พันธกานต์ปราณอัคคี 251-257

ตอนที่ 251 เจอผู้บำเพ็ญเพียรมารระหว่า...

 

นั่งเรือเดินทาง ปล่อยให้เส้นผมถูกลมพัดปัดมาบนหน้า มั่วชิงเฉินยืนอยู่บนเรือเล็กไม่ขยับเขยื้อน กึ่งหรี่ตาทั้งสองข้างรับรู้ถึงพลังที่เต็มเปี่ยมภายในกาย


 


 


ว่ากันตามปกติแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายสามารถรับมือผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางสามคน การเลื่อนขั้นครั้งนี้ทำให้พลังความสามารถของมั่วชิงเฉินมีการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน


 


 


เดิมทีเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาแล้วนางก็มีฝีมือในการจู่โจมและอาวุธเวทมากมายอยู่แล้ว บวกกับเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาที่นับได้ว่าเป็นท่าไม้ตายและไหมเกล็ดน้ำแข็งที่ใช้ในการรักษาชีวิต ไม่ต้องพูดถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะต้น ต่อให้ฝืนสู้ไม่ได้ก็มีความสามารถในการป้องกันตนเองระดับหนึ่งแล้ว


 


 


“แว้ดๆ ไยที่นี่ถึงมีแต่ภูเขาล่ะ พวกเราคงไม่ใช่บินออกไปไม่ได้หรอกนะ?” บินติดต่อกันสิบกว่าวัน อีกาไฟพูดขึ้นเพราะเบื่อหน่ายอย่างมาก


 


 


“หุบปาก!” มั่วชิงเฉินถลึงตาใส่มันปราดหนึ่ง ไม่ใช่นางทรมานอสูรวิญญาณ ที่สำคัญคือปากอีกาตัวนี้เรื่องดีไม่เฮี้ยนเรื่องร้ายเฮี้ยน พลังการสาปแช่งของมันหากเกิดบ้าเฮี้ยนขึ้นมา เช่นนั้นก็ต้องลำบากกันแล้ว


 


 


หนึ่งเดือนให้หลัง มั่วชิงเฉินหยุดเรือเมฆาไว้กลางหาว


 


 


“เป็นอันใดหรือ?” อีกาไฟโวยวายว่า


 


 


มั่วชิงเฉินพิจารณารอบๆ แล้วแอบขมวดคิ้ว พึมพำว่า “อู๋เย่ว์ เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าที่นี่ผิดปกติ?”


 


 


“ผิดปกติ?” อีกาไฟกลอกตาไปทั่ว


 


 


“ใช่น่ะสิ พวกเราบินติดต่อกันมาเดือนกว่า ไม่มีเหตุผลที่ยังบินไม่พ้นขอบเขตของเขาอู๋ฉยงนี่นา” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างสงสัย


 


 


อีกาไฟกะพริบตา แล้วถลาเข้ามาโดยพลันใช้ปีกกอดขาของมั่วชิงเฉินไว้ ร้องไห้จะเป็นจะตายว่า “เจ้านาย เรื่องนี้ข้าไม่ได้พูดจริงๆ นะ เจ้านาย เจ้าต้องเชื่อข้านะ…”


 


 


มั่วชิงเฉินก้มหน้ามองดูอีกาไฟที่กอดขาตนไว้แน่น เช็ดน้ำมูกน้ำตาไว้บนกระโปรงนาง แล้วมุมปากกระตุก เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “อู๋เย่ว์ เจ้ารีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”


 


 


อีกาไฟคลายปีกออกอย่างคล่องแคล่ว นั่งลงบนเรือเล็กไม่พูดอะไรสักคำ ตาทั้งสองข้างมีตาขาวโผล่มาครึ่งหนึ่ง


 


 


“เขาอู๋ฉยง…” มั่วชิงเฉินบังคับเรือเมฆาไม่ให้เดินหน้าต่อ หากแต่มองไปรอบๆ แล้วพึมพำว่า


 


 


ความคิดหนึ่งแวบขึ้นแล้วหายไปในทันที หรือว่าสาเหตุที่ออกไปไม่พ้น เพราะค่ายกล?


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ มั่วชิงเฉินบังคับเรือเมฆาบินสู่ที่สูง ภูเขาแม่น้ำใต้เท้าค่อยๆ เล็กลง เมื่อยามที่บินไปถึงจุดที่ไม่อาจบินสูงขึ้นได้อีกจริงๆ ถึงมองลงล่างไป


 


 


สำรวจอย่างละเอียดอยู่ครึ่งค่อนวัน มั่วชิงเฉินค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น


 


 


นางไม่นับว่าเชี่ยวชาญค่ายกล กลับสันนิษฐานตามความรู้ด้านค่ายกลที่ตนรู้มาว่าเขาอู๋ฉยงนี้เป็นค่ายกลกักวิญญาณตามธรรมชาติลูกหนึ่ง


 


 


มิน่าตนออกไปไม่ได้เสียที ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง! มั่วชิงเฉินรู้แจ้งขึ้นมาทันที


 


 


ที่นางไม่พบเงื่อนงำในนี้เสียที ก็เพราะนี่คือค่ายกลกักตามธรรมชาติ เกิดจากการสรรค์สร้างของธรรมชาติ จึงไม่มีร่องรอยของการกระทำของมนุษย์และการผกผันของพลังวิญญาณ คิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรมากมายที่ถูกกักอยู่ในเขาอู๋ฉยงก็เป็นเช่นนี้


 


 


เช่นนี่ก็ยุ่งยากแล้วสิ เขาอู๋ฉยงใหญ่ถึงเพียงนี้ อีกทั้งเป็นค่ายกลกักตามธรรมชาติทั้งลูก เพียงตนร่อนเรือเมฆาลงต่ำ ก็จะเข้าสู่กลางค่ายกลกักอีก ยากจะแยกแยะทางออกได้ชัดเจน


 


 


ทว่าเพราะลมแรงบนที่สูง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอยู่ระดับความสูงถึงเพียงนี้อย่าว่าแต่บินเป็นเวลานานเลย บัดนี้นางเพียงแค่หยุดครู่หนึ่งก็ทนไม่ค่อยไหวแล้ว


 


 


ด้วยความจำใจ มั่วชิงเฉินบังคับเรือเมฆาให้ร่อนลงช้าๆ บินเพียงครู่เดียวก็บินสู่ที่สูงอีก ดูว่าเดินผิดทางหรือไม่


 


 


ก็เป็นเช่นนี้ขึ้นๆ ลงๆ อยู่กลางอากาศ อีกทั้งยังต้องต้องระวังความเคลื่อนไหวรอบๆ ความเร็วจึงผ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด


 


 


บินอีกเกือบครึ่งเดือน ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็สามารถมองเห็นขอบเขาอู๋ฉยงจากที่สูงแล้ว สีหน้าอดดีใจไม่ได้ บังคับเรือบินอย่างคล่องแคล่วให้ร่อนลงถึงความสูงที่พอเหมาะแล้วบินไปข้างหน้าต่อ


 


 


มองดูเทือกเขาที่ทอดตัวเรียงรายที่อยู่ที่สุดขอบ มั่วชิงเฉินยิ้มแล้ว อดเพิ่มความเร็วขึ้นไม่ได้ ทว่าในยามที่เกือบถึงทางออกแล้วนี่เองคิ้วก็ขมวดขึ้นแผ่วเบา แล้วกำระเบิดสะท้านฟ้าเม็ดหนึ่งไว้ในมือเงียบๆ


 


 


เป็นไปตามคาด ยามที่นางผ่านทางออกยันต์ระเบิดไฟหลายแผ่นระเบิดออกโดยพลัน ท่ามกลางการระเบิดอย่างรุนแรงผสมปนเปไปด้วยการผกผันของพลังวิญญาณที่ละเอียดยิบ


 


 


มั่วชิงเฉินร่ายเคลื่อนเงาเลือนราง ลอยออกห่างจากที่เดิมอย่างอ่อนช้อย แล้วโยนระเบิดสะท้านฟ้าที่กำแน่นไว้ในมือไปตามทิศทางที่มีการโจมตี


 


 


ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหวหมอกควันคละคลุ้ง มั่วชิงเฉินหยุดยืน ยกมือดูของที่หนีบอยู่ระหว่างนิ้วมือ ไม่คิดเลยว่านั่นคือเข็มเงินเล่มเล็กเล่มหนึ่ง


 


 


“ฮึ!” มั่วชิงเฉินหัวเราะเสียงเย็นเสียงหนึ่ง รอหลังจากหมอกควันกระจายไปหมดสิ้นแล้วมองเงาร่างสองคนที่ปรากฏตัวออกมาอย่างเย็นชา


 


 


ก่อนอื่นใช้ยันต์ระเบิดไฟรบกวนทัศนวิสัยของคนที่มา แล้วฉวยโอกาสซัดอาวุธเวทเข็มออกมาอีก ฝีมือถือว่าอำมหิต เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่คงต้องเสียท่า หากไม่เพราะเดิมทีนางก็ใช้เข็มสีเขียวที่เกิดจากเถาวัลย์สีเขียวเข้มเป็นวิธีจู่โจมบ่อยๆ อยู่แล้ว เข้าใจดีมากว่าความผกผันอันละเอียดยิบของพลังวิญญาณเช่นนี้หมายถึงอะไร วันนี้ต้องเสียท่าอีกฝ่ายจริงๆ!


 


 


สองคนนั้นคนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ย มีตบะระดับสร้างรากฐานระยะกลางทั้งคู่ ยามนี้กำลังมองมั่วชิงเฉินด้วยความสะพรึงกลัว


 


 


คาดว่าพวกเขาคงปล้นจนชินแล้ว เพิ่งเห็นท่าทางของมั่วชิงเฉินได้ชัด ทั้งสองคนสบตากันปราดหนึ่งแล้วก็หันหลังวิ่งหนี วาดลำแสงสีดำสายหนึ่งขึ้นกลางอากาศ


 


 


“ผู้บำเพ็ญเพียรมาร!” มั่วชิงเฉินตะโกนเสียงหลง แล้วรีบตามไปทันที


 


 


“หยุดนะ!” มั่วชิงเฉินกระโดดลอยไปหน้าทั้งสองคน ร่างกายลอยอยู่กลางอากาศตะโกน


 


 


ยืนกลางอากาศ!


 


 


ปรากฏการณ์ประหลาดนี้ตรึงทั้งสองคนไว้ทันที พวกเขาหยุดโดยพลัน ยืนอยู่บนอาวุธเวทเหินหาวมองมั่วชิงเฉินด้วยความหวาดกลัว


 


 


“พวกเจ้ากะจะฆ่าคนชิงสมบัติ?” มั่วชิงเฉินถามอย่างเย็นชา


 


 


ทั้งสองคนสบตากันปราดหนึ่ง หัวส่ายจนเหมือนกลองป๋องแป๋งว่า “ไม่ใช่ ไม่ใช่เด็ดขาด!”


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะเย็นชาว่า “ไม่ใช่? เกรงว่าเรื่องประเภทนี้พวกเจ้าทำมาไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้วกระมัง?”


 


 


เห็นทั้งสองคนยังคิดจะแก้ตัว มั่วชิงเฉินโบกมืออย่างหมดความอดทนว่า “พอแล้ว ข้ามีเรื่องจะถามพวกเจ้า หากคำตอบของพวกเจ้าทำให้ข้าพอใจ เช่นนั้นข้าก็จะไม่เอาความเรื่องที่ผ่านมา มิเช่นนั้น…”


 


 


“ท่านเซียนเชิญพูด ท่านเซียนเชิญพูด” ทั้งสองคนพยักหน้าโดยพลัน


 


 


“พวกเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมาร?” มั่วชิงเฉินถาม


 


 


ทั้งสองคนตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ขอรับ”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรมารต่างจากผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า ปกติแม้แยกแยะไม่ออก ทว่าขอเพียงร่ายคาถาหรือใช้อาวุธเวท แสงวิญญาณที่เปล่งออกจะไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าตามธาตุทั้งห้ามี เขียว แดง ทอง ฟ้า เหลืองห้าสี หากแต่เป็นสีดำ ดังนั้นพวกเขาคิดจะปิดบังก็ปิดไม่มิด


 


 


“ไยพวกเจ้าถึงเฝ้าอยู่ที่ทางออกของเขาอู๋ฉยงนี่ได้? หากข้าจำไม่ผิด ทางออกนี้อยู่ติดดินแดนเทียนหยวนมิใช่แดนไท่เป๋ากระมัง? หรือว่าพวกเจ้าอยู่นี่ เพื่อปล้นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าโดยเฉพาะ” ถามถึงตรงนี้สีหน้าน้ำเสียงมั่วชิงเฉินเด็ดขาดขึ้นมา


 


 


ทั้งสองคนนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวสูงก้าวขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าวว่า “ท่านเซียน เป็นเช่นนี้ขอรับ…” ระหว่างที่พูดก็ยกมือขึ้นสาดของเหลวดำเหมือนหมึกสายหนึ่งมาที่มั่วชิงเฉิน


 


 


เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรมารที่วิธีการประหลาด มั่วชิงเฉินไม่ประมาทเลยแม้ชั่วขณะ ยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวสูงพูดอยู่เห็นแววตาเขาเปลี่ยนปุ๊บก็เกิดระแวงขึ้นแล้ว เมื่อเห็นของเหลวสีดำสาดมา จึงอัญเชิญชามใหญ่ออกโดยไม่ลังเล ปากชามหันออกนอกรับของเหลวสีดำไว้จนหมด จากนั้นก็ได้ยินเสียงชวี่หลายเสียง ไม่คิดว่าชามใหญ่สีเขียวจะถูกน้ำดำกัดกร่อนจนหลุดออกชั้นหนึ่ง


 


 


ดังขึ้น มั่วชิงเฉินดึงกระบี่ชิงมู่กลับมา ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวสูงที่ถูกแทงทะลุหัวใจก็หงายหลังล้มลง


 


 


มั่วชิงเฉินแอบว่าที่แท้สภาพร่างกายของผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ขั้นสุดยอดระดับสร้างรากฐานระยะปลายเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับกลาง จะง่ายดายเพียงนี้ คิดเช่นนี้พลางสายตาเย็นดุจหิมะก็กวาดมาที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ย


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยคุกเข่าลงดังตุ๊บ โขกศีรษะเหมือนสับกระเทียมอ้อนวอนว่า “ท่านเซียนไว้ชีวิตด้วย ท่านเซียนไว้ชีวิตด้วย…”


 


 


“ตอบคำถามข้า!” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วว่า


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยกัดฟันแล้วว่า “หรือว่าท่านเซียนจะไม่รู้ ที่แห่งนี้เกิดศึกเต๋ามารขึ้นแล้ว?”


 

 

 


ตอนที่ 252 หลอมโอสถอายุวัฒนะ

 

 


 


“ศึกเต๋ามาร?” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยรีบพยักหน้าว่า “ใช่ ตั้งแต่สามปีก่อนก็เริ่มแล้ว”


 


 


“มันเรื่องอะไรกันแน่ อย่าอิดออด” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างหมดความอดทน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยเหลือบเห็นแววอำมหิตที่วาบผ่านตามั่วชิงเฉิน แล้วหน้าซีดทันที รีบเอ่ยว่า “สามปีก่อนแดนสวรรค์มี่หลัวตูปรากฏต่อโลก เพื่อแย่งชิงกุญแจลับที่เปิดแดนสวรรค์มี่หลัวตู สำนักลั่วสยาและสำนักมมารฟ้าเข้าห้ำหั่นกัน ต่อมานิกายชื่อหมัว นิกายเลี่ยนเป่าเข้าร่วมศึกตามๆ กัน เต๋ามารสองฝ่ายยิ่งสู้ยิ่งดุเดือด ระเบิดศึกอันอลหม่านจวบจนบัดนี้”


 


 


‘กุญแจลับ’ สองคำทำให้มั่วชิงเฉินใจเต้นตึกตัก คำพูดที่ได้ยินที่สวนดอกไม้จวนมั่วเมื่อสี่ปีก่อนดังขึ้นในสมอง


 


 


หรือว่าวันนั้นการสนทนาของผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณผู้นั้นและหลัวอวี้เฉิง ก็คือเรื่องนี้?


 


 


“เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ฉวยโอกาสที่กำลังโกลาหลปล้นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าอยู่นี่แล้วสิ?” มั่วชิงเฉินถามเสียงเย็น


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยเข่าอ่อน คุกเข่าตุ๊บลงไปว่า “ท่านเซียนไว้ชีวิตด้วย ท่านเซียนไว้ชีวิตด้วย ข้าไม่กล้าอีกแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินเหลือบมองผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยปราดหนึ่งว่า “ข้าไม่ฆ่าเจ้าก็ได้ ทว่าเจ้าจำเป็นต้องเล่าเรื่องนี้มาให้ชัดเจน อืม หากข้ามีอะไรที่ไม่เข้าใจละก็ ไม่แน่ก็ต้องไปหาคนอื่นถามแล้ว”


 


 


ความเย็นชาในคำพูดของมั่วชิงเฉินทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยตัวสั่นเทิ้ม รีบเอ่ยว่า “ท่านเซียนเชิญพูด หากเป็นสิ่งที่ข้ารู้ต้องพูดออกมาอย่างไม่ปิดบังแน่นอน”


 


 


“แดนสวรรค์มี่หลัวตูมันเรื่องอะไรกัน? เหตุใดสำนักลั่วสยาและสำนักมารฟ้าถึงสู้กันอีก?” มั่วชิงเฉินถาม


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยแอบแปลกใจ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นี้ช่างแปลกนัก ปรากฏตัวขึ้นที่เขาอู๋ฉยงชัดๆ ไม่คิดว่าจะไม่รู้เรื่องแดนสวรรค์มี่หลัวตูแม้แต่น้อย ปากก็ว่า “เรียนท่านเซียน ข้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักธรรมดาคนหนึ่ง ความจริงเป็นเช่นไรไม่กล้าตัดสิน ก็ได้แต่เล่าเหตุการณ์ที่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปให้ท่านฟัง”


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินพยักหน้า จึงเอ่ยต่อว่า “ได้ยินมาว่า ตั้งแต่สามสิบปีก่อน สำนักลั่วสยาและระดับสูงของสำนักมารฟ้าไม่รู้ได้ข่าวมาจากไหนว่าแดนสวรรค์มี่หลัวตูจะปรากฏขึ้นในโลกมนุษย์ ยิ่งกว่านั้นตำแหน่งโดยประมาณที่แดนสวรรค์มี่หลัวตูจะปรากฏขึ้นก็อยู่ใกล้ๆ แนวเขตแดนของแดนไท่เป๋าและดินแดนเทียนหยวน ด้วยเหตุนี้ สำนักลั่วสยาและสำนักมารฟ้าต่างส่งสายลับไปตั้งรกรากที่อานาเขตของอีกฝ่าย สืบข่าวคราวของแดนสวรรค์มี่หลัวตูอย่างลับๆ จนกระทั่งสามปีก่อน กุญแจลับที่สามารถเปิดแดนสวรรค์มี่หลัวตูออกได้ปรากฏต่อโลกในเมืองเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาเมืองหนึ่ง กำลังที่แฝงกายที่นี่ของสำนักมารฟ้าตั้งใจจะเอากุญแจลับไป คาดไม่ถึงว่าจะดึงนิกายชื่อหมัว มาแย่งชิง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงลากเวลาในการได้กุญแจลับให้ยืดเยื้อออกไป สำนักลั่วสยารุดมาเผชิญหน้ากับสำนักมารฟ้า ต่อมานิกายชื่อหมัวเริ่มร่วมมือกับสำนักมารฟ้าอีก สำนักลั่วสยาหัวเดียวกระเทียมลีบจึงส่งข่าวให้นิกายเลี่ยนเป่าที่อยู่ติดกัน ตามจำนวนคนที่เข้าร่วมศึกมากขึ้นเรื่อยๆ ทางด้านผู้บำเพ็ญเพียรมารสำนักเม่ยหมัวก็เข้าร่วมแล้ว ส่วนทางด้านผู้บำเพ็ญเพียรเต๋านั่นสำนักที่เข้าร่วมก็ยิ่งมากแล้ว”


 


 


ฟังที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยเล่าแล้วใจมั่วชิงเฉินเต้นเร็วขึ้นมา รีบถามว่า “เมืองเล็กที่ไม่สะดุดตานั่นชื่ออะไร?”


 


 


“เมืองลั่วหยาง” ผู้บำเพ็ญเพียรมารตอบอย่างไม่ลังเล


 


 


มั่วชิงเฉินชะงักงัน ชั่วขณะหนึ่งอธิบายความรู้สึกในใจไม่ถูก ถามอีกว่า “เช่นนั้นบัดนี้กุญแจลับตกไปอยู่กับฝ่ายใดแล้ว?”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยสีหน้าประหลาดว่า “ไม่มีฝ่ายใดได้ไป กุญแจลับหายเข้าไปในก้นแม่น้ำอิ้งสยาแล้ว ไม่ว่าฝ่ายใดคิดจะเข้าใกล้แม่น้ำอิ้งสยาก็จะถูกอีกฝ่ายบีบถอยออกมา บัดนี้ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนต่างก็รู้กัน ใครชนะถึงจะมีโอกาสได้กุญแจลับไป”


 


 


แม่น้ำอิ้งสยา…มั่วชิงเฉินนึกถึงเหตุการณ์สมัยเด็กที่ไปโยนตะกร้าไม้ไผ่ ล่องเรือที่ริมฝั่งแม่น้ำอิ้งสยากับพี่ๆ น้องๆ ด้วยกันแล้วในใจเกิดขมขื่นขึ้นมา ใครจะนึกถึงว่าสามสิบปีให้หลังแม่น้ำอิ้งสยาที่แบบรับความในใจของหญิงสาวนับร้อยนับพันแห่งเมืองลั่วหยางได้กลายเป็นสนามรบของการแก่งแย่งของเต๋ามารแล้วล่ะ


 


 


มั่วชิงเฉินโบกมืออย่างไม่สนใจแล้วว่า “พอแล้ว เจ้าไปเถอะ”


 


 


“หา?” ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยยื่นเซ่อ ชั่วขณะหนึ่งยังไม่รู้สึกตัวว่ามั่วชิงเฉินปล่อยเขาไปอย่างง่ายดายเช่นนี้แล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินกวาดสายตาไป “เป็นอันใด ยังคิดจะคุยต่ออีก?”


 


 


“ไม่คุยแล้ว ไม่คุยแล้ว” ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยถอยหลังไป หลังจากถอยออกไปหลายจั้งหันหลังกระโดดขึ้นอาวุธเวทเหินหาวบินหนีไปไกลอย่างรวดเร็ว


 


 


มั่วชิงเฉินบังคับเรือเล็กบินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ต่อ ในใจกลับแอบครุ่นคิดขึ้นมา


 


 


สำนักลั่วสยา สำนักมารฟ้า นิกายชื่อหมัว เมืองลั่วหยาง แม่น้ำอิ้งสยา ในนี้ก็เหมือนมีด้ายที่มองไม่เห็นเส้นหนึ่งเชื่อมพวกมันเข้าด้วยกัน ด้ายเส้นนี้หรือว่าก็คือกุญแจลับที่ใช้เปิดแดนสวรรค์มี่หลัวตู?


 


 


หากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นตระกูลมั่วล่ะ เคราะห์ล้างตระกูลของตระกูลมั่วตกลงเกิดจากคัมภีร์โอสถนพเก้าหรือว่ามีสาเหตุอื่นกันแน่?


 


 


ฮวาเชียนซู่เดิมเป็นศิษย์ผู้บำเพ็ญเพียรมาร แสร้งสู่ขอท่านอาสิบสามเพียงเพราะคัมภีร์โอสถนพเก้าเช่นนี้หรือ หรือว่าที่เขากลับไปตระกูลฮวา สาเหตุที่สำคัญกว่านั้นคือเพื่อกุญแจลับที่ใช้เปิดแดนสวรรค์มี่หลัวตู?


 


 


เช่นนั้นสำนักมารที่ล้างตระกูลมั่วตกลงคือสำนักมารฟ้าหรือว่านิกายชื่อหมัวล่ะ?


 


 


ความสงสัยพวกนี้วาบผ่านในใจ มั่วชิงเฉินเกิดคิดอะไรขึ้นได้ จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องเก่าก่อนขึ้นมาเรื่องหนึ่ง


 


 


วันที่ห้าเดือนห้าเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนคนของตระกูลมั่วล่องเรือบนแม่น้ำอิ้งสยา ได้พบกับเซียนเฮ่าเย่ว์สู้อย่างดุเดือดกับใครอยู่ นี่ถึงทำให้เกิดวาสนาศิษย์อาจารย์ของเซียนเฮ่าเย่ว์และพี่เก้ามั่วเฟยเยียน จำได้ว่าตอนนั้นเซียนเฮ่าเย่ว์บอกว่านางสู้อย่างดุเดือดกับคนชั่วอยู่ใต้แม่น้ำ ตั้งแต่เวลานั้น พวกเขาก็พบความลับของแดนสวรรค์มี่หลัวตูแล้วใช่หรือไม่?


 


 


ยังมีพี่สิบสี่ นางบอกว่าตอนนั้นถูกบิดามารดากันไว้ใต้ร่าง ยามที่คนชุดแดงนั่นกำลังเตรียมใช้จิตตระหนักค้นหาผู้รอดชีวิต กลับไม่รู้เพราะเหตุใดจึงรีบพาคนจากไปอย่างรีบร้อน หากสันนิษฐานตามหลักทั่วไป ยามนั้นจะต้องเพราะมีผู้บำเพ็ญเพียรอย่างน้อยระดับเดียวกับคนชุดแดงรุดมาหรือไม่ก็คนชุดแดงได้ข่าวบางอย่างที่เร่งด่วนมากกะทันหัน ถึงไม่ทันแม้แต่จะใช้จิตตระหนักค้นหาก็รีบจากไปแล้ว


 


 


ทั้งหมดนี้ ล้วนเกี่ยวกับแดนสวรรค์มี่หลัวตูใช่หรือไม่นะ หรือว่าโศกนาฏกรรมของตระกูลมั่วเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ?


 


 


มั่วชิงเฉินนวดขมับ อดเร่งความเร็วขึ้นไม่ได้


 


 


เรื่องที่เกี่ยวกับแดนสวรรค์มี่หลัวตูซับซ้อนเกินไป ศึกใหญ่เช่นนี้เกรงว่าต้องมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณไม่น้อยเข้าร่วม ต่อให้นางอยากได้ความจริงยามนี้ก็ไม่ใช่เวลา เรื่องที่นางต้องทำด่วนในยามนี้ก็คือรุดไปเขาหลิวหั่วหลอมโอสถอายุวัฒนะออกมา จะได้จบเรื่องกับหัวหน้าตระกูลหวัง


 


 


เมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้ว มั่วชิงเฉินก็บินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้โดยไม่หยุด ระหว่างทางพบการสู้กันหลายครั้งก็หลบออกไปไกลๆ จนหมด เช่นนี้บินอยู่สิบกว่าวันในที่สุดก็ออกห่างจากสถานที่ไฟรบขยายไปถึง


 


 


ระหว่างทางผ่านเมืองอวี้ มั่วชิงเฉินยังคงทนไม่ไหวต้องหยุดลงมาเข้าเมือง สืบข่าวไม้สะกดวิญญาณ น่าเสียดายที่ยังคงไม่ได้อะไรดังเดิม ทว่าของสิ่งหนึ่งที่ซื้อได้จากร้านค้าเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาร้านหนึ่งที่เดินผ่านยามที่จะจากไปกลับสร้างความประหลาดใจให้นางอย่างไม่คาดคิด


 


 


มองดูของที่จับเล่นในมือ มั่วชิงเฉินยิ้มแล้วยิ้มอีก


 


 


นี่คือกระถางต้นไม้สีน้ำตาลขนาดเท่าฝ่ามือใบหนึ่ง ใต้กระถางแกะสลักยันต์สีเข้มประหลาดไว้ ขับให้กระถางต้นไม้ยิ่งดูโบราณประณีต


 


 


มั่วชิงเฉินโยนกระถางต้นไม้ลงไป ก็เห็นกระถางต้นไม้ใหญ่ขึ้นโดยพลัน ยึดพื้นที่ท้ายเรือจนเต็ม เรือเล็กทั้งลำโคลงเคลงไปมา นางรีบถ่ายพลังวิญญาณสายหนึ่งทำให้เรือเล็กนิ่งลงมา


 


 


“เจ้านาย เจ้าซื้อของนี่มาทำอะไร กินก็ไม่ได้ดื่มก็ไม่ได้?” อีกาไฟบินวนรอบกระถางต้นไม้ไปมา แล้วโวยวายว่า


 


 


“ไยถึงกินก็ไม่ได้ดื่มก็ไม่ได้?” มั่วชิงเฉินยิ้มระรื่นว่า


 


 


เห็นท่าทางจริงจังของมั่วชิงเฉิน อีกาไฟเข้าใกล้กระถางต้นไม้แล้วดมอย่างสงสัย จากนั้นอ้าปากกัดลงคำหนึ่ง


 


 


“ไอยา!” อีกาไฟกรีดร้องแว้ด เอาปีกบังปากไว้แล้วหมุนอยู่กลางอากาศ


 


 


“หึๆๆ” มั่วชิงเฉินอดหัวเราะตัวงอไม่ได้


 


 


อีกาไฟเห็นดังนั้นนั่งลงที่หัวเรืออย่างโมโห ตาที่ตาขาวยึดพื้นที่ไปกว่าครึ่งมองลงล่างตรงๆ ไม่มองมั่วชิงเฉินอีกแม้แต่ปราดเดียว


 


 


มั่วชิงเฉินอมยิ้มเดินไปถึงข้างกระถางต้นไม้ จู่ๆ ในมือก็มีต้นท้อโผล่มาต้นหนึ่ง แล้วปลูกต้นท้อลงในกระถางต้นไม้ท่ามกลางแววตาตะลึงงันของอีกาไฟ


 


 


จัดการเสร็จสับ มั่วชิงเฉินถอยหลังก้าวหนึ่งมองดูต้นท้อที่ต้องลมสั่นไหวแผ่วเบาแล้วแย้มออกมาหนึ่งยิ้ม


 


 


ตั้งแต่ที่ได้ต้นท้อกลายพันธุ์จากตระกูลหวังทะเลขนาบใจก็ถูกนางปลูกไว้ในสวนสมุนไพรพกพา บัดนี้ในสวนสมุนไพรมีต้นท้อนับร้อยต้นแล้ว อายุปีต่างกันไป


 


 


สวนสมุนไพรพกพาแม้สะดวก ทว่ายามที่นางออกไปท่องเที่ยวฝึกตนผึ้งวิญญาณเลือดมรกตกลับไม่อาจเข้าไปเก็บน้ำผึ้งได้ มีกระถางต้นไม้ที่หดขยายได้ใบนี้แล้ว ปัญหานี้ก็แก้ได้แล้ว


 


 


ปกติยามนางบินอยู่บนฟ้า ก็สามารถเอากระถางต้นไม้วางไว้บนเรือ ให้ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตได้เก็บน้ำผึ้ง หากตนต้องการเก็บอาวุธเวทเหินหาวขึ้น เช่นนั้นก็หดกระถางให้เล็กลงพกติดตัว ไม่กระทบกระเทือนการทำงานเลยสักนิด


 


 


คิดเช่นนี้ไปพลางมั่วชิงเฉินก็เรียกผึ้งวิญญาณเลือดมรกตออกมา


 


 


ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตที่ออกมาครั้งนี้มีหลายสิบตัว ในนั้นมีตัวใหญ่หลายตัว ที่เหลือเป็นตัวเล็กน่ารัก เห็นชัดว่าเป็นผึ้งเด็ก


 


 


ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตเห็นต้นท้อกลายพันธุ์แล้วดีใจมาก ล้อมต้นท้อไว้หึ่งๆ อยู่ครึ่งค่อนวัน แล้วเริ่มสร้างรังผึ้งขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด


 


 


ไม่เกินหนึ่งวัน รังผึ้งที่สวยงามอันหนึ่งก็สร้างเสร็จแล้ว ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตตัวใหญ่หลายตัวพาผึ้งเด็กฝูงหนึ่งเข้าไปอยู่


 


 


นับจากวันนี้ มั่วชิงเฉินมีน้ำผึ้งดอกท้อกินอีกแล้ว รอถึงยามที่นางบินถึงปราณภูเขาไฟไหล ก็รวบรวมน้ำผึ้งวิญญาณได้ไม่น้อยแล้ว


 


 


หญ้าดอกเหลืองเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่ใช้หลอมโอสถอายุวัฒนะ แม้ไม่นับว่าล้ำค่าหายาก กลับมีจุดเด่นที่ทำให้คนปวดศีรษะ ไม่ว่าจะเก็บรักษาเช่นไรหากเกินเจ็ดวันฤทธิ์ยาก็จะหายเกลี้ยง


 


 


มั่วชิงเฉินเดินเรื่อยเปื่อยไปตามปราณภูเขาไฟไหลก็เด็ดหญ้าดอกเหลืองได้ไม่น้อย จากนั้นบินลึกเข้าไปในปราณภูเขาไฟไหล


 


 


การหลอมโอสถอายุวัฒนะเป็นเรื่องใหญ่ นางจึงไม่ยอมใช้ห้องหลอมโอสถที่สร้างโดยนิกายอิ่นตัน สถานที่ที่นางจะไป คือถ้ำที่พบโดยผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่ลักพาตัวนางไปปีนั้น ตามที่นักบำเพ็ญระดับสร้างรากฐานบอกไว้ ที่นั่นมีไฟปราณปฐพีชั้นดี


 


 


มั่วชิงเฉินมีเพลิงแก้วใจกระจ่าง ย่อมไม่ต้องใช้ไฟปราณปฐพีมาหลอมโอสถ ทว่าที่นางให้ความสำคัญกลับเป็นความเร้นลับของที่นั่น มีไฟปราณปฐพีอยู่ทำให้อุณหภูมิเหมาะสม เป็นสถานที่ดีในการหลอมโอสถ


 


 


อาศัยความทรงจำที่ฝังลึก มั่วชิงเฉินหาปราณภูเขาสีแดงเพลิงแห่งนั้นจนพบ วนไปเวียนมาอยู่ครึ่งค่อนวันแล้วหยุดลงหน้าปากถ้ำแห่งหนึ่ง


 


 


ปล่อยจิตตระหนักเข้าไปสำรวจถ้ำ อสูรเพลิงไม่กี่ตัวลากหางขนปุยวิ่งออกมาอย่างลนลาน


 


 


มั่วชิงเฉินโล่งอก ยังดีที่ข้างในไม่ได้ซ่อนอสูรปีศาจขั้นห้าไว้ตัวหนึ่งเหมือนปีนั้น มิเช่นนั้นต้องสู้กันอย่างดุเดือดอีก


 


 


เข้าถ้ำเดินลึกเข้าไป ข้างในยิ่งลึกยิ่งร้อน เดินถึงสุดทางถ้ำมีขนาดเท่าโถงศิลาทั่วไป พื้นผิวด้านในราบเรียบ สี่มุมมีรูเล็กๆ พ่นเปลวไฟสีแดงออกมา


 


 


มั่วชิงเฉินตั้งค่ายกลป้องกันเสร็จ นั่งลงข้างในแล้วหยิบเทียบโอสถของการหลอมโอสถอายุวัฒนะออกมา


 


 


เทียบโอสถนี้ปีนั้นถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนนั้นบังคับให้ดู กระทั่งเคล็ดวิชานิ้วแต่ละแบบและการหลอมวัตถุดิบบางอย่างนางก็เคยฝึกฝนมาก่อน พูดได้ว่าการหลอมโอสถอายุวัฒนะ นางขาดก็แต่ทำความคุ้นเคยกับความพิเศษของผลอายุเท่านั้น ทว่าผลอายุกลับไม่อาจสิ้นเปลืองได้แม้แต่น้อย


 


 


มั่วชิงเฉินอ่านเทียบโอสถอย่างละเอียดอีกครั้ง อีกทั้งหลอมวัตถุดิบบางอย่างทีละอย่างเพื่อให้ชินมือ สุดท้ายเริ่มฝึกเคล็ดวิชานิ้ว


 


 


หลังจากรอทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็หยิบผลอายุที่เก็บไว้ในกำไลเก็บวัตถุมาหลายปีออกมา เริ่มหลอมโอสถอายุวัฒนะ


 

 

 


ตอนที่ 253 อาจารย์ส่งมาถึงหน้าประตู

 

ไม่ว่าหลอมโอสถประเภทไหน สิ่งที่ต้องทำเป็นสิ่งแรกก็คือผสมสมุนไพร


 


 


ตั้งแต่เริ่มลองหลอมโอสถเมื่ออายุสิบกว่าปีถึงบัดนี้ก็ใกล้สามสิบปีแล้ว ในด้านผสมสมุนไพรมั่วชิงเฉินทำได้อย่างง่ายดายตั้งนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักเพียงแต่จับติดมือขึ้นมา ก็ผสมวัตถุดิบแต่ละชนิดเสร็จแล้ว


 


 


จากนั้นนางปล่อยเปลวไฟสีฟ้าออกกระจุกหนึ่ง ดีดนิ้วเบาๆ ไฟแก้วใจกระจ่างกระจุกนั้นบินไปใต้เตาโอสถแล้วกระจายออกในพริบตา


 


 


มองดูเตาโอสถที่เป็นสีฟ้ารางๆ ภายใต้การขับของไฟแก้วใจกระจ่าง มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างไร้เสียง ปล่อยจิตตระหนักออก รับรู้อุณหภูมิของเตาโอสถอย่างตั้งใจ


 


 


โยนวัตถุดิบลงในเตาในอุณหภูมิที่เหมาะสม เป็นก้าวสำคัญมากในการหลอมโอสถ ควบคุมอุณหภูมิได้ดี ขั้นตอนการละลายสมุนไพรก็ราบรื่นหน่อย กลับกัน ขั้นตอนการละลายสมุนไพรนี้ก็จะเกิดอุปสรรคไม่น้อย


 


 


โอสถมีเป็นร้อยเป็นพันชนิด โอสถแต่ละชนิดล้วนเหมาะกับอุณหภูมิไม่เหมือนกัน ส่วนในเทียบโอสถเพียงแต่บันทึกคร่าวๆ ถึงส่วนผสมโดยประมาณของการหลอมโอสถ ขั้นตอนและเคล็ดวิชานิ้ว รายละเอียดเช่นอุณหภูมิในการโยนสมุนไพรเช่นนี้ไม่ได้พูดถึงเลย และเป็นไปไม่ได้ที่นักหลอมโอสถคนหนึ่งจะเคยหลอมโอสถทุกอย่าง เมื่อเขาหลอมโอสถชนิดใหม่ตกลงต้องโยนสมุนไพรยามใด ก็ต้องดูการรับรู้ของนักหลอมโอสถแล้ว


 


 


พูดได้ว่าการควบคุมอุณหภูมิในการโยนสมุนไพร เหมือนเวลาที่เปิดเตา ล้วนอาศัยการรับรู้อย่างมหัศจรรย์ของนักหลอมโอสถ หรือก็คือพรสวรรค์


 


 


เมื่อเตาโอสถร้อนขึ้นเรื่อยๆ สูงถึงอุณหภูมิระดับหนึ่ง มั่วชิงเฉินเปิดฝาเตาออกทันที มือหนึ่งโยนวัตถุดิบที่เตรียมไว้แล้วลงไปทีละอย่าง อีกมือหนึ่งตีเคล็ดวิชานิ้วไม่หยุด หลังจากเปลวไฟที่พุ่งออกสี่ทิศใต้เตาโอสถอ่อนโยนลงภายใต้การข่มของตราวิญญาณ นางรีบปิดฝาเตาทันที แล้วถอนใจแผ่วเบาด้วยความโล่งอก แต่กลับจ้องเตาโอสถไว้ไม่กล้าชะล่าใจแม้แต่น้อย


 


 


การหลอมโอสถอายุวัฒนะซับซ้อนมาก จำเป็นต้องตีเคล็ดวิชานิ้วตั้งแต่เริ่มโยนสมุนไพร ส่วนเคล็ดวิชานิ้วที่ต้องการระหว่างการละลายสมุนไพรยิ่งมากมายนัก นับอย่างละเอียดเกรงว่าต้องมีร้อยพันท่า


 


 


พักผ่อนชั่วครู่ มั่วชิงเฉินเร่งไฟจริงให้แรงขึ้น ด้านหนึ่งตีเคล็ดวิชานิ้วตราวิญญาณไม่หยุด ด้านหนึ่งคอยสังเกตสถานการณ์การผสานกันของวัตถุดิบ


 


 


ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไร วัตถุดิบที่โยนลงเตาโอสถละลายช้าๆ กลายเป็นของเหลวข้น นางรีบเปิดฝาเตาออกแล้วโยนผลอายุผลหนึ่งเข้าไปอย่างระมัดระวัง จากนั้นเริ่มตีเคล็ดวิชานิ้วที่ซับซ้อนมาก แล้วเร่งไฟจริงไม่หยุด


 


 


ขั้นตอนนี้ดำเนินต่อไปอย่างยาวนานมาก ระหว่างนั้นมั่วชิงเฉินเติมพลังวิญญาณครั้งแล้วครั้งเล่า เริ่มค่อยๆ รู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว ในที่สุดก็รอถึงเวลาที่ผลอายุค่อยๆ ละลาย


 


 


มั่วชิงเฉินตั้งสมาธิกลั้นหายใจ สังเกตเหตุการณ์ในเตาโดยไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย หลังจากรอผลอายุและของเหลวก่อนหน้านี้ผสานเข้าด้วยกันจนหมดแล้วรีบเปิดฝาเตาโยนหญ้าดอกเหลืองลงไป จากนั้นปิดฝาเตารอคอยต่อ


 


 


ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น มั่วชิงเฉินโล่งอก หญ้าดอกเหลือเป็นวัตถุดิบชนิดสุดท้ายแล้ว รอวัตถุดิบทั้งหมดผสานเข้าด้วยกันจนหมด ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนสำเร็จเป็นโอสถแล้ว


 


 


ละลายสมุนไพรว่าไปแล้วง่ายดาย ที่จริงขั้นตอนนี้ยาวนานที่สุดในขั้นตอนการหลอมทั้งหมด ระหว่างนี้หากไฟจริงไม่เสถียรเพียงเล็กน้อยหรือพลังวิญญาณไม่พอ น้ำสมุนไพรก็ไม่อาจผสานกันได้อย่างสม่ำเสมอ ยามที่สำเร็จเป็นโอสถเพราะของเหลวไม่สม่ำเสมอในชั่วพริบตาที่ควบแน่นเป็นโอสถก็จะแตกเป็นผุยผงทุกอย่างที่ทำมาเสียเปล่า ดังนั้นขั้นตอนนี้จึงสำคัญมาก


 


 


ดีที่มั่วชิงเฉินหลอมโอสถไม่ต่ำกว่าร้อยพันครั้ง ประสบการณ์นับวันยิ่งล้นหลาม อีกทั้งขั้นตอนนี้ก็ใจเย็นเป็นพิเศษ น้อยมากที่จะผิดพลาดในขั้นตอนละลายสมุนไพร


 


 


เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ น้ำสมุนไพรในเตาในที่สุดก็ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงอีก แต่ค่อยๆ สงบลง สีหน้ามั่วชิงเฉินเครียดขึ้น เวลาที่จะสำเร็จเป็นโอสถจะถึงแล้ว


 


 


ตราวิญญาณเป็นสายๆ ดุจผีเสื้อร่ายรำ เข้าสู่เตาโอสถไม่หยุด มั่วชิงเฉินใช้จิตตระหนักปิดเตาโอสถไว้แน่น สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าน้ำสมุนไพรในเตาไม่พลุ่งพล่านอีกแล้ว หากแต่ควบแน่นขึ้นช้าๆ มีรูปร่างของโอสถแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินใบหน้าฉายแววยินดี โอสถอายุวัฒนะจะหลอมสำเร็จแล้ว!


 


 


นางกดความตื่นเต้นที่พุ่งขึ้นในใจ ตราวิญญาณนับไม่ถ้วนตีไปที่เตาโอสถพร้อมกัน จากนั้นยกมือเปิดเตาโอสถออก ทว่าในขณะที่เปิดเตาเก็บโอสถนั่นเอง โอสถสีขาวขนาดเท่าลำไยสามเม็ดก็แตกออกในทันใด กลายเป็นเศษซากกองหนึ่ง


 


 


มองดูเศษซากกองนั้น มั่วชิงเฉินปวดใจจนสูดลมเข้าอึดหนึ่ง ส่ายศีรษะ ขั้นตอนสุดท้ายตนรีบร้อนอยากสำเร็จเกินไป


 


 


ในฐานะนักหลอมโอสถฝีมือดีคนหนึ่งสิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องไม่วิตกกังวลกับผลได้ผลเสีย หลังจากผิดหวังเสียดายเพียงชั่วครู่ มั่วชิงเฉินจิตใจสงบลงอย่างรวดเร็ว เก็บเตาโอสถขึ้นแล้วนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรขึ้นมา


 


 


สามวันให้หลัง เมื่อหลังจากที่มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าร่างกาย จิตใจล้วนฟื้นฟูถึงสภาพยอดเยี่ยมที่สุด จึงออกจากถ้ำเด็ดหญ้าดอกเหลืองสดใหม่มา หลอมโอสถอายุวัฒนะอีกครั้ง


 


 


ผสมสมุนไพร โยนสมุนไพร ละลายสมุนไพร สำเร็จเป็นโอสถ ขั้นตอนพวกนี้เสร็จในอึดใจเดียว มั่วชิงเฉินไปถึงขั้นตอนเก็บโอสถอย่างราบรื่นอีกครั้ง


 


 


ในใจอดรู้สึกตื่นเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่ได้ มั่วชิงเฉินรีบกดความรู้สึกพวกนี้ลงไป สังเกตเหตุการณ์ในเตาอย่างตั้งใจเพียงอย่างเดียว


 


 


เวลานี้แหละ!


 


 


มั่วชิงเฉินตาเป็นประกาย ตราวิญญาณนับไม่ถ้วนดุจฝูงผีเสื้อโบยบิน เปล่งแสงวิญญาณที่สวยงามอย่างที่สุดกลางอากาศแล้วหายเข้าในเตาโอสถ ในขณะนั้นฝาเตาเปิดออก โอสถสามเม็ดเป็นรูปเป็นร่างที่ถูกตราวิญญาณห่อไว้บินไปหานาง


 


 


ในพริบตาที่โอสถอายุวัฒนะออกจากเตาโอสถ อัสนีสายหนึ่งก็ผ่าลงมาในทันใด จากนั้นก็เห็นโอสถสามเม็ดกลางอากาศเหมือนมีจิตวิญญาณ ออกแรงดิ้นหลุดจากการพันธนาการของตราวิญญาณแล้วบินออกข้างนอกไป


 


 


เคราะห์โอสถ!


 


 


โอสถฝืนลิขิตอย่างโอสถอายุวัฒนะเช่นนี้ มั่วชิงเฉินคาดไว้นานแล้วว่าเกรงจะล่อเคราะห์อัสนีมา เห็นสิ่งที่คาดไว้เป็นจริงแม้สะทกสะท้านอยู่บ้าง กลับอัญเชิญไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมาอย่างไม่รีบร้อนขวางอัสนีไว้ ขณะเดียวกันนิ้วมือโบยบินตีมือประทับตราวิญญาณประหลาดออกมาสายหนึ่งไล่ตามโอสถอายุวัฒนะที่วิ่งหนีไป


 


 


เคราะห์อัสนีหกสายติดกันล้วนถูกไหมเกล็ดน้ำแข็งรับไว้ มือประทับตราวิญญาณไล่จนทันโอสถอายุวัฒนะแล้วขยายใหญ่ขึ้นโดยพลันห่อโอสถอายุวัฒนะไว้อย่างรวดเร็วแล้วบินมาที่มั่วชิงเฉิน


 


 


มองดูโอสถอายุวัฒนะขาวนวลเหมือนหยกสามเม็ดตกลงในมือ มั่วชิงเฉินถอนใจด้วยความโล่งอกเบาๆ เก็บไหมเกล็ดน้ำแข็งขึ้นแล้วนั่งลงอย่างหมดแรง


 


 


ยังดีที่โอสถอายุวัฒนะล่อเคราะห์อัสนีมาหกสาย หากล่อเคราะห์อัสนีมาเก้าสาย ต่อให้ในมือนางมีไหมเกล็ดน้ำแข็งที่พลังการป้องกันเป็นหลักก็ทนไม่ไหว แม้แต่ยามนี้ พลังวิญญาณในกายก็เหลือไม่เท่าไรแล้ว


 


 


มือประทับตราวิญญาณที่ตีออกเมื่อครู่ มีชื่อเรียกเฉพาะว่าตราผูกโอสถ เป็นสิ่งที่กู้หลีถ่ายทอดให้นางเพราะเห็นนางค่อนข้างสนใจในทางแห่งโอสถ


 


 


โอสถชั้นสูงบางอย่างในชั่วพริบตาที่ปรากฏต่อโลก ล้วนมีจิตวิญญาณ และคิดหนีโดยสัญชาตญาณ ประโยชน์ของตราผูกโอสถ ก็เพื่อในยามเก็บโอสถจับโอสถที่วิ่งหนีกลับมา พูดได้ว่าครั้งนี้หลอมโอสถอายุวัฒนะได้ราบรื่น จะขาดผลงานของตราผูกโอสถไปไม่ได้


 


 


นั่งสมาธิต่อฟื้นฟูพลังวิญญาณ สามวันให้หลังมั่วชิงเฉินเดินออกจากถ้ำอีกครั้ง นำหญ้าดอกเหลืองที่เพิ่งเด็ดได้ย้อนกลับมา


 


 


หญ้าดอกเหลืองนี้ช่างยุ่งยากจริงๆ เด็ดลงมาเจ็ดวันก็ไร้ประโยชน์แล้ว ทว่าการหลอมโอสถอายุวัฒนะเตาหนึ่งอย่างน้อยต้องใช้เวลาสิบวัน บวกกับเวลาในการฟื้นฟูพลังวิญญาณ ทุกครั้งที่นางเปิดเตาหลอมโอสถล้วนต้องไปเด็ดมาใหม่ ไม่สะดวกมากจริงๆ


 


 


ดีที่ในมือนางเหลือผลอายุเพียงผลเดียว หลอมเตานี้เสร็จแล้วก็ออกจากที่นี่ได้แล้ว


 


 


มีประสบการณ์การหลอมโอสถอายุวัฒนะมาสองเตาแล้ว โอสถอายุวัฒนะเตาที่สามมั่วชิงเฉินหลอมสำเร็จอย่างราบรื่นมาก ทำให้นางประหลาดใจเหลือคณา ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้จะหลอมได้เต็มเตา ได้โอสถอายุวัฒนะมาห้าเม็ด เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ในมือนางก็มีโอสถอายุวัฒนะแปดเม็ดแล้ว!


 


 


มั่วชิงเฉินเก็บโอสถอายุวัฒนะที่เพิ่งออกจากเตาห้าเม็ดเข้ากำไลเก็บวัตถุอย่างดีใจ จู่ๆ รอยยิ้มที่มุมปากกลับแข็งทื่อทันที


 


 


มีคนมาแล้ว!


 


 


“แม่นางน้อย ในถ้ำร้อนจะตาย รีบออกมาดีกว่าน่ะ” เสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งลอยมา เมื่อเข้าสู่หูมั่วชิงเฉินกลับรู้สึกเย็นเยียบ


 


 


เกิดอะไรขึ้น หรือว่าตนถูกคนสะกดรอยตามแล้ว?


 


 


มั่วชิงเฉินตระหนกตกใจ สองครั้งนี้ยามที่นางออกไปคอยสังเกตอย่างถี่ถ้วนแล้ว ยิ่งกว่านี้เดิมทีที่นี่ก็ผู้คนร่อยหรออยู่แล้ว ไม่พบเบาะแสอะไรจริงๆ


 


 


ทว่าสภาพตรงหน้า เห็นชัดว่าถูกคนจับจ้องไว้แล้ว!


 


 


ทีนี้แย่แล้ว เพิ่งหลอมโอสถอายุวัฒนะเสร็จ พลังวิญญาณในกายตนเดิมทีก็เหลือไม่เท่าไรอยู่แล้ว ต่อให้กินโอสถเติมวิญญาณชั่วขณะหนึ่งพลังวิญญาณก็ไม่อาจฟื้นฟูได้ คนข้างนอกนั่นก็ไม่ใช่คนโง่อีก จะให้เวลานางเต็มที่ได้อย่างไร


 


 


และก็เป็นไปตามคาดยามที่มั่วชิงเฉินกลืนโอสถเติมวิญญาณลงไปพยายามฟื้นฟูพลังเต็มที่ ก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนเสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งว่า “แม่นางน้อย หากเจ้าไม่ออกมาอีก ข้าก็จะเข้าไปแล้วนะ”


 


 


ด้วยความจำใจ มั่วชิงเฉินสงบจิตใจ แล้วก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอก


 


 


เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางก็ได้แต่ทหารมาคอยต้านน้ำมาดินกลบแล้ว ขอเพียงคนที่มาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ อย่างมากนางก็กินโอสถระเบิดวิญญาณแข็งใจสู้กันสักตั้ง


 


 


ในชั่วพริบตาที่เดินออกจากปากถ้ำ มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก อดถอนใจทีหนึ่งไม่ได้ นางโชคดีเกินไปหรืออย่างไร เหตุใดผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่ปกติไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนมักถูกนางเจอเข้า?


 


 


คนผู้นั้นชุดขาวโดดเด่น รอยยิ้มใจดีอบอุ่น สายตาตกลงบนใบหน้ามั่วชิงเฉินอย่างสนใจ ในสายตามั่วชิงเฉินกลับรู้สึกชั่วร้ายถึงที่สุด


 


 


“ขอคารวะท่านผู้อาวุโส” มั่วชิงเฉินคำนับอย่างใจเย็น


 


 


ในชั่วพริบตาที่เห็นคนที่มาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ นางก็รู้ว่าตนไม่มีทางชนะแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยังไม่สู้เปิดเผยหน่อย ดูว่าคนผู้นี้มีแผนการอะไรกันแน่ ไหนๆ โอสถอายุวัฒนะก็ถูกนางเก็บเข้ากำไลเก็บวัตถุแล้วไม่มีทางถูกคนผู้นี้ค้นไป คิดว่าเขาเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ คงไม่ฆ่าคนโดยไร้สาเหตุกระมัง


 


 


“แม่นางน้อย เจ้าอายุยังน้อยกลับใจกล้าไม่เบานะ ลำพังตัวคนเดียวมาถึงที่นี่ ท่าทางคงจะหลอมโอสถอะไรสินะ?” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวอมยิ้มถาม


 


 


มั่วชิงเฉินสีหน้าสงบว่า “ท่านผู้อาวุโสกล่าวได้ถูกต้องเจ้าค่ะ”


 


 


“เหตุใดเจ้าไม่ไปห้องหลอมโอสถที่นิกายอิ่นตันสร้างล่ะ?” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวถามอีกประโยคหนึ่ง


 


 


“ผู้น้อยไม่มีเงิน” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวหัวเราะแล้ว แม่นางน้อยคนนี้น่าสนใจจริงๆ สิบวันก่อนเขาพบผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งสะกดรอยตามแม่นางน้อยคนหนึ่งโดยบังเอิญ ดูจากฝีมือแล้วผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนของนิกายอั้นหลัว จึงคอยระวังไว้


 


 


นิกายอั้นหลัวเป็นหนึ่งในสำนักมาร เชี่ยวชาญการลอบฆ่าสะกดรอย เพราะเรื่องในอดีตเรื่องหนึ่งเขารู้สึกไม่ดีต่อคนของนิกายอั้นหลัวมาตลอดและจำฝังใจ หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นเกรงว่าคงจะพบฐานะของเขาได้ยาก


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรนิกายอั้นหลัวนั่นเฝ้าอยู่หน้าปากถ้ำสิบกว่าวัน เมื่อครู่ไม่คิดเลยว่าท้องฟ้ามีเมฆเคราะห์กรรมลอยมา เคราะห์อัสนีฟาดลงมาติดกันหกสาย หลังจากอัสนีหยุดเมฆหายก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรมารคนนั้นแอบเข้าไปในถ้ำ จึงถูกเขาถือโอกาสจัดการเสีย ทว่าก็รู้สึกสนใจผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่อยู่ข้างในขึ้นมาเช่นกัน


 


 


ไม่รู้แม่นางน้อยนั่นหลอมโอสถอะไรกันแน่ ไม่คิดว่าจะล่อเคราะห์อัสนีมาได้


 


 


ที่จริงนางหลอมโอสถอะไรตนก็ไม่นับว่าสนใจหรอก เพียงแต่ด้วยตบะระดับสร้างรากฐานของนางกลับหลอมโอสถที่ล่อเคราะห์โอสถมาได้ เห็นชัดว่ามีพรสวรรค์ด้านหลอมโอสถสูงนัก นี่ถึงเป็นสิ่งที่ตนค่อนข้างให้ความสำคัญ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวหัวเราะคิกคักขึ้นมาว่า “แม่นางน้อย ไม่สู้เจ้ากราบข้าเป็นอาจารย์เป็นเช่นไร ถึงเวลาอาจารย์ต้องให้เงินใช้จ่ายมากมายแน่นอน”


 


 


มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก นี่มันเรื่องอะไรกัน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนหนึ่งดาหน้าเข้ามาจะเป็นอาจารย์ตน?


 


 


จึงคารวะทีหนึ่งทันทีว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่เมตตา ผู้น้อยมีอาจารย์แล้วเจ้าค่ะ”


 

 

 


ตอนที่ 254 ได้วิชากลั้นใจ

 

แม่นางน้อยผู้นี้ดูแล้วอายุไม่เกินสิบเจ็ดสิบแปดปี ดูบุคลิกท่าทาง อายุจริงเกรงว่าไม่เกินห้าสิบปี


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายอายุไม่ถึงห้าสิบปี ไม่ต้องถามมากต้องเป็นศิษย์หัวกะทิของสำนักใหญ่อย่างแน่นอน มีอาจารย์เป็นเรื่องในความคาดหมาย


 


 


เห็นนางท่าทางสีหน้าจริงจัง ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวกลับเกิดอยากแกล้งขึ้นมา จงใจหยอกเล่นว่า “มีอาจารย์แล้วอย่างไร เจ้าย้ายสำนักก็ได้แล้วมิใช่หรือ”


 


 


มั่วชิงเฉินเบิกตากว้างโดยพลัน มองผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวตรงหน้าอย่างงงงัน คนคนนี้คงไม่ได้เสียสติหรอกนะ นี่เหมือนเป็นคำพูดที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณพูดหรือไม่? หรือว่า… เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมาร!


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ความระแวงในตามั่วชิงเฉินยิ่งหนักขึ้น พิจารณาคนตรงหน้าอย่างระแวดระวัง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวแอบตลก ปากกลับว่า “เป็นเช่นไร ศิษย์น้อย พิจารณาถึงไหนแล้ว?”


 


 


มั่วชิงเฉินหลุบตาลง แอบว่าหรือว่าเพราะขลุกอยู่กับอู๋เย่ว์นานวันเข้า ไยนับวันถึงยิ่งโชคร้ายขึ้นนะ?


 


 


“ผู้อาวุโสพูดเล่นแล้ว ผู้น้อยไม่คิดจะเปลี่ยนอาจารย์เป็นการชั่วคราว” มั่วชิงเฉินแข็งใจพูด


 


 


“ฮ่าๆๆๆ…” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวหัวเราะขึ้นมา หัวเราะถึงกลางคันจู่ๆ ก็หยุดลง พิจารณามั่วชิงเฉินด้วยความสงสัยเล็กน้อยว่า “แม่นางน้อย ไยข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าหน้าคุ้นๆ นะ?”


 


 


มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก มองมาที่ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวด้วยสีหน้าประหลาด หากเป็นชาติที่แล้ว นางอยากพูดจริงๆ ว่า พี่ชาย วิธีจีบหญิงของคุณจะล้าสมัยไปหน่อยมั้ง


 


 


เห็นสีหน้าประหลาดของมั่วชิงเฉิน ไม่คิดเลยว่าผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวจะเข้าใจสิ่งที่นางคิดอยู่ในใจ จึงกระแอมอย่างเคอะเขินสองทีว่า “แค่กๆ ข้าน่าจะจำคนผิดแล้ว แม่นางน้อย ในเมื่อเจ้าไม่คิดจะย้ายสำนักเป็นการชั่วคราว เช่นนั้นข้าก็ไปก่อนแล้ว เอ่อ หากวันหลังเปลี่ยนใจ ไปหาข้าที่โรงเตี๊ยมหลิวอวิ๋นเมืองหลิวหั่วได้”


 


 


พูดจบผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวก็กระโดดขึ้นสมบัติวิเศษเหินหาวบินไปไกล


 


 


“เมืองหลิวหั่ว โรงเตี๊ยมหลิวอวิ๋น?” มั่วชิงเฉินบ่นพึมพำ จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ จากนั้นอธิบายความรู้สึกในใจไม่ถูกแล้วยิ้มอ่อนขึ้นมา


 


 


ที่แท้ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวผู้นั้นพูดได้ไม่ผิด พวกเขาเคยพบกันมาก่อนจริงๆ!


 


 


ปีนั้นนางถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งจับมาปราณภูเขาไฟไหล บังเอิญถูกอาจารย์ช่วยไว้ อาจารย์ก็พานางมาไว้ในโรงเตี๊ยมหลิวอวิ๋น


 


 


ต่อมายามที่อาจารย์พานางจากที่นี่ไป ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรในชุดขาวท่านหนึ่งมาส่งเดินทาง ผู้ที่มาส่งเดินทางนั้นก็คือคนเมื่อครู่นั่นเอง


 


 


นี่ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้!


 


 


มั่วชิงเฉินทอดถอนใจ กลับยากจะจินตนาการว่าด้วยท่าทางของอาจารย์ ทำอย่างไรถึงกลายเป็นสหายสนิทกับคนเมื่อครู่นั้นได้ล่ะ ไยนางมักรู้สึกว่าคนผู้นั้นค่อนข้าง… ไม่เป็นโล้เป็นพายนะ?


 


 


มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะกำลังจะกลับเข้าถ้ำฟื้นฟูพลังวิญญาณ กลับจู่ๆ ก็หยุดชะงัก แล้วก้าวเท้าเดินไปที่ที่หนึ่ง


 


 


ตรงนั้นชายแต่งตัวด้วยชุดสั้นคล่องแคล่วสีเทาดำคนหนึ่งนอนอยู่ เลือดออกเจ็ดทวาร เห็นชัดว่าตายไปนานแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินก้มตัวลง พิจารณาศพของชายแปลกหน้าอย่างละเอียด จากนั้นยื่นมือแตะที่ข้อมือผู้ชายสำรวจดู แล้วขมวดคิ้วยืนขึ้นมา


 


 


ไม่คิดว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมาร!


 


 


เหตุใดผู้บำเพ็ญเพียรมารนี่ถึงจู่ๆ มาปรากฏตัวที่นี่ล่ะ? แล้วเขาถูกใครฆ่าอีกนะ?


 


 


ระหว่างที่ใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว มั่วชิงเฉินเดาคำตอบได้รางๆ แล้ว


 


 


เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรมารคนนี้สะกดรอยตามตนมา ตนต้องหลอมโอสถอายุวัฒนะทั้งหมดสามเตา ระหว่างนั้นก็ออกไปเด็ดหญ้าดอกเหลืองสองครั้ง เขาเพิ่งเปิดเผยตัวยามนี้ก็น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ตนออกจากถ้ำที่ถูกจับตา


 


 


เพียงแต่ทุกครั้งที่ตนออกไปล้วนคอยสังเกตอย่างระมัดระวังแล้ว เขาหลบการค้นของจิตตระหนักได้อย่างไรนะ?


 


 


สายตามั่วชิงเฉินตกไปที่ถุงเก็บวัตถุที่เอวของศพ ยกมือขึ้นแล้วจับถุงเก็บวัตถุสีดำไว้ในมืออย่างไม่เกรงใจ ยื่นจิตตระหนักออกไปลบตราประทับที่เจ้าของเดิมทิ้งไว้อย่างง่ายดาย แล้วดูของข้างในรอบหนึ่ง


 


 


ทำพวกนี้เสร็จมั่วชิงเฉินลุกขึ้นยืน สั่งอีกาไฟเผาศพบนพื้นให้เป็นเถ้าถ่านเก็บกวาดที่เกิดเหตุ แล้วหันหลังกลับเข้าถ้ำนั่งสมาธิฟื้นฟูพลังวิญญาณก่อน


 


 


รอพลังวิญญาณในกายฟื้นฟูแล้ว มั่วชิงเฉินถึงหยิบถุงเก็บวัตถุที่ได้มาออกมาอีก เพ่งสมาธิทีหนึ่งบนพื้นก็ปรากฏของกองเบ้อเริ่ม


 


 


ก่อนอื่นคือขวดมากมาย แต่ละขวดล้วนติดป้ายไว้ เขียนชื่อของโอสถไว้


 


 


บนป้ายชื่อแม้ไม่ได้บันทึกประโยชน์ใช้สอยของโอสถ ทว่ามั่วชิงเฉินนับว่าเป็นคนมากประสบการณ์ในทางแห่งโอสถแล้ว ฤทธิ์ ประโยชน์ใช้สอยของโอสถส่วนใหญ่มองปราดเดียวก็รู้เรื่อง มีเพียงโอสถไม่กี่ชนิดที่นางไม่รู้ประโยชน์ใช้สอย จึงเก็บเข้ากำไลเก็บวัตถุจัดเก็บไว้เฉพาะ เก็บไว้วันหลังค่อยๆ ศึกษา


 


 


ต่อจากนั้นอีกก็คือธงเล็กสีดำผืนหนึ่ง กริชเล่มหนึ่ง อาวุธมารหน้าตาเหมือนแส้ยาวเส้นหนึ่ง นอกเหนือจากนี้ก็คือยันต์ไม่กี่ตั้งและคัมภีร์หยกสามม้วน บวกกล่องหยก **บหยกบางส่วน


 


 


มั่วชิงเฉินเก็บยันต์ขึ้นมาก่อน ยันต์พวกนี้ผู้บำเพ็ญเพียรล้วนใช้ได้หมด ไม่มีอะไรควรค่าแก่การดู จากนั้นใช้จิตตระหนักกวาดกล่องหยก **บหยกรอบหนึ่ง


 


 


ในกล่องหยก**บหยกเก็บวัตถุดิบบางอย่างไว้ รวมทั้งประเภทหินหยกและสมุนไพรที่ไม่รู้จัก ทว่าลักษณะเฉพาะของวัตถุดิบพวกนี้ส่วนใหญ่ล้วนเหมาะกับผู้บำเพ็ญเพียรมาร นางก็ติดมือเก็บขึ้นมา


 


 


อาวุธมารแส้ยาวในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรเต๋ายิ่งใช้ไม่ได้ใหญ่ ก็เก็บขึ้นเช่นกัน จากนั้นมั่วชิงเฉินหยิบกริชเล่มนั้นขึ้นมาจับเล่น


 


 


กริชเล่มนี้สั้นเล็กแหลมคม ดูไม่ออกว่าทำจากวัสดุอะไร กระทั่งไม่เหมือนอาวุธมารเช่นที่นางคิด และก็ไม่ใช่อาวุธเวทเช่นกัน ตกลงคืออะไรกลับแยกแยะไม่ออก


 


 


นึกอะไรขึ้นได้ มั่วชิงเฉินถ่ายพลังวิญญาณเล็กน้อยเข้าไปในกริช พบว่ากริชไม่เปล่งแสงวิญญาณหลังจากถูกพลังวิญญาณกระตุ้นเหมือนอาวุธเวท ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับก่อนหน้านี้ มีเพียงนางที่กำกริชไว้ถึงสังเกตเห็นว่า กริชในมือเย็นลงมากอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนจู่ๆ ก็มีแววอาฆาตเพิ่มมา


 


 


มั่วชิงเฉินหยิบแร่เพชรออกมาก้อนหนึ่ง จากนั้นมือขึ้นมีดลงก็เห็นแร่เพชรถูกแบ่งเป็นสองส่วนอย่างเรียบกริบ ไม่มีเสียงออกมาแม้แต่นิดเดียว


 


 


มั่วชิงเฉินอดสูดลมเย็นเข้าไม่ได้ ไม่คิดว่ากริชนี่จะคมกริบเช่นนี้!


 


 


แร่เพชรเป็นวัตถุดิบที่แข็งมากชนิดหนึ่ง อาวุธเวทธาตุเหล็กทั่วไปล้วนมีการเสริมแร่เพชรเข้ามาเพื่อเพิ่มระดับความคมและแข็งให้อาวุธเวท ไม่คิดว่าถูกกริชที่ดูแล้วธรรมดาๆ เช่นนี้ตัดขาดได้อย่างง่ายดาย


 


 


ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ยามที่กริชเล่มนี้จู่โจมไม่มีการผกผันของพลังวิญญาณใดๆ เลย ทำให้คนป้องกันไม่ทัน เป็นผู้ช่วยที่ดีในการลอบฆ่าจริงๆ!


 


 


นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินรู้สึกซาบซึ้งต่อผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวผู้นั้นขึ้นมา หากไม่เพราะเขาลงมือฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรมาร ด้วยสภาพตนที่เพิ่งหลอมโอสถอายุวัฒนะเสร็จ ต่อให้กินโอสถระเบิดวิญญาณเกรงว่าในเวลาอันสั้นก็จัดการคนคนนั้นไม่ได้


 


 


จากของพวกนี้เดาได้ไม่ยากว่าคนคนนั้นต้องเชี่ยวชาญการสะกดรอยลอบฆ่าแน่นอน เมื่อใดที่สู้กันขึ้นมาเขาจะไม่แข็งปะทะแข็ง หากแต่ใช้วิธีพวกนี้ทำให้ตนหมดแรง รอเวลาของโอสถระเบิดวิญญาณผ่านไปเมื่อไร เช่นนั้นตนต้องปล่อยให้คนฆ่าแกงแน่นอนแล้ว


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ ที่ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวพูดอะไรรับตนเป็นศิษย์พวกนั้น ก็เป็นการล้อตนเล่นน่ะสิ?


 


 


นึกถึงท่าทีที่มีต่อผู้มีพระคุณช่วยชีวิต มั่วชิงเฉินละอายใจนัก จากนั้นปลอบใจตนเองว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ใครให้เขาเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ยังจะหยอกล้อผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตัวเล็กๆ เช่นตนล่ะ


 


 


กริชเล่มนี้ใช้ดีเพียงนี้ มั่วชิงเฉินจึงเก็บขึ้นทันทีวางไว้ด้วยกันกับอาวุธเวทที่ใช้บ่อยๆ แล้วเก็บธงเล็กขึ้นมาดู


 


 


ก็เห็นมุมล่างสุดของธงเล็ก ปักสัญลักษณ์กริชเล็กๆ ไว้อันหนึ่ง ดูรูปร่างแล้วคือหน้าตาของกริชเล่มเมื่อครู่นั่นเอง


 


 


พลิกดูไปมา มั่วชิงเฉินคาดว่าธงเล็กผืนนี้น่าจะเป็นของประเภทเดียวกับป้ายคำสั่งของพรรคเหยากวง ใช้ในการพิสูจน์ฐานะ จึงหมดความสนใจแล้วเก็บขึ้น ถึงหยิบคัมภีร์หยกสามม้วนขึ้นมา


 


 


อ่านคัมภีร์หยกสามม้วนจบหมด มั่วชิงเฉินผ่อนลมหายใจออกแผ่วเบา


 


 


ที่แท้ผู้บำเพ็ญเพียรมารคนนั้นเป็นศิษย์นิกายอั้นหลัว


 


 


คัมภีร์หยกเล่มหนึ่งในนั้นก็บันทึกวิชายุทธ์การบำเพ็ญเพียรของนิกายอั้นหลัว คัมภีร์หยกอีกม้วนหนึ่งบันทึกวิชาการโจมตี ที่ทำให้นางประหลาดใจที่สุดกลับเป็นคัมภีร์หยกม้วนที่สาม ไม่คิดว่าข้างในนั้นจะบันทึกวิชากลั้นใจไว้!


 


 


วิชายุทธ์การบำเพ็ญเพียรและคาถาโจมตีของนิกายอั้นหลัว เต๋ามารต่างกัน ตนฝึกไม่ได้เลย ทว่าวิชากลั้นใจนี่กลับมีส่วนที่ใช้ด้วยกันได้อยู่


 


 


ต้องรู้ว่าไม่ว่าการเก็บงำกลิ่นอายมารหรือเก็บงำกลิ่นอายวิญญาณ เหตุผลล้วนเหมือนกัน


 


 


มั่วชิงเฉินตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย วิชากลั้นหายใจที่เคยใช้มานับว่าเป็นของดีที่สุดที่หาซื้อได้ในตลาดแล้ว บวกกับตนจิตตระหนักแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน ไม่ว่าซ่อนเร้นตบะหรือเก็บงำกลิ่นอายหลบหลีกการตรวจค้น ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันล้วนไม่มีปัญหา ทว่าเมื่อใดที่พบผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็ไม่มีที่ให้หลบแล้ว


 


 


ได้วิชากลั้นหายใจระดับสูงของนิกายอั้นหลัวนี่แล้ว ปัญหาก็แก้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว อย่างน้อยยามต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจะไม่ถูกมองทะลุในปราดเดียว


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็ไม่รีบร้อนออกจากที่นี่ หากแต่ศึกษาวิชากลั้นหายใจที่สูงส่งชุดนี้ขึ้นมาอย่างตั้งใจในถ้ำ หลังจากฝึกฝนวิชากลั้นหายใจเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มๆ จนสำเร็จผลแล้ว ถึงเก็บข้าวของออกจากถ้ำ


 


 


บัดนี้มั่วชิงเฉินอายุสี่สิบปีแล้ว ยังมีอีกสองปี หัวหน้าตระกูลหวังต้องมาทวงโอสถอายุวัฒนะแน่นอน นางคิดๆ แล้ว ตัดสินใจกลับสำนักก่อน


 


 


ไม่รู้ศึกเต๋ามารจบหรือยัง พรรคเหยากวงถูกลากเข้าไปด้วยหรือไม่ แม้ตนอยากวางตัวเหนือปัญหา ทว่าพรรคเหยากวงมีบุญคุณสั่งสอนตนมา ถึงเวลาสำนักต้องการจริงๆ นั่นก็เป็นความรับผิดชอบที่ปัดไม่ได้ในฐานะศิษย์พรรคเหยากวง


 


 


ในโลกนี้ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีเรื่องเอาแต่ได้อย่างเดียวอยู่แล้ว หรือพูดว่า อย่างน้อยที่สุดนางมั่วชิงเฉินดูแคลนเรื่องเช่นนี้


 


 


อยู่ในถ้ำมาปีกว่า มั่วชิงเฉินแม้ใจอยากกลับไปดังลูกธนู กลับยังคงบินไปร่อนลงที่เมืองหลิวหั่วพักผ่อนก่อน


 


 


มองป้ายร้านของโรงเตี๊ยมหลิวอวิ๋น นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยังคงเดินเข้าไป


 


 


“ท่านเซียนทานข้าวหรือว่าค้างแรม?” ลูกจ้างหน้าตาหัวไวคนหนึ่งเสนอหน้าเข้ามา แล้วถามอย่างนอบน้อม


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มละไมว่า “พี่ชาย เจ้าของพวกเจ้าอยู่หรือไม่?”


 


 


ลูกจ้างชะงักงันทันที จากนั้นส่ายศีรษะเหมือนกลองป๋องแป๋ง เอ่ยติดๆ กันว่า “ไม่อยู่ ไม่อยู่”


 


 


มั่วชิงเฉินยังคงยิ้มไม่หุบ แล้วยื่นถุงเล็กมาใบหนึ่งว่า “เช่นนั้นรบกวนพี่ชายส่งมอบถุงนี้ให้เจ้าของพวกเจ้า แล้วก็ยันต์สื่อสารนี่ด้วย”


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินไล่ไปง่ายปานนี้ ลูกจ้างกลับเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ จากนั้นรับของมาว่า “ได้ขอรับ เชิญท่านเซียนวางใจ ข้าน้อยต้องส่งมอบให้แน่นอน”


 


 


มั่วชิงเฉินเอ่ยขอบคุณ แล้วหันหลังจากไป


 


 


สามวันให้หลัง เถ้าแก่โรงเตี๊ยมหลิวอวิ๋นเคาะประตูห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง


 


 


“เข้ามา” เสียงอันสงบดังมาจากในห้อง


 


 


“เจ้านาย นี่เป็นของที่ท่านเซียนคนหนึ่งวานเสี่ยวเอ้อร์ในร้านส่งมอบให้ท่าน” เถ้าแก่พูดอย่างนอบน้อม


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวกวาดถุงเล็กและยันต์สื่อสารปราดหนึ่งอย่างไม่แยแส แล้วเอ่ยอย่างปวดศีรษะว่า “เถ้าแก่หวัง ข้าเคยบอกไว้แล้วว่าถ้ามีท่านเซียนแม่นางอะไรประเภทนี้มอบของให้ข้า ไม่รับหมดไม่ใช่หรือ?”


 


 


เถ้าแก่ลังเลครู่หนึ่งว่า “เจ้านาย เสี่ยวเอ้อร์บอกว่าแม่นางคนนั้นแต่งตัวเรียบง่าย ได้ยินว่าท่านไม่อยู่ก็ไม่ตื๊อ แล้วก็ฝากให้ส่งมอบของให้ท่านอย่างจริงจัง เขาถึงส่งขึ้นมา ท่านว่า…”


 


 


ในใจกลับแอบบ่น ท่านตอแยดอกท้อเน่ามามากมายถึงเพียงนี้แท้ๆ หลายปีมานี้ยังมีทีท่าจะมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ สองสามวันทีก็มีท่านเซียนเข้าพักในโรงเตี๊ยมไม่ยอมไปไหนแล้ว ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป โรงเตี๊ยมของเรานี่ก็ไม่ต้องเปิดแล้ว


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวโบกมืออย่างรำคาญทีหนึ่ง ถุงเล็กและยันต์สื่อสารก็ร่วงลงในมือ

 

 

 


ตอนที่ 255 ก่อแก่นปราณนิมิตเซียนเกิด

 

“ปราณภูเขาไฟไหล ขอขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิต ผู้น้อยไร้สิ่งตอบแทน จึงขอมอบสุราทิพย์ที่หมักเองเพื่อแสดงน้ำใจ”


 


 


ยันต์สื่อสารมีเพียงไม่กี่คำ ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวกลับเข้าใจทันทีว่าผู้ใดเป็นคนฝากแล้ว กวาดมองอักษร ‘ไร้สิ่งตอบแทน’ สี่คำ มุมปากก็อดกระดกขึ้นไม่ได้ ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ ก็นึกได้ว่าดูเหมือนมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงไม่น้อยที่พูดสี่คำนี้กับเขามาก่อนเช่นกัน


 


 


ทว่าที่พวกนางพูดคือ ‘ข้าไร้สิ่งตอบแทน ยินดีตอบแทนบุญคุณคุณชายด้วยร่างกาย…’


 


 


นึกถึงตรงนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวหนาวสั่นไปทั้งตัว แล้วหยิบถุงเล็กขึ้นมา


 


 


เพ่งจิตแผ่วเบา บนโต๊ะก็ปรากฏขวดน้ำเต้าสุราเจ็ดแปดใบขึ้นในพริบตา สายตาผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวตกลงบนขวดน้ำเต้าสุราสีเทาเงินทันที


 


 


ผ่านไปเนิ่นนาน ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวยื่นมือหยิบขวดน้ำเต้าสุราขึ้นมา เปิดจุกปิดออกจิบเบาๆ อึกหนึ่ง แล้วหายใจออกอย่างช้าๆ


 


 


นางหนูนั่นหรือว่าจะเป็น…ศิษย์รักของพี่กู้?


 


 


จากนั้นผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวหยิบขวดน้ำเต้าสีชมพูเข้มขึ้นมา จอกหยกใบหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ


 


 


สุราสีขาวนวลรินไหลออกมาช้าๆ คลื่นสุรากระเพื่อมเห็นเป็นสีชมพูเข้มน่าเย้ายวน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวยกจอกสุราไว้ปลายจมูกแล้วสูดกลิ่นเบาๆ ศีรษะส่ายเบาๆ สุราเลิศรสแตะริมฝีปาก แล้วถอนใจว่า “ไม่คิดเลยว่าคือน้ำค้างลั่วเหมย!”


 


 


น้ำค้างลั่วเหมยคือหนึ่งในยอดสุราในตำนาน วิธีหมักหายสาบสูญไปนานแล้ว ในตลาดไม่มีทางได้เห็นแน่นอน เขาต่างจากกู้หลีที่เป็นพระครึ่งทาง[1] หากแต่ชอบสุราตั้งแต่กำเนิด เคยมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่งใช้สุราเลิศรสชั้นเลิศหลากชนิดเป็นเหตุ เชื้อเชิญเขาลิ้มลองสุรา ในนั้นก็มีน้ำค้างลั่วเหมย ต่อให้เขารู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนั้นดื่มสุราโดยไม่ได้มุ่งเสพรสชาติของสุรา เพื่อสุราเลิศรสในตำนานยังคงไปตามนัด


 


 


ด้วยเหตุนี้ยังก่อให้เกิดปัญหาออกมามากมาย ทว่าทุกครั้งที่นึกย้อนถึงรสชาติแสนวิเศษของน้ำค้างลั่วเหมย ก็รู้สึกว่าทุกอย่างล้วนคุ้มค่า


 


 


“พี่กู้เอ๋ยเจ้าช่างมีลาภปากจริงๆ เลย!” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวลูบไล้จอกหยกในมือ แล้วยกขึ้นจิบเบาๆ เป็นระยะ รอสุราจอกหนึ่งดื่มหมดจู่ๆ ก็วางจอกหยกไว้บนโต๊ะ แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ไม่ได้ ดูท่าควรหาโอกาสไปหาพี่กู้ดื่มสุราคุยเล่นกันสักหน่อยแล้ว”


 


 


กลางอากาศ ผู้บำเพ็ญเพียรไม่กี่คนนั่งอยู่บนอาวุธเวทเหินหาวรูปจันทร์เสี้ยว บินไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน ในยามนี้เอง เรือเล็กประหลาดลำหนึ่งลอยสวนมา


 


 


แล้วก็เห็นต้นท้อใหญ่มากต้นหนึ่งที่ท้ายเรือกลายเป็นหลังคาเรือครึ่งฝั่งโดยธรรมชาติ ผึ้งสีมรกตหลายสิบตัวบินวนต้นท้อดังหึ่งๆ อีกาดำปิ๊ดปี๋รูปร่างพัฒนาไปทางลูกก้อนกลมตัวหนึ่งนั่งยองๆ อย่างสุขุมอยู่บนยอดกิ่งไม้หลับตาพักสายตาอยู่ หัวเรือมีสาวน้อยชุดขาวท่าทางอายุสิบเจ็ดสิบแปดคนหนึ่งนั่งอยู่ มือหนึ่งยันแก้มดูเหมือนกำลังคิดเรื่องในใจของหญิงสาว


 


 


ดอกท้อสะพรั่ง สาวงามหน้านวล กลายเป็นวิวทิวทัศน์ที่งามดังภาพวาดบทกวี


 


 


“พี่หวัง พี่หวัง ไม่ต้องดูแล้ว ขืนดูอีกเจ้าก็จะตกจากอาวุธเวทแล้ว” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดฟ้าคนหนึ่งดึงแขนของคนข้างๆ


 


 


คนคนนั้นถึงหันกลับมาอย่างอาลัยอาวรณ์ ปากจิ๊ๆ ว่า “หน้าคนดอกท้อช่วยกันขับ จิ๊ๆ วันนี้ถึงรู้ว่าการนั่งอาวุธเวทเหินหาวยังสง่างามได้ถึงเพียงนี้”


 


 


“ฮึ ศิษย์พี่หวัง น้องว่านิสัยบัณฑิตเจ้ากำเริบอีกแล้ว ดอกท้อแม้งาม คนงามล่ะอยู่ไหน?” หญิงสาวในชุดสีมรกตคนหนึ่งฮึเสียงเย็น


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังส่ายศีรษะถอนใจเบาๆ ว่า “ความงามของคนงาม อยู่ที่ความเป็นธรรมชาติและสง่างาม ไม่เกี่ยวกับรูปโฉม”


 


 


“พี่หวัง เจ้าบอกว่าอาจารย์อาโจวที่ออกจากสำนักไปหลายปีพาศิษย์กลับสำนักแล้วมิใช่หรือ  คิดว่าเมื่อได้พบศิษย์น้องเล็กคนนั้น เจ้าก็มีคนรู้ใจแล้ว” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดฟ้าหัวเราะว่า


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังพยักหน้าด้วยใบหน้ายินดี คนทั้งกลุ่มอดเพิ่มความเร็วบินไปข้างหน้าไม่ได้


 


 


มั่วชิงเฉินก็บังคับเรือเล็กบินสู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปตลอดทางเช่นนี้ นานๆ ทีเจอผู้บำเพ็ญเพียรที่นั่งอาวุธเวทเหินหาวสวนมา นับวันก็ยิ่งใจเย็นต่อสายตาประหลาดที่มองมาจากคนอื่น


 


 


บินติดต่อกันสิบกว่าวัน ในที่สุดก็เห็นเทือกเขาฟางจูอยู่ลิบๆ แล้ว มั่วชิงเฉินสีหน้าปีติ รีบเพิ่มความเร็วโดยพลัน


 


 


อีกาไฟที่ยืนอยู่บนยอดกิ่งไม้กึ่งหลับตาสะลึมสะลือถูกเหวี่ยงลงมาโดยพลัน ตกลงบนพื้นเรือเต็มก้น


 


 


“เจ้านาย! เจ้าเร่งความเร็วจะบอกสักคำไม่ได้หรืออย่างไร?” อีกาไฟยื่นปีกออก ถามอย่างโมโห


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างเกรงใจว่า “คราวหน้า”


 


 


อีกาไฟค้อนตาคว่ำ แล้วบินขึ้นไปอีก ทับกิ่งท้อจนส่ายไปส่ายมา


 


 


“อู๋เย่ว์?” มั่วชิงเฉินเรียก


 


 


“หา?” อีกาไฟฝืนเปิดเปลือกตาขึ้น


 


 


“ข้ารู้สึกว่า เจ้าควรกินให้น้อยหน่อยแล้ว” มั่วชิงเฉินเตือนด้วยความระมัดระวัง


 


 


อีกาไฟกลอกตา จากนั้นก้มหน้ามองร่างกายอ้วนกลมของตน แล้วกรีดร้องขึ้นโดยพลัน


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปากแอบหัวเราะ แล้วค่อยๆ ร่อนเรือเล็กลง เงยหน้าแหงนมองประตูสำนักพึมพำว่า “ถึงบ้านแล้ว อู๋เย่ว์ พวกเราไป”


 


 


เดินไปไม่กี่ก้าวกลับพบว่าอีกาไฟไม่มีความเคลื่อนไหว เมื่อหันกลับไปดู ก็เห็นอีกาไฟนั่งอยู่บนพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก ปากบ่นพึมพำว่า “หมดกัน แต่งไม่ออกแล้ว แต่งไม่ออกแล้ว”


 


 


ไม่ต้องเดินไปใกล้มั่วชิงเฉินก็ฟังออกแล้วว่ามันบ่นอะไรอยู่ เดินเข้าไปหิ้วอีกาไฟขึ้นมาว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องตีโพยตีพายแล้ว ต่อให้เจ้าอยากออกเรือนก็ต้องหาอีกาที่เหมาะสมให้ได้อยู่ดี หรือไม่ ข้าจะพูดกับอาจารย์ ยกเจ้าให้ต้าฮวา?”


 


 


“เจ้านาย ข้าแต่งไม่ออกมีผลดีอะไรต่อเจ้า! เจ้า ไม่คิดว่าเจ้าจะใช้ต้าฮวามาเหยียดหยามข้า! เช่นนี้ก็ดี ถึงเวลาข้ากลายเป็นอสูรวิญญาณที่ออกเรือนยากที่สุดในพรรคเหยากวง พอดีจะได้อยู่เป็นเพื่อนศิษย์หญิงที่ออกเรือนยากที่สุดของพรรคเหยากวง!” อีกาไฟอับอายจนโมโหว่า


 


 


ต้าฮวาเป็นอันใดหรือ คนเขาอย่างไรเสียก็เป็นอสูรเสือพายุทะลุฟ้าขั้นห้า อย่างไรเสียก็ดีกว่าอีกาที่อยู่แค่ขั้นสองเช่นเจ้ากระมัง มั่วชิงเฉินแอบบ่นว่า กลับไม่กล้ากระตุ้นอารมณ์มันอีก แล้วเดินตรงไปยังประตูสำนัก


 


 


ถึงหน้าประตูสำนัก หยิบป้ายประจำตัวสีควันเขียวตีคาถาออกไปสายหนึ่ง ประตูสำนักก็ค่อยๆ เปิดออก


 


 


เดินเข้าประตูสำนัก มั่วชิงเฉินพยักหน้าให้ศิษย์ที่เฝ้าประตูอย่างมีมารยาท


 


 


ศิษย์ที่เฝ้าประตูเรียก ‘ท่านอาจารย์อา’ ด้วยจิตใต้สำนึก หน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จนกระทั่งมั่วชิงเฉินเดินไปไกลถึงได้สติกลับมาโดยพลัน ตบหน้าผากเหมือนเพิ่งตื่นว่า “สวรรค์ นางคือ นางคืออาจารย์อามั่ว! หา อาจารย์อามั่วอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลายแล้ว!”


 


 


พูดจบศิษย์ที่เฝ้าประตูเริ่มเดินวนอยู่ที่เดิม นับนิ้วมือขึ้นมาว่า “ยี่สิบสองปีสร้างรากฐาน เป็นปีเทียนหยวนไหนนะ? อ้อ บัดนี้ผ่านไปสิบแปดปีแล้ว อาจารย์อามั่วปีนี้น่าจะ…สี่สิบปี!”


 


 


“สี่สิบปีอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลาย สี่สิบปี ยังเร็วกว่าอาจารย์อาเยี่ย…สามปี!” ศิษย์ที่เฝ้าประตูพูดถึงตรงนี้แล้วนั่งลงอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จากนั้นดีดตัวขึ้นมาโดยพลันอีก ในมือปล่อยยันต์ส่งสารออกไปหลายแผ่น


 


 


มั่วชิงเฉินออกจากสำนักเกือบห้าปี อีกทั้งใส่ชุดของพรรคเหยากวง แต่งตัวค้อมต่ำ เดินอยู่บนถนนศิษย์ที่จำนางได้ก็มีไม่มาก อย่างน้อยที่สุดไม่เหมือนห้าปีก่อนขอเพียงเคลื่อนไหวในสำนักก็เป็นที่จำตาของทุกคนแล้ว จึงอดทอดถอนใจไม่ได้ว่านี่ก็คือเวทมนตร์ของกาลเวลา ต่อให้เจ้ามีหน้ามีตาเพียงใด นอกจากสหายหรือศัตรูที่แท้จริงพวกนั้นแล้ว คนอื่นอย่างไรเสียก็จะลืมไปอย่างช้าๆ


 


 


เดินเข้าโถงปฏิบัติงาน คนที่นั่งอยู่ในโถงเงยหน้าขึ้น กลับไม่ใช่ใบหน้าที่นางคุ้นเคย


 


 


“ศิษย์น้องผู้ดูแล นี่คือป้ายประจำตัวของข้า…” มั่วชิงเฉินเห็นผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นชะงักอยู่ จึงเป็นฝ่ายยื่นป้ายประจำตัวข้ามไป


 


 


ศิษย์ผู้ดูแลคนนี้อยู่เพียงระดับสร้างรากฐานระยะต้น รับป้ายประจำตัวที่มั่วชิงเฉินยื่นมาแล้วอดมองนางอีกหลายทีไม่ได้


 


 


มั่วชิงเฉินกลับไม่ใส่ใจ ทั้งพรรคเหยากวงรวมทั้งศิษย์จิปาถะมีหลายแสนคน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานมีเพียงพันคน ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายยังไม่ถึงร้อยคน


 


 


ผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณพวกนั้นน้อยนักที่จะปรากฏตัวต่อหน้าศิษย์ธรรมดา สามารถพูดได้ว่าศิษย์ระดับสร้างรากฐานระยะปลายก็คือความมีอยู่ที่สูงที่สุดที่ศิษย์ธรรมดาได้เจอเป็นประจำแล้ว ศิษย์ระดับสร้างรากฐานระยะปลายในสำนักไม่มีสักคนที่ไม่ถูกศิษย์ธรรมดาเห็นเป็นแบบอย่าง เกรงว่าชื่อ โฉมหน้าของแต่ละคนทุกคนล้วนจำได้หมด จู่ๆ มีคนหน้าไม่คุ้นโผล่มาคนหนึ่ง รู้สึกประหลาดใจก็เป็นเรื่องธรรมดาของคน


 


 


“อ๊า ข้านึกขึ้นมาได้แล้ว เจ้า เจ้าคือศิษย์พี่มั่ว!” ศิษย์ผู้ดูแลที่ถือป้ายประจำตัวของมั่วชิงเฉินจู่ๆ ก็ตะโกนเสียงหลง


 


 


เห็นป้ายประจำตัวของตนเกือบตกลงไป มั่วชิงเฉินแอบกระตุกมุมปาก ยิ้มว่า “ศิษย์น้องผู้ดูแล รบกวนเจ้าช่วยบันทึกให้ข้าที ข้ายังมีธุระ”


 


 


“ได้ ได้” ศิษย์ผู้ดูแลพูดซ้ำๆ แล้วเริ่มบันทึกป้ายประจำตัว


 


 


“หา! เจ้า เจ้าเพิ่งอายุสี่สิบปี!” ศิษย์ผู้ดูแลเงยหน้าขึ้นโดยพลันมองไปที่มั่วชิงเฉินด้วยความตะลึง ป้ายประจำตัวในมือหล่นลง


 


 


มั่วชิงเฉินมือไวตาเร็วจับป้ายประจำตัวของตนเองไว้ สูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่งแล้วว่า “ศิษย์น้องผู้ดูแล…”


 


 


ศิษย์ผู้ดูแลสีหน้าแดงเรื่อแล้วรับป้ายประจำตัวมา พลางบันทึกข้อมูลพลางเอ่ยว่า “ศิษย์พี่มั่วอย่าถือโทษ ศิษย์พี่มั่วอย่าถือโทษ”


 


 


ในที่สุดก็บันทึกเสร็จ มั่วชิงเฉินรับป้ายประจำตัวของตนมา แล้วหนีเตลิดไปท่ามกลางสายตาเร่าร้อนของศิษย์ผู้ดูแล


 


 


ถึงเขาป่าไผ่ มั่วชิงเฉินมองดูรอบๆ สาดส่องสายตาไปยังคงเป็นสวนสมุนไพรทะเลไผ่ที่คุ้นเคย กลับไม่เห็นอสูรเสือพายุทะลุฟ้าที่มักอาบแดดอยู่บนพื้นหญ้าอย่างขี้เกียจและอินทรีวิญญาณหยกหิมะที่เยื้องย่างอย่างเอ้อระเหย


 


 


อาจารย์ไม่อยู่!


 


 


ในใจมั่วชิงเฉินจู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งโผล่มา นางรีบเดินเข้าห้องไป


 


 


ผลักประตูเข้าไป ทันใดนั้นยันต์แผ่นหนึ่งก็บินตกลงในมือ มั่วชิงเฉินรีบกวาดจิตตระหนักดู


 


 


“ชิงเฉิน เจ้าจากสำนักไปหลายปีสบายดีหรือไม่? หากหาของที่ต้องการได้แล้วกลับมาถึงเขาป่าไผ่ ก็สงบใจลงมาบำเพ็ญเพียรสักพักเถอะ อาจารย์ได้รับคำสั่งจากสำนัก ให้ไปสนับสนุนศึกเต๋ามารยังสำนักลั่วสยา ในเวลาอันสั้นเกรงว่าจะไม่ได้กลับมา ไม่ต้องเป็นห่วง จากอาจารย์ กู้หลี”


 


 


มั่วชิงเฉินยืนงงงันอยู่เนิ่นนาน แล้วนั่งลงอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในปากพึมพำว่า “ที่แท้ท่านรู้หมดทุกอย่าง…”


 


 


“รู้อะไร?” อีกาไฟทนเห็นท่าทางเช่นนี้ของมั่วชิงเฉินไม่ได้ จึงขัดขึ้นว่า


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มด้วยสีหน้าประหลาด จ้องอีกาไฟตาไม่กะพริบว่า “ท่านรู้ว่าครั้งนี้ข้าลงเขาไปเพื่ออะไร มิน่า มิน่าในตึกไม้ไผ่ที่ท่านเก็บม้วนคัมภีร์หยก จึงบังเอิญมีข้อมูลของสายผี ท่าน ท่านไม่ว่าอะไรก็รู้ดีอยู่แก่ใจชัดๆ กลับไม่เคยพูดถึง…”


 


 


พูดถึงตรงนี้จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็นึกถึงหลัวอวี้เฉิง หลัวอวี้เฉิงสติปัญญาล้ำเลิศใกล้ปีศาจ ความฉลาดเปิดเผยออกมาทำให้คนยำเกรง ส่วนอาจารย์ กลับเป็นคนที่ต่างกับเขาโดยสิ้นเชิง


 


 


“เจ้านาย…” อีกาไฟลากเสียงยาวเรียกว่า


 


 


“หืม?” มั่วชิงเฉินมองมา


 


 


ก็เห็นอีกาไฟสลัดขนว่า “จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าท่านนักพรตเป็นเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว หากเป็นเช่นหลัวอวี้เฉิงนั้น จะทำให้เจ้าดูโง่เกินไป…”


 


 


ในยามนี้เอง จู่ๆ แสงรุ้งสายหนึ่งก็พุ่งขึ้นท้องฟ้า ห้องไม้ไผ่ที่มั่วชิงเฉินอยู่ถูกส่องจนสว่างไปหมด


 


 


มั่วชิงเฉินสีหน้าเปลี่ยนทันที ร่ายเคลื่อนเงาเลือนรางทะยานออกจากห้องไม้ไผ่ แล้วก็เห็นทิศทางที่เขาหลิวหั่วตั้งอยู่ บนฟ้ามีแสงรุ้งห้าสีรวมตัวกัน นกวิญญาณร่ายรำ สะพานสายรุ้งโอบล้อม เป็นนิมิตเซียน


 


 


“นี่คือ…มีคนก่อแก่นปราณแล้ว!” มั่วชิงเฉินพูดเสียงหลง


 


 


 


 


——


 


 


[1] เป็นพระครึ่งทาง หมายถึง เริ่มทำอะไรกลางคัน ไม่ได้เริ่มตั้งแต่ต้น 

 

 


ตอนที่ 256 อานุภาพของข่าวลือ

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือเรียกเรือเล็กออกมา กระโดดขึ้นไปแล้วบินไปเขาหลิวหั่วดุจดาวตก


 


 


“อ๊า รอข้าด้วย…” อีกาไฟร้องแว้ดๆ แล้วไล่ตามหลังมา


 


 


ในยามนี้เขาหลิวหั่วมีผู้บำเพ็ญเพียรเบียดเสียดเต็มไปหมดแล้ว บนฟ้ามีผู้บำเพ็ญเพียรร่อนลงเป็นระยะๆ สายตาของทุกคนล้วนจ้องไปที่ทิศทางของแสงรุ้งเต็มฟ้า นั่นคือตำแหน่งที่ตั้งของยอดเขาหลักของเขาหลิวหั่ว


 


 


“นี่เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ศิษย์จิปาถะของเขาหลิวหั่วหยุดงานที่ทำในมือ เขยิบขึ้นมาดูกลับไม่เข้าใจสถานการณ์


 


 


ศิษย์ในสำนักคนหนึ่งเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “นี่ นี่คือมีคนกำลังก่อแก่นปราณน่ะสิ!”


 


 


คำพูดนี้ก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นทันที ศิษย์ธรรมดาที่เดิมยังไม่รู้สถานการณ์ไม่มีสักคนที่ไม่แย่งกันเบียดขึ้นไปข้างหน้ากลัวต้องรั้งท้าย


 


 


“อาจารย์อาท่านไหนกำลังก่อแก่นปราณล่ะ?” ศิษย์ระดับหลอมลมปราณถามด้วยสีหน้าอิจฉา


 


 


ศิษย์อีกคนหนึ่งตบมือว่า “ข้ารู้แล้ว คนที่ก่อแก่นปราณต้องเป็นอาจารย์อาเยี่ยเป็นแน่! อ๊า ผิดแล้ว รออาจารย์อาเยี่ยออกมาพวกเราก็ควรเรียกว่าท่านอาจารย์ปู่แล้ว”


 


 


“จิ๊ๆ อาจารย์อาเยี่ยเพิ่งอายุเท่าไรเอง นี่ก็ก่อแก่นปราณแล้ว เกรงว่าจะเป็นคนที่ก่อแก่นปราณเร็วที่สุดในพรรคเหยากวงเราแล้วกระมัง?” มีคนพูดแทรกขึ้น


 


 


ศิษย์คนนั้นนับนิ้วดูแล้วว่า “อาจารย์อาเยี่ยสร้างรากฐานเมื่ออายุยี่สิบปี บัดนี้น่าจะ…หกสิบเก้าปี อ๊า เมื่อเป็นเช่นนี้ละก็ คนที่ก่อแก่นปราณเร็วที่สุดของพรรคเหยากวงเรายังคงเป็นท่านผู้เฒ่าเหอกวง”


 


 


ศิษย์ไม่กี่คนพยักหน้าเห็นด้วยว่า “ถูกต้อง ท่านผู้เฒ่าเหอกวงก่อแก่นปราณเมื่ออายุหกสิบแปดปี”


 


 


“เช่นนั้นอาจารย์อาเยี่ยก็ร้ายกาจมากแล้ว อย่างน้อยควรนับว่าเป็นคนที่บำเพ็ญเพียรได้เร็วที่สุดในรุ่นนี้แล้ว” ศิษย์ที่ถามก่อนหน้านี้ถอนใจว่า


 


 


อีกคนหนึ่งส่ายศีรษะว่า “นั่นก็ไม่แน่หรอกนะ ศิษย์ก้นกุฏิของท่านผู้เฒ่าเหอกวงอาจารย์อามั่วสร้างรากฐานตั้งแต่อายุยี่สิบสองปีเชียวนะ อายุสามสิบสามปีก็เข้าสู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางแล้ว ไม่แน่นะ อาจารย์อามั่วอาจสามารถตีสถิติอาจารย์อาเยี่ยแตกก็ได้นะ”


 


 


“เชอะ มีใครไม่รู้บ้างว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่ติดอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางมีจำนวนนับไม่ถ้วน อาจารย์อามั่วสามารถเข้าสู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลายได้หรือไม่ยังไม่แน่เลย…” ศิษย์คนหนึ่งแย้งถึงครึ่งหนึ่งแล้วหุบปากโดยพลัน ยื่นนิ้วชี้ไปที่ที่หนึ่งแล้วพูดไม่ออกไปครึ่งค่อนวัน


 


 


“เป็นอันใด?” ไม่กี่คนนั้นถามพลางมองไปที่ทิศทางที่ชี้ไป ก็เห็นตรงนั้นมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงอายุน้อยระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนหนึ่งยืนอยู่เงียบๆ


 


 


“อะ…อาจารย์อามั่ว” ศิษย์ที่ออกปากแย้งเอ่ยอย่างเหลอหลา


 


 


“อาจารย์อามั่วอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลายแล้ว นาง นางเพิ่งสี่สิบปี!” ศิษย์ที่พูดถึงมั่วชิงเฉินก่อนหน้านี้รีบประกาศอายุนางออกมา


 


 


ทุกคนสูดลมเย็นเข้าอึดหนึ่ง มองดูมั่วชิงเฉิน แล้วมองดูแสงรุ้งเต็มท้องฟ้าอีก ทันใดนั้นไม่มีอารมณ์พูดเล่นกันอีกต่อไป ความคิดหนึ่งลอยขึ้นในใจพร้อมกัน เหตุใดบำเพ็ญเพียรเหมือนกัน ความแตกต่างระหว่างคนและคนถึงมากมายเพียงนี้นะ


 


 


ผ่านไปครึ่งค่อนวัน มีเพียงศิษย์หญิงคนหนึ่งลังเลว่า “เห็นบอกว่าอาจารย์อามั่วลงเขาท่องเที่ยวฝึกตนแล้วมิใช่หรือ ไยจึงบังเอิญกลับมาเวลานี้พอดีล่ะ?”


 


 


เห็นสีหน้าศิษย์หญิงคนนั้นไม่ยินดี ศิษย์ชายคนหนึ่งกลับหัวเราะฮ่าๆ อย่างไม่เกรงใจว่า “ศิษย์น้องอู๋ นี่ยังต้องพูดอีกหรือ ต้องเพราะอาจารย์อามั่วรู้ข่าวอาจารย์อาเยี่ยจะก่อแก่นปราณ ถึงรีบรุดกลับมาน่ะสิ”


 


 


ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย


 


 


มั่วชิงเฉินยังไม่รู้ว่านางเพียงแค่รุดมาแหงนมองนิมิตฟ้าของการก่อแก่นปราณทีหนึ่ง เรื่องซุบซิบเกี่ยวกับนางและเยี่ยเทียนหยวนหลายรูปแบบก็กระจายออกไปอย่างรวดเร็วแล้ว


 


 


ยามนี้เจ้าสำนักนักพรตฟางเหยาและท่านผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณไม่กี่คนร่อนลงพร้อมกันบนเขาหลิวหั่วแล้ว มองนิมิตบนฟ้าพร้อมกัน


 


 


“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก นี่คือศิษย์หลานเยี่ยกำลังก่อแก่นปราณสินะ” เจ้าโถงโถงลงทัณฑ์นักพรตเจิ้นผิงถามขึ้น


 


 


นักพรตฟางเหยาลูบหนวดสั้นที่คาง สีหน้าปีติว่า “ใช่แล้ว”


 


 


นักพรตฝูหมิงที่อยู่ข้างๆ อมยิ้มว่า “ศิษย์พี่เจิ้นผิง ต่อไปพวกเราเกรงว่าต้องเรียกศิษย์น้องเยี่ยแล้ว”


 


 


เมื่อใดที่ก่อแก่นปราณปรากฏนิมิตฟ้า นั่นก็หมายถึงก่อแก่นปราณสำเร็จแล้ว รอเยี่ยเทียนหยวนแหกด่านออกมา นั่นก็คือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่แท้จริงแล้ว


 


 


“ใช่ ใช่ เป็นศิษย์น้องเยี่ยจริงๆ เพียงแต่ไม่ทราบว่าถึงเวลาท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างจะประทานสมญาเต๋าอะไรให้ศิษย์น้องเยี่ย” นักพรตเจิ้นผิงสีหน้าปีติเช่นกัน


 


 


นักพรตฟางเหยาหัวเราะว่า “ในยามที่ศึกเต๋ามารยิ่งสู้ยิ่งดุเดือด ศิษย์น้องเยี่ยสามารถก่อแก่นปราณได้ช่างเป็นเรื่องโชคดีของสำนักจริงๆ เกรงว่างานพิธีก่อแก่นปราณจะต้องจัดให้ครึกครื้นกว่าแต่ก่อนอีกสักหน่อย”


 


 


ในยามนี้เองสัมผัสได้ถึงพลานุภาพสายหนึ่งกดทับลงมา ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณไม่กี่ท่านคำนับพร้อมกันว่า “ขอคารวะท่านหลิวซางเจินจวิน ท่านเหิงตั๋วเจินจวิน!”


 


 


หลิวซางเจินจวินในชุดม่วงพยักหน้าว่า “ไม่ต้องมากพิธี ศิษย์หลานเจ้าสำนัก นี่คือศิษย์ท่านไหนกำลังก่อแก่นปราณหรือ?”


 


 


นักพรตฟางเหยาเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “เรียนท่านหลิวซางเจินจวิน เยี่ยเทียนหยวนแห่งเขาหลิวหั่วก่อนหน้านี้สักพักรายงานทางสำนักว่าจะทะลวงระดับก่อแก่นปราณ บัดนี้ดูแล้วต้องเป็นศิษย์น้องเยี่ยที่ก่อแก่นทองสำเร็จแล้วเป็นแน่แท้”


 


 


หลิวซางเจินจวินและเหิงตั๋วเจินจวินสบตากันปราดหนึ่ง แล้วหัวเราะว่า “ที่แท้เจ้าเด็กนั่นเอง เอ่อ อายุเขาน่าจะไม่มากกระมัง?”


 


 


“เรียนท่านเจินจวิน ศิษย์น้องเยี่ยปีนี้หกสิบเก้าปีพอดีขอรับ” นักพรตฟางเหยาเอ่ย


 


 


หลิวซางเจินจวินพยักหน้าว่า “ไม่เลว ช่างเป็นคนหนุ่มมีความสามารถจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์หลานเจ้าสำนักเจ้าก็ดูแลให้ดี พวกเรากลับไปก่อนแล้ว”


 


 


พูดจบ เจินจวินสองท่านก็เหยียบอากาศจากไปดุจเดินเล่นในสวน


 


 


มองดูผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสองท่านไปมาดั่งลม ศิษย์ในสำนักต่างแหงนหน้ามอง ใบหน้าปรากฏแววความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด


 


 


นักพรตฟางเหยาไม่ได้ไล่ศิษย์พวกนี้ไป หากแต่โยกย้ายศิษย์ผู้ดูแลส่วนใหญ่มารักษาระเบียบเรียบร้อย


 


 


ในสำนักมีคนสร้างรากฐานหรือก่อแก่นปราณสำเร็จ สำหรับศิษย์เดิมทีก็เป็นเรื่องน่าดีอกดีใจอยู่แล้ว ให้พวกเขาหยุดชื่นชมหนึ่งคือเพิ่มพูนความรู้ สองก็มีประโยชน์ในด้านการให้กำลังใจ


 


 


มีเพียงยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรในสำนักเลื่อนขั้นเข้าระดับก่อกำเนิด เพราะเป็นเรื่องสำคัญใหญ่หลวงถึงจำกัดไม่ให้ศิษย์ธรรมดามุงดู


 


 


ผ่านไปสามวันเต็มๆ นิมิตบนฟ้าถึงค่อยๆ กระจายหายไป สะพานปักษากระเรียนวิญญาณต่างกลายเป็นแสงวิญญาณกระจายหายไป ท้องฟ้าสีคราม แสงตะวันสดใส


 


 


ประตูถ้ำค่อยๆ เปิดออก ชายในชุดนักพรตสีเขียวของสำนักเดินออกมาท่ามกลางแสงตะวัน


 


 


“ยินดีกับท่านอาจารย์ปู่เยี่ยก่อแก่นทองสำเร็จ…” ศิษย์ระดับหลอมลมปราณนับไม่ถ้วนตะโกนขึ้น


 


 


“ยินดีกับท่านอาจารย์อาเยี่ยก่อแก่นทองสำเร็จ…” ศิษย์ระดับสร้างรากฐานตะโกนพร้อมกัน ก่อนนี้ไม่นานยังเป็นคนในเขตแดนเดียวกับตน บัดนี้พริบตาเดียวก็กลายเป็นนักพรตแก่นทองแล้ว พวกเขาเป็นผู้ที่ถูกกระทบความรู้สึกที่สุด


 


 


“ยินดีกับศิษย์น้องเยี่ย” นักพรตฟางเหยานำผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองสามท่านรุดมาแล้ว


 


 


กลิ่นอายและความทะนงของบุตรผู้ได้รับการโปรดปรานจากฟ้าอะไรยามนี้หายไปจนหมดสิ้น เยี่ยเทียนหยวนท่าทีสงบคารวะอย่างนอบน้อมว่า “ขอบคุณศิษย์พี่เจ้าสำนักและศิษย์พี่ทุกท่าน”


 


 


พูดจบเงยหน้าขึ้นมาสายตาตกไปอยู่ที่ที่หนึ่ง กลับต้องชะงัก สีหน้าอ่อนโยนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว


 


 


นักพรตฟางเหยากรอกสายตาแล้วยิ้มว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าเพิ่งก่อแก่นทองสำเร็จไปพักผ่อนให้ดีก่อน ศิษย์พี่จะไปจัดการเรื่องพิธีฉลองก่อแก่นปราณแล้ว”


 


 


เยี่ยเทียนหยวนเบนสายตากลับมา เอ่ยอย่างสงบว่า “บัดนี้เรื่องในสำนักมีมากมาย ศิษย์พี่เจ้าสำนักไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงใจเกินไปเพื่อจัดพิธีฉลอง นั่นก็เพียงแค่จัดเป็นพิธีเท่านั้น”


 


 


นักพรตฟางเหยาหัวเราะแล้ว “ศิษย์น้องเยี่ยเอ๋ย ก็เพราะเป็นเช่นนี้ พิธีฉลองก่อแก่นปราณของเจ้าถึงทำลวกๆ ไม่ได้ มิเช่นนั้นท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งก็จะตำหนิข้าได้ เอาล่ะ ศิษย์พี่นำศิษย์น้องสองสามท่านไปก่อนแล้ว รอจัดการเรียบร้อยแล้วค่อยส่งคนมาแจ้งเจ้า ศิษย์น้องเจ้าเพียงแค่พักผ่อนให้ดีก็พอแล้ว”


 


 


พูดจบนักพรตฟางเหยากวาดมองผู้คนรอบๆ ว่า “เอาล่ะ ทุกคนต่างกระจายไปเถอะ ยามพิธีฉลองก่อแก่นปราณ ให้ทุกคนครึกครื้นได้ตามสบาย”


 


 


“ท่านเจ้าสำนักจงเจริญ ท่านเจ้าสำนักจงเจริญ!” ศิษย์ไม่น้อยตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นเต้น


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองสามคนพยักหน้าพร้อมกันให้เยี่ยเทียนหยวนแล้ว ขึ้นอาวุธเวทจากไป


 


 


จนถึงยามนี้ นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณที่มองจากที่ไกลๆ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานต่างล้อมเข้ามา อวยพรพร้อมเพรียงกันว่า “ยินดีกับท่านอาจารย์อาเยี่ย”


 


 


เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าสงบกวาดมองผ่านทุกคน มุมปากกระดกเล็กน้อยว่า “ขอบคุณศิษย์หลานทุกท่าน” พูดจบสายตาอดมองไปที่มั่วชิงเฉินไม่ได้


 


 


ทุกคนเห็นดังนั้นต่างถอยออกข้างๆ อย่างรู้กัน


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว มั่วชิงเฉินที่ยืนอยู่ที่เดิมกลับดูโดดเด่นออกมา


 


 


มั่วชิงเฉินแอบกัดฟัน แต่ยังคงเดินขึ้นหน้าไป ยิ้มอวยพรว่า “ยินดีกับท่านอาจารย์อาเยี่ยก่อแก่นทองสำเร็จ”


 


 


ที่นางลังเลเมื่อครู่ เพราะกลัวว่าหากตนเขยิบเข้าไปเกรงว่าไม่ถึงครึ่งวันข่าวลือเกี่ยวกับทั้งสองคนต้องบินว่อนไปทั่วสำนักอีกแล้ว ทว่าเมื่อคิดอีกทีกลับคิดตกแล้ว


 


 


ตนกระทำการใดๆ ขอเพียงไม่เป็นการทำร้ายคนอื่น ไฉนต้องคอยดูสีหน้าคนอื่น ใส่ใจความคิดคนอื่นด้วย เยี่ยเทียนหยวนมีบุญคุณช่วยชีวิตตนไว้หลายครั้ง บัดนี้เขาก่อแก่นทองสำเร็จ พูดได้ว่าเป็นการเริ่มต้นการเดินทางของชีวิตที่สำคัญที่สุด ก้าวเข้าสู่แถวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงนับแต่บัดนี้ อวยพรเสียงหนึ่งถึงเป็นเรื่องที่ถูกที่ควร


 


 


ใครจะคิดว่าเมื่อมั่วชิงเฉินเดินขึ้นหน้ามา ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานนับร้อยท่านก็กระจายออกรอบด้านทันที แต่ละคนกระโดดขึ้นอาวุธเวทเหินหาวอย่างคล่องแคล่ว ปากพูดว่า “ท่านอาจารย์อาเยี่ย ท่านทำธุระของท่านเถอะ ท่านทำธุระของท่านเถอะ” แล้วบินหนีไปอย่างกับลม


 


 


ที่ทำให้มั่วชิงเฉินพูดไม่ออกบอกไม่ถูกคือ คนพวกนั้นไม่ได้บินไปไหนไกลเลยแล้วแอบวนกลับมาอีก ขลุกอยู่ตามซอกมุมคอยสังเกตทั้งสองคนตาเป็นประกาย


 


 


ศิษย์ระดับหลอมลมปราณพวกนั้นก็ยิ่งจนด้วยคำพูดแล้ว แต่ละคนผลักไปผลักมา เดินหนึ่งก้าวหันกลับสามครั้ง แล้วยังได้ยินเสียงร้องไอยาเพราะศีรษะโขกกันเป็นระยะ


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกจำใจ แอบคิดในใจว่าที่แท้ก็ยังต้องใส่ใจความคิดของคนอื่นอยู่ดี พลาดไปแล้วจริงๆ ตนควรกลับไปก่อนไว้วันหลังค่อยมาอวยพรใหม่ ใครใช้ให้คนอื่นในนี้ไม่ใช่คนเพียงคนเดียว แต่เป็นคนนับหมื่นนับพันล่ะ!


 


 


“ศิษย์…หลานมั่ว ขอบคุณ” เยี่ยเทียนหยวนมองมั่วชิงเฉินตาไม่กะพริบ จากกันครั้งนี้ก็เป็นเวลาหลายปีอีกแล้ว ไม่คิดว่านางจะอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลายแล้ว ดูเหมือนทุกครั้งที่พบกัน นางมักเกินความคาดหมายของตนเสมอ


 


 


“เอ่อ ท่านอาจารย์อาเยี่ย ท่านเพิ่งสำเร็จแก่นทอง อย่างไรก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ รอวันหน้าพิธีฉลองก่อแก่นปราณ ศิษย์ค่อยมาอวยพรอีกครั้ง” มั่วชิงเฉินพูดจบแล้วยิ้มให้เยี่ยเทียนหยวน แล้วแทบจะหนีหัวซุกหัวซุนบินออกจากเขาหลิวหั่ว


 


 


เยี่ยเทียนหยวนมองทิศทางที่เรือบินหายไปแล้วเม้มปาก หันหลังจากไปด้วยสีหน้าบอกไม่ถูก


 


 


มั่วชิงเฉินกลับถึงเขาป่าไผ่ แล้วถอนหายใจแรงๆ ด้วยความโล่งอก คิดๆ ดูวันนี้ที่เขาหลิวหั่วกลับไม่เห็นมั่วหลีลั่วและต้วนชิงเกอ ไม่ค่อยปกติแฮะ


 


 


สถานการณ์เช่นนี้ ด้วยนิสัยของมั่วหลีลั่วไม่มีเหตุผลที่จะไม่มา ต่อให้ต้วนชิงเกอที่นิสัยเงียบๆ สามารถเห็นนิมิตก่อแก่นปราณกับตา โอกาสเช่นนี้ก็ไม่มีทางปล่อยผ่าน


 


 


มั่วชิงเฉินส่งยันต์ส่งสารให้ทั้งสองคนคนละหนึ่งแผ่นทันที คิดๆ แล้ว ส่งให้เสี่ยวซย่าและเฉินเจียวซิ่งอีกคนละหนึ่งแผ่น


 


 


แม้นับตั้งแต่ทะเลาะกันใหญ่โตกับเฉินเจียวซิ่งครั้งนั้น ก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก บัดนี้สี่ห้าปีผ่านไปแล้ว ตนกลับมาอย่างไรก็ควรทักทายสักคำ อย่างไรเสียก็ยังไม่รู้สถานการณ์ช่วงนี้ของพี่เสี่ยวซย่าว่าเป็นเช่นไร


 


 


ที่ทำให้มั่วชิงเฉินคิดไม่ถึงคือ ยันต์ส่งสารสี่แผ่นไม่คิดเลยว่าไม่ได้ตอบรับเลยสักแผ่น ท่ามกลางความสงสัยในใจ จึงนั่งเรือเล็กบินไปที่ยอดเขารองที่นักพรตจื่อซีอยู่


 


 


“ชิงเฉินหรือนี่ รีบเข้ามา” เพิ่งถึงหน้าที่พำนักของนักพรตจื่อซีแล้วส่งสารออกไป ประตูถ้ำก็เปิดออกช้าๆ เสียงของนักพรตจื่อซีดังขึ้น


 


 


ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยนี้ มั่วชิงเฉินรู้สึกสนิทสนมอย่างไร้สาเหตุ ก้าวเท้าเดินเข้าไป


 


 


“คารวะท่านอาจารย์ลุงใหญ่” มั่วชิงเฉินคำนับ


 


 


นักพรตจื่อซีพยุงมั่วชิงเฉินขึ้นมา เพ่งพิศนางอย่างละเอียดรอบหนึ่ง แล้วถึงว่า “นางหนูชิงเฉิน ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว!” 

 

 


ตอนที่ 257 ตัวเลือกออกศึก

 

“คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ?” กลับถึงเขาป่าไผ่ เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งสาวใช้สองคนเข้ามาต้อนรับ เห็นสีหน้ามั่วชิงเฉินหนักหน่วง จึงออกเสียงถามว่า


 


 


มั่วชิงเฉินมองดูสาวใช้สองคน แยกจากกันทีหนึ่งห้าปี บัดนี้พวกนางก็มีตบะระดับหลอมลมปราณขั้นแปดแล้ว ดูแล้วหลายปีมานี้ไม่ได้แอบอู้ เพียงแต่ยามอยู่ต่อหน้าตน ระมัดระวังตัวกว่าแต่ก่อนสักหน่อย คิดว่าคงเป็นเพราะแยกจากกันนานเกินไป


 


 


“ไม่มีอะไร พวกเจ้าลงไปก่อนเถอะ” มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน ตั้งแต่กลับเขาป่าไผ่ก็เจอกับเรื่องเยี่ยเทียนหยวนก่อแก่นปราณ จากนั้นก็ไปที่นักพรตจื่อซีนั่นอีก จนถึงยามนี้นายบ่าวสามคนถึงนับว่าได้คุยกัน ทว่านางไม่มีอารมณ์พูดมากจริงๆ


 


 


เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งสบตากันปราดหนึ่ง ย่อตัวอย่างพร้อมเพรียง “เจ้าค่ะ หากคุณหนูมีอะไรก็เรียกบ่าวนะเจ้าคะ”


 


 


ทั้งสองคนหันหลังเดินไปสองสามก้าว เหลียงเฉินกลับทนไม่ไหวหันหน้ากลับมา เอ่ยอย่างซุกซนว่า “คุณหนู ห้าปีมานี้ข้าและเหม่ยจิ่งไม่ได้อยู่เฉยๆ นะเจ้าคะ เรื่องมากมายในสำนักต่างสืบมาอย่างชัดเจน ก็รอวันท่านกลับมาเล่าให้ท่านฟัง ไม่ใช่สภาพเช่นแต่ก่อนที่หาไม่เจอแม้กระทั่งประตูใหญ่ของเขารั่วสุ่ยแล้วนะเจ้าคะ”


 


 


ฟังถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินเกิดใจหวั่นไหวขึ้นมา กวักมือว่า “เช่นนั้นรอก่อน ข้าถามพวกเจ้าเรื่องหนึ่ง”


 


 


“คุณหนูเชิญพูด” เหลียงเฉินเอ่ยได้ได้ใจ


 


 


“พวกเจ้าสองคนตามข้ามาหลายปีแล้ว น่าจะรู้ว่าข้ามีสหายสนิทอยู่เขาต้วนจิน ชื่อเสี่ยวซย่า ปีนั้นเขาออกจากสำนักไปท่องเที่ยวฝึกตน หลายปีมานี้มีข่าวคราวหรือไม่?” มั่วชิงเฉินถามว่า แต่กลับไม่คาดหวังอะไร


 


 


ไม่คิดว่าเหลียงเฉินกลับหัวเราะฟู่ว่า “คุณหนู แม้เราไม่เคยพบพี่เสี่ยวซย่าของท่านมาก่อน ทว่าข่าวคราวของเขากลับรู้มาเล็กน้อยจริงๆ”


 


 


“รีบพูด อย่าอิดออด” มั่วชิงเฉินค้อนนางทีหนึ่ง


 


 


เหม่ยจิ่งเอ่ยว่า “คุณหนู เป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ สามปีก่อนเขาต้วนจินมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชื่อเฉินเจียวซิ่งท่านหนึ่งสร้างรากฐานสำเร็จ ไม่นานก็ทิ้งจดหมายแล้วลงเขาไป ว่ากันว่าเพื่อไปตามหาศิษย์พี่ร่วมสำนักชื่อเสี่ยวซย่า เรื่องนี้จึงกลายเป็นหัวข้อคุยเล่นของคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านไม่น้อยในสำนัก”


 


 


“ก็นั่นน่ะสิ โดยเฉพาะศิษย์ชายบางส่วนน่ะ พูดขึ้นมาแล้วน้ำเสียงมีแต่ความอิจฉา อิจฉาที่เสี่ยวซย่าดวงนารีไม่เบาเลย” เหลียงเฉินหัวเราะว่า


 


 


“เอ่อ ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นพวกเจ้าลงไปเถอะ” มั่วชิงเฉินให้สาวใช้สองคนไปแล้ว ในใจรู้สึกโล่งอกขึ้นมา


 


 


ในที่สุดเฉินเจียวซิ่งก็สร้างรากฐานแล้ว นางและตนอายุพอๆ กัน อายุสร้างรากฐานแม้ไม่นับว่าเร็วในบรรดาศิษย์ภายในของเหยากวง ทว่าก็ใช่ว่าเป็นเรื่องไม่ดี นางมีรากวิญญาณคู่ สร้างรากฐานล้มเหลวหลายครั้งตลอดหลายปีมานี้ก็ถือเป็นการขัดเกลานิสัย สภาพจิตใจชนิดหนึ่ง บัดนี้น้ำมาคลองเกิดได้สร้างรากฐาน ด้วยคุณสมบัติของนางก็ไม่เห็นว่าอนาคตจะล้าหลังคนอื่น


 


 


ส่วนพี่เสี่ยวซย่า ผู้บำเพ็ญเพียรที่เดินทางอยู่ข้างนอกส่วนใหญ่ล้วนอยู่ระดับหลอมลมปราณ ด้วยตบะระดับสร้างรากฐานของเขา อีกทั้งนิสัยเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ เจอเรื่องอะไรน่าจะเปลี่ยนร้ายให้เป็นดีได้ อีกอย่าง ผู้บำเพ็ญเพียรลงเขาท่องเที่ยวฝึกตนเป็นวิชาภาคบังคับ หากนางกังวลเพราะเรื่องนี้ไม่หยุดก็คือยึดติดเกินไปแล้ว คนต่างมีชะตา คำพูดนี้พูดแล้วไร้น้ำใจ แต่กลับพูดไม่ผิด


 


 


ได้รู้ข่าวคราวไม่น้อยจากที่นักพรตจื่อซีนั่น มั่วชิงเฉินถึงตกใจตื่นว่าที่แท้ศึกเต๋ามารได้ดุเดือดถึงระดับนี้แล้ว


 


 


นักพรตรั่วซีที่ส่งหรวนหลิงซิ่วกลับสำนักลั่วสยาในปีนั้นไม่ได้กลับตลอดมา นางเป็นคนส่งข่าวสำนักลั่วสยาและสำนักมารฟ้าเกิดข้อพิพาทด้วยเหตุอันใดกลับสำนักในเวลาแรก


 


 


เมื่อเริ่มแรกในสำนักส่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณท่านหนึ่งนำพาศิษย์ระดับสร้างรากฐานจำนวนหนึ่งรุดไป ตามสภาพการรบที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดสำนักก็ส่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหรูอวี้เจินจวินรุดไปสำนักลั่วสยา


 


 


หลายเดือนก่อนทางด้านสำนักลั่วสยาส่งข่าวมา ผู้บำเพ็ญเพียรมารที่เข้าร่วมศึกใหญ่นับวันยิ่งมากขึ้น ทางด้านผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าคนไม่พอจึงขอกำลังสนับสนุน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดห้าท่านของเหยากวง โส่วเต๋อเจินจวินอายุขัยใกล้สิ้นยากจะออกเดินทางได้ หรูอวี้เจินจวินไปสำนักลั่วสยาแล้ว เจินจวินสามท่านที่เหลือกลับลงจากเขาง่ายๆ ไม่ได้ มิเช่นนั้นเมื่อใดที่ในสำนักเกิดเรื่องก็น้ำไกลไม่อาจดับไฟใกล้แล้ว


 


 


ดังนั้นในสำนักนอกจากเขารั่วสุ่ยแล้วสี่ยอดเขาที่เหลือต่างส่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณท่านหนึ่งนำศิษย์รุดไป ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่ออกศึกของเขาชิงมู่ก็คือนักพรตเหอกวง ส่วนทางด้านเขารั่วสุ่ยเนื่องจากเจ้าเขาหลักและศิษย์เอกนักพรตรั่วซีล้วนอยู่สำนักลั่วสยา ครั้งนี้จึงส่งไปเพียงศิษย์ระดับสร้างรากฐานจำนวนหนึ่ง ในนั้นก็มีมั่วหลีลั่ว


 


 


ส่วนต้วนชิงเกอ กลับเพราะก่อนนี้ไม่นานเลื่อนขั้นขึ้นระดับสร้างรากฐานระยะกลางกำลังกักตนทำตบะให้มั่นคง ไม่ได้อยู่ในขบวนศิษย์ที่ส่งไป


 


 


รู้ที่ไปของทุกคนแล้ว ในใจมั่วชิงเฉินมีความรู้สึกเร่งร้อน นางเดาได้รางๆ ว่าศึกเต๋ามารครั้งนี้ไม่จบลงง่ายๆ เช่นนั้นแน่ ไม่แน่เวลาไหนนางก็ต้องถูกส่งไปสนับสนุนการรบ หากเป็นเช่นนี้ละก็ ก็ต้องเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ แล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินเรียบเรียงวิธีรับศึกของตนเองดู


 


 


ก่อนอื่นยังคงเป็นเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ นี่เป็นวิธีจู่โจมที่ดั้งเดิมที่สุดของนาง แม้ไม่อัศจรรย์เหมือนวิธีอื่น กลับชนะที่พลังแฝงไร้ขอบเขต เพียงแต่น่าเสียดายบัดนี้ยังหยุดอยู่ที่ขั้นที่สอง เคล็ดวิชากระบี่ขั้นที่สามทะเลบุปผามายาไม่อาจรู้แจ้งได้เสียที


 


 


ช่วงนี้ที่นางต้องทำก็คือรับรู้จิตกระบี่ต่อ มีเพียงควบคุมจิตกระบี่ได้อย่างแท้จริง เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ถึงนับว่ามีอานุภาพ ไม่ใช่มีเพียงรูป


 


 


ส่วนอาวุธเวทก้อนอิฐที่ตนใช้เป็นประจำ ตั้งแต่เข้าระดับสร้างรากฐานระยะปลาย ใช้จัดการลูกกะจ๊อกนับว่าดีมาก ทว่าหากเผชิญหน้ากับตบะระดับเดียวกัน กลับไม่ถนัดมือแล้ว


 


 


ต่อจากนั้นอีกก็คือระเบิดสะท้านฟ้า นี่กลับเป็นของดีที่ใช้ได้จริง หากจำนวนมาก โยนออกไปในทีเดียวต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็ต้องมือไม้พัลวันสักครา เพียงแต่ระเบิดสะท้านฟ้าในสวนสมุนไพรพกพาร้อยปีถึงจะสุกชุดหนึ่ง ชุดหนึ่งไม่เกินสิบลูก วางไว้ในความเป็นจริง ก็คือสามเดือนกว่าตนถึงจะได้ระเบิดสะท้านฟ้าหลายสิบลูก


 


 


ปกติยามบำเพ็ญเพียรสะสมนานวันเข้าปริมาณก็ยังนับว่าน่าดูชม ทว่าหากอยู่ในสนามรบจริงๆ แล้ว ไม่พอใช้เอาเสียเลย


 


 


สิ่งอื่นเช่นผงเปลี่ยนร่าง ดอกตะกละประเภทนี้เพียงแต่อาศัยจังหวะ เจอยอดฝีมือเข้าจริงๆ กลับยากจะใช้ประโยชน์ได้


 


 


พูดไปพูดมา เถาวัลย์แม้เป็นวิธีเสริม กลับยังคงต้องพึ่งพา


 


 


นอกจากพวกนี้ มั่วชิงเฉินยังมีไม้ตายอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา การจู่โจมจิตตระหนักสามารถพูดได้ว่าเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายที่สุดอีกทั้งพลังทำลายล้างมหาศาล


 


 


จัดแจงพวกนี้เสร็จ มั่วชิงเฉินตัดสินใจเน้นฝึกเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้และเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาเป็นหลัก


 


 


เพียงแต่น่าเสียดายยามที่ฝึกเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาถึงพบว่าความเร็วและผลของการฝึกเทียบกับในหุบเขาไร้วิญญาณแล้วช่างต่างกันราวฟ้าดิน เกรงว่าหากนางฝึกอยู่ข้างนอกตลอด คิดจะกว่าจะมีความสำเร็จเช่นยามนี้อย่างน้อยต้องฝึกสักหลายสิบปี


 


 


ก็เป็นเช่นนี้ นอกจากสิบวันให้หลังพิธีฉลองก่อแก่นปราณที่จัดให้เยี่ยเทียนหยวน มั่วชิงเฉินแทบจะไม่ออกจากเขาป่าไผ่แม้สักก้าวเดียว กลางคืนฝึกเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่ กลางวันก็ฝึกเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้และเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา เวลาสองปีผ่านไปในพริบตา


 


 


ในวันนี้ นางเพิ่งสิ้นสุดการฝึกเคล็ดวิชากระบี่ กำลังเช็ดกระบี่ชิงมู่เบาๆ จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณที่ส่งมาจากนอกป่าไผ่ จากนั้นสารวิญญาณสายหนึ่งส่งมา ที่แท้ศิษย์ผู้ดูแลมีเรื่องแจ้ง


 


 


มั่วชิงเฉินปลดเขตอาคมออกปล่อยศิษย์ผู้ดูแลเข้ามา


 


 


ศิษย์พี่มั่ว” ศิษย์ผู้ดูแลเห็นมั่วชิงเฉิน แล้วคารวะอย่างนอบน้อม


 


 


“ไม่ทราบศิษย์น้องผู้ดูแลมีเรื่องอันใด?” มั่วชิงเฉินถามเสียงใส จนกระทั่งยามนี้นางถึงพบว่าท่าทีของศิษย์ในสำนักที่มีต่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายต่างจากระยะต้น กลางอย่างเห็นได้ชัด หากแต่ก่อนศิษย์ที่รับหน้าที่ผู้ดูแลพวกนี้พบนาง ต่อให้นางเป็นศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็จะไม่เกรงใจเช่นนี้ พูดถึงที่สุด โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรยังคงเป็นโลกที่นับถือพลังความสามารถเป็นใหญ่


 


 


“ศิษย์พี่มั่ว ท่านอาจารย์อาเจ้าสำนักเรียกท่านไปสักครา” ศิษย์ผู้ดูแลเอ่ย


 


 


มั่วชิงเฉินใจเต้น หรือว่าในสำนักจะส่งศิษย์ไปสนามรบด้านตะวันตกอีกแล้ว?


 


 


นึกถึงตรงนี้จึงพูดกับเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งว่า “พวกเจ้าสองคนดูแลเขาป่าไผ่ให้ดี ข้าตามศิษย์น้องผู้นี้ไปเขาโฮ่วเต๋อแล้ว”


 


 


ถึงตำหนักใหญ่เขาโฮ่วเต๋อ ในตำหนักมีผู้บำเพ็ญเพียรยืนอยู่ไม่น้อยแล้วจริงๆ ต้วนชิงเกอก็อยู่ในนั้นอย่างสะดุดตา


 


 


มั่วชิงเฉินแอบคิดว่าดูท่าที่คาดไว้ไม่ผิดแล้ว ที่เรียกทุกคนมาครั้งนี้ ต้องไปสำนักลั่วสยาอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว


 


 


“ศิษย์หลานชิงเฉินเอ๋ยเจ้ามาแล้ว” นักพรตฟางเหยาเห็นมั่วชิงเฉินเพิ่งก้าวเข้ามา ก็อมยิ้มทักทาย


 


 


ก็ไม่ต้องตำหนิที่นักพรตฟางเหยามีท่าทีเช่นนี้ ด้วยอายุของมั่วชิงเฉินได้เป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลาย เทียบกับเยี่ยเทียนหยวนในปีนั้นยังเร็วกว่าสักหน่อย เมื่อเวลาผ่านไป เหยากวงจะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอีกสักคนก็ไม่ใช่เรื่องยาก


 


 


“คารวะท่านอาจารย์ลุงเจ้าสำนัก อาจารย์ลุงอาจารย์อาทุกท่าน” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างนอบน้อม


 


 


แล้วก็ได้ยินเสียงหนึ่งว่า “ศิษย์หลานชิงเฉินมาดใหญ่โตจริงๆ มาเป็นคนสุดท้าย ให้อาจารย์ลุงอาจารย์อาอย่างพวกเรานี้ยืนจนขาชาหมดแล้ว”


 


 


ไม่ต้องเงยหน้า มั่วชิงเฉินก็จำได้ว่าเจ้าของเสียงนี้เป็นใคร จึงขี้เกียจเงยหน้าให้รู้แล้วรู้รอดไป ก้มหน้าลงต่ำโดยตรงว่า “ที่อาจารย์ลุงซานอินกล่าวมาทำให้ศิษย์ยำเกรงยิ่งนัก หากอาจารย์ลุงขาชาแล้ว ศิษย์กลับเตรียมยาแปะสำหรับรักษาขาชาโดยเฉพาะ ไม่ทราบอาจารย์ลุงจะแปะสักหน่อยหรือไม่”


 


 


“ฮึ!” นักพรตซานอินฮึเสียงเย็นว่า แล้วสะบัดแขนเสื้อไม่เปิดปากอีก


 


 


นักพรตฟางเหยาแอบส่ายศีรษะ เอ่ยออกเสียงว่า “วันนี้ที่เรียกทุกท่านมา ยังคงเพราะศึกเต๋ามารทางด้านตะวันตก บัดนี้ทางนั้นส่งข่าวมาอีก สถานการณ์นับวันยิ่งรุนแรง ในสำนักตัดสินใจส่งศิษย์ไปอีกกลุ่มหนึ่ง หลายปีมานี้พวกเราเหยากวงมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดท่านหนึ่งและผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแปดท่านเข้าร่วมศึกที่สำนักลั่วสยาติดๆ กัน ดังนั้นครั้งนี้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจึงส่งไปสองคน” พูดถึงตรงนี้กวาดมองทุกคน เอ่ยต่อว่า “ท่านผู้เฒ่าซานอินและท่านผู้เฒ่าหานจางก็คือผู้นำทีมเอกและรองของครั้งนี้ ศิษย์ทุกคนต้องปฏิบัติตามคำสั่งของท่านผู้เฒ่าทั้งสองท่าน ไปถึงสำนักลั่วสยาอย่างราบรื่น”


 


 


ฟังถือตรงนี้ มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอสบตากันปราดหนึ่ง แล้วอดยิ้มระทมไม่ได้ นี่ช่างเป็นปีที่ดวงตกจริงๆ ทั่วทั้งพรรคเหยากวงก็ล่วงเกินผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองท่าน ก็คือสองท่านนี้แหละ!


 


 


ต้วนชิงเกอกระอักกระอ่วนเช่นกัน ทายาทของนักพรตซานอินเถียนหยวน แม้ไม่ได้ถูกนางฆ่า แต่กลับเพราะตื้อนางจึงพบเข้ากับมั่วชิงเฉิน หลายปีมานี้ทุกครั้งที่นักพรตซานอินพบนางแม้ไม่ได้พูดมาก นางกลับสังเกตได้อย่างเฉียบไวถึงความไม่พอใจของท่านผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณท่านนี้ที่มีต่อนาง


 


 


ส่วนอีกท่านหนึ่งท่านผู้เฒ่าหานจาง ก็ยิ่งทำให้นางกระอักกระอ่วนแล้ว คนผู้นี้ก็คือคนที่ลักพาตัวนางไปที่พำนักคิดจะให้นางเป็นหรูติ่งในปีนั้น


 


 


พี่น้องคู่ทุกข์คู่ยากนะ! มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอนึกถึงอย่างใจตรงกัน


 


 


“น้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์อา (ลุง) เจ้าสำนัก” ศิษย์ทุกคนรับอย่างนอบน้อม คนไม่น้อยกลับอารมณ์พลุ่งพล่าน ต้องรู้ว่าศึกเต๋ามารแม้โหดร้าย กลับเป็นที่ที่ดีในการเพิ่มความรู้ ขัดเกลาตนเอง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรเช่นพวกเขา โดยเฉพาะศิษย์หัวกะทิ ตั้งแต่เด็กก็ไม่ขาดโอสถหินวิญญาณ สิ่งที่ขาดกลับเป็นโอกาสวาสนาต่างๆ ในการฝึกฝน


 


 


ในยามนี้เอง คนคนหนึ่งเดินเข้ามา


 


 


เมื่อนักพรตฟางเหยาเงยหน้าดู ก็อดชะงักไม่ได้ ออกเสียงถามว่า “ศิษย์น้องลั่วหยาง เจ้านี่คือ…”


 


 


แล้วก็เห็นเยี่ยเทียนหยวนเงยหน้าขึ้น เอ่ยอย่างสงบว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ลั่วหยางอยากเข้าร่วมศึกครั้งนี้”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม