เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย 247-250

 ตอนที่ 247 ความจริงในใจ 


 

 


“ฟังดูเหมือนคุณจะมั่นใจมากเลยนะคะ” เธอเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ในทีสุดก็ยอมพูดความในใจออกมาจนได้ “ในเมื่อคุณคิดแบบนั้น ทำไมคุณถึงไม่…” 


 


 


เขาทอดถอนใจ เข้าใจประโยคที่เธอพูดไม่จบ “เรื่องนี้ผมผิดเอง ตอนนั้นผมคิดอะไรง่ายเกินไป ตอนหลังผมถึงรู้ว่าเรื่องนี้ทำให้ผมต้องสูญเสียมากเหลือเกิน” เขาลูบผมยาวสลวยของเธอเบาๆ มองเธอนิ่งด้วยแววตาลึกซึ้งจนเธอใจสั่น “โดยเฉพาะคุณ มู่มู่ การสูญเสียคุณเป็นสิ่งที่ผมเสียใจมากที่สุด โชคดีเหลือเกินที่คุณกลับมาอยู่ข้างกายผม” 


 


 


สีหน้าที่มั่นคงและน้ำเสียงที่หนักแน่นของเขาทำให้เธอเชื่อเขาหมดหัวใจ 


 


 


เธอจับมือเขาแน่น รู้สึกคอแห้งผากจนพูดอะไรไม่ออก 


 


 


เขาตบมือเธอเบาๆ พลันดึงเธอเข้าสู่อ้อมอกของเขา “ผมเป็นคนที่โชคดีมาก ในที่สุดคุณก็กลับคืนสู่อ้อมกอดของผมอีกครั้ง ผมดีใจมาก ดีใจมากจริงๆ” 


 


 


เขาพูดเสียงเบาหวิวอยู่ข้างหูเธอ พร่ำพรรณนาถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาว่าเขาหวาดกลัวและวิตกกังวลมากขนาดไหน จนเธอแทบละลายกลายเป็นน้ำ 


 


 


สุดท้ายเธอเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองลงจากรถได้อย่างไร และไม่รู้ว่าตัวเองกลับไปถึงห้องนอนได้อย่างไร รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เธอถูกวางลงบนเตียงนุ่มๆ แล้ว 


 


 


เธอมองเขานิ่ง อ้าปากน้อยๆ ราวอยากจะพูดอะไร แต่เขายื่นนิ้วแตะริมฝีปากเธอเอาไว้ “ชู่ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เราอยู่เงียบๆ สักพักได้ไหม” 


 


 


เอ่ยพลางกอดเธอแน่น สองหนุ่มสาวนอนกอดกันกลมอยู่บนเตียงเงียบๆ ดื่มด่ำช่วงเวลาสงบสุขของกันและกัน 


 


 


ไม่รู้ว่าผ่านเวลาไปนานเท่าไหร่ จิ้นหยวนห่มผ้าห่มให้เธอเบาๆ จากนั้นค่อยๆ ลุกออกจากเตียง 


 


 


ตอนนี้ยังเช้ามาก แต่เขาเป็นถึงประธานใหญ่แห่งจิ้นซื่อ กรุ๊ป จึงไม่สามารถนอนเหมือนเธอ 


 


 


เขายังมีงานอีกเยอะที่ต้องจัดการ 


 


 


ความจริงในคฤหาสน์นี้มีห้องทำงานของเขา แต่เขาไม่อยากให้เธออยู่ห่างสายตา จึงตัดสินใจขนคอมพิวเตอร์มาไว้ในห้องนี้ เขานั่งทำงานอยู่ไม่ห่างจากเตียงนอน นิ้วมือเคาะแป้นพิมพ์พลางชำเลืองมองใบหน้ายามหลับของเธอพลาง รู้สึกว่าตัวเองในยามนี้มีความสุขมากเหลือเกิน 


 


 


ความรู้สึกสงบสุขมันง่ายดายเช่นนี้เอง 


 


 


หลังจากนอนหลับเต็มอิ่มแล้ว เฉียวซือมู่ลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมภาพตรงหน้า ภาพจิ้นหยวนกำลังนั่งหันข้างให้เธอ เขากำลังนั่งทำงานของตัวเองอย่างตั้งใจ เสียงเคาะแป้นพิมพ์ดังเป็นพักๆ เฉียวซือมู่จะลุกขึ้น แต่ถูกสีหน้าจริงจังของเขาดึงดูดสายตาจนชะงักนิ่ง 


 


 


เธอจำไม่ได้แล้วว่าใครเป็นคนพูดว่าผู้ชายที่ตั้งใจทำงานดูดีที่สุด ตอนที่เธอได้ยินเธอยังแอบหัวเราะเยาะอยู่เลย แต่พอได้เห็นสีหน้าท่าทางจริงจังกับงานของเขาเองกับตาเธอถึงเข้าใจว่าเป็นความจริงที่สุด จิ้นหยวนในยามนี้มีเสน่ห์มาก โครงหน้ามีมิติ จมูกสูงโด่ง แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามากระทบใบหน้าด้านข้างของเขา แสงและเงาบนใบหน้าขับให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขางดงามราวเทพบุตรที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ เสน่ห์ที่สามารถฆ่าคนได้ 


 


 


เธอมองเขานิ่งจนแทบจะหยุดหายใจ 


 


 


ราวกับเขาสามารถสัมผัสถึงสายตาเธอ เขาหันไปมองเธอพลางยิ้มบางๆ เสี้ยววินาทีนั้น เสน่ห์ร้ายกาจของเขาเพิ่มสูงขึ้นอีกหลายเท่า เธอลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ จับคอเสื้อแน่น นอกจากจะหายใจติดขัดแล้ว ใบหน้ายังร้อนเป็นไฟอีกต่างหาก ไม่ต้องเห็นเองกับตาก็รู้ว่าตัวเองหน้าแดงขนาดไหน 


 


 


เธอแอบด่าตัวเองในใจ เฉียวซือมู่ เธอนี่มันห่วยจริงๆ เขาก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น จำเป็นต้องหลงเสน่ห์เขามากขนาดนี้ไหม? 


 


 


แต่ในสายตาจิ้นหยวน เขากลับคิดว่าเธอกำลังไม่สบายเสียอย่างนั้น เขารีบเดินเข้าไปหาเธอด้วยความเป็นห่วง ยื่นมือออกไปอังหน้าผากเธอ “คุณไม่สบายหรือเปล่า ทำไมหน้าแดงขนาดนี้?” 


 


 


เธอรีบส่ายศีรษะดิกๆ พยายามสงบจิตสงบใจตัวเอง “ฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่ร้อนนิดหน่อย แอร์น่าจะร้อนเกินไป” 


 


 


เขามองเครื่องปรับอากาเหนือศีรษะด้วยความฉงน “เหรอ?” ทำไมเขาไม่เห็นรู้สึกเลยล่ะ? 


 


 


เธอรีบเสเปลี่ยนเรื่องทันที “คุณกำลังยุ่งอะไรอยู่เหรอคะ?” 


 


 


เขามองไปทางคอมพิวเตอร์ของตัวเอง “ทำงานอยู่น่ะ ถ้าราบรื่นล่ะก็” เขามองนาฬิกาข้อมือ ลังเลเล็กน้อย “ถ้าราบรื่นล่ะก็ เราจะมีเวลาว่างทั้งบ่าย” 


 


 


“มีเวลาว่างทั้งบ่ายเหรอคะ?” เธอบ่นงึมงำอย่างไม่เข้าใจ “เวลาอะไร?” 


 


 


“คุณอยากออกไปเที่ยวไหม?” เขาเลิกคิ้วถาม 


 


 


เธอเบิกตาโตด้วยความตื่นเต้น “คุณพูดจริงเหรอ? ไปค่ะไป” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 248 ออกไปเที่ยวอย่างมีความสุข  


 


 


 


 


 


จิ้นหยวนเอ่ยยิ้มๆ “ก่อนหน้านี้คุณต้องอยู่แต่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปไหนเลย คุณไปเตรียมตัวเถอะ” 


 


 


เฉียวซือมู่ดูเวลาเห็นว่าใกล้เที่ยงแล้ว นี่เธอหลับไปนานมากเลยนะ 


 


 


เธอผุดลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น รีบแต่งตัวอย่างรวดเร็ว พอหันกลับมาอีกทีกลับพบว่าจิ้นหยวนยังคงนั่งทำงานอยู่ที่เดิม จึงเดินมุ่นหัวคิ้วเดินเข้าไปหาเขา “คุณยังทำงานไม่เสร็จเหรอคะ?” 


 


 


เขาเคาะนิ้วลงบนแป้นพิมพ์อย่างว่องไว กวาดสายตาอ่านข้อมูลบนหน้าจออย่างรวดเร็ว “ที่รัก ผมขอเวลาอีกยี่สิบนาทีนะ” 


 


 


เธอนั่งลงข้างเขาอย่างเซ็งๆ มองดูตัวเลขที่ตัวเองไม่เข้าใจเลยบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขา ได้แต่ทอดถอนใจที่เธอไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับงานของเขาเลย 


 


 


ในที่สุดจิ้นหยวนก็ทำงานเสร็จเสียที เขาลุกขึ้นแล้วบิดขี้เกียจเล็กน้อย จากนั้นดึงเธอเข้ามากอด หอมแก้มเธอเบาๆ “ที่รัก เราไปกันเถอะ” 


 


 


เธอพยักหน้าหงึกๆ แล้วจับมือเขาเอาไว้ “เราจะออกไปทานข้าวเหรอคะ? แล้วหลังจากนั้นล่ะคะ?” 


 


 


เขาพยักหน้า “ผมจองโต๊ะเอาไว้แล้ว ออกไปตอนนี้น่าจะกำลังดี” 


 


 


เธอรีบพยักหน้าอย่างตื่นเต้น เดินตามเขาออกไปอย่างกระตือรือร้น 


 


 


เธอต้องยอมรับว่าจิ้นหยวนเข้าใจและรู้ใจเธอมาก เขาพาเธอไปที่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เพิ่งเปิดใหม่ สั่งอาหารญี่ปุ่นมาเต็มโต๊ะจนละลานตาไปหมด ทั้งสวยทั้งอร่อย 


 


 


อาหารญี่ปุ่นเป็นอาหารรสอ่อนที่ถูกปากเธอมาก อีกทั้งร้านอาหารร้านนี้ยังตั้งอยู่ในที่ที่ไม่มีคนพลุกพล่าน มีที่กั้นระหว่างโต๊ะอาหารซึ่งทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูง ทำให้เธอประทับใจร้านอาหารร้านนี้มาก 


 


 


บวกกับอาหารรสชาติแสนอร่อย ทำให้ตอนนี้เธอรู้สึกมีความสุขมาก จิ้นหยวนนั่งมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน เธอยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มเขาเบาๆ “ขอบคุณนะคะ” 


 


 


เขาจับมือเธอสีหน้าเจ้าเล่ห์ “จริงเหรอ? ถ้างั้นคุณอย่าลืมตอบแทนผมล่ะ” 


 


 


“แน่นอน” เธอเอ่ยตอบอย่างไม่ลังเล แต่พอเห็นสีหน้าเจ้าเล่ห์ของเขาแล้วถึงรู้สึกตัวว่าพลาดไปแล้ว “ไม่ดีกว่า คนทะลึ่ง ทำไมต้องคิดถึงแต่เรื่องนั้นด้วย?” 


 


 


“โบราณท่านว่าเสพกามาเป็นปกติวิสัย หรือที่เขาพูดกันว่ามอบกายถวายหัวใจไงล่ะ หรือผมพูดผิดตรงไหน?” เขาเอ่ยหน้าชื่นตาบานอย่างเป็นเหตุเป็นผล 


 


 


เธอส่ายศีรษะ “คุณนี่มันหน้าไม่อายมากจริงๆ ด้วย” 


 


 


เธอเอ่ยจบแล้วคีบซูชิคำโตเข้าปากจนแก้มตุ่ย ดูเหมือนหนูแฮมสเตอร์ที่กำลังจำศีลในฤดูหนาวไม่มีผิด ท่าทางน่ารักมาก 


 


 


เขาเห็นแล้วหัวเราะชอบใจ “มู่มู่น่ารักจริงๆ” 


 


 


เธอมองเขาอย่างไม่เข้าใจว่าท่าทางเวลากินข้าวของตัวเองน่ารักตรงไหน 


 


 


หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ทั้งสองกำลังจะก้าวออกจากประตูร้าน จู่ๆ เฉียวซือมู่ก็รู้สึกเหมือนเห็นเงาของใครบางคนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วพร้อมกับแสงที่แทบจะมองไม่เห็นอยู่ทางด้านหลัง 


 


 


เธอมุ่นหัวคิ้วพลางหันกลับไปมอง แต่กลับไม่พบอะไรเลย 


 


 


เธอหันไปมองจิ้นหยวน “เมื่อกี้คุณเห็นอะไรหรือเปล่าคะ?” 


 


 


เขาปรายตามองไปทางด้านหลังเธอ เอ่ยถามด้วยความสงสัย “อะไรเหรอ?” 


 


 


“คุณไม่เห็นเหรอคะ? ช่างเถอะ” เธอเอ่ยอย่างปลงๆ ขนาดคนตาไวอย่างจิ้นหยวนยังไม่เห็น ถ้าเช่นนั้นเธอคงจจะตาฝาดไปเองล่ะมั้ง 


 


 


เธอส่ายศีรษะ เดินตามจิ้นหยวนออกจากร้านอาหารญี่ปุ่น 


 


 


ทันทีที่ทั้งสองเดินออกจากร้านอาหารก็มีคนยื่นศีรษะออกมาทันที คนคนนั้นมองตามสองหนุ่มสาวที่เดินหายลับไปแล้วถอนหายใจโล่งอก เกือบถูกจับได้แล้วไหมล่ะ เกือบไปแล้วๆ 


 


 


เขาปรับอารมณ์ให้กลับมาปกติ จากนั้นส่งรูปถ่ายที่ตัวเองแอบถ่ายเอาไว้ให้ใครคนหนึ่ง แต่กลับไม่ได้รับสายตามที่ตัวเองคาดหมายเสียที 


 


 


เขาแปลกใจมาก ตัดสินใจเป็นคนโทรศัพท์ไปหาคนคนนั้นเอง 


 


 


เสียงรอสายดังอยู่นานกว่าจะมีคนรับสาย น้ำเสียงที่ดังลอดมาตามสายฟังดูอารมณ์เสียมาก “ฮัลโหล ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าไม่มีธุระสำคัญก็ไม่ต้องโทรมา” 


 


 


หญิงสาวคนนั้นเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ต้องมาไม้นี้เลย พูดมาเลยดีกว่าอยากได้อะไร?” 


 


 


ชายคนนั้นเอ่ยอย่างเสแสร้ง “อย่าพูดอย่างนั้นสิ ระหว่างคุณกับผม นอกจากเรื่องเงินแล้ว คุยเรื่องอื่นไม่ได้เลยหรือไง?” 


 


 


“ไปไกลๆ เลย คิดว่าฉันเพิ่งรู้จักคุณวันแรกหรือไง?” เธอเอ่ยอย่างรำคาญ “พูดมาเลยดีกว่าต้องการเท่าไหร?” 


 


 


เธอเอ่ยอย่างไม่แยแส เพื่อให้ชายคนนั้นรู้สึกว่าเธอมีเงินให้เขาตามที่เขาเอ่ยปาก เขาได้ยินมาว่าจิ้นหยวนไม่ชอบเธอ และยังทำตัวเฉยเมยกับเธอมาก แต่ดูท่าทางแล้วไม่น่าจะใช่นี่นา 


 


 


โธ่เอ๊ย นังแพศยา ถ้าไม่ใช่เพราะใช้มารยาสาไถย เธอไม่มีวันได้แต่งงานกับผู้ชายรวยแบบนั้นหรอก 


 


 


ชายคนนั้นคิดในใจ ถ้าเงินพวกนั้นเป็นของตัวเองมันจะดีมากขนาดไหนกันนะ… น่าเสียดาย… 


 


 


เขาคิดไปคิดมา พลันความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในสมอง 


 


 


หญิงสาวที่อยู่อีกฟากสายเริ่มร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด “คุณกำลังคิดแผนอะไรอยู่อีก?” 


 


 


“สบายใจได้ เป็นแผนที่เยี่ยมากแน่นอน คุณต้องชอบแน่ เป็นไง? เจอกันหน่อยดีไหม?” 


 


 


หญิงสาวคนนั้นคือหร่วนเซียงเซียงนั่นเอง เธอเงียบไปชั่วครู่จึงเอ่ยตอบ “มะรืนนี้ตอนบ่ายสอง เจอกันที่เดิม” 


 


 


ชายคนนั้นหัวเราะ “ที่เดิม? ดูเหมือนไม่ใช่ผมคนเดียวสินะที่คิดถึงเรื่องในอดีต” 


 


 


เขาเพิ่งเอ่ยจบพลันได้ยินเสียงตู๊ดๆ ดังลอดมาจากอีกฟากสาย 


 


 


หร่วนเซียงเซียงตัดสายไปแล้ว 


 


 


ชายคนนั้นยิ้มเยาะอย่างไม่สะทกสะท้าน รู้สึกลำพองใจมาก เพราะอีกไม่นานเงินจำนวนมากมายก็จะกลายเป็นของเขาแล้ว… 


 


 


เฉียวซือมู่และจิ้นหยวนมีความสุขมาก หลังรับประทานอาหารญี่ปุ่น ทั้งสองพากันไปดูหนังใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเข้าโรงภาพยนตร์ จิ้นหยวนยังทุ่มไม่อั้นเพื่อเหมาโรงหนังอีกด้วย สองหนุ่มสาวดื่มด่ำกับบรรยากาศการดูหนังมาก ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองกลับเห็นต่าง เพราะจิ้นหยวนอยากดูหนังรัก แต่เฉียวซือมู่ อยากดูหนังสยองขวัญมากกว่า สุดท้ายจิ้นหยวนต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ ตกลงดูหนังสยองขวัญแทน 


 


 


จิ้นหยวนดูไปส่ายศีรษะไป ผู้หญิงคนนี้ทำไมถึงไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไปนะ ปกติแล้วสาวๆ ชอบดูหนังรักไม่ใช่เหรอ แต่เธอกลับร้องแต่จะดูหนังสยองขวัญท่าเดียว ดูก็ดู แต่ปัญหาคือใจอยากแต่กลับขี้กลัวเสียอย่างนั้น ผียังไม่ทันออกมาเลย เธอก็ตกใจจนหน้าตาน่ากลัวกว่าผีอีก สุดท้ายยังตกใจจนร้องวี้ดว้าย กอดเขาแน่นไม่ยอมปล่อยอีกต่างหาก 


 


 


จิ้นหยวนเซ็งจัด หนังสยองขวัญที่มีแต่จุดอ่อนเต็มไปหมดกับเมคอัพห่วยๆ มันน่ากลัวตรงไหนไม่ทราบ หากไม่ใช่เพราะคนในอ้อมอกตกใจกลัวจนตัวสั่นล่ะก็ ไม่แน่นะ บางทีเขาอาจจะหัวเราะออกมาแล้วก็ได้ 


 


 


ในที่สุดหนังก็จบเสียที เขาเบื่อจนเกือบจะหาวออกมาแล้ว เธอเช็ดหยาดน้ำตาที่รื้นออกมาเพราะความตกใจออก จากนั้นดึงแขนเสื้อเขาด้วยความตื่นเต้น “สนุกจังเลย เนอะ?” 

 

 

 


ตอนที่ 249 เที่ยวสวนสนุก

 

จิ้นหยวนได้แต่พยักหน้าให้เธอเงียบๆ อย่างเซ็งๆ 


 


 


เธอกอดเขาอย่างพึงพอใจ “ดูหนังในโรงหนังกับดูอยู่ที่บ้านนี่ไม่เหมือนกันจริงๆ นะคะ บรรยากาศในโรงหนังดีกว่าตั้งเยอะ” 


 


 


จริงเหรอ? ทำไมเขาไม่เห็นรู้สึกเลยล่ะ? เขาลูบศีรษะเธอเบาๆ “ยังอยากจะดูอีกไหม?” 


 


 


แม้เขาจะเบื่อมาก แต่เห็นเธอมีความสุขก็คุ้มแล้ว 


 


 


เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วส่ายศีรษะ “ไม่ดีกว่าค่ะ ดูมากไปเดี๋ยวก็หมดสนุกกันพอดี” 


 


 


เธอลุกขึ้นยืนพลางจับมือเขา “เราไปที่อื่นกันดีกว่าค่ะ” 


 


 


“ก็ดีเหมือนกัน” เขาเดินตามเธอออกไป “แล้วไปที่ไหนดีล่ะ?” 


 


 


เธอกรอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด แม้เธอไม่ได้ออกจากบ้านนานมากแล้ว แต่ที่นี่ก็เป็นที่ที่เธออยู่มาตั้งแต่เด็ก เธอแทบจะไปมาหมดจนไม่เหลือที่สนุกให้ไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็… 


 


 


จู่ๆ เธอก็หัวเราะออกมาเบาๆ จิ้นหยวนเห็นท่าทางเธอแล้วชักสังหรณ์ใจแปลกๆ 


 


 


และเขาหมดคำพูดทันทีที่ไปถึง 


 


 


“คุณเฉียวครับ ไม่ทราบว่าคุณอายุเท่าไหร่แล้วครับ?” เขาชี้ไปยังป้ายเหนือศีรษะด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก 


 


 


เธอยิ้มเจ้าเล่ห์ “ก็ฉันมีหัวใจที่อ่อนเยาว์นี่คะ” 


 


 


ที่แท้เฉียวซือมู่พาจิ้นหยวนมาที่สวนสนุกมีชื่อประจำเมืองนั่นเอง 


 


 


จิ้นหยวนมองเด็กๆ ที่กำลังหัวเราะร่าเริงที่อยู่รอบๆ แล้วสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที 


 


 


เฉียวซือมู่ไม่สนใจอะไรมากมาย จูงมือเขาวิ่งเข้าไปข้างในทันที “เลิกมองได้แล้ว ฉันว่านะ ตั้งแต่คุณโตเป็นหนุ่ม คุณคงไม่เคยเข้ามาเล่นอะไรแบบนี้อีกละสิ ใช่ไหมคะ? เชื่อฉัน มันสนุกมากเลยนะคะ” 


 


 


จิ้นหยวนต้องไปซื้อบัตรทางเข้าแต่โดยดีอย่างไม่มีทางเลือก เขามองดูเครื่องเล่นมากมายละลานตาตรงหน้า แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองเด็กๆ ที่อยู่ข้างบน รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาตงิดๆ 


 


 


เขาชี้ไปยังเด็กๆ พวกนั้น “คุณแน่ใจนะว่าจะเล่นแบบนั้น?” 


 


 


เธอเผยยิ้มกว้างสดใส “ค่ะ” 


 


 


จิ้นหยวนส่ายศีรษะ ลากเธอไปอีกทาง “เล่นน่ะเล่นได้ แต่คุณห้ามเล่นเครื่องเล่นที่มันหวาดเสียวเกินไป” 


 


 


“ทำไมล่ะคะ?” เธอผิดหวังมาก 


 


 


“คุณลืมไปแล้วหรือไงว่าร่างกายคุณยังไม่แข็งแรงดี? หรือว่าคุณอยากเข้าโรงพยาบาลอีกรอบ?” จิ้นหยวนล่ะปวดหัวจริงๆ ผู้หญิงคนนี้นี่สะเพร่าจริงๆ ลืมไปได้อย่างไรว่าตัวเองยังเป็นคนป่วยอยู่ 


 


 


เฉียวซือมู่ลืมเรื่องนั้นไปแล้วจริงๆ พอฟังเขาพูดจึงนึกขึ้นมาได้ ได้แต่ทำหน้าผิดหวัง “เซ็งเป็นบ้า ฉันอยากจะเล่นเครื่องเล่นในนี้ให้หมดทุกเครื่องจริงๆ นะ” 


 


 


จิ้นหยวนจิ้มจมูกเธอเบาๆ “ผมว่านะ คุณไม่ได้มีหัวใจที่อ่อนเยาว์หรอก แต่คุณน่ะเด็กชัดๆ” 


 


 


เห็นสีหน้าผิดหวังของเธอแล้วอดเอ่ยปลอบไม่ได้ “โอเค ผมรับปากคุณ รอให้คุณแข็งแรงดีแล้วผมจะพาคุณมาที่นี่อีก” 


 


 


“จริงนะคะ? คุณพูดเองนะ” เธอดีใจมาก เกี่ยวก้อยกับเขาเป็นการสัญญา 


 


 


แม้เธอจะคาดหวังกับการมาที่นี่อีกครั้ง แต่ตอนนี้เธอก็ยังรู้สึกผิดหวังอยู่ดี สุดท้าย ทั้งสองจึงเลือกเล่นเครื่องเล่นที่ปลอดภัยแทน อย่างเช่น ม้าหมุน เป็นต้น ส่วนสวนสนุกบ้านลมพวกนั้น ถึงเธอจะเข้าไปเล่นได้ แต่พอเห็นเด็กๆ ที่กำลังเดินโยกเยกไปหมด เธอก็หมดกำลังใจที่จะเล่นทันที 


 


 


เธอนั่งถอนหายใจเซ็งๆ อยู่บนม้าหมุน จิ้นหยวนอมยิ้มนั่งซ้อนหลังและกอดเอวเอาไว้แน่น มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่สนใจภาพลักษณ์อะไรทั้งนั้นแล้ว 


 


 


“ขืนคุณยังทำหน้าแบบนี้อยู่อีก ผมคงคิดว่าตัวเองพาลูกสาวออกมาเที่ยว ไม่ใช่พาเมียออกมาเที่ยวแล้ว”  


 


 


เขาเอ่ยยิ้มๆ 


 


 


เฉียวซือมู่ตวัดสายตามองเขาตาเขียวปั๊ด ดวงตากลมโตเป็นประกายทำให้หัวใจเขากระตุกวูบ “พูดบ้าๆ” 


 


 


เธอทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ แต่ในใจกลับไม่เป็นเช่นนั้น 


 


 


เขาหอมแก้มเธอเบาๆ “โกรธเหรอ?” 


 


 


เธอมองเขาแวบหนึ่ง “รอบตัวมีแต่เด็กๆ ระวังคุณจะกลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนะคะ” 


 


 


เขายิ้มตาหยี “ไม่กลัวหรอก นี่เรากำลังสอนพวกเขาล่วงหน้านะ” 


 


 


เธอหมดคำพูด “เถียงข้างๆ คูๆ” 


 


 


จิ้นหยวนยิ้มกอดเอวเธอแน่น เอ่ยเสียงเบาอยู่ข้างหูเธอ “ต่อหน้าคุณ ผมก็ต้องพูดความจริงอยู่แล้ว ใครใช้ให้คุณเป็นคนที่ผมรักมากที่สุดกันล่ะ?” 


 


 


ใบหน้าไม่รักดีของเธอแดงซ่านทันที “คนเต็มไปหมด ทำไมคุณ…” 


 


 


เธอเงยหน้าขึ้นพลันเห็นผู้ปกครองบางคนกำลังมองเธอยิ้มๆ ยิ่งทำให้เธออายมากขึ้นไปอีก เธอทุบเขาแล้วกระโดดลงจากม้าหมุนทันที 


 


 


จิ้นหยวนคิดไม่ถึงว่าเธอจะกระโดดลงไปกะทันหันแบบนั้น ร่างเขาโงนเงนจนเกือบตกจากม้าหมุน เขาวิ่งไล่ตามเธอไปจนทัน เห็นใบหน้าแดงก่ำเป็นลูกตำลึงของเธอ 


 


 


เขาชะงักเล็กน้อย ปฏิกิริยาแรกคือเธอโกรธแล้ว เขาพยายามถามแต่เธอก็ไม่ยอมตอบ ในที่สุดเขาก็เข้าใจ “คุณกำลังเขินเหรอ?” 


 


 


เฉียวซือมู่มองเขาตาเขียวปั๊ด “คณนะสิเขิน พูดแบบนั้นต่อหน้าคนเยอะแยะแบบนั้นได้ยังไงกัน” 


 


 


“คุณเขินจริงๆ ด้วย” จิ้นหยวนยิ้มปลื้ม รีบเข้าไปกอดเธอเอาไว้ “เราเป็นผัวเมียกันแล้วนะ ทำไมถึงยังหน้าบางแบบนี้ เด็กอนุบาลสมัยนี้เขายังมีแฟนกันแล้ว คุณยังจะอายอะไรอีก?” 


 


 


เธอมองหาม้านั่งเพราะอยากจะนั่งพัก ตอนนี้ร่างกายเธอยังไม่แข็งแรงดีจึงเหนื่อยง่ายกว่าปกติ จิ้นหยวนเห็นแล้วเข้าใจทันที เขาจึงพาเธอไปนั่งลงบนม้านั่งยาวที่อยู่ใกล้ๆ 


 


 


หลังจากนั่งลงแล้ว จู่ๆ ก็มีคนเดินเข้ามายื่นขวดน้ำให้พวกเธอด้วยท่าทางนอบน้อม 


 


 


เธอมองคนคนนั้นด้วยความแปลกใจแวบหนึ่ง เห็นท่าทางนอบน้อมของเขาแล้วจึงนึกขึ้นได้ “คนของคุณเหรอคะ?” 


 


 


จิ้นหยวนรับขวดน้ำมาแล้วเปิดฝาขวดออก “ผมพาลูกน้องมาด้วยหลายคน ถ้าคุณไม่ชอบ เดี๋ยวผมสั่งไม่ให้พวกเขาออกมาให้เห็นหน้าก็ได้” 


 


 


เธอมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย แม้เธอจะไม่ชอบใจนัก แต่พอคิดถึงสถานะของจิ้นหยวนแล้วก็ต้องทำใจ 


 


 


เธอส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่พามาด้วยก็คงไม่ได้” 


 


 


จิ้นหยวนยิ้มพลางลูบศีรษะเธอเบาๆ “คุณเปลี่ยนไปมากเลยนะ” 


 


 


“เหรอคะ? เปลี่ยนเป็นดีขึ้นหรือแย่ลงล่ะคะ?” เธอเอ่ยถามอย่างซุกซน 


 


 


“ก็ต้องดีขึ้นสิ” จิ้นหยวนหลงกลจนได้ 


 


 


“เฮ้อ ที่แท้ในสายตาคุณ เมื่อก่อนฉันก็เป็นคนที่แย่มากนี่เอง” เธอทอดถอนใจ 


 


 


 เขานิ่งอึ้ง รีบอธิบายลนลาน “ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ผมหมายความว่า เมื่อก่อนคุณก็ดีมากแล้ว แต่ตอนนี้…” เขาเอ่ยได้เพียงครึ่งก็เห็นเธอแอบยิ้ม ถึงได้รู้ว่าตัวเองหลงกลเข้าให้แล้ว “ดีมาก เดี๋ยวนี้กล้าหลอกผมแล้วเหรอ?” 


 


 


เอ่ยจบแล้วยื่นมือออกไปจี้ใต้วงแขนเธอ เธอกลัวไม้ตายนี้มาก ยังไม่ทันที่มือเขาจะถึงตัวเธอ เธอก็หัวเราะจนตัวงอแล้ว “ไม่เอานะ… ช่วยด้วย…” 


 


 


เขาจี้จักแร้เธออย่าง “เย็นชาไร้หัวใจ” และอย่าง “ไม่หวั่นไหว” ทำให้เธอหัวเราะจนล้มลงกับอกแกร่งของเขาเพราะยืนไม่ไหวแล้ว เขากอดเธอเอาไว้ เอ่ยถามข้างหูเธอ “ยังกล้าทำแบบนี้อีกไหม?” 


 


 


“ไม่… ไม่กล้าแล้ว… ขอร้องล่ะ ไว้ชีวิตฉันเถอะ…” เธอหัวเราะจนหมดแรงหลังลิ้มรสบทลงโทษของเขา ได้แต่ร้องขอชีวิตเสียงกระท่อนกระแท่น 


 


 


เขาครางเสียงฮึเบาๆ แล้วปล่อยเธอไปอย่าง “มีเมตตา” 


 


 


ในที่สุด สองหนุ่มสาวเดินจับมือกันไปขึ้นรถเพื่อกลับบ้าน 


 


 


บนรถ ใบหน้าเธอแดงระเรื่อ มองหน้าเขาด้วยดวงตาเป็นประกายวิบวับ “ขอบคุณมากนะคะ วันนี้ฉันมีความสุขมากเลยค่ะ” เธอหอมแก้มเขาเบาๆ 


 


 


บรรยากาศในรถอบอุ่นและหวานชื่น สองหนุ่มสาวมองตาแล้วยิ้มให้กันอย่างมีความสุข  

 

 


ตอนที่ 250 เกลี้ยกล่อม

 

วันเวลาหลังจากนั้นผ่านไปอย่างสงบและสวยงาม จิ้นหยวนและเฉียวซือมู่ออกไปเที่ยวด้วยกันทุกวัน ความสัมพันธ์แนบแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


เฉียวซือมู่ได้พบกับคุณแม่แล้ว จิ้นหยวนจัดแจงให้เธออยู่คฤหาสน์อีกหลังของตัวเอง ตอนนี้ร่างกายเธอแข็งแรงขึ้นมาก ใบหน้าผ่องใส เฉียวซือมู่เห็นแล้วรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณจิ้นหยวนมาก 


 


 


แต่ช่วงเวลาสวยงามมักจะมีเงาบางอย่างแฝงอยู่เสมอ ยามเธอนึกถึงหร่วนเซียงเซียงทีไร มันทำให้เธอไม่มีความสุขทุกที ต่อให้จิ้นหยวนให้สัญญากับเธอแล้วก็ตาม แต่ทุกครั้งที่คิดถึงสถานะของตัวเอง เธอก็ต้องกลุ้มใจทุกที 


 


 


คุณนายเฉียวดูออกว่าเธอกำลังกลุ้มใจ จึงเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป จิ้นหยวนดีกับลูกมากขนาดนี้ ทำไมถึงยังทำหน้ากลุ้มใจแบบนี้อยู่ได้ทุกวัน?” 


 


 


เฉียวซือมู่ถอนหายใจ ตัดสินใจเล่าเรื่องตัวเองให้ท่านฟัง คุณนายเฉียวฟังแล้วหัวคิ้วชนกันมุ่น สำหรับเธอแล้ว เธอเคยถูกเมียน้อยทำร้ายมาก่อน จึงไม่ต้องการให้ลูกสาวเดินบนเส้นทางนั้น แต่ถือว่ายังโชคดี ที่ผ่านมาเธอได้ประจักษ์แล้วว่าจิ้นหยวนเป็นคนเช่นไร เธอคิดว่าจิ้นหยวนไม่ใช่คนไม่ดีแบบนั้น จึงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม “แล้วเขาสัญญาอะไรกับลูก?” 


 


 


เฉียวซือมู่เอ่ยตอบ “เขาบอกว่าเขาจะหย่ากับหร่วนเซียงเซียง เพราะเขาไม่เคยแตะต้องตัวเธอ และไม่เคยคิดว่าเธอเป็นภรรยาเขาค่ะ” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้น ลูกก็ลองคิดดูให้ดีๆ แม่คิดว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายแบบที่ลูกคิด เขาเป็นคนที่เชื่อถือได้” คุณนายเฉียวทอดถอนใจ “ถ้าไม่ได้เขา ป่านนี้แม่อาจจะยังนอนเป็นผักอยู่ที่โรงพยาบาลก็ได้” 


 


 


เฉียวซือมู่เกาะแขนคุณนายเฉียวอ้อนๆ “คุณแม่ก็ยังมีหนูอยู่ทั้งคนนี่คะ” 


 


 


“จ้า จ้า แม่ยังมีลูกสุดที่รักคนนี้อยู่ทั้งคน” คุณนายเฉียวเอ่ยประชด “ยังจะกล้าพูดอีกนะเรา หนีไปต่างประเทศไม่บอกไม่กล่าวสักคำ ลูกนี่นะ…” เอ่ยจบแล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเฉียวซือมู่แรงๆ “ถ้ามัวแต่พึ่งลูก ป่านนี้แม่จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” 


 


 


คำพูดของคุณนายเฉียวทำให้เฉียวซือมู่รู้สึกละอายใจ เธอจับมือคุณแม่เอาไว้แล้วขยับไปมาเบาๆ “หนูผิดเองค่ะ ตอนนั้น พอรู้ข่าวนั้นแล้วหนูช็อกมากจนลืมคิดถึงคุณแม่ หนูผิดไปแล้วค่ะ” 


 


 


คุณนายเฉียวถอนหายใจเบาๆ พลางลูบศีรษะลูกสาวโดยไม่ได้เอ่ยอันใด เธออาบน้ำร้อนมาก่อน ทำไมจะไม่รู้ว่าการถูกหักหลังมันเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสมากขนาดไหน เพราะฉะนั้น หลังจากรู้ที่มาที่ไปแล้ว เธอจึงไม่ได้ตำหนิลูกสาว เพียงแค่บ่นพอเป็นพิธีเท่านั้น 


 


 


ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เฉียวซือมู่ยังคงรู้สึกผิดอยู่ดี ตอนนั้นเธอหนีไปเพราะความโกรธแท้ๆ โดยลืมคิดถึงความรู้สึกของคุณแม่ไปเสียสนิท ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว ตัวเองมุทะลุมากจริงๆ ด้วย 


 


 


เธอแอบบอกกับตัวเองในใจว่าต่อไปจะต้องดูแลคุณแม่ให้ดีที่สุด 


 


 


คุณนายเฉียวเห็นสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนักของลูกสาวแล้วไม่เอ่ยเรื่องนั้นอีก หากแต่เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน “เดือนหน้าแม่กะว่าจะออกไปข้างนอก ลูกจะไปด้วยกันไหม?” 


 


 


“ไปข้างนอกเหรอคะ? คุณแม่จะไปที่ไหนคะ?” เธอเบิกตาโต 


 


 


คุณนายเฉียวมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย “ก็ออกไปเที่ยวไง วันๆ อยู่แต่ในบ้านจนจะเป็นง่อยอยู่แล้ว ออกไปชมวิวบ้างก็น่าจะดีเหมือนกัน” 


 


 


เฉียวซือมู่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนคุณแม่ชอบท่องเที่ยวมาก ปล่อยให้ท่านต้องอยู่แต่ในบ้านตั้งนาน แถมเธอก็ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนด้วย เธอนี่มันลูกอกตัญญูจริงๆ พอนึกขึ้นได้จึงรีบพยักหน้ารับปากทันที “อื้ม ก็ดีค่ะ คุณแม่ไปเที่ยวเถอะค่ะ” 


 


 


“แล้วลูกล่ะ” คุณนายเฉียวเอ่ยถาม 


 


 


“หนูเหรอคะ?” เธอลังเลชั่วครู่ ยังไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรดี 


 


 


เธอเองก็อยากไปเป็นเพื่อนคุณแม่เหมือนกัน แต่จิ้นหยวนคงไม่อนุญาตแน่ ที่สำคัญ เธอยังอยากกลับไปทำงานเหมือนเดิมด้วย 


 


 


จะว่าไปแล้วชีวิตการทำงานของเธอไปได้ไม่ดีนัก ตอนแรกเธอทำงานอยู่ดีๆ แต่เป็นเพราะเรื่องแต่งงานของจิ้นหยวนทำให้เธอโกรธจนหนีไปที่มิลาน งานที่ทำอยู่จึงต้องหยุดทำไปก่อน โชคดีที่เธอเป็นเจ้าของนิตยสารซินเฟิง ขอแค่พนักงานยังทำงานกันได้ดีตามปกติก็ไม่มีเรื่องอะไรให้เป็นห่วง 


 


 


แต่พอเธอได้งานทำที่มิลาน กลับเกิดเรื่องราวเยอะแยะมากมายจนทำให้การงานของเธอต้องหยุดชะงักอีกครั้ง เธอรู้สึกเซ็งมาก เพราะฉะนั้น ครั้งนี้เธอจะต้องแสดงฝีมือให้ดี 


 


 


คุณนายเฉียวเห็นท่าทางลังเลของลูกสาวแล้วเดาว่าเธอคงไม่อยากอยู่ห่างจิ้นหยวน “ระหว่างลูกกับเขามีหร่วนเซียงเซียงคอยแทรกกลางอยู่แบบนี้ คงลำบากน่าดู ลูกก็ออกไปเที่ยวสักพัก ปล่อยให้เขามีเวลาจัดการเรื่องนี้ให้มันจบๆ ลูกคิดว่าไง?” 


 


 


“อย่างนั้นเหรอคะ ก็ดีเหมือนกันนะคะ ถ้างั้นหนูกลับไปถามเขาก่อนดีกว่าค่ะ” เรื่องนี้เธอต้องปรึกษาจิ้นหยวนก่อน 


 


 


เมื่อจิ้นหยวนกลับถึงบ้านตอนค่ำ เขาได้รับการต้อนรับจากเฉียวซือมู่เป็นหอมฟอดใหญ่ เขาเลิกคิ้วด้วยความคาดไม่ถึง “เมียจ๋า วันนี้คุณร้อนแรงจัง” 


 


 


เอ่ยจบแล้วดึงเธอเข้าไปจูบอย่างร้อนแรง บรรดาสาวใช้ที่ยืนอยู่รอบๆ ต่างหน้าแดงหัวใจเต้นโครมครามจนต้องรีบถอยออกไปแทบไม่ทัน ดูภาพแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นตากุ้งยิงกันพอดี 


 


 


เธอนึกไม่ถึงเลยว่าการที่เธอเป็นคนเริ่มก่อนจะทำให้เขาตอบรับกลับอย่างร้อนแรงเช่นนี้ เขานำเธอเข้าสู่จังหวะที่ร้อนแรง จุมพิตร้อนแรงของเขาแทบจะกระชากวิญญาณเธอให้หลุดออกจากร่าง เขาจูบเธอเนิ่นนานกว่าจะยอมปล่อยมือออก เธอเข่าอ่อนจนแทบจะยืนไม่ไหว เขารีบรั้งตัวเธอเข้าไปกอดไว้ “ระวัง” 


 


 


ใบหน้าเธอแดงก่ำ ชายตามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยยิ้มร้ายๆ ของเขา เธอได้แต่ใช้กำปั้นเล็กๆ ทุบลงบนต้นแขนเขาสองที 


 


 


กว่าจะไปนั่งลงที่โต๊ะทานอาหารได้ ก็หลังจากผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมงนั่นแหละ 


 


 


จิ้นหยวนมองอาหารบนโต๊ะแล้วยกยิ้มมุมปาก 


 


 


เฉียวซือมู่มองดูเขาคีบอาหารเข้าปากแล้วเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น “อร่อยไหมคะ?” 


 


 


เขาพยักหน้าน้อยๆ “วันนี้เปลี่ยนแม่ครัวเหรอ? รสชาติก็งั้นๆ” 


 


 


เธอตัวแข็งทื่อ เบิกตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ “รสชาติงั้นๆ เหรอคะ?” 


 


 


เขามองเธอยิ้มๆ “ก็ใช่นะสิ แล้วคุณว่าไงล่ะ?” 


 


 


เธอเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างงอนๆ 


 


 


เขาหัวเราะร่าแล้วดึงเธอเข้าไปกอด “โอ๋ๆ ผมล้อเล่น วันนี้คุณเป็นคนทำอาหารเองใช่ไหมล่ะ เห็นแวบเดียวผมก็รู้แล้ว” 


 


 


เธอครางเสียงฮึ่ม “รู้ว่ารสชาติแย่ใช่ไหมล่ะ?” 


 


 


แมวน้อยตัวนี้อารมณ์ร้ายจัง เขาหอมแก้มเธอเป็นการขอโทษ “อาหารที่เมียจ๋าทำก็ต้องอร่อยที่สุดอยู่แล้ว เมื่อกี้ผมแค่อยากเห็นปฏิกิริยาของคุณก็เท่านั้นเอง” 


 


 


“เชอะ!” เธอยังไม่หายงอนจนจิ้นหยวนต้องขอโทษไม่หยุด เธอนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองยังมีเรื่องต้องขอร้องเขาอีกถึงได้เลิกงอน 


 


 


ไม่นานทั้งสองก็รับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย เฉียวซือมู่เห็นจิ้นหยวนวางตะเกียบลงอย่างสง่างาม เธอลังเลเล็กน้อยว่าควรพูดกับเขาตอนนี้หรือว่าพูดทีหลังดี? 


 


 


เขาดูออกตั้งนานแล้วว่าเธอมีเรื่องอยากจะคุยกับเขา เขาแอบขำในใจ แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ จากนั้นลุกเดินออกไป “ผมไปที่ห้องหนังสือก่อนนะ” 


 


 


ถ้าเขาเข้าห้องหนังสือ อย่างน้อยก็อีกสามชั่วโมงถึงจะออกมา เฉียวซือมู่รู้กิจวัตรของเขาเป็นอย่างดี เธอครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นเดินตามเขาเข้าไปในห้องหนังสือ 


 


 


เขาเห็นท่าทางเธอแล้วจึงตัดสินใจเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนเสียแทน “คุณมีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่า?” 


 


 


เฉียวซือมู่แปลกใจเล็กน้อย “คุณรู้ได้ไงคะว่าฉันมีเรื่องอยากจะพูดกับคุณ?” 


 


 


“ผมก็ต้องรู้สิ” เขาจิ้มจมูกเธอเบาๆ “ก็สายตาคุณมันฟ้องนี่นา” 


 


 


เธอถูจมูกตัวเองเบาๆ พลางถอนหายใจ “ค่ะ ถ้างั้นฉันพูดตรงๆ เลยก็แล้วกัน เดือนหน้าฉันอยากออกไปเที่ยวกับคุณแม่ค่ะ” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม