทันที ” ไม่ได้ ฉันไปไม่ได้ ตอนนี้โรงประมูลกำลังเตรียมการ… “


” นายไปได้สิ เปิดกิจการช้าไปสองวันก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ! ก่อนปีใหม่ไม่มีราคาดีๆ อะไรอยู่แล้ว ” หยางโปกล่าว


” ถ้างั้นก็ดี ! ” ท้ายสุดลัวย่าวหัวก็พยักหน้าตกลง


ตอนที่ 253 พบกันครั้งแรก


มาถึงจิงเฉิงอีกครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ หยางโปก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา


ก่อนหน้าที่มาถึงจิงเฉิง ถึงแม้ครั้งแรกจะเป็นการเข้าร่วมการสัมมนา เขาก็ไม่ได้คิดอะไร ถึงขนาดไม่ได้ครุ่นคิดมากมาย แต่ว่าครั้งนี้ เขากลับรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา


เขามองไปที่อาคารสูงรอบด้าน อาคารที่สูงตระหง่านเหล่านี้ให้ความรู้สึกกดดัน ทำให้หยางโปรู้สึกไม่สบายตัว


แต่ว่าไม่นานเขาก็อดทนเอาไว้ได้


หยางโปดึงลัวย่าวหัวอีกครั้งหนึ่ง ” มันเรื่องอะไรกันแน่ ? “


 


ลัวย่าวหัวส่ายหน้า ” เรื่องนี้ไม่ต้องมาถามฉัน นายถามเขาโดยตรงเลย ! “


กล่าวจบ ลัวย่าวหัวมองตามนิ้วที่ชี้ไปด้านหน้า ก็คือชุยอี้ผิงที่เดินอยู่ด้านหน้านี่เอง


หยางโปส่ายหน้าอย่างจนปัญหา ” เขาไม่บอกแน่ๆ “


” แต่ทำไมฉันคิดว่าเขาอาจจะบอกล่ะ ? ” ลัวย่าวหัวเองก็จนปัญหา เขาไม่รู้เรื่องราวโดยละเอียด แต่เข้าใจว่าชุยอี้ผิงอยากช่วยหยางโปตามหาพ่อแม่ที่แท้จริง ครั้งนี้ก็น่าจะหาเจอแล้ว


หยางโปถามไม่ออก ทำได้แค่เดินตามไปเท่านั้น ชุยอี้ผิงน่าจะรู้การกระทำด้านหลังของหยางโป เขาหันกลับมามอง ” ฉันจองเป็ดปักกิ่งที่ฉวนจิ่วเต๋อเอาไว้แล้ว ตอนเที่ยงวันนี้พวกเราไปกินเป็ดปักกิ่งกันก่อนนะ “


 


ลัวย่าวหัวบุ้ยปาก เขามาจากจิงเฉิง เป็ดปักกิ่งย่อมกินมาเยอะแล้ว หยางโปก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เพราะว่าเป็ดของจินหลิงก็มีชื่อเสียงมาก ทุกตรอกซอกซอยมีร้านต้มเค็มเป็ดทั้งนั้น ตั้งแต่เด็กจนโตไม่รู้ว่ากินเป็ดไปมากเท่าไหร่แล้ว


โชคดีที่ชุยอี้ผิงไม่ได้สนใจสีหน้าของทั้งสองคน เขาเดินเข้าไปในฉวนจิ่วเต๋อก่อนแล้ว เอ่ยเรียกพนักงานต้อนรับครั้งหนึ่งก็มีคนมาพาทั้งสามคนเข้าไปในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง


เข้าไปในห้องส่วนตัว มองเห็นภายในห้องมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่แล้ว หยางโปก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่จะตกตะลึงในเวลาต่อมา


เพราะว่าเขาพบว่ามีคนหน้าเหมือนกับเขามาก ราวกับมองเห็นหน้าตาของตัวเองในอีกยี่สิบปีให้หลังเลยก็ว่าได้


 


” รีบนั่งเถอะ รีบนั่ง ! ” ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยกับทั้งสามคนอย่างอบอุ่น


” ไม่ต้องอึ้งไป รีบไปนั่งเถอะ ” ลัวย่าวหัวดึงแขนหยางโปข้างหนึ่ง มองเห็นหน้าตาของชายวัยกลางคน ลัวย่าวหัวก็คาดออกแล้ว วันนั้นที่ชุยอี้ผิงพูดถึงเรื่องนี้กับตัวเองเล็กน้อยมาก เขายังคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะหลอกตัวเอง ตอนนี้ดูท่าแล้วชุยอี้ผิงจะไม่ได้พูดเหลวไหลจริงๆ


หยางโปลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังนั่งลงไป ในใจกลับยิ่งไม่สบายใจขึ้นมา เพราะว่าเขาเข้าใจเจตนาของชุยอี้ผิงแล้ว เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมชุยอี้ผิงถึงได้ไปเยี่ยมตนเองถึงบ้าน ถึงขนาดยังรีบร้อนลากเขามาที่จิงเฉิง เกรงว่าจะเป็นเพราะคนตรงหน้านี้ !


 


” สวัสดีทุกคน ฉันเป็นอาของชุยอี้ผิง ฉันชื่อว่าชุยซื่อหยวน อี้ผิงบอกว่าเชิญเพื่อนมากินข้าว ฉันอยู่ที่ห้องส่วนตัวข้างๆ ก็เลยมาดูสักหน่อย ” ชุยซื่อหยวนเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ถึงแม้จะเอ่ยอธิบายกับทุกคน แต่สายตาของเขากลับตกอยู่ที่ร่างของหยางโปตลอด


เหตุผลนี้ไม่มีอะไรจริงๆ ในสถานการณ์ปกติแล้วถึงแม้จะมาพูดคุย แต่ตอนที่อยู่ในห้องส่วนตัวแล้ว เขาไม่อดทนนั่งรออยู่ข้างในแบบนี้หรอก ถึงแม้จะเป็นผีก็เข้าใจเจตนาของเขา


หยางโปหลังจากนั่งลงแล้วก็ไม่ได้พูดจา


ชุยอี้ผิงเร่งรีบเรียกบริกร หยิบเมนูมาส่งให้ ” หยางโป สั่งอาหารก่อนเถอะ กินอิ่มแล้วค่อยว่ากันนะ “


ชุยซื่อหยวนเองก็พยักหน้า ” รีบสั่งอาหารเถอะ รีบมาจากจินหลิง พวกเธอหิวกันแล้วสินะ ! “


 


ลัวย่าวหัวรีบหยิบเมนูมาแสร้งทำเป็นอ่านดู ปากก็เอ่ยว่า ” ดูน่าอร่อยมากเลยนะ ! “


” ถ้าอร่อยงั้นก็สั่งมาเลย ! ” ชุยซื่อหยวนเอ่ยอย่างฮึกเหิม


ลัวย่าวหัวหัวเราะ ” ถ้างั้นผมก็ไม่เกรงใจแล้วนะ “


ลัวย่าวหัวสั่งอาหารด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทุกคนมองออกได้ทั้งนั้นว่าเขาอยากจะกระตุ้นบรรยากาศ


หยางโปไม่ได้เอ่ยปาก ทั้งไม่ได้สั่งอาหาร ชุยอี้ผิงเอ่ยถามเขาอีกครั้ง เขาก็ส่ายหน้าแล้วยิ้มว่า


” พวกคุณสั่งเถอะ “


ไม่นานก็สั่งอาหารกันเรียบร้อย


น้ำชายกมาเสิร์ฟแล้ว ชุยซื่อหยวนลุกขึ้นยืน รินชาให้กับทุกคนพลางเอ่ยว่า


” ชานี้เพื่อนร่วมรบของฉันที่จินหลิงส่งมาให้ เขาทำงานอยู่ที่นั่นหลายปีแล้ว ทุกปีก็จะปีนขึ้นเขาจื่อจินไปเก็บใบชา ทุกปีก็จะส่งมาให้ฉันนิดหน่อย “


 


” เขาทำงานที่กระทรวงความมั่นคง หลายปีมานี้ ฉันรบกวนให้เขาสืบหาเรื่องบางเรื่องมาตลอด ทั้งทุกปีก็ได้รับของขวัญจากเขา รู้สึกละอายจริงๆ “


ชุยซื่อหยวนกล่าวอย่างอ้อมค้อมมาก แต่ความหมายในคำพูดนั้นชัดเจนมาก ความหมายคือบอกว่าหลายปีมานี้เขาไม่ได้ลืมที่จะตามหาหยางโป แต่หยางโปไม่ได้ซาบซึ้งเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาไร้อารมณ์ ไม่ได้เอ่ยอะไร


” ถ้างั้นมันก็ไม่ง่ายดายเลยจริงๆ ” ลัวย่าวหัวเอ่ยปาก


” ใช่แล้ว ไม่ง่ายเลย ” ชุยซื่อหยวนกล่าว


ลัวย่าวหัวหันหน้ามามองหยางโป เห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาอะไรก็จำต้องรับหัวหน้าสนทนาไป มองชุยซื่อหยวน ” เพื่อนร่วมรบของคุณอาชุยชื่ออะไรครับ ? “


 


ชุยซื่อหยวนมองลัวย่าวหัว เขาชื่นชมลัวย่าวหัวมาก เขาเองก็ตรวจสอบประวัติของลัวย่าวหัวมาแล้ว รู้ว่าเจ้าหนุ่มนี้เป็นคนดีมาก ดูจากตอนนี้ก็รู้แล้ว เขารู้จักปฏิบัติตัวต่อผู้คนดีมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือลัวย่าวหัวใส่ใจหยางโปมาก


” เขาแซ่เฉา ชื่อเฉาเมิ่ง ! ” ชุยซื่อหยวนกล่าว


” โอ้ ที่แท้ก็เป็นคุณอาเฉา เฉาเมิ่ง พวกเราสนิทกันมากครับ ” ลัวย่าวหัวกล่าว


ชุยซื่อหยวนหัวเราะฮ่าฮ่า ” พ่อของนายเคยทำงานอยู่ที่จินหลิงระยะหนึ่ง ตอนนี้ก็นับว่าเลื่อนขั้นแล้ว ฉันยังไม่ได้ไปแสดงความยินดีกับเขาเลย ! “


” ฮ่าฮ่า ยินดีต้อนรับคุณอาชุยนะครับ ” ลัวย่าวหัวกล่าว


 


หยางโปนั่งอยู่ด้านข้าง เขาไม่ชอบการสนทนาแบบนี้เลยสักนิด เขาไม่สนใจการพูดคุยแบบนี้สักเท่าไหร่ เขาอยากฟังคำขอโทษของอีกฝ่ายมาตลอด ปีนั้นทำไมถึงได้ทอดทิ้งเขา แต่ว่าชุยซื่อหยวนพูดเรื่องที่ไม่สลักสำคัญนี่อยู่ตลอด สิ่งนี้ทำให้เขาไม่ยินดียอมรับ


การสนทนารี้เรื่อยเปื่อยกันไปอีกยกหนึ่ง หยางโปก็อ้างว่าจะไปห้องน้ำแล้วเดินออกไป


ชุยอี้ผิงเร่งรีบวิ่งออกมา เขาวิ่งตามมาอยู่ด้านหลังของหยางโป หยางโปเหลือบมองเขา


” กลัวว่าฉันจะวิ่งหนีไปเหรอ ? “


ชุยอี้ผิงยิ้ม ” จะเป็นไปได้ยังไง ฉันแค่จะไปห้องน้ำพอดีก็เท่านั้นเอง “


หยางโปส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไรมาก


ตลอดทางมีชุยอี้ผิงเดินตามมาด้วย หยางโปก็ไม่ได้สนใจ เดินมาถึงด้านนอกห้องน้ำ เขาถึงได้เอ่ยถามประโยคหนึ่ง ” ทำไมไม่บอกฉันให้เร็วกว่านี้ ? “


 


” ถ้าหากบอกเร็วเกินไป กลัวว่านายจะรับไม่ไหว ” อีกฝ่ายตอบ


หยางโปไม่ได้เอ่ยปากอีก ว่ากันตามตรงแล้วจนกระทั่งตอนนี้เขายังรู้สึกรับไม่ได้อยู่ตลอด เดิมทีเขายังคิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องไปตามหาพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด แล้วเรื่องราวก็ไม่น่าพลิกตาลปัตรมากนัก คิดไม่ถึงว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของตัวเองจู่ๆ ก็จะโผล่ขึ้นตรงหน้า


หยางโปหันหน้ามามอง ” ถ้าหากฉันบอกว่าตอนนี้ยังรับไม่ได้ล่ะ ? “


” ฉันก็คิดว่าธรรมดามาก ยังไงก็ไม่ได้ติดต่อกันหลายปีขนาดนี้ ” ชุยอี้ผิงตอบ กล่าวจบเขาก็จ้องมองหยางโป ” แต่ว่า ฉันยังคิดแนะนำให้นายติดต่อเขาให้มากหน่อย คุณอาของฉันเป็นคนดี เขาตามหานายมาตลอดหลายปีมานี้ไม่เคยเปลี่ยน “


หยางโปไม่ได้พูดอะไร เขาก็เดินออกมาจากห้องน้ำ และเดินมุ่งไปที่ห้องส่วนตัว


ตอนที่ 254 จากกันอย่างไม่พอใจ


กลับมานั่งในห้องส่วนตัวใหม่ หยางโปก็ยังคงไม่พูดจา


ชุยซื่อหยวนใช้แป้งปิ่งม้วนเนื้อเป็ดส่งมาให้อย่างกระตือรือร้น หยางโปเหลือบตามองแล้วไม่ได้รับมา ทั้งยังเอ่ยปากว่า ” ไม่เป็นไร ผมจัดการเองได้ “


” เสี่ยวโป ดูอายุเธอยังน้อย สักยี่สิบปีสินะ ! ” ชุยซื่อหยวนยืนอยู่ด้านข้าง ใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่ได้โกรธที่หยางโปปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย


” อื้ม ” หยางโปตอบคำหนึ่งแล้วดื่มชาอึกหนึ่ง


ชุยซื่อหยวนจึงเอ่ยปากว่า ” อายุยี่สิบปี ก็น่าจะเป็นวัยเรียนมหาวิทยาลัยพอดี ควรจะต้องใช้เงินของพ่อแม่ ไล่จีบสาวอย่างสบายใจไร้กังวล แต่เธอกลับเริ่มแบกรับภาระหนักของครอบครัวเสียแล้ว ภาระหนักแบบนี้ไม่ควรให้เธอมารับไปเลย “


 


หยางโปไม่ได้พูดจา เขาจ้องมองจอกชาที่อยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่


ชุยซื่อหยวนกล่าวต่อไปว่า ” ก่อนหน้าที่จะแต่งงานก็เป็นเด็กกันทั้งนั้น เวลาแบบนี้ครอบครัวน่าจะสนับสนุนเธอมากที่สุด “


” ไม่ ตอนนี้ผมพึ่งพาตัวเองก็พอแล้ว ” หยางโปเงยหน้า กล่าวอย่างดื้อดึง


บรรยากาศภายในห้องพลันฝืดเคือง ใบหน้าของชุยซื่อหยวนแข็งค้างเล็กน้อย ปีนี้เขาอายุเกือบจะสี่สิบห้าปีแล้ว เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงระดับรองรัฐมนตรีแล้ว ปกติมีคนที่กล้าปฏิเสธเขาน้อยมาก เขาคิดไม่ถึงเลยว่าความปรารถนาที่เขาส่งออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าจะถูกหยางโปคัดค้านอย่างแข็งกร้าว สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าของเขาไม่น่าดู


 


” คุณอาครับ หยางโปพูดมาก็ถูกต้องนะ คนหนุ่มต้องพึ่งพาตัวเอง ! ” ชุยอี้ผิงรีบเอ่ยไกล่เกลี่ย


สีหน้าของชุยซื่อหยวนผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาไม่เคยได้เลี้ยงลูกมาก่อน ทันใดนั้นก็ได้สติขึ้นมา นี่คือลูกชายแท้ๆ ของตนเองนะ !


” ใช่ ใช่แล้ว ! เธอพูดได้ถูกต้อง คนหนุ่มก็ต้องพึ่งพาตนเอง ! ” ชุยซื่อหยวนหยิบเนื้อเป็ดที่ม้วนไว้แล้วขึ้นกัดคำหนึ่ง ในใจขมเฝื่อน ตัวเองไม่ได้เลี้ยงดู ถึงแม้จะนับญาติแล้ว ต่อไปจะอยู่ด้วยกันก็เกรงว่าจะไม่ง่ายดายขนาดนั้นแล้ว


หยางโปดื่มชาอีกอึกหนึ่ง เขาไม่กินอะไรเลย เวลานี้ในใจเขากลับไม่ได้ยินดีอะไรสักนิด แต่กลับไม่สบายใจ เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยากนับญาติไหม เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงของตนหรือเปล่า ถ้าหากต้องเจอกับพ่อแท้ๆ ที่เหมือนกับพ่อหยางนั่น สู้ไม่รู้จักจะดีกว่า !


 


หยางโปไม่เข้าใจอีกฝ่าย และไม่ยินดีที่จะสนทนากันมากนัก


ชุยซื่อหยวนนั่งลง ภายในห้องเงียบงันลงไป ชุยอี้ผิงลุกขึ้นมาจากบนเก้าอี้ที่นั่งอยู่ เขาอยากจะเปิดเผยความสัมพันธ์แล้ว เมื่อเป็นแบบนี้ หยางโปจะตีหน้าเซ่อทำไม่รู้เรื่องก็ไม่ได้แล้ว


เสียงโทรศัพท์พลันดังขึ้น ทุกคนจับโทรศัพท์มือถือของตนด้วยจิตใต้สำนึกแล้วถึงค่อยพบว่าไม่ใช่ของตนเอง หยางโปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา มองเห็นว่าเป็นสายของตาอ้วนหลิว เขาก็รับสายในทันที


” หยางโป พวกนายมาถึงจิงเฉิงแล้วใช่ไหม ? ” ตาอ้วนหลิวเอ่ยถาม เช้าวันนี้เขาโทรศัพท์หาหยางโปแล้วครั้งหนึ่งจึงรู้ว่าวันนี้หยางโปจะมาถึงจิงเฉิง


” อื้ม ถึงแล้ว ” หยางโปตอบ


” คืนนี้จะไปไหม ? ” ตาอ้วนหลิวเอ่ยถามทันที


 


หยางโปเงยหน้ามองภาพตรงหน้าครั้งหนึ่ง เห็นทุกคนจ้องมองเขาอยู่เขาก็ลังเลเล็กน้อย ใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจ ” อะไรนะ ? โอเค ฉันจะไปตอนนี้เลย ! “


” ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบร้อน นี่มันเรื่องของคืนนี้นะ ตอนนี้นายไม่จำเป็น… ” ตาอ้วนหลิวรีบเอ่ยในไมโครโฟน


หยางโปกลับไม่ได้ฟังที่เขาพูดต่อเลย แต่กลับวางสายไปทันที แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมอง


” วันนี้ก็เท่านี้ก่อนแล้วกันนะ ผมมีธุระด่วน ต้องรีบไปตอนนี้เลย “


กล่าวจบ หยางโปก็มองลัวย่าวหัว ” ย่าวหัว นายจะไปไหม ? “


ลัวย่าวหัวชะงักค้าง ถูกหยางโปทำให้ตกใจจนนิ่งอึ้งไป เขารีบกล่าวตอบว่า ” ไป ฉันจะไปกับนาย “


ชุยซื่อหยวนผิดหวังเล็กน้อย แต่ยังปลุกปลอบกำลัง ” เรื่องรีบร้อนมากเลยเหรอ ?​ ให้อี้ผิงไปส่งเธอไหม ? “


“ไม่เป็นไรครับ พวกเราเรียกแท็กไปได้ ” หยางโปรีบเอ่ยปฏิเสธ


 


ชุยอี้ผิงถอนหายใจติดขัดอยู่ในลำคอ เขาอยากเอ่ยอธิบายก็สำลัก เวลานี้จำต้องไอออกมาอย่างแรงเท่านั้น


หยางโปกับลัวย่าวหัวสองคนเดินออกไปจากห้องส่วนตัว ชุยซื่อหยวนก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้


ชุยอี้ผิงรีบเอ่ยปลอบ ” คุณอาครับ คุณไม่ต้องร้อนใจ เมื่อกี้ผมกำลังคิดจะเปิดเผยเรื่องชั้นสุดท้ายนี้ไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะรีบร้อนจากไปขนาดนี้ “


ชุยซื่อหยวนส่ายหน้ายิ้มขื่น ” ช่างเถอะ ช่างเถอะ เรื่องนี้ฉันไม่โทษเขาหรอก เป็นฉันที่ไม่ดีเอง ปีนั้นถ้าหากไม่ทอดทิ้งเขาก็จะไม่เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ นี่เป็นสิ่งที่ฉันต้องทนรับเอง ! “


กล่าวจบ ชุยซื่อหยวนก็ทุบอกชกตัว เสียใจอย่างที่สุด


ชุยอี้ผิงรีบเข้าไปห้ามเขา ” คุณอาครับ เรื่องนี้ไม่โทษต้องคุณอา ดูเหมือนหยางโปจะไม่ยอมรับง่ายๆ ต่อไปพวกเรายังต้องปรึกษากันเรื่องอนาคตของเขาให้ดี “


 


” อนาคตของเขา ? ” ชุยซื่อหยวนเป็นกังวลสับสน เมื่อครู่นี้รู้สึกสมองโล่งว่างเปล่า เวลานี้ถึงได้คิดขึ้นมาได้


” ใช่แล้ว ในเมื่อเขาชอบประเมิณวัตถุโบราณ ถ้างั้นต่อไปฉันก็จะส่งเขาไปเรียนปริญญาโทด้านโบราณคดีที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ! “


” แต่ว่าเขาก็ไม่ได้จบมาโดยตรง ปริญญาตรีก็ยังไม่ได้เรียนนะครับ ? ” ชุยอี้ผิงเอ่ยถาม


” ปริญญาตรี ? งั้นก็ให้เขาจัดการเองก็แล้วกัน ! ” ชุยซื่อหยวนกล่าว กล่าวจบเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา


เขาสามารถจัดการเรื่องราวให้หยางโปได้ ความเศร้าโศกเสียใจในใจของเขาก็เบาลงส่วนหนึ่ง ในใจของเขาก็ผ่อนคลายลงหนึ่งส่วน


ลิ่วหมินเดินบนรองเท้าส้นสูงข้ามถนนมาอย่างรีบร้อนเดินเข้าไปในฉวนจิ่วเต๋อ เธอไม่ได้เอ่ยถามกับพนักงานต้อนรับก็พุ่งเข้าไปในฉวนจิ่วเต๋อ ตอนที่ข้ามถนน เธอพบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ไม่ได้สนใจมากนัก เธอเดินมาถึงด้านนอกของฉวนจิ่วเต๋อก็ได้ยินบทสนทนาข้างใน


 


เธอมาช้าเกินไป จึงได้ยินแค่ข้างในกำลังพูดถึง ” ส่งไปเรียนปริญญาโท ” ” ปริญญาตรี ” สองสามคำนี้ ในใจเธอยิ่งกรุ่นโกรธ ผลักประตูห้องส่วนตัวอย่างแรง


” ชุยซื่อหยวน คุณจะทำอะไร ? “


จู่ๆ ลิ่วหมินก็ปรากฏอยู่นอกประตู ทำให้ชุยซื่อหยวนตกใจจนสะดุ้ง พอได้ยินเสียงตวาดแบบนี้ของเธอ ชุยซื่อหยวนก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ” ฉันจะทำอะไรได้ ? “


” นี่คุณกำลังจะเลี้ยงเมียน้อย แล้วยังจะส่งเธอไปเรียนปริญญาโท ? ” ลิ่วหมินตะโกน


” ฉันอยู่กับคุณมาหลายปีนี้ อย่าบอกนะว่าคุณไม่มีเยื่อใยเลยสักนิด ยังจะออกไปเลี้ยงเมียน้อยอีกเหรอ ? “


ชุยซื่อหยวนชะงักไปครู่หนึ่ง ชี้นิ้วไปข้างกายของตนเอง ” เธอพูดจาแบบนี้ต่อหน้าหลาน หรือว่าเธอไม่รู้สึกขายหน้าเลย ?​เธอคิดว่าฉันเลี้ยงเมียน้อยยังต้องมาปรึกษาหลานอีกเหรอ ? “


 


ลิ่วหมินพลันชะงักนิ่งไป เธอหันหน้าไปมอง ก็เห็นชุยอี้ผิงยิ้มเจื่อนอยู่ด้านข้าง เธอก็เข้าใจทันที อดหัวเราะเก้อๆ ไม่ได้ ” โอ้ เหล่าชุย ฉันเข้าใจคุณผิดแล้ว “


ชุยซื่อหยวนส่ายหน้า ” ในเมื่อมาแล้ว ฉันก็มีเรื่องอยากคุยกับเธออยู่พอดี พวกเรามาคุยกันหน่อยเถอะ ! “


ชุยอี้ผิงได้ยินคำนี้ก็รีบลุกขึ้นยืน ” คุณอา คุณน้า ผมขอตัวก่อนนะครับ พวกคุณคุยกันเลย “


ชุยซื่อหยวนพยักหน้า ชุยอี้ผิงหยิบข้าวของแล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว


ลิ่วหมินมองชุยซื่อหยวน ” เรื่องอะไร ทำไมต้องทำลับลับล่อล่อขนาดนี้ ? “


” เธอมาดูสิ ” ชุยซื่อหยวนส่งกระดาษแผนหนึ่งมาให้


ลิ่วหมินรับมาแล้วก้มหน้ามองลงไปอย่างอดไม่ได้ แต่กลับชะงักนิ่งค้างไปในทันที…


ตอนที่ 255 ธุรกิจครั้งใหญ่


หยางโปกับลัวย่าวหัวออกจากฉวนจิ่วเต๋อ ระหว่างทางหยางโปชนกับหญิงวัยกลางคนอายุสักสี่สิบปีคนหนึ่งที่รีบร้อนวิ่งมาครั้งหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นซวนเซเกือบจะล้มไปกองกับพื้น คิดไม่ถึงว่าจะถึงกับไม่พูดอะไรสักคำ ลุกขึ้นแล้วก็เดินออกไปเลย


หยางโปเหลือบตามองหญิงวัยกลางคน ” ไม่มีมารยาท ! “


” ไม่มีคนสั่งสอน ! ” ลัวย่าวหัวก็ด่าตามประโยคหนึ่งแล้วเขาก็เอ่ยถามว่า ” นายจะไม่ยอมนับญาติจริงๆ เหรอ ? “


” นายรู้เรื่องนี้ก่อนแล้วใช่ไหม ? ” หยางโปมองไป


ลัวย่าวหัวชะงักแล้วส่ายหน้า ” ชุยอี้ผิงเขาบอกว่ามีเบาะแสความเป็นมาของนาย ตอนนั้นฉันประหลาดใจมาก เขาขอร้องให้ฉันปิดเป็นความลับ ฉันก็ไม่ได้พูดมากอะไร แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะถึงกับเป็นลูกพี่ลูกน้องของนาย “


 


หยางโปส่ายหน้า ” ช่างเถอะ “


” ช่างเถอะ ? ” ลัวย่าวหัวเอยถามอย่างตกตะลึง ” อย่าบอกนะว่านายไม่คิดจะนับญาติเลยสักนิด ? นายรู้ฐานะของชุยซื่อหยวนไหม ตอนนี้เขาอายุแค่สี่สิบห้าปีก็เลื่อนมาเป็นรองรัฐมนตรีแล้ว ทั้งตระกูลชุยก็ไม่ธรรมดา อย่างน้อยที่สุดก็รับประกันได้ว่าชีวิตนี้อย่างน้อยก็ไปถึงระดับรองประธานาธิบดี ! “


หยางโปประหลาดใจเล็กน้อย แต่ว่าไม่นานเขาก็ส่ายหน้า ” ต่อจากนี้ไปฉันแค่อยากมีชีวิตอย่างปกติสุข มีตำแหน่งมีอิทธิพลมากไปกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์สำหรับฉัน “


” โอเค ถ้างั้นนายจำประโยคนี้เอาไว้นะ ” ลัวย่าวหัวกล่าว


หยางโปไม่ได้พูดอะไร ถึงแม้เขาจะไม่สนใจเรื่องอิทธิพลแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เข้าใจผลของการใช้มัน ! แต่ว่าสำหรับการนับญาติแบบนี้แล้วจะอาศัยแค่อิทธิพลมาฟื้นฟูไม่ได้


 


ทั้งสองคนเจอกับตาอ้วนหลิวอย่างรวดเร็ว เพราะว่าในช่วงนี้ต่างฝ่ายก็ไม่ได้ขาดการติดต่อกัน ตาอ้วนหลิวก็เข้าใจสถานการณ์กระอักกระอ่วนของหยางโป หลังจากเจอหน้ากันแล้วก็เอ่ยถามว่า ” หายดีแล้วใช่ไหม ? “


” เกือบหายดีแล้วล่ะ ? ” หยางโปกล่าว


” ถ้างั้นก็ดี ฉันบอกพวกนายเลยนะ ครั้งนี้อาจจะเป็นธุรกิจครั้งใหญ่เลย ถ้านายหายดีแล้วธุรกิจครั้งนี้ของพวกเราถึงจะสำเร็จได้ ” ตาอ้วนหลิวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกินจริง


ลัวย่าวหัวตบบ่าตาอ้วนหลิว ” เฮ้อ เฮ้อ พวกเราจะแกล้งทำเป็นลึกลับแบบนี้ได้ทุกครั้งไหม พวกเราจะถูกนายหลอกเอาทุกครั้ง นายพูดออกมาชัดๆ เลยได้ไหม ?​ อย่าบอกนะว่าไปถึงแล้วถึงจะพูดให้ชัดเจนได้น่ะ ? “


 


ตาอ้วนหลิวหัวเราะแห้ง ” บางครั้งก็ไม่ใช่ฉันพูดไม่ชัดเจนจริงๆ นะ แต่เป็นเพราะว่าข่าวที่พวกเราได้มา บางอย่างก็ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้มาตรงๆ ถึงขนาดอาจจะส่งทอดมาหลายทอดแล้ว สำหรับพวกข่าวสารนี้ฉันก็รู้ไม่มาก รู้มาบ้างแล้ว ฉันก็กลัวว่าข่าวจะผิด ดังนั้นก็เลยจำเป็นต้องเป็นแบบนี้ พี่น้องทั้งสองขอให้เข้าใจกันด้วยเถอะนะ ! “


” ตาอ้วนหลิว นายหลอกคนเป็นจริงๆ ! ” หยางโปส่ายหน้ายิ้มเฝื่อน


ลัวย่าวหัวดึงตาอ้วนหลิว ” ว่ามาสิ ครั้งนี้ในเมื่อเป็นธุรกิจครั้งใหญ่ก็ต้องมีข้อมูลมาพูดแบบนี้แน่ นายว่ามาตามตรงเถอะ ถึงแม้จะหลอกพวกเรา พวกเราก็ไม่โทษนายหรอก “


ตาอ้วนหลิวพยักหน้าแล้วค่อยเอ่ยปาก ” ครั้งนี้ได้ยินว่าคนกลุ่มนี้มาจากซีหนาน พวกเขาเอาของดีมาไม่น้อย ที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาเอาลายแทงสมบัติแผนหนึ่งมาขาย ! “


 


” ลายแทงสมบัติ ? ” หยางโปสบตากับลัวย่าวหัว ต่างก็ประหลาดใจ


ตาอ้วนหลิวรีบกล่าวรายละเอียด ” พวกนายอย่าเข้าใจผิด ลายแทงสมบัติมีอยู่จริงๆ เพราะว่าขุมทรัพย์บางที่บางแห่งต่างก็ถูกค้นพบ ถูกขุดออกมาก็เป็นเพราะมีลายแทงสมบัติอยู่ ถึงขนาดมีแผนที่ที่มาจากการศึกษาค้นคว้าของหลายชั่วอายุคนแล้วถึงวาดออกมาเป็นลายแทงสมบัติที่สมบูรณ์ภาพหนึ่ง ! “


พวกของหยางโปสองคนย่อมแจ้งแก่ใจว่าลายแทงสมบัติมีอยู่จริง พวกเขาก็เคยขุดสมบัติมากับตัวเองแล้ว แต่ว่าลายแทงสมบัติจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาอย่างโจ่งแจ้งถึงขนาดนี้นั้นทำให้พวกเขาแปลกใจจริงๆ


” ถ้าหากมีลายแทงสมบัติจริงๆ ทำไมพวกเขาไม่ไปขุดสมบัติเองล่ะ ? ” หยางโปเอ่ยถาม


ตาอ้วนหลิวยิ้มเฝื่อน ” อาจจะขุดมาไม่ได้มั้ง “


” ขุดมาไม่ได้ ? ” หยางโปมองไป


 


” แผนที่ใหญ่เกินไป หรือไม่มูลค่าของแผนที่ก็ไม่สูงพอ ไม่แม่นยำพอ ” ตาอ้วนหลิวกล่าว ” เอาล่ะ พวกเราไปดูสถานการณ์ที่นั่นกันก่อนแล้วค่อยพูดเถอะ ยังไงก็ไม่เสียค่าเข้า “


ยังมีเวลาสักพักก่อนฟ้าจะมืด เดิมหยางโปคิดว่าพวกเขาจะหาร้านน้ำชาไปนั่งรอ คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินตาอ้วนหลิวกล่าวว่า ” ครั้งนี้ฉันยังต้องติดต่อคนคุ้นเคยคนหนึ่ง พวกเราไปด้วยกันเถอะ “


” คนคุ้นเคย ? ” หยางโปมองไปอย่างประหลาดใจ ไม่นานก็นึกออก ” อย่าบอกนะว่ากู้ฉางซุ่น ? “


ตาอ้วนหลิวพยักหน้า ” รายรับสบายๆ ก้อนหนึ่ง “


หยางโปหัวเราะแล้วค่อยนึกถึงอาชีพของตาอ้วนหลิว เขาเป็นนายหน้ามืออาชีพ ปกติทำเรื่องแบบนี้ก็ได้ค่าข่าวสาร แต่เขาไม่เคยพูดถึงมาก่อน


” ก็ดีนะ ! ” หยางโปกล่าว


 


รถยนต์ขับมุ่งหน้าไปที่ชานเมือง จนถึงร้านน้ำชาเหลาเฉ่อแล้วก็ลงรถ ทั้งสามคนเข้าไปแล้วก็ขึ้นไปหากู้ฉางซุ่นข้างบน พอเห็นกู้ฉางซุ่นในชุดขี่ม้าสีเทาทั้งตัวแล้ว เขาก็หันมาประสานคำนับทั้งสามคน ” ทั้งสามท่าน ฉันตั้งตารอนานแล้ว ! “


ท่าทางสุภาพแบบนี้ไม่เหมือนกับท่าทีตอนปกติของเขาเลยจริงๆ แต่ว่ากู้ฉางซุ่นลงทุนเพื่อท่าทีผู้ดีจอมปลอมแบบนี้ไปไม่น้อย หยางโปก็ไม่หวั่นเกรง มีแค่ลัวย่าวหัวที่มองอย่างชื่นชมมาก


งิ้วบนเวทีร้องท่อน ” ประหารหม่าซู่ ” กู้ฉางซุ่นเห็นหม่าซู่ถูกตัดหัวแล้วก็ตะโกนเสียงดัง ” ดี ! ” ประโยคต่อไปก็น่าตกใจจนตาแทบหลุด ” สุดยอด ! ดี ! “


เห็นท่าทีปากอ้าตาค้างของลัวย่าวหัวแล้ว หยางโปก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้


งิ้วจบลงแล้ว กู้ฉางซุ่นก็หันหลังมามอง ” อยากกินอะไรก็กินได้เลย พวกเราไม่ขาดเงิน ! “


ขณะพูดท่าทีดูขึงขังกดข่ม แต่พอประกอบกับหน้าตาเข้มคล้ำของเขาแล้วก็ทำให้คนรู้สึกน่าขันจริงๆ


 


จากนั้นทั้งสี่คนก็นั่งอยู่ชั้นบน ชมการแสดงบนเวที กินขนมจานพิเศษพลางนั่งรอเวลาผ่านไป


ชมการแสดงไปสองชุด ดื่มชาไปสองจอกแล้ว ไปห้องน้ำมารอบหนึ่ง ตาอ้วนหลิวถึงได้เอ่ยกับทั้งสามคนว่า ” พวกเราไปกันตอนนี้เลยเถอะ ถึงแม้จะไปเร็วสักหน่อยแต่อีกเดี๋ยวคนเลิกงานรถจะติด “


” โอเค พวกเราไปกัน ! ” กู้ฉางซุ่นกล่าว


ขึ้นรถแล้วทั้งหมดก็มุ่งหน้าไปที่ชานเมืองหลวง


รถติดระหว่างทางครู่หนึ่งแล้วไม่นานทางก็โล่ง ความเร็วก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ตอนที่ท้องฟ้ามืดสนิท ทั้งกลุ่มก็มาถึงชานเมืองแล้ว


พวกเขากินมื้อเย็นแล้วก็ไม่ได้รีบร้อนไป รอจนครู่หนึ่งแล้วถึงค่อยออกเดินทาง


 


ครั้งนี้เร็วมาก ไม่ถึงสิบกว่านาทีรถยนต์ก็เข้าไปในโรงงานเก่าโทรมแห่งหนึ่ง ทั้งสี่คนลงจากรถแล้วก็มีผู้ชายล้อมวงเข้ามา ” มาทำอะไร ? “


” ฉันคือหมายเลขยี่สิบ ” ตาอ้วนหลิวก้าวไปด้านหน้า


ภายในโรงงานไม่ได้เปิดไฟ มืดมนไปทั้งหมด แสงไฟสลัวจากโรงงานที่อยู่ไม่ไกลส่องมาแต่ก็สว่างไม่พอ ชายคนนั้นจ้องมองตาอ้วนหลิว ” เข้าไปเถอะ ไม่ต้องพูดจาเหลวไหล ! “


ตาอ้วนหลิวพาทุกคนเข้าไป ลัวย่าวหัวอดเอ่ยถามไม่ได้ ” นายไปเอาหมายเลขมาจากไหน


ตอนที่ 256 สักการะไผ่


มีคนมาเปิดประตูโรงงาน กลุ่มของหยางโปถึงได้เดินเข้าไป แสงไฟภายในห้องสว่างจ้า แต่อุณหภูมิกลับต่ำมาก ทั้งภายในของโรงงานนั้นมีคนมายืนรออยู่ที่นี่ไม่น้อยแล้ว


เดินเข้าไป หยางโปก็ชะงัก เพราะว่าในนี้ถึงกับมีคนคุ้นเคยอยู่ที่นี่ด้วย


” เถ้าแก่หลู ! หลี่เอ้อ ! พวกคุณก็อยู่ที่นี่เหรอ ! ” ลัวย่าวหัวเอ่ยอย่างประหลาดใจ


สองคนนั้นก็คือหลูตงซิงกับหลี่เอ้อ หลูตงซิงก็ประหลาดใจ ” พวกเธอมาแล้วเหรอ ตอนแรกฉันยังคิดจะกลับไปแชร์กับพวกเธอเลย ! “


หยางโปยืนยิ้มอยู่ด้านข้าง อย่างลายแทงสมบัติแบบนี้หลังจากที่ได้ไปแล้ว จะยังให้คนอื่นร่วมแชร์ด้วยเหรอ ? หลูตงซิงแค่พูดเป็นพิธีไปอย่างนั้น


ลัวย่าวหัวหัวเราะ ” ถ้างั้นก็ดีเลย พวกเราต่างก็จะให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ ! “


 


หยางโปหันหลังอย่างไม่ใส่ใจ แต่กลับชะงักนิ่งไป เพราะว่าเขามองเห็นฉินโถวกับหลงเสียวอู่ยืนอยู่ไม่ไกล ! พวกเขาถึงกับปรากฏตัวที่นี่ อย่าบอกนะว่าพวกเขาไม่ได้หลบหนี ?


หยางโปตกใจมาก ส่วนที่เหลือของสุสานหงซิ่วเฉวียนที่จินหลิงยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย โดยเฉพาะในการขายก้อนเงินแท่งทองจำนวนมากขนาดนั้น ตอนนี้ฉินโถวกับหลงเสียวอู่ถึงกับไม่ได้หลบหนี แต่กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนอย่างเป็นธรรมชาติมาก ไม่แน่ว่าจะทำให้เขากังวลใจขึ้นมา


หยางโปอดที่จะหันหน้าไปมองหลูตงซิงไม่ได้ ทั้งสำรวจไปทางของพวกฉินโถวทั้งสองคนด้วยสายตา หลูตงซิงส่ายหน้า


ในเวลานี้ลัวย่าวหัวก็สังเกตเห็นพวกของฉินโถว สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปแต่ก็ควบคุมได้อย่างรวดเร็ว


หยางโปหันไปยิ้มแล้วเอ่ยถามหลูตงซิงว่า ” ได้ยินว่าครั้งนี้มีลายแทงสมบัติ ไม่รู้ว่าเป็นลายแทงสมบัติที่ไหนนะ ? “


 


” ตอนนี้ยังไม่ได้เปิดเผย ” หลูตงซิงเอ่ยตอบเสียงเบา


หยางโปพยักหน้า ลัวย่าวหัวก็ถอนหายใจ ถึงแม้หยางโปจะถามถึงลายแทงสมบัติ แต่กลับชี้ไปถึงสุสานไว้อาลัยขององค์รัชทายาทหลี่ผู่ หลูตงซิงตอบกลับมาว่ายังไม่เปิดเผย นั่นย่อมบอกถึงว่าเรื่องสุสานของหลี่ผู่ที่ถูกขโมยยังไม่ถูกเปิดเผย เมื่อเป็นแบบนี้ทุกคนก็จะปลอดภัยมาก บางทีรอถึงตอนที่ค้นพบรูที่ขุดเอาไว้ก็เป็นเรื่องห้าปีสิบปีให้หลังแล้ว ถึงเวลานั้นเบาะแสอะไรก็สืบไม่เจอแล้ว


รออยู่ครู่หนึ่ง บริเวณโดยรอบก็เซ็งแซ่ขึ้นมา หยางโปหันหน้าไปมองก็เห็นชายหนุ่มสวมชุดหนังสีเข้มสามคนเดินเข้ามา พวกเขาใส่เสื้อคลุมหนังแพะ เสื้อลินินหยาบไหม้ ดูแล้วเหมือนชายหนุ่มที่เดินออกมาจากในชนเผ่าล้าหลัง แต่ก็เป็นการแต่งกายแบบนี้แหล่ะที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนเอาไว้ !


 


นี่คือการแต่งกายของชนกลุ่มน้อย ! ความคิดแวบแรกของหยางโปก็คือแบบนี้ แต่ว่าไม่นานเขาก็สงสัยขึ้นมา เพราะว่าชนกลุ่มน้อยมีเยอะมาก การแต่งกายทั้งตัวของพวกเขานี้ ยากที่จะตัดสินว่าพวกเขามาจากชนเผ่าไหนกันแน่จริงๆ


ทั้งสามคนถือห่อหนังสัตว์เดินมาข้างหน้า มือหนึ่งทาบไว้ด้านหน้าอกแล้วค้อมคำนับทุกคน ทุกคนต่างก็จ้องมองพวกเขาทั้งสาม


” ขอบพระคุณแขกทุกท่านที่มาเข้าร่วมการประมูลของพวกเรา รายละเอียดของการประมูลครั้งนี้ได้มอบให้กับทุกท่านแล้ว แม้ยังไม่สมบูรณ์ แต่ต่อจากไปนี้ทุกท่านก็จะค่อยๆ เข้าใจข้อมูลต่อไปนี้ได้อย่างแน่นอน ” ชายหนุ่มผอมคนหนึ่งในนั้นเดินมาข้างหน้าแล้วกล่าวกับทุกคน


 


” การแต่งตัวแบบนี้ของพวกเขาน่าสนใจนะ ” ตาอ้วนหลิวเอ่ยเสียงเบา


หยางโปมองไปก็ได้ยินตาอ้วนหลิวเอ่ยอธิบายขึ้นมา ” เมื่อกี้ตอนที่พวกเราเจอ พวกเขายังสวมเสื้อนวมกางเกงยีนส์ สถานที่แบบนี้ แต่งตัวด้วยชุดของชนกลุ่มน้อยเขตร้อน ไม่ใช่เพื่อดึงดูดความสนใจและเรียกความเชื่อมั่นหรอกเหรอ ? “


หยางโปเงยหน้าขึ้นไปมอง แน่นอนว่ามองเห็นด้านหลังของชายที่ค่อนข้างผอมบางสั่นด้วยความหนาว


” พวกเขามาจากชนเผ่าไหนกันแน่ ? ” หยางโปเอ่ยถามเสียงเบา


“ฉันไม่รู้ ” ตาอ้วนหลิวส่ายหน้า


แต่ว่าไม่รอให้พวกเขาคิดมาก ผู้นำคนนั้นก็เอ่ยปากแนะนำ ” พวกเราเป็นคนเผ่าอี๋มาจากแถบชนบทเค่อเล่อ อำเภอเฮ่อจาง เฉียวโจว “


 


พลันที่กล่าวประโยคนี้ออกมา โดยรอบก็เกิดเสียงเซ็งแซ่ เพราะว่าประโยคนี้ของเขาสำคัญมาก ถึงขนาดเปิดเผยคำถามที่ทุกคนต่างกังวลใจ ” ลายแทงสมบัติ ” ที่ว่านี้ที่แท้ก็มาจากที่นั่น !


ลัวย่าวหัวเห็นท่าทีของทุกคนแล้วก็ไม่เข้าใจ เขาหันหน้ามามองหยางโป ” หมายความว่าอะไร ? ​หรือว่าเผ่าอี๋ยังมีขุมสมบัติอะไรอีกเหรอ ? “


หยางโปส่ายหน้า เอ่ยอธิบายเสียงเบาว่า ” เมื่อสี่ปีก่อน ที่เฉียวโจวมีการขุดค้นทางโบราณคดีที่สำคัญมากแห่งหนึ่ง ขุดค้นเจอสุสานของแคว้นเย่หลางโบราณอยู่ที่แถบชนบทเค่อเล่อ อำเภอเฮ่อจาง สุสานแถบชนบทเค่อเล่อน่าจะอยู่มากว่าหมื่นปีแล้ว “


ลัวย่าวหัวรู้สึกตื่นตะลึง หันหน้ามามองหยางโป ” นานขนาดนั้น ? แคว้นเย่หลางไม่ใช่แคว้นเย่หลางที่เขาว่ากันว่าหยิ่งจนน่าข้นแคว้นนั้นเหรอ ? ไม่ใช่ว่ามันเล็กมากเลยเหรอ ? “


 


” ไม่เล็กเลยสักนิด ตอนนั้นเย่หลางเป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุดในซีหนาน อ้างว่าที่นั้นครอบครองกองทหารนับแสน นี่ไม่ใช่ระดับแคว้นเล็กๆ แล้วนะ ” หยางโปเอ่ย


ขณะที่กล่าวคนอยู่ตรงหน้าก็เริ่มการประมูลขึ้นแล้ว


ชายหนุ่มทั้งสามคนนั้นก็ไม่รู้ว่าไปยกโต๊ะพังๆ ตัวหนึ่งมาจากไหนมาวางเอาไว้ตรงกลางแล้วเอาห่อของมาวางไว้ตรงนั้น ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาจากในห่อแล้ววางไว้บนโต๊ะ นี่ก็นับว่าเริ่มการประมูลแล้ว


ของชิ้นแรกที่หยิบออกมาคือปิ่นหยกด้ามหนึ่ง ปิ่นหยกแค่แกะสลักเป็นทรงกลมเรียบๆ ปลายด้านหนึ่งด้านหนึ่งละเอียด หยิบปิ่นหยกแบบนี้ออกมา ทุกคนก็อดที่จะส่ายหน้าไม่ได้


 


แต่ว่าถึงแม้จะเป็นแบบนี้ ทุกคนก็แทบจะตั้งแถวเดินหน้าขึ้นไปประเมินดู เพราะว่าทุกคนต่างอยากพิสูจน์ลายแทงในมือของอีกฝ่าย อยากจะตัดสินว่าเป็นลายแทงของจริงหรือไม่นั้น ก็ต้องดูผ่านการตัดสินของชิ้นเล็กชิ้นนี้ ถ้าหากพวกนี้เป็นของปลอม ถ้างั้นลายแทงสมบัติชิ้นสุดท้ายนั้นก็ไม่ต้องไปดูแล้ว


หยางโปก็เดินตามเข้าไปด้วย ต่อแถวอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยวนมาถึงตาของเขา หยิบปิ่นหยกขึ้นมาดูอย่างละเอียดสองรอบ ปลายด้านที่สลักหยาบๆ ของปิ่นหยกนั้นเป็นใบไผ่เรียบๆ ใบไม้หยาบมาก ปิ่นหยกก็หยาบกร้านไปทั้งด้าม แต่ลำแสงที่ล้อมอยู่โดยรอบกลับหนามากพอไปถึงสมัยชุนชิว


ประวัติศาสตร์ของแคว้นเย่หลางได้มีแคว้นที่มีอำนาจในที่ราบจดบันทึกเอาไว้ว่าเริ่มเรืองอำนาจขึ้นสมัย


จ้านกว๋อ จนถึงรัชสมัยอันสงบสุขของจักรพรรดิฮั่นตะวันตก ความนิยมของกษัตริย์เย่หลางก็สอดคล้องไปกับกำลังต่อต้านราชวงศ์ฮั่นของแคว้นเพื่อนบ้านใกล้เคียง ราชวงศ์ส่งคนมาเข่นฆ่า เย่หลางจึงสิ้นเผ่าพันธุ์ไปอยู่ได้ประมาณ 300 ปี


 


ปิ่นด้ามนี้ถึงกับมาก่อนช่วงเวลานี้ การค้นพบแบบนี้ทำให้หยางโปตกตะลึงมาก แต่ว่าเขาก็รู้จักบันทึกประวัติศาสตร์ของชนเผ่าอี๋ที่เย่หลางเริ่มมีอำนาจในช่วงราชวงศ์เซี่ย เปลี่ยนผ่านราชวงศ์อู่มี่เย่หลาง ลั่วจิ่วเย่หลาง ซาม่าเย่หลาง จินจู๋เย่หลางมา 4 ราชวงศ์ แล้วมาสิ้นสุดราชวงศ์ในสมัยราชวงศ์ฮั่น คงอยู่ประมาณสองพันปี


เมื่อเป็นแบบนี้ หยางโปก็พลันเกิดสนใจมากขึ้น


ตอนที่เพิ่งกลับมาถึงตำแหน่งยืน คนคุ้นเคยหลายคนของหยางโปก็หันหน้ามามอง ลัวย่าวหัวก็เอ่ยถามอย่างร้อนใจว่า ” เป็นยังไง ? เป็นแคว้นเย่หลางไหม ? “


หยางโปพยักหน้า ” ของจริง “


กล่าวจบ หยางโปก็หันไปมองหลูตงซิงที่เงยหน้ามองตนอยู่เช่นกัน ” เถ้าแก่หลูมีความเห็นว่ายังไงครับ ? “


หลูตงซิงส่ายหน้า ” ฉันมองออกแค่ยุคสมัยยาวนานมาก ส่วนที่มาใช่แคว้นเย่หลางไหมนั้นดูไม่ออก “


” เถ้าแก่หลู คุณสังเกตเห็นรอยสลักรูปใบไผ่เล็กๆ บนปิ่นไหม ? ” หยางโปเอ่ยถาม


หลูตงซิงคิดแล้วก็พยักหน้า


” แคว้นเย่หลางมีการสักการะไผ่ ” หยางโปเอ่ยอธิบาย


ตอนที่ 257 แคว้นเย่หลาง


” สักการะไผ่ ? ” หลูตงซิงมองมาอย่างประหลาดใจ


หยางโปพยักหน้า ” ใช่ครับ เป็นการสักการะต่อต้นไผ่ ! “


ชายหนุ่มเผ่าอี๋ที่เป็นผู้นำเอ่ยปากอธิบาย ” บรรพบุรุษของเผ่าอี๋เป็นคนเชียง นับขึ้นไปอีกก็เป็นคนแคว้นเย่หลางโบราณ พวกเราล้วนมีการส่งต่อวัฒนธรรมที่เหมือนกัน นั่นก็คือการสักการะต่อต้นไผ่ ช่วงบูชายัญของทุกปีก็จะวางไผ่ท่อนหนึ่งเอาไว้ด้านหน้าศาลบรรพชน เพื่อเป็นการบอกว่าพวกเราเป็นชนรุ่นหลังของแคว้นเย่หลาง “


ถ้อยคำของคนหนุ่มเผ่าอี๋ดึงดูดความสนใจของทุกคน ปกติแล้วทุกคนศึกษาเกี่ยวกับแคว้นเย่หลางโบราณไม่มาก เย่หลางตั้งอยู่ที่บริเวณซีหนาน เศรษฐกิจของที่นั่นค่อนข้างย่ำแย่ อีกทั้งการขุดค้นพบโบราณวัตถุเกี่ยวกับแคว้นเย่หลางโบราณก็มีน้อยมาก แคว้นเย่หลางสูญสลายกลายเป็นปริศนาไปแล้ว มันไม่ใช่จุดสนใจของผู้คนเลยสักนิด


 


หยางโปเองก็เข้าใจไม่มาก เขาจ้องมองคนหนุ่มเผ่าอี๋ผู้นำกลุ่ม


ได้ยินเขาเอ่ยต่อไปว่า ” เผ่าอี๋ของพวกเรามีตำนานหนึ่งมาตลอด บอกว่าในสมัยโบราณมีหญิงสาวซักผ้าอยู่ที่ริมน้ำ จู่ๆ ลำไผ่ใหญ่มีขนาดยาวสามส่วนก็ลอยขึ้นมาจากในน้ำมาถึงด้านข้างเท้าของหญิงสาว หญิงสาวอยากจะดันไผ่ออกไปแต่ดันอยู่หลายครั้ง ต้นไผ่ก็ยังคงลอยกลับมา เวลานี้หญิงสาวโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว คิดจะพับแขนเสื้อให้ดีแล้วดันไผ่ท่อนนี้ออกไป แต่ว่าเวลานี้ก็ได้ยินเสียงเด็กทารกร้องดังออกมาจากในต้นไผ่ “


” เธอประหลาดใจมาก แล้วจึงเอาต้นไผ่กลับบ้านแล้วใช้ขวานผ่าออก ข้างในนั้นถึงกับมีเด็กทารกผู้ชายคนหนึ่ง หลังจากเด็กทารกเติบโตขึ้นมาแล้วก็มีพรสวรรค์เหนือธรรมดา ทั้งเรียนรู้อย่างยากลำบากจนกลายเป็นผู้เก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊ เป็นคนที่ทั้งกล้าหาญและชาญฉลาด เขาอาศัยปัญหาความสามารถของตนเองพลันแผ่อำนาจอย่างรวดเร็ว กลายเป็นปฐมกษัตริย์ของแคว้นเย่หลาง เพื่อให้โลกจารึกตัวเขา เขายังใช้แซ่จู๋ (ไผ่) เป็นแซ่ของตนเอง “


 


ทุกคนต่างก็มองปิ่นที่อยู่บนโต๊ะ เมื่อครู่ทุกคนล้วนสังเกตเห็นรอยสลักด้านบนนั้นแล้ว เพียงแต่คนจำนวนมากยังคิดไปไม่ถึงจุดนี้ เมื่อได้ยินอีกฝ่ายมาเอ่ยเตือนแล้วทุกคนถึงได้คิดออก


คนหนุ่มที่เป็นผู้นำชี้ไปที่ปิ่นหยกแล้วกล่าว ” ปิ่นหยกเริ่มประมูลที่สามพันหยวน “


ทุกคนเหมือนจะเข้าใจกันโดยนัย โดยรอบถึงกับไม่มีใครตอบกลับ ผ่านไปครู่หนึ่งแล้วถึงได้มีคนยกมือขึ้นกล่าว ” สามพันหยวน “


ถึงกับไม่เพิ่มขึ้นสักนิด การประมูลเช่นนี้ทำให้ชายหนุ่มเผ่าอี๋ทั้งสามคนกระอักกระอ่วนอย่างมาก


ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำกำมือ เป็นสัญญาให้อีกสองคนด้านหลังอย่าขยับ แล้วค่อยมองไปทางทุกคน ” ไม่มีคนเพิ่มราคาขึ้นอีกแล้วเหรอ ? “


 


หยางโปมองไปรอบด้าน ประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าทำไมทุกคนถึงทำแบบนี้ ถึงแม้ว่าปิ่นหยกนี้จะทำขึ้นอย่างหยาบๆ แต่อาศัยยุคสมัยที่ยาวนานของมันก็เพียงพอที่จะเพิ่มราคาขึ้นสูงได้ อีกอย่างภายใต้เงื่อนไขความหายากของเย่หลางโบราณ ปิ่นหยกชิ่นนี้ก็พอที่จะมีราคามากกว่าหนึ่งหมื่นหยวน


ไม่มีใครเอ่ยปาก ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มเผ่าอี๋ที่เป็นหัวหน้าจึงได้เอ่ยอย่างจนปัญญา ” จบการประมูล ปิ่นหยกสามพันหยวน ! “


สีหน้าของคนหนุ่มไม่ได้เสียศูนย์เท่าไหร่นัก หยางโปพอเดาออกได้ว่าชายหนุ่มทั้งสามคนนี้จะต้องถามราคากันมาที่อื่นแล้วแน่ๆ ราคานี้นับว่าสูงแล้ว


ไม่นานชายผู้เป็นหัวหน้าก็หยิบของชิ้นที่สองออกมา ครั้งนี้เป็นเครื่องลายครามชิ้นหนึ่ง สีสันภายนอกของเครื่องลายครามซีด มีแค่ลายเส้นเป็นรูปสามเหลี่ยมอย่างง่ายๆ แล้วก็ไม่มีการตกแต่งอื่น ภายนอกของเครื่องลายครามตะปุ่มตะป่ำไม่สม่ำเสมอกัน ดูไปแล้วธรรมดาอย่างที่สุด


 


ราวกับเข้าใจความคิดของทุกคน คนหนุ่มเผ่าอี๋ก็เอ่ยขึ้นมาทันทีอย่างไม่ลังเล ” ราคาขั้นต่ำห้าหมื่นหยวน ! “


ทุกคนจ้องมองเครื่องลายครามแล้วต่างก็ขมวดคิ้วแน่น


หยางโปเหลือบตามองเครื่องลายคราม เขามั่นใจได้อย่างแน่นอนว่าเครื่องลายครามชิ้นนี้น่าจะมาจากสมัยแคว้นเย่หลางโบราณ แต่ว่าชิ้นงานหยาบเรียบแบบนี้สู้โถดินเผาของวัฒนธรรมหยางโซวในมือเขาไม่ได้เลยสักนิด


ทุกคนภายในนี้ก็เงียบงันกันอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้มีคนเอ่ยปากว่า ” พ่อหนุ่ม ราคาของเครื่องลายครามนี้ไม่ถึงห้าหมื่นหยวน อย่างมากนี่ก็มาจากสุสานของคนธรรมดา ไม่ได้มีมูลค่าสูงขนาดนั้นเลย “


” แต่ว่านี่คือวัตถุโบราณของเย่หลางโบราณ หาไม่เจอในท้องตลาดเลยนะ ” คนหนุ่มผู้นั้นกล่าว ตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็ไม่ได้แนะนำชื่อของตนเอง ชัดเจนว่าเขาน่าจะเอาของพวกนี้มาจากเฉียวโจว แต่ว่าขายไม่ดีถึงได้แล่นมาถึงที่นี่


 


หยางโปเอ่ยถามตาอ้วนหลิวเสียงเบา ” ทำไมทุกคนถึงเข้าใจกันมากขนาดนี้ ? “


” ระดับไม่เหมือนกัน ” ตาอ้วนหลิวเอ่ยเสียงเบา ” ที่นี่คนมากมายต่างก็แจ้นมาดูลายแทงสมบัติ ของชิ้นเล็กๆ พวกนี้ซื้อมาก็ได้กำไร แต่นายดูที่นี่สิมีใครสนใจไหม ? แต่เจ้าโง่สามคนนั่นก็ยังไม่รู้ตัว “


หยางโปเงยหน้ามองไปทางทุกคน เห็นคนจำนวนมากปิดตาพักผ่อนไม่ได้สนใจเลยสักนิด ตอนนี้เครื่องลายครามชิ้นนี้ก็ประมูลไม่ออกแล้ว


ชายหนุ่มเผ่าอี๋ก็รู้ว่าราคาของตนเองแพง เขาหันหน้ามองไป ” เมื่อกี้ท่านที่เอ่ยถามราคา ท่านให้ได้มากสุดเท่าไหร่ครับ ? “


” สองหมื่นหยวน ” คนผู้นั้นกล่าว


” ตกลง จบการประมูล ” ชายหนุ่มปิดการประมูลอย่างไม่มีลังเล


 


ของชิ้นที่สามเป็นนกนางยูงทองแดง ดูไปเหมือนราวกับนกแก่ตัวผู้ หงอนไก่ใหญ่ หางชี้ขึ้นสูง ทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยกระดำกระด่าง แต่รูปทรงนี้เป็นเอกลักษณ์ ดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ในทันที ราคาก็เพิ่มจากราคาตั้งต้นสามหมื่นหยวนเป็นหนึ่งแสนแปดหมื่นหยวนแล้วค่อยปิดการประมูล


การซื้อขายท่าทีดูเหมือนไม่รีบไม่ร้อน แต่เนื่องด้วยของที่คนหนุ่มเผ่าอี๋หยิบออกมาจากในห่อหนังน้อยลงเรื่อยๆ โดยรอบก็ค่อยๆ ตึงเครียดขึ้นมา แทบจะทุกคนหลังจากที่ได้รับข่าวแล้วต่างก็รอการปรากฏตัวของลายแทงสมบัติชิ้นสุดท้าย


คนหนุ่มผู้นำก็ไม่ได้ทำให้ทุกคนต้องคอยนาน ครั้งนี้เขาหยิบกล่องหนึ่งออกมาจากในห่อหนังทันที สีหน้าแฝงด้วยความตื่นเต้น ” ขอบคุณการมาเยือนของทุกท่านมาก ผมเองก็รู้ว่าทุกท่านจะต้องมาเพื่อลายแทงสมบัติแน่ ลายแทงสมบัตินี้ผมได้มาจากในสุสานที่หนึ่ง ส่วนจะเป็นของจริงหรือไม่ ต่อไปหลังจากที่ประมูลกันแล้วก็ตรวจสอบสินค้ากันตรงนี้เลย “


 


ทุกคนต่างก็พยักหน้า ” ความคิดนี้ดี ! “


ลายแทงสมบัติไม่เหมือนกับสิ่งของอื่นๆ มันไม่สามารถเอาให้ทุกคนดูได้ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการเปิดเผยข้อมูล ดังนั้นจึงทำได้แค่ประมูลมาแล้วพิสูจน์กัน


” เริ่มการประมูลที่ราคา… หนึ่งแสนหยวน ! ” คนหนุ่มเผ่าอี๋ตื่นเต้นเล็กน้อย ของที่ขายไปก่อนหน้านี้รวมกันแล้วก็หลายหมื่นหยวน พวกเขาไม่ขาดทุนแล้ว แต่ว่าการขายลายแทงสมบัติชิ้นนี้ออกไป พวกเขาก็จะได้กำไรก้อนใหญ่


” สามแสนหยวน ! “


การขายราคาต่อจากนั้นพลันตื่นตะลึงคนหนุ่มเผ่าอี๋ทั้งสาม พวกเขามองหน้ากันและกัน เผยให้เห็นความยินดี


แต่ว่านี่ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้น


” ห้าแสนหยวน ! “


 


” แปดแสนหยวน ! “


” หนึ่งล้านหยวน ! “


ราคาภายในตอนนี้เพิ่มขึ้นรวดเร็วมาก ไม่นานก็มาถึงระดับล้านหยวนแล้ว แต่ในนี้กลับไม่ได้สงบลงเลยแม้แต่น้อย ยังคงสู้ราคากันอย่างดุเดือด


หลูตงซิงเห็นสถานการณ์ในนี้แล้วก็ทนไม่ไหว รออยู่ชั่วครู่หนึ่งแล้วเห็นขานราคามาถึงสองล้านหยวน เขาก็ถือโอกาส ” สามล้านหยวน ! “


 


รอบด้านพลันเงียบสงบ ทุกคนต่างก็มองมาอย่างตกตะลึง ควรรู้ว่าตอนนี้ยังไม่ได้พิสูจน์ที่ตั้งของขุมทรัพย์เลย ถ้าหากลายแทงสมบัติอยู่ที่เค่อเล่อ ถ้างั้นไม่กลัวจะเสียเงินเปล่าเหรอ ?


หลูตงซิงกลับไม่ได้สนใจ แต่จ้องมองไปด้านหน้า ราคานี้แพงมาก แต่คำนึงถึงกำไรที่จะได้หลังจากนี้แล้วก็นับว่าธรรมดา ที่สำคัญที่สุดก็คือก่อนหน้าที่จะจ่ายเงินก็ยังสามารถตรวจสินค้าก่อนได้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม