เล่ห์รักกลกาล 249-256

ตอนที่ 249 เยี่ยนคิดจะทำอะไร ฮูหยินเด...

 

ยังไม่สู้ยิ่งเตรียมแผนการให้ดีก่อนจะปฏิบัติการต่อ


 


 


อย่างน้อย เขาก็ไม่ต้องเห็นท่านอ๋องเจ็บปวด


 


 


เป่ยเฉินอี้นิ่งไปเล็กน้อย ค่อยยิ้มอีกครั้ง ปิดดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดง สั่งเสียงขรึมว่า “ทุกอย่างทำตามแผนการเดิม!”


 


 


 “ขอรับ!”


 


 


ชิงเกอรับคำสั่ง


 


 


……


 


 


ท้องฟ้ายังไม่สว่าง เป่ยเฉินอี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยเดินทางกลับถึงเมือง


 


 


เมื่อเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับเยี่ยเม่ยกลับมา เซียวเยว่ชิงค่อยระบายลมหายใจออกคำหนึ่ง หากข่าวที่องค์ชายสี่กับเยี่ยเม่ยไม่อยู่ชายแดนแพร่ออกไป บางทีต้ามั่วอาจมีการเคลื่อนไหว ถึงยามนั้นยังไม่รู้เลยว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร


 


 


ครั้งนี้หลังจากเซียวเยว่ชิงตัดสินใจหนักแน่นแล้วว่าจะเชื่อฟังและภักดีต่อเยี่ยเม่ย จึงหันไปหาหลูเซียงฮั่วที่อยู่ด้านหลัง “หลังจากนี้พวกเราจะไม่เต้นตามผู้อื่นง่ายๆ อีกแล้ว ผลของการไม่ช่วยแม่นางเยี่ยเม่ยช่วยเหลือจิ่วหุน คือการเฝ้าเมืองอย่างอกสั่นขวัญแขวน เฝ้ากังวลว่าเมืองจะแตกอยู่ทุกคืนวัน ไม่ว่าจะคำนึงถึงความรู้สึกของตัวเอง หรือว่าผลประโยชน์ของบ้านเมือง ภายหน้าไม่อาจทำเช่นนี้อีก!”


 


 


หลูเซียงฮั่วพยักหน้าเห็นด้วย “เจ้าพูดถูก!”


 


 


เยี่ยเม่ยกลับเมือง เห็นพวกเขาสองคน มองพวกเขาด้วยสายตาแฝงความขอบคุณอยู่หลายส่วน หากวันนั้นพวกเขาทั้งสองไม่พาคนที่ข่มขู่นางจากไปครึ่งหนึ่ง สถานการณ์ในวันนั้นคงจะยิ่งตึงเครียด


 


 


ยังไม่ทันพูดกับพวกเขาสองคน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็พลิกกายลงจากม้า แบกนางพาดบ่า สาวเท้ากว้างเดินเข้าเมืองไป


 


 


 “นี่…” เยี่ยเม่ยหน้าร้อนฉ่า


 


 


ถูกแบกต่อหน้าคนมากมาย หน้าตาของนางจะเอาไปวางไว้ที่ไหน ความน่าเกรงขามของนางเอาไปไว้ที่ไหน ฐานะหัวหน้าครอบครัวยังดำรงอยู่หรือไม่


 


 


ในขณะที่นางกำลังไม่พอใจ


 


 


เสียงน่าฟังของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ค่อยๆ ดังขึ้นว่า “ฮูหยินไม่ใช่พูดว่า ยอมแบกรับผลทุกอย่างไม่ใช่หรือ นี่เพิ่งจะเริ่มฮูหยินก็ไม่ยินยอมแล้วหรือ”


 


 


 “อ้อ…” เยี่ยเม่ยเพียงส่งเสียงตอบไปคำเดียว จากนั้นก็เงียบไป


 


 


ก็ได้


 


 


เมื่อคิดถึงคำสัญญาของตัวเอง จากนั้นปรายตามองขลุ่ยหยกโลหิตที่เอว ก็ไม่ส่งเสียงใดๆ


 


 


สีหน้าเศร้าหงอยก้มหน้าลง พยายามทำให้คนเห็นหน้านางที่ถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแบกกลับห้องเขาให้น้อยที่สุด


 


 


เยี่ยเม่ยกลับเอ่ยปากว่า “อย่างน้อยท่านก็ปล่อยให้ข้าไปดูก่อนได้หรือไม่ว่าจิ่วหุนไม่เกิดเรื่อง”


 


 


อืม หลังจากมั่นใจว่าจิ่วหุนปลอดภัยแล้ว บางทีโทสะของเขาต้องค่อยๆ ลดลง เขาก็ไม่คิดบัญชีกับนางอีก ก็นับว่าดีทั้งสองฝ่าย


 


 


คิดไม่ถึงเลย


 


 


เมื่อนางเอ่ยออกมา เขาที่เดิมทีโกรธมากอยู่แล้ว ในเวลานี้ยิ่งทวีความเดือดดาล


 


 


ดีมาก รับของขวัญจากกูเยว่อู๋เหินยังไม่พอ ในใจยังพะวงถึงความปลอดภัยของจิ่วหุนอีก ในเวลานี้เขาไม่อาจหยั่งเชิงคุยเหตุผลกับนาง เพราะว่าเหตุผลทั้งหลายล้วนเป็นของนาง ผลของการฝืน ‘ใช้เหตุผล’ คือเขาจงใจก่อกวน ไม่มีเหตุผล


 


 


ฝีเท้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนชะงัก คล้ายกับรวบรวมพลังทั้งหมดเพื่อสะกดโทสะของตน


 


 


อวี้เหว่ยที่อยู่ด้านหลังพวกเขา เวลานี้ยังมองดูด้วยหัวใจหวั่นผวา กุมบั้นท้ายที่เกือบแตกออกเป็นแปดส่วนเพราะตกจากหลังม้ามองเยี่ยเม่ยอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี


 


 


เขาพบว่าก่อนนี้เตี้ยนเซี่ยมีความรู้สึกช้าจนน่าเศร้า เดิมทีเขาคิดว่าน่ากลัวแล้วคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องความรู้สึกช้า แม่นางเยี่ยเม่ยยิ่งน่ากลัดกลุ้มกว่าเสียอีก


 


 


อวี้เหว่ยเป็นคนมีไหวพริบ ในเวลานี้รีบแสดงความฉลาดของตน รีบวิ่งพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน จากนั้นเอ่ยอย่างรวดเร็วว่า “เตี้ยนเซี่ย หากท่านมีเรื่องจะคุยกับเยี่ยเม่ยก็รีบไปจัดการเถอะ ข้าน้อยจะช่วยดูว่าจิ่วหุนปลอดภัยหรือไม่ เมื่อดูแล้ว…”


 


 


อืม เพื่อไม่รบกวนแม่นางเยี่ยเม่ยกับเตี้ยนเซี่ย


 


 


เขาชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยปากว่า “หากมีเรื่องเกิดขึ้นภายในระยะเวลาหนึ่งก้านธูปข้าจะกลับมารายงานท่าน หากไม่มีเรื่อง ข้าน้อยจะไม่มารบกวนพวกท่านแล้ว! เป็นอย่างไร”


 


 


พูดไปแล้ว อวี้เหว่ยยังรู้สึกชื่นชมความฉลาดของตัวเองเลย


 


 


มีผู้ช่วยที่ร้ายกาจอย่างเขา ยังจะต้องทุกข์ใจว่าเรื่องของเตี้ยนเซี่ยกับแม่นางเยี่ยเม่ยไม่ราบรื่นอีกหรือ


 


 


เขาเอ่ยออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเขา สั่งการว่า “ไปเถอะ!”


 


 


เป็นความคิดที่ดี


 


 


ถึงเยี่ยเม่ยรู้สึกว่าไปดูด้วยตัวเองจะดีกว่า แต่การจัดการของอวี้เหว่ยเช่นนี้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ในยามนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีท่าทางเหมือนพร้อมจะระเบิดอารมณ์ได้ตลอดเวลา นางไม่กล้าใช้ไม้แข็งกับเขา บอกว่าตัวเองจะไปหาจิ่วหุน  


 


 


เสี่ยงยั่วโทสะเขาไม่ดีกับจิ่วหุน


 


 


ดังนั้น


 


 


เยี่ยเม่ยได้แต่พยักหน้า เลือกเงียบไม่พูดไม่จา


 


 


จากนั้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแบกนางเดินเข้าเรือนของตน


 


 


เสี่ยวกวนที่อยู่ด้านหลังมองจากที่ไกลๆ ถามอวี้เหว่ยอย่างโง่งมว่า “เตี้ยนเซี่ยลืมไปแล้วหรือไม่ว่าแม่นางเยี่ยเม่ยไม่ได้พักอยู่ที่เรือนเดียวกับเตี้ยนเซี่ย เขาแบกแม่นางเยี่ยเม่ยเข้าห้องตัวเองไปทำไม ข้าต้องไปเตือนสักหน่อย”


 


 


 “โป๊ก!” อวี้เหว่ยเคาะหัวเสี่ยวกวนไปทีหนึ่ง “เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ อย่ากังวลนักเลย! ข้ากลัวว่าความโง่งมของเจ้าจะทำให้เจ้าตายเอา!”


 


 


เสี่ยวกวน “…”


 


 


เขาเป็นอะไรอีกแล้ว คำพูดของเขามีปัญหาหรืออย่างไร


 


 


คนชุดดำทั้งหมดที่อยู่ด้านหลังของเสี่ยวกวน แสดงออกว่าไม่อาจทนดูสติปัญญาของลูกพี่ของตัวเองได้


 


 


อวี้เหว่ยหมุนกายตรงไปที่ห้องของซือหม่าหรุ่ยเพื่อดูอาการของจิ่วหุน เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ไม่วางใจ หันกลับมาส่งสายตาหาเสี่ยวกวน “ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ เจ้าห้ามปากมากไปเตือนเรื่องนี้เด็ดขาดเชียว ถึงตอนนั้นถูกเตี้ยนเซี่ยกำจัดแล้ว อย่ามาหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า!” 


 


 


หลังจากอวี้เหว่ยเอ่ยคำพูดที่เต็มไปด้วยความรักที่มีต่อพี่น้องจบก็สาวเท้ากว้างเดินจากไป


 


 


เสี่ยวกวนหันกลับไปมองบรรดาพี่น้องด้านหลังอย่างงุนงง ชี้หน้าตัวเอง “หากข้าไปเตือน จะถูกกำจัดจริงๆ หรือ”


 


 


บรรดาองครักษ์ลับทั้งหลายรีบพากันพยักหน้ารัว


 


 


เสี่ยวกวนมุมปากระตุก “อย่างนั้นก็ได้ ข้าไม่เตือนแล้ว!”


 


 


……


 


 


ห้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


หลังจากเขาแบกคนก้าวเข้ามาในห้อง ก็ตวัดมือปิดประตูลง


 


 


เยี่ยเม่ยเตรียมตัวยืนลงที่พื้น กลับถูกเขาเหวี่ยงลงบนเตียงอย่างแรง ฟูกบนเตียงนิ่มมาก ดังนั้นนางจึงไม่เจ็บ ทว่าเสี้ยวนาทีที่นางนอนอยู่บนเตียง หัวใจเต้นระส่ำ รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง


 


 


เขาบอกว่าจะคิดบัญชีกับนาง คงไม่ใช่คิดบัญชีแบบนั้นกระมัง


 


 


ขณะที่กำลังกลัดกลุ้ม เยี่ยเม่ยช้อนตามองเขาอย่างระแวดระวัง การมองครั้งนี้ทำให้ใบหน้าของเยี่ยเม่ยแดงเรื่อขึ้นมาทันที


 


 


เขาถึงกับเริ่มคลายเสื้อผ้าออกแล้ว


 


 


เสื้อคลุมตัวนอกถูกถอดไปแต่แรก สายรัดชุดด้านในถูกคลายออก แผงอกทรงพลังและน่ามองปรากฏอยู่เบื้องหน้าเยี่ยเม่ย


 


 


ดวงตาคู่ร้ายของเขาเจือโทสะหลายส่วนมองมาที่นาง


 


 


น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ ถามว่า “ฮูหยินจะถอดเอง หรือว่าให้สามีช่วยเจ้าถอด”


 


 


 “อ๋า…ข้า นี่…” สีหน้าเยี่ยเม่ยเดี๋ยวก็ขาวซีด เดี๋ยวก็แดงก่ำ พ่นคำพูดไม่ออกอยู่นาน


 


 


เห็นอารมร์ปรารถนาในสายตาเขาเข้มข้นขึ้นทุกขณะ ใบหน้าของเยี่ยเม่ยแข็งขืน ขดตัวถอยเข้าไปด้านในของเตียง ถามว่า “คือว่าท่านคิดจะทำอะไรกันแน่”


 


 


เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ เขาก็กดทับลงมาเหนือร่างนางแล้ว “เยี่ยนคิดจะทำอะไร ฮูหยินเดาไม่ออกหรืออย่างไร” 

 

 


ตอนที่ 250 พี่ชาย ข้ามีประจำเดือนแล้ว!

 

มาถึงขั้นนี้แล้วเยี่ยเม่ยเดาออกแน่นอน


 


 


หากยังเดาไม่ออกอีก สมองนางคงถูกหมูกินไปหมดแล้ว…


 


 


ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาอยู่เบื้องหน้า ส่วนเยี่ยเม่ยที่สมองกระตุกอีกครั้งมองท้องฟ้าด้านนอก สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิรอบกาย นางถามออกด้วยประโยคที่ยิ่งแสดงออกว่าเป็นสาวแกร่งเข้าไปใหญ่ “คือว่า…ท่านไม่หนาวหรือ”


 


 


นางเอ่ยออกมา เขากลับคลี่ยิ้ม


 


 


เขายกมือขึ้นตวัดทีหนึ่ง ใช้ผ้านวมคลุมร่างของพวกเขาเอาไว้ สองมือเริ่มดึงอาภรณ์ของเยี่ยเม่ย น้ำเสียงน่าฟังเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ฮูหยินวางใจเถอะ ต่อให้เจ้าถอดเสื้อผ้าแล้ว ก็ไม่หนาวเหมือนกัน! อย่าว่าแต่มีผ้านวมเลย ต่อให้ไม่มีเยี่ยนก็จะทำให้เจ้าอบอุ่นขึ้นมาในไม่ช้า!”


 


 


เยี่ยเม่ย “…”


 


 


นางด่าเขาเป็นเจ้าตัวลามกสักคำได้หรือไม่นะ?!


 


 


ขณะที่นางกำลังเตรียมจะอ้าปากด่า เขาก็ก้มหน้าลงมาครอบครองริมฝีปากนางเอาไว้ ค่อยๆ ลิ้มรสน้ำหวานภายในปากนาง ยามนี้เยี่ยเม่ยตัวสั่น สมองเริ่มเบลอ…


 


 


ไม่ทันรู้เรื่องรู้ราว


 


 


เสื้อก็กองอยู่บนพื้นแล้ว สุดท้ายเขาก็กอบกุมเนินอกของนางไว้


 


 


เยี่ยเม่ยหน้าแดงแล้วซีดขาว หน้าซีดขาวแล้วกลับมาแดงอีกครั้ง ความรู้สึกไม่คุ้นเคยเกิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ทำเอานางสั่นไหว


 


 


เวลานี้น้ำเสียงน่าฟังของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแฝงไปด้วยความเย้ายวนเกินบรรยาย ค่อยๆ เอ่ยว่า “ครั้งแรกที่ได้พบกัน ฮูหยินเคยบอกให้เยี่ยนถอดกางเกงออกก่อน วันนี้เยี่ยนจะทำตามความปรารถนาของฮูหยิน รับรองว่าไม่มีทางทำให้ฮูหยินผิดหวังอย่างแน่นอน!”


 


 


ในขณะที่อธิบายเขาชิงดึงกางเกงนางออก


 


 


เยี่ยเม่ยพลันได้สติกลับมา ยื้อกางเกงของตัวเองเอาไว้แน่น ตำหนิเสียงเย็นว่า “พอแล้ว พอแล้ว! เลิกก่อเรื่องได้แล้ว! ข้า…”


 


 


ครั้นนางเอ่ยเช่นนี้ แววตาเขาสาดความเย็นเยียบออกมา


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนใช้ปากปิดปากนาง ทำเอาเยี่ยเม่ยชะงักนิ่ง อ่อนยวบไปทั้งตัว เสียงชั่วร้ายของเขาเอ่ยว่า “พอแล้วหรือ สามียังรู้สึกว่าห่างไกลจากคำว่าพอยิ่งนัก ฮูหยินบอกเองไม่ใช่หรือว่าจะยอมรับผลทั้งหมด”  


 


 


สิ้นเสียง เขาออกแรงกระชาก


 


 


เยี่ยเม่ยที่ดึงสายรัดกางเกงพลันมุมปากกระตุก สีหน้าไร้อารมณ์ หันไปกุมหน้าอย่างจนคำพูด “นี่พี่ชาย ข้า…”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนิ่งเงียบ


 


 


มือรับรู้ได้ถึงของเหลวอุ่นๆ บางอย่าง เมื่อเขาเอามือออกมาดู ใบหน้ายังคงสง่างามเหมือนเคย ถามด้วยเสียงอ่อนว่า “เจ้าบาดเจ็บหรือ”


 


 


น้ำเสียงกลับแฝงความร้อนรน จ้องมองใบหน้าที่นางกุมไว้


 


 


ในใจปรากฏลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง


 


 


เยี่ยเม่ยมุมปากระตุกอีกครั้ง ในที่สุดก็ส่งเสียงเจ็บปวดเล็ดรอดออกมาจากง่ามนิ้วมือที่กุมหน้าอยู่ “ไม่…ไม่ใช่! ท่านป้าข้ามาแล้ว[1] นั่นหมายถึงประจำเดือน”


 


 


นางพูดไป พลางคิดดึงกางเกงตนขึ้นมา จากนั้นเขาฉีกทึ้งมันซะดื้อๆ


 


 


ไม่ได้ถอดออกสักหน่อย….


 


 


นางมองผ่านง่ามนิ้ว ในเวลานี้เห็นเขาแข็งทื่อไป ทั้งยังรอยเลือดบนมือเขา พลันรู้ว่าวันนี้ช่างเป็นวันที่รุนแรงเสียเหลือเกิน


 


 


ต่อให้เป็นเยี่ยเม่ยที่เย่อหยิ่งเย็นชา มั่นใจว่าตนมีเสน่ห์เกินใครเปรียบได้ ในเวลานี้นางยังแทบจะขุดหลุมฝังตัวเองเลยด้วยซ้ำ


 


 


นางถูกจูบเสียจนล่องลอยไม่ได้สติ ยามที่เขาถอดกางเกงนางนั้น นางเพิ่งคิดได้ว่ามีประจำเดือนแล้ว


 


 


ใครจะคิดว่าที่นางดึงกางเกงขึ้นมาเพื่อจะหารือกับเขาดีๆ เสียก่อน จะได้บอกสถานการณ์ให้เขารู้ ผลคือเขากลับฉีกมันทิ้งเสียดื้อๆ


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่ในอารามตกตะลึงงัน


 


 


ดวงตาร้ายกาจของเขากวาดมองนิ้วมือที่เปื้อนเลือดของตน ในเวลาชั่ววูบนั้น รู้สึกว่าสมองแทบระเบิดแตกออกมาแล้ว


 


 


เสียงอื้ออึงดังในสมอง ทำให้เขาคิดอยากบีบคอสตรีเบื้องหน้าให้ตายไปเสีย ที่นางกล้าเหิมเกริม บอกว่าตนเองจะแบกรับผลทั้งหมดเอาไว้ ก็เป็นเพราะ…นางมีประจำเดือน รู้ว่าเขาทำอะไรนางไม่ได้ใช่หรือไม่


 


 


เยี่ยเม่ยมองสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปจนคาดเดาไม่ออกของเขา ในใจก็รู้ว่าในใจเขาต้องมีเงามืดสะสมเอาไว้จำนวนมากอย่างแน่นอน


 


 


นางผลักเขาออก เลิกผ้าห่มขึ้น “นั่นใคร…รีบเอากางเกงสะอาดๆ กับผ้าซับประจำเดือนมาให้ข้าเร็ว ยังมีอีก…ผ้าปูเดียงกับผ้าห่มของท่านก็ต้องเปลี่ยนได้แล้ว!”


 


 


เยี่ยเม่ยพูดไปกุมขมับด้วยความปวดหัว


 


 


นางสาบานได้ว่า มีชีวิตมานานถึงขนาดนี้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รับรู้ถึงความกระอักกระอ่วนเช่นนี้ ถึงขั้นที่นางเริ่มสงสัยถึงการมีชีวิตขึ้นมาบ้างแล้ว


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ


 


 


เส้นเลือดที่ขมับยังเต้นตุบตับไม่หยุด คล้ายกำลังอดทนอะไรบางอย่างอยู่ เยี่ยเม่ยตกอยู่ในอารมณ์พูดไม่ออก สะกิดแขนเขา คิดจะแสร้งเป็นเย็นชาเย่อหยิ่ง แต่ว่าสถานการณ์นี้ออกจะน่าขบขันเกินไปแล้ว


 


 


นางไม่สามารถรักษาความสงบเยือกเย็นไว้ได้เลย


 


 


ดังนั้น


 


 


นางกุมขมับ เอ่ยด้วยเสียหน้าเจ็บปวดว่า “ยังไม่รีบไปอีก ท่านคิดให้เลือดข้าไหลโชกไปทั้งเตียงหรือไง”


 


 


ในที่สุดองค์ชายสี่ก็ค่อยๆ ได้สติกลับมา ทั้งยังค่อยๆ สงบลงแล้ว


 


 


ดวงตาร้ายกาจหยุดนิ่งมองเยี่ยเม่ยสักครู่ สุดท้ายก็แค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่ง ลุกขึ้นจากไป…


 


 


   ……


 


 


เวลานี้


 


 


บนต้นไม้ห่างออกไปไกลนอกห้องซือหม่าหรุ่ย มีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่เงียบๆ ในมือเขามีธัญพืชแห้งกับน้ำ สองสามวันนี้เขาหลบอยู่ที่นี้ สังเกตซือหม่าหรุ่ยอย่างเงียบสงบมาโดยตลอด


 


 


ตลอดเวลาที่อยู่ตรงนี้สายตาเขาที่เอาแต่จับจ้องอยู่ที่ซือหม่าหรุ่ย เฝ้ามองคนที่เขาหลงคิดว่าชั่วชีวิตนี้อาจไม่ได้พบเจออีกแล้ว 


 


 


คนผู้นั้นคือเซียวชิน


 


 


ความจริงเขาคิดถึงนาง ทั้งอยากพบนาง แต่ว่าเขาทำไม่ได้


 


 


เป่ยเฉินอี้ใช้ความปลอดภัยของซือหม่าหรุ่ยมาข่มขู่เขา เขาร่วมมือกับอีกฝ่าย ประการแรกเพราะถูกบังคับขมขู่ ประการที่สองเพื่อติดตามเป่ยเฉินอี้ปะปนเข้ามาในชายแดน เพื่อจะได้พบนางได้ตลอด


 


 


เพียงแต่นางกลับไม่รู้เลยว่า มีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองนางอยู่ลับๆ


 


 


ในเวลานี้เอง


 


 


อวี้เหว่ยสาวเท้ากว้างเข้ามาทางนี้ เซียวชินรีบดึงสติกลับมา เขาไม่ถูกจับได้ต่อหน้าจงรั่วปิงและซือหม่าหรุ่ยที่มีวรยุทธ์ไม่ต่ำต้อย แต่ว่าวิชาอำพรางยังไม่อาจสู้เขาได้ ถือเป็นเรื่องไม่ยากเย็น แต่ว่าอวี้เหว่ยเป็นถึงคนข้างกายอันดับหนึ่งของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ฝีมืออำพรางกายเกรงว่าเขาจะสู้อีกฝ่ายไม่ไหว


 


 


อีกฝ่ายเดินผ่านมาทางนี้ เกรงว่าจะถูกพบเอาได้


 


 


เมื่อคิดๆ ดู เป่ยเฉินอี้ก็สมควรกลับมาแล้วเช่นนี้ เซียวชินก็ไม่รั้งอยู่ต่อ พลิ้วกายหายไปในความมืดมิดยามราตรี


 


 


อวี้เหว่ยเห็นเงาร่างสายหนึ่งจากที่ไกลๆ


 


 


สายตาพลันเย็นชาขึ้นมา รีบทะยานติดตามไป แต่หลังจากร่างนั้นพลิ้วไปแล้ว ก็ไม่เห็นอีกแม้แต่เงา ทำให้เขาสายตาเขาสงบลง ในชายแดนยังมียอดฝีมืออื่นอยู่อีกหรือ


 


 


อวี้เหว่ยคิดไปพลางเดินไปที่ห้องซือหม่าหรุ่ย


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเห็นเขา ถามออกมาทันทีว่า “เยี่ยเม่ยกลับมาอย่างปลอดภัยแล้วหรือยัง”


 


 


 “กลับมาแล้ว! จิ่วหุนเป็นอย่างไรบ้าง” อวี้เหว่ยยังไม่ลืมหน้าที่ของตน


 


 


ซือหม่าหรุ่ยตอบว่า “พ้นจากอันตรายแล้ว พรุ่งนี้เขาคงจะฟื้น!”


 


 


อวี้เหว่ยคลายใจลง พยักหน้า “อย่างนั้นก็ดี! จริงสิ…”


 


 


เขาเอ่ยพลางจ้องหน้าซือหม่าหรุ่ย สายตาส่อแววจริงจัง “เจ้ายังมีสหายออื่นยู่ที่ชายแดนหรือเปล่า”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยชะงักไปเล็กน้อย ส่ายหน้า “ไม่มีนะ! มีแค่พวกเราสามคน!”


 


 


อวี้เหว่ยอธิบาย “ใกล้ๆ เรือนของเจ้ามีคนผู้หนึ่ง จ้องมองมาที่ห้องของเจ้า ดูเหมือนเขาไม่มีเจตนาร้าย เพราะว่าข้าสัมผัสไม่ได้ถึงไอสังหารเลย แต่หลังจากข้ามาเขาก็จากไปแล้ว วรยุทธ์เขาไม่ต้อยต่ำไปกว่าข้า ดังนั้นข้าจึงไล่ตามไปไม่ทัน!”


 


 


 


 


[1] สำนวน หมายถึงมีประจำเดือน 

 

 


ตอนที่ 251 ข้าหลงคิดว่าท่านจะถอนหมั้น!

 

 


 


 


พูดไปแล้ว หัวคิ้วของอวี้เหว่ยขมวดแน่น 


 


 


ก่อนหน้าเขาไม่ได้รับข่าวใดๆ ว่า มียอดฝีมือในการพรางกายอยู่ที่นี่ คนผู้นี้เป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่ ยังไม่ชัดเจน  


 


 


ซือหม่าหรุ่ยกลับชะงักไป ไม่สนใจใครอีก รีบวิ่งออกไปนอกห้อง มองออกไปรอบๆ กลับไม่เห็นแม้แต่เงาใคร… 


 


 


อวี้เหว่ยไม่เข้าใจสถานการณ์ของนาง วิ่งติดตามออกไป 


 


 


เห็นซือหม่าหรุ่ยมองไปรอบๆ ทั้งสี่ทิศ เขาถามออกไปด้วยความสงสัย “ทำไมกัน เป็นคนที่เจ้ารู้จักหรือ เขาจากไปไกลแล้ว” 


 


 


สีหน้าซือหม่าหรุ่ยเปลี่ยนไป อวี้เหว่ยเห็นความเสียใจบนใบหน้านางอย่างชัดเจน 


 


 


เขายิ่งอึ้งทึ่ง 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมองไปในความมืด ไม่เห็นคนที่ตัวเองอยากพบ ก็ค่อยๆ ถอนสายตากลับ หันมองอวี้เหว่ย ด้วยสีหน้าท้อแท้อยู่บ้าง ส่ายหน้าไปมา “ไม่ ไม่มีอะไร!”  


 


 


อวี้เหว่ยมองนางด้วยความสงสัย 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยโบกมือ “เจ้ากลับไปรายงานก่อนเถอะ เรื่องที่นี่ต่อไปข้าจะระวังมากขึ้น!” 


 


 


 “ได้! เจ้าระวังตัวด้วย!” อวี้เหว่ยเอ่ยจบก็จากไป 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนตามออกมา เห็นสีหน้าซือหม่าหรุ่ย พลันเข้าใจอะไรขึ้นมาได้ ถามเสียงเบาว่า “เจ้าสงสัยว่า…” 


 


 


 “จะเป็นเขาหรือไม่” ซือหม่าหรุ่ยหันมองซินเยว่เยี่ยน  


 


 


ซินเยว่เยี่ยนมุ่นคิ้ว พูดไม่ออกในคราแรก “เขาหายสาบสูญไปหลายปี อีกอย่างมีคนจำนวนไม่น้อยที่คอยจับตามองเจ้าเพื่อตามหาเขา ทำให้หลายปีมานี้เจ้าไม่เคยพบเขาเลย ยามนี้ในชายแดน คนข้างนอกพวกนั้นจับตาดูเจ้าไม่ได้ แต่เขาก็เข้ามาได้ยากเช่นกัน” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเอ่ยไปตามเหตุผล  


 


 


ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า “เจ้าพูดถูก ต่อให้เซียวชินมีวรยุทธ์สูงแค่ไหน คิดเข้าชายแดนมาโดยไร้สุ้มเสียง ทั้งยังมาเฝ้าสังเกตการณ์ข้าโดยไม่ถูกจับได้ ยากเกินไปแล้ว! นอกจากมีคนพาเขาเข้ามา!” 


 


 


 “แต่ใครจะพาเขาเข้ามา” ซินเยว่เยี่ยนย้อนถาม ไม่ช้าก็เอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยไม่รู้จักเขาสักหน่อย อีกอย่างหากรู้จัก นางสมควรบอกกับพวกเรา จากนิสัยขององค์ชายสี่ไม่มีทางร่วมมือกับใครแน่ ยังมีผู้ใดอีก” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยหน้าขรึม “เจ้าพูดก็ถูก!” 


 


 


เช่นนั้นเซียวชินไม่น่ามีวิธีเข้าได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ใครกันที่ลอบจับตาดูนาง ไม่ใช่เขาจริงๆ ใช่หรือไม่ 


 


 


 “ช่างเถอะ ไม่ใช่เขาหรอก!” ซือหม่าหรุ่ยส่ายหน้า “ข้าน่าจะคิดมากไปเอง!” 


 


 


…… 


 


 


ภายในห้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน  


 


 


คนสองคนนั่งจ้องหน้ากัน 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเปลี่ยนชุดใหม่ทั้งหมด รัดเกล้าหยกแดงรวบผมขึ้น ดูแล้วมีความหล่อเหลาเยือกเย็น 


 


 


เยี่ยเม่ยนั่งตรงหน้าเขา 


 


 


นางก็ผลัดเปลี่ยนชุดสะอาดแล้วเช่นกัน… 


 


 


ผ้าห่มและของอื่นๆ บนเตียงถูกเปลี่ยนเป็นชุดใหม่หมด 


 


 


คนทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน เห็นสีหน้าที่เรียกว่าไม่ดีเลยของเขา ในชั่วขณะหนึ่งเยี่ยเม่ยไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี 


 


 


ความจริงแล้ว นางเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเหลือเกิน 


 


 


ถึงขั้นรู้สึกอยากเอาหัวยัดใส่เข้าไปในถุงเลยด้วยซ้ำ นางรู้สึกว่าเรื่องน่าขบขันเช่นนี้ คนทั่วไปชั่วชีวิตคงไม่มีโอกาสได้พบเจอสักครั้งแน่… 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเองก็นิ่งเงียบ 


 


 


เขาจ้องตานางเงียบๆ ทั้งยังระงับโทสะในใจ เขาไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมเรื่องมักเปลี่ยนเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย เขาคิดว่าเรื่องพวกนี้หากเปลี่ยนเป็นบุรุษอื่น บางทีอาจกลายเป็นเงามืดในใจแล้ว 


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักไป ชิงทำลายความอึดอัดขึ้นมาก่อน “คือว่า ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ก่อนหน้าข้ายังไม่ทันคิดถึง พอคิดได้แล้ว ข้ากำลังจะบอก ทั้งยังพยายามดึงกางเกงไว้ คิดไม่ถึงว่าข้ายังไม่ทันเอ่ยท่านก็…” 


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยไป พลางพยักหน้าเพื่อเน้นย้ำคำพูดของนาง “อืม ที่ข้าอยากบอกคือ ทุกอย่างคืออุบัติเหตุ ข้าไม่ได้ตั้งใจกลั่นแกล้งท่านเลยสักนิดเดียว!” 


 


 


อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็น่าขยะแขยงมาก 


 


 


นางหวนคิดถึงผ้าห่มเลอะเลือดที่ถูกบ่าวไพร่สีหน้าอึ้งทึ่งนำออกไปทำความสะอาดเมื่อครู่ นางยังได้กลิ่นแรงจนแทบอาเจียน 


 


 


ยังดีที่ 


 


 


กางเกงรวมถึงผ้าซับเลือดที่นางใส่ก่อนหน้านี้ ถูกเขาเผาทิ้งไปก่อนที่บ่าวไพร่จะเข้ามาแล้ว 


 


 


ไม่เช่นนั้นพวกบ่าวไพร่เห็นกางเกงเช่นนั้น แล้วนำออกไป ไม่ว่าจะเกิดความคิดประเภทไหนออกมา ตอนนี้…อย่างดีก็คิดว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บแล้ว ใช่ไหม 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้แน่ว่า นางไม่ได้ตั้งใจกลั่นแกล้ง 


 


 


เขาเงียบไปครู่หนึ่ง สูดลมหายใจลึก จ้องสตรีเบื้องหน้า น้ำเสียงน่าฟัง ค่อยๆ ถามว่า “ดังนั้นเพราะฮูหยินรู้ว่าตัวเองมีประจำเดือนแล้ว เยี่ยนคงไม่ทำอะไรเจ้า จึงจงใจบอกว่าจะแบกรับผลทุกอย่างใช่หรือไม่” 


 


 


เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก มองเขาอย่างพูดไม่ออก เอ่ยเสียงนิ่ง “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าผลลัพธ์ที่ท่านหมายถึงคือผลลัพธ์เช่นนี้ ข้าหลงคิดว่าผลลัพธ์คือ ท่านรับไม่ได้ รู้สึกว่าข้าไม่คู่ควรเป็นภรรยา ไม่ปฏิบัติตนอย่างที่คู่หมั้นสมควรทำ ต้องการถอนหมั้นกับข้าอะไรพวกนั้น…”  


 


 


ใครจะคิดว่าเขาคิดจะนอนกับนาง 


 


 


คิดไม่ถึงว่าเมื่อนางเอ่ยออกมาเช่นนี้ เขายิ่งโมโหแล้ว 


 


 


สายตาร้ายกาจกวาดมองนาง ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มอ่อนโยน มองแล้วชวนให้คนรู้สึกขนหัวลุกอย่างไร้เหตุผล  


 


 


เขาจับจ้องสตรีตรงหน้า ค่อยๆ เอ่ยออกทีละคำว่า  “ดังนั้นฮูหยินหมายความว่า เจ้าคิดว่าเยี่ยนจะถอนหมั้น ถึงไม่คิดรั้งเอาไว้เลยสักน้อย ไม่ใส่ใจเลยสักนิด เจ้าก็ตกลงแล้วใช่ไหม” 


 


 


เยี่ยเม่ยอึ้งไปแล้ว “นี่…” 


 


 


ถึงแม้นางไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่เมื่อมองจากมุมใดมุมหนึ่ง คำพูดของเขาคล้ายจะไม่ผิด เยี่ยเม่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง… 


 


 


นางยกมุมปาก ใช้เสียงนิ่งถามออกอีกประโยคที่แทบทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนโมโหจนกระอักเลือดออกมา “หรือท่านคิดถอนหมั้น แล้วข้าไม่ยินยอม ข้ายังต้องคุกเข่าเพื่ออ้อนวอนรั้งท่านเอาไว้ด้วย”  


 


 


ดังนั้น ต่อให้สุดท้ายเรื่องราวจะอธิบายได้เช่นนี้ 


 


 


คำพูดของนางสมควรไม่มีปัญหาเลยสักน้อย  


 


 


ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเองก็โมโหแล้ว อย่างนั้นพูดความจริงไป ก็ไม่มีวิธีการรั้งเขาไว้ใช่ไหม 


 


 


ดังนั้น นางยังทำอะไรได้อีกเล่า 


 


 


ก็ต้องยอมรับอย่างไรล่ะ แสดงออกว่าจะรับผิดชอบ หากเขาอยากถอนหมั้น นางก็ยินดีรับ นางคงไม่ต้องคุกเข่าขอร้องให้เขาไม่ถอนหมั้นกระมัง 


 


 


นางเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ทั้งยังรักศักดิ์ศรีด้วย 


 


 


ในเสี้ยวเวลานั้น องค์ชายสี่ถูกยั่วโมโหจริงๆ…รู้สึกว่าจนปัญญาสื่อสารกับนางอีก 


 


 


เขาเงียบไปนาน จ้องมองสตรีตรงหน้าที่แสดงสีหน้าว่าทุกอย่างมีเหตุผล ในที่สุดก็ใช้น้ำเสียงสุภาพค่อยๆ ถามออกมาประโยคหนึ่ง “เยี่ยเม่ย เจ้าไม่เคยเข้าใจการคิดในมุมมองของคนอื่นบ้างเลยหรือ” 


 


 


เมื่อประโยคนี้เอ่ยออกมา เยี่ยเม่ยก็นิ่งอึ้งไปแล้ว 


 


 


นางครุ่นคิดชั่วครู่ คิดถึงการกระทำของตนเองหลายปีที่ผ่านมา ถึงยอมรับว่าเรื่องนี้เสียหน้าอยู่บ้าง แต่ความจริง… 


 


 


นางมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ตอบตามตรงว่า “ความจริงแล้ว ข้าก็ทำอะไรตามใจมาตลอด!”  


 


 


  ไม่ว่านางจะทำอะไร ล้วนเริ่มจากมุมมองของตนเอง ปัญหาอื่นๆ ก็ล้วนใคร่ครวญจากมุมมองของนาง ไม่เคยมองจากมุมของผู้อื่นมาก่อน   

 

 


ตอนที่ 252 เม่ยเกอแสดงออกว่า ข้าสำนึก...

 

 


 


 


แต่ไหนแต่ไรมาเยี่ยเม่ยไม่เคยใส่ใจสิ่งเหล่านี้เลย 


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมนางถึงทำให้เขาโมโหแทบตาย แต่กลับไม่รู้สึกผิดกับการกระทำหรือพูดคำเลยสักน้อย 


 


 


แต่ว่า… 


 


 


แต่เยี่ยเม่ยก็ตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว “อืม บางครั้งก็มีคิดในมุมมองของคนอื่นบ้าง เพียงแต่ว่าเวลานี้ ข้ายอมรับว่าคิดไม่มากจริงๆ!” 


 


 


ไม่มากจริงๆ ในชีวิตนี้มีไม่กี่ครั้งเท่านั้น เยี่ยเม่ยสามารถนับออกมาได้เลย 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ 


 


 


เยี่ยเม่ยยามนี้ก็รู้สึกว่าปวดขมับ หากพูดจากหัวใจอันดีงามแล้ว อุปนิสัยและมุมมองความคิดของตัวเองก็มีคนรับได้น้อยจริงๆ  


 


 


แต่ว่านางก็หาได้จงใจ… 


 


 


ในฐานะที่เป็นนักฆ่าหาเงินโดยการเอาชีวิตเข้าแลก ชีวิตตลอดสี่ปีของนางล้วนฝึกฝนกลวิธีการสังหารคน คำนวณราคาค่าหัวคนที่จะถูกสังหาร และการคร่าชีวิต  


 


 


การดำเนินชีวิตเช่นนี้จะเอาเวลาที่ไหนไปใคร่ครวญปัญหามากมาย… 


 


 


คนที่อยู่ร่วมกับกลุ่มนักฆ่ามาหลายปี ใช้ชีวิตร่วมกับสหายสนิทที่ความรู้สึกช้าทั้งกลุ่ม นางจะเป็นหงส์ในฝูงไก่[1] เข้าใจความรู้สึกคนได้อย่างไรเล่า อ้อ จริงสิ เรื่องความรู้สึกลูกพี่ดูเหมือนจะโดดเด่นอยู่เหนือพวกนางอยู่บ้าง 


 


 


ในขณะที่นางครุ่นคิดอยู่หลายตลบ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันยื่นมือออกมา ในชั่วขณะนั้นเอง เยี่ยเม่ยคิดว่าเขาคงโมโหนางเจียนคลั่งแล้ว คิดจะทำร้ายนาง หญิงสาวยังหลบเขาตามสัญชาตญาณ 


 


 


จากนั้น 


 


 


ในเสี้ยวเวลาที่นางหลบ เขาคว้ามือนางได้อย่างแม่นยำ นางไม่อาจหลบได้อีก 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถอนหายใจเบาๆ จับมือนางไว้ ความอบอุ่นจากนิ้วมือส่งผ่านให้แก่กัน ทำให้หัวใจแข็งกระด้างของเยี่ยเม่ย ค่อยๆ รับรู้ถึงความอุ่นร้อนกระแสหนึ่ง ในเวลานั้นหัวใจก็สั่นไหวอยู่บ้าง มองใบหน้าของบุรุษเบื้องหน้า 


 


 


นางเรียกเขาเบาๆ เสียงอ่อนลงไปหลายส่วน “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน…” 


 


 


นัยน์ตาของเขากลอกมองนาง ใบหน้าหล่อร้ายกลับลดโทสะลง อ่อนโยนเพิ่มขึ้นหลายส่วน 


 


 


น้ำเสียงน่าฟัง เอ่ยขึ้นด้วยท่วงทำนองเบาสบายเหมือนเคย “เยี่ยนเข้าใจแล้ว! อุปนิสัยของเจ้าเป็นเช่นนี้ เยี่ยนไม่ร้องขออะไรเจ้า เยี่ยเม่ย เจ้าไม่เข้าใจการคิดแทนผู้อื่น ดังนั้นเจ้าก็ไม่เข้าใจว่าจะรักคนผู้หนึ่งอย่างไร ปกป้องไม่ให้อีกฝ่ายไม่บาดเจ็บได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าไม่เข้าใจ เยี่ยนทนรับมากหน่อยก็ไม่เป็นไร เพียงแต่…” 


 


 


เพียงแต่… 


 


 


เพียงแต่อะไรกัน 


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นท่าทางของเขา ฟังน้ำเสียงจริงใจของเขา ในเวลานี้รู้สึกผิดขึ้นมาบ้าง 


 


 


เขาไม่โทษนาง ทั้งไม่ขอร้องนาง กลับบอกแสดงออกว่าเข้าใจ 


 


 


มือเขาห่อหุ้มเรียวนิ้วยาวของนาง เอ่ยด้วยเสียงอ่อนต่อไปว่า “เพียงแต่เยี่ยนหวังว่าอย่างน้อย เจ้าอย่าได้ไปเกี่ยวพันกับเรื่องพรรค์นี้อีกแล้ว โดยเฉพาะต้องรักษาระยะห่างกับบุรุษไว้ ได้หรือไม่” 


 


 


 “ข้า…” เยี่ยเม่ยเห็นท่าทางของเขา ในคราแรกนางก็เอ่ยคำปฏิเสธไม่ออก 


 


 


ในความทรงจำของนาง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสูงส่งอยู่เบื้องบน สูงศักดิ์สง่างาม ชอบกลั่นแกล้งคน นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นเขาเป็นเช่นนี้ แทบจะใช้น้ำเสียงเชิงปรึกษาระคนขอร้อง 


 


 


นี่ทำให้ในใจเยี่ยเม่ยรู้สึกผิด… 


 


 


เมื่อเห็นว่านางเอ่ยคำว่า ‘ข้า’ แล้วไม่เอ่ยต่ออีก 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังหลงคิดว่านางไม่ยินยอม เขาก็ไม่รีบร้อนโกรธเคือง อย่างไรเสียวันนี้ได้รู้จักเนื้อแท้ของนางแล้ว 


 


 


เขาจ้องมองตานาง เอ่ยช้าๆ ว่า “เยี่ยเม่ย เจ้าเคยคิดหรือไม่ หากมีวันใดวันหนึ่ง เจ้าเห็นข้าเอาผ้าคลุมห่มบนร่างสตรีอื่น เจ้าจะรู้สึกอย่างไร” 


 


 


 “นี่…” ภายใต้คำพูดชักนำของเขา นางเงียบลงครุ่นคิด คิดถึงสถานการณ์เช่นนั้น นางแทบจะเอาของหมั้นส่งคืนเขา ให้เขามอบให้กับแม่นางผู้นั้นไปซะ ในชั่วขณะนี้เอง นางพลันเข้าใจความคิดของเขา ยามเห็นนางคลุมเสื้อคลุมของเป่ยเฉินอี้  


 


 


นางเพียงใคร่ครวญว่าตัวเองหนาวเกินไป เพียงใคร่ครวญจากมุมมองของตัวเองเท่านั้น ไม่เคยใคร่ครวญเลยว่าหลังจาก เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพบเห็นแล้ว ในใจจะมีความรู้สึกแบบไหน 


 


 


ฝ่ายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในเวลานี้ก็เสริมขึ้น “เยี่ยนรู้ว่าเจ้าคลุมผ้าคลุมของเขาเพราะเจ้าหนาว อย่างนั้นต่อให้เจ้าใช้มัน อย่างน้อยตอนที่เจ้าปรากฏกายต่อหน้าเยี่ยน ก็นำของคืนเขาไปก่อนไม่ได้หรืออย่างไร” 


 


 


ยามเขาเอ่ยคำพูดนี้ ก็ถือเป็นการถอยให้แล้ว 


 


 


เท่ากับเป็นการบอกว่า หากเจ้าต้องมีการสนิทสนมกับบุรุษอื่นทำให้ข้าไม่พอใจได้ ข้าก็ให้อภัยเจ้าได้ แต่ว่าอย่างน้อยเจ้าอย่าทำให้ข้าเห็นได้หรือเปล่า 


 


 


 “ได้!” เยี่ยเม่ยก้มหน้า ตอบรับ 


 


 


ถัดมา 


 


 


น้ำเสียงน่าฟังของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ค่อยๆ เอ่ยอีกว่า “หากวันนี้เยี่ยนออกจากเรือนไป ไม่ทันระวังรับผ้าแพรเลือกคู่ของแม่นางคนหนึ่งได้ ทั้งยังไม่รู้ว่านั่นคือผ้าแพรที่ใช้เลือกคู่ หลังจากรู้แล้วยังนำมันกลับมา เจ้ามาเอาเรื่องกับเยี่ยน แล้วเยี่ยนตอบกลับไปว่าของก็เก็บกลับมาแล้ว หากเจ้าไม่พอใจ เจ้าถอนหมั้นกับข้าก็ได้ เยี่ยเม่ย หากเป็นเช่นนี้ เจ้าโมโหหรือไม่” 


 


 


 “ข้า…” ยามนี้เยี่ยเม่ยหน้าแดงก่ำ 


 


 


หวนคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ ยามนี้นางเริ่มสงสัยในสติปัญญาของตนแล้ว 


 


 


จากนั้นในเวลานี้เอง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอธิบายต่อ “อีกทั้งยามนี้เจ้าโมโหเป็นอย่างมาก เยี่ยนกลับบอกว่าเรื่องราวก็อธิบายให้เจ้าฟังแล้ว เจ้ายังจงใจหาเรื่องไม่เลิกรา ไม่มีเหตุผลอีก อย่างนั้น…เจ้ายังจะดีใจหรือไม่” 


 


 


เขาวิเคราะห์เรื่องนี้จากอีกมุมมองหนึ่ง 


 


 


ยามนี้เยี่ยเม่ยรู้สึกว่า การแสดงออกของตนในวันนี้ นับได้ว่าโง่เขลาเบาปัญญาเหลือเกิน นางยังรู้สึกแปลกประหลาด รู้สึกว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนใจแคบ สงสัยว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีปัญหาหรือไม่ เอะอะก็โมโหจนแทบคลั่ง  


 


 


ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว ปัญหาอยู่ที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่ไหนกัน เห็นชัดๆ ว่าคือนาง… 


 


 


สมองนางพังไปแล้วหรืออย่างไร 


 


 


ทำไมถึงไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อนเลย กระทั่งยังงุนงงว่าทำไมเขาเอาแต่ทำตัวระเบิดอารมณ์ เอะอะก็โมโห 


 


 


เยี่ยเม่ยเงียบอยู่เนิ่นนาน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ใบหน้าแสดงออกถึงความขอโทษอย่างจริงจัง นางก้มหน้าเอ่ยว่า “ข้าสำนึกผิดแล้ว…” 


 


 


นางเข้าใจแล้ว 


 


 


หากนางยังเข้าใจไม่กระจ่างอีก อย่างนั้นเกรงว่านางคงกลายเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา 


 


 


เห็นนางเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมาได้ ยามนี้เขาระบายลมหายใจ เขาเชื่อว่าสตรีที่ฉลาดอย่างนาง หลังจากคำพูดในวันนี้ สิ่งที่นางสมควรเข้าใจก็คงเข้าใจหมดสิ้น ไม่ต้องให้เขาทนรับความเสียใจอย่างนี้อีก 


 


 


เยี่ยเม่ยเงยหน้ามองเขาอย่างระวัง น้ำเสียงนิ่งเหมือนเคย ทว่าเพราะอย่างไรนางก็ยังรู้สึกผิดในใจ ดังนั้นน้ำเสียงจึงไม่แข็งมากนัก “แต่ว่า…จิ่วหุน…จิ่วหุน…ข้าเห็นเขาเป็นน้องชายจริงๆ ท่านอย่าได้เอาเรื่องเอาราวกับเขาอยู่เรื่อยได้หรือเปล่า ข้าเข้าใจว่าหากข้างกายท่านมีน้องสาวผู้หนึ่งเช่นนี้ ข้าก็อาจจะดีใจไม่ได้ แต่เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล้ว…”  


 


 


 “ได้!” 


 


 


เขากลับตรงไปตรงมานัก กระชับมือของนางแน่น นัยน์ตาร้ายกาจจับจ้องนาง ค่อยๆ เอ่ยออกมาทีละคำ “ในเมื่อเจ้ายืนยันเช่นนี้ เข้าใจว่าเขาคือน้องชายของเจ้า อย่างนั้นเยี่ยนจะละเว้นเขาชั่วคราว เจ้าเด็กนี่อารมณ์ไม่ได้ดีไปกว่าเยี่ยนนัก เห็นแก่หน้าเจ้า เยี่ยนจะพยายามไม่ปะทะกับเขา!”  


 


 


เมื่อเอ่ยถึงขั้นนี้แล้ว หากยังไม่รับน้ำใจเขาอีก เช่นนั้นเยี่ยเม่ยก็โง่เต็มทีแล้ว! 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] หมายถึง คนที่มีความสามารถหรือรูปลักษณ์เหนือหรือแตกต่างกว่าคนในกลุ่มเดียวกันอย่างชัดเจน  

 

 


ตอนที่ 253 เป่ยเฉินเสียเยี่ยน หากวันห...

 

เยี่ยเม่ยจ้องมองบุรุษเบื้องหน้า เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ขอบคุณท่านมาก!”


 


 


เมื่อเอ่ยจบ


 


 


สายตาของเขากลับเปลี่ยนไปฉายแววแปลกใจออกมาอย่างชัดเจน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยื่นมือออกมารั้งนางเข้าสู่อ้อมกอด เยี่ยเม่ยเงยหน้ามองเขาอย่างตะลึงงัน ชายหนุ่มพลันก้มหน้าลงมา ปิดปากนางอย่างรุนแรง


 


 


จูบนี้ทั้งเร่าร้อนและอ้อยอิ่ง


 


 


แค่จูบเดียวก็ช่างเถิด เขายังเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าฟังว่า “เยี่ยเม่ย ภายหน้า…เยี่ยนไม่ยินยอมฟังเจ้าขอบคุณข้าเพื่อชายอื่นอีกแล้ว!”


 


 


อากาศในปากนางจวนจะถูกแย่งชิงไปจนหมดสิ้น


 


 


ในเวลานี้นางจับสาบเสื้อบริเวณหน้าอกเขา ค่อยๆ สูดลมหายใจ ขณะที่สมองมึนงง ได้ฟังคำตักเตือนของเขา ก็เข้าใจทันทีดูท่านางคงจะสมองเพี้ยนไปอีกแล้ว


 


 


ยามนี้นางนั่งดีๆ แล้ว


 


 


อารมณ์บนใบหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม มองบุรุษตรงหน้า เอ่ยปากว่า “ความจริงท่านพูดถูก ข้าไม่เคยใคร่ครวญเพื่อผู้อื่นเลยสักน้อย ต่อให้ยามนี้ท่านเอ่ยวาจาเหล่านี้ ยังเป็นการยากที่ข้าจะไม่เอ่ยคำพูดที่ทำให้ท่านไม่พอใจ แต่ว่า…”


 


 


ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้


 


 


ใบหน้านางพลันปรากฏความหนักแน่น จ้องมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “แต่ว่าเพื่อน้ำใจของท่าน ข้าจะค่อยๆ ลองเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนตัวเองเพื่อท่านเพียงคนเดียว แสดงออกกับท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น!”


 


 


นางยังคงกระทำเรื่องราวตามใจตน ยังคงเห็นตัวเองเป็นศูนย์กลาง ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี


 


 


เพียงแต่เพื่อคำพูดของเขาในวันนี้ เพื่อน้ำใจที่เขามีให้นาง


 


 


นางยินยอมเปลี่ยนแปลงเพื่อเขา แต่ก็จำกัดแค่เขา ทำเพื่อเขาเท่านั้น นางคิดว่านี่เป็นการตอบแทนน้ำใจของเขาได้ดีที่สุด


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยตอบรับกลับมาเช่นนี้ ในดวงตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรากฏแววยินดี


 


 


ส่วนเยี่ยเม่ยก็เริ่มทบทวนตัวเอง “ความจริงคำพูดเมื่อครู่ของท่านก็ไม่ผิด เรื่องราวเช่นเดียวกันหากเกิดขึ้นกับข้า เกรงว่าข้าคงโกรธจนไม่คิดติดต่อกับท่านไปตั้งนานแล้ว แต่ว่าข้ากลับไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกท่านเลย ภายหน้าข้าจะระวัง!”


 


 


ภายหน้านางจะพยายามใคร่ครวญจากมุมมองของเขาดูบ้าง


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยก็ถูกเขากระชับอ้อมกอดแน่น เขาออกกำลังแขนอย่างรุนแรง ทำให้นางสงสัยว่า อีกประเดี๋ยวตัวนางจะถูกรัดจนขาดออกหรือไม่ ทว่าการพักพิงในอ้อมกอดของเขายามนี้ กลับรู้สึกถึงความอบอุ่นเป็นพิเศษ


 


 


น้ำเสียงเจือรอยยิ้มของเขาดังเหนือหัวนาง “ต่อให้ภายหน้าเจ้ายังเป็นเหมือนเดิม ไม่ยินยอมคิดเพื่อเยี่ยน แต่คำพูดของเจ้าในวันนี้ เยี่ยนก็พอใจในชีวิตนี้มากแล้ว!”


 


 


ยามนี้เยี่ยเม่ยนิ่งอึ้ง


 


 


ที่แท้สิ่งที่เขาต้องการง่ายดายถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นคำสัญญาจอมปลอมไม่รู้ว่าจะทำได้จริงหรือไม่ ต่อให้เป็นคำพูดโกหกหลอกลวงเพื่อเอาใจเขา ก็สามารถเติมความพอใจของเขาได้


 


 


นางลังเลไปชั่วครู่ ในที่สุดก็ยื่นมือออกไปกอดเอวเขาไว้


 


 


อากัปกิริยาของนางยิ่งทำให้เขาดีใจ


 


 


คนทั้งสองพิงซึ่งกันละกัน กลับลืมเรื่องประจำเดือนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์กระอักระอ่วนเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น เพียงเยี่ยเม่ยในเวลานี้พลันรู้สึกไม่สงบ เป็นความไม่สงบเพราะความทรงจำที่ตนเองจดจำขึ้นมาได้


 


 


ราชสำนักจงเจิ้งถูกทำลาย…


 


 


เช่นนั้น ใครเป็นคนทำกันแน่


 


 


หากนางเป็นอาซีผู้นั้นจริงๆ นางต้องแบกรับหนี้แค้นความตายของพ่อแม่ ความแค้นนี้เกี่ยวพันกับใครบ้าง คลับคล้ายกับว่านางเคยได้ยินอวี้เหว่ยเคยพูดกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เรื่องที่พวกกากเดนที่หนีรอดของราชสำนักจงเจิ้งใส่ร้ายเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


เวลานั้น อวี้เหว่ยใช้คำว่า ‘กากเดน’ ดังนั้น หรือว่าราชสำนักจงเจิ้งถูกฝังใต้เงื้อมมือของเป่ยเฉินกัน


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ เยี่ยเม่ยพลันตกตะลึงพรึงเพริด


 


 


ภาพเหตุการณ์ที่เสด็จพ่อเสด็จแม่ตายฉายซ้ำในสมองนางไม่หยุด ทำให้นางรู้สึกว่า นางที่ซุกอยู่ในอ้อมอกเขาเหมือนถูกงูรัดขาไปจนถึงหัวใจ มันกัดลงไปที่หัวใจนางอย่างแรง ทำให้หัวใจโชกเลือดอันแสนเจ็บปวด ยิ่งทวีความเจ็บปวดชัดเจนขึ้น


 


 


นางทนไม่ไหวเพิ่มแรงกอดเขา


 


 


นางหลับตาอยู่ในอ้อมกอดเขา กลับรู้สึกถึงความแสบร้อนที่จมูก ในเวลานี้เองเยี่ยเม่ยค่อยเข้าใจว่าแท้จริงแล้วนางรักเขา ไม่ใช่แค่ชอบ ไม่ใช่แค่ชอบเท่านั้น


 


 


หัวใจนางกำลังหวาดกลัว กลัวว่าเขาจะเป็นศัตรูของตน กลัวว่าพ่อแม่ของนางจะตายภายใต้เงื้อมมือของญาติเขา


 


 


หากเป็นเช่นนั้นจริง


 


 


ความรักของพวกนางยังจะดำเนินไปได้ถึงขั้นไหนกันนะ


 


 


ต่อให้พรุ่งนี้จะต้องสูญเสียไป ต่อให้เพราะความแค้น วันพรุ่งนี้นางอาจไม่อยากพบคนของเป่ยเฉินทุกคนรวมถึงเขาด้วย! แต่วันนี้เวลานี้นางยังอยากคว้าเอาความอบอุ่นนี้เอาไว้


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคล้ายกับสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของนาง


 


 


เขาก้มหน้าลงมองเยี่ยเม่ยด้วยความแปลกใจ ถามเสียงอ่อนว่า “เป็นอะไรไป”


 


 


เสียงนี้เบามากราวกับกลัวทำให้นางตกใจ


 


 


 “ไม่ ไม่มีอะไร!” เยี่ยเม่ยซุกตัวในอกเขา สองมือกุมสาบเสื้อเอาไว้แน่น ก้มหน้าลงส่ายหัวไปมาเบาๆ


 


 


นางโพล่งถามออกมาว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน หากมีวันหนึ่งข้าคิดสังหารท่าน ท่านจะทำอย่างไร”


 


 


ยามนางถามออกมา บรรยากาศคล้ายกับนิ่งลง นางรู้สึกว่าหัวใจคล้ายถูกอะไรบางอย่างกัด เจ็บจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังคำถามก็อึ้งไปเช่นกัน ไม่เข้าใจว่าไฉนนางถึงมีคำถามเช่นนี้ เขากลับคลี่ยิ้มออก จับมือนางทาบที่อกเขา เอ่ยเบาๆ ว่า “หากเจ้าจะสังหารข้า ต้องแทงทะลุผ่านหัวใจมาเลย เช่นนั้นต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะจดจำเจ้าเอาไว้ไม่ลืมเลือนไปชั่วนิรันดร์!”


 


 


ไม่ลืมเลือนไปชั่วนิรันดร์


 


 


หางตานางพลันมีหยาดน้ำตาทะลักออกมา ทว่าไม่อยากให้เขาเห็นจึงซุกเข้าไปในอกเขา ปิดบังสีหน้าของตนในยามนี้ ทั้งปิดบังอารมณ์ทั้งหมดของนาง


 


 


แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยเชื่อสวรรค์ นางยังเชื่ออยู่เสมอว่าคนเรามีชีวิตอยู่ต้องพึ่งพาตัวเอง


 


 


แต่ในขณะนี้ นางอยากอ้อนวอนสวรรค์ อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย…อย่าทำให้เขากลายเป็นศัตรูของนาง หากสวรรค์ได้ยินคำขอจากคนจริงๆ นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสวรรค์จะเมตตานางสักครั้ง


 


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของนาง


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแปลกใจ ก้มหน้ามองนาง ถามว่า “เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว เยี่ยเม่ย วันนี้เจ้าไม่ปกติเอาเสียเลย!”


 


 


เยี่ยเม่ยกลับแค่นเสียงหึเบาๆ คล้ายไม่พอใจในตัวเขา น้ำเสียงไม่พอใจเอ่ยว่า “วันนี้ถูกท่านสั่งสอนว่าข้าไม่รู้จักคิดเพื่อคนอื่น ข้าต้องไม่เป็นปกติอยู่แล้ว! ข้ายังทบทวนตัวเองอยู่ตั้งนาน ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน เรื่องนี้พวกเรารับรู้กันแค่สองคนก็พอแล้ว ท่านห้ามพูดออกไปแม้แต่คำเดียวเชียว!”


 


 


เมื่อนางเอ่ยออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับคลี่ยิ้ม น้อยครั้งที่จะได้เห็นท่าทางแบบนี้ของนาง


 


 


เขารับปาก “ได้!”


 


 


จากนั้นเขานิ่งไปเล็กน้อย ค่อยๆ ถามนางประโยคหนึ่งว่า “เป่ยเฉินอี้หาตัวเจ้าไปทำอะไร”


 


 


เยี่ยเม่ยพลันแข็งทื่อ


 


 


นางหัวเราะฮ่าๆ เพื่อกลบเกลื่อน “ไม่มีเรื่องอะไร ข้ารู้ว่าข้าหน้าตาเหมือนสหายเก่าของเขาผู้หนึ่ง ดังนั้นจึงพิสูจน์ว่าข้าคือคนผู้นั้นหรือไม่ ผลการพิสูจน์จะใช่หรือไม่ แต่พวกเราก็กลับมาแล้ว!”


 


 


ก่อนจะเข้าใจเรื่องชัดเจน นางไม่อยากให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้เรื่องนี้


 


 


นางเอ่ยเช่นนี้ เขากลับไม่ระแวงสงสัย อย่างไรเสีย เป่ยเฉินอี้สนใจนางก็มีเหตุผล ในเวลานี้ จู่ๆ อวี้เหว่ยก็วิ่งเข้ามา 

 

 


ตอนที่ 254 เสินเซ่อเทียนจอมตะกละ!

 

อวี้เหว่ยได้ยินว่าผ้าห่มและของอื่นๆ ในห้องเตี้ยนเซี่ยถูกเปลี่ยนจนหมดสิ้น ซ้ำยังมีรอยเลือดอีกด้วย เขาจำไม่ได้ว่าพวกเตี้ยนเซี่ยบาดเจ็บ ดังนั้นจึงไม่เข้าใจสถานการณ์


 


 


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มีข่าวอะไรก็สมควรรีบเข้าไปรายงาน


 


 


หลังจากเข้ามา เขารีบเอ่ยว่า “เตี้ยนเซี่ย แม่นางเยี่ยเม่ย ไม่ดีแล้ว! เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่แห่งต้ามั่วนำทัพบุกโจมตีเมือง!”


 


 


เมื่อเขารายงาน เยี่ยเม่ยพลันตะลึงไปเล็กน้อย


 


 


ในใจรับรู้ว่ามีปัญหา หากคิดจะจู่โจมเมือง สมควรเริ่มไปตั้งนานแล้ว ไฉนถึงรอให้นางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับมาก่อนแล้ว


 


 


นี่ไม่เท่ากับเพื่อความยากลำบากในการโจมตีเมืองของพวกเขาหรอกหรือ


 


 


เยี่ยเม่ยถามอวี้เหว่ย “เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่คือใคร”


 


 


 “เขาคือแม่ทัพที่ราชาต้ามั่วเชื่อถือที่สุด มีบุญคุณช่วยชีวิตราชาต้ามั่ว ตอนนี้ในราชสำนักต้ามั่วเขาคานอำนาจกับจิวมั่วเหอ สองคนนี้เคยมีโอกาสได้รับตำแหน่งราชามากที่สุด แต่เพราะเหตุผลต่างๆ นานา จึงไม่มีวาสนา!” อวี้เหว่ยตอบอย่างรวดเร็ว


 


 


เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วสูง พยักหน้า “ข้ารู้แล้ว เตรียมทัพ รับศึก!”


 


 


เพราะเรื่องราชสำนักจงเจิ้ง ทำให้นางอารมณ์ไม่ดี ลงมือสู้ศึกสักยกหนึ่งก็ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม


 


 


 “ขอรับ!” อวี้เหว่ยรับคำ ล่าถอยออกไปทันที


 


 


เยี่ยเม่ยผละลุกขึ้นจากอ้อมกอดเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ในใจกลับเกิดความผิดหวัง ยากนักที่พวกนางจะมีช่วงเวลาอบอุ่นเช่นนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกการศึกขัดเสียได้


 


 


นางหันหน้ากลับไปมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคราหนึ่ง ถามเสียงนิ่งว่า “ท่านจะออกไปรับศึกกับข้า หรือว่ารอข้าอยู่ที่นี่”


 


 


เมื่อถามออกไป


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนลุกขึ้น เดินตามนางออกมาด้านนอก น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ กล่าวว่า “ถึงเยี่ยนไม่ยินดีใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเท่าขนไก่เช่นนี้ แต่ในเมื่อฮูหยินออกไปรับศึก เยี่ยนยังคงติดตามไปดีกว่า เมื่อเยี่ยนไม่ติดตามไปนานๆ เข้า กันไม่ให้ฮูหยินค่อยๆ รู้สึกว่าเยี่ยนหมดเสน่ห์ดึงดูด!”


 


 


สตรีหลงรักบุรุษผู้เข้มแข็งได้ง่าย เพื่อมาเติมเต็มวีรบุรุษในใจของพวกนาง เยี่ยเม่ยหาใช่สตรีทั่วไป แต่ว่าจะมากจะน้อยก็ต้องมีอยู่ในใจบ้าง


 


 


หากเขาไม่แสดงออกบ้าง เอาแต่หมกตัวอาบแดดอยู่ในเมือง ภาพลักษณ์ของเขาในใจนางคงไม่หลงเหลือความเป็นวีรบุรุษแล้ว


 


 


แม้ว่าเยี่ยเม่ยจะรู้สึกจนคำพูดต่อวาจาจำพวกนี้ของเขา แต่เมื่อใคร่ครวญดูอย่างละเอียด ก็ไม่มีปัญหาใดๆ


 


 


คนทั้งสองออกไปพร้อมกัน…


 


 


……


 


 


ตำหนักหลิงซาน


 


 


เงาร่างสวมชุดขาวปลอดหิมะยืนอยู่บนยอดเขา เขายังคงยืนอยู่จุดสูงสุดของโลกอยู่เสมอ หากคิดตามหาเขา ไปตามที่สูงๆ ก็นับว่าถูกต้องแล้ว


 


 


เบื้องหน้าเขาคือบ่อน้ำ


 


 


อากาศหนาวเหน็บทำร้ายคน


 


 


ในมือเขาถือเบ็ดไม้ไผ่ กำลังตกปลาอยู่


 


 


หากเป็นคนธรรมดา ในช่วงเวลาที่เหน็บหนาวจนเป็นน้ำแข็ง ยืนอยู่บนที่สูงขนาดนี้เกรงว่าคงแข็งจนเกือบตาย ใบหน้าซีดเซียวไร้สีสัน


 


 


ทว่าคนผู้นี้ต่างออกไป เกล็ดหิมะโปรยปรายลงจากฟ้า กลับไม่ติดบนกายเขาสักน้อย เงาหลังขาวโพลนของเขา มีรัศมีเทพปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ทำให้ผู้ได้พบเห็นรู้สึกเหมือนพบเทพเทวดา


 


 


ในเวลานี้


 


 


จิตสังหารแผ่พุ่งไปทั่วเขาหลิงซาน


 


 


ทว่าเงาร่างขาวราวหิมะไม่ขยับเขยื้อนเลยสักน้อย ยืนรอเงาร่างของคนทั้งหมด


 


 


หลังจากผ่านไปสักพัก


 


 


ยอดฝีมือยุทธภพท่าทางดุร้ายจำนวนไม่น้อยปรากฏกายอยู่ด้านหลังไม่ไกลจากคนผู้นั้น ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มเอ่ยปากว่า “เสินเซ่อเทียน วันนี้พวกข้าจะต้องทำลายตำนานไม่แพ้ของเจ้าให้จงได้!”


 


 


 “ถอยไป พวกเจ้าส่งเสียงดังปลาข้าตกใจหมดแล้ว!” น้ำเสียงของเขาไม่รุนแรงนัก ทว่าแฝงด้วยความคุกคามไม่อาจล่วงเกิน


 


 


ภายในบ่อน้ำเลี้ยงปลาตามฤดูกาลเอาไว้


 


 


คุณภาพเนื้อสดใหม่อย่างที่สุด


 


 


ใครจะรู้ว่า เสินเซ่อเทียนผู้ยืนอยู่จุดสูงสุดของยอดฝีมือในยุทธภพ ยังเป็นจอมตะกละผู้หนึ่ง ชอบกินปลารสชาติสดใหม่ ชอบดื่มสุราร้อนแรงหอมกรุ่นที่สุดในใต้หล้า ชอบกินไก่ย่างหนังกรุบกรอบของเหลียงเจียง ตกหลุมรักหน่อไม้รสเลิศของซานโจว


 


 


สรุปแล้วของอร่อยในโลกนี้ เขาล้วนชมชอบกิน


 


 


มีสูตรลับที่ไม่เผยแพร่ออกนอกตระกูลบางอย่าง ต่อให้เขาต้องทำลายล้างตระกูลผู้อื่นก็ต้องกินให้ได้ เพราะมีนิสัยแข็งกร้าวและดื้อดึงเช่นนี้


 


 


ในขณะที่เขากำลังตกปลา เสียงดังทำให้ปลาตกใจหนีไปหมด สำหรับคนพวกนี้หาใช่การตัดสินใจที่ชาญฉลาดเลย เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะยั่วยุโทสะของเสินเซ่อเทียน


 


 


ผู้มามองหน้ากันไปมา ในเวลานี้เริ่มลังเล


 


 


พวกเขารู้ว่าเสินเซ่อเทียนชอบออกมาตกปลาบนยอดเขาโดยลำพัง อีกทั้งนิสัยของเสินเซ่อเทียนค่อนข้างเย่อหยิ่ง ตีนเขาหลิงซานไม่มีทหารรักษาการณ์ พวกเขาถึงบุกเข้ามาได้โดยง่าย


 


 


เสินเซ่อเทียนอยู่เพียงลำพัง เป็นโอกาสหาได้ยากยิ่ง พวกเขาไม่อยากพลาดไป


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ สายตาคนทั้งหมดก็เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ผู้นำขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เสินเซ่อเทียนตำแหน่งอันดับหนึ่งของใต้หล้า สมควรเปลี่ยนคนได้แล้ว!”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา


 


 


แววตายินดีในคราแรกที่เห็นปลากินเบ็ดของเสินเซ่อเทียน พลันฉายประกายเย็นเยียบ ถัดมาปลาตัวนั้นตกใจเสียงว่ายหนีจากไปดังเขาคาดไว้


 


 


บรรยากาศรอบกายเสินเซ่อเทียนพลันเย็นเยือกลง


 


 


จิตสังหารเข้มข้นกว่าพวกเขาแผ่พุ่ง ในที่สุดเสินเซ่อเทียนก็หันกลับมามองคนทั้งหมด เบ็ดตกปลาในมือถูกทิ้งลงแล้ว


 


 


บุรุษจำนวนไม่น้อยที่เห็นสีหน้าเขาในยามนี้ล้วนลมหายใจสะดุด


 


 


ใบหน้าเย็นชาราวกับก้อนน้ำแข็ง หล่อเหลาทว่าเคร่งขรึม หว่างคิ้วคือความคุกคามไม่อาจล่วงเกินของเทพแห่งโลกหล้า


 


 


คนทั้งหมดอดคิดไม่ได้ว่า


 


 


หากโลกใบนี้มีสามโลกได้แก่ สวรรค์ มนุษย์ และปีศาจ บุคคลเบื้องหน้าพวกเขานี้จะต้องเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งจากสวรรค์ หรือไม่ก็นักสู้ผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกมนุษย์เป็นแน่


 


 


เพราะว่าเสี้ยวเวลาที่อีกฝ่ายเกิดโทสะ คนทั้งหมดสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตของดอกไม้ใบหญ้ารอบด้านกำลังแผ่พุ่งโทสะมาใส่พวกเขา คล้ายกำลังสั่งสอนว่าพวกเขาเสียมารยาทแล้ว


 


 


สายตาของเสินเซ่อเทียนที่มองพวกเขาไร้ความอดทนอดกลั้นใดๆ น้ำเสียงอันศักดิ์สิทธิ์และเคร่งขรึมดังไปทั่วเขา “อนุญาตให้พวกเจ้าบอกชื่อแซ่ก่อนจะตายได้!”


 


 


ผู้มาทั้งหลายมองหน้ากันไปมา


 


 


ในใจอัดแน่นไปด้วยความไม่พอใจ ทว่าแต่ละคนต่างพากันประกาศชื่อออกมา “พวกเราคือสามสิบหกยอดยุทธ์แห่งบู๊ลิ้ม!”


 


 


สามสิบหกยอดยุทธ์แห่งบู๊ลิ้ม สิ่งที่ทำให้คนชื่นชมมากที่สุดคือการประสานฝีมือกัน พวกเขาทั้งสามสิบหกคนสามารถทำได้ถึงขั้นประสานกระบวนท่าไม้ตายของคนทั้งสามสิบหกคนเพื่อทำลายศัตรูได้


 


 


ต่อให้เป็นสิบยอดฝีมืออันดับหนึ่งถึงสิบร่วมมือกัน ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาสามสิบหกคน


 


 


ทว่าโลกนี้มีสุดยอดฝีมือหลายคนที่ไม่อยู่ในการจัดอันดับของยุทธภพ นั่นก็คือ เสินเซ่อเทียน เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เป่ยเฉินอี้ จิ่วหุน จิวมั่วเหอ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ และกูเยว่อู๋เหิน ด้วยเหตุนี้คนทั้งหมดก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของคนเหล่านี้


 


 


 “ลงมือเถอะ!”


 


 


เสินเซ่อเทียนเอ่ยออกมา


 


 


คนทั้งสามสิบหกมองกันไปมา แต่ละคนแยกย้ายใช้กระบวนสุดร้ายกาจของตน ตัดสินใจเดิมพันสักครั้ง ดูว่าจะโจมตีเสินเซ่อเทียนจนสิ้นชีวิตภายในครั้งเดียวได้หรือไม่


 


 


จากนั้น


 


 


ในยามที่พวกเขาต่างพากันใช้กระบวนท่าไม้ตายของตัวเอง


 


 


เสินเซ่อเทียนค่อยๆ ยกมือขึ้น พลังปราณสีขาวรวมตัวกันอยู่ใจกลางฝ่ามือ ก่อเกิดเป็นพายุแข็งแกร่ง ถัดมาก็พุ่งออกไปด้วยความแรง


 


 


เขาพ่นคำพูดออกมา “เทพสงครามบรรพกาล” 

 

 


ตอนที่ 255 พลังที่แท้จริงของเสินเซ่อเ...

 

 “ปัง!” เสียงดังสนั่น


 


 


คนทั้งสามสิบหกคนที่ออกกระบวนท่า ยังไม่ทันแสดงความแข็งแกร่งของตนออกมา ก็ถูกผนึกค้างไว้ที่เดิม ถูกปราณพลังยิ่งใหญ่กระแทก กระเด็นกระดอนล้มสู่พื้นดิน


 


 


อวัยวะภายในถูกทำลาย ทั้งมีบาดแผลทั่วร่าง ทำให้พวกเขานอนกองหมดเรี่ยวแรงอยู่บนพื้น ขยับไม่ได้ เส้นชีพจรสั่นสะท้านไม่อาจทนได้แม้ชั่วครู่…


 


 


คนทั้งหลายต่างไม่อยากเชื่อว่าจะเห็นภาพเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อที่สุดในชีวิตเช่นนี้


 


 


ไฉนถึงได้…


 


 


เป็นไปได้อย่างไร


 


 


ทั้งๆ ที่พวกเขาชิงลงมือก่อนเสินเซ่อเทียนแท้ๆ เหตุใดกระบวนท่าเลื่องชื่อของอีกฝ่ายจู่โจมใส่ร่างกายพวกเขา กระบวนท่าของพวกเขาก็ไม่อาจใช้ออกอีก


 


 


พลังที่แท้จริงของคนผู้นี้


 


 


นอกจากรากฐานกำลังภายในเหนือชั้นกว่าพวกเขาอยู่อักโขแล้ว ความเร็วและความพิสดารของวรยุทธ์ก็ทำให้พวกเขาแปลกใจ เพียงแต่…ชีวิตนี้ของพวกเขาทั้งหมด เกรงว่าจะทิ้งไว้แค่คำชื่นชมนี้แล้วเท่านั้น


 


 


พวกเขาฉุกคิดได้ว่า ไฉนคนผู้นี้ถึงได้รับสมญานามว่า “เทพ”


 


 


เพราะว่าคนทั่วไปต่อสู้กัน บาดเจ็บล้มตายกันไม่กี่คน


 


 


ส่วนต่อสู้กับเสินเซ่อเทียน เกรงว่าต่อให้เป็นกลุ่มยอดฝีมือ ก็มีหนทางเหลืออยู่แค่ทางเดียว…วอดวายทั้งกลุ่ม!


 


 


วันนี้พวกเขาคือกลุ่มคนที่ถูกทำลายวอดวาย


 


 


คนทั้งหมดล้มนอนอยู่บนพื้นลุกไม่ขึ้น จากนั้นก็สิ้นลมหายใจ


 


 


เสินเซ่อเทียนคร้านจะมองพวกเขาสักแวบเดียว หันกลับไปมองปลาในบ่อต่อ ดีเหลือเกิน ภายใต้การจู่โจมเดียว กำลังภายในสั่นสะเทือนยิ่งใหญ่ ทำเอาเหล่าปลาทั้งหมดว่ายหนีคนละทิศทาง ซ้ำยังทำให้อารมณ์เสินเซ่อเทียนเลวร้ายถึงขีดสุด


 


 


ถัดมา


 


 


เสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากทางตีนเขา


 


 


นั่นคือเป่ยเจี้ยนเกอที่ได้ยินเสียงดังสนั่นจากบนเขารีบวิ่งขึ้นมา หลังจากมาถึงแล้วพบซากศพเกลื่อนพื้น รวมถึงใบหน้าเจือโทสะของเสินเซ่อเทียน


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอปรายตามองบ่อน้ำข้างกายจวินซ่างอย่างประหวั่นหวาด ปลาสักตัวก็ไม่มี ต่างหลบหนีไปจนหมดสิ้นแล้ว


 


 


เป่ยเจี้ยนเกออดกลืนน้ำลายเอื๊อกหนึ่งไม่ได้


 


 


จวินซ่างไม่อนุญาตให้พวกเขาติดตามมาตกปลาด้วย ก็เพราะกลัวคนสร้างความสะเทือนเพียงเล็กน้อย ก่อกวนปลาของเขา คราวนี้ก็ดีเลย ปลาสักตัวก็ไม่เหลือ!


 


 


ในขณะที่เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดี


 


 


เส้นเสียงเดือดดาลและเคร่งขรึมของเสินเซ่อเทียน  แต่ยังให้ความศักดิ์สิทธิ์เอาไว้เต็มไปด้วยโกรธขึงถึงขีดสุด “ใครกันที่แพร่ข่าวออกไปว่าข้าคือยอดฝีมืออันดับหนึ่ง ถึงได้ทำให้พวกมดปลวกมารังควานไม่เว้นวัน อารมณ์ดีๆ ของข้าในวันนี้ถูกทำลายจนป่นปี้แล้ว!”


 


 


 “จวินซ่าง เช่นนั้นภายหน้าพวกเราวางกำลังทหารรักษาการณ์ไว้ที่ตีนเขาดีหรือไม่” เป่ยเจี้ยนเกอเสนอ


 


 


หากบอกว่ากูเยว่อู๋เหินเป็นคนเฉื่อยชา จวินซ่างก็เป็นคนเกียจคร้าน


 


 


ถึงแม้จวินซ่างมีนิสัยเย่อหยิ่ง แต่ก็เกลียดเรื่องวุ่นวายเป็นที่สุด ไม่ชอบถูกหาเรื่องเป็นที่สุด แต่จวินซ่างดันมีชื่อเสียงเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง ดึงให้คนคลุ้มคลั่งจำนวนนับไม่ถ้วนคิดเอาชนะจวินซ่าง เพื่อยึดตำแหน่งแทน


 


 


สามวันห้าวันก็พากันมาท้าประลอง ความจริงพวกเขารู้สึกจนปัญญามาก ใครกันแน่ที่ใส่ใจตำแหน่งอันดับหนึ่งของใต้หล้า


 


 


กลับกันจวินซ่างหาได้ใส่ใจเลยสักน้อย


 


 


ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนกลุ่มนี้คิดอะไรอยู่กันแน่


 


 


เมื่อเป่ยเจี้ยนเกอเอ่ยปาก


 


 


เสินเซ่อเทียนชะงักไปครู่หนึ่ง มองบ่อปลาอีกครั้งหนึ่ง เดิมทีสมควรได้กินปลาแล้ว เพราะว่าพวกมดปลวกเหล่านี้ถึงไม่ได้กิน เขาลดความยึดมั่นลง พยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ส่งคนไปเฝ้าเถอะ!”


 


 


ครั้นเอ่ยถึงยามนี้


 


 


สตรีชุดดำนางหนึ่งเดินเข้ามา ในมือถือกล่องใบหนึ่ง นางมีสีหน้าเย็นชา หลังจากเข้ามาถึงแล้วก็คุกเข่าลง “จวินซ่าง ข้าน้อยนำนกพิราบดำฉู่ตี้มาให้ท่านแล้ว”


 


 


คนผู้นี้คือเฉิงเสี่ยวจวน หนึ่งในสององครักษ์ข้างกายเสินเซ่อเทียน


 


 


เห็นเฉิงเสี่ยวจวนนำสิ่งของกลับมา ยามนี้เป่ยเจี้ยนเกอพลันพรูลมหายใจ ดีเหลือเกิน! ยังดีที่มีของสิ่งนี้แล้ว โทสะของจวินซ่างจะได้คลายลงบ้าง


 


 


เวลานี้เฉิงเสี่ยวจวนมองซากศพบนพื้น เข้าใจทันทีว่าพวกกินอิ่มไม่มีอะไรทำมาท้าประลองกับจวินซ่างอีกแล้ว


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอคาดเดาไม่ผิด


 


 


เสินเซ่อเทียนได้ยินคำนี้ อารมณ์ดีขึ้นมามาก


 


 


สั่งการประโยคหนึ่งว่า “สั่งให้ครัวปรุงให้ดี อย่าได้เสียแรงที่เจ้าต้องเหน็ดเหนื่อย!”


 


 


 “รับบัญชา!” เฉิงเสี่ยวจวนไปสั่งการห้องครัวทันที


 


 


นางพบแล้วว่า หลายปีที่ผ่านมานี้หน้าที่ของเป่ยเจี้ยนเกอคือทำงานแทนจวินซ่าง ส่วนหน้าที่ของนางคือยามที่จวินซ่างอ่านพบของอร่อยในหนังสือเล่มใดก็ตาม จะสั่งให้นางไปเสาะหามาทันที อย่างน้อยนางก็เป็นหนึ่งในสององครักษ์คุ้มครอง จวินซ่างสั่งการอย่างนี้เรื่อยๆ ไม่รู้สึกบ้างหรือว่าใช้ความสามารถยิ่งใหญ่ของนางไปกับเรื่องเล็กน้อย


 


 


อ้อ จริงสิ


 


 


จวินซ่างบอกแล้วว่า อาหารเลิศรสคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งในชีวิตของเขา สั่งให้นางไปหาอาหารเลิศรสก็เท่ากับเห็นความสำคัญของนาง


 


 


นางหวังให้จวินซ่างเห็นความสำคัญของนางในด้านอื่นบ้าง ตัวอย่างเช่นแลกเปลี่ยนหน้าที่กับเป่ยเจี้ยนเกออะไรพวกนั้น ยามนี้ก็ดีเลย คนในใต้หล้าต่างรู้ว่าข้างกายจวินซ่างมีเป่ยเจี้ยนเกอ แต่ไม่มีใครรู้ว่านางเฉิงเสี่ยวจวนคือใคร…


 


 


เพราะนางออกไปปฏิบัติภารกิจอยู่ภายนอกเป็นเวลานาน เสาะแสวงหาอาหารรสเลิศไปทั่ว มีคนรู้จักชื่อนางก็แปลกแล้ว! ต่อให้มีชื่อเสียงขึ้นมาสักวันหนึ่ง เกรงว่าก็เป็นแค่นางมารที่ไม่มีที่มาที่ไปรู้จักแต่กินเท่านั้นเอง ของอร่อยอะไรก็เอาไปจนหมด หากไม่ให้ก็แย่งชิง…


 


 


มารดามันเถอะ แต่ของกินเหล่านี้ นางไม่กล้าแตะต้องเลยด้วยซ้ำ ล้วนส่งมอบให้จวินซ่างจนหมดสิ้น ไม่ได้กินอะไรเลยสักนิดเดียวเข้าใจไหม


 


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางหันหลังไปมองร่างเหยียดตรงกำยำของเสินเซ่อเทียน


 


 


นางก็กลัดกลุ้ม…


 


 


ทุกวันจวินซ่างกินของอร่อยต่างๆ นานา ไม่เพียงแต่ไม่อ้วน ไฉนหุ่นยังดีถึงเพียงนี้ น่าอิจฉานักเชียว…


 


 


นางออกจากยอดเขามุ่งตรงไปที่ครัว


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอมองซากศพเกลื่อนพื้น เสนอว่า “จวินซ่าง ข้าน้อยจะให้คนมาเก็บกวาด ท่านยังจะตกปลาต่อไป หรือว่า…”


 


 


 “หมดอารมณ์แล้ว!”


 


 


สิ้นเสียงเสินเซ่อเทียนก็เดินลงจากยอดเขาไปยังตำหนัก


 


 


ในเวลานี้ ขันทีผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน หยุดลงที่เบื้องหน้าเสินเซ่อเทียน คุกเข่าลงรายงาน “จวินซ่าง ฝ่าบาททรงมีเรื่องด่วน ขอเชิญท่านไปปรึกษาหารือโดยด่วน!”


 


 


 “ไฉนต้องเป็นวันนี้ด้วย” เสินเซ่อเทียนถาม


 


 


 “หา?” ขันทีชะงักงัน กล่าวทันที “เพราะฝ่าบาทเพิ่งได้รับข่าวจากชายแดน เรื่องราวค่อนข้างสลับซับซ้อน ต่างจากเรื่องทั่วไปมาก อีกอย่างยังรีบร้อน ฝ่าบาททรงกังวลว่าจะเกิดเรื่อง ถึงได้เชิญให้ท่านไปโดยเร็ว…”


 


 


เสินเซ่อเทียนขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่ดี เขาเอ่ยปาก “พรุ่งนี้ไม่ได้หรืออย่างไร หรือไม่ก็เป็นคืนนี้ ข้ายังพอทนได้ !”


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอได้แต่แอบกุมขมับ


 


 


รู้อยู่แก่ใจว่า จวินซ่างพะวงถึงนกพิราบดำ ตำรากล่าวไว้ว่านกชนิดนี้ต่างจากพิราบทั่วไป ต้องแช่น้ำแข็งสองชั่วยาม จากนั้นใช้ไฟอ่อนตุ๋นเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม จากนั้นค่อยแช่ในน้ำบริสุทธิ์อีกหนึ่งชั่วยาม สุดท้ายค่อยต้ม


 


 


อีกทั้งหลังจากปรุงเสร็จแล้วต้องรออีกหนึ่งชั่วยาม ถึงจะได้รสชาติอร่อยอีกด้วย


 


 


หากจวินซ่างไปวังหลวงยามนี้ จะกลับมาทันเวลากินหรือไม่ก็ยากจะบอกได้ ไม่ว่าฝ่าบาทมีเรื่องอันใดก็ให้จวินซ่างจัดการอยู่แล้ว หากยืดเยื้อไปอีกวันสองวัน…


 


 


ขันทีน้อยไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ลอบมองเป่ยเจี้ยนเกอ องครักษ์ข้างกายเสินเซ่อเทียนโบกมือให้อีกฝ่าย


 


 


ขันทีน้อยรีบตอบ “เช่นนั้น…จวินซ่าง ข้าน้อยขอตัวไปรายงานฝ่าบาทก่อน!” 

 

 


ตอนที่ 256 คนคานอำนาจที่โดดเด่น !

 

ส่วนที่ว่าเป็นพรุ่งนี้ได้หรือไม่ ต้องรอดูว่าฝ่าบาททรงตรัสว่าอย่างไรแล้ว


 


 


เสินเซ่อเทียนโบกมือ ส่งสัญญาณให้เขาไป


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอเข้าใจแล้ว ก่อนที่ขันทีน้อยจะกลับมารายงาน อารมณ์ของจวินซ่างไม่มีทางดีขึ้นแน่ เพราะกังวลว่าจะต้องเข้าวังทันที เช่นนั้นนกของจวินซ่างก็…


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอกล่าว “ฝ่าบาทถึงกับตรัสเช่นนี้ ดูท่าคงจะมีเรื่องด่วนจริงๆ!”


 


 


เสินเซ่อเทียนหันกลับมองเขาทีหนึ่ง สีหน้าราวก้อนน้ำแข็งปรากฏความไม่ยินดี “หรือว่านกของข้าก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเช่นกัน”


 


 


 “ข้าน้อย…” เป่ยเจี้ยนเกออยากตอบตามตรงว่า ไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ


 


 


อย่างไรเสียอาหารเลิศรสในใต้หล้านี้ที่กินได้ท่านก็กินไปหมดแล้ว ขาดนกพิราบนี้ไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร


 


 


ยิ่งกว่านั้น…


 


 


อย่างมากผ่านไปอีกสองสามวันก็ให้เฉิงเสี่ยวจวนไปหามาอีกตัวก็ได้ ถึงจะลำบากอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ว่าจะหากินไม่ได้ จวินซ่างต้องทำถึงขั้นนี้เชียวหรือ


 


 


ก็ได้ สำหรับพวกเขาถือว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ แต่สำหรับจวินซ่างที่ความสุขทั้งหมดในชีวิตคือการกินแล้ว ก็เป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอปาดเหงื่อตรงขมับออก ปลอบ “จวินซ่างระงับโทสะด้วย ยามนี้นกพิราบคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง!”


 


 


เสินเซ่อเทียนแค่นเสียงเบาๆ ไม่พูดไม่จา


 


 


จู่ๆ เสินเซ่อเทียนโพล่งถามขึ้น “เจ้าเด็กนั่นช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


 “อ้อ…”


 


 


เจ้าเด็กนั่น ย่อมหมายถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว


 


 


ความจริงเป่ยเจี้ยนเกออยากบอกว่า จวินซ่างท่านแก่กว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่เจ็ดปีเท่านั้น ไม่ต้องเอาแต่แสดงออกเป็นเหมือนคนแก่ เห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นเด็กก็ได้


 


 


สุดท้ายก็เขาก็ไม่ได้เอ่ยออกมา ทว่าตอบกลับไป “ช่วงนี้น่าจะมีชีวิตไม่เลวเลย เขามีคนในดวงใจแล้ว ชื่อว่าเยี่ยเม่ย เหมือนกับว่าองค์ชายใหญ่ก็ชอบสตรีนางนี้เช่นกัน ช่วงก่อนยังทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ด้วย!”


 


 


เสินเซ่อเทียนชะงักฝีเท้า


 


 


มองเป่ยเจี้ยนเกอด้วยความแปลกใจ “เยี่ยเม่ย? ชอบจริงๆ หรือชอบหลอกๆ”


 


 


 “ดูท่าแล้วเหมือนจะชอบจริงๆ!” เป่ยเจี้ยนเกอแสดงความคิด จากนั้นเสริมต่อทันที “ไม่เพียงแค่ชอบ ซ้ำยังหมั้นหมายแล้ว”


 


 


เสินเซ่อเทียนพยักหน้า คิดถึงคำพูดก่อนที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินทางออกจากเขาหลิงซาน ยามนี้เขาหัวเราะเบาๆ โคลงหัวไปมา


 


 


จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินกลับตำหนัก


 


 


เสียงเข้มและทรงอำนาจค่อยๆ เอ่ยว่า “หากการมีสตรีคนหนึ่งทำให้เขาสงบเสงี่ยมลงได้ ข้ากลับรู้สึกยินดี ไม่เช่นนั้นไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะกลายเป็นมหันตภัยแบบไหนกัน”


 


 


 “จวินซ่าง ในเมื่อท่านคิดว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นภัยคุกคาม ไฉนท่านถึงไม่กำจัดเขาเสีย” เป่ยเจี้ยนเกอถามด้วยความสงสัย


 


 


เสินเซ่อเทียนหันกลับมากวาดสายตามองเขา


 


 


ใบหน้าเย็นเยียบราวน้ำแข็งฉายแววโมโห “เป่ยเจี้ยนเกอ สั่งให้เจ้าไปฆ่าเขา เจ้าลงมือได้หรือไม่”


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอหน้าแข็งค้างในทันที ส่ายหน้า “ลงมือไม่ได้!”


 


 


จริงด้วย ในเมื่อเขายังลงมือไม่ได้ แล้วจวินซ่างจะลงมือได้อย่างไร เพียงแต่ “จวินซ่าง ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยเรื่องที่ท่านใช้ความรู้สึกทำงาน! ไม่ว่าอย่างไร ท่านก็ต้องระวังจิตใจหวาดระแวงและความริษยาของฝ่ายบาทเอาไว้บ้าง โดยเฉพาะฝ่าบาทยัง…”


 


 


พูดมาไปพูดมาเป่ยเจี้ยนเกอก็พูดต่อไปไม่ได้อีก


 


 


ครั้นเอ่ยถึงฮ่องเต้ สีหน้าของเสินเซ่อเทียนปรากฏความเหนื่อยอ่อนและสับสน


 


 


เขาโบกมือ “ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเข้าใจดี”


 


 


 “ขอรับ!”


 


 


……


 


 


ในวังหลวง


 


 


ขันทีเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท จวินซ่างถามว่าพรุ่งนี้ค่อยมาได้หรือไม่”


 


 


พูดไปแล้วเขายังรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง ความจริงเขาเพิ่งได้พบจวินซ่างเป็นครั้งแรก คนที่เป็นเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั่วหล้าประดุจดังเทพเทวดา


 


 


ครั้งแรกนี้ก็เพราะอาจารย์เขาผู้เป็นหัวหน้าขันทีไม่สบาย ดังนั้นเขาจึงได้รับโอกาสนี้


 


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เข้าใจ เหตุใดจวินซ่างถึงแสดงออกเช่นนี้


 


 


ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมาที่เขา มุมพระโอษฐ์เผยรอยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มที่ขันทีน้อยเห็นชวนให้รู้สึกแปลกพิกล นั่นคือความอ่อนโยน…อย่างที่ไม่เคยมียามตรัสกับฮองเฮาหรือพระสนมทั้งหลาย


 


 


พระสุรเสียงแฝงไปด้วยความโปรดปราน ถามเบาๆ ว่า “เขาหาของอร่อยอะไรได้อีกแล้ว”


 


 


 “อ้อ…” ขันทีน้อยแปลกใจที่ฝ่าบาทแสดงออกเช่นนี้ แต่ก็ยังไม่ลืมตอบ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมก็มิทราบ จวินซ่างเพียงบอกว่า เป็นวันพรุ่งนี้หรือว่าคืนนี้เขายังพอทนไหว!”


 


 


ขันทีน้อยพูดไปพลางปาดเหงื่อบนหน้าปาก


 


 


คงไม่มีใครอีกแล้ว…


 


 


จวินซ่างมาพบฝ่าบาท ยังใช้คำว่า ‘ทนไหว’ ไม่ใช่ว่าจวินซ่างเคารพฝ่าบาทมาตลอดหรืออย่างไร


 


 


ก็ได้ บางทีสำหรับผู้อื่น แม้กระทั่งคำว่า ‘ทนไหว’ จวินซ่างยังไม่ยินยอมเลยกระมัง 


 


 


 “ไม่เป็นไร เจ้ากลับไปถ่ายทอดคำสั่งข้า พรุ่งนี้ก็แล้วกัน! บอกเขาว่า ขอเพียงเขายอมมา รอนานแค่ไหนข้าก็ยินดีรอ!” ฮ่องเต้ค่อยๆ ตรัสออกมา


 


 


ขันทีน้อยยิ่งตะลึงไปใหญ่


 


 


นี่เขาคิดมากไปใช่หรือเปล่า


 


 


ทำไมเขารู้สึกว่าคำพูดของฝ่าบาทช่างแปลกนัก


 


 


เขาไม่กล้าคิดมากอีก รีบรับคำสั่งว่า “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรีบไปส่งข่าว!”


 


 


……


 


 


ชายแดน


 


 


เยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยืนอยู่บนกำแพงเมือง ก้มหน้ามองทหารต้ามั่วเหล่านั้น


 


 


สายตาเยี่ยเม่ยพลันนิ่งไป มองกระบวนทัพของพวกเขา แต่นี่ดูไม่เหมือนตั้งใจออกรบ ต่อให้เยี่ยเม่ยไม่เข้าใจกลวิธีจัดทัพ ก็ยังดูออกว่าสถานการณ์เบื้องหน้ามีปัญหา


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่อมมองออก


 


 


เขาเบือนหน้ามองเยี่ยเม่ย เอ่ยเสียงนุ่มว่า “เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่เป็นแม่ทัพนำศึก เขาเคยเป็นมือซ้ายขวาของราชาต้ามั่ว ยามนี้นำทัพออกมา ไพล่พลไม่เพียงพอ ทั้งกระบวนทัพสับสน ดูท่าจะมีแผนการอื่น!”


 


 


เยี่ยเม่ยหันมองเขา ถามว่า “ท่านคิดว่าอย่างไร”


 


 


 “แผนการหรือ คนที่ไม่เข้มแข็งพอจึงคาดว่าหวังที่จะใช้แผนการล้มศัตรู แต่เยี่ยนต่างออกไป!” สายตาชั่วร้ายของเขามองเยี่ยเม่ย ค่อยๆ กล่าว “เยี่ยนคิดว่า อาศัยความแข็งแกร่งที่แท้จริงจึงทำลายแผนการทั้งหลายลงไปได้ ไม่ว่าเขาจะวางแผนอย่างไร เยี่ยนก็คิดว่าทำให้ทหารของเขาสูญสิ้นราบคาบไปถึงจะดีที่สุด!”


 


 


 “งั้นก็ดี!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า ความจริงนางก็คิดเช่นนี้ ไม่ว่าเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่มีแผนการแบบไหน ตีศัตรูให้ถอยทัพไปก่อนค่อยว่ากัน เยี่ยเม่ยหันมองเซียวเยว่ชิง “นำทหารออกไป ตีพวกเขาให้แตกกระเจิง !”


 


 


 “ขอรับ!”


 


 


ความจริงยามเซียวเยว่ชิงเห็นกระบวนทัพของคนเหล่านี้ก็ยังสงสัยว่าพวกเขาสมองมีปัญหาหรือไม่ เขามีความปรารถนาอยู่แต่แรกแล้ว คิดอยากออกตีให้ศัตรูแตกกระเจิง  


 


 


เมื่อรับคำสั่งของเยี่ยเม่ยเวลานี้ ย่อมดีใจเป็นที่สุด


 


 


เขารีบหมุนกาย นำทหารขี่ม้าออกไป


 


 


เยี่ยเม่ยหันกลับมามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน มุมปากปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ย “หวังว่านี่คงไม่ใช่หนึ่งในแผนการของเสด็จอาผู้นั้นหรือท่านอีกหรอกนะ!”


 


 


เป่ยเฉินอี้ การปะทะกันในวันนี้ทำให้เยี่ยเม่ยเข้าใจเขามากขึ้น


 


 


นางจ้องมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน กล่าวต่อ “ข้าว่าก่อนหน้าท่านไม่คิดสังหารเขา อดทนความเหิมเกริมของเขา เกรงว่าคงเป็นเพราะเหตุผลเดียว นั่นคือเขาคือคนคานอำนาจที่โดดเด่นที่สุด!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม