เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก 249-256

 ตอนที่ 249 ออกห่าง


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วที่เขียนรายงานเสร็จแล้วพ่นลมหายใจออกมา จู่ๆ ก็นึกไปถึงภาพทิศทางแนวโน้มต่างๆ บนหน้าจอคอมพ์ที่เมื่อก่อนวางอยู่ในห้องของเหยียนเค่อ ก่อนจะนั่งพิงพนักเก้าอี้แล้วเหม่อลอย


 


 


เธอยังไม่รู้เลยว่าเหยียนเค่อทำอาชีพอะไรกันแน่ แต่ในเมื่อเขากับเสิ่นจิ้งเฉินรู้จักกัน ก็คงมีหน้าที่การงานที่ดีอยู่ล่ะมั้ง


 


 


เธอพองลมเต็มแก้ม ยกข้อมือขึ้นส่ายไปมา เพชรที่มุมและด้านแบ่งแยกกันชัดเจนสะท้อนเป็นแสงเจ็ดสีขนาดเล็ก


 


 


ดังนั้นเสียงเด็กน้อยน่ารักก็ดังขึ้น ซย่าเสี่ยวมั่วคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา เมื่อเห็นชื่อคนโทรเข้ามาก็ขบฟัน แล้วฉีกยิ้มน่าสะพรึงกลัว


 


 


“สวัสดีค่ะ คุณสวี สอบถามปัญหากดหนึ่ง ปรึกษาปัญหาหัวใจกดสอง บอกเล่าข่าวสารกดสาม”


 


 


เป็นครั้งแรกที่สวีรั่วชีโดนซย่าเสี่ยวมั่วจับจุดอ่อนได้ รู้ว่าตัวเองผิด จึงให้ซย่าเสี่ยวมั่วได้ลำพองใจเสียหน่อย


 


 


“ทำตัวปกติหน่อย” เสียงของหญิงสาวไม่มีการเอาอกเอาใจและความรู้สึกผิดเลยสักนิด


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วได้ยินก็ไม่ยอม “ยายผู้หญิงใจจืดใจดำ ฉันขอแช่งให้เธอขายไม่ออก!”


 


 


สวีรั่วชีปวดใจ “เธอเป็นบ้าอะไรอีกเนี่ย พูดให้มันดีๆ หน่อย!”


 


 


ก็ได้…ซย่าเสี่ยวมั่วยอมแพ้ กลับเป็นปกติ “โทรมาหาฉันมีอะไร”


 


 


“ฉันไปหาเธอที่บ้านทำไมไม่มีใครอยู่ล่ะ”


 


 


“เธอจำประตูหน้าบ้านฉันได้ด้วยหรือไง” ซย่าเสี่ยวมั่วขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน


 


 


เหยียนเค่อเดินลงมาจากด้านบนก็เห็นซย่าเสี่ยวมั่วที่อยู่ด้านล่าง จึงเบรกเท้าตัวเองได้ทันพอดี


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วปิดประตูห้องทำงานแล้วลงไปกินข้าวข้างล่าง


 


 


“ทำตัวปกติหน่อยได้ไหม ฉันไม่ได้เป็นเลสเบี้ยนนะ” สวีรั่วชีเอ่ยเตือน


 


 


“ก่อนหน้านี้ที่เธอไปแอฟริกาได้รับอะไรกลับมาบ้างไหม” ซย่าเสี่ยวมั่วถามประเด็นที่เธอค่อนข้างสนใจ


 


 


สวีรั่วชีนั่งลงบนโซฟาบ้านของซย่าเสี่ยวมั่วแล้วเก็บกวาดของให้เธอ ลองตั้งใจคิดดูแล้วจึงตอบ “ไม่ได้อะไรเลย ฉันต้องเจอกับคนไข้และไวรัสเยอะมาก ดังนั้นเธอคิดว่า…”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วไม่สนใจเรื่องไวรัสสักกะนิด


 


 


“ตอนนี้ฉันทำงานอยู่ที่ฮุยเถิง ถ้าว่างเมื่อไรมาหาฉันได้นะ”


 


 


สวีรั่วชีได้ยินชื่ออันคุ้นเคยนี้แล้ว สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือชื่อของเหยียนเค่อ ส่ายหัวอย่างเอือมระอา คุณชายเหยียนก็มีวันที่ต้องมัดมือชกเพื่อได้อยู่ใกล้ชิดคนอื่นด้วยเหรอเนี่ย


 


 


“ได้ ฉันเข้าใจแล้ว เย็นนี้รีบกลับบ้านด้วยล่ะ”


 


 


“เข้าใจแล้ว แม่นางเถียนหลัว[1]ที่รัก” ซย่าเสี่ยวมั่วเดินเข้าลิฟต์แล้วเอ่ยลาสวีรั่วชี


 


 


เหยียนเค่อมองแผ่นหลังของเธอลับหายไปจากด้านบนตึกก็จิตใจห่อเ**่ยว รู้สึกว่าตัวเองสนใจซย่าเสี่ยวมั่วมากเกินไป และผลที่ตามมาก็คือความรู้สึกคลุมเครือไม่ชัดเจนที่เขามีต่อซย่าเสี่ยวมั่วก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าได้อยู่ห่างจากซย่าเสี่ยวมั่วแล้วอาการจะดีขึ้นสักหน่อยไหมนะ…


 


 


เขาเริ่มคิดแผนการยกระดับสภาพจิตใจให้ตัวเอง คิดคำนวณว่าจะไปเมืองหลวงกับเสิ่นจิ้งเฉิน จะได้ถือโอกาสขยายกิจการด้วยเลย บางทีอาจจะได้ใช้โอกาสนี้เพื่อลืมซย่าเสี่ยวมั่วก็ได้


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วและอันหร่านกินข้าวด้วยกันในร้านอาหารใต้บริษัท


 


 


“อาหารของฮุยเถิงเยี่ยมไปเลย” ซย่าเสี่ยวมั่วพูดชมหมูพะโล้ของที่นี่ไม่หยุดปาก


 


 


อันหร่านพยักหน้า “แต่ก็แพงอะ”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังจะพูด เหลือบไปเห็นคนที่นั่งถัดไปจากอันหร่านสองที่นั่งก็ปิดปากไม่ส่งเสียงอีก


 


 


อันหร่านมองผู้หญิงที่นั่งลงข้างๆ ปราดหนึ่งอย่างเหนื่อยหน่าย ก้มหน้าลงกินข้าวต่อเช่นกัน


 


 


“คนที่โดนบอสใหญ่**ก็มากินข้าวที่นี่ด้วยเหรอเนี่ย เห็นได้ยากจริงๆ” เสียงของเซียวอู๋อี้ไม่ดังนักแต่ก็เพียงพอให้คนรอบด้านได้ยิน เขาหยิบตะเกียบแล้วเปิดกล่องอาหารอย่างเชื่องช้า


 


 


อันหร่านได้ยินคำพูดนี้ก็มองซย่าเสี่ยวมั่วปราดหนึ่งอย่างหวั่นเกรง ซย่าเสี่ยวมั่วไม่รู้ว่าเซียวอู๋อี้กำลังพูดอะไรอยู่ จึงไม่ได้สนใจ


 


 


“แอ๊บไปเถอะ อยากรู้นักว่าจะแอ๊บไปได้นานแค่ไหน” เซียวอู๋อี้มองซย่าเสี่ยวมั่วที่ยังคงนิ่งสงบแล้วก็เอ่ยขึ้นด้วยเจตนาร้าย


 


 


“ตอนกินข้าวไม่พูดคุย ตอนนอนไม่ส่งเสียงรบกวนคนอื่น เรื่องแค่นี้ก็ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาหรือไง” ซย่าเสี่ยวมั่วเงยหน้ามองเขาปราดหนึ่ง สายตาเฉียบคมประดุจมีด


 


 


เซียวอู๋อี้ยิ้มอย่างอ่อนหวาน “คงเทียบไม่ได้กับคุณซย่าที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากบอสใหญ่หรอกค่ะ”


 


 


 


 


——


 


 


[1] แม่นางเถียนหลัว ตัวละครในเรื่องเล่าพื้นบ้านของชาวฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน เป็นหญิงสาวที่ขยันขันแข็งและจิตใจดี


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 250 จำได้ไม่รู้ลืม


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นเขาแล้วก็รู้สึกคลื่นไส้ ปิดฝากล่องข้าวก่อนจะหันตัวเดินหนี “น่าขยะแขยงเหมือนแมลงวันจริงๆ”


 


 


อันหร่านกลัวว่าตัวเองจะโป๊ะแตกก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน ซย่าเสี่ยวมั่วถือกล่องข้าวเดินหนี เธอจึงรีบเดินตามไป


 


 


“วันนี้เซียวอู๋อี้น้ำเข้าสมองหรือไงนะ น้ำเปล่าหรือว่าน้ำยาฆ่าเชื้อล่ะ! ทำไมปากไม่โดนฆ่าเชื้อไปด้วยนะ” ซย่าเสี่ยวมั่วโมโหจนปวดท้อง ได้ยินเสียงแปลกๆ นั่นก็ยิ่งเดือดดาลไปกันใหญ่


 


 


“เธอใจเย็นๆ ก่อนนะ” อันหร่านลูบไหล่เธอด้วยสีหน้าลังเล นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่ายายเซียวอู๋อี้นั่นไปรู้ตัวตนของเหยียนเค่อได้อย่างไร


 


 


เหยียนเค่อกำลังนั่งกินอาหารพิเศษสำหรับตัวเองอยู่ในร้านอาหารของตนอยู่ และไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่นึกถึงรสมือของซย่าเสี่ยวมั่ว


 


 


“พวกคุณมานั่งกินด้วยกันสิครับ” เหยียนเค่อกวักมือเรียกบอดี้การ์ดที่ยืนเรียงรายกันและผู้ช่วยมือซ้ายมือขวาของตนอีกสองสามคน


 


 


ผู้ช่วยสองสามคนนั่งลงตรงข้ามเขา แต่ไม่มีใครกล้านั่งตรงกับเขาพอดีเลยสักคน


 


 


“ผมหน้าแย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ ทำไมไม่มีใครอยากนั่งตรงข้ามผมเลย” เหยียนเค่อเอ่ยอย่างขุ่นเคือง


 


 


บอดี้การ์ดที่กำลังจะนั่งลงทำได้เพียงเดินมานั่งตรงข้ามกับเหยียนเค่อ


 


 


เหยียนเค่อมองชายฉกรรจ์ร่างใหญ่หน้าโหดปราดหนึ่งก่อนจะรู้สึกหนาววาบจนตัวสั่น หยิบกล่องข้าวตัวเองแล้วขยับที่ ปากก็บ่นอุบ “ไม่ไหวๆ คุณน่ากลัวเกินไป”


 


 


บอดี้การ์ดที่โดนรังเกียจนั่งอยู่ที่เดิม อยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก ผมยังไม่รังเกียจคุณเลย ทำไมคุณถึงทำร้ายจิตใจกันแบบนี้


 


 


ผู้ช่วยต่างก็ลอบกลั้นหัวเราะ จับตะเกียบแล้วกินข้าวด้วยกันกับเหยียนเค่อ


 


 


“พวกคุณมีความต้องการเกี่ยวกับอาหารของร้านอาหารเราไหมครับ” เหยียนเค่อกินข้าวเสร็จก่อน นั่งเฉยๆ จึงรู้สึกเบื่อ


 


 


ผู้ช่วยและบอดี้การ์ดมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าควรจะเสนอความต้องการอะไร


 


 


เหยียนเค่อเห็นพวกเขาทำหน้างุนงง จึงเปลี่ยนวิธีพูดใหม่ “พวกคุณคิดว่าอาหารของร้านเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“ดีมากเลยครับ” ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน


 


 


เหยียนเค่อลูบคาง “ทำไมผมรู้สึกว่ามันขาดรสชาติของบ้านไป”


 


 


บอดี้การ์ดที่หน้าตาน่ากลัวและถูกเหยียนเค่อรังเกียจคนนั้นเกือบจะพ่นเม็ดข้าวออกมา


 


 


เหยียนเค่อคือเจ้านายที่ตลกที่สุดตั้งแต่เขาเคยทำงานมา เป็นหนึ่งเดียวและไม่มีคนอื่นเทียบได้


 


 


“พวกเราหลายคนเป็นโสดน่ะครับ ยังไม่เคยได้สัมผัสกับรสชาติของบ้าน” ผู้ช่วยคนหนึ่งพูดพลางทอดถอนใจ “แทบจะลืมรสชาติของอาหารที่แม่ทำแล้ว”


 


 


เหยียนเค่อพยักหน้า ตอนแม่ทำอาหารเขาก็ไม่มีความรู้สึกอะไรเช่นกัน แต่ทำไมถึงเอาแต่คิดถึงรสมือของซย่าเสี่ยวมั่วกันนะ…


 


 


“พวกคุณมีใครชอบอาหารที่ผู้หญิงคนหนึ่งทำหรือเปล่า”


 


 


“ไม่เคยครับ”


 


 


“พวกเราจะมีลาภปากแบบนั้นได้อย่างไรล่ะครับ”


 


 


“สมัยนี้ผู้หญิงที่ทำอาหารเป็นมีไม่เยอะแล้วนะครับ”


 


 


เหล่าผู้ช่วยต่างก็พากันส่ายหัวทอดถอนใจ เป็นเชิงว่าพวกเขาไม่เคยได้สัมผัสกับมัน


 


 


เหยียนเค่อลูบคางอย่างหลงตัวเอง “ก็จริง คนโสดอย่างพวกคุณจะเคยได้สัมผัสกับมันได้อย่างไรล่ะเนอะ”


 


 


ทุกคนเห็นสีหน้าเบิกบานใจของเขา ก็ปิดปากแล้วกินข้าวต่ออย่างเงียบเชียบ จู่ๆ ก็ได้เอาใจเจ้านายโดยไม่รู้ตัว เป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์จริงๆ


 


 


“พวกคุณคงไม่ได้ไม่มีแฟนกันหมดหรอกนะ” เหยียนเค่อมองทุกคนที่นั่งเงียบ เป็นครั้งแรกที่เขาใส่ใจชีวิตส่วนตัวของลูกน้องตัวเอง


 


 


“เคยมีครับ แต่เลิกแล้ว” คนส่วนใหญ่ต่างก็พูดเช่นนี้


 


 


แต่ก็ยังมีคนที่น่าเศร้ายิ่งกว่า “งานยุ่งน่ะครับ เลยเลิกกัน”


 


 


“ผมเรียนจบก็เข้ามาทำงานที่ YAN จนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้หญิงบนชั้นยี่สิบสองเลยครับ” ผู้ช่วยที่อายุน้อยที่สุดบอกเล่าทั้งน้ำตา


 


 


เหยียนเค่อมองดูลูกน้องที่ทั้งอ้างว้าง เศร้าโศก ทั้งบ่นว่า จึงรีบสะกดมุมปากที่หยัดขึ้นของตัวเองเอาไว้ “ตอนออกไปคุยเรื่องสัญญา พวกคุณก็ไปหาประสบการณ์ซะ ต่อไปผมจะอนุมัติให้ลางานไปนัดบอดนะ”


 


 


เป็นครั้งแรกที่ผู้ช่วยได้สนทนากับเหยียนเค่อเป็นการส่วนตัว ต่างก็รู้สึกว่าเหยียนเค่อเป็นคนที่ไม่ถือตัวเลย เพียงแต่เปอร์เซ็นต์ที่เห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นเรื่องสนุกมีค่อนข้างมากก็เท่านั้น


 


 


“ขอบคุณครับบอส พวกเราจะรีบแต่งงานเร็วๆ นะครับ” เหล่าผู้ช่วยพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้คาดหวังมากนัก


ตอนที่ 251 ข่มขู่


 


 


เหยียนเค่อคุยเรื่องสัพเพเหระกับผู้ช่วยของตนอยู่ เมื่อเดินกลับขึ้นมาก็เห็นคนยืนบังอยู่ที่หน้าประตู จึงค่อยๆ หยุดเดิน


 


 


ผู้ช่วยและบอดี้การ์ดที่เดินตามอยู่ข้างหลังต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก สงสัยในตัวตนของผู้หญิงคนนี้


 


 


เหยียนเค่อหยิบกุญแจยื่นให้ผู้ช่วยที่อยู่ด้านหลัง เป็นเชิงให้พวกเขาเข้าห้องไปก่อน เหล่าผู้ช่วยเดินเรียงกันเข้าไปด้านใน ส่วนบอดี้การ์ดก็แยกย้ายกันไปนั่งหลบอยู่รอบๆ


 


 


คติของเหยียนเค่อคือ ‘ศัตรูไม่เคลื่อนไหว เราก็ไม่เคลื่อนไหว ถ้าศัตรูเคลื่อนไหว ฉันก็จะไม่เคลื่อนไหว’


 


 


เซียวอู๋อี้กำลังรอให้เขาปริปากพูดอยู่ นึกไม่ถึงว่าพวกเขาทั้งคู่จะเอาแต่ยืนนิ่งๆ กันอยู่ที่หน้าประตู เธอจึงทำได้เพียงเอ่ยปากอย่างกระอักกระอ่วน “ท่านประธาน”


 


 


เหยียนเค่อกอดอกแล้วจ้องเขาเขม็ง ไม่พูดอะไร


 


 


ความเย่อหยิ่งของเซียวอู๋อี้ก็สลายหายไปในทันที หลบสายตาเขาอย่างลุกลี้ลุกลน


 


 


ตอนเหยียนเค่อทำหน้านิ่งนั้น ดวงตาสุกใสคู่นั้นราวกับอ่านใจคนที่ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทำให้คนมองอดหวั่นเกรงไม่ได้


 


 


“ฉันอยากคุยกับท่านหน่อยน่ะค่ะ” เซียวอู๋อี้กำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว


 


 


“ว่ามาสิ” ในที่สุดเหยียนเค่อก็พูดออกมา แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะให้เธอเข้าไปในห้องทำงานแต่ยังใด ทำเพียงยืนพิงราวบันไดรอให้เธอเอ่ยปาก


 


 


นี่แตกต่างกับภาพที่เซียวอู๋อี้จินตนาการไว้มากทีเดียว แม้แต่หัวข้อที่เป็นความลับสักหน่อยเธอก็ยังพูดไม่ออกเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำตามแผนการของตัวเองเลย


 


 


“ฉันอยากรู้ว่าท่านคือคนที่ช่วยมั่วอวี๋เล่นงานใช่ไหม”


 


 


“ใช่” เหยียนเค่อตอบรับฉะฉาน


 


 


เซียวอู๋อี้เริ่มหายใจติดขัด “งั้นท่านบอกฉันหน่อยได้ไหมคะว่าเพราะอะไร”


 


 


“ไม่ได้” เหยียนเค่อเห็นเธอปากสั่นก็รู้สึกสะใจเหมือนได้แก้แค้นให้ซย่าเสี่ยวมั่ว


 


 


บอดี้การ์ดที่อยู่รอบด้านได้ยินบทสนทนานี้ ก็คิดในใจ ‘ท่านประธานทำแบบนี้จีบสาวไม่ติดหรอกนะครับ’


 


 


“สิ่งที่เขาให้ท่านได้ฉันก็ให้ได้เหมือนกัน ท่านช่วย…” เธอยังไม่ทันพูดจบ เหยียนเค่อก็พูดขัดขึ้นมาก่อน “ไม่”


 


 


เซียวอู๋อี้หน้าซีดเผือด หวาดกลัวผู้ชายคนนี้ถึงขีดสุด


 


 


เหยียนเค่อพูดทีเล่นทีจริง “เขายังให้ครั้งแรกกับฉันได้ แต่เธอน่ะไม่”


 


 


บอดี้การ์ดที่ได้ยินต่างก็ยิ้มและซุบซิบกัน ที่แท้ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่เจ้านายชอบ แต่เขาโมโหถึงขีดสุดเพราะเธอคนนี้ทำร้ายผู้หญิงของเขานี่เอง


 


 


สีหน้าของเซียวอู๋อี้แย่มาก สุดท้ายจึงเยาะเย้ย “เขาก็เหลือแค่นั้นแหละค่ะ”


 


 


“แต่ยังไงก็ดีกว่าคุณ” เหยียนเค่อตอบเสียงเย็นเยียบ ไม่อยากคุยกับเขาต่อแล้ว “เรื่องที่คุณสงสัยไม่มีหลักฐาน ไม่ว่าผมจะออกหน้าแทนซย่าเสี่ยวมั่ว หรือว่าเล่นงานคุณก็ตาม ทั้งหมดล้วนเป็นความต้องการของผมเพียงฝ่ายเดียว ไม่เกี่ยวอะไรกับซย่าเสี่ยวมั่ว”


 


 


คำตอบนี้โจมตีเซียวอู๋อี้อย่างหนักหน่วง


 


 


ทุกสิ่งที่เธอปรารถนา ซย่าเสี่ยวมั่วก็ได้มันมาโดยไม่ต้องเปลืองแรงเสียทุกครั้ง ซย่าเสี่ยวมั่วคือศัตรูตัวฉกาจของเธออย่างแท้จริง


 


 


“ไม่รู้ว่าถ้าซย่าเสี่ยวมั่วรู้ตัวตนของท่านแล้วจะยังรู้สึกขอบคุณท่านหรือเปล่านะคะ” เซียวอู๋อี้ไม่เห็นประโยชน์อะไร จึงไม่สนใจและก็ไม่เกรงกลัวเหยียนเค่ออีกต่อไป ดวงตาจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าเขม็ง


 


 


เหยียนเค่อมองเธออย่างประหลาดใจ มุมปากแสยะกว้างขึ้น แต่น้ำเสียงกลับเยียบเย็น “ขู่ผมงั้นเหรอ?”


 


 


เซียวอู๋อี้เผลอก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว ตกใจกลัวจนพูดไม่ออก


 


 


เหยียนเค่อละสายตา “ผมไม่เคยหลอกซย่าเสี่ยวมั่ว สิ่งที่เขาควรจะรู้ก็รู้หมดแล้ว สิ่งที่เขาไม่รู้ผมก็ไม่ได้ปิดบังเหมือนกัน” ก่อนจะโบกมือไล่อย่างไม่ใส่ใจนัก “คุณไปได้แล้ว ผมยังไม่ได้แบนคุณนะ ดังนั้นอย่าทำให้ผมโมโหอีก”


 


 


เซียวอู๋อี้มองเขาที่เดินเข้าห้องทำงานไปโดยไม่เหลียวมองมาเลยสักนิด จนกระทั่งเสียงปิดประตูด้านหลังดังขึ้นจึงได้สติ


 


 


ไม่ได้แบนฉันงั้นเหรอ? พอเธอขอโทษแล้วก็ไล่เธอออกบริษัทมันต่างอะไรกับการแบนกันล่ะ?


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่ว เป็นเพราะเธอ ฉันจะเอาเธอลงนรกไปด้วย!


 


 


เธอเคียดแค้นในใจ แล้วเดินลงบันไดไปอย่างเลื่อนลอย


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 252 ทำลายความอยากอาหาร


 


 


ตั้งแต่ที่เซียวอู๋อี้ปรากฏตัวขึ้นในสายตาของซย่าเสี่ยวมั่วอีกครั้ง นี่ก็เป็นครั้งแรกที่อันหร่านเห็น


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วด่าคนอย่างบ้าคลั่งขนาดนี้


 


 


“เธอไม่กินข้าวแล้วเหรอ”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเอากล่องข้าววางไว้บนโต๊ะแล้วขยี้หัวตัวเอง “อ๊ากกก ทำไมฉันเห็นอาหารน่าอร่อยนี่แล้วต้องเห็นเป็นหน้าของเซียวอู๋อี้ด้วย! ทำเอาฉันไม่อยากอาหารเลย! ฉันอยากเอาหมูพะโล้นี่ไปราดหน้ายายนั่นจริงๆ!”


 


 


อันหร่านพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงบ้าคลั่งเช่นนี้


 


 


“เธอนี่มันสายกินจริงๆ”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วขยี้หัวจนผมยาวๆ ของเธอกระเซอะกระเซิงไปหมด สองมือเท้าคางด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก “ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะเอามื้อกลางวันที่เหลือกลับไปกินที่บ้าน”


 


 


อันหร่านดันกล่องข้าวของตนไปให้ “ถ้างั้นเอาของฉันไปด้วยไหม”


 


 


“เธอเห็นฉันเป็นแมวจรจัดหรือไงหา ไม่เอาย่ะ!” ซย่าเสี่ยวมั่วดันกลับไปให้เธอ พองลมเต็มแก้ม “ฉันไม่ได้จนถึงขนาดที่ไม่มีเงินซื้อข้าวสักหน่อย”


 


 


อันหร่านหยิบกล่องข้าวของตนกลับคืนมา ไม่แกล้งเธอต่อ “ตั้งใจทำงานล่ะ วันนี้วาดเพิ่มอีกสองสามตอนนะ”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วโยนปลอกปากกาใส่อันหร่าน “ทำไมเธอถึงใจจืดใจดำเสียยิ่งกว่าพวกนายทุนอีกล่ะ!”


 


 


อันหร่านหลบหลีกการลอบโจมตีของเธอได้ทัน รีบเดินออกจากห้องแล้วยิ้มให้ซย่าเสี่ยวมั่วอย่างสะใจ


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วลุกขึ้นไปเก็บปลอกปากกาด้วยความอัดอั้นตันใจ ครุ่นคิดคำพูดของเซียวอู๋อี้ แต่กลับจับจุดอะไรไม่ได้เลย


 


 


บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ด้านนอกห้องทำงานของเหยียนเค่อเกือบจะทำให้อันหร่านที่วิ่งขึ้นบันไดมาถึงกับไถลตกลงไปด้านล่าง


 


 


“พวกคุณอย่ามาขู่ขวัญฉันเลยนะคะ ฉันเป็นคนดี!”


 


 


อันหร่านกอดตัวเองแน่น มองชายฉกรรจ์ตรงหน้า กลัวจนทำตัวไม่ถูก


 


 


“มีบัตรยืนยันว่าเป็นคนดีหรือเปล่า” ชายหนุ่มหนึ่งในนั้นถามเธออย่างจริงจัง


 


 


อันหร่านทำหน้างง ก่อนจะหยิบบัตรประชาชนของตนออกมาจากกระเป๋ากางเกง “ฉันมีบัตรประชาชนค่ะ”


 


 


ชายหนุ่มสองคนมองหน้ากันแล้วยิ้ม ผู้หญิงคนนี้ช่างซื่อจริงๆ จึงหลีกทางให้เธอเดินเข้าไป


 


 


อันหร่านลูบหน้าอกตัวเอง ก่อนจะรีบเข้าไปรายงานเหยียนเค่อ


 


 


“ประธานเหยียนคะ!”


 


 


เหยียนเค่อได้ยินเสียงลับๆ ล่อๆ จึงเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นอันหร่านจึงชี้ไปที่โซฟาทางด้านนั้น “นั่งก่อนค่อยพูด”


 


 


กะจากสายตาแล้วคิดว่าโซฟาอยู่ไกลเกินไป อันหร่านปฏิเสธ “ฉันยืนพูดได้ค่ะ เมื่อกลางวันเซียวอู๋อี้เจอซย่าเสี่ยวมั่วที่ร้านอาหาร เกือบจะเปิดเผยตัวตนของท่านออกไปแล้ว”


 


 


เหยียนเค่อพยักหน้า “เขามาหาผมแล้ว”


 


 


อันหร่านไม่รู้ว่า ‘เขา’ ที่เหยียนเค่อพูดถึงคือใคร เพราะซย่าเสี่ยวมั่วอยู่กับเธอตลอด หรือว่าเซียวอู๋อี้จะมาหาเขาโดยไม่กลัวตายงั้นเหรอ


 


 


“แล้วฉันควรจะทำอย่างไรคะ” เธอค่อนข้างใส่ใจชีวิตของตนเองมากกว่า


 


 


“ปล่อยไปตามธรรมชาติ” เหยียนเค่อดูเอกสารก่อนจะเอ่ยปากขออีกครั้ง “คุณไปนั่งตรงนั้นก่อนค่อยพูด”


 


 


อันหร่านโบกมือ “ไม่ต้องหรอกค่ะ”


 


 


“คุณบังแสงผม…”เหยียนเค่อไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา


 


 


อันหร่านหุบปากฉับ เดินไปนั่งบนโซฟาอย่างขัดเขิน เธอว่าแล้ว ผู้ชายอย่างเหยียนเค่อคงไม่หวังดีขนาดนั้น


 


 


“ถ้าซย่าเสี่ยวมั่วรู้ก็ปล่อยให้เขารู้ไปเถอะ ยิ่งพยายามปกปิดก็ยิ่งถูกเปิดเผยได้เร็วขึ้น” เหยียนเค่อ


 


 


มองสถานการณ์ได้เฉียบขาด “แล้วผมก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว”


 


 


ท่านไม่มีอะไรให้ต้องกลัว แต่ฉันมีนี่คะ…ไม่ว่าจะพูดอย่างไร อันหร่านก็ไม่สบายใจอยู่ดี


 


 


“คุณดูพวกผู้ชายตรงนั้นซิ มีคนไหนที่คุณถูกใจบ้าง”


 


 


“คะ?” อันหร่านมองดูผู้ชายที่นั่งก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่รอบโซฟาปราดหนึ่ง ไม่รู้ว่าเหยียนเค่อจะมาไม้ไหนอีก


 


 


ผู้ช่วยมุมปากกระตุก เจ้านายของพวกเขานึกอะไรขึ้นได้ก็พูดออกมาจริงๆ


 


 


เหยียนเค่อละมือจากงานที่ทำ ก่อนจะอธิบาย “ทุกคนเป็นวัยรุ่นที่อายุค่อนข้างมากแล้ว หน้าตาดี มีรถมีบ้านมีหน้าที่การงานที่มั่นคง แถมยังมีเจ้านายที่เข้าใจลูกน้อง ใครเห็นใครก็รักด้วย ดังนั้นคุณลองพิจารณาดูหน่อยไหม”


 


 


อันหร่านได้รับความหวังดีเช่นนี้ก็รู้สึกตื่นตระหนก ตอบตะกุกตะกัก “ด…ได้ค่ะ”


 


 


เหยียนเค่อเปลี่ยนห้องทำงานตัวเองให้เป็นสถานที่นัดบอดทันที แถมเล่นเป็นพ่อสื่อให้อย่างเต็มที่


 


 


อันหร่านจับจูงมือกับผู้ชายหนึ่งในนั้นอย่างงุนงง กลายเป็นคนมีเจ้าของโดยไม่รู้ตัว


ตอนที่ 253 แฟนหนุ่มที่ได้มา


 


 


เมื่ออันหร่านกลับมาที่ห้องทำงานก็เห็นซย่าเสี่ยวมั่วยืนขวางอยู่หน้าประตู


 


 


“ทำไมเธอไม่เข้าไปล่ะ”


 


 


“ก็เดี๋ยวคนสงสัย” ซย่าเสี่ยวมั่วเดินตามเขาเข้าไปด้านใน ก่อนจะเปิดโน้ตบุ๊กของตน “ฉันเพิ่งวาดเสร็จไปสองตอน”


 


 


“เธอเอาอันนี้มาให้ฉันดูเนี่ยนะ?” อันหร่านมองแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปจ้องซย่าเสี่ยวมั่ว


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วถูกเขามองก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจสายตาของเขา “เธอไม่สนใจการ์ตูนของฉันแล้วเหรอ”


 


 


“เธอส่งต้นฉบับมาให้ฉันก็ได้นี่ ทำไมต้องเดินมาเองด้วย” ยายนี่โมโหจนเพี้ยนแล้วล่ะมั้ง


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกระแอมเบาๆ ปกปิดความลำบากของตัวเอง “ของแบบนี้ไม่ต้องใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตดีกว่าน่ะ แค่กๆๆๆ”


 


 


อันหร่านก็ไม่เปิดโปง รับเอกสารที่เธอจะส่งมาให้ผ่านทางบลูทูธ ก่อนจะรำพึงเสียงเบา “เมื่อกี้ฉันมีแฟนแล้วล่ะ”


 


 


จิตวิญญาณของคนขี้เม้าท์ถูกจุดประกายขึ้น ซย่าเสี่ยวมั่วรีบเขยิบเข้าไปใกล้ “เมื่อกี้เธอไปทำอะไรมา”


 


 


อันหร่านจ้องตาซย่าเสี่ยวมั่วอยู่นาน คิดในใจ ‘ฉิบหาย ฉันจะตอบยังไงดี’ ก่อนจะละสายตาออกแล้วโกหกด้วยเสียงเรียบนิ่ง “ห้องน้ำ”


 


 


“เธอไปเข้าห้องน้ำชายมาเหรอ”


 


 


ห้องน้ำชายมีค่าเท่ากับห้องทำงานของท่านประธาน…อันหร่านยอมรับนิยามข้อนี้เงียบๆ ก่อนจะพยักหน้า


 


 


“คงไม่ใช่เพราะว่าเขาเกือบจะตกส้วมแล้วเธอไปช่วยเอาไว้ จากนั้นเขาก็รักเธอหมดใจเลยหรอกนะ”


 


 


ในหัวมีคำว่า ‘ไสหัวไป’ วนเวียนอยู่นาน แต่อันหร่านกลับเลือกใช้การกระทำมาแสดงออกถึงความรู้สึกในใจมากกว่า


 


 


“เธอจะฆ่าฉันหรือไง!” ซย่าเสี่ยวมั่วโวยวายแล้วหลบการโจมตีของอันหร่าน กุมหัวตัวเองแล้วกระโดดไปนั่งบนโซฟา


 


 


อันหร่านโยนหนังสือที่ม้วนเป็นทรงกระบอกลงบนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยเตือน “หยุดมโน”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วหัวเราะอย่างชั่วร้าย “คงไม่ใช่เพราะว่าเขาแกะเข็มขัดไม่ออกหรอกนะ…ฮ่าๆๆๆ”


 


 


ยังไม่ทันที่เธอจะพูดเสริมจนครบถ้วน อันหร่านก็ไม่รู้ว่าจะมีฉากที่ทนฟังไม่ได้แบบไหนอีก “พอได้แล้ว ก็แค่สบตากันเท่านั้นแหละ”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วร้อง “อ๋อ” เสียงยาว แฝงไว้ด้วยความนัยลึกซึ้ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้า “พวกเราก็แค่คนที่ปวดฉี่พร้อมกันเท่านั้น…”


 


 


อันหร่านยับยั้งแขนของตนที่อยากจะเงื้อขึ้นเอาไว้ จับไหล่ของซย่าเสี่ยวมั่วแล้วเขย่าแรงๆ “อยากจะเย็บปากเธอจริงๆ”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วโดนเขย่าจนเวียนหัว เอ่ยร้องอ้อนวอน “ตอนทำงานเราควรจะคิดถึงผลที่ตามมาหน่อยนะ ฉันเวียนหัวจะตายแล้วเนี่ย”


 


 


อันหร่านผละออก ก่อนจะจิ้มเข้าที่กะโหลกของเธอ “ถ้าเธอเอาความปากร้ายไปใช้กับเซียวอู๋อี้ล่ะก็ ตอนนี้เซียวอู๋อี้คงนั่งร้องไห้อยู่ในห้องน้ำอะ”


 


 


“ถามห้องน้ำหรือยังว่าโอเคไหม” จู่ๆ ซย่าเสี่ยวมั่วก็พูดอย่างจริงจัง


 


 


ถ้าเขาร้องไห้อยู่ในห้องน้ำ ห้องน้ำจะโอเคเหรอ


 


 


อันหร่านหัวเราะจนจะเป็นบ้า “ไม่รู้สิ คงต้องขายร่างกายมั้ง”


 


 


สาววัยรุ่นติงต๊องสองคนนั่งมโนเปิดโลกจินตนาการกันจนกระทั่งเลิกงาน


 


 


หลี่หมิงฉวีที่ฟื้นขึ้นมาก็รู้สึกว่าปวดร้าวไปทั้งร่าง สมองยังคงสับสนมึนงง


 


 


“ในที่สุดนายก็ฟื้น” เฉิงนั่วนั่งห้อยแขนที่หักอยู่ข้างเตียง เมื่อเห็นหลี่หมิงฉวีลืมตาขึ้นก็รีบกดกริ่งเรียกหมอ


 


 


ฉินซื่อหลานรีบเดินนำเข้ามาทันที ไม่นานนักทีมแพทย์และพยาบาลก็เข้ามากันจนเต็มห้อง


 


 


เฉิงนั่วห้ามฉินซื่อหลานที่เพิ่งเข้ามาในห้องไว้ เงยหน้ามองตาของเขา “นายห้ามเข้า ฉันกลัวนายจะลงมือทำอะไรอีก เปลี่ยนเป็นคนอื่น”


 


 


ฉินซื่อหลานเป็นหมอมาหลายปี เป็นครั้งแรกที่เข้ามาดูอาการป่วยแต่ถูกห้ามไว้ เดิมทีก็รู้สึกละอายใจต่อหลี่หมิงฉวีเล็กน้อย จึงอยากมาไถ่โทษแทนไอ้รอง แต่คราวนี้ไอ้พวกคนโง่เง่าของเฉิงซีมาทำให้เขาไม่พอใจเข้าเสียแล้ว


 


 


เขายกมือขึ้นพาทีมแพทย์และพยาบาลทุกคนออกไป “ถ้าเก่งมากนักก็ไม่ต้องมาใช้คนของเรา”


 


 


เฉิงนั่วมองแผ่นหลังดูดีในชุดสีขาวของเขาที่พาทุกคนกลับออกไปแล้วก็รู้สึกหมดแรง รีบโทรศัพท์ไปหาศูนย์ของโรงพยาบาลเพื่อขอเปลี่ยนคน


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 254 เล่นตุกติก


 


 


“ไอ้รอง หลี่หมิงฉวีฟื้นแล้ว” ฉินซื่อหลานกลับไปที่ห้องพักผ่อนของตัวเองแล้วแอบรายงานสถานการณ์ให้เหยียนเค่อฟัง


 


 


เขารู้สึกว่าสมองของเฉิงนั่วน่าจะไม่ปกติ โรงพยาบาลเป็นของบ้านเขา ถ้าเขาจะแกล้งใครต้องลงมือเองด้วยเหรอ? แต่กลับมารังเกียจกันเช่นนี้ พอคิดแล้วก็น่าโมโห


 


 


“อืม น่าจะฟื้นได้แล้วแหละ ถ้าเขายังนอนต่อฉันคงต้องออกเงินแล้ว” เหยียนเค่อไม่อยากเอาเงินที่หามาอย่างยากลำบากนั่นมาเลี้ยงดูคนพิกลพิการหรอกนะ


 


 


“ฉันโดนคนของเฉิงซีทำตัวโง่ใส่จนจะโง่ตามอยู่แล้ว” ฉินซื่อหลานเอาหัวโขกกับราวแขวนเสื้อ หลังจากเล่าเรื่องราวให้เหยียนเค่อฟังแล้วก็เอ่ยทั้งน้ำตา “ถ้าไม่ใช่เพราะจรรยาบรรณนะ ฉันล่ะอยากจะแทงเข็มให้มันสักที พ่อฉันยังไม่เคยสงสัยตัวฉันขนาดนี้เลย”


 


 


พ่อของฉินซื่อหลานกลัวทุกครั้งว่าลูกชายตัวเองจะใส่ยาพิษลงไปในชาที่เขาดื่ม ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาจึงไม่ให้ฉินซื่อหลานแตะต้องอุปกรณ์ชงชาของเขาอีก


 


 


เหยียนเค่อหัวเราะเอิ๊กอ๊าก “คนพวกนี้ทำแต่เรื่องให้คนไม่พอใจจริงๆ ถ้าเขาหายแล้วเดี๋ยวพวกพี่จะไปแก้แค้นให้เอง”


 


 


“เหอะ! แค้นนี้ไม่ชำระฉันไม่ขอเป็นคน” ฉินซื่อหลานไม่ยอม


 


 


สำหรับหมอที่ได้มาตรฐานอย่างฉินซื่อหลานแล้ว ทำร้ายใครไม่เป็นหรอก ก็แค่แอบเล่นตุกติกเท่านั้น


 


 


“ที่ผมทำไปก็เพื่อคุณนะ มีวัยรุ่นโดนยาแก้ปวดเล่นงานไปตั้งกี่คนแล้ว เลยอยากจะเพิ่มความสามารถในการต้านทานความเจ็บปวดให้คุณไง”


 


 


เขาเป็นผู้มีอิทธิพลในวงการแพทย์และยารักษาโรค ทุกคนต่างคิดว่าการที่เขาจ่ายยาแก้ปวดให้น้อยก็ต้องมีเหตุผลของเขา ขอแค่ไม่เกินปริมาณที่กำหนดก็ไม่เป็นปัญหาอะไร


 


 


ตอนเช้ามืดหลี่หมิงฉวีเจ็บปวดจนต้องร้องครวญครางอย่างทรมาน เฉิงนั่วนอนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืน


 


 


เมื่อได้ยินรายงานจากพยาบาลแล้ว กระจกของฉินซื่อหลานก็สะท้อนแสงสว่างวาบวับพาดผ่าน รอยยิ้มในดวงตาถูกปกปิดเอาไว้อย่างดีเยี่ยม


 


 


วันต่อมาตอนเข้าไปขึ้นวอร์ด เฉิงนั่วก้มหัวให้เขา ขอร้องให้เขาจ่ายยาแก้ปวดให้เพิ่มอีกหน่อย


 


 


ฉินซื่อหลานหยิบใบจ่ายยาออกมาให้เขาดู เป็นปลื้มกับลายมืออันงดงามของตัวเองอยู่สักครู่ ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ยาแก้ปวดตัวนี้จ่ายให้น้อยไปจริงๆ ด้วย” ก่อนจะหยิบปากกามาขีดแก้เป็นปริมาณยาปกติ ไม่มีความรู้สึกละอายใจจากการจ่ายยาผิดเลยสักนิด


 


 


เฉิงนั่วโมโหแต่ไม่กล้าพูดออกมา จ้องฉินซื่อหลานจนแทบทะลุ


 


 


ฉินซื่อหลานไม่ใส่ใจสายตาของเขาที่มองมาสักนิด เหลือบมองหลี่หมิงฉวีที่แกล้งตายอยู่บนเตียงแวบหนึ่ง ก่อนจะเอามือไพล่หลังเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป เกือบจะฮัมเพลง ‘Fate Symphony[1]’ ออกไปเสียแล้ว


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วโทรศัพท์บอกแม่ว่าจะติดรถอันหร่านกลับบ้านของตัวเอง


 


 


สวีรั่วชีได้ยินเสียงคนเคาะประตูก็ส่องดูที่ตาแมว ก็เห็นซย่าเสี่ยวมั่วตัวแนบกับประตูแล้วพยายามมองเข้ามาด้านใน


 


 


สวีรั่วชีเปิดประตูให้เธอแล้วเยาะเย้ย “ยินดีต้อนรับเข้าบ้านฉันนะจ๊ะ”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วลืมกุญแจบ้านไว้ที่บ้านพ่อแม่ คลำหาใต้พรมก็หาไม่เจอจึงจำต้องเคาะประตู


 


 


“คุณสวี ไม่ได้มาเยี่ยมบ้านตั้งนานแล้วนะคะเนี่ย”


 


 


“มาปลอบใจเธอไง” สวีรั่วชียืนพิงที่ตู้วางของทรงโบราณมองเธอเปลี่ยนรองเท้า


 


 


“ปลอบใจ? ให้มันน้อยๆ หน่อย วันหยุดนี้ไปนัดบอดกับฉันแล้วฉันจะให้อภัย” ซย่าเสี่ยวมั่วยื่นข้อเสนอ เขย่งตัวไปโอบไหล่สวีรั่วชีก่อนจะเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ “ถ้าเธอไม่ไปกับฉัน ฉันจะไม่ยกโทษให้เธอ!”


 


 


“โอ้โห ไม่กล้าขอให้คุณซย่ายกโทษให้หรอกค่า” สวีรั่วชีย่อตัวหลบหลีกออกมาจากอ้อมแขนของเธอ ไม่ตกหลุมพรางที่เธอขุดไว้


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วดึงแขนเธอกลับมาก่อนจะอ้อนวอนอย่างหน้าด้านๆ “ขอร้องเถอะนะ ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย เราเป็นเพื่อนรักกันนะ”


 


 


สวีรั่วชีผลักหัวที่เข้ามาถูไถที่หน้าอกของตนออกไป ก่อนจะตอบรับแกนๆ “ถ้าเธออยู่ห่างจากฉันหน่อยฉันจะตกลง”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วแสร้งทำเป็นเสียใจ “เธอรังเกียจฉันเหรอ!”


 


 


“เธอได้เจอกับใครแล้วคุยอะไรกันบ้าง ประวัติคนไข้ที่เธอรออยู่ในอนาคตอันแสนไกล” สวีรั่วชีร้องเพลงที่ดัดแปลงเนื้อร้องเองแล้วเดินลิ่วเข้าไปในห้องครัว


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเจ็บปวดเป็นอย่างมาก บ่นพึมพำ “เธอเขียนประวัติคนไข้ให้ฉันได้ทุกเวลาเลยไม่ใช่หรือไง”


 


 


“ฉันก็ทำเพื่อให้เธอได้อยู่บนโลกนี้แบบคนปกติบ้างไง ดูซิว่าฉันคิดเผื่อเธอขนาดไหน”


 


 


 


 


[1] Fate Symphony หรือ Symphony No.5 บทเพลงของบีโธเฟ่น


ตอนที่ 255 ความทรมานจากอาหารสมุนไพร


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ได้กลับบ้านหลายวัน ในตู้เย็นไม่มีของเหลือแล้ว ขณะกำลังจะโทรสั่งอาหารก็เห็นสวีรั่วชีเปิดประตูบ้าน ไม่รู้ว่าไปทำอะไร


 


 


“นี่ อะไรอะ?” เธอมองกล่องเก็บความร้อนสีสันหลากหลายอย่างฉงนใจ


 


 


“ข้าว” สวีรั่วชีตอบเธออย่างสั้นกระชับ


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองโลโก้ ‘ซีเหยียน’ แล้วก็เบ้ปาก “คนรวยก็คือคนรวย สั่งข้าวมากินยังต้องสั่งของแพงขนาดนี้เลย”


 


 


“ฉันไม่ได้สั่งสักหน่อย” สวีรั่วชีเซ็นชื่อลงบนใบเสร็จ ก่อนจะหิ้วของเข้ามาด้านใน


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่ววางของจากในครัวแล้วรีบเข้ามาช่วยเขา ได้ยินเขาพูดเช่นนี้แล้วก็พูดชื่อหนึ่งขึ้นมาอย่างฉงนใจ “สวีอันหราน?”


 


 


สวีรั่วชีได้ยินชื่อนี้ก็หงุดหงิด ตอบรับอย่างไม่ยินดีนัก “อืม”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกุมใจตัวเอง “ยังไม่ทันตั้งตัวก็โดนพวกเธอโชว์สวีตใส่หน้าซะแล้ว แถมฉันยังต้องกินความสวีตนี่เข้าไปอีก”


 


 


“เธอจะไม่กินก็ได้นะ” สวีรั่วชีถลึงตาใส่คนที่ได้ผลประโยชน์แต่ยังพูดมาก


 


 


“นี่เป็นสิ่งที่เธอเอาตัวเข้าแลกเลยนะ ฉันก็ต้องกินสิ!”


 


 


“เอาตัวเข้าแลกบ้านเธอสิ!” สวีรั่วชีตีบั้นท้ายเด้งๆ ของเธอไปหนึ่งที “ไปล้างมือก่อน”


 


 


ทั้งคู่แย่งน้ำจากก๊อก แย่งก้อนสบู่กันเป็นเด็กๆ


 


 


หลังจากสวีรั่วชีกลับมาจากแอฟริกาแล้วก็เป็นหวัดนิดหน่อย หลังจากงานหมั้นก็ยังดีๆ อยู่ แต่คืนนั้นหลังจากที่คุยกับคุณพ่อสวีก็เริ่มเป็นไข้ ทำเอาสวีอันหรานตกอกตกใจนึกว่าเธอติดเชื้อไวรัส จึงลากเธอไปตรวจร่างกาย สองสามวันนี้ก็ให้เธอกินแต่อาหารที่ทำจากสมุนไพรตลอด


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองดูอาหารที่หน้าตาไม่เลวก็เริ่มขยับ หยิบช้อนตักซันเย่าเก๋ากี้บดคำใหญ่ แต่เมื่อเข้าปากแล้วก็เต็มไปด้วยรสชาติจืดสนิท รู้สึกเหมือนถูกหลอกอย่างไรอย่างนั้น


 


 


สวีรั่วชีเห็นสีหน้าของเธอก็รู้ว่าสิ่งที่เธอคิดอยู่ในใจจะต้องสุดยอดมากแน่ๆ


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วลากซุปไก่เข้ามา มองดูโสมที่ลอยอยู่ด้านบนก็ดันกลับไปอย่างรู้สึกเอียน


 


 


“พวกเธอเหมือนอยู่ในช่วงบำรุงครรภ์เลยอะ!”


 


 


สวีรั่วชีอยากจะเล่นงานเธอสักหน่อยแต่โดนเล่นงานกลับเสียเอง จึงหยิบปีกไก่ยัดปากเธอ “กินข้าวไปเลย! พูดอะไรไร้สาระ!”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองใบหน้าที่เหมือนจะขึ้นสีของเธอ ก่อนจะแทะปีกไก่ที่ไร้รสชาติอย่างเจ็บปวด


 


 


“ฉันอยากจะเรียกพ่อครัวมาคุยเลย ทำไมอาหารสมุนไพรต้องทำให้รสชาติแย่ขนาดนี้ด้วย เธอไม่ได้จะอยู่ไฟสักหน่อย!”


 


 


สวีรั่วชีเกือบจะทำน้ำซุปหกราดหน้าตัวเอง “เธอระวังปากหน่อย”


 


 


“หรือว่าเธอจะแท้งจริงๆ? สวีอันหรานเลวขนาดนั้นเลยเหรอ…”


 


 


สวีรั่วชีเอ่ยเตือน “เธอกินข้าวไปเถอะ อย่าคิดไปเอง จะเป็นไปได้ยังไง”


 


 


ก่อนหน้าที่ซย่าเสี่ยวมั่วจะกินข้าวยังโพสต์รูปภาพลงในเวยปั๋วอย่างตื่นเต้นอยู่เลย แต่พอกินเข้าไปแล้ว หัวใจก็รู้สึกขาดความรักความเมตตา


 


 


เห็นสวีรั่วชีที่ถึงแม้จะไม่ชอบแต่ก็กินอาหารทุกอย่างไปกว่าครึ่งแล้ว ก็พูดเสียงเบา “พลังของความรักนี่ยิ่งใหญ่เนอะ”


 


 


สวีรั่วชีเอือมระอากับสาวโสดที่ทำท่าจะอาเจียนตรงหน้าแล้ว ก็หยัดตัวลุกขึ้นเก็บจานชาม


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเอาอาหารที่กินเหลือตอนเที่ยงมาอุ่น ก่อนจะเอ่ยอย่างปวดใจ “โชคดีนะที่ฉันรู้ก่อน”


 


 


หยิบซุปไก่ที่สวีรั่วชีกินเหลือมาแล้วเอาโสมออก ก่อนจะเอาไปลงหม้อแล้วปรุงใหม่อีกครั้ง สุดท้ายก็หยิบขาหมูต้มมาหั่นจิ้มซอสกิน


 


 


“เธอมีทักษะแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย” สวีรั่วชีมองดูอาหารที่มาวางบนโต๊ะอีกครั้ง ลูบท้องที่น่าสงสารของตัวเองแล้วไม่มองเธออีก


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกินข้าวเสร็จ ก็เห็นมีคนในคอมเม้นต์ในเวยปั๋วว่า [อาหารสมุนไพรรสชาติแย่มากเลย]


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกดไลก์ให้เธอ ก่อนจะคอมเม้นต์ตอบ [รสชาติแย่มากจริงๆ แต่เพื่อนรักฉันกินเข้าไปเยอะเลยเพราะความรัก ทุ่มเทสุดๆ]


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 256 มีทุกข์ร่วมทุกข์


 


 


สวีรั่วชีเห็นเธอกินเสร็จแล้วจึงพูดเข้าเรื่องสำคัญ


 


 


“ช่วงก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นทำไมเรื่องใหญ่แบบนั้น”


 


 


“เซียวอู๋อี้ออกมาดิ้นไง” ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นว่ามีคนขอรูปเธอกับเพื่อนสนิท จ้องใบหน้างดงามแบบอาหารมื้อใหญ่ในงานเลี้ยงใหญ่โตของสวีรั่วชีอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนจะปฏิเสธอย่างหนักแน่น


 


 


“ตอนแรกฉันพูดอะไรไปนะ บอกให้เธอจัดการแบบถอนรากถอนโคนเลยเธอก็ไม่ฟัง”


 


 


“ครั้งนี้น่าจะจัดการแบบถอนรากถอนโคนแล้วล่ะ กลุ่มทนายของฉันฟ้องร้องเซียวอู๋อี้สำเร็จแล้ว”


 


 


สวีรั่วชีไม่คาดหวังว่าเธอจะตัดสินใจฟ้องร้องเซียวอู๋อี้จริงๆ “ข้อหาอะไร”


 


 


“ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของฉัน”


 


 


“ชิ” สวีรั่วชีกลับไปนั่งบนโซฟา นึกว่าเธอจะทำอะไรเจ๋งๆ ซะอีก สุดท้ายก็เรื่องแค่นี้เอง


 


 


“ดังนั้นตอนนี้ก็สามารถลงรูปเซลฟี่ได้อย่างเต็มที่แล้ว โฮ่ๆๆ”


 


 


“ดังนั้นการที่ก่อนหน้านี้เธอไม่มั่นใจในหน้าตาของตัวเองก็มีประโยชน์สินะ”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วคว้าคอเขาเข้ามาหา ก่อนจะพูดเสียงโหด “วันนี้ฉันจะลากเธอมาถ่ายด้วย”


 


 


ทั้งคู่เอียงหัวชนกันแล้วถ่ายไปหนึ่งรูป ใบหน้าสะสวยของสวีรั่วชีกลบรัศมีซย่าเสี่ยวมั่วจนมิด


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นคอมเม้นต์ด้านล่างแล้วก็ใช้สายตากวาดมองสวีรั่วชี


 


 


สวีรั่วชีหยิบรีโมตเปลี่ยนช่องไม่หยุด เธอก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรเหมือนกัน ก็บอกไปแล้วว่าอย่าโพสต์ สุดท้ายซย่าเสี่ยวมั่วบอกว่านางฟ้าตัวน้อยของเธอเป็นเด็กผู้หญิงที่มองคนจากภายใน…แต่ท้ายที่สุดตัวเองกลับโดนเล่นงานไปด้วย


 


 


หลิวหลี 111 : [อาจารย์มั่วอวี๋คือคนที่อยู่ด้านขวาต่างหาก]


 


 


แรงบันดาลใจกับกางเกงในไปด้วยกัน : [เขาบอกว่าอาจารย์เป็นคนที่ทั้งสวยและมีความสามารถไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่ใช่คนซ้ายล่ะ]


 


 


คนโสดต้องการสวีต: [คอมเม้นต์บนใช้ตาข้างไหนมองว่าคนทางซ้ายไม่สวยเหรอ]


 


 



 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเจ็บปวดกว่าเดิมอีก ปิดเวยปั๋วแล้วหาเรื่องต่อ


 


 


“เธอกับสวีอันหรานไปถึงขั้นไหนกันแล้ว”


 


 


“สวีอันหรานอารมณ์คึกดีไหม”


 


 


“พวกเธอคิดจะมีลูกกันกี่คนล่ะ”


 


 


“ไม่ต้องหน้าแดงเลย มีอะไรก็พูดมาจะหน้าแดงทำบ้าอะไร”


 


 


“ฉันอยากจะบีบคอเธอชะมัด” สวีรั่วชีพูดความในใจออกมา หยิบโยเกิร์ตออกมาแล้วยื่นให้เธอหนึ่งถ้วย “ช่วงฮีตของเธอมาไวไปหน่อยนะ สงบสติอารมณ์หน่อย สงบไปให้ถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าเลย”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วนั่งพิงโซฟาด้วยท่าทางเหมือนอาเสี่ยแล้วตักโยเกิร์ตเข้าปากทีละคำ


 


 


“ฉันลองนับนิ้วดูแล้ว ก็พบว่ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเธอเลย”


 


 


สวีรั่วชีรู้อยู่ก่อนแล้วว่าสมองของเธอยังไม่คงที่


 


 


“ถามมาเถอะ ฉันจะพยายามตอบให้ ถ้าอันไหนไม่อยากหลอกเธอฉันก็จะไม่ตอบ”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วหยิกแก้มเขา “รู้ทันอีก”


 


 


“เธอรู้จักเหยียนเค่อมานานแล้วใช่ไหม”


 


 


ความเงียบปกคลุม…สวีรั่วชีไม่ตอบ


 


 


ในความเงียบที่กระอักกระอ่วนนั้น ซย่าเสี่ยวมั่วจึงเริ่มจากคำถามที่ง่ายก่อน


 


 


“สวีอันหรานเป็นพี่ชายของเธอ”


 


 


“ใช่” สวีรั่วชีพยักหน้า


 


 


“เหยียนเค่อกับสวีอันหรานรู้จักกันนานแล้วใช่ไหม”


 


 


“ใช่” สวีรั่วชีรู้สึกว่าคำถามของเธอไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย “เธอถามอะไรไร้สาระเนี่ย ถ้า


 


 


สวีอันหรานไม่รู้จักเหยียนเค่อ เขาจะเรียกมาตอนวันเกิดเธอทำไม”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วโดนใส่ร้ายว่าโง่ สวีรั่วชีไม่ตอบคำถาม ‘ฉลาดๆ’ พวกนั้นของเธอต่อ มองดูการแข่งขันขี่ม้าในโทรทัศน์แล้วเบี่ยงประเด็น “ไว้ว่างๆ ฉันจะพาเธอไปขี่ม้า”


 


 


“ยานพาหนะอย่างอื่นนอกจากรถเมล์แล้วฉันก็ไม่นั่งทั้งนั้น ขอบคุณค่ะ” ตอนนี้แม้แต่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่ใช้แล้ว ยืนหยัดใช้สองเท้าของตัวเองก้าวเดินไปบนพื้นดิน


 


 


“ไม่เป็นไร ให้เธอไปดูพวกเราขี่ก็ได้” สวีรั่วชีพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก “มีคนน่ารำคาญเยอะเลย ดังนั้นเธอต้องไปกับฉัน”


 


 


“ทำไมทำกับฉันแบบนี้ล่ะ” ซย่าเสี่ยวมั่วยันที่วางแขนอย่างข้องใจ “ลากฉันไปแล้วเธอจะขายหน้าเปล่าๆ นะ”


 


 


“ฉันไปนัดบอดกับเธอ เธอไปสนามม้ากับฉัน ตามนี้”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วที่ตกหลุมพรางเข้าเต็มๆ ทำได้เพียงยอมรับความจริงที่กำหนดไว้แน่นอนนี้แล้ว ก่อนจะวางแผนหาเวลาส่วนตัวไปฝึกซ้อมเสียหน่อย

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม