วาสนาบันดาลรัก 251-257

ตอนที่ 251 ดูตัว

 

แต่ไหนแต่ไรจื่อซูมักมีสีหน้านิ่งเฉย แม้นจะหน้าร้อนเห่ออยู่บ้างแต่ก็ดูไม่ออก มีเพียงไป๋เสาซึ่งเติบโตมาด้วยกันที่เผยรอยยิ้มล้ำลึก 


 


 


นางหาโอกาสพูดคุยกับเจินเมี่ยวเพียงลำพังแล้วเอ่ยว่า “ต้าไหน่ไหน่ ท่านว่าหลัวเป้า เขาชมชอบพี่จื่อซูหรือไม่เจ้าคะ?” 


 


 


ความรู้สึกขัดข้องที่หญิงงามที่ตนเลี้ยงไว้ถูกผู้อื่นถ้ำมองนี้คืออันใดกัน? 


 


 


ไป๋เสาเองก็หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย นางเอ่ยกุกกัก “บ่าวแค่ฟังเชวี่ยเอ๋อร์เล่า จึงเดาส่งเดช ต้าไหน่ไหน่ท่านอย่าได้โกรธ…” 


 


 


กล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักไป แล้วเอ่ยหยั่งเชิงขึ้นว่า “ว่าไปแล้ว พี่จื่อซูก็อายุไม่น้อยแล้ว มากกว่าบ่าวแค่สองปีเท่านั้น” 


 


 


ราษฎรในต้าโจวนั้นผ่อนปรนกับขนบอันแน่นตึงไปมากแล้ว กรอบประเพณีต่างๆ ล้วนกำหนดขึ้นเพื่อสตรีสูงศักดิ์เท่านั้น บรรดาสตรีต่ำชั้นมิได้มีการตีกรอบผูกมัดมากเท่าใดนักแล้ว 


 


 


ว่าไปแล้ว สตรีต่ำชั้นเองก็ต้องออกมาทำงานเลี้ยงตนเช่นกัน ไหนเลยจะมีเวลาใส่ใจเรื่องปลีกย่อยเหล่านั้น 


 


 


สาวใช้อย่างจื่อซู ไป๋เสาหากเกิดชอบพ่อกับบ่าวคนใด ขอเพียงมิทำเรื่องบัดสีบัดเถลิง แต่บอกกล่าวกับเจ้านายตน ปกติแล้วเจ้านายก็ยินดีที่จะช่วยให้พวกเขาสมปรารถนา 


 


 


“จื่อซูอายุเท่าใดแล้ว?” 


 


 


“พี่จื่อซูเกิดเดือนหยวน ผ่านวันตรุษนี้ไปก็ครบยี่สิบปีแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


สาวใช้ที่ถูกอบรมจนฉลาดคล่องแคล่วเช่นพวกนาง มักอยู่รับใช้จนอายุสิบแปดสิบเก้าก็มิใช่เรื่องแปลก 


 


 


ความจริงไป๋เสามิใช่คนปากมาก แต่เมื่อคิดถึงภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นแล้วก็อดขนลุกขนชันขึ้นมามิได้ 


 


 


ข้างกายต้าไหน่ไหน่ควรมีคนที่สามารถรับรู้ข่าวสารของซื่อจื่อไว้บ้าง มิต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น หากต่อไปซื่อจื่อไปมีสตรีอื่นข้างนอก ต้าไหน่ไหน่ก็มิได้นั่งคอยอยู่ที่ดีโดยไม่ทราบเรื่องราวใด 


 


 


ไป๋เสาตั้งปณิธานว่าจะมิออกเรือน เรื่องที่อยากให้จื่อซูกับคนสนิทของหลัวเทียนเฉิงได้ลงเอยกันนั้นมาจากใจจริงของนาง 


 


 


“อายไม่น้อยแล้วจริงๆ” ครั้นคิดถึงว่าตนอายุสิบห้าก็แต่งงานแล้ว แต่อีกไม่นานจื่อซูก็จะอายุครบยี่สิบแล้ว นางจึงเริ่มครุ่นคิดขึ้นมา 


 


 


แม้นมิคิดให้สาวใช้ออกเรือนตอนอายุสิบสี่สิบห้า แต่ก็มิอาจเก็บนางไว้จนอายุยี่สิบกว่าได้ นั้นคงทำให้ผู้อื่นเสียเวลาเกินไป 


 


 


“แล้วจื่อซูคิดเห็นเช่นไรเล่า?” 


 


 


ไป๋เสาส่ายหน้า “บ่าวก็มิเคยถามพี่จื่อซู เพียงแต่วันนี้ได้ยินว่าเช่นนั้นจึงคิดว่าหลัวเป้าน่าจะมีใจให้พี่จื่อซู จึงได้เรียนให้ต้าไหน่ไหน่ทราบไว้เสียก่อนเจ้าค่ะ” 


 


 


“เช่นนี้เองหรือ…” เจินเมี่ยวคิดครู่หนึ่ง “ข้าไปถามความเห็นของจื่อซูก่อนค่อยว่าอีกที” 


 


 


รอกระทั่งไปน้อมทักทายที่เรือนอี๋อานเรียบร้อยแล้ว เจินเมี่ยวค่อยกินข้าวเช้า เมื่อเห็นจื่อซูเดินถือดอกเหมยเข้ามาเสียบไว้ในแจกันแทนดอกเก่า นางจัดแจงจนสวยงามแล้ววางไว้เช่นเดิม ฉับพลันภายในกลิ่นหอมของดอกเหมยก็กำจายไปทั่วห้อง 


 


 


เจินเมี่ยวเห็นแล้วอบอุ่นในใจขึ้นมาเล็กน้อย 


 


 


ตั้งแต่วันนั้นที่นางเอาดอกเหมยที่หลัวเทียนเฉิงนำมาให้ปักใส่แจกัน จื่อซูผู้ใส่ใจในทุกรายละเอียดก็คล้ายรู้สึกว่าเมื่อมองดอกเหมยแล้วนางจะอารมณ์ดีขึ้น จึงรีบนำดอกเหมยสดใหม่มาเปลี่ยนให้นางทุกวัน 


 


 


ความใส่ใจนี้ เจินเมี่ยวมีหรือจะไม่เข้าใจ 


 


 


เมื่อคนทั้งหลายออกไปแล้ว เจินเมี่ยวถึงถอนหายใจยาวออกมา “จื่อซู เจ้าดูแลเก่งเพียงนี้ ข้าไหนเลยจะตัดใจให้ท่านออกเรือนได้” 


 


 


จื่อซูชะงักไปครู่หนึ่ง “ต้าไหน่ไหน่ ท่านเย้าข้าเล่นอีกแล้ว” 


 


 


เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “มิใช่ล้อเล่น จื่อซู ปีนี้ท่านก็อายุไม่น้อยแล้ว หากมิหมั้นหมายแต่งงานเสียที รอจนถึงวันตรุษก็ยี่สิบปีแล้ว หากรอต่อไปก็ได้แต่รอเป็นอนุผู้อื่นว่าหรือไม่?” 


 


 


จื่อซูยิ่งมิเอ่ยสิ่งใดอีก 


 


 


นางอายุไม่น้อยแล้วจริงๆ แต่ก็มิได้รีบร้อนแต่งงาน แต่ในเมื่อช้าเร็วก็ต้องแต่งงาน ต้าไหน่ไหน่อยากให้นางแต่ง นางก็ไม่รู้จะต่อต้านไปไย 


 


 


อีกอย่าง ยามนี้อาหลวนก็นับวันยิ่งรอบคอบ ต่อไปหากรับหน้าที่แทนนางคงไม่มีปัญหา เจี้ยงจูก็ถูกอบรมอย่างดี ยามนี้ต้าไหน่ไหน่ขาดแต่เพียงสาวใช้ที่สามารถให้ข่าวสารเรื่องนอกจวนเท่านั้น 


 


 


เจินเมี่ยวยิ้ม หางตาหยักโค้งคล้ายพระจันทร์เสี้ยว “หลัวเป้าผู้นั้น เป็นอย่างไรหรือ?” 


 


 


จื่อซูที่เป็นคนนิ่งขรึมมาตลอดพลันเกิดอาการประหม่าขึ้นมา นางเอ่ยเสียงต่ำว่า “พบกันเพียงครั้ง บ่าวก็มิทราบว่าเขาเป็นเช่นนี้กันแน่?” 


 


 


เจินเมี่ยวก็เข้าใจในทันที 


 


 


จื่อซูมิได้ต่อต้านเรื่องแต่งงาน แค่มิได้ถึงขั้นชมชอบหลัวเป้าผู้นั้น แต่ก็น่าจะมิได้เดียดฉันท์อันใด 


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็รู้แล้วว่าต้องทำเช่นไร นางหันกลับไปกำชับเชวี่ยเอ๋อร์สองสามคำ 


 


 


วันต่อไปเชวี่ยเอ๋อร์ก็ไปที่ประตูหลังนั้นอย่างเบิกบานซึ่งหลัวเป้าได้ยืนรออยู่ที่นั่นแล้วตามคาด 


 


 


ครานี้เขาเอามาสองห่อ ห่อหนึ่งใหญ่ หอหนึ่งเล็ก 


 


 


เมื่อเห็นเชวี่ยเอ๋อร์จึงส่งให้พลางกล่าวว่า “ขาหมูพะโล้ของร้านสกุลจาง” 


 


 


“เหตุใดจึงมีสองห่อเล่า?” 


 


 


หลัวเป้าพลันหูแดงขึ้นมาอีก “ห่อหนึ่งให้ต้าไหน่ไหน่ อีกห่อให้พวกพี่สาว” 


 


 


“เป็นไปมิได้กระมัง ซื่อจื่อซื้อให้พวกเราด้วยหรือ?” เชวี่ยเอ๋อร์เอ่ยด้วยความประหลาดใจจ 


 


 


หลัวเป้าเอ่ยงึมงำว่า “ห่อที่ให้พวกพี่สาว ข้าซื้อเอง…” 


 


 


มิใช่เขาอยากได้หน้า เพียงแต่หากมีข่าวลือว่าซื่อจื่อซื้อขาหมูพะโล้ให้บรรดาสาวใช้แพร่ออกไป ซื่อจื่อคงต้องถลกหนังเขาแน่ 


 


 


“ที่แท้พี่หลัวเป้าเป็นคนซื้อเองหรือ เอาล่ะ ท่านตามข้ามา” เชวี่ยเอ๋อร์หมุนกายเดินไปด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า 


 


 


“เอ๊ะ?” หน้าหลัวเป้าเต็มไปด้วยความสงสัย 


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์หันกลับมาเอ่ยว่า “ต้าไหน่ไหน่อยากขอบคุณท่านด้วยตัวเองอย่างไรเล่า” 


 


 


หลัวเป้าพลันงุนงงไป “ต้าไหน่ไหน่อยากพบข้า?” 


 


 


“ใช่ เร็วเข้า ต้าไหน่ไหน่รออยู่ที่ศาลาพัก” เชวี่ยเอ๋อร์หมุนกายเดินไปต่อ 


 


 


หลัวเป้ารีบเดินตามไปทันที แต่ในใจกระจ่างแจ้งแล้ว 


 


 


เขาเป็นองครักษ์ที่หลัวเทียนเฉิงเลือกใช้งาน ย่อมมิใช่คนโง่ เพียงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เข้าใจในทันที 


 


 


ต้าไหน่ไหน่อยากจะดูตัวเขาแทนสาวใช้นั้นเอง! 


 


 


มิเช่นนั้น ต้าไหน่ไหน่มีฐานะใดเล่า จำเป็นต้องมาขอบคุณองครักษ์เช่นเขาด้วยตัวเองหรือ? 


 


 


เมื่อเข้าใจจุดนี้แล้ว หัวใจของหลัวเป้าก็เต้นระส่ำขึ้นมา เหงื่อไหลซึมตามมือเท้า กระทั่งเห็นคนที่นั่งอยู่ในศาลาพักอยู่ไกลลิบนั้นแล้วขาก็ยิ่งก้าวไม่ออก 


 


 


เจินเมี่ยวรออยู่ที่ศาลาพัก แม้นรอบตัวจะมีเตาอุ่น ทั้งที่รองนั่งแสนหนา แต่ยังรู้สึกหนาวอย่างประหลาด แต่เพื่อจะได้เห็นคนผู้นั้นกับตา จึงทำได้เพียงเลือกรออยู่ที่นี่เท่านั้น 


 


 


อาหลวนที่สวมชุดสีฟ้าทั้งร่างยืนอยู่ข้างกายเจินเมี่ยวทั้งยังใส่ต่างหูไข่มุกปะการังแดงคู่หนึ่ง ขับเน้นใบหน้าให้ยิ่งงดงาม ความงดงามนั้นเกือบเทียบเท่าได้กับเจ้านายนางแล้ว 


 


 


กระทั่งเชวี่ยเอ๋อร์พาหลัวเป้าเข้าไปในศาลาพัก เจินเมี่ยวก็เผยยิ้มออกมาก่อน 


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์หันกลับไปมองด้วยความสงสัยแล้วผลิยิ้มตาม 


 


 


หลัวเป้าคงตื่นเต้นเกินไปจนถึงกับแกว่งเท้าและขาออกไปพร้อมกัน มือถือขาหมูพะโล้สองห่อนั้นพลางคุกเข่าลงข้างหนึ่งภายใต้เสียงหัวเราะของผู้คน “หลัวเป้าคารวะต้าไหน่ไหน่” 


 


 


เจินเมี่ยวจ้องมองเขาอยู่นานแต่ก็เห็นเพียงผมบนศีรษะเขา จึงอดเอ่ยอย่างทอดถอนใจออกมามิได้ว่า “ลุกขึ้นพูดคุยกันเถิด” 


 


 


หลัวเป้ายืนขึ้น แต่ก็ยังมิกล้าเงยหน้าขึ้น 


 


 


“หลายวันมานี้ลำบากเจ้าแล้ว” 


 


 


หลัวเป้ายิ่งก้มหน้าต่ำลงไปอีก “ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้น้อยควรทำขอรับ” พูดพลางยื่นขาหมูพะโล้สองห่อนั้นให้ “ยังคงร้อนอยู่ ซื่อจื่อบอกว่าให้ท่านรีบกินขอรับ” 


 


 


“วันนี้มีสองห่อเชียวหรือ” เจินเมี่ยวส่งสัญญาณให้เชวี่ยเอ๋อร์ไปรับมา 


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์รีบสอดขึ้นว่า “ต้าไหน่ไหน่ ห่อหนึ่งซื่อจื่อให้ท่าน อีกห่อพี่หลัวเป้าซื้อมาให้พวกพี่สาวเจ้าค่ะ” 


 


 


เมื่อวาจานี้เอ่ยออกไป ใบหน้าของหลัวเป้าก็แดงก่ำขึ้นมาทันที เขาได้แต่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่นั่นอย่างไม่ทราบจะทำฉันใด 


 


 


มุมปากของเจินเมี่ยวหยักโค้งขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เชวี่ยเอ๋อร์ก็รีบเอาอาหารไปส่งที่เรือนชิงเฟิง แบ่งส่วนของพวกเจ้าไปกินกันก่อนเถิด” 


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์รับคำอย่างเบิกบานใจ เมื่อรับขาพะโล้สองห่อนั้นมาก็ไปในทันที แต่เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็หันมาถามว่า “พี่หลัวเป้า ท่านซื้อห่อใดมาหรือ?” 


 


 


“ใหญ่…ห่อใหญ่” หลัวเป้ากลัดกลุ้มจนอยากจะวิ่งชนกำแพงแล้ว 


 


 


หากรู้ว่าต้องมาพบต้าไหน่ไหน่ เขาจะซื้อขาหมูพะโล้นี่หรือ ช่างน่าขายหน้าเสียจริง! 


 


 


รอเชวี่ยเอ๋อร์ไปไกลแล้ว เจินเมี่ยวจึงกวาดตามองอาหลวนคราหนึ่ง “อาหลวน รินน้ำชาให้องครักษ์หลัวแก้หนาวเร็ว” 


 


 


อาหลวนถือถ้วยชาเข้าไปหา นิ้วมือขาวผ่องเรียวยาวยื่นออกไป “องครักษ์หลัว เชิญดื่มชาเจ้าค่ะ” 


 


 


น้ำเสียงของนางอ่อนนุ่มน่าฟัง ต่างหูปะการังนั้นแกว่งไกวกระทบกับใบหน้างามดุจหยกนั้นไปมาตามอากัปกิริยาที่เคลื่อนไหว หลัวเป้าเพียงมองคราหนึ่งก็มิกล้ามองอีก เขาหลุบตาลงกล่าวขอบคุณแต่กลับมิยื่นมือรับ 


 


 


อาหลวนเห็นเช่นนั้นจึงวางชาไว้ที่โต๊ะหินด้านข้าง แล้วถอยออกมา 


 


 


เจินเมี่ยวกลับพอใจยิ่ง 


 


 


ด้วยรูปโฉมของอาหลวน ทั้งวันนี้ยังตั้งใจแต่งองค์มาเป็นพิเศษ คนที่เห็นนางคราแรกแต่ยังสงวนท่าทีได้เช่นนี้นับว่าไม่เลวเลย 


 


 


“ซื่อจื่ออยู่ที่ศาลาว่าการ กินอิ่มนอนหลับดีหรือไม่?” 


 


 


เมื่อได้ยินเจินเมี่ยวเอ่ยถึงหลัวเทียนเฉิง ท่าทีประหม่าทั้งหลายก็พลันหายไป เขาเอ่ยตอบนางอย่างละเอียดและชัดถ้อยชัดคำ 


 


 


เจินเมี่ยวเห็นท่าทางการพูดจา กริยาต่างๆ ของเขาแล้วไม่เลวเลย นางจึงลอบพยักหน้า แต่มิได้ถามอันใดเกี่ยวกับตัวเขาเลยแม้แต่น้อย 


 


 


เรื่องนี้ค่อยไปถามหลัวเทียนเฉิงในคราวหลังก็ได้ มิจำเป็นต้องทำให้ดูโจ่งแจ้งปานนั้น หากเรื่องการผูกวาสนานี้ไม่สำเร็จ ภายหน้าก็มิได้ดูหน้าย่ำแย่อันใด 


 


 


เมื่อสำรวจจนพอใจแล้ว เจินเมี่ยวก็ยกชาขึ้นดื่ม “อาหลวนไปส่งองครักษ์หลัวหน่อยเถิด” 


 


 


หลัวเป้าน้อมคารวะคราหนึ่ง แล้วเดินตามอาหลวนออกไปจากศาลาพัก 


 


 


เจินเมี่ยวมองอยู่ใกล้ๆ ก็เห็นว่าหลัวเป้ารักษาระยะห่างกับอาหลวนไว้เป็นอย่างดี 


 


 


นางรออยู่เป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาได้ อาหลวนก็กลับมาพอดี 


 


 


“เป็นอย่างไรบ้าง?” 


 


 


อาหลวนเอ่ยว่า “ตั้งแต่เดินออกไปจนถึงที่หมาย เขามิได้เอ่ยพูดคุยกับบ่าวก่อนเลยสักคำเจ้าค่ะ เพียงเอ่ยลาตามมารยาท สายตาก็มิได้เมียงมองส่งเดช” 


 


 


“เท่านี้ก็น้อยนักจะพบเห็นแล้ว” เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี 


 


 


อาหลวนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ต้าไหน่ไหน่ ท่านกล่าวอันใดกันเจ้าคะ!” 


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มแต่ไม่เอ่ยอันใด 


 


 


นางจำได้ว่าคุณชายเซียวแห่งจวนหย่วนเวยโหวพบอาหลวน หลัวเป้าเห็นอาหลวนยังสงวนท่าทีอยู่ได้ หากเขามิเป็นคนเคร่งครัดในธรรมเนียม ก็ต้องเป็นคนที่ฉลาดมาก 


 


 


ไม่ว่าจะเป็นข้อใดล้วนเหมาะสมจะเป็นคู่ของจื่อซูทั้งสิ้น 


 


 


“ต้าไหน่ไหน่จะบอกกับซื่อจื่อหรือไม่เจ้าคะ?” อาหลวนอดเอ่ยถามไม่ได้ 


 


 


เจินเมี่ยวส่ายหน้า “หากเขาชอบจื่อซูจริงก็ย่อมต้องเอ่ยกับซื่อจื่อเอง ถึงตอนนั้นก็ให้ซื่อจื่อมาเอ่ยกับข้าจึงจะถูก” 


 


 


สาวใช้ของนางล้วนเป็นหญิงงาม แต่งออกไปแม้เพียงสักคนนางก็เจ็บปวดใจอยู่ไม่น้อย แล้วนางจักต้องรีบร้อนอันใดไปเล่า 


 


 


อีกอย่างนางก็อยากจะดูว่าระหว่างจื่อซูกับอาหลวน หลัวเป้าได้ล้วนได้พบทั้งคู่แล้ว เขายังจะยืนยันจะเลือกจื่อซูอยู่หรือไม่ หรือว่าจะเปลี่ยนใจกันแน่? 


 


 


เจินเมี่ยวมิได้พบกับหลัวเทียนเฉิงกระทั่งถึงเช้าวันที่ต้องไปจวนหย่งอ๋อง หลัวเทียนเฉิงถึงได้รีบร้อนกลับมา 


 


 


เวลาเพียงสั้นๆ เขากลับผ่ายผอมลงไปมาก เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจยิ่งจึงอดถามไม่ได้ “ยุ่งถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเผยรอยยิ้มอ่อนล้า “ผ่านไปอีกสักพักก็ดีขึ้นแล้ว” 


 


 


ไม่มีผู้ใดรู้ว่าหน่วยองครักษ์จิ่นหลินนั้นนอกจากจะมีฉากหน้าเป็นศาลาว่าการแล้วยังมีองครักษ์ลับอีกด้วย และองครักษ์ลับนั้นก็อยู่ในมือเขานั้นเอง 


 


 


ระยะนี้ต้องคอยจัดการในหลายๆ ด้าน บางเรื่องมิสะดวกให้ผู้คนรับรู้ก็ได้แต่ส่งองครักษ์ลับไปปฏิบัติหน้าที่ ทั้งเขายังต้องการจัดการองครักษ์ลับของจวนกั๋วกงด้วยอีก ระดับความยุ่งยากจึงเพิ่มขึ้นอย่างยากจะนึกถึงได้ 


 


 


คนทั้งสองขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปจวนหย่งอ๋อง บางทีอาจเพราะเหนื่อยเกินไป หลัวเทียนเฉิงจึงเผลอหลับไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


เจินเมี่ยวแหวกม่านออกช้าๆ มองดูบรรยากาศบนถนน พลันเห็นเด็กน้อยผู้หนึ่งกระโจนเข้ามาตรงหน้ารถม้าอย่างรวดเร็ว  

 

 


ตอนที่ 252 องครักษ์ลับ

 

เด็กน้อยผู้นั้นอายุเพียงสี่ห้าปี เขายืนอยู่กลางถนนมองรถม้าที่พริบตาก็จะทะยานมาถึงตรงหน้าอย่างลืมกระทั่งความกลัว ได้แต่ยืนงงงันอยู่ที่เดิม 


 


 


ชั่วขณะนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งกระโจนเข้ามากอดเด็กน้อยผู้นั้นไว้แล้ว ทั้งสองกลิ้งหลุนๆ ไปอยู่ข้างทาง 


 


 


ตามติดด้วยเสียงร้องยาวของม้า รถม้าพลันหยุดลงทันใด 


 


 


ร่างเจินเมี่ยวโยกเยกไปมา นางตกใจจนต้องยกมือปิดปากตน 


 


 


นางมิถูกชะตากับรถม้าหรือไร เหตุใดทุกคราจักต้องมีเรื่องให้ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดจากร่างเล่า 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเองก็ร่างโยกคลอนจนตื่น เขาเปิดเปลือกตาขึ้นพลางเอ่ยถามด้วยความเกียจคร้านว่า “เกิดอันใดขึ้นหรือ?” 


 


 


เจินเมี่ยวชี้ออกไปด้านนอก “เกือบจนเด็กเข้าแล้ว” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงมองออกไปด้านนอก 


 


 


เวลานี้บนถนนนั้นเบียดเสียดไปด้วยผู้คนที่มามุงดู และต่างถกเถียงกันสนุกปาก ทำให้ทางถูกปิดจนแทบไปต่อไม่ได้แล้ว 


 


 


หลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้วขึ้น 


 


 


หากชักช้าจนเลยเวลา ไม่แน่ว่าคนในจวนหย่งอ๋องอาจไม่พอใจได้ โดยเฉพาะถ้าไปสายก็อาจเกิดเหตุการณ์พลิกผันได้ 


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้แววตาก็ฉายประกายวาบขึ้น แต่กลับเผยยิ้มสนุกออกมา 


 


 


ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเรื่องบังเอิญหรือมีคนเจตนาทำมันขึ้น 


 


 


ขณะที่กำลังคิดอยู่ก็มีสตรีผู้หนึ่งผมเผ้ากระเซอะกระเซิงวิ่งออกมา นางดึงเด็กที่อยู่ในอ้อมกอดของบุรุษที่ช่วยชีวิตออกมาแล้วร้องไห้เสียงดัง 


 


 


นางร้องไห้พลางเขย่าเด็กน้อยผู้นั้น “เอ้อเป่าเจ้าเป็นอันใดไป เจ้าไม่เป็นไร ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” 


 


 


เด็กน้อยผู้นั้นอายุเพียงสี่ห้าปี เมื่อพบเหตุการณ์อันน่าตกใจเช่นนี้จึงมิทันได้มีสติใดๆ ครั้นถูกมารดาเขย่าแรงเช่นนั้น เขาจึงตาเหลือกถลนออกมา 


 


 


สตรีผู้นั้นอุ้มเด็กน้อยเดินเข้าไปตรงหน้ารถม้า นางร่ำไห้โหยหวนดุจสุกรถูกฆ่า “เอ้อเป่าของข้าถูกรถชนจนกลายเป็นเด็กเสียสติไปแล้ว ท่านผู้มีบรรดาศักดิ์คงมิคิดปล่อยปละมิสนใจกระมัง…” 


 


 


นางร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังและน่าสงสาร ไม่นานผู้คนก็เข้ามาล้อมวงดูด้วยความสนใจ 


 


 


ผู้คนที่มิได้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรกเริ่มก็มองดูสตรีผู้นั้นอุ้มลูกน้อยร้องไห้อย่างน่าเวทนา แค่เห็นรถม้าก็ทราบแล้วว่านี้มิใช่ตระกูลร่ำรวยธรรมดาจึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างทอดถอนใจ 


 


 


ปั้นซย่านั้นนั่งอยู่กับคนควบรถม้ามาตลอด เมื่อเห็นเช่นนั้นก็กระโดดลงจากรถด้วยใบหน้าที่แต้มรอยยิ้ม “ท่านอย่าเพิ่งร้องไห้ไปเลย เมื่อครู่ข้าเห็นอย่างชัดเจนว่ารถม้าเรามิได้ชนเด็กน้อยผู้นี้แม้แต่ปลายก้อย…” 


 


 


วาจานี้ยังมิทันกล่าวจบ สตรีผู้นั้นก็ถ่มน้ำลายออกมาทันที “มิได้ชน? มิได้ชนแล้วเอ้อเป่าของข้าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร อ้อ ข้ารู้แล้ว นายท่านของเจ้าคงมิเห็นชาวบ้านตาดำๆ เป็นคนเช่นเขากระมัง…” 


 


 


ปั้นซย่าเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย 


 


 


เขาได้เป็นบ่าวรับใช้ของคุณชายผู้สืบทอดได้นั้นย่อมต้องมีไหวพริบพอสมควร ความหงุดหงิดในใจกลับมิได้เผยออกทางใบหน้า เขายังคงยิ้มและเอ่ยด้วยเสียงอันดังว่า “ฮูหยินท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าเพราะนายท่านของข้าเป็นผู้มีบรรดาศักดิ์จึงมิเห็นว่าชีวิตผู้อื่นสำคัญงั้นหรือ? หากเป็นอย่างท่านว่า เช่นนั้นผู้มีบรรดาศักดิ์ในเมืองหลวงแห่งนี้คงมีมากนับคณาทีเดียวเชียว!” 


 


 


สตรีผู้นั้นโมโหขึ้นมาทันที 


 


 


ปั้นซย่าจึงรีบเอ่ยต่อว่า “ทุกคนต่างเห็นกันทั่วหน้าว่าเด็กน้อยนี้วิ่งเข้ามากลางถนนเอง ทั้งยังมิได้ชนถูกกระทั่งชายเสื้อก็มีคนเข้ามาช่วยไว้แล้ว บางทีเด็กน้อยก็แค่อาจจะตกใจเท่านั้น นี่เงินห้าตำลึงถือเป็นค่าปลอบใจ ท่านรีบพาบุตรไปหาหมอเถิด มิต้องโวยวายอยู่ที่นี่แล้วจะได้เสียเวลาทุกคน” 


 


 


สตรีผู้นั้นอึ้งไป คล้ายมิได้คิดถึงว่าอีกฝ่ายจะใจดีเพียงนี้ ให้ทั้งเงินทั้งพูดจามีเหตุผล ชั่วขณะนั้นจึงลืมกระทั่งโวยวายระบายโทสะ 


 


 


คนที่มารุมล้อมได้ฟังเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบก็เอ่ยตามว่า “ใช่แล้ว ในเมื่อเด็กน้อยมิได้ถูกชน ทั้งเขาก็ให้เงินปลอบใจแล้วก็รีบพาบุตรไปหาหมอเถิด” 


 


 


“โถ่ๆ ข้าว่านะ เด็กน้อยผู้นั้นคงตกใจจนวิญญาณหดหายหมดแล้วกระมัง ไปหาหมอก็คงไม่มีประโยชน์แล้ว คงต้องหาคนช่วยจัดการแล้ว” 


 


 


ปั้นซย่าโบกมือให้คนที่รุมล้อม แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “รบกวนทุกท่านถอยไปสักหน่อยเถิด นายท่านข้ายังมีเรื่องสำคัญที่มิอาจไปสายได้ ข้าน้อยต้องขอบคุณทุกท่านแทนนายข้าแล้ว” 


 


 


คนผู้หนึ่งในฝูงชนที่มีความรู้มากมองเห็นสัญลักษณ์บนรถม้าก็ถึงกลับซูดปาก แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นรถม้าของจวนเจิ้นกั๋วกงมิใช่หรือ!” 


 


 


“โอ้ นายท่านจวนเจิ้นกั๋วกงมีน้ำใจถึงเพียงนี้ ช่างยากนักจะพบเห็น” 


 


 


ผู้คนที่รุมล้อมต่างแหวกตัวหลบเป็นทางอย่างไม่รู้ตัว 


 


 


 สตรีผู้นั้นเห็นแล้วนัยน์ตากลอกไปมา นางพุ่งเข้าไปคุกเข่าให้กับบุรุษที่ช่วยบุตรตนไว้ “ข้าน้อยขอโขกศีรษะให้กับท่านผู้มีพระคุณ หากไม่มีท่านช่วยไว้ เอ้อเป่าคงต้องถูกม้าเหยียบตายไปแล้ว ชีวิตน้อยๆ อันต่ำต้อย ได้เงินไม่กี่ตำลึงมาเป็นการปลอบขวัญก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว ท่านผู้มีคุณ ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดตอบแทน สิ่งนี้มองให้ท่านไว้ข้ามอบให้ท่านไว้ซื้อสุราดื่ม หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจ” 


 


 


สตรีผู้นั้นนำเงินที่ปั้นซย่าให้นางยื่นให้ไป ปั้นซย่านั้นโกรธจนแทบหงายหลัง 


 


 


ฮูหยินผู้นี้ช่างน่ารังเกียจนัก  


 


 


วาจานี้ที่เอ่ยมามิใช่กำลังจะบอกว่านายท่านของเขาดูแคลนผู้อื่น เอาแต่นั่งอยู่ในรถม้ามิเผยโฉมออกมา ไม่มีแม้แต่คำขอบคุณสักคำแก่คนที่ช่วยเด็กน้อยไว้ทั้งช่วยให้เขามิต้องเป็นคนผิด! 


 


 


ดังคาด…ผู้คนทั้งหลายต่างหันไปมองรถม้าที่ดูเรียบง่ายแต่ไม่สูญเสียความสูงศักดิ์ 


 


 


เวลานี้เอง ม่านหน้าต่างรถม้าพลันถูกแหวกออกเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาดุจจันทรากลางสายลมเย็น ทุกคนต่างเงียบเสียงลงไปทันใด 


 


 


มุมปากของบุรุษผู้นั้นเคลือบไว้ด้วยรอยยิ้มจางๆ สายตามองตกไปที่ชายหนุ่มผู้ช่วยชีวิตเด็กน้อย น้ำเสียงอันชัดถ้อยที่ลอยมานั้นเอ่ยว่า “หลัวอู่ ในเมื่อทำงานเสร็จแล้ว ก็กลับมาเสียที หรือเจ้ากำลังรอให้ผู้อื่นเชิญไปดื่มสุราอยู่จริงๆ? ” 


 


 


บุรุษผู้นั้นรีบก้าวเท้าเร็วไปยังหน้ารถม้าแล้วยกมือขึ้นประกบกันเป็นการแสดงความเคารพ “นายท่าน ผู้น้อยทำงานบกพร่อง ขอท่านลงโทษด้วย” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงยกมุมปากขึ้นยิ้ม เอ่ยเสียงเรียบว่า “ไปเถิด” 


 


 


ม่านหน้าต่างจึงถูกปิดลง รอบข้างต่างเงียบงันไร้เสียงนกกระจิบนกกระจอก รถม้าจึงขับเคลื่อนออกไป แม้นวิ่งไปไกลแล้วแต่ยังคงได้ยินเสียงกุบกับๆ ลอยมา ยามนี้เองทุกคนจึงเริ่มพูดคุยกันขึ้น 


 


 


ที่แท้คนที่ช่วยเด็กน้อยไว้ก็คือบ่าวของคุณชายผู้นั้น! 


 


 


เด็กคนนั้นวิ่งเข้ามาขวางทางแต่ถูกคนของเขาช่วยไว้ทั้งยังให้เงินปลอบใจ การดูแลอย่างครบถ้วนเช่นนี้กลับทำให้ยิ่งรู้สึกว่าสตรีผู้นั้นช่างไร้มารยาทยิ่ง 


 


 


ผู้คนที่มารุมล้อมดูความคึกคักนี้ เดิมคิดจะร่วมประณามด้วยเสียหน่อย แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่เงียบสงบปากไว้ 


 


 


ใบหน้าสตรีผู้นั้นประเดี๋ยวขาวประเดี๋ยวเขียว นางอุ้มบุตรตนปะปนเข้าไปในฝูงชน แต่ในมือกลับกำเงินนั้นแน่นขึ้นทุกขณะ 


 


 


ไม่มีผู้ใดรู้สึกตัวเลยว่ามีบุรุษหน้าตาธรรมดาผู้หนึ่งเดินกลมกลืนไปในฝูงชนดั่งหยดน้ำที่หยดลงไปในสายธาร พริบตาก็มองหาไม่เจอเสียแล้ว 


 


 


เจินเมี่ยวเห็นว่าไม่มีอันใดแล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมา นางจึงหยิบกาเงินที่วางอยู่บนเตาเล็กแล้วรินใส่ถ้วยชาสองใบ ใบหนึ่งส่งให้หลัวเทียนเฉิง อีกใบกุมไว้ในมือตน 


 


 


รอกระทั่งชาเย็นลงจึงรีบจิบไปสองอึก ทั้งยังหยิบขนมขึ้นมากินอีก 


 


 


แต่หลัวเทียนเฉิงต่างหากที่กลับอดรนทนไม่ได้ เขาเลิกคิ้วเอ่ยถามว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าไม่มีสิ่งใดจะถามหรือ?” 


 


 


“เอ๊ะ?” เจินเมี่ยววางขนมที่กัดกินไปครึ่งหนึ่งแล้วลง เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบขรึมว่า “ไม่มีอันใดจะถาม” 


 


 


เขาคิดจริงหรือว่าการส่งของขวัญให้นางเพียงไม่มีคราจะทำให้นางหายโกรธได้? 


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็อดประชดขึ้นมาคำหนึ่งมิได้ว่า “ความยุ่งยากนี้ก็เป็นท่านเองที่ก่อมันขึ้นมา” 


 


 


นางดูออกแล้ว ชาติก่อนท่านผู้นี้อาจจะมิได้ทุกข์ตรมหรือมีความแค้นใหญ่หลวงอันใดปานนั้น 


 


 


แต่นางเองต่างหากที่โชคดีได้แต่งงานกับเป้ามีชีวิต 


 


 


หลายวันมานี้หลัวเทียนเฉิงมิได้นอนหลับเต็มตาเท่าใดนัก เขารู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาอย่างรุนแรงจึงยื่นมือไปนวดขมับคราหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยยิ้มขมขื่นว่า “เจี๋ยวเจี่ยวเจ้ายังไม่หายโกรธข้าหรือ?” 


 


 


มิรอให้เจินเมี่ยวตอบคำ เขาก็ยื่นหน้าเขามาใกล้ ทั้งมิได้มีท่าทีแข็งกระด้างสูงส่ง แต่กลับยิ้มอย่างคนหน้าหนา “เจี๋ยวเจี่ยว ต่อไปข้าจะมิทำตัวเป็นคนบ้าเช่นนั้นอีก เจ้ายกโทษให้ข้าเถิด ได้หรือไม่?” 


 


 


เจินเมี่ยวกลอกตาใส่เขา “ผู้ที่ตบตีภรรยาต่างก็พูดเช่นนี้ บอกว่ารับรองคราหน้าจะมิตบตีอีก ทว่าเมื่อถึงเวลาก็ยังคงตบตีเช่นเดิมมิใช่หรือ?” 


 


 


มิใช่ว่านางแสนงอน ทว่าเมื่อคิดถึงเรื่องในครานั้นคราใด แม้นจะรู้ว่าที่เขาทำนั้นมีสาเหตุ ทว่าก็ยังมิอาจทำใจยอมรับได้อยู่ดี 


 


 


หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไป พลันรั้งเจินเมี่ยวไว้แล้วขยับเข้าไปกระซิบข้างหูนางด้วยเสียงแผ่วต่ำว่า “กลับไปข้าจะให้เจ้าทำโทษทุกอย่างเลย?” 


 


 


“ทำโทษอย่างไร?” 


 


 


“ก็ทำโทษอย่างที่ข้าทำ ถึงตอนนั้นเจ้าจะตบตีเช่นไรก็ได้ แต่ขออย่างเดียว เมื่อตบตีแล้วเจ้าก็อย่าได้แค้นเคืองอีกเลย แล้วเราก็กลับมาใช้ชีวิตอย่างที่เคยเป็นมาดีหรือไม่?” 


 


 


ทำโทษอย่างที่ข้าทำ? 


 


 


เจินเมี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่ง ใบหน้าก็เห่อร้อนขึ้นมาทันใด นางกัดริมฝีปากเอ่ยว่า “เหลวไหล!” 


 


 


“ใช่ ใช่ ข้าเหลวไหลยิ่ง ภรรยาก็อย่าได้ถือสาหาความข้าเลยได้หรือไม่?” หลัวเทียนเฉิงพลันขบติ่งหูของนาง ลมหายใจผ่าวร้อนรินรดอยู่ข้างหู 


 


 


เจินเมี่ยวพลันอึ้งงันไป คนผู้นั้นได้คืบจะเอาศอกจริงๆ 


 


 


เจินเมี่ยวรีบผักเขาออก แล้วจัดมวยผมตน นางเอ่ยเสียงเรียบว่า “อยู่นิ่งๆ!” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเห็นนางเอ่ยอย่างจริงจังก็หัวเราะเสียงขื่นออกมา แล้วนั่งนิ่งอย่างว่าง่าย 


 


 


ดูท่าตนคงไม่เหมาะกับมุกหน้าด้านง้องอนเป็นแน่ แต่เหตุใดคุณชายเซียวจึงบอกว่าหากใช้วิธีนี้ ไม่ว่าสตรีคนใดก็ล้วนศิโรราบทั้งสิ้นเล่า? 


 


 


เจินเมี่ยวเองก็มิใช่ว่าไม่แปลกใจเลย กระทั่งใกล้จะถึงจวนหย่งอ๋องจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “หลัวอู่ผู้นั้น เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านหรือ? เหตุใดตอนออกจากจวนมิเห็นเขาตามมาเล่า?” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “หลัวอู่เป็นองครักษ์ลับของข้า” 


 


 


“องครักษ์ลับ?” เจินเมี่ยวพลันสนใจขึ้นมา “เป็นเช่นเดียวกันกับหลัวเป้าใช่หรือไม่?” 


 


 


“หลัวเป้า?” หลัวเทียนเฉิงมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างรู้สึกแปลกแปร่ง “เจ้ารู้จักหลัวเป้าด้วยหรือ?” 


 


 


เจินเมี่ยวรู้ว่าตนเผลอพูดออกไปก็รีบกระแอมไอเสียก่อนค่อยเอ่ย “ก็ท่านให้เขาไปส่งของให้ข้าทุกวันมิใช่หรือ เชวี่ยเอ๋อร์เล่าให้ข้าฟัง” 


 


 


คนบางคนกลับหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด 


 


 


เจ้าหนุ่มนั้นแค่ให้เขาไปส่งของให้เจี๋ยวเจี่ยวเท่านั้น เหตุใดจึงได้กระโดดไปกระโดดมาให้คนรู้จักไปทั่ว! 


 


 


ภรรยายังคงโกรธเขาอยู่ แต่เขากลับมาแย่งความสำคัญไปจากตน เช่นนี้มิอาจทนได้จริงๆ! 


 


 


หลัวเทียนเฉิงจึงตัดสินใจในทันทีว่าจะให้หลัวเป้ากลับไปฝึกฝนฝีมือที่ลานฝึกยุทธ เรื่องส่งของขวัญนั้นควรไปเองจะดีกว่า! 


 


 


เมื่อเห็นว่าเจินเมี่ยวกำลังรอคำอธิบายจากตนก็เอ่ยขึ้นว่า “หลัวอู่เป็นองครักษ์ลับ หลัวเป้าเป็นองครักษ์ประจำตัวข้า พวกเขามิเหมือนกัน เจ้าแค่จำไว้ว่าหากเห็นผู้ใดในจวนนั้นย่อมเป็นองครักษ์ประจำตัวข้า แต่องครักษ์ลับนั้นมิอาจปรากฏให้ผู้คนเห็นได้” 


 


 


“เช่นนั้นหลัวอู่…” 


 


 


“ต่อไปหลัวอู่ก็คงเป็นองครักษ์ประจำตัวข้าแทน ประจวบเหมาะกับก่อนหน้านี้ขาดอยู่หนึ่งตำแหน่งพอดี” 


 


 


เมื่อปรากฏตัวต่อหน้าคนแล้วก็ย่อมมิอาจให้เป็นองครักษ์ลับได้อีกต่อไป 


 


 


ครั้นเห็นว่าเขามีสีหน้าเหนื่อยล้า เจินเมี่ยวจึงมิถามต่ออีก “ท่านพักเสียก่อนเถิด จะได้มิไปเผลอหลับในจวนหย่งอ๋อง” 


 


 


“อืม” 


 


 


รถม้าควบไปอีกเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาก็ถึงจวนหย่งอ๋อง 


 


 


เจินเมี่ยวกับหลัวเทียนเฉิงเดินตามสาวใช้ที่มาคอยนำทางเข้าไปในห้องโถงใหญ่ นางกวาดตามองเพียงครู่ก็ก้มหน้าลง 


 


 


คิดไม่ถึงจริงๆ ว่านอกจากองค์รัชทายาทแล้ว องค์ชายและองค์หญิงหลายพระองค์ก็ต่างมาร่วมงานนี้ด้วย 


 


 


หลัวเทียนเฉิงกุมมือนางไว้เงียบๆ เพื่อให้นางไม่ตื่นเต้น 


 


 


หย่งอ๋องนั้นมีความสำคัญต่อจักรพรรดิยิ่ง แต่ยามนี้รัชทายาททรงทำให้จักรพรรดิมิพอพระทัย สถานการณ์เช่นนี้จึงมินับว่าแปลกอันใด 


 


 


กลิ่นธูปหอมเสียงป่าวร้องและโค้งคำนับเกิดขึ้นไปตามลำดับ เมื่อพิธีการต่างๆ เสร็จสิ้นลงก็ได้เวลาเริ่มงานเลี้ยงฉลอง 


 


 


ทุกคนยังมิทันได้นั่งลงด้วยซ้ำ ราชโองการของเจ้าเฟิงตี้ก็มาถึง เจินเมี่ยวถูกแต่งตั้งให้เป็นเจียหมิงเซี่ยนจู่ งานเลี้ยงฉลองจึงได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ  

 

 


ตอนที่ 253 บทกลอน

 

 


 


 


เพราะมีพระบรมวงศานุวงศ์ งานเลี้ยงฉลองจึงต้องจัดภายในห้องโถง ทั้งมิได้มีฉากบังลมหรือสิ่งอื่นใดมากั้น เพียงแยกโต๊ะบุรุษสตรีเท่านั้น 


 


 


ด้านซ้ายของเจินเมี่ยวคือฉงสี่เซี่ยนจู่ ด้านขวาคือชูสยาจวิ้นจู่ เมื่อกวาดตามองไปโดยรอบก็พบว่าไท่จื่อเฟยและองค์หญิงสี่ที่พบในงานเลี้ยงฉลองคราก่อนมิได้มาร่วมด้วย 


 


 


ครานี้มีพระชายาและองค์หญิงหลายพระองค์ที่มีท่าทีเป็นมิตรกับนาง ทุกคนต่างเข้ามายกสุราคารวะ 


 


 


วันนี้เจินเมี่ยวเป็นคนสำคัญที่สุด การยกสุราคารวะจึงมิอาจปฏิเสธ นางได้แต่ขมขื่นอยู่ในใจ หากเอ่ยถึงความเก่งกาจในการดื่มสุรานั้น แม้นนางจะมิใช่พวก ‘หนึ่งจอก’ ก็ล้ม แต่มิได้เก่งกาจอันใด 


 


 


โชคดีที่โต๊ะของนางนั้นเป็นสุราผลไม้ นางจึงฝืนยกสุราคารวะจนครบรอบโต๊ะ ใบหน้าเจินเมี่ยวเริ่มมีสีแดงระเรื่อขึ้นมา แววตาก็เริ่มเหม่อลอยเล็กน้อย 


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่จึงส่งสายตาให้กับชูสยาจวิ้นจู่ 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่เข้าใจทันที เมื่อเริ่มมีคนเข้ามายกสุราคารวะนางก็รีบรับหน้าแทนทันที 


 


 


องค์หญิงฟังโหรวนั่งก้มหน้ากินอาหารแต่สายตากลับไม่หยุดชำเลืองมองหลัวเทียนเฉิงที่นั่งอยู่อีกโต๊ะนั้นเลย 


 


 


นางเห็นเขายิ้มงามสง่าให้กับคนที่นั่งอยู่รอบๆ ตัวพลางลอบสังเกตท่าทีของเจินเมี่ยวอยู่เป็นระยะ ครั้นมีคนเข้าไปยกสุราเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นชูสยาจวิ้นจู่ช่วยรับมือให้ก็คลายคิ้วมุ่นนั้นลง ใจของนางก็เกิดเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างประหลาด 


 


 


ตั้งแต่ที่เขาแต่งงานไป นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเขาใกล้เพียงนี้ แต่เขากลับไม่มองตนด้วยซ้ำ ทั้งมิได้ใส่ใจว่านางสบายดีหรือไม่ นางเกลียดเหลือเกิน 


 


 


แม่นางน้อยยังมิรู้เดียงสาจึงมิรู้ว่าความรู้สึกเจ็บแปลบนั้นคือสิ่งใด ท่าเมื่อได้เห็นเจินเมี่ยวผู้มีรอยยิ้มดุจบุปผาก็รู้สึกบาดตาจริง นางลุกขึ้นเดินถือจอกสุราหยกขาวเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม “พี่เจียหมิง ที่ผ่านมาฟังโหรวมิรู้ความ ทำให้พี่สาวโกรธเคือง ยามนี้จึงอยากจะขออภัยต่อท่าน ฟังโหรวจะยกสุราสามจอกเพื่อแสดงความเคารพ หากพี่เจียหมิงมิถือสาข้าก็ขอให้ท่านดื่มสุราสามจอกด้วยได้หรือไม่?” 


 


 


เจินเมี่ยวเริ่มเมาเสียแล้วจึงได้แต่กดข่มอาการมึนศีรษะของตนไว้จึงมิได้ทันคิดเลยว่าที่องค์หญิงฟังโหรวเรียก ‘พี่เจียหมิง’ นั้นคือตน นางจึงได้แน่นั่งนิ่งไม่ไหวติง 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ลอบตีนางคราหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างมิใคร่อารมณ์ดีนักว่า “นางเรียกเจ้าน่ะ!” 


 


 


บุญคุณความแค้นระหว่างองค์หญิงฟังโหรวกับเจินเมี่ยวนั้น ทุกคนในที่นี่ต่างทราบกันดี นางพูดเพียงนี้แล้ว ผู้อื่นจึงมิได้ลุกขึ้นมาห้ามปรามนาง 


 


 


เจินเมี่ยวเห็นมองจอกสุราหยกขาวใบใหญ่ในมือองค์หญิงฟังโหรวแล้วก็ต้องเบิกตาถลนขึ้น 


 


 


หากต้องดื่มถึงสามจอก นางคงต้องทำเรื่องน่าขายหน้าออกมาแน่ 


 


 


โรคชอบต่อต้านน่ากลัวเหลือเกิน และองค์หญิงที่เป็นโรคชอบต่อต้านนั้นน่ากลัวกว่า! 


 


 


นางฝืนผลิยิ้มออกมาพลางเอ่ยว่า “องค์หญิงอายุยังน้อย ดื่มสุรามากไปคงไม่ดีนัก เราดื่มแค่เพียงหนึ่งจอกก็พอแล้วกระมัง” 


 


 


“พี่เจียหมิง หรือท่านยังเคืองฟังโหรวอยู่?” องค์หญิงฟังโหรวพลันเอ่ยเสียงสูงขึ้นมา 


 


 


เสียงหัวเราะพูดคุยพลันแผ่วลงทันที สายตาทุกคู่ต่างหันมามองพวกนาง 


 


 


หลัวเทียนเฉิงหุบยิ้มทันที เขากวาดตามองฟังโหรวด้วยสายตาเย็นชา มือกำจอกสุราแน่นโดยมิส่งเสียงใด 


 


 


เมื่อเห็นว่าสามารถดึงดูดสายตาทุกคู่ได้แล้ว องค์หญิงฟังโหรวจึงเผยยิ้มแง่งอน “หากพี่เจียหมิงมิโกรธเคืองฟังโหรวแล้ว ก็ดื่มกับข้าสามจอกเถิด” 


 


 


เจินเมี่ยวหรี่ตาลง ภายในมีคลื่นกำลังซัดสาด “หม่อมฉันมิเคยโกรธเคืององค์หญิงเลย องค์หญิงเอ่ยเช่นนี้ หม่อมฉันคงมิกล้าดื่มแม้เพียงสักจอกแล้ว”  


 


 


องค์หญิงฟังโหรวอึ้งงันไป แล้วเผยรอยยิ้มที่หวานล้ำกว่าเดิม “ที่แท้ก็เป็นเรื่องเข้าใจผิด วันนี้ข้ากับพี่เจียหมิงได้คลายความเข้าใจผิดนี้แล้วก็ยิ่งต้องดื่มเพื่อเฉลิมฉลองสักหน่อย” พูดพลางยื่นมือขาวผ่องที่ถือจอกสุราหยกขาวนั้นยกขึ้น 


 


 


นางอายุยังไม่ถึงสิบสองปีจึงคล้ายต้นไม้ต้นเล็กๆ ที่ยืนอยู่ที่นี่ ยังมิทันผลิใบเขียวขจีด้วยซ้ำ แต่วาจาที่เอ่ยกลับทำให้คนมิอาจปฏิเสธได้ 


 


 


เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปาก ภายใต้ความมึนเมานั้น แววตานางก็พลันกระจ่างใสขึ้นมา 


 


 


หากนางยังคงผลักไสต่อไป สถานการณ์คงย่ำแย่เป็นแน่ 


 


 


ผู้ใดให้องค์หญิงฟังโหรวเป็นเพียงแม่นางน้อยอายุสิบกว่าปีกันเล่า เมื่อนางยอมลดตัวลงมาเช่นนี้แล้ว หากผู้อื่นยังคงถือสาหาความ แม้นจะมีเหตุผลก็อาจกลายเป็นคนไร้เหตุผลได้ 


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่มิได้แสดงสีหน้าใด เพียงขยับเข้าไปกระซิบข้างหูชูสยาจวิ้นจู่ “เหตุใดญาติผู้น้องผู้นี้ถึงได้ฉลาดขึ้นมาแล้วเล่า?” 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่กัดฟัน เอ่ยช้าๆ ว่า “หากรู้เช่นนี้ ข้าจะบอกกับเสด็จลุงว่ามิให้ปล่อยเจ้าตัวอันตรายน้อยนี้ออกมา” 


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่แค่นยิ้ม “นางมิได้ทำความผิด ทั้งยังมิได้ทำตัวเหลวไหล เสด็จลุงรักทะนุถนอมนางปานั้น เหตุใดจะยอมกักขังนางไว้อีกเล่า? โชคดีที่ที่นี่คือจวนเจ้า ประเดี๋ยวเจ้าแค่ดูแลคุณหนูสี่ให้ดีหน่อยก็พอแล้ว” 


 


 


“พี่เจียหมิง?” มุมปากองค์หญิงฟังโหรวเคลือบด้วยรอยยิ้ม คล้ายภูมิใจยิ่ง แต่เมื่อหันกลับไปมองอีกคราก็ไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยแล้ว 


 


 


เจินเมี่ยวยกมือขึ้นกวักเรียกสาวใช้ที่ถือขวดสุราคอยปรนนิบัติ เมื่อจอกสุราหยกขาวนั้นถูกเทจนเต็ม นางก็หันหน้าไปหาองค์หญิงฟังโหรวแล้วยกจอกสุราขึ้น “ข้าขอดื่มเพื่อคารวะ” 


 


 


นางมิพูดอันใดอีกแล้วเงยหน้าขึ้นดื่มสุราผลไม้จอกใหญ่นั้นจนหมด หน้าพลันเห่อร้อนขึ้นมาทันที 


 


 


องค์หญิงฟังโหรวดื่มสุราจอกนั้นจนหมดเช่นกัน แต่ใบหน้ากลับยังคงปกติดีเช่นก่อนหน้า นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “อีกจอก!” 


 


 


สุราถูกรินเต็มจอกอีกครา 


 


 


“แค่กๆ ” เสียงไอดังขึ้น องค์ชายหกเดินเข้ามายื่นมือไปปรามไว้ “ฟังโหรว เจ้าเป็นเพียงเด็กน้อย ดื่มสุรามากมายเพียงนี้ไปไย ระวังกลับไปเสด็จย่ากับเสด็จพ่อจะเอ็ดเอา” 


 


 


“ข้ามิเป็นอันใดเสียหน่อย” แม้นองค์หญิงฟังโหรวพูดเช่นนี้ออกมา แต่ขอบตากับมีน้ำเอ่อคลอขึ้น คล้ายเริ่มมึนเมาแล้วกระนั้น “พี่หก ท่านมาขวางพวกเราทำไม? หรือท่านกลัวว่าพี่เจียหมิงจะเมา? คิกๆ ท่านหัวหน้าบัญชาการหลัวยังมิพูดอะไรด้วยซ้ำ ท่านร้อนใจอันใดกัน?” 


 


 


เมื่อวาจานี้เอ่ยออกไป สีหน้าของทุกคนก็แตกต่างกันออกไป 


 


 


องค์หญิงฟังโหรวอายุยังน้อย ทั้งยังดื่มสุราอีก เห็นชัดว่านี้เป็นวาจาเมามายของเด็กน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น แต่วาจามึนเมาที่เอ่ยออกไปนี้ ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งสามต่างก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนขึ้นมา 


 


 


องค์ชายหลายพระองค์ต่างหันไปมองหลัวเทียนเฉิง แต่กลับเห็นมุมปากเขายังคงห้อยแขวนด้วยรอยยิ้ม คล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกระนั้น 


 


 


ความสนุกนี้ช่างน่าสนใจยิ่ง ผู้คนทั้งหลายต่างรีบหันไปมององค์ชายหก 


 


 


ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ล้วนเป็นปีศาจในร่างคน ขอเพียงองค์ชายหกเผยท่าทีประหม่าหรือแปลกแปร่งขึ้นมา ข่าวลือต่างๆ ก็จักต้องแพร่ออกไปทันทีแน่ 


 


 


ใบหน้าองค์ชายหกยังคงแขวนด้วยรอยยิ้มเกียจคร้าน เขายื่นมือออกมาลูบศีรษะองค์หญิงฟังโหรว “เด็กน้อยเจ้าพูดเรื่องเหลวไหลอันใด เจียหมิงกับเจ้าล้วนเป็นน้องสาวของข้า พี่แค่กลัวพวกเจ้าจะดื่มจนเมามาย หากเมาแล้วทำเรื่องน่าอายจนถูกหวังเฟยดุเอาก็อย่าร้องไห้น้ำมูลไหลเล่า” พูดพลางชำเลืองมองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่งแล้วยิ้มออกมา “หัวหน้าผู้บัญชาการหลัวย่อมต้องไม่เอ่ยอันใดอยู่แล้ว มีพี่ชายน้องชายของภรรยาอยู่เต็มไปหมด เขาไหนเลยจะมีสิทธิ์เอ่ยแทรก!” 


 


 


วาจานี้ทำเอาทุกคนหัวเราะออกมา บรรยากาศอันประหม่าเมื่อครู่พลันมลายหายไปทันที 


 


 


ภายใต้เสียงพูดคุยหัวเราะนี้ เจินเมี่ยวกลับรู้สึกว่ามีวงกลมระยิบระยับวิ่งวนไปมาตรงหน้า ทำให้นางรู้สึกเวียนหัวยิ่ง 


 


 


“คุณหนูสี่…” ฉงสี่เซี่ยนจู่ยื่นมือออกไปประคองเจินเมี่ยวไว้ 


 


 


“ข้าคงเมาแล้วกระมัง” เจินเมี่ยวเอ่ยได้เพียงประโยคเดียวก็คอพับไปทันที 


 


 


ผู้คนทั้งหลายได้แต่เงียบงัน 


 


 


ฝีมือการดื่มสุราเช่นนี้ทำให้คนตกตะลึงยิ่งนัก 


 


 


หลัวเทียนเฉิงอดเดินเข้ามาหามิได้ 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่เลิกคิ้วขึ้นเอ่ยว่า “หัวหน้าผู้บัญชาการท่านดื่มเป็นเพื่อนพี่ชายทั้งหลายเถิด เราจะดูแลคุณหนูสี่ให้เอง” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง แล้วถอนหายใจเสียงต่ำ แต่ก็ยอมถอยออกไป 


 


 


ตามธรรมเนียมของต้าโจว หากยอมรับเป็นบุตรบุญธรรมก็ต้องพักค้างแรมที่เรือนบิดามารดาบุตรธรรมหนึ่งคืน 


 


 


หากเขาคิดจะพบหน้ากับเจินเมี่ยวก็คงต้องรอพรุ่งนี้เช้าตอนมารับนางนั้นแล 


 


 


“ข้าจะประคองคุณหนูสี่ไปพักที่ห้องด้านหลังก่อนแล้วกัน” ฉงสี่เซี่ยนจู่เอ่ย 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่พยักหน้า “เจ้าไปเถิด ข้าจะอยู่รับหน้าเอง” 


 


 


เจินเมี่ยวดื่มมากแล้ว ทุกคนจึงมิอาจทำให้นางลำบากใจอีก จึงได้แต่ยอมให้ฉงสี่เซี่ยนจู่ประคองนางไปพักที่ห้องด้านหลัง 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่นั้นคอแข็งยิ่ง นางเดินยกสุราคารวะไปทั่วท้อง ทำให้บรรยากาศคึกคักขึ้นมาอีกครา 


 


 


พลันได้ยินพระชายาขององค์ชายสามเอ่ยถามขึ้นว่า “เหตุใดวันนี้องค์หญิงสี่จึงไม่มาเล่า?” 


 


 


พระชายาขององค์ชายสามจึงเอ่ยแทรกขึ้นเสียงแผ่วเบาว่า “ได้ยินว่าราชบุตรเขยแต่งอนุจึงเกิดการวิวาทกัน” 


 


 


ในราชวงศ์นี้นั้นมีองค์หญิงทั้งหมดห้าพระองค์ องค์หญิงใหญ่อภิเษกไปแดนไกล องค์หญิงสามสิ้นพระชนม์แล้ว นอกจากฟังโหรวซึ่งเป็นองค์หญิงห้าที่ยังทรงพระเยาว์ ก็มีเพียงองค์รองกับองค์หญิงสี่ที่อภิเษกแล้วยังพำนักอยู่ในเมืองหลวง 


 


 


ตามกฎแล้วราชบุตรเขยมิอาจแต่งอนุได้ แต่องค์หญิงสี่อภิเษกมาหลายปีก็ยังไม่มีบุตรชาย ถึงแม้จะมีฐานะเป็นองค์หญิงก็มิอาจไม่ยอมจำนนด้วยเหตุผล 


 


 


พระชายาองค์ชายสามฟังแล้วก็เข้าใจทันทีจึงได้แต่ส่ายหน้ามิพูดจาอันใดอีก 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่กลับรู้สึกเบื่อหน่าย นางอยากจะไปสนทนากับฉงสี่และเจินเมี่ยวเสียมากกว่า อย่างไรก็ดีกว่าอยู่รับรองคนพวกนี้หลายเท่า 


 


 


ขณะที่กำลังหงุดหงิดใจอยู่นั้นก็เห็นองค์หญิงฟังโหรวเดินถือจอกสุราหยกขาวเดินเข้าไปหา หลัวเทียนเฉิง 


 


 


“หัวหน้าผู้บัญชาการหลัว สุราจอกนี้ ฟังโหรวขอดื่มคารวะท่านแล้ว” 


 


 


“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” หลัวเทียนเฉิงมิได้พูดอันใดให้มากความ เขายกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวหมดจอก 


 


 


ในแววตาขององค์หญิงฟังโหรวมีประกายชนิดหนึ่งเกิดขึ้น นางกำลังจะเอ่ยสิ่งใดบางอย่างแต่กลับถูกชูสยาจวิ้นจู่ดึงตัวออกไป 


 


 


“หัวหน้าผู้บัญชาการหลัว อีกไม่นานข้าก็ต้องจากไปอยู่แดนไกลแล้ว ต่อไปบิดาและมารดาข้าก็คงต้องขอให้ท่านและคุณหนูสี่ช่วยดูแลแทนแล้ว” 


 


 


“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลัวเทียนเฉิงยกสุราขึ้นดื่มอีกจอก แต่ใจกลับยังคงคิดถึงแต่เจินเมี่ยว 


 


 


ไม่รู้ว่าวันนี้ที่นางต้องค้างแรมอยู่ที่จวนหย่งอ๋องนั้นจะราบรื่นดีหรือไม่ 


 


 


เจินเมี่ยวที่หลัวเทียนเฉิงกำลังเป็นห่วงอยู่นั้นได้หลับไปนานแล้ว แม้แต่อาหารค่ำก็มิได้กิน นางหลับไปกระทั่งเช้าวันต่อมา 


 


 


ตอนที่นางตื่นขึ้นก็เห็นชิงเกอนั่งสัปหงกหลับอยู่ปลายเท้าตน 


 


 


“ชิงเกอ อาหลวนเล่า?” เจินเมี่ยวนวดคลึงหัวคิ้วตน 


 


 


ชิงเกอตื่นขึ้นมาจึงรีบเอ่ยตอบว่า “ยังมิเห็นพี่อาหลวนเลยเจ้าค่ะ” 


 


 


อาหลวนที่กำลังถูกเอ่ยถึงกลับเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน ท่าทีร้อนรน “ต้าไหน่ไหน่ ท่านตื่นแล้วหรือ บ่าวจะปรนนิบัติท่านล้างหน้าบ้วนปากเองเจ้าค่ะ” 


 


 


เจินเมี่ยวสร่างเมาแล้ว สติปัญญาทุกอย่างล้วนแจ่มชัดขึ้นมาก นางจ้องมองอาหลวนแล้วเอ่ยถามว่า “อาหลวน เจ้าลนลานอันใด?” 


 


 


อาหลวนมีสีหน้าวิตกขึ้นมา นางลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ต้าไหน่ไหน่ ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับชูสยาจวิ้นจู่แล้ว ตอนนี้หวังเฟยกำลังดุด่าอยู่เจ้าค่ะ!” 


 


 


“เกิดอันใดขึ้น?” เจินเมี่ยวตาสว่างขึ้นมาทันที 


 


 


หากมิใช่เรื่องใหญ่จริง ตามเหตุผลแล้วหวังเฟยคงมิดุด่าชูสยาจวิ้นจูทั้งที่นางยังคงอยู่ที่นี่เป็นแน่ 


 


 


“ดูเหมือนว่าหลังจากงานเลี้ยงฉลองเมื่อคืนผ่านไป ชูสยาจวิ้นจู่ก็ได้ละเล่นร่ายบทกลอนกัน แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดกลับมีบทกลอนครวญหารักปะปนเข้ามา ซึ่งเป็นลายมือของชูสยาจวิ้นจู่เอง…เจ้าค่ะ” 


 


 


“บทกลอนครวญหารัก?” เจินเมี่ยวตกใจยิ่ง “บทกลอนนั้นเขียนว่าอย่างไร?” 


 


 


อาหลวนลังเลครู่หนึ่ง 


 


 


เจินเมี่ยวร้อนใจยิ่ง “อาหลวน รีบพูดมาเดี๋ยวนี้” 


 


 


อาหลวนกัดฟันเอ่ย “ท่านเกิดข้ายังมิเกิด ข้าเกิดท่านกลับชรา ท่านแค้นที่ข้าเกิดช้า ข้าแค้นที่ท่านเกิดเร็ว…” 


 


 


ประโยคหลังกลับค่อยๆ แผ่วเบาจนไม่ได้ยิน ใบหูอาหลวนแดงก่ำขึ้นมา “แค้นที่มิอาจเกิดในเวลาเดียวกัน ทุกเมื่อเชื่อวันผูกพันรักใคร่…” 


 


 


เจินเมี่ยวกลับอึ้งงันไป 


 


 


แค้นที่มิอาจเกิดในเวลาเดียวกัน ทุกเมื่อเชื่อวันผูกพันรักใคร่… 


 


 


คนผู้หนึ่งแค้นที่มิอาจเกิดในเวลาเดียวกัน ทุกเมื่อเชื่อวันผูกพันรักใคร่งั้นหรือ! 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ต้องถูกคนกลั่นแกล้งเป็นแน่ 


 


 


ตีให้ตายนางก็ไม่เชื่อว่า ชูสยาจวิ้นจู่จะเขียนบทกลอนเช่นนี้ออกมาได้ 


 


 


เจินเมี่ยวลุกยืนขึ้นทันที 


 


 


“ต้าไหน่ไหน่?” 


 


 


เจินเมี่ยวสวมอาภรณ์พลางเอ่ยว่า “เร็วเข้า ข้าจะไปหาชูสยา”  

 

 


ตอนที่ 254 ขอร้อง

 

รอกระทั่งแต่งกายเรียบร้อยแล้ว เจินเมี่ยวก็เกิดลังเลขึ้นมา 


 


 


“อาหลวน เรื่องเมื่อวานสถานการณ์นั้นดูเลวร้ายมากเพียงใดหรือ?” 


 


 


อาหลวนพยักหน้า เอ่ยเสียงต่ำว่า “บ่าวกับชิงเกอคอยอยู่ปรนนิบัติท่านตลอดเวลา เดิมก็มิทราบสิ่งใด แต่เมื่อถึงยามอาหารค่ำไม่มีผู้ใดมาเชิญท่านไปกินข้าวเลย ครั้นเลยเวลาอาหารค่ำไปแล้ว หวังเฟยจึงส่งสาวใช้นำอาหารมาให้ บ่าวรู้สึกว่ามันแปลกๆ กลัวว่าจะมีอันใดเดือดร้อนมาถึงท่านจึงไปหาองค์หญิงชูสยา แต่กลับมิได้พบกับองค์หญิงชูสยา คนในเรือนขององค์หญิงก็ดูแปลกๆ บ่าวมิกล้าสอบถามอันใดจึงได้แต่กลับมาเจ้าค่ะ แต่ตอนที่ท่านยังหลับอยู่นั้นมีสาวใช้ผู้หนึ่งมาหาบ่าว บอกว่าเป็นสาวใช้ขององค์หญิงชูสยา องค์หญิงให้นางมาหาท่าน หากท่านตื่นแล้วให้ไปหาองค์หญิงเจ้าค่ะ” 


 


 


อาหลวนพูดพลางมองเจินเมี่ยวด้วยความกังวล แต่ก็ยังเอ่ยต่ออีกว่า “แล้วสาวใช้ผู้นั้นได้เล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้ฟัง เพื่อท่านจะได้ทราบว่าควรทำเช่นไร บทกลอนนั้นถูกอ่านในการละเล่นร่ายบทกลอนแล้วเมื่อวาน นายท่านทั้งหลายที่ร่วมละเลยต่างก็ได้ยินกันหมด ครั้นหวังเฟยทราบเรื่องก็มิได้กระทำอันใดทันที แต่ในนั้นเดือดดาลยิ่ง หลังจากงานร่ายบทกลอนจบลง องค์หญิงชูสยาก็ไปที่เรือนหวังเฟยและมิได้กลับออกมาเลยเจ้าค่ะ” 


 


 


หลังสร่างเมาก็มิใคร่จะสบายตัวนัก ยามนี้เจินเมี่ยวจึงยิ่งรู้สึกปวดศีรษะ 


 


 


นางยื่นมือออกมานวดขมับตน นางเดินอยู่ภายในห้องเพียงสองก้าวก็รู้สึกว่ากลิ่นหอมภายในห้องนั้นหอมเกินไป จึงเอ่ยว่า “เปิดหน้าต่างระบายกลิ่นออกหน่อยเถิด” 


 


 


อาหลวนรีบเดินไปเปิดหน้าต่าง 


 


 


นางทราบว่านายตนมิชอบกลิ่นกำยานหอมมาแต่ไหนแต่ไร แต่เพราะเมื่อวานเมาสุรา นางกลัวว่าหากเปิดหน้าต่างแล้วอาจเป็นไข้จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย 


 


 


เจินเมี่ยวยืนสูดลมหายใจอยู่ข้างหน้าต่างครู่หนึ่ง หัวใจที่เต้นระส่ำนั้นจึงค่อยๆ สงบลง 


 


 


ต้นไม้เก่าแก่นอกหน้าต่างนั้นดูไม่ออกว่าเป็นต้นอะไร บนกิ่งไม้ไร้ใบนั้นปกคลุมไปด้วยหิมะชั้นหนึ่ง แสงอาทิตย์ที่เพิ่งพ้นขอบฟ้าสาดทอลงมากระทบนั้นช่างเจิดจ้าสว่างตายิ่ง ต้นไม้เก่าแก่ที่ไม่มีใบไม้ปกปิดไว้กลับคล้ายต้นไม้หยกตนหนึ่งก็มิปาน 


 


 


บนหลังคาเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปนั้นมิอาจแยกแยะสีของมันได้เลย มีเพียงผืนหิมะขาวสะอาดปกคลุมไว้ ดูเจิดจ้ายิ่ง 


 


 


“หิมะตกอีกแล้วหรือ?” 


 


 


“เจ้าค่ะ ตกทั้งคืนเลยเจ้าค่ะ” อาหลวนเอ่ย 


 


 


เมื่อคืนนางกังวลว่าจะเกิดเรื่องอันใดหรือไม่จึงนอนไม่หลับตลอดคืน 


 


 


“ไปเถิด” เจินเมี่ยวผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ 


 


 


“ต้าไหน่ไหน่?” ชิงเกอขยี้ตาแล้วลุกขึ้นมา 


 


 


เจินเมี่ยวหันกลับไปมอง แล้วเอ่ยขึ้น “ชิงเกอ ข้าจะไปหาหวงเฟยกับอาหลวน เจ้าอยู่ที่นี่เถิด” 


 


 


ชิงเกอเป็นคนซื่อๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มิได้ถามอีก เพียงพยักหน้ารับเท่านั้น 


 


 


อาหลวนรีบรับเอาเสื้อกันลมมาคลุมให้เจินเมี่ยว นายบ่าวจึงค่อยออกจากเรือนโดยมีสาวใช้ของที่นี่เป็นผู้นำทางไป 


 


 


เมื่อออกไปข้างนอกเจินเมี่ยวก็พลันรู้สึกหนาวขึ้นมาจับใจ นางกระชับคอเสื้อตนทั้งยังกอดเตาอุ่นมือแน่นจงก้าวเดินไปยังเรือนของหวังเฟยอย่างทุลักทุเล 


 


 


ตลอดทางที่พบสาวใช้ ทุกคนต่างย่อกายคารวะนางปากก็เรียกว่าเจียหมิงเซี่ยนจู่ 


 


 


หากเป็นเมื่อวานยามสาวใช้เหล่านี้แสดงท่าทีนอบน้อมทั้งเรียกนางว่าด้วยนามใหม่ที่ได้รับ นางอาจจะรู้สึกอึดอัดไม่เป็นตนเอง แต่ยามนี้นางมีเรื่องร้อนใจ แต่สีหน้าที่เผยออกมากลับดูเคร่งขรึมอย่างที่สุด ความเคร่งขรึมเช่นนี้สำหรับสาวใช้ทั้งหลายนั้นเรียกได้ว่าเป็นท่าทีอันพึงมีของผู้มีบรรดาศักดิ์สูงส่งทั้งหลาย 


 


 


เดิมบ่าวไพร่ในจวนอ๋อง ยามออกไปข้างนอกนั้นยังมีหน้ามีตากว่าขุนนางเล็กๆ เสียอีก สาวใช้ที่เจินเมี่ยวพบอยู่ตลอดทางแม้นจะนอบน้อมทั้งยังคารวะนาง แต่ในใจกลับยังคงเฝ้าสังเกตและจับผิดเซี่ยนจู่คนใหม่ผู้นี้ ทว่ายามนี้ใจอันมิยอมรับนับถือกลับค่อยๆ ลดน้อยถอยลง 


 


 


ผู้ที่ปากมากหน่อยก็จะเอ่ยว่า “อย่างไรก็เป็นเซี่ยนจู่ที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง รูปโฉม ท่าที กลับงดงามดุจกิ่งทองใบหยก” 


 


 


ส่วนสาวใช้ที่รับรู้เรื่องเมื่อวานนี้กลับลอบถอนหายใจอยู่เงียบๆ ในใจก็กล่าวว่าแม้นกิ่งทองใบหยกอันแท้จริงก็ทำเรื่องผิดพลาดได้เช่นกัน 


 


 


เจินเมี่ยวหยุดอยู่หน้าประตูเรือนหวังเฟย นางเงยหน้าขึ้นมองคราหนึ่ง 


 


 


กำแพงเป็นอิฐสีทึบ หน้าต่างลายฉลุนั้นสามารถมองเห็นเงารางๆ ของคนในเรือนได้เลือนๆ 


 


 


ต้นสนและต้นเหมยปูลาดด้วยพื้นสีเงิน มีเพียงภูผาจำลองเท่านั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่เพียงหนึ่งเดียว เสียงน้ำไหลเอื่อยๆ บริเวณโดยรอบมีดอกไม้หลากหลายสีขึ้นเต็มไปหมด เมื่อมองจากที่ไกลๆ ก็เห็นเป็นสีแดงสีม่วงปกคลุมไปทั่ว แต่กลับแยกไม่ออกว่ามีดอกไม้ชนิดใดบ้าง 


 


 


เจินเมี่ยวกดข่มความสงสัยตนไว้ นางเพียงเอ่ยอย่างทอดถอนใจอยู่ในอกว่า ไม่เสียทีที่เป็นจวนอ๋อง เพียงเห็นทัศนียภาพในเรือนอ๋องแล้วก็มิได้ด้อยไปกว่าอุทยานหลวงที่นางเคยไปสักเท่าใดเลย 


 


 


“ต้าไหน่ไหน่ เข้าไปเถิดเจ้าค่ะ” อาหลวนเอ่ยเตือนขึ้น 


 


 


เจินเมี่ยวจึงเลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วก้าวเท้าข้ามประตูไป นางเดินตามสาวใช้หน้าตางดงามผู้หนึ่งไป แต่ในใจกลับหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


เมื่อเห็นสาวใช้ทั้งหลายที่เดินเข้าออกมิกล้าแม้จะหายใจดัง ก็ทราบว่าเรื่องราวมิใคร่จะดีนัก 


 


 


เจินเมี่ยวจึงกลั้นหายใจอึดหนึ่ง 


 


 


นางสงสัยกระทั่งว่าที่สาวใช้ผู้นั้นไปบอกอาหลวนว่าให้นางมาที่นี่ ที่แท้แล้วเป็นความปรารถนาของชูสยาจวิ้นจู่หรือหวังเฟยกันแน่? 


 


 


ท่านเกิดข้ายังมิเกิด ข้าเกิดท่านกลับชรา! 


 


 


หากมีคนคิดให้ลึกเสียหน่อย กล้าคาดเดาสักนิด จะนึกไปถึงท่านลุงรองของนางหรือไม่? 


 


 


กลอนบทนี้ความหมายช่างชัดเจนนัก ชูสยาจวิ้นจู่รั้งตัวอยู่ที่เป่ยเหออยู่นาน ผู้ที่นางพบปะมากที่สุดก็คือท่านลุงรองผู้มีรูปโฉมดุจเซียนของนางนั้นเอง! 


 


 


องค์หญิงในพระบรมวงศานุวงศ์มีความรักให้แก่ขุนนางในราชสำนักที่อายุมากกว่านางถึงยี่สิบกว่าปี แค่มีข่าวลือแพร่ออกไปแม้เพียงนิด อย่าว่าแต่การอภิเษกไปดินแดนของชูสยาจะต้องล้มเลิกเลย เกรงว่าตำแหน่งขุนนางของลุงรองของนางก็คงไม่เหลือแล้ว 


 


 


นี่เป็นเรื่องอัปยศที่สุดเลยทีเดียว! 


 


 


เจินเมี่ยวเพียงแค้นที่ตอนนั้นตนเองมิเตือนชูสยาจวิ้นจู่ไว้สักหน่อย 


 


 


แต่นางจำได้ว่าชูสยาเป็นคนที่เข้าใจทุกอย่างถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงได้ทำเรื่องเลอะเลือนเช่นนี้ได้เล่า? 


 


 


“เจียหมิง…” เสียงหนึ่งเรียกเจินเมี่ยวให้ตื่นจากภวังค์ 


 


 


เจินเมี่ยวตาลายเห็นหย่งอ๋องหุ่นเริ่มอ้วนกลมเป็นลูกหนังลูกหนึ่งไป เมื่อรู้ตัวก็รีบที่ย่อกายคารวะทันที “เจียหมิงคารวะบิดาบุญธรรม” 


 


 


หย่งอ๋องมีสีหน้ากลัดกลุ้มทุกข์ทนอย่างที่สุด “เจียหมิง เจ้าเรียกข้าว่าท่านพ่อเช่นเดียวกับชูสยาเถิด” 


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง 


 


 


แม้นในยุคสมัยของต้าโจว หากยอมรับผู้ใดเป็นบุตรบุญธรรมก็ย่อมต้องปฏิบัติเช่นบุตรแท้ๆ ไม่ต่างกัน แต่อย่างไรนางก็มิได้เกิดและเติบโตที่นี่จะให้คุ้นชินในทันทีก็ยังคงทำไม่ได้ 


 


 


“มิเช่นนั้นก็เรียกพ่อบุญธรรมเถิด เรียกบิดาบุญธรรมดูห่างเหินยิ่ง ข้าฟังแล้วรู้สึกไม่ดียิ่ง” หย่งอ๋องลูบหน้าอกตนคราหนึ่ง 


 


 


พ่อบุญธรรม? 


 


 


เจินเมี่ยวขนลุกขึ้นมา 


 


 


เรียกท่านพ่อยังดีเสียกว่า เช่นนี้เท่ากับมิได้ให้ทางเลือกใดกับนางเลยจริงๆ ! 


 


 


“ท่านพ่อ” 


 


 


“อืม” หย่งอ๋องรับคำคราหนึ่ง แล้วขยี้ตาตน “เจียหมิง เจ้ารีบไปขอร้องท่านแม่เจ้าให้ปล่อยชูสยาทีเถิด พ่อพูดแล้วมิได้ผล คงต้องให้เจ้าช่วยแล้ว” 


 


 


“ชูสยา…” 


 


 


หย่งอ๋องแทบน้ำตาร่วงลงมา “มารดาเจ้าใจดำนัก นางมิให้ชูสยากินข้าวทั้งยังตีนางอีก!” 


 


 


เมื่อมองหย่งอ๋องผู้น่าสงสาร อารมณ์อันหนักอึ้งของเจินเมี่ยวก็พลันผ่อนคลายลงมาเล็กน้อย 


 


 


หย่งอ๋องผู้นี้ช่างเป็นคนประหลาดนัก ชมชอบเลี้ยงนกชนสุนัข ดื่มกินเที่ยวเล่นสนุกทุกชนิดไม่มีขาดทั้งยังชอบดูละครชมสามงาม ทว่ากลับกลัวภรรยายิ่ง 


 


 


กระทั่งตอนนี้ก็มีชูสยาและอ๋องน้อยเพียงสองคนเท่านั้น อย่าว่าแต่ลูกอนุอันใดเลย แม้แต่ชายารองก็ไม่มีแม้เพียงคน 


 


 


แน่นอนว่าย่อมต้องมีสาวใช้ทงฝังสักคนสองคน แต่ก็มิจำเป็นต้องเอ่ยถึงดอก สาวใช้ทงฝังนับไม่ได้แม้เพียงอนุ นายท่านทั้งหลายใช้เบื่อแล้วก็ส่งต่อให้ผู้อื่นหรือไม่ก็มอบเป็นรางวัลให้ข้ารับใช้ตนไปอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง 


 


 


“เจ้าก็บอกว่าอยากจะพบชูสยา มารดาเจ้าย่อมไม่มีทางหักหน้าเจ้าแน่ พ่อจะรอพวกเจ้าอยู่ตรงนี้” 


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้า แต่ใจกลับรู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย 


 


 


มิต้องเก่งกาจมากความสามารถ ท่าทีสูงส่งสง่างาม มีบิดาที่รักและเห็นเจ้าเป็นดั่งดวงใจเช่นนี้ ช่างเป็นโชคอันที่สุดจริงๆ 


 


 


หรือเพราะหย่งอ๋องรักทะนุถนอมชูสยาเช่นนี้ ชูสยาจึงชมชอบบุรุษที่มีอายุไปโดยปริยาย นางถึงได้มีใจให้กับลุงรองของตน? 


 


 


ครั้นคิดถึงท่านลุงรองที่มีรูปโฉมดุจเทพเซียน แล้วหันมองหย่งอ๋องสูงกว้างไม่ต่างกันตรงหน้าแล้ว เจินเมี่ยวก็ส่ายหน้าทันที 


 


 


ช่างเถิด นางมิจำเป็นต้องหาเหตุผลอื่นแล้ว อย่างไรเหตุผลที่ว่าคนเรามักนชมชอบความสวยงามนั้นดูจะน่าเชื่อถือกว่าสักหน่อย! 


 


 


เจินเมี่ยวเดินเข้าไปในห้อง ภายใต้ดวงตาอันผ่าวร้อนของหย่งอ๋อง 


 


 


“เจียหมิง เจ้ามาแล้วหรือ นั่งเถิด” หวังเฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ ความเหนื่อยล้าบนใบหน้านั้นยากจะปิดบังเอาไว้ได้ 


 


 


เจินเมี่ยวรีบเปลี่ยนวาจาที่ติดอยู่ปลายลิ้นตน นางย่อกายคารวะ “เจียหมิงคารวะท่านแม่” 


 


 


หวังเฟยอึ้งงันไป ตามด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ “นั่งเถิด ระหว่างทางที่เดินมาคงหนาวยิ่ง เมื่อวานหลับสบายดีหรือไม่?” 


 


 


ผู้มีบรรดาศักดิ์สูงส่งเช่นหวังเฟยไม่ว่าจะมีเรื่องดีเรื่องร้ายก็มักไม่แสดงออกมาแม้เพียงเล็กน้อย เจินเมี่ยวดูความรู้สึกที่แท้จริงของนางเลย กระทั่งไม่รู้ว่าเกิดเรื่องบทกลอนเช่นนั้นขึ้น นางจะโกรธเคืองมาถึงตนด้วยหรือไม่ 


 


 


อย่างไรเสียหากไม่มีงานเลี้ยงรับนางเป็นบุตรบุญธรรมก็คงไม่มีการละเล่นร่ายบทกลอนนั้นแน่ ทั้งตำแหน่งเซี่ยนจู่นี่ของนางรวมทั้งเรื่องที่พระชายาหย่งอ๋องรับนางเป็นบุตรบุญธรรมนั้น ความจริงเป็นพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ การพูดคุยกับพระชายานั้นก็ทำไปตามธรรมชาติของตนเถิด 


 


 


นางเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยออกไปตามตรงว่า “ท่านแม่ ท่านพ่อบอกว่าชูสยาทำให้ท่านโมโหหรือเจ้าคะ?” 


 


 


หวังเฟยมีสีหน้าขรึมลงเล็กน้อย 


 


 


มุมปากหวังเฟยขยับขึ้นเล็กน้อย แต่มิได้เอ่ยสิ่งใด สุดท้ายก็ส่ายหน้า “ช่างเถิด” 


 


 


แล้วกำชับสาวใช้ข้างกายว่า “พาเจียหมิงเซี่ยนจู่เข้าไปเถิด” 


 


 


เจินเมี่ยวถึงนำไปยังห้องหน่วนเก๋อ นางเห็นชูสยาจวิ้นจู่นอนคว่ำอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินเสียงก็หันหน้ามามอง 


 


 


คนทั้งสองสบตากัน ชูสยาจวิ้นจู่ตบที่ขอบเตียงตน “คุณหนูสี่ ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที พวกเจ้าออกไปให้หมด!” 


 


 


สาวใช้ในห้องต่างออกไปหมดแล้ว เจินเมี่ยวก็รีบเดินเข้าไปนั่งลงด้านข้าง พิจารณานางอย่างละเอียด แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ “ชูสยา บั้นท้ายท่าน…” 


 


 


“อย่าพูดถึงเลย ถูกท่านแม่ตีน่ะสิ” 


 


 


ริมฝีปากเจินเมี่ยวขยับคราหนึ่ง แต่ก็ไม่ทราบจะเอ่ยสิ่งใดดี 


 


 


คิดไม่ถึงว่าพระชายาจะโมโหร้ายปานนี้ ชูสยาโตเพียงนี้แล้วแต่กลับยังตีก้นนาง 


 


 


“บทกลอนนั้น…” 


 


 


เมื่อได้ยินคำนี้ ใบหน้าชูสยาจวิ้นจู่ก็ขาวซีดไปทันที ดวงตาปรากฏความโกรธกรุ่น แล้วเปลี่ยนเป็นการตำหนิตน นางเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าเขียนไว้ก่อนหน้านี้” 


 


 


เจินเมี่ยวอ้าปากขึ้น รู้สึกลำคอร้อนผ่าว เสียงแผ่วเบาจนแทบมิได้ยิน “ท่านลุงรองของข้า…” 


 


 


ใบหน้าชูสยาจวิ้นจู่แดงเรื่อขึ้นมา นางเอ่ยเสียงต่ำว่า “เขาย่อมไม่รู้แม้เพียงสักนิด” 


 


 


“เฮ้อ” เจินเมี่ยวรู้สึกโล่งใจแต่เมื่อคิดอีกที แม้ว่าลุงรองจะไม่รู้เรื่องใด แต่หากข่าวลือเช่นนี้แพร่ออกไปก็มากพอจะทำให้เขาตายได้ ใจของนางก็กลัดกลุ้มขึ้นมาอีก 


 


 


“บทกลอนนั้นข้าเขียนเสร็จก็ให้สาวใช้นำไปเผาทันที ผู้ใดจะทราบว่า…” 


 


 


“สาวใช้ผู้นั้นเล่า?” 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่เอ่ยเสียงสั่น “ตายแล้ว เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น สิ่งที่ท่านแม่ทำสิ่งแรกคือจับสาวใช้ของข้าทุกคนมารวมกัน แต่ชิวเตี๋ยกลับแขวนคอตายอยู่ที่เรือนปีกข้าง รอจนมีคนไปเห็นร่างนางก็แข็งแล้ว” 


 


 


กล่าวถึงตรงนี้ชูสยาจวิ้นจู่กลับมิอาจอดกลั้นได้อีกต่อไป “คุณหนูสี่ เจ้าบอกข้าทีว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ชิวเตี๋ยเป็นสาวใช้ข้างกายข้ามาตั้งแต่เล็ก นางทำร้ายข้าเช่นนี้ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ!” 


 


 


เจินเมี่ยวตบบ่าชูสยาจวิ้นจู่คราหนึ่ง “ชูสยา เรื่องเหล่านี้จักต้องมีคนสืบหาต้นตอแน่ สำคัญคือตอนนี้บทกลอนนั้นของท่านจะมีคนนำไปเล่าลือเลอะเทอะหรือไม่…”  


 


 


“ดังนั้นข้าจึงมีเรื่องอยากขอร้องเจ้า”  

 

 


ตอนที่ 255 กระบี่แหวกวิถี

 

“ท่านว่ามา” 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ประคองเอวตนไว้ แล้วเอ่ยถามอย่างลับๆ ล่อๆ ว่า “ศัตรูของท่านลุงรองเจ้าคือผู้ใด?” 


 


 


“ห๊ะ?” เจินเมี่ยวคิดว่าตนฟังผิด 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่กัดริมฝีปาก “เจ้าให้หลัวซื่อจื่อลอบสืบดูว่าศัตรูของลุงรองเจ้ามีผู้ใดบ้าง!” 


 


 


“ชูสยา ความหมายของท่านคือ…” 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่หลุบม่านตาลง นางเอ่ยอย่างละอายใจอยู่บ้างว่า “รอให้หลัวซื่อจื่อสืบจนรู้ว่าคนพวกนั้นมีใครบ้าง เจ้าก็เขียนรายชื่อมาให้ข้า ข้าจะเลือกคนที่เหมาะสมสักคน ก็เป็นเขานั้นแล!” 


 


 


เจินเมี่ยวกลับซูดปากคราหนึ่ง “ชูสยา ท่านพูดให้ชัดเจน อันใดที่เรียกว่า ‘ก็เป็นเขานั้นแล’ ห๊ะ? ” 


 


 


นางรู้ว่าไม่ควรจะไปคาดหวังวิธีการดีๆ อันใดกับกิ่งทองใบหยกที่เติบโตมาท่ามกลางผู้คนที่คอยเอาใจ แต่…ชูสยาร้อนใจกว่าตนเสียอีก 


 


 


“เจ้าตกใจอันใด?” ชูสยาจวิ้นจู่กลอกตาไปมา นางเอ่ยอย่างคล่องปากคล้ายได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว “อย่างไรข้าก็ต้องอภิเษกออกไป เรื่องนี้เสด็จลุงย่อมต้องเก็บไว้ให้เงียบ อย่างมากพวกเขาก็ได้แต่คาดเดา แต่ข้าก็รู้ดี แม้นภายนอกจะเก็บงำไว้ แต่เมื่อเสด็จรู้สืบจนทราบว่าคนผู้นั้นเป็นใคร คนผู้นั้นจักต้องสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่แน่ว่าอาจสูญเสียตำแหน่งขุนนางด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะเลือกผู้ที่เป็นศัตรูของเขา และเป็นสิ่งเดียวที่ข้าจะทำเพื่อเขาได้แล้ว” 


 


 


เจินเมี่ยวตาถลน ปากอ้าค้าง 


 


 


“คุณหนูสี่ เจ้าจะช่วยข้าหรือไม่?” ชูสยาจวิ้นจู่ยื่นมือออกมาดึงแขนเสื้อนาง 


 


 


เจินเมี่ยวกุมขมับตนแล้วจึงเอ่ยว่า “ชูสยา เรื่องนี้ข้าทำไม่ได้” 


 


 


“อันใดกัน?” ชูสยาจวิ้นจู่เม้มริมฝีปากแน่น นางพิจารณาเจินเมี่ยวอย่างถี่ถ้วน แล้วถอนหายใจออกมา “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดว่าทำเช่นนี้ช่างไร้คุณธรรมยิ่ง แต่เรื่องนี้หากมิหาแพะรับบาป เขาก็จะตกอยู่ในอันตราย และเขาก็เป็นท่านลุงรองของเจ้า ดั่งคำที่กล่าวว่าเสียสละชีพตนก็มิยอมให้สหายต้องตาย เคยได้ยินหรือไม่! อีกอย่าง ข้าก็มิได้ถึงขั้นคร่าชีวิตใคร อย่างมากก็แค่ไร้ตำแหน่ง หึ คนที่เป็นศัตรูกับเขานั้นย่อมมิใช่คนดีอันใด หากราชสำนักมีคนเช่นนี้น้อยลงอีกสักหน่อย ก็นับว่าเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดิน” 


 


 


“กล่าวเช่นนี้ท่านก็นับว่าเป็นผู้ทำคุณประโยชน์อย่างหาที่สุดมิได้แล้วหรือ?” เจินเมี่ยวกลอกตาคราหนึ่ง 


 


 


“โอ๊ย คุณหนูสี่ผู้แสนดี เจ้าช่วยข้าสักคราเถิด…” ชูสยาจวิ้นจู่ดึงแขนเสื้อเจินเมี่ยวไว้พลางขอร้อง คิดไม่ถึงว่าจะกระเทือนไปถึงแผล นางจึงร้องโหยหวนออกมาอย่างน่าสงสาร 


 


 


สาวใช้หลายคนรีบวิ่งเข้ามา 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ขมวดคิ้วด่าทอ “ออกไป!” 


 


 


สาวใช้หลายคนจึงถอยออกไปด้วยใบหน้าเศร้าตรม 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่เงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยออกมาด้วยอารมณ์ดิ่งต่ำว่า “คุณหนูสี่ เจ้ามิใช่ไม่รู้ ยามนี้ข้าเห็นเหล่าสาวใช้ก็รู้สึกอึดอัดจนแทบจะอาเจียนออกมา” 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่มีบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่มาตั้งแต่เยาว์ไว้ สาวใช้ข้างกายต่างต้องคัดสรรอย่างดี โดยเฉพาะสาวใช้ที่เติบโตมาพร้อมกับนา สำหรับนางแล้วก็เหมือนแขน ไม่มีอันใดที่จะให้พวกนางทำแทนมิได้ ดังนั้นการหักหลังของชิวเตี๋ยจึงทำให้นางรู้สึกไม่อยากจะเชื่อมาถึงตอนนี้ 


 


 


เจินเมี่ยวตบหลังมือชูสยาเป็นการปลอบใจ 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ระบายโทสะอยู่ครู่หนึ่งจึงมีสติคืนมา นางใช้สายตาอันเจิดจ้านั้นจ้องมองเจินเมี่ยว 


 


 


“ท่านได้มองข้าเช่นนี้ วิธีนี้มิอาจทำได้” 


 


 


“เหตุใดจึงทำมิได้?” ชูสยาจวิ้นจู่ร้อนใจขึ้นมา 


 


 


เจินเมี่ยวยื่นมือดีดที่หน้าผากชูสยาจวิ้นจู่ แล้วเอ่ยตำหนิ “ท่านควรคิดสักนิด ท่านลุงรองข้าอายุเท่าใดกันแล้ว ศัตรูของเขาย่อมต้องอายุมากกว่า ไม่มีน้อยกว่าแน่ ท่านลองคิดดูบุรุษอายุสี่สิบกว่ามีหน้าตาเช่นไร ผมบางน้อย หนวดเครารุง…” 


 


 


“โอ๊ย เจ้าอย่าพูดดีกว่า!” ชูสยาจวิ้นจู่มีสีหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมาครู่หนึ่ง 


 


 


เจินเมี่ยวชำเลืองมองนางคราหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างมีเหตุมีผลว่า “ดังนั้นวิธีนี้ของท่านจึงมิได้ผล เดิมผู้อื่นอาจคิดไม่ถึง แต่การกระทำเช่นนี้ของท่านก็ไม่ต่างอันใดกับการผลักท่านลุงรองของข้าออกมา?” 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง แล้วหมอบลงบนหมอนด้วยท่าทีสิ้นหวัง “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?” พูดพลางโขกศีรษะตนเองด้วยโมโหไปสองครา 


 


 


เจินเมี่ยวรีบขวางไว้ นางพูดด้วยท่าทีลังเลเล็กน้อย “ข้ากลับมีอีกวิธีหนึ่ง…” 


 


 


“รีบพูดมาเร็วเข้า!” 


 


 


“ข้าคิดว่ากลอนบทนั้น มิจำเป็นต้องชมชอบได้แต่เพียงบุรุษในยุคสมัยนี้” 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่พลันงงงันมิเข้าใจ “คุณหนูสี่ เจ้ายิ่งพูดข้ายิ่งงง” 


 


 


“ท่านเกิดข้ายังมิเกิด ข้าเกิดท่านกลับชรา…” เจินเมี่ยวก้มหน้าท่องบทกลอนนั้นออกมา น้ำเสียงแผ่วเบา “ชูสยา ท่านกลับชรา อาจอธิบายได้อีกอย่างว่า บุรุษผู้นี้มิได้อยู่บนโลกนี้แล้ว!” 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่มีสีหน้าเหม่อลอย “เช่นนี้ก็ได้หรือ?” 


 


 


เจินเมี่ยวยกมุมขึ้น “เหตุใดจึงมิได้เล่า? บุรุษงดงามในประวัติศาสตร์นั้นมีมากมาย หากเจ้าจะชมชอบความสามารถและรูปโฉมงามสง่าของเขา อ่านบนกวี อ่านเรื่องราวในชีวิตเขาจนเกิดแค้นใจที่มิอาจเกิดร่วมยุคสมัยจึงอดเขียนบทกลอนเช่นนั้นขึ้นมามิได้ เช่นนี้ก็นับว่าเป็นการชมชอบลุ่มหลงอย่างหนึ่งมิใช่หรือ?” 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ฟังแล้วถึงกับอึ้งงันไป นางครุ่นคิดอย่างละเอียด จึงตบเตียงร้องขึ้นว่า “คุณหนูสี่ แม้นความคิดนี้จะดูแปลกพิกลไปบ้าง แต่มันกลับฟังดูสมเหตุสมผลยิ่ง!” 


 


 


นางมิใช่สตรีที่เอาแต่พร่ำเพ้อถึงความรัก จะเป็นจะตายเพราะความรัก เพราะเช่นนี้เองนางจึงมิอาจเขียนบทกลอนนั้นออกมาได้แน่ นอกจากจะเป็นการเขียนตามอารมณ์ชั่วขณะซึ่งไม่มีอันใดน่าแปลกใจสักนิด 


 


 


เมื่อวานหวังเฟยเค้นถามนางอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่นางก็มิได้แสดงท่าทีเว้าวอนอันใดสักนิด อย่างไรก็มิยอมเอ่ยออกมาสักคำ 


 


 


ใช้เหตุผลนี้ของเจินเมี่ยวนั้นดีกว่าวิธีของนางมากมายจริงๆ 


 


 


มีคนมากมายที่เท่าใดที่เมื่ออ่านบทกวีและประวัติศาสตร์แล้วก็จะจมจ่อมอยู่กับเสน่ห์ของบุคคลที่ถูกประวัติศาสตร์อันยาวนานกลืนกินไป ทำให้แค้นเคืองนักที่มิได้เกิดร่วมยุคสมัย จึงได้แต่ยกสุราขึ้นร่ำพร้อมเอ่ยพร่ำเพ้อ! 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่นั้นรู้ดี ไม่ว่าจะเป็นเสด็จลุง หรือท่านพ่อท่านแม่ พวกเขาล้วนยินดีที่จะฟังเหตุผลเช่นนี้ยิ่ง แต่มิใช่ข่าวลือว่าองค์หญิงนั้นมีใจปฏิพัทธ์ความรักกับบุรุษใดสักคน 


 


 


“คุณหนูสี่ เจ้าคิดออกได้อย่างไร!” 


 


 


เจินเมี่ยวเอ่ยตอบอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “พอได้ฟังเรื่องนี้ ข้าก็นึกขึ้นมาได้เอง” 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา นางเอ่ยอย่างเหม่อลอยว่า “หรือเจ้าจะฉลาดกว่าข้ายิ่ง? ก่อนหน้านี้ข้าดูไม่ออกเลยจริงๆ!” 


 


 


เจินเมี่ยวโมโหจนต้องเบ้มุมปากตน “องค์หญิง ขอบพระทัยพระองค์ที่ตรัสตรงไปตรงมาเช่นนี้!” 


 


 


ความจริงนางเองก็รู้ดีแก่ใจ เรื่องนี้มิได้เกี่ยวอันใดกับฉลาดหรือไม่ ผู้ใดให้นางมาจากที่อื่นเล่า วัฒนธรรมที่พวกนางทั้งสองได้รับนั้นช่างต่างกันยิ่ง 


 


 


ต่อให้จะมีคนฉลาดอีกสักกี่คนก็ไม่แน่จะว่าจะคิดคำตอบที่ทั้งแปลกและประหลาดแต่เมื่อเอ่ยปากขึ้นก็ทำให้ผู้คนเข้าใจและเชื่อได้ในทันที 


 


 


“คุณหนูสี่ เจ้าอย่าเคืองเลย ข้าพูดผิดไปเอง อย่างเจ้าเขาเรียกว่าคมในฝัก…” 


 


 


เจินเมี่ยว “…” 


 


 


“ขอบคุณยิ่ง!” 


 


 


เมื่อมีวิธีแก้ปัญหาแล้ว บรรยากาศจึงผ่อนคลายลง 


 


 


เจินเมี่ยวจึงเอ่ยต่อว่า “แต่บุคคลในประวัติศาสตร์คนใดที่คู่ควรให้ท่านชมชอบ ท่านต้องคิดเอง จะให้ดีต้องเป็นคนที่ท่านมักอ่านบทกวีหรือประวัติของเขา เช่นนี้จึงยิ่งง่ายต่อการทำให้คนเชื่อถือ” 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่เอ่ยออกมาอย่างแทบไม่ลังเลเลยว่า “เฮ่อหยวนรั่ว!” 


 


 


เฮ่อหยวนรั่วเป็นนักกวีที่มีชื่อในราชวงศ์ก่อน ความสามารถมากหลายทั้งยังรูปงาม เป็นทั่นฮวา[1] ที่อายุน้อยที่สุดในรอบร้อยปีเลยทีเดียว 


 


 


ต่างเล่าลือกันว่าทุกครั้งที่เขาไปเดินบนถนน สตรีอายุตั้งแต่แปดสิบไปจนถึงสามปีต่างก็อดเข้าไปรุมล้อมมองดูทั้งมอบบุปผา ผลไม้ให้ไม่ขาด เขาเป็นบุคคลที่อยู่ในฝันของดรุณีน้อยทั้งหลาย 


 


 


แต่น่าเสียดายที่ทั่นฮวาหนุ่มรูปงามผู้นี้กลับมีชีวิตอยู่ไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำก็ต้องจากโลกนี้ไปโดยที่ยังมิทันแต่งงานเลย 


 


 


“เฮ่อหยวนรั่ว คล้ายว่ามาจากตระกูลเฮ่อแห่งเยี่ยนเจียง? เจินเมี่ยวพลันนึกถึงเฮ่อหลางคู่หมั้นของหลัวจือฮุ่ยขึ้นมาทันใด” 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่พยักหน้า “ใช่ ในบันทึกต่างกล่าวว่าเฮ่อหยวนรั่วเข้ามาในเมืองหลวงครั้งแรกก็ทำให้บุรุษสตรีทั้งหลายต่างต้องตกตะลึง เดิมเขามีความสามารถเป็นได้ถึงจ้วงหยวนแต่เพราะรูปงามเกินไปจึงถูกฮ่องเต้ในยุคนั้นระบุให้เป็นเพียงทั่นฮวา” 


 


 


กล่าวถึงตรงนี้ก็เม้มปากยิ้มออกมา “บอกตามตรง ข้าเองก็มักอ่านบทกวีของเขาอยู่บ่อยๆ” 


 


 


“ดูไม่ออกจริงๆ” 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่กะพริบตาปริบๆ “มารดาข้าน่ะ ชมชอบบทกวีของเฮ่อหยวนรั่วมากที่สุดเลย หึๆ ข้าจึงได้รับการถ่ายทอดมา” 


 


 


เวลานี้เองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น สาวใช้ด้านนอกร้องขึ้นว่า “องค์หญิง ได้เวลาทายาแล้วเพคะ” 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ขมวดคิ้ว 


 


 


เจินเมี่ยวกระซิบอยู่ข้างหูนางว่า “ชูสยา ในเมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ท่านก็กลับมาทำตัวปกติเถิด ยิ่งทำตัวได้ธรรมชาติต่อหน้าผู้คนได้เท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น” 


 


 


“อืม” ชูสยาจวิ้นจู่พยักหน้า แล้วเอ่ยเสียงสูง “เข้ามาได้” 


 


 


เสียงประตูเปิดดังแอ๊ด สาวใช้สองคน ผู้หนึ่งยกอ่างน้ำ ผู้หนึ่งยกถาดยาและผ้าพันแผลเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “เจียหมิงเซี่ยนจู่ หวังเฟยให้บ่าวเรียนท่านว่า หัวหน้าผู้บัญชาการหลัวมาแล้ว ยามนี้กำลังรออยู่ในห้องรับรองเจ้าค่ะ” 


 


 


เจินเมี่ยวลุกขึ้น “ชูสยา ข้าต้องไปก่อนแล้ว คราหน้าจะมาเยี่ยมท่านอีก” 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่โบกมือพลางเอ่ยกำชับว่า “รีบมาเล่า” 


 


 


เจินเมี่ยวไปที่ห้องรับรอง 


 


 


หวังเฟยจึงเอ่ยว่า “เจียหมิง รีบไปเปลี่ยนอาภรณ์เครื่องประดับของเซี่ยนจู่เถิด เจ้าต้องตามหัวหน้าผู้บัญชาการหลัวเข้าวังไปทูลขอบพระทัยฝ่าบาท” 


 


 


เจินเมี่ยวแค่ได้สบตากลับหลัวเทียนเฉิงครู่หนึ่งเท่านั้นก็ถูกสาวใช้พาไปเปลี่ยนอาภรณ์ จัดแต่งทรงผมเสียก่อน กระทั่งเมื่อยามเดินออกมานางก็ได้แต่เดินอย่างระมัดระวัง 


 


 


หนักจริงๆ! 


 


 


หวังเฟยคล้ายมารดาผู้มีเมตตาจริงๆ นางบอกกล่าวถึงสิ่งที่นางควรต้องระวังอย่างใจเย็น เมื่อเห็นนางผลิยิ้มตั้งใจฟังคล้ายว่าเรื่องของชูสยาจวิ้นจู่นั้นมิได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อความรู้สึกของนางเลย จึงได้เผลอเอ่ยหยั่งเชิงออกไป “เจียหมิง ชูสยามิได้เล่นกลั่นแกล้งอันใดเจ้าใช่หรือไม่? หากนางทำเจ้าต้องบอกแม่นะ แม้จะสั่งสอนนางเอง” 


 


 


เจินเมี่ยวเอ่ยยิ้มอย่างผ่อนคลายว่า “เราเป็นมิตรที่ดีต่อกันเสมอมา นางไหนเลยจะกลั่นแกล้งข้า เพียงแค่เรื่องเมื่อวานนั้นทำให้นางกลัดกลุ้มอยู่บ้างเท่านั้น” 


 


 


หวังเฟยมิไยดีแล้วว่าหลัวเทียนเฉิงจะยืนอยู่ที่นี่ด้วย นางถามต่อว่า “เจียหมิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องราวเป็นเช่นใด?” 


 


 


เห็นท่าทีเช่นนี้ของเจียหมิงแล้ว หรือว่าเรื่องจะมิได้เลวร้ายอย่างที่ทุกคนคิด? 


 


 


ครั้นคิดถึงอุปนิสัยดื้อรั้นของชูสยาที่มีมาแต่เยาว์วัย ทั้งยังรักหน้า บางคราก็มิอาจยอมเสียหน้า แม้นตายก็มิยอมเอ่ยสิ่งใดออกมาแล้วนั้น ในใจของนางก็เริ่มจะมีความหวังขึ้นมาอีกหลายส่วน 


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มอย่างขัดเขิน “ท่านแม่ ชูสยานางอ่านบทกวีของเฮ่อหยวนรั่วเสียจนเกิดคลั่งไคล้ เมื่อวานนางรู้สึกเสียหน้ายิ่งจึงโกรธเคืองตนเองยิ่ง” 


 


 


“เฮ่อหยวนรั่ว?” หวังเฟยเอ่ยพึมพำ นางมิต้องคิดอันใดให้มากก็เข้าใจเรื่องทุกอย่างขึ้นมาทันที 


 


 


บางทีอาจเพราะผู้ที่เป็นบิดามารดานั้นมักจะคิดถึงบุตรตนไปในทางที่ดีเสมอก็เป็นได้ และเมื่อมีบันไดให้ไต่ก็ย่อมต้องไต่ลงอย่างว่าง่าย “เจ้าเด็กนั้น ที่แท้แล้วเป็นพวกชอบเพ้อฝันหรือนี่!” 


 


 


อาจเพราะจิตใจนั้นมิได้คิดเรื่องชู้สาวอันใด บุตรสาวโง่เขลาของนางจึงมิได้คิดว่ามันอาจทำลายตนไม่ให้ไม่เหลือกระทั่งเถ้าถ่านกระมัง 


 


 


นางคิดแล้วเชียว บุตรีของนางไม่มีทางโง่เขลาปานนั้น 


 


 


เจินเมี่ยวมองพระชายาหย่งอ๋องอย่างเหม่อลอย 


 


 


เรื่องมันง่ายดายเพียงนี้เลยหรือ จึงรู้สึกตงิดใจอยู่บ้าง 


 


 


แววตาที่หวังเฟยมองเจินเมี่ยวนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจกว่าเดิมมาก “เจียหมิง เจ้าคงไม่รู้ว่า ตอนที่แม่ยังมิออกเรือน ยามพบปะพูดคุยร่ายบทกลอนกับสหายก็ชอบร่ายบทกวีของเฮ่อหยวนรั่วมากที่สุด มีคราหนึ่งถึงกลับทะเลาะกับสหายเพราะเขาเลยทีเดียว…” 


 


 


การเอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าชนรุ่นหลังนั้นเป็นเรื่องมิใคร่เหมาะสมนัก หวังเฟยจึงรีบหยุดปากทันทีแต่กลับมิอาจปิดบังรอยยิ้มที่แฝงอยู่ในหน้าได้ นางดูผ่อนคลายขึ้นมาก 


 


 


เจินเมี่ยวกับหลัวเทียนเฉิงจึงได้ลาหย๋งอ๋องและชายาไป 


 


 


เมื่อคนทั้งสองเ­ข้าไปนั่งในรถม้าเพื่อเดินทางเข้าวัง ผ่านไปไม่นานหลัวเทียนเฉิงก็เอ่ยถามขึ้น “เฮ่อหยวนรั่ว? เจ้าก็ชอบบทกวีของเขาหรือ?” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ทั่นฮวา เป็นชื่อเรียกบัณฑิตที่สอบได้อันดับสามของการสอบเค่อจวี่ (การสอบคัดเลือกขุนนาง) อันดับหนึ่งคือจ้วงหยวน อันดับสองคือปั๋งเหยี่ยน  

 

 


ตอนที่ 256 กลั่นแกล้ง

 

เจินเมี่ยวยิ้ม “แต่ก่อนก็อ่านอยู่บ่อยๆ ภายหลังพบว่าตนมิได้มีพรสวรรค์เรื่องร่ายบทกวีอันใดจึงเลิกอ่านไป มีอันใดหรือ ท่านก็ชอบบทกวีของเฮ่อหยวนรั่วเช่นกัน?” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงก้มหน้ายิ้ม “เคยชอบ ภายหลังคิดว่าการร่ายบทกลอนนั้นไม่มีประโยชน์ใดจึงเลิกไป” 


 


 


“เราสองคนก็คงพอๆ กัน” เจินเมี่ยวเอ่ยไปตามปาก แล้วหยิบสะดึงถักทอจากลิ้นชักในรถม้าออกมาแล้วลงมือถักเชือกมงคลต่อ 


 


 


หลัวเทียนเฉิงนั่งมองนางถักอยู่เงียบๆ ไปพักใหญ่ก็อดถามขึ้นมามิได้ว่า “ถักให้ผู้ใด?” 


 


 


“เอ๊ะ?” เจินเมี่ยวหยุดมือตน นางรู้สึกงงงวยอยู่บ้าง “แค่ถักเล่นๆ มิได้ตั้งใจจะถักให้ใครเป็นพิเศษ เหตุใดวันนี้ท่านจึงมีคำถามเยอะนักเล่า?” 


 


 


กล่าวจบก็ก้มหน้าลงถักต่อ 


 


 


งานเย็บปักถักร้อยเช่นนี้ คล้ายว่าหากเป็นแล้วก็มิต้องตั้งใจอันใดมากก็สามารถทำมันออกมาได้ดี และเจินเมี่ยวก็เป็นเช่นนั้น นางใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถมองเห็นรูปร่างของมันออกได้หลายส่วนแล้ว มันคือผีเสื้อนั้นเอง 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเม้มปากแน่น แล้วจ้องมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง พลันก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ 


 


 


ลมหายใจอันผ่าวร้อนพลันโอบกอดนางไว้ เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้น “ซื่อจื่อ?” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมา 


 


 


ตั้งแต่วันนั้นก็มิได้ยินนางเรียกเขาว่าจิ่นหมิงอีกเลย 


 


 


“ท่านเป็นอันใดกันแน่?” เจินเมี่ยวยื่นมือไปผลักเขาออก 


 


 


หลัวเทียนเฉิงกลับจับมือนางไว้แทนแล้วเขยิบเข้าไปกระซิบข้างหู “บทกลอนนั้นขององค์หญิงชูสยาเขียนขึ้นเพราะเฮ่อหยวนรั่วจริงๆ หรือ?” 


 


 


เจินเมี่ยวใจเต้นระรัวขึ้นมา นางหลบตา หัวเราะแห้งๆ ออกมา “แน่นอน บุคคลเช่นเฮ่อหยวนรั่วผู้ใดบ้างมิชมชอบ? แหะๆ” 


 


 


รอยยิ้มที่มุมปากหลัวเทียนเฉิงพลันแข็งค้างไป เขายื่นมือมาจับปากคางของเจินเมี่ยวไว้บังคับให้นางหันหน้ามาเผชิญกับตน น้ำเสียงแฝงด้วยความเบื่อหน่ายอยู่หลายส่วน “เมื่อครู่เจ้ายังบอกว่าไม่ชอบอยู่แท้ๆ?” 


 


 


เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ “ข้ามิได้บอกว่าไม่ชอบเสียหน่อย แต่บอกว่าตนไม่มีพรสวรรค์ จึงมิฝืนตนเองอีกต่อไปก็เท่านั้น” 


 


 


“กล่าวเช่นนี้ หากเฮ่อหยวนรั่วมายืนอยู่ต่อหน้าเจ้าจริงๆ เจ้าก็คงจะชมชอบเขาใช่หรือไม่?” 


 


 


เจินเมี่ยวเผยอปากขึ้น ในที่สุดก็เอ่ยว่า “ซื่อจื่อ ท่านทำตัวไร้เหตุผลเช่นนี้ คงไม่ดีสักเท่าใดว่าหรือไม่?” 


 


 


เสียง ‘แคร่ก’ ดังขึ้น สติสัมปชัญญะของคนบางคนพลันขาดผึง เขาเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าช่วยแยกแยะสักหน่อยได้หรือไม่ นี้มิใช่พฤติกรรมที่เรียกว่าทำตัวไร้เหตุผล แต่เรียกว่าหึง!” 


 


 


กล่าวจบร่างทั้งร่างก็แข็งทื่อไป 


 


 


แย่แล้ว เขาไม่เผลอพูดสิ่งประหลาดอันใดออกไปเช่นนี้เล่า 


 


 


เขาจะหึงได้อย่างไร เขาเพียงแค่…เพียงแค่… 


 


 


ใช่ เขายอมรับ เขากำลังหึง! 


 


 


ในเมื่อร้องไห้เขาก็ยังร้องต่อหน้านางมาแล้ว ท่าทีที่ควรเก็บงำก็เผยออกมาหมดแล้ว หลังบรรยากาศอันแปลกแปร่งนั้นผ่านไปครู่หนึ่ง หลัวเทียนเฉิงก็กลับมาทำตัวเช่นปกติ แล้วจ้องมอง เจินเมี่ยวต่อไป 


 


 


แต่เจินเมี่ยวต่างหากที่เมื่อถูกจ้องมองเช่นนี้ นางก็เริ่มรู้สึกทำตัวไม่ถูก ถึงกับเอ่ยตะกุกตะกักขึ้นว่า “ท่าน ท่านจะมาหึงนักกวีในยุคโบราณไปเพื่อสิ่งใดกัน?” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงกลับยกมือขึ้นรั้งนางเข้ามาก่อนไว้แน่น เขาเอ่ยเสียงต่ำว่า “เช่นนั้นข้าหึงเจ้าแทนได้หรือไม่?” 


 


 


ไม่รอให้เจินเมี่ยวตอบคำ จุมพิตอันอ่อนโยนนั้นก็ประทับลงบนริมฝีปากของนางครั้งแล้วครั้งเล่า 


 


 


เจินเมี่ยวตัวแข็งไปทันที นางผลักเขาออกตามสัญชาตญาณ 


 


 


เมื่อเห็นแววตาอันล้ำลึกของหลัวเทียนเฉิงที่พาดผ่านไป นางก็รีบยื่นมือไปลูบศีรษะ แล้วกัดริมฝีปากเอ่ยว่า “อยู่บนรถม้านะ” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงถอนหายใจออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง 


 


 


เขายกหินทับเท้าตนแท้ๆ หาก…หากเจี๋ยวเจี่ยวมิอาจยอมรับสัมผัสใกล้ชิดของตนได้อีกต่อไป เขาจะทำอย่างไรดีเล่า? 


 


 


ครั้นคิดถึงเรื่องคืนนั้นที่เขากับนา หลัวเทียนเฉิงก็โมโหขึ้นมา 


 


 


เจินเมี่ยวหยิบเชือกมงคลนั้นขึ้นมา แล้วถักต่อไป กระทั่งนางเก็บเชือกถักเส้นสุดท้ายเรียบร้อยก็มีมือหนึ่งยื่นออกมาแย่งมันไป 


 


 


หลัวเทียนเฉิงก้มหน้ามัดเชือกมงคลนั้นไว้ที่เอวตน แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ช่างเหมาะสมเข้ากันยิ่ง” 


 


 


เจินเมี่ยวเพียงเม้มริมฝีปากไม่ส่งเสีย แล้วแหวกม่านหน้าต่างออกดูภายนอก 


 


 


หลัวเทียนเฉิงกลับจ้องมองใบหน้าด้านข้างอันสวยงามนั้นของนางอย่างเหม่อลอย ความเจ็บปวดปะปนกับความจนใจที่มีอยู่จางๆ นั้นปะทุขึ้นมาในอก 


 


 


เขาเข้าใจความรู้สึกของตนเองแล้ว เมื่อมองอีกฝ่ายเขาก็ยิ่งเข้าใจ 


 


 


เขารับรู้ได้ว่า นางเพียงแค่อยากจะอยู่กับเขาด้วยดีตลอดไป แต่…นางก็แค่อยากใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกับเขาเท่านั้น ทว่ามิได้หวั่นไหวในใจจริงๆ เช่นเขาที่เป็นอยู่ตอนนี้ 


 


 


บางทีการเป็นสามีภรรยาในชาตินี้ หากยังสามารถใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเรียบง่ายก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว แต่เขากลับรู้สึกมิยินยอมยิ่ง 


 


 


เขามองนางเช่นนี้แล้วรู้สึกดั่งเป็นภาพลวงตา นางมิใช่ของเขาอย่างแท้จริง 


 


 


หากนางมิเข้าใจในความรักเช่นนี้ต่อไปก็แล้วไปเถิด แต่เขากลัวว่าอาจมีสักวันที่นางหวั่นไหวใจ และบุรุษที่สอนให้นางรู้จักความไหวหวั่นนั้นจะมิใช่เขา 


 


 


ไม่ทราบว่าเป็นเพราะจุดเริ่มต้นมันแย่ หรือเพราะความเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายที่กระทำต่อกันในภายหลังกันแน่ที่ทำให้โอกาสทุกอย่างหลุดลอยไป 


 


 


หลัวเทียนเฉิงจมจ่อมอยู่ในความกลัดกลุ้มนั้น 


 


 


ภายในรถม้าได้ยินเพียงเสียงหายใจของกันและกัน เจินเมี่ยวปิดผ้าม่านแล้วหันหลังกลับมาก็พบเข้ากับความเจ็บปวดที่ซ่อนในดวงตานั้นเข้าพอดีจึงอดอึ้งงันไปมิได้ นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วยื่นมือมาดึงแขนเสื้อเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ช่วงนี้ท่านคงเหนื่อยเกินไปใช่หรือไม่?” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงมีสติคืนมา มุมปากห้อยแขวนด้วยรอยยิ้มจางๆ “อืม เหนื่อยเกินไปจริงๆ รอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าทุกวันเลยดีหรือไม่?” 


 


 


บรรยากาศกลับมาเป็นปกติแล้ว เจินเมี่ยวเองก็ผ่อนคลายลง นางยกมือขึ้นประสานกัน “ดียิ่ง ถึงตอนนั้นข้าจะเอาหม้อสามชั้นนั้นออกมาทอดเนื้อกวางให้ท่านกิน” 


 


 


ทุกอย่างเงียบสงัดอยู่ครู่หนึ่ง หลัวเทียนเฉิงก็อดถามออกมามิได้ว่า “ทอดเนื้อกวางกินนั้นดียิ่ง แต่มิเอาหม้อสามชั้นนั้น” 


 


 


พูดจบก็แทบโมโหจนแทบจะตบปากตน เขาจะพูดตามน้ำให้นางดีใจสักหน่อยจะตายหรือไร! เหตุใดเขาจึงอดรนทนไม่ได้เล่า! 


 


 


แต่หม้ออันใดนั้นที่ญาติผู้พี่มอบให้ เขาทนไม่ได้จริงๆ! 


 


 


เมื่อเห็นความผิดหวังพาดผ่านไปในดวงตาเจินเมี่ยว หลัวเทียนเฉิงก็เอ่ยอย่างคนหน้าหนาว่า “คราก่อนข้าให้หลัวเป้าเอาหม้อไปให้เจ้ามิใช่หรือ?” 


 


 


เจินเมี่ยวครุ่นคิดแล้วพลันเอ่ยว่า “ท่านหมายถึงหม้อที่แบนจนแม้แต่ใส่ไข่ไก่ก็แทบจะไม่ได้นั้นน่ะหรือ?” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงบิดเบ้มุมปากตน “ไข่ไก่?” 


 


 


“ใช่” เจินเมี่ยววาดขนาดของมันในอากาศ “ใหญ่เท่านี้ ใช้ทอดไข่ได้พอดิบพอดีเลย” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงพลันหน้าตึงขึ้นมา เขาได้แต่ลอบฟาดแส้ใส่หลัวเป้าอยู่ในใจ 


 


 


วันนั้นเขายุ่งมากจึงให้เจ้าคนชั่วช้านั้นไปซื้อหม้อแทนเขา ที่แท้ก็กลั่นแกล้งเขาเช่นนี้เองหรือ? 


 


 


กลับไปจักไล่ไปขัดห้องปลดทุกข์เสียให้เข็ด! 


 


 


ในที่สุดรถม้าก็หยุดลง หลัวเทียนเฉิงลงไปก่อนแล้วค่อยยื่นมือมารับเจินเมี่ยว 


 


 


เจินเมี่ยวมาในฐานะที่ไม่เหมือนเดิม ครานี้จึงต้องตามหลัวเทียนเฉิงไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เสียก่อน 


 


 


แม้นเจาเฟิงตี้จะดูซูบผอมลงไปเล็กน้อย อารมณ์ก็มิใคร่จะสู้ดีนัก แต่กลับมีท่าทีอ่อนโยนต่อทั้งสองคนยิ่ง 


 


 


หลังจากนั้นก็กำชับให้เจินเมี่ยวไปหาไท่โฮ่วแล้วอยู่พูดคุยกับหลัวเทียนเฉิงตามลำพัง 


 


 


เมื่อเจินเมี่ยวเดินพ้นไป เจาเฟิงตี้ก็หุบยิ้มทันที เขาเอ่ยเสียงเรียบว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานในจวนหย่งอ๋อง สืบทราบหรือยังว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลัง?” 


 


 


“ยังพ่ะย่ะค่ะ แต่มีเบาะแสแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เจาเฟิงตี้แค่นยิ้มเย็น “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ย่อมต้องเกี่ยวพันกับลี่อ๋องสักแปดเก้าส่วน เขาอยากเห็นแผ่นดินของข้าวุ่นวาย แล้วฉวยโอกาสนี้บุกเข้ามา” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงก้มหน้าไม่พูดจา 


 


 


เรื่องครานี้แม้นจะเบาะแสบางส่วนชี้ว่าเป็นฝีมือของรัชทายาทที่ถูกปลดไปในรัชสมัยก่อน แต่ยามนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานใดแน่ชัด จึงมิจำเป็นต้องเอ่ยให้มากความ 


 


 


“ขุนนางหลัว เจ้าส่งหน่วยองครักษ์จิ่นหลินกลุ่มหนึ่งไปเฝ้าติดตามเรื่องนี้โดยเฉพาะ หากมีผู้ใดกล้าเอ่ยเรื่องนี้แม้เพียงน้อยนิดก็อย่าได้ละเว้น ” น้ำเสียงของเจาเฟิงตี้เย็นเยียบอย่างน้อยนักจะได้เห็น 


 


 


รัชทายาทมิได้ความ ร่างกายเขาเองก็มิใคร่แข็งแรงนัก เวลานี้ต้าโจวมิอาจทานรับแม้แต่พายุฝนเพียงน้อยนิด 


 


 


ผู้ใดกล้าทำให้การอภิเษกครั้งนี้ต้องล่ม ต่อให้เขาถูกขุนนางด่าว่าเป็นจักรพรรดิป่าเถื่อน แต่เขาก็มิสนใจแล้ว 


 


 


“หม่อมฉันคิดว่า ในเมืองหลวงคงไม่มีผู้ใดสนใจเรื่องนี้ดอกพ่ะย่ะค่ะ มันก็เป็นเพียงแค่บทกลอนที่องค์หญิงแต่งไปตามความรู้สึกในชั่วขณะนั้นเท่านั้นเอง” 


 


 


เมื่อได้ฟังวาจาที่มีนัยของหลัวเทียนเฉิง เจาเฟิงตี้ก็เลิกคิ้วขึ้นทันที “หืม? แต่งไปตามความรู้สึกในชั่วขณะนั้นหรือ?” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันได้ยินภรรยาเล่าว่า องค์หญิงทรงชื่นชอบเฮ่อหยวนรั่ว นักกวีในยุคสมัยก่อนยิ่งจึงได้แต่งกลอนบทนั้นขึ้นมา แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดมันจึงปรากฏขึ้นในการละเล่นร่ายบทกลอนเมื่อคืนนี้ได้” 


 


 


เจาเฟิงตี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วยิ้มออกมา “เจียหมิงพูดเช่นนี้จริงหรือ?” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ ภรรยาหม่อมฉันกับองค์หญิงชูสยาเป็นสหายที่ดีต่อกันมาตลอด คิดว่าองค์หญิงคงเป็นผู้บอกกล่าวต่อนางแน่พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ฮ่าๆๆ…” เจาเฟิงตี้หัวเราะร่าออกมา 


 


 


เจาเฟิงตี้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรมานานหลายปีถึงเพียงนี้มีหรือจะโง่เขลา เขาพลันเข้าใจความนัยที่หลัวเทียนเฉิงจะสื่อออกมาได้ทันที 


 


 


ด้านหนึ่งก็ทอดถอนใจที่เขาล้วนยกความดีความชอบให้ภรรยาตนทั้งหมดโดยมิคำนึงถึงตนเองเลย อีกด้านก็ลอบชื่นชมเจินเมี่ยวอยู่ไม่น้อย 


 


 


เขาดูไม่ผิดจริงๆ แม่นางน้อยผู้นั้นเป็นคมในฝักแท้ๆ ไม่เสียทีที่เป็นหลานสาวของเจินไท่เฟย 


 


 


ครั้นเจาเฟิงตี้นึกถึงเจินไท่เฟยก็เกิดสงสัยขึ้นมาอีก 


 


 


เจินไท่เฟยกับเสด็จแม่คบค้ากันด้วยดีเสมอมา แต่เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าเสด็จแม่มิใคร่ชมชอบเจียหมิงสักเท่าใดนัก? 


 


 


เขาคิดว่ามันคงมิใช่แค่เจียหมิงได้เผลอไปล่วงเกินฟังโหรวเมื่อคราเริ่มแรกเท่านั้นแน่ 


 


 


คำถามนี้ได้แต่วนเวียนอยู่ในหัวครู่หนึ่ง เจาเฟิงตี้ก็สลัดมันทิ้งไปแล้ว อย่างไรเสียจักรพรรดิก็มีเรื่องให้ต้องกังวลอีกมาก ทั้งในยามที่สภาพร่างกายและจิตใจไม่คงที่เช่นนี้ เขาก็ไม่มีแก่ใจไปคิดครวญเรื่องในวังหลังเหล่านั้นเสียหรอก 


 


 


“ขุนนางหลัว เจ้าต้องดีกับเจียหมิงให้มากๆ นะ หากภายหน้าเจ้ารังแกหน้า ข้าไม่ละเว้นเจ้าแน่” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไป ตามด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ฮ่องเต้และขุนนางทั้งสองจึงเริ่มสนทนาเรื่องอื่นต่อไป 


 


 


ตอนที่เจินเมี่ยวไปที่ตำหนักไท่โฮ่วก็เห็นเด็กน้อยหลายคนยืนล้อมรอบกาย อายุน้อยที่สุดคงสี่ห้าปี มากที่สุดไม่เกินเจ็ดแปดปี นางจึงอดมองอยู่ครู่หนึ่งมิได้ 


 


 


ไท่โฮ่วผลิยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าอายุมากแล้ว แต่ชอบความคึกคัก พวกเขาเป็นบุตรสาวของเหล่าองค์ชาย” 


 


 


พูดพลางหันไปเอ่ยกับเด็กน้อยผู้หนึ่งว่า “ยังมิคารวะท่านอาเจียหมิงอีกหรือ?” 


 


 


เด็กน้อยหลายคนย่อกายคารวะต่อเจินเมี่ยว เจินเมี่ยวเห็นแล้วตอบรับพวกเขามันที 


 


 


พลันมีเด็กน้อยผู้หนึ่งเอ่ยเย้าว่า “ท่านอาเจียหมิงมีของขวัญให้เมื่อยามแรกพบหน้าหรือไม่?” 


 


 


เด็กน้อยดูท่าทางจะอายุแค่ห้าหกปี นางเอียงคอมองเจินเมี่ยวอย่างไรเดียงสา 


 


 


เจินเมี่ยวหวาดหวั่นใจขึ้นมา รู้สึกว่าการได้พบกับจวิ้นจู่น้อยๆ เหล่านี้นั้นออกจะแปลกพิกลอยู่บ้าง 


 


 


ในเมื่อวันนี้ไท่โฮ่วเรียกให้จวิ้นจู่น้อยทั้งหลายเข้าวังมาเล่นด้วยแต่กลับไม่มีผู้ใดบอกนางสักคำ เมื่อมิได้เตรียมของขวัญให้เมื่อยามแรกพบหน้า เช่นนี้ก็มิเท่ากับต้องการให้นางเสียหน้าหรือ? 


 


 


เจินเมี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สายตาอันแหลมคมมองไปที่จานผลไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะไม้หลี่แล้วยิ้มออกมา “ย่อมต้องมีแน่นอน แต่ของขวัญยามแรกพบหน้านั้นต้องทำตอนนี้จึงจะสวยงาม” 


 


 


พูดพลางหันไปย่อกายให้ไท่โฮ่วเล็กน้อย “ไท่โฮ่ว เจียหมิงอยากจะยืมมีดแกะสลักสักเล่มได้หรือไม่เพคะ” 


 


 


ไท่โฮ่วยังมิทันได้พูดสิ่งใด แม่นมที่อยู่ข้างกายก็เอ่ยขึ้นว่า “ไท่โฮ่ว ขอทรงอย่ากริ้วที่หม่อมฉันไร้มารยาท ของมีคมเช่นนั้นมิอาจให้ท่านเอามาใช้ต่อหน้า…” 


 


 


“หุบปาก!” ไท่โฮ่วถลึงตามองแม่นมผู้นั้นอย่างดุดัน 


 


 


แม่นมผู้นั้นมิกล้าพูดต่อแต่กลับใช้สายตาเตือนเจินเมี่ยว 


 


 


เมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้เจินเมี่ยวก็มิอาจขอร้องอีก นางคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นเจียหมิงเองที่มิคิดให้รอบคอบ” 


 


 


“เจียหมิงคิดจะแกะสลักผลไม้กระมัง แต่หากไม่มีมีดแกะสลัก…” 


 


 


“มิเป็นไรเพคะ ไท่โฮ่วโปรดวางใจ มิใช้มีดแกะสลักก็ได้เพคะ” เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี  

 

 


ตอนที่ 257 หวาดหวั่นใจ

 

“ไม่มีมีดแกะสลักก็ทำได้หรือ?” ไท่โฮ่วรู้สึกสนใจขึ้นมา 


 


 


เจินเมี่ยวจึงหยิบผิงกั่วขึ้นมาจากจานแก้วนั้น แล้วดึงปิ่นทองบนศีรษะออกมาแกะสลัก 


 


 


ปิ่นทองนั้นมิคมเท่ากับมีดจึงมิอาจแกะสลักให้ประณีตได้ นางแค่ใช้วิธีการเล็กน้อย ควักตรงนี้นิด จิ้มตรงนี้หน่อย ไม่นานก็ปรากฏเป็นรูปหน้าสุกรแสนน่ารักขึ้น 


 


 


ต่อมาก็แกะลูกไก่ที่เพิ่งออกมาจากไข่ เม่นน้อยที่แบกผลไม้ไว้บนหลัง และกระต่ายน้อยทึ่มทื่อ…ไล่เรียงกันมาตามลำดับ 


 


 


แม้นจะมิได้ประณีตนักแต่การแกะสลักผลไม้เป็นรูปสัตว์ตัวเล็กๆ น่ารักเอาใจเด็กหญิงทั้งหลายนั้นก็มากเพียงพอแล้ว 


 


 


ดั่งคาดเด็กน้อยแต่ละคนต่างล้อมวงเข้ามามองดูด้วยสีหน้าประหลาดใจ 


 


 


เจินเมี่ยวหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดมือแล้วส่งผลไม้ที่แกะสลักแล้วนั้นให้แก่เด็กๆ ทุกคน แล้วยังดึงเอาถุงผ้าใบเล็กที่เหน็บเอวเทเอาแผ่นทองสลักออกมา 


 


 


ว่าไปแล้วเด็กหญิงตัวน้อยๆ ทั้งหลายนี้ต่างก็มีฐานะสูงส่ง เงินทองมุกหยกต่างไม่เห็นว่าสำคัญ แต่แผ่นทองสลักนี้ ล้วนถูกออกแบบมาให้เป็นสัตว์ตัวเล็กๆ น่ารักทั้งสิ้น เมื่อมาเทียบกับผลไม้สลักในมือแล้วก็ยิ่งรู้สึกสนุกและแปลกใหม่มากขึ้นกว่าเดิม 


 


 


ครั้นเห็นหลานสาวทั้งหลายต่างให้ความสนอกสนใจกับผลไม้สลักและแผ่นทองสลัก ไท่โฮ่วก็เอ่ยอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจียหมิงช่างใส่ใจนัก” 


 


 


นางแกะสลักผลไม้ออกมาได้นั้นก็เหลือเชื่อแล้ว แต่แผ่นทองสลักที่นำมายังมีหน้าตาเช่นเดียวกับผลไม้สลักที่แบ่งให้เด็กๆ อีกด้วย เช่นนี้แล้วแม้นของขวัญแรกพบหน้าจะดูไร้ราคาอยู่บ้างแต่ความแปลกใหม่น่าสนใจกลับมีอยู่เต็มเปี่ยม 


 


 


เด็กน้อยมิใช่ชมชอบความตื่นเต้นแปลกใหม่หรอกหรือ หากบอกว่านางมิได้ตั้งใจเตรียมมา ตนก็เป็นคนแรกที่จะไม่เชื่อ 


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มอ่อนโยนคราหนึ่ง “ขอเพียงจวิ้นจู่น้อยทั้งหลายมิรังเกียจก็พอแล้วเพคะ” 


 


 


แผ่นทองแกะสลักที่ผู้มีฐานะมั่งคั่งทั้งหลายพบเห็นอยู่บ่อยครั้งก็คงมีเพียงถั่วลิสง น้ำเต้าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสิริมงคล วันๆ เจินเมี่ยวก็มิได้มีอันใดทำนัก ทั้งมิชมชอบเล่นหมากรุกดีดพิณฆ่าเวลา ยามว่างก็ใฝ่หาแต่เรื่องกินเที่ยวเล่นนั้น 


 


 


แรกเริ่มนั้นเพราะนางเห็นว่าคุณชายน้อยทั้งหลายชื่นชอบจิ้งจอกน้อยสีทองนั้นยิ่ง จึงได้ออกแบบอีกสิบกว่าชนิดตีเป็นแผ่นทองสลักนี้ขึ้นมา 


 


 


นอกจากแผ่นทองสลักนี้แล้วยังมีแผ่นเงินสลักเป็นถุงเงินอีกด้วย นางเพียงแค่พกติดมือมาด้วยยามออกนอกเรือน แต่มิได้คิดจะนำไปเป็นของขวัญเมื่อแรกพบโดยเฉพาะ แต่ก็คิดว่าหากต้องนำมันออกมามอบให้ผู้ใด แผ่นเงินแผ่นทองสลักพวกนี้ก็ดูสวยงามน่ารักดี ไม่มีอันใดต้องเสียหน้าสักนิด 


 


 


ส่วนผลไม้สลักที่นางทำขึ้นนั้นก็แน่นอนว่าต้องสลักไปตามแผ่นทองสลักที่นางมีอยู่เพื่อเพิ่มความสนุกและน่าสนใจให้เพิ่มขึ้นอย่างไรเล่า 


 


 


เจินเมี่ยวลอบคิดในใจว่า รอให้กลับถึงจวนนางจะสั่งตีแผ่นทองสลักลวดลายใหม่ๆ อีกหลายแบบ 


 


 


เวลานี้เองเด็กน้อยที่ถือผลไม้สลักรูปกระต่ายก็หันไปมองนางอยู่แล้วคราแล้วเอ่ยเสียงใสว่า “ที่แท้ก็เป็นเจ้านั้นเอง!” 


 


 


เอ๊ะ? 


 


 


เจินเมี่ยวจ้องมองอย่างละเอียดอีกคราก็รู้สึกว่าเด็กน้อยคุ้นหน้ายิ่ง แต่สำหรับนางแล้วเด็กน้อยก็มีหน้าตาคล้ายๆ กันไปเสียหมด แล้วนี่เป็นบุตรของผู้ใดเล่า ในเมื่อต่างเป็นญาติพี่น้องกัน ย่อมต้องมีส่วนคล้ายกันอยู่บ้างทั้งสิ้น ในเวลาเพียงสั้นๆ นางจึงมิทันคิดออก 


 


 


ไท่โฮ่วจึงหันไปมองเด็กน้อยผู้นั้นแล้วกวักมือเรียก “หรุ่ยเอ๋อร์ มาหาย่าทวดเร็ว” 


 


 


เจินเมี่ยวเป็นคนมีไหวพริบเมื่อได้ยินว่า ‘หรุ่ยเอ๋อร์’ นางก็คิดออกขึ้นมาทันที นี้มิใช่ลูกหมีขององค์ 


 


 


ชายหกหรอกหรือ! 


 


 


ไม่คิดว่าจะได้พบเจออีกจริงๆ คราก่อนที่เจอเจ้าลูกหมีนี้นางก็ถูกแกล้งไปคราหนึ่ง ครั้งนี้คงมิถูกกลั่นแกล้งอีกกระมัง 


 


 


“เสด็จย่าทวด…” หรุ่ยเอ๋อร์เดินเข้าไปหา เมื่ออยู่ต่อหน้าไท่โฮ่วกลับเชื่อฟังว่าง่ายอย่างประหลาด 


 


 


ใบหน้าไท่โฮ่วห้อยแขวนไปด้วยรอยยิ้มแห่งเมตตา แต่แววตากลับมิได้ยิ้มตาม “หรุ่ยเอ๋อร์ บอกย่าทวดสิ ว่าเจ้ารู้จักกับท่านอาเจียหมิงตั้งแต่เมื่อใด?” 


 


 


องค์ชายหกมิใช่คนผู้ที่โดดเด่นอันใดในหมู่องค์ชาย หรุ่ยเอ๋อร์ก็เป็นเพียงบุตรที่เกิดจากอนุ ปกติแล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าไท่โฮ่วนางก็มิได้มีเกียรติศักดิ์อันใด แม้นปกตินางจะซุกซนแต่ก็รู้ดีว่าสตรีที่สูงส่งที่สุดในใต้หล้าย่อมมิไยดีนาง วันนี้ไท่โฮ่วกลับพูดคุยกับนางอย่างเอาใจ นางจึงตอบกลับไปอย่างสัตย์ซื่อ “ในงานเทศกาลโคมไฟปีนี้เอง ท่านอาหมิงเจียยังให้โคมกระต่ายที่กินได้แก่หรุ่ยเอ๋อร์ด้วย” 


 


 


เจินเมี่ยวรับรู้ได้ว่าหลังจากวาจานี้เอ่ยออกไป บรรยากาศรอบตัวไท่โฮ่วก็พลันเย็นเยียบขึ้นมา 


 


 


ไท่โฮ่วเอ่ยถามเนิบนาบต่อไปว่า “หรุ่ยเอ๋อร์ไปชมโคมไฟกับท่านพ่อใช่หรือไม่?” 


 


 


“เพคะ” หรุ่ยเอ๋อร์พยักหน้าอย่างว่าง่าย 


 


 


ไท่โฮ่วเหลือบตาขึ้นมองเจินเมี่ยว 


 


 


สายตาที่มองมายังนางนั้นคล้ายจะมองทะลุเข้าไปถึงข้างในก็มิปาน มีทั้งความระแวง โกรธ และรังเกียจ 


 


 


เจินเมี่ยวเองก็บอกไม่ถูกว่าเหตุใดนางจึงมองเห็นความในใจที่พาดผ่านเข้ามาในดวงตาเพียงวูบเดียวของไท่โฮ่วได้ 


 


 


แต่เมื่อนางอยากมองดูให้ละเอียดอีกหน่อย ไท่โฮ่วก็กลับมามีท่าทีสงบราบเรียบดั่งเดิมแล้ว เพียงแต่นัยน์ตานั้นกลับเพิ่มความล้ำลึกขึ้น นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ ว่า “เจียหมิงช่างใส่ใจนัก” 


 


 


ใส่ใจ? 


 


 


เจินเมี่ยวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหตุใดจึงรู้สึกว่าวาจานี้มีนัยบางอย่างแฝงอยู่เล่า! 


 


 


ไท่โฮ่วส่งสายตาให้แม่นมนำของมามอบเป็นรางวัลแก่เจินเมี่ยว นางยกชาขึ้นจิบ “เอาล่ะ เจียหมิง งานในจวนเจ้าคงมีอีกมาก มิจำเป็นต้องอยู่ที่นี่นานนัก เมื่อเข้าเฝ้าหวงโฮ่วแล้วก็รีบกลับไปเถิด” 


 


 


“เจียหมิงทูลลาเพคะ” เจินเมี่ยวย่อกายถวายพระพร 


 


 


กระทั่งนางกำนัลพานางออกไป นางจึงคิดขึ้นได้ว่าไท่โฮ่วอาจกำลังบอกเป็นนัยให้นางมิต้องเข้าวังบ่อยๆ? 


 


 


แม้นนางจะมิได้ฉลาดนักแต่ผู้ใดชมชอบนางหรือไม่นางก็ยังคงสัมผัสได้ 


 


 


แม้นในใจยังสงสัยยิ่งแต่ก็คิดไม่ออกว่าตนไปทำอันใดให้ไท่โฮ่วไม่พอพระทัยกันแน่ เจินเมี่ยวส่ายหน้า 


 


 


ช่างเถิด อย่างไรเสียเรื่องการเข้าวังนางก็กำหนดอันใดมิได้ ส่วนไท่โฮ่วจะโปรดปรานนางหรือไม่ก็มิจำเป็นต้องร้อนใจ ขอเพียงต่อหน้ามิกลั่นแกล้งนางเป็นพอ 


 


 


เสียงหัวเราะแผ่วเบาลอยมา เจินเมี่ยวจึงเงยหน้าขึ้น 


 


 


องค์ชายหกยืนอยู่ไม่ไกลนัก นัยน์ตาหงส์เล็กเรียวแฝงไปด้วยรอยยิ้มอันไม่ยี่หระต่อสิ่งใด 


 


 


“เจียหมิง เพิ่งออกมาจากตำหนักไท่โฮ่วหรือ?” 


 


 


“องค์ชายหก” เจินเมี่ยวย่อกายถวายพระพร แล้วเอ่ยตอบ “เพคะ กำลังจะไปเข้าเฝ้าหวงโฮ่ว องค์ชายหกจะไปตำหนักไท่โฮ่วหรือเพคะ?” 


 


 


“อืม ไปรับหรุ่ยเอ๋อร์กลับน่ะ” องค์ชายหกเลิกคิ้ว “เจียหมิง เหตุใดจึงมิเรียกพี่หกเล่า?” 


 


 


เจินเมี่ยวคิดว่าตนหูฝาด 


 


 


องค์ชายหกเดินเบี่ยงไปอีกทางแล้วเอ่ยว่า “ต้องเรียกพี่หกจึงจะถูก มิเช่นนั้นคราหน้าข้าจะบอกกับหัวหน้าผู้บัญชาการหลัวว่าเจ้าทำตัวเสียมารยาท” 


 


 


เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากตน เมื่อคิดถึงเจินจิ้งคำว่า ‘พี่หก’ ก็พูดไม่ออกขึ้นมาทันที 


 


 


องค์ชายหกคล้ายดูออกว่าเจินเมี่ยวมิยินยอมก็ถึงกลับชะงักฝีเท้า แล้วหยุดยืนรออยู่ตกนั้นด้วยรอยยิ้ม “เจียหมิง เจ้าจะมิบอกลาเสด็จพี่หน่อยหรือ?” 


 


 


เหลือเกินจริงๆ แต่ละคนล้วนเอาแต่ใจตนทั้งสิ้น! 


 


 


เจินเมี่ยวก้มหน้าลงแล้วฝืนเอ่ยออกไปว่า “ทูลลาเสด็จพี่เพคะ” 


 


 


เมื่อเห็นว่าบุคคลผู้สวมใส่ปักลายหมั่งเสอเดินจากไปและเสียงฝีเท้าก็ไกลออกไปทุกที 


 


 


เจินเมี่ยวก็ถอนหายใจออกมา แล้วตานางกำนัลไปที่วังหนิงคุน 


 


 


องค์ชายหกเดินเข้าไปในประตูตำหนักบรรทมของไท่โฮ่วก็ได้ยินเสียงตื่นเต้นของเด็กน้อยดังมา “ท่านพ่อ…” 


 


 


หรุ่ยเอ๋อร์ลุกขึ้นวิ่งเข้าไปหา แต่เมื่อหันกลับไปมองไท่โฮ่วคราหนึ่งก็ต้องหยุดยืนนิ่ง 


 


 


ไท่โฮ่วจึงเอ่ยว่า “เจ้าหก หรุ่ยเอ๋อร์ติดเจ้าเช่นนี้เอง มิน่าทุกคราจึงมีแต่เจ้าที่มารับนางกลับ” 


 


 


องค์ชายหกเดินเข้ามาถวายพระพรไท่โฮ่ว แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ก็เพราะหลานยังไม่มีภรรยาต่างหาก ไม่เหมือนพี่สะใภ้ทั้งหลายที่จะมาเมื่อใดก็ย่อมได้” 


 


 


เพื่อความยุติธรรม ไท่โฮ่วจึงมักให้เหลนทุกคนเข้ามาเล่นด้วยอยู่บ่อยครั้ง ทุกครามักจะเป็นพระยาชาขององค์ชายที่มารับบุตรีตนกลับไป 


 


 


องค์ชายหกยังไม่แต่งพระชายา อนุก็มิได้มีสิทธิ์เข้ามาในวัง เขาจึงต้องมารับด้วยตนเอง 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ไท่โฮ่วก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา นางจึงหุบยิ้มเอ่ยถามว่า “คุณหนูเฟยชุ่ยจวนมู่เอินโหว คงต้องรอกอีกปีกว่ากระมังถึงจะเลิกไว้ทุกข์?” 


 


 


ครั้นเอ่ยถึงคู่หมั้น องค์ชายหกก็ยังมีท่าทีไม่ยี่หระต่อสิ่งใดเช่นเดิม “น่าจะเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ไท่โฮ่วแค่นเสียงหึคราหนึ่ง “ไม่รู้ว่าบิดาเจ้าหวงโฮ่วคิดสิ่งใดอยู่…” 


 


 


พูดเพียงเท่านี้ก็พันหยุดวาจาตนไว้ 


 


 


อย่างไรเสียจ้าวเฟิงตี้ก็เป็นผู้พระราชทานงานอภิเษกนี้ นางเป็นมารดาย่อมมิอาจหักหน้าบุตรต่อหน้าหลานได้  


 


 


เมื่อไท่โฮ่วรู้ตัวว่าเผลอเสียกริยาก็รู้สึกขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อย 


 


 


องค์ชายหกดูออกทุกอย่างจึงชำเลืองมองคราหนึ่งก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ผลไม้สลักรูปกระต่ายที่หรุ่ยเอ๋อร์ถืออยู่นั้นช่างน่าสนใจยิ่ง เสด็จย่า หลานขอเดาว่า เจียหมิงคงเป็นคนทำให้นางกระมัง?” 


 


 


คิดไม่ถึงว่าเมื่อเอ่ยวาจานี้ออกมา ไท่โฮ่วกลับมิยิ้มแม้เพียงสักเล็กน้อยทั้งยังกวาดตามองเขาอย่างพินิจแล้วถามว่า “เจ้าพบกันกับเจียหมิงหรือ?” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ตอนที่หลานมาที่นี่ก็พบเจียหมิงที่กำลังไปวังหนิงคุนเข้าพอดี” องค์ชายหกรู้สึกถึงความผิดปกติ ในใจก็ครุ่นคิดไม่เลิกราแต่ใบหน้ากลับไม่เผยสิ่งใดแม้เพียงน้อยนิด 


 


 


แม้นเขาจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดไท่โฮ่วจึงแปลกไปเพราะเรื่องนี้ แต่เขาก็รู้ว่าหากตนเผยความผิดปกติใดออกไป ไท่โฮ่วก็จะยิ่งคิดมาก 


 


 


ทว่าเมื่อมาครุ่นคิดอย่างละเอียดเขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าตนพูดสิ่งใดผิดไปกันแน่ 


 


 


ไท่โฮ่วยื่นมือออกมาคิดจะหยิบลูกเหมยในจานขึ้นมากินแต่ก็เปลี่ยนไปยกชาขึ้นจิบแทน นางจิบไปคำหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวเจียหมิงคงไปหาเจินไท่เฟย เจ้าหก วันนี้เจ้าก็อย่าไปที่นั่นเลย ให้พวกนางสองย่าหลานได้พูดคุยกันสักหน่อยเถิด” 


 


 


องค์ชายหกพลันใจเต้นแรงขึ้นมา เขาเข้าใจในนัยนั้นของไท่โฮ่วทันที 


 


 


ไท่โฮ่ว…มิอยาให้ตนพบกับเจียหมิง? 


 


 


คิดถึงตรงนี้ใจเขาก็ขมวดเกร็งขึ้นมา 


 


 


ไท่โฮ่วมิอยากให้องค์ชายทุกพระองค์พบปะกับเจียหมิง หรือแค่ไม่อยากให้ตนพบกับเจียหมิงกันเล่า? 


 


 


หากเป็นอย่างแรกเขาก็พอเข้าใจ อย่างไรเจียหมิงก็มิใช่กิ่งทองใบหยกที่แท้จริง การหลีกเลี่ยงพบปะ แม้นจะดูระแวดระวังเกินเหตุไปหน่อย แต่ก็มีเหตุผลอยู่หลายส่วน 


 


 


ทว่าหากเป็นอย่างหลัง หรือไท่โฮ่วจะคิดว่าตนมีใจปฏิพัทธ์ต่อเจียหมิง หรือไท่เฟย… 


 


 


องค์ชายหกเหงื่อแตกไหลซึมท่วมกาย เขาได้แต่ส่ายหน้าอยู่ในใจ 


 


 


เป็นไปไม่ได้ คราแรกที่เขาเข้าใจในความรู้สึกอันแท้จริงของตนก็ยังรู้สึกไร้หนทางจะไปเผชิญหน้ากับมัน กระทั่งเจ็บปวดใจอยู่ระยะหนึ่ง แล้วไท่โฮ่วจะคิดไปในทิศทางนั้นได้อย่างไรกัน! 


 


 


อีกอย่าง ไท่โฮ่วกับไท่เฟยก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสมอมา… 


 


 


องค์ชายหกส่ายหน้าอีกครา แต่ไหนแต่ไรหวังหลังก็ฆ่าคนไม่เห็นโลหิตอยู่แล้ว ภายนอกที่เห็นจะนับเป็นอันใดได้เล่า 


 


 


“แค่กๆ” ไท่โฮ่วกระแอมไอแผ่วเบาคราหนึ่ง 


 


 


องค์ชายหกพลันมีสติคืนมา เขายิ้มพลางเอ่ยว่า “เสด็จย่าวางพระทัยเถิด หลานย่อมไม่ไปที่นั่นให้คนเขาหงุดหงิดใจแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ไท่โฮ่วเห็นท่าทีฉลาดปราดเปรื่องขององค์ชายหกแล้ว สีหน้าก็ผ่อนคลายลงมาก 


 


 


กระทั่งองค์ชายหกรับหรุ่ยเอ๋อร์จากไป ไท่โฮ่วจึงส่งสายตาให้นางกำนัลพาจวิ้นจู่น้อยไปเล่นที่ห้องหน่วนเก๋อแทน 


 


 


ภายในห้องเหลือเพียงไท่โฮ่วและแม่นมชราผู้นั้น ไท่โฮ่วถอนหายใจยาวออกมาอย่างล้ำลึก 


 


 


แม่นมผู้นั้นพิจารณาท่าทีของไท่โฮ่วอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยปลอบว่า “ไท่โฮ่วพระองค์ทรงวาพระทัยเถิด จากที่หม่อมฉันเห็น เจียหมิงเซี่ยนจู่มิเหมือนนางเลยเพค่ะ” 


 


 


ไท่โฮ่วนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย ภายในห้องมีแสงขมุกขมัว ทำให้ใบหน้านางยิ่งดูอึมครึม เสียงที่เอ่ยก็แผ่วต่ำยิ่ง “ฟู่เซียง ใจของข้าหวาดหวั่นยิ่ง เด็กสาวผู้นั้นแต่งงานออกไป ยิ่งเจริญวัยรูปร่างหน้าตาก็ยิ่งคล้ายนางมากขึ้นทุกที แค่นางก้าวเข้ามาในวัง ข้าก็อดหวาดหวั่นมิได้เสียที” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม