บุปผาเคียงบัลลังก์ 248-263
ตอนที่ 248 สมความปรารถนา
เซียงฉือไปถึงตำหนักเหวินอิง นางเดินทีละก้าวไปที่ข้างใต้กระดานปิดประกาศ ถึงแม้จะได้ฟังจากหลิ่วจุ้ยซึ่งทำให้นางตระหนกดีใจอย่างยิ่ง แต่ยังอยากจะเห็นด้วยตาของตนเอง
เมื่อไปถึงใต้กระดาน นางเพ่งสายตา หัวใจเต้นโครมครามอยู่ในอก นางไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ความดีอกดีใจจากการได้สิ่งที่คิดว่าสูญเสียไปแล้วกลับคืนมาเช่นนี้
หลิ่วจุ้ยก็ไม่ได้รบกวนนางเพียงมองแผ่นหลังของนางเท่านั้น แล้วทอดถอนใจ ไม่รู้ว่าตนเองเป็นผู้หญิงที่อ่อนไหวง่ายแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไร เพียงเห็นภาพเช่นนี้ก็ห้ามน้ำตาตนเองไว้ไม่อยู่
“เด็กโง่เอ๊ย คนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่จริงๆ ไม่รู้ว่าท่านผู้มีบารมีท่านใดแสดงอิทธิฤทธิ์ช่วยให้เจ้าเด็กนี่ได้สมปรารถนา”
หลิ่วจุ้ยบ่นพึมพำอยู่ข้างหลัง ส่วนเซียงฉือเต็มตื้นไปด้วยความดีใจ นางยืนอยู่เบื้องหน้ากระดาน ซึมซับสายลมจากรอบทิศ ความรู้สึกของนางในขณะนี้ ที่นี่คล้ายดั่งกลายเป็นจุดกึ่งกลางบนเวที จุดศูนย์กลางของโลก นางรับรู้ได้ถึงความสุขนั้น
ขนตายาวๆ ค่อยๆ กระพริบ เปลือกตาเผยอขึ้นเบาๆ ลำแสงสายหนึ่งส่องเข้าดวงตาที่ลืมขึ้นช้าๆ ดวงตาแจ่มใสดำขาวกระจ่างชัดคู่หนึ่งได้ลืมขึ้นแล้ว
“ผู้ที่ผ่านการสอบเป็นข้าราชสำนักสตรี จัดสรรไว้ดังนี้ กองราชเลขา อวิ๋นเซียงฉือ!”
สายตาเซียงฉือมองดูอักษรสีดำบนนั้น ปากอ่านออกเสียงตามค่อยๆ นางได้รับเลือกแล้ว นางสอบผ่านแล้ว นางกำลังจะได้เป็นข้าราชสำนักสตรีแล้ว
เซียงฉือปิติยินดีอย่างที่สุด นางปิดปากไม่อาจกลั้นน้ำตาแห่งความปิตินั้นได้
หลายวันนี้นางคิดว่าตนเองหมดโอกาสแล้ว คิดว่าตนเองสอบตกแล้ว นางเกือบท้อแท้หมดกำลังใจ คิดไม่ถึงว่าลมจะเปลี่ยนทิศโลกกลับมาสดใสอีกครา
“ช่างเหลือเชื่อ ช่างเหลือเชื่อจริงๆ”
เซียงฉือพูดขึ้นด้วยยังรู้สึกตระหนก เหอจิ่นเซ่อออกมาจากตำหนักเหวินอิงพอดี เมื่อเห็นอวิ๋นเซียงฉือที่ด้านหน้ากระดาน มุมปากผุดรอยยิ้มจางๆ แล้วพูดกับชิงโย่วข้าราชสำนักสตรีที่ข้างหลังนาง
“เจ้านำของพวกนี้ไปเก็บเข้าในคลังอย่าให้ผิดพลาดเด็ดขาด ข้ายังมีธุระอื่นต้องไปจัดการ”
เหอจิ่นเซ่อนำเครื่องแต่งกายมาจากข้าราชสำนักสตรีที่รับผิดชอบลงบันทึกอยู่ด้านข้าง นางมองดูสายผ้าทิ้งตัวบนชุดนั้น เครื่องแบบสีฟ้าครามของข้าราชสำนักสตรีกองราชเลขา
สมัยนั้นนางก็เคยสวมใส่มาเช่นกัน ตอนนี้เมื่อได้มาจับสัมผัสอีกครั้งทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น
นางถือชุดราชสำนักชุดหนึ่งแล้วเดินไปข้างกายเซียงฉือ เมื่อเห็นท่าทางดีใจของนางเช่นนั้นก็ถอนใจออกมา
“อวิ๋นเซียงฉือ ข้าขอแสดงความยินดีด้วยที่เจ้าได้สมปรารถนา”
พลันเซียงฉือได้ยินเสียงดังขึ้นที่ข้างกายจึงรีบหันหน้าไปแล้วก็เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเหอจิ่นเซ่อที่ยืนอยู่ข้างๆ
เมื่อนางหายตกตะลึงก็รีบทำความเคารพ
“คารวะใต้เท้าเหอเจ้าค่ะ”
แม้นางจะดูไม่ลุกลี้ลุกลนนัก แต่ในใจนั้นคลื่นใหญ่ยังคงถาโถมอยู่
“ลุกขึ้นเถอะ จากนี้ก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้วจริงๆ นี่เป็นเครื่องแบบของเจ้า”
เซียงฉือเงยหน้า เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเหอจิ่นเซ่อแล้วจึงเพิ่งรู้สึกว่าเรื่องเมื่อครู่ทั้งหมดดูเสมือนจริงยิ่งขึ้น
“ขอบพระคุณใต้เท้าเหอ พระคุณของใต้เท้า ข้าขอจดจำไว้ชั่วชีวิตด้วยความซาบซึ้งอย่างที่สุดเจ้าค่ะ”
เซียงฉือยื่นมือไปรับเครื่องแบบข้าราชสำนักสตรีจากเหอจิ่นเซ่อมาไว้ในมือแล้วลูบไล้แผ่วเบา ความสุขและความภูมิใจเอ่อท้นออกมาจากใจ
เหอจิ่นเซ่อมองดูรอยยิ้มปานบุปผาของนางแล้วยิ้มน้อยๆ
“สมใจปรารถนาของเจ้าแล้ว จำไว้พรุ่งนี้ยามเฉินต้องไปรายงานตัวยังกองราชเลขา ห้ามสาย!”
รอยยิ้มของเหอจิ่นเซ่องดงามอบอุ่น หลังจากส่งเครื่องแบบให้เซียงฉือแล้วยังได้มอบปิ่นหยกใส่มือนางไปด้วย เซียงฉือเห็นแล้วจึงยิ้มอย่างตื้นตันใจ
“ขอบพระคุณใต้เท้า ข้าจำได้แล้ว จะไม่ทำให้ใต้เท้าผิดหวังเป็นอันขาดเจ้าค่ะ”
ตอนที่ 249 กุ้ยเฟยพิโรธ
อวิ๋นเซียงฉือกลับตำหนักอวี้หยวนด้วยใจยินดีปรีดาเต็มเปี่ยม แต่ไม่คิดว่าจินกุ้ยเฟยกำลังโกรธจัดอยู่ในเวลานี้
นางรู้สึกประหลาดใจ นางเห็นแล้วว่าบนกระดานมีชื่อของตนกับเซียงซือได้เข้ากองราชเลขาด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่สมควรจะยินดี แต่เหตุใดใบหน้ากุ้ยเฟยที่มองดูนางจึงประหลาดเช่นนี้
จินกุ้ยเฟยเรียกนางไป พอเข้าประตูแล้วเซียงฉือก็ถูกสั่งทำโทษให้คุกเข่า นางฟังเสียงลมฝนด้านนอกอยู่ตรงใต้ระเบียง อากาศบทจะเปลี่ยนแปลงก็เปลี่ยนอย่างไม่ให้โอกาสกันเลย แล้วลมก็โหมพัดกระหน่ำ
มีเพียงเซียงฉือคนเดียวที่ถูกสาดเปียกไปทั้งตัวอยู่ใต้ระเบียงโดยที่ไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิด
จินกุ้ยเฟยนั่งอยู่ตรงหน้าประตูมองดูเซียงฉือที่คุกเข่าอยู่ ดวงตาแฝงความชิงชัง
เซียงฉือไม่รู้ว่าก่อนที่นางจะกลับเข้ามา สายของจินกุ้ยเฟยในกองราชเลขาได้มารายงานว่าเซียงฉือเจตนาไปขอร้องเหอจิ่นเซ่อ เพื่อจะให้ได้เข้ากองงานราชเลขา
ซึ่งทำให้จินกุ้ยเฟยผู้หยิ่งยโสบันดาลโทสะอย่างรุนแรง
ก่อนหน้านี้นางจะให้เซียงฉือเข้ากองราชเลขาแต่นางกลับบ่ายเบี่ยงบอกปัด แต่นี่กลับแจ้นไปขอร้องต่อเหอจิ่นเซ่อเสียเอง
จะไม่ให้นางโกรธได้อย่างไร ความจริงนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ กุ้ยเฟยเพียงต้องการให้อวิ๋นเซียงฉือยอมสยบต่อนางจะได้ยินยอมพร้อมใจเป็นหูเป็นตาแก่นางในวันหน้าแล้วเรื่องนี้ก็จะผ่านไป
แต่อวิ๋นเซียงฉือนิ่งเงียบไม่พูดสักคำ จินกุ้ยเฟยเห็นแล้วยิ่งโกรธหนักขึ้น
ความจริงต้องการเพียงสั่งสอนให้นางรู้หนักเบา วันหน้าจะได้ไม่กล้าต่อต้านคำบัญชานางอีก แต่วันนี้เซียงฉือกลับแข็งขืน คุกเข่านิ่งไม่พูดสักคำ
ขณะนั้นแม้เซียงฉือยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ก็รู้ว่าจินกุ้ยเฟยกำลังโกรธนางอยู่
หลิ่วจุ้ยที่กลับมาก่อนย่อมได้รับฟังเรื่องหลายเรื่อง ตอนนี้หลังจากไปทำงานให้กุ้ยเฟยกลับเข้ามาถึงก็เห็นกุ้ยเฟยกำลังทำโทษเซียงฉือให้คุกเข่าอยู่ นางเก็บร่มกระดาษน้ำมันสีชมพูอ่อนแล้วค่อยๆ เดินเข้าไป พอเห็นสีหน้าของกุ้ยเฟยในห้องแล้วต้องลอบร้องแย่แล้วอยู่ในใจ
“กุ้ยเฟยเพคะ ทรงระงับความกริ้วเถิดเพคะ อย่าให้กระเทือนพระวรกายเลย นี่เพคะลิ้นจี่ที่พระองค์โปรดปราน เพิ่งได้มาใหม่ในปีนี้ หม่อมฉันปอกถวายสักผลให้ทรงชิมความสดนะเพคะ”
หลิ่วจุ้ยยกถาดลิ้นจี่สดที่เพิ่งได้รับบรรณาการเข้ามา นางไม่ได้พูดขอเมตตาให้เซียงฉือในทันที เพียงเข้าไปข้างกายกุ้ยเฟยแล้วส่งลิ้นจี่ที่ปอกเปลือกออกแล้วแก่นาง
กุ้ยเฟยมองนางแล้วเบนสายตาไปมองเซียวฉือที่ใต้ระเบียง ความโกรธหาได้ลดลงไม่
“ข้าไม่อยากกิน เจ้าออกไป ข้าอยากจะรู้นักเชียวว่าอวิ๋นเซียงฉือจะเก่งกาจแค่ไหน ถึงกล้าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา!”
เซียงฉืออยู่ใต้ระเบียงเงี่ยหูฟังแล้วอึ้งไป นางรู้แล้วว่าเหตุใดกุ้ยเฟยจึงได้โกรธนางหนักหนาเช่นนี้ แต่นางก็คิดขึ้นได้ในทันทีว่าเรื่องนี้นางได้ทำอย่างลับๆ แต่เกิดล่วงรู้ถึงคนอื่นเข้าเช่นนี้ แสดงว่าในกองราชเลขาจะต้องมีหูตาของกุ้ยเฟยแฝงเร้นอยู่เป็นแน่
เมื่อเป็นเช่นนี้ เซียงฉือจึงรู้จุดประสงค์ของกุ้ยเฟยที่ลงโทษนางในวันนี้ ทันใดนั้นก็เห็นหลิ่วจุ้ยส่งสัญญาณมาให้นาง
“กุ้ยเฟยเพคะ พระวรกายของพระองค์ล้ำค่ายิ่งนัก ถ้าหากสึกหรอแม้เพียงเล็กน้อย ฝ่าบาทก็จะปวดพระทัยยิ่งนะเพคะ พรุ่งนี้เซียงฉือก็จะเข้าไปทำงานในกองราชเลขาแล้วนะเพคะ”
“ที่ผ่านมาพระองค์ทรงเอ็นดูมีพระเมตตาต่อนางมาโดยตลอดจนนางเหลิงไปหมดแล้ว ถึงพวกสาวใช้อย่างหม่อมฉันจะไม่พูดแต่ก็อิจฉาอยู่ในใจนะเพคะ ตอนนี้นางจะจากไปเสียแล้ว พระองค์คงตัดพระทัยไม่ได้กระมังเพคะ”
“แต่นางก็ช่างไร้จิตไร้ใจ รู้จักแต่ว่าดีใจ ไม่รู้เสียเลยว่าพระองค์ทรงไม่อาจตัดพระทัยจากนางได้ ยังไม่รู้อีกว่าควรจะต้องเข้ามากราบบังคมทูลตามประสาผู้ใกล้ชิดอีก”
หลิ่วจุ้ยพูดได้น่าซาบซึ้ง คำพูดของนางทั้งเป็นการขอความเมตตาให้เซียงฉือ อีกทั้งยังให้กุ้ยเฟยมีก้าวถอยอีกด้วย
ตอนที่ 250 พี่น้องบอกลา
เซียงฉือได้ฟังคำพูดนั้นแล้ว นางไม่โง่เขลาจึงขยับเข้าไปอย่างว่องไว แล้วคารวะกุ้ยเฟยสามครั้ง
“หม่อมฉันเป็นคนเอาแต่ใจ ตั้งแต่เข้าตำหนักอวี้หยวนมา เพราะได้รับพระเมตตาจึงได้มีวันนี้ได้ พระกรุณาทั้งหลายทั้งปวงหม่อมฉันไม่บังอาจลืมเลือน น้ำพระทัยที่ทรงส่งเสริมให้ความสำคัญ หม่อมฉันย่อมต้องถวายชดใช้เพคะ”
“ขอกุ้ยเฟยทรงคลายพระทัยเถิดเพคะ”
เซียงฉือรู้เจตนาของหลิ่วจุ้ยจึงพูดจาอ่อนข้อต่อจินกุ้ยเฟย รับปากยินดีจะส่งข่าวคราวแก่นางในวันข้างหน้าเพื่อจะให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไป และเพื่อให้จินกุ้ยเฟยที่เป็นคนตรงไปตรงมาไม่คิดลงมือลับๆ ต่อนางต่อไป
หาไม่แล้วเรื่องนี้คงไม่อาจผ่านไปได้โดยง่าย จินกุ้ยเฟยถึงจะโกรธแต่ก็รู้ว่าจากนี้ไปเซียงฉือก็จะเป็นคนของฝ่าบาทแล้ว ถึงนางมีนิสัยใจร้อนแต่ไม่บุ่มบ่าม รู้ว่าไม่อาจทำอะไรเซียงฉือได้ก็มิสู้คบกับนางไว้ เพื่อเป็นหนทางหนึ่งในวันข้างหน้า
เมื่อกุ้ยเฟยคิดเช่นนั้นจึงให้เซียงฉือลุกขึ้น ถึงจะยังดูไม่พอใจนัก แต่ก็คร้านจะมองนางอีก จึงได้ให้รางวัลแก่นางตามธรรมเนียมแล้วให้นางกลับออกไป
ตั้งแต่รู้ว่าเซียงซือเข้ากองราชเลขาได้ นางจึงเทใจทั้งหมดไปที่เซียงซือ ตอนนี้เซียงซือก็รออยู่ด้านใน นางจึงไม่ต้องการพัวพันอยู่ด้วย อย่างไรเสียกองราชเลขานั้นสังกัดฝ่ายหน้า โอกาสที่จะกลับมาตำหนักอวี้หยวนของนางมีน้อยแล้ว นางจึงไม่อบรมอะไรให้มากอีก
แต่เซียงซือที่รู้เห็นอยู่ว่าเซียงฉือถูกทำโทษอยู่ข้างนอก กลับยังคงนั่งนิ่งทำไม่รู้ไม่เห็น ไม่พูดอะไรแทนเซียงฉือสักคำ หวังหมัวหมัวเห็นแล้วห่อเ**่ยวใจ
เซียงฉือคุกเข่าอยู่หนึ่งชั่วยาม ถึงแม้เป็นสาวใช้ถูกทำโทษให้คุกเข่าจะไม่ใช่เรื่องพบเห็นได้ยาก แต่นางสุขภาพอ่อนแอ ถึงจะไม่ได้ป่วยไข้อยู่เสมอ แต่อย่างไรก็เป็นร่างกายของคุณหนูจริงๆ
“เจ้านี่นะ ไม่รู้จักอ้อนวอนขอร้องเจ้านายตลอดเลย เด็กโง่ วันหน้าเข้าไปอยู่ในกองราชเลขา ได้ยินว่าใต้เท้าเหอเป็นคนที่ไม่เห็นแก่หน้าไร้น้ำใจที่สุด แล้วนิสัยเจ้าก็ดื้อรั้นแบบนี้นี่นะ คงมีความลำบากให้เจ้าไปเผชิญแน่ๆ”
เซียงฉือฟังคำพูดของนางแล้วได้แต่ยิ้ม รับยาขี้ผึ้งมาจากนางแล้วเลิกขากางเกงขึ้นทาถู หลิ่วจุ้ยหันหลังให้นางและเงียบไปนาน
“พี่สาวคนดี เหตุใดไม่มาคุยกับข้าเล่า วันหน้าพวกเราคงได้พบหน้ากันน้อยแล้ว”
คำพูดของเซียงฉือฟังสะเทือนอารมณ์ ดวงตาที่หลุบลงต่ำก็ระยิบไหว นางรู้สึกเศร้าใจเช่นกัน ไม่ใช่เพราะรอยบวมแดงที่เท้า
แต่เป็นเพราะไม่อาจจะไม่จากหญิงสาวเบื้องหน้าคนนี้ไปได้
“พี่สาวคนดี พวกเราไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ แต่เป็นยิ่งกว่า วันเวลาที่อยู่ในตำหนักอวี้หยวนนี้ขอบคุณที่มีพี่ ข้าถึงได้อยู่มาอย่างราบรื่น จะพูดว่ายังมีชีวิตรอดมาได้ก็ไม่ผิด สถานที่นี้แม้จะเยือกเย็น แต่ว่าใจของพี่กับข้านั้นอบอุ่นเหมือนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน”
เซียงฉือดึงมือนางไว้ นางเองไม่ถนัดพูดคำเลี่ยนๆ พวกนี้ แต่เพราะได้เห็นแผ่นหลังผอมบางของหลิ่วจุ้ย ทำให้นึกถึงความช่วยเหลือของนางที่มีต่อตนบนเส้นทางนี้ มิตรภาพเช่นนี้ทำให้นางซาบซึ้งสุดประมาณ
“เด็กโง่ พูดอะไรแบบนั้นเล่า เจ้าสอบเป็นข้าราชสำนักสตรีได้ ได้เป็นใต้เท้าแล้ว วันหน้าข้ายังต้องอาศัยเจ้าอยู่”
“ถ้าหากสาวใช้ตำหนักอื่นมากลั่นแกล้งข้า ข้าก็จะบอกว่าข้าเป็นพี่สาวของเจ้า ดูซิว่าพวกนั้นยังจะกล้าล่วงเกินข้าอีกหรือไม่”
“เพราะฉะนั้น เจ้าจะต้องทำตัวให้ดีอยู่ในกองราชเลขา อย่าทำให้ข้าต้องขายหน้า”
“ไม่ว่าถึงเมื่อใด ใต้หล้านี้ล้วนเป็นของฝ่าบาท แล้วเจ้าก็ต้องไปอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ จะต้องเรียนรู้ที่จะทำให้พระองค์พอพระทัย นิสัยแข็งกร้าวของเจ้าอย่าได้เอาออกมาใช้อย่างเด็ดขาด รู้ไหม”
หลิ่วจุ้ยปาดน้ำตา ดึงมือเซียงฉือแล้วสำทับเตือนอีกครั้ง
ตอนที่ 251 เช้าวันจากอวี้หยวน
เซียงฉือมองดูท่ายิ้มกะล่อนของนางแล้วก็หัวเราะพรวดออกมา นางกอดซบไหล่หลิ่วจุ้ย ดื่มด่ำกับเวลาแม้เพียงครู่ยาม นางมักจะพูดว่าเวลาผ่านไปอย่างรีบเร่งความจริงการถนอมทุกนาทีไว้จึงเป็นการดีที่สุด
หลิ่วจุ้ยถูกนางกอดไว้เช่นนั้นก็ยิ้ม รู้ว่านางเข้าใจเจตนาของตนจึงไม่พูดอะไรอีก เพียงลูบมือนาง ทั้งคู่กลับมาหวานชื่นมีความสุขดุจเคย
แต่เช้าวันรุ่งขึ้น ด้วยความช่วยเหลือของหลิ่วจุ้ย เซียงฉือสวมชุดสะอาดเรียบร้อย ชุดข้าราชสำนักสตรีสวมใส่อยู่บนร่างดูมีสง่าราศี หลิ่วจุ้ยมองอย่างยินดี
“ว่ากันว่าคนงามเพราะการแต่งกาย เจ้านี่เหมาะกับชุดข้าราชสำนักมาก เกิดมามีวาสนาคุณหนูนี่นะ”
เมื่อได้รับคำชมจากหลิ่วจุ้ย เซียงฉือผลักนางเบาๆ มองตานางแล้วกอดนางไว้
“ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ต้องขอบคุณท่านพี่มาก ข้าจะจดจำความดีของพี่ไว้ พวกเราจะเป็นคนครอบครัวเดียวกันชั่วชีวิต”
เซียงฉือกอดนางไว้ในอ้อมแขนแล้วพูดคำซึ้งใจ แต่คนในอ้อมแขนไม่อยู่นิ่ง ผลักไสนางแล้วเร่งพูดขึ้น
“เจ้าเด็กคนนี้ทำอะไรล่ะนี่ เสื้อผ้าดีๆ ถูกเจ้าทำยับหมดแล้ว เดี๋ยวพวกใต้เท้าในกองราชเลขาพากันหัวเราะเอาหรอก”
เซียงฉือไม่สนใจคำพูดนาง ยังคงกอดเอาไว้แบบนั้น เย้าแหย่อยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยคลายมือ
ทั้งคู่จูงมือกันออกจากห้อง พอพ้นประตูก็เห็นเซียงซือแต่งตัวเรียบร้อย กุ้ยเฟยประทานของรางวัลให้นางไม่น้อย ส่วนพวกคนในวังก็ถนัดปรับตัวตามสถานการณ์
ถึงเซียงฉือจะได้เป็นข้าราชสำนักสตรีเช่นเดียวกัน แต่ทุกคนรู้ว่าเซียงซือเป็นคนโปรดจึงพากันไปพูดคุยกับนาง ช่วยนางจัดชุดข้าราชสำนักสตรีให้เรียบร้อย
เซียงซือถูกห้อมล้อมอยู่ตรงกลางยิ้มแย้มแจ่มใส ได้รับความนับถือไปทั่ว ดูนางงดงามมีเสน่ห์ เซียงฉือถึงกับนึกชม ที่ผ่านมาไม่รู้เลยว่านางฉลาดลื่นไหลเข้าได้กับทุกคนเช่นนี้
ดูเหมือนท่านปู่จะกล่าวไว้ไม่ผิดว่าพวกนางพี่น้องต่างมีจุดเด่นแตกต่างกัน เซียงฉือดูเหมือนนุ่มนวล แต่นิสัยแข็งกร้าว ส่วนเซียงซือ นางคิดว่าวันข้างหน้าคงต้องทำความเข้าใจในตัวนางให้มากขึ้น
เซียงซือก็เห็นเซียงฉือยืนอยู่ใต้ชายคาจึงส่งเสียงดังเรียกขาน
“น้องเซียงฉือรอพี่ด้วย พวกเราเข้าไปกองราชเลขาด้วยกัน”
เซียงฉือได้ยินแล้วก็พยักหน้าไม่คิดอะไร นางก็ยังต้องการพูดคุยกับพวกหลิ่วจุ้ยอีกสักหน่อย ขณะนั้นหงหงยกชามน้ำค้างแข็งเดินเข้าไปหาแล้วส่งให้เซียงฉือ
เซียงฉือชะงักแต่ก็รับมา หงหงคนนี้เป็นเด็กปากแข็งใจอ่อน แต่ยังไม่ยอมโตสักที ยังคงต้องใช้เวลาหล่อหลอมสักพักจึงจะเติบโตขึ้น
แม้ยามนี้จะทำด้วยเจตนาที่ดีแต่ใบหน้ายังคงเง้างอไม่เต็มใจ เมื่อเห็นเซียงซือที่ยืนข้างๆ ท่าทางก็ยิ่งไม่ยินยอมพอใจ
ปากจึงพึมพำออกมา “มาพูดอะไรพี่ๆ น้องๆ เวลามีภัยไม่เห็นนางช่วยท่านสักนิด ต่อไปก็อยู่ให้ห่างคนทรามพวกนี้ไว้ด้วย”
จู่ๆ หงหงก็พูดคำพูดเช่นนี้ทำให้เซียงฉือตกตะลึงแล้วมองนางครู่หนึ่ง แล้วนึกได้ว่านางยังคงแค้นเซียงซือที่ทำเรื่องไม่ดีไว้ในอดีต เซียงฉือใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง วันหน้ายังคงต้องพบเจอกันบ่อยๆ หากยังเข้าใจกันผิดอยู่จะไม่ดีจึงเอ่ยปากแก้ตัวให้เซียงซือ
“พี่เซียงซือนับว่าไม่เลวต่อข้านัก เจ้าอย่าได้ตำหนินางเลยนะ เรื่องในอดีตผ่านแล้วก็ให้ผ่านเลยไป ตอนนี้อยู่ด้วยกันอย่างปรองดองไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดหรอกหรือ”
เซียงฉือปลอบนาง แต่ไม่คิดว่าจะถูกหงหงถลึงตาใส่
“ดั่งสุนัขกัดหลี่ว์ต้งปิน[1] เอาเป็นว่าข้ากังวลใจแทนท่านเสียเปล่าก็แล้วกัน อย่างไรพี่น้องกันเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ พี่หลิ่วจุ้ย ต่อให้พี่ดีกับนางแค่ไหน นางก็ยังคงนับคนไร้น้ำใจคนนั้นเป็นคนในครอบครัวอยู่ดีนั่นแหละ ฮึ”
[1] ดั่งสุนัขกัดหลี่ว์ต้งปิน (狗咬吕洞宾,不识好人心) หลี่ว์ต้งปินคือหนึ่งในแปดเซียน ตอนก่อนเป็นเซียนบำเพ็ญพรตอยู่ ได้รับคำสั่งให้นำภาพวาดวิเศษไปจับเห่าฟ้า สุนัขสวรรค์ของเทพสามตาที่ลงมาทำร้ายมนุษย์โดยพลการ เมื่อจับขังไว้ในภาพแล้วเกิดสงสารกลัวมันถูกเผามอดไหม้จึงปล่อยออกมา กลับถูกเห่าฟ้ากัดเข้าให้… สำนวนนี้จึงนำมาใช้ในความหมายเปรียบเปรยว่าคนที่ไม่เห็นความตั้งใจดีของผู้อื่น แล้วยังแว้งกัดอีก
ตอนที่ 252 สู่กองราชเลขา
หงหงพูดออกมาเช่นนั้นและไม่ให้โอกาสนางอธิบายให้กระจ่างก็หมุนตัวยกถาดที่มีน้ำค้างแข็งวิ่งหนีไปโดยไม่พูดอะไร
เซียงฉือไม่เข้าใจการกระทำของนางจึงจ้องมองหลิ่วจุ้ยและคิดจะพูดอะไรแต่เห็นเซียงซือเดินเข้ามา
“เจ้าเก็บของเรียบร้อยแล้วใช่ไหม ดูเวลาแล้วพวกเราน่าจะไปกันได้แล้วล่ะ ถ้าไปสายตั้งแต่วันแรกคงจะไม่ดีเท่าไหร่”
เสียงของเซียงซือดังมาจากข้างหลัง เมื่อหลิ่วจุ้ยเห็นนางจึงส่งห่อของให้เซียงฉือ วันนี้จะต้องหอบสัมภาระไปยังกองราชเลขาด้วยเลย ถึงจะรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปาก
หลิ่วจุ้ยอมยิ้มพูดกับนางว่า “เจ้าเด็กนั่นก็บ้าๆ บอๆ แบบนั้นแหละ เจ้าก็อย่าเอามาใส่ใจเลย วางใจไปเถอะ ดูแลตัวเองให้ดี”
เซียงฉือเดินพลางหันหลังกลับไปมองจนกระทั่งพ้นออกประตูหน้าตำหนักอวี้หยวน จากนั้นจึงจูงมือเดินไปกับเซียงซือ
ทั้งคู่เดินคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ต่างเป็นคนใหม่และยังเป็นพี่น้องกัน ความสัมพันธ์เช่นนี้เมื่อไปอยู่ในกองราชเลขาแล้วสมควรต้องดูแลกันและกัน ควรจะเป็นเช่นนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
พอเดินห่างตำหนักอวี้หยวนไปได้ช่วงหนึ่ง เซียงซือจึงพูดขึ้นก่อนว่า
“น้องสาว คนในวังต่างพากันแปลกใจว่าเจ้าไม่ได้ผ่านกองเย็บปักที่เป็นด่านสุดท้าย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดใต้เท้าเหอแห่งกองราชเลขาเกิดสนใจเจ้าขึ้นได้ เพียงเห็นกันชั่วครู่ยามก็ทำให้นางเลือกเจ้าแล้ว ทั้งยังเป็นการเพิ่มเติมรายชื่อขึ้นมาจากรายชื่อเดิมเสียอีก”
“เป็นการจำเพาะเพิ่มตำแหน่งให้เจ้าเช่นนี้ เจ้านี่หน้าใหญ่ไม่เบาเลยนะ”
เซียงซือพูดเช่นนี้ด้วยน้ำเสียงเจือความริษยาน้อยๆ แต่เซียงฉือเป็นญาติพี่น้องกับนางจึงไม่คิดอะไรมาก มองว่านางคงแปลกใจจึงพูดขึ้นว่า
“ท่านพี่ไม่เข้าใจข้าหรือไร วันนั้นกุ้ยเฟยถามข้าว่าอยากเข้ากองราชเลขาหรือไม่ ความจริงข้าไม่ต้องการ แต่เรื่องราวบนโลกนี้เอาแน่นอนไม่ได้ ความจริงข้าคิดจะอาศัยหน้าของใต้เท้าสวี่เพื่อให้ใต้เท้าเหอช่วยพูดขอความเห็นใจแทนข้ากับใต้เท้าหวังชิงซิ่ว แต่ไม่คิดว่าผลสุดท้ายจะออกมาเช่นนี้”
“ตอนนี้ได้เข้ากองราชเลขา นับเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย”
เซียงฉือตอบกึ่งจริงกึ่งเท็จ นางไปขอร้องใต้เท้าเหอ แต่เรื่องของเหอเจี่ยนสุยไม่จำเป็นต้องพูดออกมาจึงต้องแต่งเรื่องขึ้นเพื่อให้เรื่องราวผ่านไปด้วยดี
เซียงฉือพูดออกไปเซียงซือก็พยักหน้ารับทราบ แต่ไม่รู้ว่านางเชื่อถือคำพูดเซียงฉือจริงหรือไม่
แล้วทั้งคู่ก็จูงกันเดินไปจนถึงหน้าประตูกองราชเลขา
ที่หน้าประตูมีข้าราชสำนักสตรีใบหน้าราวหยกขาว นางสวมชุดสีฟ้าครามเครื่องประดับศีรษะหยกยืนเด่นอยู่
“อวิ๋นเซียงซือ? อวิ๋นเซียงฉือ?” นางเป็นหนึ่งในผู้คุมสอบเซียงซือกับเซียงฉือจึงยังมีภาพของทั้งคู่อยู่ในความทรงจำ
แต่เพราะเป็นพี่น้องจึงมีความคล้ายคลึงกันอยู่ อีกทั้งสวมชุดข้าราชสำนักแบบเดียวกันจึงแยกแยะไม่ได้ว่าใครเป็นใคร
เซียงฉือเห็นนางงุนงงจึงเอ่ยขึ้น
“อวิ๋นเซียงฉือ คารวะใต้เท้าเจ้าค่ะ”
เพราะตอนนี้ยังไม่มีป้ายแขวนเอวจึงยังไม่ได้เป็นข้าราชสำนักสตรีของกองราชเลขา ไม่สามารถเรียกแทนตนเองว่าเปิ่นกวน หรือ เซี่ยกวน[1]ได้ เพียงทำความเคารพต่อนางตามธรรมเนียมปฏิบัติ
สตรีผู้นั้นมองนางแล้วยิ้ม พูดขึ้นว่า
“ไม่เลว ข้าเซียวอวี๋หรง ต่อไปก็ช่วยดูแลกันและกันนะ”
เซียวอวี๋หรงผงกศีรษะให้เซียงฉือกับเซียงซือ แล้วหมุนกายนำทั้งสองคนเข้าไปในกองราชเลขา เซียงฉือจึงได้เริ่มชีวิตใหม่ในวังของนางตั้งแต่นั้น
จากนี้ไปไม่ใช่นางกำนัลต่ำชั้นที่สุดในวังอีกแล้ว แต่มีผลงานการสอบเสมือนดั่งบุรุษที่สอบได้จิ้นซื่อ ไม่ต้องถูกเจ้านายตีตายตามอำเภอใจ ดูถูกเหยียดหยามไม่ใช่คนงานสาวใช้อีกต่อไป
[1] เปิ่นกวน (本官) หรือ ซย่ากวน (下官) เป็นสรรพนามที่ข้าราชการใช้แทนตนเอง
ตอนที่ 253 จัดสรรแบ่งงาน
เซียงฉือกับเซียงซือจูงกันเดินเข้าไปในกองราชเลขา วันนี้พวกนางมารายงานตัวที่นี่ โครงสร้างของกองราชเลขานั้นเรียบง่ายมาก เป็นเพียงอาคารสามชั้น โถงหน้าใช้เป็นโถงงาน ส่วนสวนด้านหลังเป็นที่พักของเหล่าข้าราชสำนักสตรีที่ต่างมีเรือนเล็กๆ แยกกัน ตรงกลางเป็นสระน้ำ พอถึงฤดูร้อนก็จะปลูกดอกบัว
บริเวณสระบัวที่อยู่ระหว่างสวนด้านหลังและโถงหน้ายังมีโถงวาดภาพอยู่ห้องหนึ่งซึ่งใต้เท้าเหอจิ่นเซ่อจะใช้เวลาแต่ละวันอยู่ในนานยาวนานที่สุด
“แต่ละวันใต้เท้าเหอจะต้องมาอยู่ที่นี่นานทีเดียวโดยห้ามคนเข้าไปรบกวน ซึ่งช่วงเวลานั้นถือเป็นข้อกำหนดที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรของกองราชเลขาเรา ดังนั้นหากไม่มีเรื่องจำเป็นจริงๆ ห้ามเข้าไปรบกวน”
“ที่ข้าพูดมานี่จำได้หมดแล้วหรือยัง งานในกองเราแต่ละวันมีไม่มาก งานสำคัญคือรับผิดชอบคัดลอกเอกสารประจำวันของฝ่าบาท อีกทั้งเข้าไปจัดแยกเก็บเอกสารให้เป็นระเบียบเรียบร้อย”
เมื่อใต้เท้าเซียวอวี๋หรงพูดจบก็นำเซียงฉือกับเซียงซือไปให้รู้จักคุ้นเคยกับกองราชเลขานี้ต่อ
ทั้งคู่เพิ่งมาเป็นครั้งแรกจึงเต็มไปด้วยความสนใจในสถานที่นี้ เพราะฉะนั้นดวงตาสองคู่ของคนสองคนจึงไม่เพียงพอ
ท้ายที่สุดเซียวอวี๋หรงก็ได้นำทั้งคู่ไปยังนาวาวาดภาพ สถานที่ลับส่วนตัวของใต้เท้าเห่อจิ่นเซ่อ
“ใต้เท้าเหอ คนใหม่มารายงานตัวแล้วเจ้าค่ะ”
พอเห็นใต้เท้าเหอเดินออกประตูมา เซียวอวี๋หรงจึงเดินเข้าไปแล้วรายงานต่อนาง
ใต้เท้าเหอมองดูสองสาวพี่น้องเบื้องหน้า แล้วยืนยิ้มอยู่ตรงที่เดิม
“ให้เซียงฉืออยู่ที่นี่ เจ้าพาเซียงซือไปอยู่กับเจ้า”
เพียงเห็นหน้า เหอจิ่นเซ่อก็แบ่งงานให้ทั้งคู่เสร็จแล้ว ทั้งอวิ๋นเซียงฉือและอวิ๋นเซียงซือยังคงยืนไม่รู้เรื่องราวอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าเหอจิ่นเซ่อกับเซียวอวี๋หรงคุยอะไรกันอยู่ที่ด้านหน้า
“ใต้เท้า เช่นนี้แล้วทางกุ้ยเฟย?”
เซียวอวี๋หรงอยู่ในกองราชเลขามานานพอควรจึงรู้ชะตากรรมจากนี้ไปของทั้งคู่ แต่ทุกคนก็รู้จุดประสงค์ของกุ้ยเฟยที่ส่งเซียงซือเข้ามาในกองดี การที่เหอจิ่นเซ่อทำเช่นนี้ ทำให้นางกังวลใจว่าจะเป็นการล่วงเกินกุ้ยเฟยจึงได้เตือนขึ้นมา
“กองนี้อย่างไรก็สังกัดวังหลังของฝ่าบาท ไม่ว่ากุ้ยเฟยจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่อาจเกินกว่าฝ่าบาทไปได้ พวกเราเป็นคนในกองราชเลขาจึงต้องให้ความสำคัญกับฝ่าบาทเป็นหลัก”
“พูดขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ”
พอเหอจิ่นเซ่อพูดเช่นนี้ มีหรือที่เซียวอวี๋หรงจะไม่เข้าใจเหตุผลเบื้องลึกจึงพยักหน้ารับทราบแล้วหมุนกายจากไป
เมื่อไปถึงเบื้องหน้าเซียงซือกับเซียงฉือจึงเอ่ยขึ้น
“เซียงฉือ ใต้เท้าเหอเรียกเจ้าเข้าไป”
“เซียงซือ เจ้าตามข้ามา”
เซียงฉือกับเซียงซือเมื่อได้ยินดังนั้นก็สบตากันด้วยความไม่เข้าใจ เซียงฉือไม่เข้าใจเจตนาในคำพูดของเซียวอวี๋หรงแต่ก็ไม่กล้าชักช้าแล้วทำความเคารพนางอย่างนอบน้อม
ส่วนเซียงซือชะงักไป แล้วพูดออกมาตรงๆ
“ไม่ทราบว่าใต้เท้าเหอมีเจตนาอะไร เหตุใดต้องปฏิบัติเช่นนี้ ให้เราสองคนพี่น้องต้องแยกกัน”
เซียงซือถามออกไปเช่นนี้ ความจริงนางคงไม่กล้าแสดงออกต่อใต้เท้าที่เป็นข้าราชสำนักสตรีเช่นนี้ แต่เพราะระยะนี้ได้รับการใส่ใจเป็นพิเศษจากกุ้ยเฟย อีกทั้งผู้คนในตำหนักก็พากันก้มหัวยินยอม ยกยอปอปั้น จนทำให้นางหลงระเริงไปชั่วขณะ
พอนางพูดเช่นนี้ เซียวอวี๋หรงก็ยิ่งให้ความเชื่อมั่นกับการจัดการของเหอจิ่นเซ่อเพิ่มขึ้นไปอีก
หญิงที่ไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญเช่นนี้ ถึงแม้จะได้รับแรงสนับสนุนจากกุ้ยเฟยก็ตาม หากคิดจะมาตั้งตัวฝากชีวิตอยู่ในวังแล้วละก็ คงเป็นเรื่องยาก
โดยเฉพาะในกองราชเลขาสถานที่สำคัญเช่นนี้ การพูดการกระทำต่างๆ ล้วนอยู่ในสายพระเนตรฮ่องเต้ วันนี้นางบุ่มบ่ามเพียงนี้ เป็นการละเมิดข้อห้ามสำคัญไปเสียแล้ว
ตอนที่ 254 พี่น้องผิดใจ
เซียวอวี๋หรงได้ยินอวิ๋นเซียงซือพูดดังนั้นก็ไม่เกรงใจ นางพ่นลมออกจมูกแล้วตอบว่า
“ที่นี่เป็นกองราชเลขาไม่ใช่ตำหนักอวี้หยวน ใต้เท้าเหอจะทำอะไรยังจะต้องเชื่อฟังเจ้าหรือไร”
“อายุน้อยเพียงเท่านี้ก็วางท่าลำพอง เห็นทีจะต้องขัดเกลานิสัยเจ้ามากหน่อยเสียแล้ว”
เซียวอวี๋หรงมองเซียงซือด้วยสายตาเย็นชา ขณะนั้นเซียงฉือยังไม่ได้ปลีกตัวออกไปจึงเห็นเหตุการณ์ แต่นางไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไร
เซียงซือพอเอ่ยปากก็รู้ว่าตัวเองพลาดไปเสียแล้ว แต่คนข้างเคียงไม่เข้าใจนางเลย วันนั้นในอุทยานหลวงนางเกิดความรักแรกพบต่อฝ่าบาท จากนั้นนางก็เฝ้าคิดถึงอยู่ทุกวัน แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าฝ่าบาท
ตอนนี้ในเมื่อนางมีโอกาสเช่นนี้แล้วย่อมจะไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปได้
นางได้ยินคำพูดของเซียวอวี๋หรงอีกทั้งเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ไม่ยอมปล่อยผ่านไปเช่นนี้
ยากนักกว่าจะมีโอกาส นางย่อมไม่ยอมให้สูญเสียไปง่ายๆ
“ใต้เท้าเซียว ข้าไม่มีเจตนาล่วงเกิน แต่ว่ากุ้ยเฟยส่งข้ามาที่นี่คิดว่าใต้เท้าทุกท่านคงจะทราบดีอยู่แล้ว แล้วเหตุใดจึงกลั่นแกล้งข้า หรือว่าท่านเป็นคนของซูเฟย”
เซียวอวี๋หรงฟังคำพูดนั้นแล้วยิ่งเดือดดาล แต่เพราะเห็นแก่หน้าจินกุ้ยเฟยจึงไม่ได้หุนหันทำให้เอิกเกริก แต่สิ่งที่อีกฝ่ายแสดงต่อนางยิ่งแย่ลง คำพูดเช่นนี้สำหรับนางแล้วนับว่าหยาบคายเกินจะรับฟัง
จะปล่อยให้ไปรับใช้เบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ได้อย่างไร ใต้เท้าเหอช่างรู้จักดูคนจริงๆ
“ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ก็อยู่นี่แล้วกัน ข้าก็ไม่ต้องการอยู่กับคนอย่างเจ้า คนโง่เง่าเช่นนี้เข้ามาอยู่ในกองราชเลขาได้อย่างไรกัน”
เซียวอวี๋หรงมองนางด้วยสีหน้าเย็นชา พูดจบก็เดินจากไปอย่างไม่เหลือไมตรี
เซียงซือยังอยู่ในที่นั้นอย่างรับไม่ได้ นางกระทืบเท้าดึงเซียงฉือไว้ พูดว่า
“ถ้าเจ้ายังเห็นข้าเป็นพี่สาว ก็ให้ข้าไปพบใต้เท้าเหอ ส่วนเจ้าไปกับใต้เท้าเซียวซะ”
เซียงซือพูดออกมาเช่นนี้ทำให้เซียงฉือตกตะลึงไปทันที อวิ๋นเซียงซือพี่สาวของนางเปลี่ยนเป็นคนหยาบคายไร้เหตุผลไปตั้งแต่เมื่อไร ถึงกับกล้าขัดคำสั่งของใต้เท้าเหอเช่นนี้
เซียงฉือคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใดนางจึงเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้จึงได้ตอบกลับไป
“พี่เซียงซือ ท่านกับข้าสายเลือดเดียวกัน ข้าจะไม่เห็นท่านเป็นพี่ข้าได้อย่างไร แต่เราสองคนเพิ่งจะมาถึงกองราชเลขา จะทำอะไรเอิกเกริกไม่ได้ อีกอย่างใต้เท้าเหอเป็นผู้บังคับบัญชาของท่านกับข้า ท่านมีความรอบรู้กว้างขวางคิดว่าต้องมีวิธีการทำงานของตนเอง พวกเราจึงควรเชื่อฟังตามคำสั่ง พี่เซียงซือก็ไปก่อนเถอะนะ”
เซียงฉือมองเซียงซือแล้วคิดจะปลีกตัวไป แต่ถูกเซียงซือดึงไว้
“เซียงฉือ ถ้าเจ้าได้ไปอยู่ข้างกายฝ่าบาทแล้ว จะยินยอมเปลี่ยนกับข้าหรือไม่”
เซียงซือถามอย่างไม่ยินยอม ส่วนเซียงฉือก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร ดูตามความคิดนางแล้วคือต้องการจะใกล้ชิดฝ่าบาท แต่เซียงฉือก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะเลือกอย่างไร
ถ้าหากนางยินยอมพูดปดก็สามารถพูดคำโกหกหลอกเซียงซือได้ แต่นางไม่ใช่คนเช่นนั้นจึงนิ่งเงียบไป
แล้วเหอจิ่นเซ่อก็ส่งนางกำนัลคนหนึ่งมา
“แม่นางเซียงฉือ ใต้เท้าเหอขอเชิญ”
พอนางกำนัลคนนั้นพูดจบเซียงฉือจึงถอนใจโล่งอก ปลดมือออกจากเซียงซือแล้วตามนางกำนัลคนนั้นออกจากที่นั้นไป
“อวิ๋นเซียงฉือ เจ้าหักหลังข้า!”
มือของเซียงซือถูกเซียงฉือแกะออกไปแล้ว นางมองตามเซียงฉือที่เดินห่างออกไป ปากบริภาษอย่างรุนแรง
จากนั้นมองดูเซียวอวี๋หรงที่เดินไปไกลแล้ว กระทืบเท้าแล้วตามไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ ถึงนางคิดจะกลับไปขอความช่วยเหลือจากกุ้ยเฟย แต่ก็ยังคงไม่ต้องการล่วงเกินใครให้มากในเวลานี้
เมื่อครู่นางเยือกเย็นไม่พอเลยจริงๆ
ตอนที่ 255 โอวาทเหอจิ่นเซ่อ
ถึงเซียงฉือจะจากมาแต่ใจยังคงคำนึงถึงเซียงซือซึ่งเฝ้าคิดมาตั้งแต่ต้น นางไม่เข้าใจการกระทำของเหอจิ่นเซ่อในวันนี้ ยิ่งไม่เข้าใจว่าเซียงซือที่เป็นคนใจกว้างเสมอมา เหตุใดวันนี้จึงเอาแต่ใจพาลอย่างไม่มีเหตุผล ต่างกับเซียงซือคนที่นางเคยพบเห็นในวันก่อนๆ ซึ่งนางไม่เข้าใจอย่างยิ่ง
เมื่อเดินเข้าไปใกล้เหอจิ่นเซ่อ นางกำนัลที่ยืนนิ่งแล้วก็เริ่มรายงานเหอจิ่นเซ่อที่กำลังวาดภาพอยู่ว่า
“ใต้เท้าเหอ อวิ๋นเซียงฉือมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
เหอจิ่นเซ่อสะบัดมือให้นางออกไป แล้วลุกขึ้นมองดูหญิงสาวตรงหน้า เซียงฉือก้มหน้าผงกศีรษะน้อยๆ ซุกซ่อนความสงสัยในดวงตา
“ใต้เท้า”
เซียงฉือเอ่ยปาก ตั้งท่าจะพูดแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
นางค่อยๆ หดกายที่ตั้งตรงจนอ่อนลงไป
“ว่าอย่างไร อยากจะถามข้าสินะว่าเหตุใดวันนี้ข้าจึงทำเช่นนี้ ไม่กลัวล่วงเกินกุ้ยเฟยหรือ หรือข้าทำเช่นนี้แล้วทำให้เจ้าพี่น้องต้องหมางใจกัน”
เหอจิ่นเซ่อยิ้มน้อยๆ นางเดินเข้าไปยกกาน้ำชา บรรจงเทน้ำชาที่เดือดถ้วยหนึ่งแล้วยกไปวางไว้ด้านข้าง มองดูเซียงฉือที่สายตาผุดความสงสัย
เซียงฉือเพียงมองนางแต่ไม่ได้ตอบอะไร นางจึงพูดต่อ
“ที่เจ้าไม่ถามไม่ใช่เพราะเจ้าไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร แต่เพราะเจ้ารู้สึกว่าไม่ควรจะพูด”
เซียงฉือก้มหน้านิ่งเงียบเป็นนานจึงได้เงยหน้าขึ้นยิ้มเยาะตัวเอง
“ใต้เท้าเหอเหมือนจะสามารถล่วงรู้ความคิดของข้าได้ทะลุปรุโปร่ง เพียงความคิดเล็กๆ นี้ก็ถูกท่านมองเห็นจนกระจ่าง”
ซียงฉือตอบเช่นนี้เท่ากับเป็นการยอมรับ เหอจิ่นเซ่อรินชาให้นางถ้วยหนึ่งแล้วพูดต่อ
“ต่างก็เป็นคนใหม่ของกองราชเลขา แต่เจ้ารอบคอบกว่านางทว่ายังไม่เพียงพอ การแสร้งทำหูหนวกเป็นใบ้เป็นวิธีที่เหมาะจะใช้อยู่ในวังหลังแบบนั้น แต่ถ้าไปถึงตำหนักเจิ้งหยาง ลูกไม้เพียงเท่านี้ไม่พอหรอกนะ”
เหอจิ่นเซ่อไม่เกรงใจ พอเอ่ยปากก็ทำให้เซียงฉือหวาดหวั่น ความรู้สึกเมื่อครู่ไม่ผิดเลย จะให้นางไปรับใช้ในตำหนักเจิ้งหยางแน่แท้ไม่ต้องสงสัย
แต่ว่าเหตุใดต้องเป็นนาง เซียงซือต่างหากที่กุ้ยเฟยแนะนำมาซึ่งน่าจะเหมาะสมมากกว่า แล้วเหตุใดจึงเลือกนาง เซียงฉือรับถ้วยชาซึ่งร้อนเพราะน้ำชาเดือดในถ้วย นิ้วมือเซียงฉือบอบบางนุ่มนวล แต่เพราะเหอจิ่นเซ่อรินชาให้ นางจะกล้าวางลงได้อย่างไร
ได้แต่รับรู้ถึงความร้อนจากถ้วยที่ทำให้นางต้องลอบกัดฟัน แต่ยังคงต้องสนทนาพาทีกับเหอจิ่นเซ่อต่อ
นิ้วมือเซียงฉือปวดร้อนอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็หายปวดตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ หรือว่าจะชาไปเสียแล้ว
เหอจิ่นเซ่อพยักหน้ายิ้มๆ
“เจ้ายังฉลาดไม่พอมารยาไม่เก่ง เหมือนกับต้นไห่ถังที่งอกเงยอยู่ในมุมมืด ผลิดอกเล็กๆ แต่ช่วงเวลาบานยาวนานมาก คนจำนวนมากมองไม่เห็นมัน ไม่ใส่ใจมันแต่พอปล่อยมันทิ้งไว้ก็ได้เห็นมันเพียรหันหาแสงอาทิตย์เพื่อจะได้เติบโตอย่างไม่หยุดหย่อน พอเบ่งบานแล้วก็นับว่างดงาม”
“ในวังนี้ไม่เคยขาดคนฉลาดปราดเปรื่อง ต้นไม้ที่ใหญ่เกินกว่าไม้อื่นในป่าย่อมถูกลมพัดโค่นหัก[1] จากนี้ไปหวังว่าเจ้าจะรู้จักปกปิดและยิ่งต้องรู้จักอดกลั้น”
เมื่อเหอจิ่นเซ่อวางกาลง เซียงฉือจึงวางถ้วยชาลงช้าๆ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งจึงยกมือขึ้นอีกครั้งโดยไม่สนใจปลายนิ้วที่ปวดแสบแล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้น
“เซียงฉือขอบคุณใต้เท้าที่แนะนำเจ้าค่ะ”
จากนั้นยกถ้วยแล้วดื่มจนหมด นี่คือความต้องการของเหอจิ่นเซ่อ สภาพของนางในตอนนี้ก็เหมือนกับดอกไห่ถังที่งอกเงยอยู่ในมุมมืด เพื่อความอยู่รอดจึงเพียรพยายามมุ่งหาที่ๆ แสงแดดส่องถึงเพื่อที่จะเบ่งบาน
แต่หากวันหนึ่งเมื่อนางได้ออกสู่แสงอาทิตย์แล้ว จะต้องเรียนรู้ที่จะหลบเลี่ยงการเปล่งประกาย เพื่อที่จะได้อยู่รอดยาวนาน
[1] ต้นไม้ที่ใหญ่เกินกว่าไม้อื่นในป่าย่อมถูกลมพัดหักโค่น (木秀于林风必摧之) เป็นการเปรียบเปรยคนที่มีความสามารถหรือโดดเด่นกว่าผู้อื่น มักจะถูกอิจฉาตำหนิติเตียนหรือเล่นงาน ดั่งคำที่ว่า เด่นเกินจะเป็นภัย
ตอนที่ 256 ตำหนักเจิ้งหยาง
เซียงฉือนั่งเป็นเพื่อนเหอจิ่นเซ่ออยู่ในศาลา รับฟังเรื่องมากมายที่นางฝากฝังอย่างถ้วนถี่ แต่นางคิดไม่ถึงว่าวันนี้เหอจิ่นเซ่อก็จะส่งนางไปอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้แล้ว
“ไม่รู้ว่าจะเป็นวาสนาของเจ้าหรือไม่ รู้สึกฝ่าบาททรงเฝ้าคอยเจ้าเป็นพิเศษ”
“ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า อารมณ์ของฝ่าบาทออกจะประหลาด พระองค์มักจะจับผิดพวกข้าราชสำนักสตรีที่คัดลอกเอกสารเหล่านั้น พระองค์ทรงครองราชสมบัติไม่นาน แต่กลับเรียกใช้หญิงสาวในวังที่ลายมือดีไปทั่วทั้งหมดแล้ว”
“แต่ว่าถึงตอนนี้คนที่ถูกใช้ได้ทนที่สุดก็คือราชเลขาอย่างข้าคนนี้นี่แหละ”
เหอจิ่นเซ่อเอ่ยคำพูดนี้ออกมาด้วยความรู้สึกขื่นขม แต่เซียงฉือฟังจับประเด็นได้ การที่นางได้รับเลือกนั้น เหตุผลสำคัญคือลายมือของนางใช้ได้นั่นเอง
ต้องขอบคุณท่านปู่อย่างยิ่งที่เคี่ยวเข็ญสอนสั่งอย่างอดทนในกาลก่อน หยาดเหงื่อในครั้งนั้นได้รับผลตอบสนองในวันนี้แล้ว
“ใต้เท้าเหอ เช่นนั้นแล้วข้าก็จะกลายเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรที่ต้องคอยอยู่ข้างๆ ฝ่าบาทใช่ไหมเจ้าคะ”
“แต่ว่าข้ายังไม่รู้จักฝ่าบาทมาก่อนเลย?”
เซียงฉือคิดไปแล้วก็ขำจนหัวเราะออกมา เพราะต้องการหลบเลี่ยงฮ่องเต้กับพวกคนใหญ่คนโตทั้งหลาย นางจึงซ่อนตัวอยู่ในโรงซักล้างและแทบจะไม่ย่างกรายออกข้างนอกเลย ทำให้โรงซักล้างกลายเป็นหอเย็บปักอันงดงามของตนไป
ต่อมาได้ไปอยู่ในตำหนักอวี้หยวนของกุ้ยเฟย มีโอกาสที่จะได้แสดงตัวต่อหน้าเจ้านาย แต่ส่วนมากแล้วนางจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหลิ่วเหยียน หลิ่วจุ้ยหรือแม้แต่หวังหมัวหมัวกับหงหง โดยที่ตนเองจะไม่เข้าไป พอมาคิดดูในตอนนี้ เป็นถึงนางกำนัลอาวุโสของตำหนักอวี้หยวนแต่กลับไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าฮ่องเต้เป็นอย่างไร ช่างน่าขบขัน
เซียงฉือพูดเช่นนี้ทำให้เหอจิ่นเซ่อพลอยหัวเราะไปด้วย เด็กสาวคนนี้แปลกดีทีเดียว
“ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ที่ทรงพระปรีชาจริงๆ ไม่เคยเลยที่จะไม่ทรงห่วงใยราชกิจ ใส่ใจดูแลราษฎรของพระองค์ ถึงเจ้าจะเป็นทายาทบ้านสกุลอวิ๋น เรื่องคดีบ้านสกุลอวิ๋นในครั้งนั้น ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทจะทรงมัวเมา พระองค์เป็นฮ่องเต้ประเสริฐที่ไม่ทรงชื่นชอบการกวาดล้างตระกูลและลงโทษต่อเนื่อง แต่เพราะเป็นกฎเกณฑ์มาตั้งแต่ครั้งบรรพชน”
คำวิพากษ์วิจารณ์ของเหอจิ่นเซ่อทำให้เซียงฉือรู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง สำหรับเหอจิ่นเซ่อแล้วนางไม่สมควรจะชื่นชมหรงจิง ครั้งนั้นเพราะหรงจิงส่งว่าที่สามีของนางไปออกรบ ทั้งยังเป็นคนส่งเขาไปยังแนวหน้าสุดอีกด้วย
หากเป็นอวิ๋นเซียงฉือ นางจะต้องเกลียดฮ่องเต้องค์นี้เข้ากระดูก แต่ว่านางกลับสามารถรับใช้หรงจิงมาได้ถึงสิบปีราวกับเป็นเวลาเพียงแค่วันเดียวเช่นนี้
นางไม่เข้าใจเลยว่าเหอจิ่นเซ่อทำมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
นางไม่เข้าใจ จึงเอ่ยปากเพื่อถาม
“ข้ามีเรื่องที่ไม่เข้าใจมาตลอดเรื่องหนึ่ง ไม่ทราบว่าใต้เท้าจะยินยอมคลายข้อข้องใจให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
ความลังเลปรากฏขึ้นบนใบหน้าเซียงฉือ สาเหตุเพราะเรื่องนี้เป็นความลับส่วนตัวของเหอจิ่นเซ่อ แต่สภาวะจิตใจของนางยามนี้ ปรารถนาจะได้คำตอบจากเหอจิ่นเซ่อบ้าง
เหอจิ่นเซ่อเห็นท่าทางอึกอักอ้ำอึ้งของนางแล้วก็พอจะเข้าใจ
และไม่ต้องให้เซียงฉือคิดมากไปกว่านั้นนางจึงเอ่ยขึ้น
“ถ้าเจ้าอยากถามว่าการที่ฝ่าบาทส่งเขาไปแนวหน้า ทำให้เขาต้องตายในสนามรบ เหตุใดข้าจึงไม่โกรธแค้นพระองค์ ทั้งยังเข้าวังมาเป็นข้าราชสำนักสตรี เป็นราชเลขาที่ดุจดั่งพระกรซ้ายขวาของพระองค์อีก”
“หากเป็นคำถามนี้ ข้าตอบเจ้าได้เพียงว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นโชคชะตา ในเมื่อเขาเป็นขุนศึกต้องรักษาชายแดน เป็นหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบสุดความสามารถอยู่แล้ว การพลีชีพเพื่อชาติก็คือจุดหมายปลายทางของเขา”
“ในวงราชการที่ไม่แน่นอน หากเจ้ายังมัวยึดติดอยู่กับเรื่องบุญคุณความแค้นส่วนตัว ก็เท่ากับว่ายังมองวงราชการอีกทั้งราชนิกูลไม่กระจ่างอย่างแท้จริง”
“แต่ว่าไม่ต้องรีบร้อน พอไปอยู่ข้างฝ่าบาทแล้ว เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เจ้าก็จะเข้าใจความนึกคิดของตัวเองในวันนี้ได้ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น”
ตอนที่ 257 ป้ายขุนนางหญิง
เหอจิ่นเซ่อจิบชาตอบอย่างสบายๆ แต่ไม่รู้ว่านางในตอนนั้นจะเป็นเช่นนี้หรือไม่
ทว่านางทำได้ดีมากเรื่องหนึ่ง คือการให้เซียงฉือไปดูไปคิดด้วยตนเอง
นางทั้งฉลาดและรอบคอบเช่นนี้ ในความคิดของเหอจิ่นเซ่อ ขอเพียงนางละความคิดถึงที่ไม่ควรมีอยู่ในใจนั้นทิ้ง ปลดความนึกคิดที่ไม่ควรมีอยู่นั้นลง แล้วเป็นข้าราชสำนักสตรีอย่างเต็มตัวแท้จริง อนาคตของนางนั้นย่อมสุดจะประมาณได้
ซึ่งนี่เป็นความคิดที่เหอจิ่นเซ่อมีในขณะนี้
และย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะบอกกล่าวออกมาให้เซียงฉือรู้
เซียงฉือฟังแล้วก็ยิ้ม เรื่องสนทนาพาทีจึงยุติลง ส่วนเซียงซือขณะนั้นกำลังเดินตามหลังเซียวอวี๋หรงทุกฝีก้าว ถึงเมื่อครู่นางจะโกรธแต่พอกลับมารู้สึกตัวจึงอับอายเกินทน
วันนี้นางทำเรื่องบุ่มบ่ามเกินไปจริงๆ ข้าราชสำนักสตรีที่สามารถเข้ามาในกองราชเลขาได้นั้น มีใครบ้างที่ธรรมดา
ดังนั้นเซียงซือจึงยิ่งนอบน้อม ขออภัยและยอมรับผิด เมื่อเซียวอวี๋หรงเห็นเช่นนั้นและรู้ดีว่านางเป็นคนที่กุ้ยเฟยให้ความสำคัญจึงไม่ถือสาหาความกับเรื่องที่เกิดขึ้นอีก
เมื่อไม่เอ่ยเรื่องนั้นแล้วจึงส่งป้ายห้อยเอวแก่นางอันหนึ่ง พูดเบาๆ ว่า
“นี่เป็นป้ายห้อยเอวของข้าราชสำนักสตรี เป็นการแสดงว่าจากนี้ไปเจ้าไม่ใช่นางกำนัลอีกแล้วแต่เป็นเสาหลักของประเทศชาติ การพูดการกระทำของเจ้าต่อจากนี้จะหมายถึงกองราชเลขา หวังว่าเจ้าจะรักษาเกียรติยศและความภูมิใจ ใช้ชีวิตอย่างสง่าผ่าเผยมีความสุขุมอยู่ในที่นี้”
“เจ้าไม่ต้องอิจฉาน้องสาวเจ้าเซียงฉือ ถึงนางจะได้รับใช้ฝ่าบาทก่อนเจ้า แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีเสมอไป เจ้าต้องเชื่อมั่นว่ากว่าจะได้พบพานเรื่องดีๆ นั้นย่อมต้องผ่านอุปสรรคมากมาย”
“ข้าราชสำนักสตรีในกองราชเลขาทุกคนล้วนเคยเป็นข้าราชสำนักงานอักษรของฝ่าบาทมาแล้วทั้งสิ้น แต่หน้าที่นั้นมีอัตราการเปลี่ยนตัวรวดเร็วที่สุด ที่ยาวนานที่สุดคือใต้เท้าราชเลขาเป็นอยู่ครึ่งปี ส่วนพวกสั้นที่สุดคือสามวัน”
เซียวอวี๋หรงพูดเช่นนี้ทำให้เซียงซือแอบดีใจ นางเริ่มคำนวณจากนิสัยทึ่มไม่ค่อยพูดจาของเซียงฉือว่าจะสามารถอยู่ข้างกายฝ่าบาทได้สักกี่วัน มุมปากจึงผุดยิ้มขึ้นบางๆ แต่ซ่อนไม่ทันจึงถูกเซียวอวี๋หรงเห็นเข้า
เมื่อคิดว่านางกับเซียงฉือเป็นลูกพี่ลูกน้องร่วมสกุลวงศ์วานเดียวกันยังเป็นถึงขนาดนี้แล้วก็ได้แต่ส่ายศีรษะ และไม่คิดอยากพูดอะไรต่อ แต่เซียงซือได้ฟังคำพูดเช่นนั้นแล้วกลับเกิดความสนใจและสอบถามไม่หยุด
“ใต้เท้าเซียว วันนี้ข้าทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมออกมาจริงๆ จากนี้ไปข้าจะไม่กำเริบเสิบสานแบบวันนี้อีกแล้ว ใต้เท้าเซียวมีจิตใจกว้างขวางจึงไม่ถือโทษข้าในครั้งนี้ ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
เมื่อพูดเช่นนี้แล้วใต้เท้าเซียวจึงไม่อาจโกรธได้อีกต่อไป นางยิ้มแล้วนั่งลง ลงมือจัดการเอกสารที่ต้องทำในวันนี้ มีเอกสารที่เก่ามากแต่เก็บไว้ไม่ดีบ้างจึงเปียกชื้นบ้างถูกหนูกัดแทะ จนไม่สามารถแยกแยะได้
พวกนางจึงมักต้องนำส่วนที่ถูกแมลงกัดหนูแทะพวกนี้มาคัดลอกใหม่เสมอๆ คัดลงในสมุดแล้วเก็บรักษาให้ดี ซึ่งเป็นงานของเซียวอวี๋หรงในระยะนี้
ในเมื่อใต้เท้าเหอบอกให้เซียงซือมากับนาง เช่นนั้นก็ให้นางช่วยแบ่งเบางานในส่วนนี้
แต่เซียงซือพอเริ่มพูดก็ไม่คิดจะหยุด ถึงแม้เซียวอวี๋หรงได้เริ่มลงมือเขียนงานอื่นแล้ว แต่เซียงซือทำเหมือนไม่เห็นแล้วถามต่อไป
“ใต้เท้าเซียว ตอนนี้มีเพียงเราสองคน เช่นนั้นท่านบอกหน่อยเถิดว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงมักเปลี่ยนตัวข้าราชสำนักสตรีงานอักษรเสมอๆ แล้วข้าราชสำนักสตรีที่ถูกเปลี่ยนตัวนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ถูกลดขั้น ปลดออกหรือได้เป็นพระสนม”
เซียงซือใช้คำพูดหยั่งเชิง นางถามเบาๆ ที่ข้างหูเซียวอวี๋หรงด้วยท่าทีระมัดระวัง แต่เซียวอวี๋หรงในตอนนี้คร้านที่จะสนใจนาง
ตอนที่ 258 ส่งตัวคน
นางตอบกลับไปเพียงประโยคเดียวเท่านั้น
“เป็นเพราะฝ่าบาทไม่ทรงโปรด แต่ไรมามีเพียงซูเฟยเท่านั้นที่ได้เป็นพระสนม คนอื่นนอกนั้นกลับเข้ากองราชเลขาทั้งหมดหรือกลับไปในตำแหน่งหน้าที่เดิม ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากนี้”
“ส่วนว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงทรงให้เปลี่ยนข้าราชสำนักสตรีงานอักษรนั้น บอกได้เพียงว่าหฤทัยราชันย์นั้นสุดหยั่ง ในกองราชเลขาเรามีเพียงใต้เท้าเหอเท่านั้นที่รู้ว่าฝ่าบาททรงคิดอะไรและมีพระประสงค์จะทำสิ่งใด”
เซียงซือฟังแล้วก็ทำท่าว่าเข้าใจและคิดจะถามเพิ่มเติม
แต่เซียวอวี๋หรงพูดตัดคำพูดของนางขึ้นก่อนว่า
“ถ้าเจ้าสนใจก็ไปถามใต้เท้าเหอ เท่าที่ข้ารู้ก็มีเพียงเท่านี้ แต่ถ้าเจ้าไม่ช่วยงานก็ออกไปซะ”
เซียงซือจึงได้เลิกสนใจ ขณะเดียวกันเหอจิ่นเซ่อที่ได้รับบัญชาฮ่องเต้ ก็ได้นำเซียงฉือไปยังตำหนักเจิ้งหยาง
เซียงฉือใช้เวลานานในการคิดใคร่ครวญไปตลอดทาง ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะมีหน้าตาท่าทางอย่างไร เคยได้ยินหลิ่วจุ้ยบอกกับนางว่า มีครั้งหนึ่งที่ฝ่าบาทเสด็จไปคุยธุระกับกุ้ยเฟย แต่เนื่องจากสถานะต่ำต้อยของนางกำนัลไม่อาจจะมองพระพักตร์ตรงๆ ได้ พวกนางจึงคอยแต่ก้มหน้าไม่กล้าเงยศีรษะมาตั้งแต่ยังเป็นนางกำนัลระดับล่าง
นางเคยหลบอยู่ข้างหลังกุ้ยเฟยแล้วแอบเงยหน้ามองฝ่าบาท ก็ได้เห็นบุรุษผู้นั้นสง่างามที่สุดในหล้าจริงๆ นางคิดว่าไม่ว่าสตรีคนใดเห็นเข้าจิตใจย่อมต้องหวั่นไหว
ส่วนอวิ๋นเซียงฉือตั้งแต่เข้าวังมาแม้จะมีโอกาสได้พบฝ่าบาทไม่น้อย แต่ว่าหากนางไม่ใช่ยืนอยู่หลังสุดของกลุ่มคน ก็ได้แต่เพียงก้มหน้าจ้องมองปลายนิ้วเท้าของตนเองเท่านั้น
ดังนั้นจึงยังไม่เคยได้เห็นพระพักตร์ฝ่าบาทจริงๆ สักครั้ง เมื่อคิดขึ้นแล้วความใคร่รู้จึงถูกกระตุ้นขึ้น
พอเดินเข้าตำหนักเจิ้งหยางเซียงฉือเริ่มตื่นเต้น แต่ก็เพียงไม่นาน
ซูกงกงอยู่ในตำหนัก ทำหน้าที่กำกับคนรับใช้ทั้งหลายให้ปัดกวาดเช็ดถูตามจุดต่างๆ
ส่วนตัวเขานั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้มีพนักในโถงด้านข้างอย่างเกียจคร้าน อาศัยโอกาสนี้ว่างเสียครึ่งวัน
ฝ่าบาทเพิ่งจะเสด็จออกไปหาเหลียนชินอ๋องเพื่อเดินหมาก เป็นเวลาที่พระองค์ไม่ต้องการผู้ติดตามมากโดยเฉพาะการนำเหล่าขุนนางไปด้วย การเสด็จออกนอกวังในวันนี้ ประการแรกอ้างเรื่องเดินหมากกับเหลียนชินอ๋อง ก็เพื่อจะออกไปเที่ยวหาความสำราญ หากพาขบวนซูกงกงไปด้วยดูออกจะเอิกเกริกเกินไป อีกทั้งขันทีก็ไม่ใช่บุรุษ ถึงจะปิดบังได้ แต่อย่างไรก็เป็นที่สะดุดตาผู้คนอยู่ดี
ประการที่สอง การหาข้ออ้างหนีออกไปเที่ยวของฝ่าบาทเช่นนี้ ถือเป็นการให้ตนเองได้หยุดงาน
แต่ไม่คิดว่าเหอจิ่นเซ่อจะพาเซียงฉือมาในเวลานี้
“อ้าว ใต้เท้าเหอสบายดีนะท่าน เหตุใดจึงได้มาตำหนักเจิ้งหยางในเวลานี้ ฝ่าบาทเสด็จไปเดินหมากกับเหลียนชินอ๋องแล้ว สายหน่อยจึงจะเสด็จกลับน่ะ”
ซูกงกงเมื่อเห็นเหอจิ่นเซ่อเดินเข้ามาก็ม้วนตัวลุกขึ้นแล้วรีบเดินเข้าไปรับหน้าอย่างสนิทสนม
เซียงฉือยืนอยู่ข้างหลังเหอจิ่นเซ่อ นางผงกศีรษะทำความเคารพซูกงกง
“วันนี้ข้าราชสำนักสตรีคนใหม่เข้ามารายงานตัว ฝ่าบาทเร่งเร้าข้ามาตลอดให้หาข้าราชสำนักสตรีที่มีความสามารถ ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงได้พานางมาถวาย”
“ในเมื่อฝ่าบาทไม่อยู่ เช่นนั้นก็ต้องฝากคนไว้กับซูกงกงแล้ว รอฝ่าบาทเสด็จกลับแล้วค่อยกราบทูลให้ทรงทราบก็แล้วกัน”
เหอจิ่นเซ่อไม่ห่วงอะไรเซียงฉือ ถึงตำหนักเจิ้งหยางจะเป็นที่ทรงงานของฮ่องเต้ แต่เวลาพิเศษที่มากกว่านั้นคือการกลับไปพบปะสนมนางในที่วังหลัง ส่วนในวันที่ไม่เข้าวังหลัง ก็จะให้เกี้ยวไปหามสนมนางในเข้าไปในตำหนักหลังของตำหนักเจิ้งหยาง
ซูกงกงไม่รู้สึกแปลกใจกับคำพูดของใต้เท้าเหอ เมื่อส่งคนมาแล้วก็ต้องให้อยู่ในตำหนักเจิ้งหยาง
จะต้องจัดเตรียมที่ทางให้พักก่อนจึงจะกลับมาทำงานต่อ ซูกงกงฟังและรับคำเหอจิ่นเซ่อ เมื่อส่งนางออกไปแล้วจึงมาพิจารณาเซียงฉือ
ตอนที่ 259 คุ้นเคย
ซูกงกงเผชิญหน้าและสบตากับเซียงฉือ สายตาของทั้งสองประสานกัน แล้วซูกงกงก็ก้มหน้าหัวเราะเบาๆ
เขาขยับกายสองก้าว เดินนำเซียงฉือเข้าไปด้านใน
“ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นแม่นางเซียงฉือที่มาเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษร ช่างเป็นวาสนาจริงๆ”
ซูกงกงหัวเราะเบาๆ และพูดไปด้วย สำรวจมองเซียงฉือตลอดร่างก็ว่าเรียบร้อยดี เขาไม่ใช่คนจู้จี้ชอบหาเรื่อง แต่เป็นคนที่อยู่ในวังนี้อย่างกลมกลืนและดีกับนางกำนัลขันทีทั้งหลายในตำหนักต่างๆ
“เซียงฉือคารวะกงกง ข้าเป็นคนใหม่ขอให้กงกงช่วยชี้แนะให้มาก ของขวัญเล็กน้อยไม่มีค่านี้ กงกงโปรดรับไว้ด้วยเถิด”
เซียงฉือส่งถุงสีทองในมือไปให้ อยู่ในวังนานเข้าย่อมเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้ดี การปฏิบัติต่อสตรีที่หยิ่งทะนงอย่างเหอจิ่นเซ่อนั้นต้องใช้ใจ หากมอบของธรรมดาพื้นๆ พวกนี้แก่นาง มีแต่จะทำให้นางรำคาญใจและดูถูกเหยียดหยาม
แต่สำหรับมนุษย์ในโลกอย่างซูกงกงนี้ ยังคงเป็นทองที่จะใช้ได้คล่องกว่า
ซูกงกงแม้ไม่ใช่คนละโมบ แต่ในเมื่อเข้ามาในตำหนักเจิ้งหยางแล้ว และเขาก็เป็นพวกหัวแถว การฝากเนื้อฝากตัวจึงย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยง
เขาก็ไม่ได้เกรงใจ ยิ้มและรับเก็บเข้าไว้ในแขนเสื้อ
“แม่นางอวิ๋นรู้ธรรมเนียมดีจริง ข้าละโมบแล้ว”
ซูกงกงปฏิบัติต่อเซียงฉือในวันนี้ต่างจากที่ผ่านมา มีความเกรงใจมากขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าก็กว้างขึ้นด้วย
“ซูกงกงเกรงใจเกินไปแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ มาถึงที่นี่แล้วยังมีเรื่องที่ไม่รู้อีกมาก ล้วนต้องขอให้ซูกงกงช่วยชี้แนะและอุ้มชูช่วยเหลือกันต่อไปในวันหน้า”
ถึงแม้เซียงฉือกับซูกงกงต่างทำงานอยู่ในตำหนักเจิ้งหยาง ตำแหน่งของเซียงฉือคือขุนนางงานอักษรขั้นที่เก้า ส่วนซูกงกงถึงจะไม่มียศตำแหน่งทางราชการ แต่เขาเป็นหัวหน้าขันทีของฝ่าบาท รับใช้ข้างกายฝ่าบาทมานานปีและรู้ใจฝ่าบาทที่สุด
การที่เซียงฉือมีไมตรีต่อเขาจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร
เมื่อหาข้ออ้างให้ตนเองได้แล้ว ทั้งคู่ก็สบตากันยิ้มๆ ในใจซูกงกงตอนนี้รู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว ต่างกับหญิงสาวคนอื่นที่พอมาถึงก็ถามเขาถึงรสนิยมของฝ่าบาท กระสันอยู่แต่คิดเปลื้องผ้าคลานขึ้นแท่นบรรทมในทันใด
ส่วนเซียงฉือเป็นคนที่ตั้งใจมาทำงานจริงๆ ทุกการเคลื่อนไหวมีมาดความฉลาดเฉลียวและน่าเกรงขามแบบข้าราชสำนักสตรี เขาผงกศีรษะอยู่ในใจ รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งเจิดจ้า
“ในเมื่อแม่นางเซียงฉือเอ่ยปากออกมาแล้วเช่นนี้ ข้าเองก็สนิทกับใต้เท้าเหออยู่บ้าง ย่อมต้องแนะนำบอกกล่าวให้หมดเปลือก แม่นางเซียงฉือตามข้ามา”
ข้าราชสำนักสตรีงานอักษรที่เซียงฉือจะเป็นนี้เป็นตำแหน่งงานสำคัญ เพราะขันทีในวังส่วนใหญ่เข้าวังมาตั้งแต่เล็ก มีการฝึกวิทยายุทธบ้าง แต่หนังสือนั้นรู้กันเพียงไม่กี่ตัว สิ่งสำคัญเพื่อเป็นการป้องกันการติดต่อเอื้อประโยชน์กันของขันทีกับขุนนางฝ่ายนอก
ส่วนข้าราชสำนักสตรีนั้นต่างกัน เมื่อเข้าวังมาเป็นข้าราชสำนักสตรีแล้ว นอกจากขอลาออกจากขุนนางหรือฝ่าบาทพระราชทานการสมรสให้ มิเช่นนั้นไม่อาจออกจากวังได้ชั่วชีวิต
ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ข้าราชสำนักสตรีก็เป็นสตรีในวังหลังของฝ่าบาท หากได้ถวายตัวก็จะกลายเป็นพระสนม ดังนั้นพวกนางจึงเป็นสตรีของฝ่าบาททั้งสิ้น
ข้าราชสำนักสตรีงานอักษรต้องติดตามรับใช้ฝ่าบาท ช่วยงานด้านคัดลอกร่างเอกสาร ช่วยตรวจสอบสำนวน ปฏิบัติงานตามคำสั่งให้เสร็จสิ้น และในบางกรณีก็ต้องร่วมบรรทมกับฝ่าบาท
เรื่องพวกนี้แม้เซียงฉือจะเข้าใจแจ่มแจ้ง แต่ในเมื่อนางได้เลือกเส้นทางเดินเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่อาจสำนึกเสียใจได้
ตำหนักเจิ้งหยางแบ่งออกเป็นตำหนักหน้าและตำหนักหลัง ตำหนักหน้านั้นเพื่อพบปะขุนนางราชสำนัก ส่วนตำหนักหลังจะเป็นของบรรดาสนมนางใน ตำแหน่งของเซียงฉือจึงอยู่ระหว่างกลาง เมื่อเดินไปถึงห้องนอนของเซียงฉือ ซูกงกงจึงชี้ให้ดูก็เห็นเรือนเดี่ยวเล็กๆ ประตูเดียว
“ซูกงกง ที่นี่เป็นห้องพักของข้าหรือ”
ตอนที่ 260 กฎระเบียบ
เซียงฉือตามซูกงกงไปถึงห้องหนึ่งในสวน ห้องนี้ตั้งอยู่ตรงกลางอันเป็นสถานที่ใช้เชื่อมเพื่อติดต่อไปมา เป็นครั้งแรกของเซียงฉือที่ได้เห็นการวางตำแหน่งห้องเช่นนี้จึงรู้สึกแปลกใจกับสถานที่นี้
ซูกงกงผลักประตู ด้านในเป็นห้องสำหรับผู้หญิง รอบห้องเป็นม่านสีชมพู เบื้องหน้าเป็นโต๊ะไม้แกะสลักจากไม้สาลี่ การตกแต่งภายในเป็นแบบห้องของกุ้ยเหริน ซึ่งทำให้เซียงฉือตกตะลึง
“ซูกงกง นี่หมายความว่ากระไร”
เซียงฉือเดินเข้าไปด้านใน ก็พบว่าหลังผ้าม่านบางเป็นเตียงขนาดใหญ่ ภายในห้องมีกลิ่นหอมรัญจวน ในโถงห้องมีแจกันเสียบกิ่งดอกท้อตั้งอยู่ การจัดแต่งล้วนเป็นตามแบบห้องส่วนตัวของหญิงสาว งดงามชวนหลงใหล
ซูกงกงเห็นเซียงฉือยืนขมวดคิ้ว ท่าทางอึดอัดอยู่กับที่ตรงหน้าประตูห้องนอนจึงยิ้มแล้วพูดว่า
“แม่นางเซียงฉือเป็นขุนนางงานอักษรขั้นที่เก้า ตามหลักแล้วไม่สามารถพักห้องตามแบบแผนนี้ได้ แต่แม่นางต้องเข้าใจว่าห้องนี้ฝ่าบาทสามารถเสด็จมาได้ทุกเวลา และแม่นางก็ต้องพร้อมที่จะรับเสด็จทุกขณะด้วย”
“อีกทั้งห้องนี้เชื่อมต่อจากห้องบรรทมของฝ่าบาทที่ตำหนักหน้า ส่วนตำหนักหลังคือโถงยางหรงที่พระสนมตำหนักต่างๆ ใช้ถวายงานบรรทม ไม่ว่าเมื่อใดที่ฝ่าบาทประสงค์เรียกหาเจ้าก็จะต้องปรากฏตัวในทันที ที่ข้าพูดมาเจ้าเข้าใจหรือไม่”
เซียงฉือได้ยินดังนั้น ด้วยความเป็นสตรีใบหน้าจึงแดงก่ำและใจก็เต้นแรงไม่อาจจะโต้ตอบได้จึงเพียงหน้าแดงก้มศีรษะต่ำแล้วพ่นลมออกจมูกเบาๆ
ซูกงกงเห็นท่าทางนางเช่นนั้นแล้วก็ส่ายหน้าพูดว่า
“แม่นางเป็นคนฉลาดข้าดูออก อีกทั้งยังแตกต่างจากพวกผู้หญิงที่มารับใช้ที่นี่ ข้าจึงจะบอกกับเจ้าเพิ่มเติมว่า ฝ่าบาททรงทุ่มเทกับราชกิจมากและมักทรงพักผ่อนอยู่ในตำหนักหน้า หากเจ้ามีน้ำใจก็จงช่วยแบ่งเบาพระราชภาระของพระองค์ให้มาก”
“เมื่อเป็นข้าราชสำนักสตรีแล้วก็ควรรู้ว่าแตกต่างจากสตรีทั่วไป อย่าได้เอ่ยปากบอกพระราชอุปนิสัยความเคยชินของฝ่าบาทต่อผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง จะได้ไม่เป็นการนำภัยมาสู่ตัว”
“เพราะข้าเห็นเจ้าเป็นคนของตำหนักอวี้หยวน คิดว่าจะต้องถูกกุ้ยเฟยเค้นถามทุกอย่างเป็นแน่ หากเจ้าไม่มีธุระก็พูดคุยกับพวกผู้หญิงในวังหลังให้น้อยไว้ พึงรู้ว่าวังหลังนี้อย่างไรก็เป็นวังหลังของฝ่าบาท”
ซูกงกงมีใบหน้ายิ้มแย้มดูเป็นผู้มีเมตตาเสมอมา เห็นใครก็ยิ้มให้ ในเวลานี้ก็ลดความเข้มงวดลงอีก
เซียงฉือเห็นแล้วก็เพิ่มความเคารพขึ้นอีกหลายส่วน
“กฎระเบียบของตำหนักเจิ้งหยาง ข้าจะจดจำให้จงดี”
ซูกงกงมีเจตนาชี้แนะนางซึ่งนางก็รับไมตรี เมื่อเก็บสัมภาระขึ้นและจัดเรียงเสื้อผ้าติดตัวมาเรียบร้อยแล้ว นางจึงหยิบเอกสารที่ซูกงกงวางไว้ให้ขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด
ซูกงกงพูดฟังดูง่าย แต่การจะเดินเหินอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ย่อมต้องมีกฎเกณฑ์ไม่น้อย หากไม่ใช่เพราะฝ่าบาทเร่งเรียกตัวแล้ว เวลานี้เซียงฉือควรจะได้อยู่อบรมฝึกฝนเรื่องกฎระเบียบกับใต้เท้าเหอ
แต่ตอนนี้กลับโยนหนังสือพิธีการเอาไว้เล่มหนึ่งเพื่อให้นางศึกษาเอง
เซียงฉือก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไร ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเที่ยง วันนี้เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วยิ่ง นางขยี้ตาที่รู้สึกล้าบิดขี้เกียจ แล้วท้องก็ร้องครืดคราดขึ้น
นางกุมท้องอย่างเขินๆ เพิ่งจะเข้ามาที่นี่วันแรกจึงไม่รู้ว่าจะไปรับประทานอาหารได้ที่ไหน นางค่อยๆ ย่องออกไปแล้วมองไปทางด้านหลังตำหนัก เห็นแสงสว่างไสวไปทั่วแต่ไม่มีเงาผู้คน เมื่อเดินเข้าไปในโถงยางหรงที่ด้านหลังตำหนัก ประตูทางเข้าเป็นผ้าม่านสีแดงอร่ามตา นางเป็นข้าราชสำนักสตรีคนใหม่ เครื่องแบบและป้ายห้อยเอวทำให้นางกำนัลที่เฝ้าประตูไม่กล้าขวางทาง
ความจริงนางตั้งใจจะไปถามว่าจะกินข้าวได้ที่ไหน แต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก นางกำนัลทั้งสองฟากก็พากันถอยออกไปก่อนแล้ว
เซียงฉือรู้สึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้ส่งเสียง แล้วเดินเข้าไป
เบื้องหลังผ้าม่านสีแดงมีไอน้ำแผ่คลุมหนาทึบ ในอากาศอบอวลด้วยกลิ่นหอมเย็นของดอกมะลิ ในฤดูกาลนี้หาดอกมะลิได้ยากยิ่ง นางรู้สึกว่ากลิ่นนี้หอมชวนดมจึงเดินก้าวเข้าไปอีก
ตอนที่ 261 โถงยางหรง
เซียงฉือมองซ้ายแลขวาแล้วเดินเข้าไปในห้อง นางไม่เห็นใครสักคนในที่นั้น ที่ศาลาริมน้ำขนาดใหญ่เต็มไปด้วยกลีบดอกไม้ร่วงหล่น
นางเดินเข้าไปใกล้แล้วรีบหยิบกลีบดอกไม้ที่ร่วงลงมากลีบหนึ่งขึ้นสูดดมกลิ่นของมัน
แล้วพริ้มตาเอ่ยขึ้นยิ้มๆ
“หอมจังเลย แต่ไม่รู้ว่าดอกอะไร”
“ของที่ฝ่าบาทใช้ ล้วนเป็นของดีๆ ทั้งนั้น”
เซียงฉือเมื่อเห็นในห้องไม่มีใครจึงพูดเองเออเองอยู่คนเดียว ไม่คิดว่าจู่ๆ จะมีเสียงคนพูดขึ้นที่ด้านหลัง
“นั่นเป็นดอกกุหลาบ เจ้าไม่รู้จักก็เป็นเรื่องปกติ”
เซียงฉือได้ยินเข้าก็ตกใจพรวดพราดลุกขึ้นยืน นั่นเป็นเสียงของผู้ชาย สมองของเซียงฉือนึกถึงฮ่องเต้ขึ้นก่อนเป็นขณะแรก
และย่อมไม่กล้าชักช้า รีบคุกเข่าลงที่ด้านข้างฟุบลงกับพื้นพูดขึ้นอย่างลนลาน
“หม่อมฉันอวิ๋นเซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรีกองราชเลขา ไม่ทราบว่าฝ่าบาทประทับอยู่ที่นี่จึงได้เสียมารยาท ขอฝ่าบาททรงอภัยด้วยเพคะ”
เซียงฉือหันกายกลับมาโดยที่ไม่ทันเห็นแม้เงาก็รีบคุกเข่า นางหมอบต่ำอยู่บนพื้น ดวงตามองเห็นแต่เพียงรองเท้ายาวสีดำคู่หนึ่งเบื้องหน้า บนนั้นปักเมฆมงคลด้วยด้ายทอง เป็นงานที่ประณีต คงจะสวมใส่สบายทีเดียว
เซียงฉือมองดูรองเท้าคิดจนเหม่อลอย
เป็นเช่นนั้นอยู่ชั่วขณะ คนที่ถูกเซียงฉือเรียกว่าฝ่าบาทก็ตกตะลึง จากนั้นปิดปากหัวเราะเบาๆ เซียงฉืองุนงง เสียงนี้ฟังดูคุ้นหู แล้วเสียงหัวเราะก็ยิ่งดังขึ้น
เซียงฉือจึงทำใจกล้าเงยหน้าขึ้นมองดูบุรุษเบื้องหน้า
นางขมวดคิ้ว มองดูผู้ชายตรงหน้า ความหวาดหวั่นในดวงตาแวบหายไปแล้ว ทันใดก็ถอนหายใจออกมาแล้วลุกขึ้น จากนั้นถอยหลังลงก้าวหนึ่งจ้องมองผู้ชายเบื้องหน้า เอ่ยขึ้นอย่างสงสัยและไม่สู้พอใจ
“เหตุใดเป็นท่าน”
“ที่นี่คือโถงยางหรงของฝ่าบาท ท่านกล้าเข้ามาโดยพลการ ท่านเป็นใครกันแน่ เพียงสวมเสื้อผ้าชิ้นเดียวก็กล้ามาอยู่ที่นี่ ไม่กลัวถูกใครเห็นเข้าหรืออย่างไร”
เซียงฉือพูดขึ้น ฝ่ายตรงข้ามหยุดหัวเราะนางแล้ว ชายเบื้องหน้าคนนี้คือหรงฉู่ที่เซียงฉือรู้จักมักคุ้น ผู้ชายที่ช่วยนางจับหิ่งห้อยคนนั้น
นางยังคงจดจำความดีของเขาได้ตลอดมา
หรงฉู่กอดแขนมองดูเซียงฉืออย่างนึกสนุก เห็นนางลอยหน้าลอยตาสลับบทบาทจากแขกเป็นเจ้าบ้านเสียเอง
“เจ้าไม่ต้องถามข้า เจ้าล่ะมาทำอะไรที่นี่ อ้อ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นข้าราชสำนักสตรีกองราชเลขาชื่ออวิ๋นเซียงฉือ”
หรงจิงมองดูนางแล้วถามกลับอย่างรู้สึกสนุก เซียงฉือยอมจำนนไม่คิดจะโต้คารมเสียดสี นางมองดูการแต่งกายของเขาแล้วพูดว่า “หรงฉู่ ถ้าไม่รู้ว่าท่านเป็นองครักษ์คนสนิทของฝ่าบาท คงต้องสงสัยว่าท่านเป็นฝ่าบาทเสียแล้ว”
เมื่อเซียงฉือเห็นว่าเป็นหรงฉู่จึงปล่อยวางความคิดแล้วนั่งลงที่ข้างสระน้ำ เลือกเก็บองุ่นที่ข้างๆ จากที่อยู่ในสุด เมื่อจัดองุ่นเข้าที่เหมือนเดิมแล้วก็โยนไปให้หรงฉู่หลายลูกแล้วดึงเขานั่งลง
หรงฉู่ฟังคำพูดของนางอย่างรู้สึกแปลกใหม่ วันนี้เขาได้สั่งห้ามคนนอกรบกวนแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดนางยังเข้ามาได้ ตอนเขากลับเข้าตำหนักเจิ้งหยางได้รับรายงานจากซูกงกงว่าข้าราชสำนักสตรีงานอักษรมารายงานตัวแล้ว
ซึ่งหรงจิงย่อมจะดีใจ แต่เขาออกไปข้างนอกมาทั้งวันจึงรู้สึกเหนื่อย จึงคิดจะอาบน้ำก่อนแล้วค่อยให้เรียกข้าราชสำนักสตรี แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นนาง ทั้งยังได้มาพบกับนางที่นี่อีกด้วย
ส่วนคำพูดของนางเมื่อครู่ แม้เซียงฉือจะเพียงพูดติดปากออกไป ทว่าเขากลับต้องการจะได้คำตอบ เขาอยากรู้ว่าถ้าหากนางรู้ว่าเขาไม่ใช่ทหารองครักษ์ต๊อกต๋อยแต่เป็นประมุขของไพร่ฟ้าคนปัจจุบันแล้ว จะมีท่าทีอย่างไร
เขาถอดรองเท้า เดินมาทั้งวันในชุดแต่งกายแบบคุณชายทั่วไปและเพิ่งจะได้กลับมา ร่างกายเต็มไปด้วยฝุ่น เขาจึงได้ปลดพวกเครื่ององค์ระเกะระกะสุดจะทนแต่ละอย่างออกไป
ตอนที่ 262 ลักกินเครื่องเสวย
ถ้าไม่ใช่เพราะได้ยินเสียงพูดของเซียงฉือ ตอนนี้คงพบกับนางอย่างตรงไปตรงมาแล้ว เขาสวมเสื้อสีขาวกระโดดลงสระน้ำตูม แล้วพูดขึ้นท่ามกลางสายตาตกใจของเซียงฉือ
“ไหนเจ้าลองบอกซิว่า ถ้าหากข้าเป็นฝ่าบาทแล้วเจ้าจะทำอย่างไร”
เซียงฉือค้อนเขาแล้วพูดยิ้มๆ
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะขอเป็นคนดีสักครั้ง จะไม่ปลุกท่านให้ตื่นจากฝันกลางวัน”
พอได้ยินคำตอบของเซียงฉือ หรงฉู่ก็หัวเราะก๊ากเสียงดังขึ้นมา เซียงฉือไม่สนใจเขา มองเห็นด้านข้างยังมีขนมเสี่ยวจินเกาอยู่ นางวิเคราะห์ครู่หนึ่งแล้วจึงดึงชิ้นหนึ่งจากด้านล่างยัดเข้าปาก
“เจ้าทำอะไร ขโมยกินนี่ เจ้าหิวหรือ หรือว่าซูกงกงไม่ได้ให้เจ้ากินอาหาร”
หรงฉู่เห็นกิริยานางเช่นนั้นก็หวั่นไหว ท่าการกินอย่างตะกละตะกลามของนางช่างน่ารักยิ่ง ระหว่างเขากับนางก็ไม่ได้พูดคุยกันมากนัก แต่ไม่รู้เหตุใดวันนี้จึงรู้สึกสนิทสนมยิ่งขึ้น ยังจำได้ว่าครั้งก่อนพบกันที่หอทิงเฟิง
ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงมีชะตาต้องกับนางนัก ระยะนี้พวกเขาทั้งสองได้พบกันบ่อย เทียบกับบรรดาพระสนมวังหลังที่ต้องการจะพบเขาแล้วกลับมีวาสนาพานพบมากกว่าเสียอีก
เมื่อหรงจิงคิดถึงคำคำนี้แล้วใจก็ยิ่งหวั่นไหว เขาเป็นประมุขใต้หล้านี้ ปฐพีนี้เป็นผืนแผ่นดินของกษัตริย์ คนที่อาศัยอยู่บนผืนดินนี้ล้วนเป็นไพร่ฟ้าของราชันย์ และนางก็เป็นข้าราชสำนักสตรี เขาเพียงเปิดเผยฐานะ ย่อมสามารถได้นางมาในทันที
แต่วันนี้เพราะเหตุใดเขาไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น แต่กลับยิ่งต้องการหาวิธีเพื่อปกปิดฐานะตัวตนของตนเองต่อไป
เซียงฉือถูกจับได้ว่าขโมยกินแต่นางก็ยังไม่ยอมแพ้ ทั้งยังลักจากด้านในส่งไปให้หรงฉู่ชิ้นหนึ่ง เขาตกใจชั่วขณะ แต่เขาเองก็หิวจึงรับแล้วกินลงไป
เขาเกิดมาก็เป็นโอรสกษัตริย์ การกินอยู่แต่งกายล้วนต้องมีคนดูแลเป็นการเฉพาะ ของที่จะเข้าปากจะต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียด แต่เหตุใดวันนี้เมื่อเซียงฉือส่งของกินให้เขาก็กินเข้าไปโดยไม่ลังเล
ขนมหม่าถีเกาลงท้องไปแล้วชิ้นหนึ่งเขาจึงเพิ่งนึกขึ้นได้
เซียงฉือยัดชนมเต็มปากน้อยๆ และกินลงไปอย่างยากลำบาก
“หม่าถีเกานี่ทำชิ้นใหญ่เกินไปจริงๆ ไม่รู้ว่าพระโอษฐ์ฝ่าบาทกว้างขนาดไหน ถึงได้เสวยลงได้ในคำเดียว”
เซียงฉือถอนใจเบาๆ เหมือนเกิดใหม่หลังเจอวิบาก เมื่อเห็นสายตาสนใจของหรงฉู่ นางจึงพูดขึ้น
“ข้าดูหนังสืออยู่ในห้องจนสาย พอเห็นห้องทางด้านนี้มีควันสีขาวลอยออกมาจึงคิดว่าเป็นห้องเครื่อง ก็เลยคิดจะมาหาอะไรกิน แต่ไม่คิดว่าจะเป็นห้องอาบน้ำกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะไปเสียนี่”
เซียงฉือพูดเช่นนี้หรงฉู่จึงรู้ว่านางหิวจริงๆ
เขาสวมเสื้อแช่อยู่ในสระน้ำ ตอนนี้แคว้นเซียวจิ่งให้ชายหญิงใช้ห้องอาบน้ำร่วมกันได้ เขาเองเวลานี้สวมเพียงชุดตัวใน ดังนั้นเซียงฉือจึงไม่มีเจตนาหลบออกไปเพียงเดินห่างไปหน่อยและไม่มองเขาเท่านั้น
อวิ๋นเซียงฉือนั่งอยู่ตรงโต๊ะข้างๆ วิเคราะห์หาวิธีที่จะดึงขนมที่เหลืออยู่ออกมากินอีกชิ้นก็เห็นหรงฉู่เดินออกมาจากห้องอาบน้ำโดยคลุมเสื้อตัวนอกไว้ เส้นผมยังคงเปียกน้ำหยดติ๋งๆ เขาพูดกับนางว่า
“ไปเถอะ จะพาเจ้าไปกินของที่อร่อยจริงๆ มื้อแรกของการได้เข้ากองราชเลขา ข้าเป็นเจ้าภาพเลี้ยงเจ้ากินของอร่อยเอง”
หรงฉู่ยิ้มเต็มที่จนดูสะดุดตา เซียงฉือเห็นดังนั้นก็ยิ้มตามพูดว่า
“ไม่รู้จริงๆ ว่าท่านเป็นใครกันแน่ จึงสามารถทำได้ทุกอย่างเช่นนี้ แต่ข้าเชื่อว่าได้พบกับท่านก็เหมือนข้าได้พบผู้อุปถัมภ์”
เซียงฉือไม่เคยแสดงท่าทางกระมิดกระเมี้ยนต่อหน้าเขามาก่อน แต่ไรมาแคว้นเซียวจิ่งไม่ใช่แคว้นปิด ข้อห้ามระหว่างหญิงชายในชนบทยังถือปฏิบัติบิดเบี้ยวกันไปบ้าง แต่ในสังคมชั้นสูง สตรีออกสังคมยังถือเป็นนโยบายทางการเมืองอย่างหนึ่งอีกด้วย
ดังนั้นระหว่างชายหญิงจึงคบกันได้อย่างเปิดเผย และขณะนี้เซียงฉือก็เป็นเช่นนี้
ตอนที่ 263 อาหารค่ำ
เซียงฉือหิวอยู่จึงเดินตามหรงฉู่ไป พอออกนอกประตูท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว
นางเดินตามเขาออกจากประตูหน้า แต่แล้วก็ผ่านเข้าไปในห้องของนางจึงชะงักไป
แต่ก็ยังคงติดตามเข้าไปด้วยความสงสัย แล้วก็เห็นเขาเปิดประตูอีกบานหนึ่งออกไป
ที่แท้ห้องของนางเป็นระเบียงที่เชื่อมอยู่กึ่งกลางหรอกหรือ
เซียงฉือคิดเช่นนั้นจึงรู้สึกโกรธขึ้นมา
“เมื่อก่อนท่านก็เดินผ่านเข้าห้องสตรีตามใจชอบเช่นนี้หรือ? นี่เป็นที่อาศัยของข้านะ ท่านมาเดินเข้าง่ายๆ เดินออกตามสบายแบบนี้ได้อย่างไรกัน”
เซียงฉือตาลุกอย่างไม่ค่อยพอใจ ที่นี่ตั้งแต่วันนี้ได้กลายเป็นห้องส่วนตัวของนางไปแล้ว จะปล่อยให้ใครๆ เข้าๆ ออกๆ ตามสะดวกได้อย่างไร
หรงจิงถูกนางว่าให้เช่นนั้นก็ชะงัก เขาก็เคยแต่เดินเข้าๆ ออกๆ ตามใจเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
แต่เห็นสีหน้าจริงจังของเซียงฉือแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตนเองเปลี่ยนแปลงสถานะอยู่ ดังนั้นจึงแหงนหน้าขึ้น ชี้ไปบนคานห้องพูดขึ้นว่า
“ถ้าลำพังตัวข้าก็จะเดินที่ข้างบนนั้น!”
เซียงฉือมองดูทิศทางที่นิ้วเขาชี้ไป นางนึกถึงบทร้องในงิ้วที่พูดถึงการเดินบนชายคาและไต่กำแพงได้ราวบินแล้วคอก็หด พูดออกไปอย่างขัดเขินว่า “รู้แล้ว เดินนำต่อไปเถิด”
เซียงฉือรู้สึกผิดแต่ไม่ได้พูดออกมา ยังคงเดินตามหรงฉู่ไป
เมื่อผ่านห้องเล็กไปแล้วก็ถึงตำหนักหน้าของตำหนักเจิ้งหยาง เดินไปทางประตูเล็กบานหนึ่งเพื่อหลบจากผู้คนแล้วเข้าไปในห้องเล็กห้องหนึ่ง
เซียงฉือไม่รู้ว่าที่นี่ใช้สำหรับทำอะไร รู้สึกแต่ว่ามืดสลัว ไม่รู้ว่าข้างในนี้มีอะไรอยู่ ได้แต่เดินตามติดฝีเท้าหรงฉู่ขึ้นหน้าต่อไป
“ที่นี่ที่ไหน ทำไมดูมืดจัง”
หรงฉู่ไม่บอกนางว่านี่เป็นห้องเครื่องเล็กที่เขาเตรียมไว้ วันธรรมดาหากเขาอยากกินอะไรก็จะสั่งให้ห้องเครื่องหลวงเตรียมอาหารว่างไว้ให้ และที่นี่จะมีของกินและผลไม้สดใหม่เตรียมไว้อยู่เสมอ ที่ผ่านมาหากเขาหิวขึ้นเมื่อไรก็จะลุกขึ้นมาหาของกินเอง
แต่ไรมาเขาไม่ใช่คนที่ชอบเรียกใช้คน เคยชินกับการทำอะไรบางอย่างด้วยตัวเองจนเป็นนิสัยไปแล้ว
เซียงฉือตามเขามาถึงที่นี่ พอเข้ามาก็ได้กลิ่นหอมลอยมา นางจึงรู้ว่าที่นี่จะต้องเป็นห้องเครื่องเล็ก
นางสูดจมูกเบาๆ
ในลังนึ่งมีบะหมี่นานาชนิดและของว่างอื่นๆ เซียงฉืออดไม่ได้เริ่มขยับนิ้วชี้ แต่เพียงนางยกหม้อนึ่งขึ้นและกลิ่นหอมปะทะจมูกเท่านั้นพลันนึกขึ้นได้ว่าที่นี่ไม่ใช่ตำหนักอวี้หยวน แต่ได้มาอยู่ในตำหนักเจิ้งหยางของฮ่องเต้แล้ว
นางมาลักกินเช่นนี้หากถูกจับได้ มีหวังต้องโทษหนักถูกตีห้าร้อยไม้จนพิการเป็นแน่
พอคิดขึ้นได้จึงเก็บมือที่ยื่นออกไปกลับเข้ามา
“วางใจกินไปเถอะ ที่นี่เป็นห้องเครื่องเล็กของฝ่าบาท คืนนี้ฝ่าบาทจะเสด็จกลับดึก เจ้ากินเถอะ สุดท้ายก็จะกลายเป็นว่าฝ่าบาทเสวยไปนั่นแหละ”
หรงจิงเมื่อเห็นเซียงฉือลังเลจึงนำของกินที่งดงามวิจิตรออกมาจากหม้อนึ่งใส่จานแล้วส่งให้เซียงฉือ
เซียงฉือมองดูท่าทางของเขาแล้วสูดดมกลิ่นที่ยั่วยวน ท้องก็ส่งเสียงดังครืดคราดขึ้นมา
หรงฉู่ยิ้มแล้วสนใจตัวเอง เขาหยิบของกินอีกอย่างออกจากซึ้ง ใช้ตะเกียบขจัดพิษคีบแล้วกัดกินคำหนึ่ง
ส่วนเซียงฉือรวบรวมความกล้าแล้วหยิบขนมสีเหลืองอร่ามชิ้นนั้นเข้าปาก ค่อยๆ เคี้ยวช้าๆ
“นี่เป็นอาหารมื้อใหญ่ของข้าในวันนี้แล้วหรือ” เซียงฉือคีบปลายเส้นดึงขึ้นสูงที่เบื้องหน้า แล้วหันไปมองหรงฉู่ที่ด้านข้างแล้วหัวเราะออกมา
หรงฉู่มองนางดวงตาเป็นประกาย เมื่อดวงตาทั้งสี่ดวงประสานกัน ความวับวาวในดวงตาถูกสะกดไว้ เซียงฉือไม่กล้าคิดอื่นใดจึงรีบก้มหน้าลง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น