ยอดรักชายาอัปลักษณ์ 246-263

ตอนที่ 246 ได้ส่วนประกอบยา

เสียงนกเค้าแมวที่ร้องดัง ท่ามกลางความเงียบงันเช่นนี้ชวนให้ขนลุก ป้อมปราการทั้งสองเมืองแสงไฟส่องสว่าง ต่างเฝ้าระวังป้องกันอย่างเข้มงวด


 


 


ประตูเมืองเหิงโส่วแง้มเปิดเป็นช่องเล็ก หนิงอวี้สวมชุดคลุมดำ พลิกตัวขึ้นบนหลังม้า นายพลชุดเกราะดำสีหน้ากังวล เขาพูด “หากท่านายพลรู้เรื่องนี้…”


 


 


“ข้าจะรีบกลับมาโดยเร็ว”


 


 


ยังไม่ทันสิ้นคำ ม้าก็ร้องเสียงแหลมแล้ววิ่งควบออกประตูบานใหญ่มหึมาไป ประตูบานใหญ่สีแดงชาดค่อยๆ ปิดลง หนิงอวี้สะบัดแส้บังคับม้าวิ่งออกไปยังตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่งของชายแดน ท่านหมอบอกไว้ พืชชนิดนี้เติบโตอยู่บนยอดเขาที่สูงชันหายากและล้ำค่ามาก ในตลาดทั่วไปยากจะหาได้แต่อาจจะพอออกไปเก็บหาพร้อมชาวเขาได้


 


 


——


 


 


เมื่อเห็นท้องฟ้าค่อยๆ สว่าง หลิวเถี่ยจู้จุดไฟเทียนไขแบกกระบุงยาขึ้นบนหลัง เขาเปิดประตูออกก็เห็นกลางลานมีคนผู้หนึ่งพร้อมม้าอีกตัวยืนอยู่ ม้าตัวตระหง่านสูงใหญ่ขนเงามันขลับ คนในชุดคลุมสีดำใช้หมวกคลุมปกปิดใบหน้าเอาไว้ มองเห็นเพียงคางอันเรียวงามของนางเท่านั้น


 


 


ทว่า ชั่วอึดใจเดียว มือที่ถือโคมไฟอู่ของเขาก็เริ่มสั่นเทา บนเอวของคนผู้นี้ มีกริชเหน็บเอาไว้ ภายใต้แสงเทียนที่ส่องกระทบ สะท้อนบนร่างกายครึ่งหนึ่งของเขา


 


 


 “นำทางข้าไปหามัน!”


 


 


คนในชุดดำล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา หลิวเถี่ยจู้รับมาอย่างสั่นเทาพอเห็นชัดว่าคืออะไรก็ส่ายหน้า


 


 


“นายท่าน สมุนไพรนี้พบอาจพบแต่ไม่อาจเสาะ ข้าน้อยจนปัญญาโดยแท้ คงต้องอาศัยดวงเท่านั้น”


 


 


หนิงอวี้ชำเลืองกระบุงยาบนหลังเขาทีหนึ่งแล้วผินกายกลับ


 


 


“พาข้าไป หาสมุนไพรนี้ได้จะตอบแทนเจ้าด้วยเงินทองนับพันชั่ง”


 


 


หลิวเถี่ยจู้โน้มกายลง หยิบโคมไฟขึ้นมาอย่างรีบร้อน แล้วรีบวิ่งนำทางออกไป


 


 


ทางภูเขาเต็มไปด้วยโคลนตม หนิงอวี้อดไม่ได้ที่จะย่นคิ้ว แต่ก็ทำได้เพียงอดทนเอาไว้ นางชำเลืองขึ้น เห็นท้องฟ้าเริ่มเป็นสีขาว ในใจก็เป็นกังวลขึ้นมาอย่างห้ามมิได้


 


 


เดินลัดเลาะไปตามป่ากว่าครึ่งชั่วยาม ชุดคลุมดำของนางถูกน้ำค้างเกาะจนชุ่ม คราบโคลนเปรอะเลอะเป็นจุดไปทั่ว คนนำทางผู้นั้นค้นหาเท่าไรก็ไม่พบ ฝีเท้าเขาเร็วขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ว่าเขากำลังร้อนใจเช่นกัน


 


 


ขณะที่นางลงจากหลังม้า รอบข้างล้วนมืดสนิท ได้ยินว่าคนเก็บสมุนไพรล้วนตื่นแต่เช้าเดินทางฝ่าน้ำค้างในยามเช้า ทันใดนั้นเอง เมื่อแสงเทียนถูกจุดขึ้นสว่างกลายเป็นจุดสว่างเพียงแห่งเดียวท่ามกลางความมืด ดังนั้นนางจึงจูงม้าเดินเข้าไปรออยู่กลางลาน


 


 


“ยังต้องอีกนานเท่าไร”


 


 


เสียงที่กดต่ำฟังดูเย็นชาแสดงให้รู้ว่าหมดความอดทน หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป หากฟ้าสางแล้วนางต้องกลับเข้าเมือง ภายใต้สายตาผู้คนที่จับจ้องจะปลอดภัยได้อย่างไรกัน


 


 


หนำซ้ำ หากถ้าบิดาฟื้นขึ้นมารู้เรื่องนี้เข้า ต้องเดือดดาลเป็นห่วงอย่างแน่นอน หากจิตใจร้อนรนเป็นกังวล อาการป่วยคงคงหายช้ายิ่งขึ้น


 


 


 “นายท่าน ขอท่านรออีกสักหน่อย ข้าน้อยกำลังหาอยู่แต่ด้วยว่าสมุนไพรนี้หายากยิ่งนัก…อยู่นี่เอง!”


 


 


คิ้วที่ขมวดแน่นของหนิงอวี้ค่อยๆ คลายออก นางเหลียวตามเสียงไปก็เห็นต้นไม้ต้นหนึ่งโผล่ยื่นออกมาอย่างอ่อนแอท่ามกลางพุ่มหนาม


 


 


หนิงอวี้ล้วงกระดาษนั้นออกมาเทียบดู เมื่อแน่ว่าใช่สมุนไพรที่ต้องการ นางไม่ได้ยินดีแต่กลับถามไปว่า “สมุนไพรชนิดนี้ไม่ได้เติบโตอยู่ที่สูงชันหรือ”


 


 


คนเก็บสมุนไพรหยิบจอบเล็กๆ ออกมาจากกระบุงยาแล้วพยักหน้าตอบ “อืม แต่ก็มีบางส่วนที่เติบโตอยู่ที่เชิงเขา สภาพแวดล้อมต่างกันไม่มาก ดังนั้นบนเชิงเขาก็อาจมีพืชชนิดนี้งอกงามได้”


 


 


 “นายท่านร้อนใจเช่นนี้ ข้าน้อยคาดว่าคงมีเรื่องเร่งด่วน หากเดินทางไปยอดเขาเพื่อหายา หนทางยาวไกล…” คนเก็บสมุนไพรดวงตาเบิกโพลง “อย่านะ นายท่าน!”


 


 


หนิงอวี้ได้ยินเสียงร้องอย่างตกตะลึง แต่มือนางยังคงขยับไม่หยุด นางกุมกริชในมือตัดกิ่งหนามเหล่านั้น ทว่า เมื่อกริชเคลื่อนไปด้านหน้าจนกิ่งหนามถูกตัดขาด มือนางกลับถูกกิ่งหนามเกี่ยวบาดเป็นแผลนับไม่ถ้วน


 


 


ทันใดนั้นเลือดก็ไหลออกมา หนิงอวี้ขบฟันชักมือออก หลังมือนางถูกบาดจนเหวอะ เลือดไหลหลั่งออกมา หยดลงบนด้ามกริช ไหลตามร่องกริชไปยังปลายกริช เลือดสดๆ ที่หยาดลงบนกิ่งหนามสีดำสนิท ราวกลับดอกกุหลาบที่เบ่งบานท่ามกลางกิ่งหนาม


 


 


 “นายท่าน รอก่อน ให้ข้าน้อยทำเถอะ!”


 


 


หนิงอวี้ไม่กล่าวสิ่งใด นางฉีกผ้าจากชายเสื้อออกมาหนึ่งชิ้นใช้มืออีกข้างพันผ้าแล้วใช้ฟันกัดมัดเป็นปมจนแน่น เลือดสดไหลซึมออกจากผ้าสีดำ ราวกับหนิงอวี้ไม่ได้ใส่ใจ มือนางกุมกริชแล้วฟันลงพุ่มหนามอีกครั้ง


 


 


หลิวเถี่ยจู้คอยมองอยู่ด้านข้างอย่างหวั่นใจ ทันใดนั้นเขาก็พบว่าคนผู้นี้เป็นสตรีนางหนึ่งจึงอดไม่ได้ที่จะทำเสียงจิ๊จ๊ะอยู่ในปาก


 


 


มือขวาที่พันด้วยผ้าถูกเกี่ยวขาด ในจังหวะที่ขาดหลุดออกมานั้น ในที่สุดหนิงอวี้ก็จัดการกับกิ่งหนามที่อยู่รายรอบต้นยานั้นจนเรียบ หลิวเถี่ยจู้รีบเดินเข้าไปโดยเร็วแล้วใช้จอบขุดขึ้นมา


 


 


หนิงอวี้กำต้นพืชเล็กๆ ต้นนั้นแน่น มุมปากเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา ขาบิดาจะได้รับการรักษาแล้ว! หนิงอวี้เอาต้นพืชนั้นวางลงในถุงแพรอย่างระมัดระวังแล้วผูกติดกับสายเข็มขัด

 

 

 


ตอนที่ 247 ท่านแม่ทัพใหญ่แย่แล้ว!

 

“บุก อย่าปล่อยให้นางหนีไปได้! ใครที่จับตัวเป็นมัจจุราชหยกได้ จะได้เลื่อนยศห้าขั้น”


 


 


หนิงอวี้รั้งสายบังเ**ยนแน่น ม้าเหงื่อโลหิตหมุนตัวอยู่กับที่สองสามรอบส่งเสียงร้องแหลม


 


 


ยังไม่ทันสิ้นเสียง ลูกธนูก็พุ่งเข้ามา หนิงอวี้ตะแคงกายหลบ นางชักกริชออกมาจากข้างเอว เวลานี้ท้องฟ้าสว่างขึ้นเล็กน้อยแต่ยังคงมืดสลัวอยู่บ้าง


 


 


ท่ามกลางพลทหารนับร้อย มีทหารสองนายขี่ม้ายืนเคียงกัน หนึ่งในนั้น บนหน้าสวมหน้ากากเขียวเขี้ยวโง้ง ดวงตาทั้งสองที่ไม่ถูกปกปิดด้วยหน้ากากเต็มไปด้วยแววตาความดิ้นรนอย่างเจ็บปวด


 


 


หนิงอวี้นิ่งอึ้ง ชุดดำถูกกรีดขาด ชั่วอึดใจเดียว นางกุมกริชสั้นหันกายแทงไปยังคนผู้นั้น ตามหลักการแล้ว เรื่องนี้ควรมีแค่นางและนายพลชุดเกราะดำและท่านหมอที่รู้ หรือว่าเรื่องที่ออกจากเมืองถูกข้าศึกพบเข้า


 


 


ทันใดนั้นความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวนาง ครั้นแล้วสันหลังก็รู้สึกเย็นวาบ หนิงอวี้คิดไปพลางรับมือกับศัตรู กริชกวัดแกว่งพลิ้วไปมารวดเร็ว


 


 


แต่ถ้าหากเป็นเช่นนี้ พวกเขาวางกำลังซุ่มอยู่บนเขาก็ได้นี่ เหตุใดจึงต้องมาดักอยู่ที่ หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว นี่คงเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น นางเห็นท้องฟ้าใกล้สว่างแล้ว จำเป็นต้องสลัดให้พ้นคนเหล่านี้แล้วรีบกลับไปโดยเร็ว


 


 


ท่ามกลางเลือดที่สาดกระเซ็น พลทหารนายแล้วนายเล่าทยอยบุกเข้ามา หนิงอวี้เห็นทหารจู่โจมไม่ขาดก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกวุ่นวายใจขึ้นมา


 


 


 “ท่านนายพลทั่วป๋า ตอนนี้กองทัพเราบุกโจมตีเมือง กำลังพลขาดแคลนอยู่ ไม่สู้รีบรบให้เสร็จเร็วๆ ดีกว่าหรือขอรับ”


 


 


หนิงอวี้ไม่จำเป็นต้องหันกลับ นางแทงกริชไปด้านหลังกาย สายลมเย็นพัดผ่านบริเวณลำคอ ตามด้วยเลือดสดอุ่นๆ ที่กระเด็นเข้ามาทันใด


 


 


 “ท่านนายพลมู่หรงบอกว่า ให้ท่านนายพลเป็นผู้ตัดสินใจ ผู้น้อยก็แค่คอยติดตามเท่านั้น”


 


 


วินาทีถัดจากนั้น เสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้น ทหารที่รายล้อมข้างกายก็พากันถอยออก หนิงอวี้ชำเลืองมองก็เห็นม้าดำตัวหนึ่งกำลังวิ่งห้อพุ่งเข้ามา ใครกัน หนิงอวี้ตบหลังม้าเบาๆ ม้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


วินาทีที่ออกวิ่งนั้น นางรู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดผ่านแผ่นหลัง เมื่อนางหันหน้ากลับก็เห็นนายพลหน้าผีในมือถือหอกยาวกำลังยืนอยู่ยังที่ซึ่งนางอยู่เมื่อครู่นี้


 


 


หนิงอวี้ดึงสายบังเ**ยนแน่น ม้าร้องเสียงแหลมออกทะยานขึ้นสู่อากาศ จะจับบ่าวต้องจับนายก่อน มู่หรงเป็นถึงแซ่ของเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์เหนือ สถานะของนายพลหน้าผีผู้นี้สูงส่งหาที่เปรียบไม่ได้


 


 


นายพลหน้าผียืนอยู่กับที่ หนิงอวี้ควบม้าเฉียดผ่านไหล่เขา กริชในมือเสียบย้อนทางลมไปยังเขาแต่กลับถูกสกัดได้ กริชถูกกด หอกยาวแทงสวนกลับ หนิงอวี้ยื่นมือซ้ายออกไปกดหอกยาวไว้ ม้าเหงื่อโลหิตร้องเสียงแหลมวิ่งห้อออกไป หนิงอวี้จึงปลอดภัยในที่สุด


 


 


บริเวณที่หอกยาวแทงผ่านเมื่อครู่ ทำให้เสื้อคลุมยาวขาดออก ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่ตนออกมานั้นสวมชุดคลุมยาวปิดบังใบหน้า ทหารข้าศึกพบเข้าก็ช่าง แต่เขารู้สถานะของนางได้อย่างไร


 


 


แย่แล้ว! ท่านพ่อกำลังมีอันตราย! หนิงอวี้กุมกริชสั้นแน่น หมายจะตีฝ่าวงล้อมออกไป นายพลหน้าผีกลับถือหอกยาวแทงเข้ามา หนิงอวี้ตั้งรับได้หนึ่งที นางขมวดคิ้วพลางพูดโพล่งออกไปสองคำว่า “ถอยไป”


 


 


นายพลหน้าผีราวกลับไม่ได้ยิน ทุกท่วงท่ามุ่งหมายเอาชีวิต หนิงอวี้เลี่ยงหลบแล้วโจมตีกลับ ในใจรุ่มร้อนดั่งไฟเผา ตัวการต้องเป็นคนผู้นี้แน่! เมื่อครู่นายพลอีกนายบอกว่าเขาเองเพียงแค่คอยติดตามเท่านั้น เห็นได้ชัดว่านายพลใส่หน้ากากผีผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายโดยแท้


 


 


หนิงอวี้หัวใจว้าวุ่นราวกับไฟสุม นางลงมือดุเดือดยิ่งขึ้น วินาทีที่อาวุธปะทะกัน หนิงอวี้จนตรอกจึงต้องเลือกที่จะเสี่ยง จงใจเผยจุดที่เปิดออกให้เห็น


 


 


นายพลหน้าผีแทงหอกไปยังบริเวณที่นางเปิดออกตามคาด หนิงอวี้เลือดไหลออกจากริมฝีปากเป็นทาง นางกำกริชสั้นเคลื่อนขยับอย่างคล่องแคล่ว นางยกลวดเงินบริเวณหมวกเกราะออกแล้วเอากริชแนบไปบนลำคอเขา


 


 


หนิงอวี้มือหนึ่งกุมกริช มือหนึ่งรวบตรึงเขาเอาไว้แน่น นางกระอักเลือดกลบไปทั้งปากแล้วพูด “หลบไปซะ!”


 


 


พลทหารที่รุมล้อมเริ่มสับสันไม่รู้จะทำเช่นไรต่อ


 


 


“บังอาจ! ช่างกล้าจับตัวท่านนายพลมู่หรงไว้ได้!”


 


 


หนิงอวี้ยิ้มเยาะ เลือดสดจุดหนึ่งบนริมฝีปากอันขาวซีดของนางดูสะดุดตาอย่างมากทำให้ดูน่ากลัวทั้งเย้ายวนยิ่งนัก


 


 


นางขยับมือเบาๆ บริเวณลำคอของนายพลหน้ากากผีก็มีเลือดออกมาเป็นทาง นายพลที่ขี่ม้านั้นนิ่งอึ้งกับที่ ในที่สุดเขาก็โบกมือ หนิงอวี้ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ครั้นแล้วก็พาคนที่รวบตัวไว้ขึ้นหลังม้า


 


 


นางยกแส้สะบัดบังคับม้า เสียงฝีเท้าและกีบม้าดั่งแว่วตามมา หนิงอวี้เหลียวกลับไปมองหนึ่งที ชั่วอึดใจนั้น กริชก็ขยับห่างจากบริเวณลำคอ นายพลหน้าผีผู้นั้นจึงพลิกตัวลงจากม้า


 


 


หนิงอวี้ปล่อยให้เขาไป นางเพียงยื่นมือไปคลำบนถุงแพรเอว เมื่อแน่ใจว่าในถุงปุดนูนออกมาจึงรู้สึกวางใจ


 


 


มู่หรงเหยียนสถานะสูงส่ง เป็นตัวประกันชั้นดีอย่างแท้จริง แต่หากนางฝืนพาตัวเขากลับไป คงนำไปสู่การสู้รบนองเลือดอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เหิงโส่วกำลังวิกฤต อาการบิดาเองก็อยู่ในอันตราย นางจะมามัวเสียเวลากับเรื่องนี้ได้อย่างไร


 


 


ออกควบจนฝุ่นตลบ คูเมืองเหิงโส่วอยู่ห่างไม่ไกล นอกประตูเมืองซากศพเกลื่อนกลาด เลือดสดเจิ่งนองไปทั่ว ธงราชวงศ์ใต้ยังคงปลิวไสว หนิงอวี้จึงรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


หนิงอวี้ดึงชุดคลุมดำออกแล้วโบกมือไปยังด้านบนประตูเมือง วินาทีถัดมาประตูเมืองก็ค่อยๆ แง้มเปิด หนิงอวี้บังคับม้าควบเข้าไปก็เห็นนายพลชุดเกราะดำสีหน้าเคร่งเครียด


 


 


“ท่านแม่ทัพใหญ่แย่แล้ว!”

 

 

 


ตอนที่ 248 ความโศกเศร้าครั้งใหญ่

 

“ท่านว่าอะไรนะ”


 


 


หนิงอวี้นิ่งอึ้ง มือที่กำสายบังเ**ยนคลายลงจนแทบจะร่วงลงมา ยังดีที่วินาทีนั้นนางได้สติกลับคืน ขาทั้งสองยังหนีบท้องม้าไว้แน่น จึงเลี่ยงเจ็บตัวไปครั้งหนึ่ง


 


 


“ท่านรีบไปดูท่านแม่ทัพเถิด! ตอนนี้ท่านแม่ทัพกำลังรอท่านอยู่!”


 


 


หนิงอวี้ตวัดแส้ เกิดเสียงดังก้องขึ้นหนึ่งที ม้าเหงื่อโลหิตโกรธจึงวิ่งตะบึงออกไปด้วยความเร็ว


 


 


หนิงอวี้มองภาพกระโจมแต่ละหลังเคลื่อนผ่านสายตา ในใจกลับมีเพียงคำพูดไม่กี่คำนั้น ‘ท่านแม่ทัพแย่แล้ว’ ‘ท่านแม่ทัพกำลังรอท่านอยู่’


 


 


เป็นความผิดของนางที่บุ่มบ่ามเกินไป ที่หลงเชื่อใจคนต่ำช้าเสียง่ายๆ หนิงอวี้สองตาแดงก่ำ นางดึงสายบังเ**ยนแล้วพลิกตัวลงจากหลังม้าแล้วรีบวิ่งเข้าไปในห้อง


 


 


ท่านหมอผู้สูงส่งที่นางเกลียดจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันผู้นั้น บัดนี้นั่งอยู่ข้างเตียงด้วยสีหน้าเผยให้เห็นความกังวล หนิงอวี้ขบฝันแน่น นางยกมือแล้วพูดขึ้น “จับมันไว้ แล้วไปเชิญท่านหมอมาหลายๆ ท่าน”


 


 


“อวี้เอ๋อร์…พ่อ…พ่อคงถึงเวลาต้องไปแล้ว!”


 


 


สีหน้าเกรี้ยวกราดของหนิงอวี้พลันมลายหายไป เบ้าตาทั้งสองแดงก่ำ นางเดินเข้าไปก้มตัวแล้วพูด “อย่าพูดเหลวไหล!”


 


 


มุมปากบิดามีเลือดไหลออกมาไม่หยุด หนิงอวี้จิตใจหวาดหวั่นแต่ใบหน้ากลับไม่เผยออกมา นางพูดด้วยเสียงอันเบาว่า “ข้าสั่งให้คนไปเชิญท่านหมอมาแล้ว ท่านพ่อ ท่านอดทนอีกนิดนะ”


 


 


“อวี้เอ๋อร์ ข้า…”


 


 


“ต้องดีขึ้น ไว้รอท่านดีขึ้นแล้ว ข้าจะไม่ห้ามท่านดื่มสุราอีก ข้าจะดื่มเป็นเพื่อนท่าน เท่าไหร่เท่ากัน สามถ้วยใหญ่ หรือสองไห…ได้ทั้งนั้น ข้าขอร้องท่าน ขอเพียงท่านมีชีวิตต่อก็พอ!”


 


 


พูดจบ น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ก็ไหลพรั่งพรูออกมาในที่สุด


 


 


หนิงอวี้ยกมือขึ้นปิดหน้า ร้องไห้สะอื้นเสียงเบา


 


 


“ยังมีวิธี ท่านรออีกหน่อยนะ!”


 


 


เสียงถอนใจหนึ่งทีแว่วอยู่ข้างหูนาง หนิงอวี้ปล่อยมือลงแล้วลุกขึ้นยืน นางยกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วมองไปยังท่านหมอผู้นั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางพูด “บอกมา ว่าเจ้าทำอะไร”


 


 


ท่านหมอผู้สูงส่งส่ายหน้าช้าๆ แล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ข้าพยายามเต็มที่แล้ว บาดแผลท่านแม่ทัพหนิงมีผงพิษเกาะอยู่เป็นจุดเล็กๆ ไร้สีไร้กลิ่น แทรกซึมเข้าสู่ภายใน ข้าไร้ความสามารถ ทำให้ผิดหวัง ข้ายอมรับความตาย”


 


 


“เจ้าบอกให้ชัด! พิษอะไรกัน!”


 


 


หนิงอวี้ดึงรัดสาบเสื้อเขาอย่างแรงแล้วพูดเค้นถาม


 


 


“บนบาดแผลมีผงพิษ ท่านหมอที่พันแผลครั้งแรกไม่ได้สังเกตจึงพันแผลเอาไว้แน่น ข้าน้อยเลินเล่อจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ กว่าจะนึกถึงเรื่องนี้ได้ อาการก็รุนแรงจนไม่อาจช่วยได้เสียแล้ว”


 


 


หนิงอวี้รีบเอาถุงแพรออกมาแล้วล้วงเอาสมุนไพรออกมาด้วยมือไม้รีบร้อน นางพูดไม่หยุด “ยานี่ข้าเอากลับมาแล้ว จะใช้ประโยชน์ได้บ้างหรือไม่”


 


 


แม้จะรู้ดีว่าคนผู้นี้อาจเป็นคนที่ข้าศึกลอบส่งมาแต่นางก็ร้อนรนจนไม่เลือกหมอ จะมัวคิดมากไม่ได้


 


 


หมอส่ายหน้าช้าๆ ทหารสองสามนายคุมตัวเขาไป หนิงอวี้นิ่งอึ้งกับที่ มือนางกำต้นสมุนไพรเอาไว้แน่น จนของเหลวสีเขียวเข้มไหลซึมผ่านซอกนิ้วหยดลงบนพื้นเป็นรอยด่างสีคล้ำ


 


 


หนิงอวี้ตัวเหยียดเกรง นางไม่กล้า ไม่กล้าที่จะหันหน้ากลับ นางกลัวที่จะเห็นแววตาของบิดา ไม่ว่าจะเป็นโกรธเคือง หรือจนใจก็ตาม เป็นนาง ที่ทำให้บิดาต้องตาย! เป็นนาง นางนั่นเองที่เป็นตัวนำเคราะห์


 


 


“อวี้เอ๋อร์ พ่ออยากกำชับฝากฝังเจ้าสักหน่อย”


 


 


สมุนไพรในมือหนิงอวี้ร่วงลงกับพื้น ร่างกายที่แข็งทื่อสั่นเทาอย่างผิดปกติ


 


 


“อย่าเศร้าไปเลย เกิดแก่เจ็บตายล้วนแต่สามัญ พ่อก็แค่ไปพบแม่เจ้าเร็วหน่อยเท่านั้น”


 


 


หนิงอวี้คุกเข่าลงกับพื้นช้าๆ มือทั้งคู่ปิดหน้าไว้ น้ำตาไหลผ่านระหว่างนิ้วออกมาปนเปื้อนด้วยของเหลวสีเขียวเมื่อครู่ น้ำตาใสๆ ในตอนแรกกลับกลายเป็นของเหลวสีเขียวอ่อน


 


 


“ไม่ต้องไปตามสืบอีกแล้ว เรื่องเฝ่ยเอ๋อร์ คอยใช้ชีวิตร่วมกับท่าน…อ๋อง..ให้ดี”


 


 


เสียงพูดติดๆ ขัดๆ หนิงอวี้ขบฟัน รู้ดีว่าบิดาตอนนี้กำลังหายใจรวยริน แต่นางกลับไม่กล้าหันหน้าไปมองเขา


 


 


“พ่อไม่ขออะไรทั้งนั้น เพียงแค่เจ้ามีความสุข…”


 


 


ท่ามกลางความเงียบ หนิงอวี้ค่อยๆ ลุกขึ้น เดินซวดเซไปยังหน้าเตียง


 


 


บิดาของนางนอนหลับอย่างสงบบนเตียงหลังนั้น หนิงอวี้ยื่นมืออันสั่นเทาออกไป สำรวจลมหายใจเขา ครู่เดียว เสียงแหบพร่าก็ดังออกมาจากลำคอหนึ่งที เสียงร้องไห้ที่สะกดเอาไว้ก็ระเบิดออกมา


 


 


ท่านพ่อ…จากไปแล้ว หนิงอวี้โคลงศีรษะสีหน้าเรียบเฉย นางมองไปยังใบหน้าบิดา น้ำตารินไหลหยดแล้วหยดเล่าพรั่งพรูลงมา ท่านจากไปแล้วหรือ


 


 


บิดาผู้อุ้มนางขึ้นไว้ในอ้อมกอดจากไปแล้วหรือ ท่ามกลางน้ำตาที่พรั่งพรู หนิงอวี้ยังคงนึกถึงเรื่องราวในคืนสิ้นปีนั้นที่บิดาและเว่ยหยวนยกจอกร่ำสุรา ลูบเคราพลางหัวเราะร่าออกมาเสียงไปพลาง

 

 

 


ตอนที่ 249 เหตุการณ์กะทันหัน

 

ควันคลุ้งขโมง ประตูเมืองหยวนอีถูกไม้ซุงท่อนมหึมากระทุ้งเปิด พลทหารต่างพุ่งกรูเข้าไป คิ้วที่ขมวดแน่นอยู่นานของเว่ยหยวนค่อยๆ คลายออก


 


 


“มั่วหลี”


 


 


มั่วหลีก้าวเข้ามาแล้วโค้งคำนับ ครั้นแล้วก็ได้ยินท่านอ๋องออกคำสั่ง


 


 


“จัดกำลังห้าร้อยนาย ให้พร้อมรับคำสั่งตลอดเวลา!”


 


 


ชายฉกรรจ์ร่างกำยำประสานมือคำนับแล้วโค้งตัวลงพลางพูดขึ้น “ท่านอ๋อง ขอได้โปรดอนุญาตให้ข้าน้อยออกไปยังสนามรบ บุกตีแนวรบสุดท้ายของข้าศึกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ท่ามกลางผู้คนที่กำลังประหลาดใจจนลืมหายใจ ท่านอ๋องที่เล่าลือกันว่าขาทั้งสองพิการกลับลุกออกจากเก้าอี้รถเข็นขึ้นมายืนเสีย!


 


 


“นี่…นี่มัน”


 


 


ชายร่างกำยำกลืนน้ำลายดัง เอื๊อก ผู้เฒ่าเครายาวเลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ยังคงสุขุมนิ่ง


 


 


“ข้าจะออกไปด้วยตนเอง!”


 


 


“ท่านอ๋อง ไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ! ร่างกายอันล้ำค่าของท่านจะให้ไปเสี่ยงอันตรายในสนามรบได้อย่างไรกัน” เว่ยหยวนทำเสียงผิวปาก ม้าขาวตัวหนึ่งก็ทะยานวิ่งมา


 


 


เว่ยหยวนย่ำปลายเท้าลงบนแผ่นไม้กระดานรถศึกแล้วกระโดดขึ้นอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็นั่งลงบนหลังม้าด้วยท่วงท่าคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงดูมีกำลังวังชาจนทำให้ผู้คนถึงกลับประหลาดใจ


 


 


คำเล่าลือว่าท่านอ๋องร่างกายป่วยกระเสาะอ่อนแอ ขาทั้งสองป่วยมานานมากแล้ว ได้รู้จักพบเจอ ก็รู้ว่าเรื่องเหล่านั้นมิใช่เรื่องโกหก แต่ท่านอ๋อง ‘ขี้โรค’ ตามที่ลือกันนั้นกลับเดินเหินอย่างรวดเร็ว หรือว่าจะรู้วิชาตัวเบา ดูจากอากัปกิริยาของเขาก็รู้ได้ว่ากำลังภายในเขานั้นไม่เบาเลยทีเดียว


 


 


ท่านอ๋องที่บอบบางแทบทานลมไม่ได้ตามคำลือนั้นกำลังคว้าดาบฟาดฟัน บั่นคอหัวหน้าข้าศึกในแนวหน้า ชายฉกรรจ์ร่างกำยำกลืนน้ำลาย ดูไปแล้ว คำร่ำลือคงเชื่อถือไม่ได้เสียแล้ว


 


 


เลือดสดสาดกระเซ็นไปบนใบหน้าอันขาวผ่องดั่งเนื้อหยกของเว่ยหยวนทำให้ดูแปลกพิกลยิ่งนัก บนใบหน้าที่ขาวดั่งหิมะแต้มเป็นจุดแดงหลายจุดดูสะดุดตา ริมฝีปากบางเผยอเล็กน้อยดูน่าขนลุกอยู่สามส่วน วินาทีถัดจากนั้น เลือดเนื้อก็สาดกระเซ็นไปทั่ว


 


 


ทหารหยวนอีที่แต่เดิมกำลังได้เปรียบ ตอนนี้กลับกำลังร่นถอยไม่ขาด ทุกที่ที่เว่ยหยวนผ่าน ล้วนไม่เหลือใครที่รอดชีวิต เขาโบกมือ ทหารนับพันก็พากันกรูเข้าในกำแพงเมือง เว่ยหยวนควบม้าวิ่งเข้าไปปะปนกับฝูงชน


 


 


“มั่วหลี! รีบส่งคนไปรับพระชายา ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ต้องพานางกลับมาให้ได้!”


 


 


เรื่องราวไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่การสู้รบของสองอาณาจักรเท่านั้น ในเมื่อเว่ยหลิงเข้าร่วม ในใจคงมีความคิดซ่อนเร้นมีแผนการร้ายกาจบางอย่างแอบแฝง


 


 


เหิงโส่วถูกขนาบล้อมด้วยข้าศึกอยู่นาน อวี้เอ๋อร์คงลำบากมานานมากแล้ว เว่ยหยวนขบฟัน ท่วงท่าดุดันยิ่งขึ้น มั่วหลีรับคำสั่งแล้วก็จากไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น “ท่านอ๋องระวัง”


 


 


วินาทีถัดจากนั้น เขาก็หันม้ากลับ วิ่งควบไปยังท่านอ๋องก็เห็นคนชุดดำสี่ห้าคนบุกออกมาพร้อมกัน ล้อมโจมตีท่านอ๋องแต่ผู้เดียว


 


 


“ข้าน้อยมาช่วยช้าไป!”


 


 


มั่วหลีควบม้าทะยานป้องปัดเข้าไป เหล่าคนที่ลอบจู่โจมนั้นต่างกระเด็นคว่ำกับพื้น เว่ยหยวนยกมือขึ้นคว้าคนที่ลอบโจมตีนั้นแล้วพลิกมือบิดแขนให้หัก


 


 


“ไปช่วยพระชายา!”


 


 


“ท่านอ๋อง ได้โปรดให้ข้าน้อยอยู่ต่อด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ หากพวกเรารบแพ้ ต่อให้พระชายากลับมาก็คงดีแต่ถูกจับตัวเท่านั้น”


 


 


เว่ยหยวนฟันเอวคนผู้หนึ่งขาดสะบั้น เลือดสดไหลหยดลงพื้นจากปลายกระบี่


 


 


“หุบปาก ไปเชิญพระชายามา!”


 


 


เว่ยหยวนเหลือบมองเขาปราดหนึ่งอย่างเย็นชา ในน้ำเสียงอันสงบนิ่งนั้นแฝงด้วยความร้อนใจอย่างยิ่ง


 


 


มั่วหลีจนปัญญาจึงได้แต่พยักหน้ารับ ขาทั้งสองหนีบท้องม้าแน่นแล้วตะโกนขึ้นเสียงดังว่า “ไป!” กำลังพลขบวนหนึ่งแหวกผ่านฉากรบพัวพันออกมาแล้ววิ่งไปยังประตูเมืองอีกฝั่งของหยวนอี


 


 


การรบตะลุมบอนผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ทหารราชวงศ์ใต้ล้มตายนับไม่ถ้วน ทหารอารักขาของหยวนอีในแนวหน้าผลาญกำลังของกองทัพของเขาไปเป็นอันมาก คนชุดดำที่บุกออกมาเกินความคาดหมายจนไม่ทันเตรียมรับ


 


 


เหล่าคนชุดดำนี้แตกต่างจากทหารทั่วไป ทั้งหมดล้วนแต่ใช้กริชสั้น ทั้งยังใช้อาวุธลับที่เคลือบไปด้วยพิษหลากหลายชนิดที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก หรือนี่คือทหารพร้อมพลีชีพที่ถูกชุบเลี้ยงกลางสงคราม แต่พวกเขากลับไม่ปราณีทหารอารักขาหยวนอีแม้แต่น้อย ลงมือเข่นฆ่าอย่างโหดเ**้ยม


 


 


ดูจากวิธีการทำศึกของพวกเขา ราวกับพวกนักลอบสังหาร พวกเขาไม่ทำการรบเป็นกลุ่ม และไม่ประสานงานช่วยเหลือซึ่งกัน เพียงแต่ออกตะลุมบอนสู้เพียงลำพังเงียบๆ


 


 


“ท่านอ๋อง พวกนี้เป็นใครกันพ่ะย่ะค่ะ ไม่เหมือนพลทหารราชวงศ์เหนือเลย!”


 


 


ชายฉกรรจ์ตะโกนขึ้นเสียงดัง บนหน้าเลอะไปด้วยคราบเลือด เว่ยหยวนพยักหน้าแล้วฟันศีรษะนายทหารผู้หนึ่ง


 


 


“ท่านอ๋อง พวกเราถอยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


เว่ยหยวนขบฟัน เขาขมวดคิ้วพูด “โอกาสชนะมีเท่าไร”


 


 


“โอกาสมีเพียงหนึ่งในสิบ ท่านอ๋อง ข้าน้อยขอร้องได้โปรดถอยทัพด้วย”


 


 


“กระหม่อมเห็นด้วย เช่นนี้ต่อไป ฝ่ายเราจะสูญเสียอย่างหนัก”


 


 


“ท่านอ๋อง ได้โปรดใคร่ครวญด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“ถอย”


 


 


เว่ยหยวนขบฟันเค้นคำพูดออกมาหนึ่งคำ ครั้นแล้วก็บังคับม้าหมุนกลับ ให้ตาย! อุตส่าห์ตีเหิงโส่วแตกได้ นึกว่าจะได้พบอวี้เอ๋อร์ คิดไม่ถึงว่าจะสู้รบฆ่าฟันมากว่าครึ่งทางเพื่อมาพบผู้คนเหล่านี้

 

 

 


ตอนที่ 250 กู่ร้องร่ำไห้

 

“ท่านนายพล ท่านไปปลอบท่านนายพลหนิงด้วยเถอะ นางวันนี้แม้แต่น้ำเพียงหยดเดียวก็ไม่แตะ แล้วเช่นนี้จะต้องทำอย่างไรดีเจ้าคะ”


 


 


สาวใช้กระซิบเสียงเบา นายพลชุดดำสีหน้าเผยแววกังวล เขายื่นมือขึ้นมาเกาศีรษะเบาๆ


 


 


สาวใช้ถอยออกไป นายพลชุดดำเดินเข้าไปในห้องเงียบๆ เข้าย่องไปบนปลายเท้า ร่างกายอันกำยำล่ำสันเคลื่อนที่อย่างระมัดระวัง ดูท่าทีน่าตลกยิ่งนัก


 


 


“ท่านนายพลหนิง ระงับความโศกด้วยเถิด”


 


 


หนิงอวี้ค่อยๆ ลืมตาทั้งคู่ขึ้น ในมือกุมผ้าเช็ดหน้าไหมเก่าผืนหนึ่งเอาไว้ ดวงตานางไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียวแต่ปลายตากลับบวมแดง เห็นได้ชัดว่านางได้ร้องไห้อยู่นานมากแล้ว


 


 


หนิงอวี้กวาดสายตามองไปรอบห้องสีหน้าไร้อารมณ์ ครั้นแล้วก็ก้มหน้าลง นัยน์ตาที่ไร้ความรู้สึกคู่นั้นก็เผยความอ่อนแอออกมาเล็กน้อยอย่างห้ามมิได้ นางกุมผ้าเช็ดหน้าไหมนิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด


 


 


เสียงฝีเท้าที่ดังก้องขึ้น ตามด้วยอาหารที่ถูกส่งมา หนิงอวี้ทั้งวันยังไม่ได้กินอะไร ตอนนี้ได้กลิ่นอาหาร กลับอดมิได้ที่จะรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา


 


 


นางอาเจียนอยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็อาเจียนเพียงน้ำใสๆ ออกมาเล็กน้อย อาจเป็นเพราะกิริยาที่รุนแรงไปกระทบเข้ากับประสาทที่ไร้ความรู้สึกของนางเข้า หนิงอวี้ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดคราบของเหลวใสบนริมฝีปาก ครั้นแล้วก็ยกมือทั้งคู่ขึ้นบังหน้า


 


 


กลิ่นแป้งชาดเบาบางอย่างที่สุดบนปลายจมูก เจือด้วยกลิ่นสาบเก่า ผ้าเช็ดหน้าไหมเปียกชุ่มด้วยน้ำตาอย่างรวดเร็ว นายพลชุดดำถอนหายใจ ได้แต่ยืนทื่ออยู่กับที่ ลังเลอยู่ครู่ใหญ่จึงพูดขึ้นว่า “กินให้มากหน่อย ไม่งั้นจะไม่ดีต่อเด็กในท้อง”


 


 


หนิงอวี้ยังคงไม่ตอบแม้แต่น้อย ราวกับตัดขาดกับทุกสิ่งรอบตัว เหลือเพียงตนเองท่ามกลางความเงียบเหงาโดดเดี่ยว มีเพียงผ้าเช็ดหน้าไหมที่ชุ่มไปด้วยน้ำตา บ่าที่สั่นอยู่เบาๆ ยืนยันให้รู้ว่านางกำลังร้องไห้กำลังเสียใจ


 


 


“ท่านนายพลหนิง นี่ไม่ใช่ความผิดท่านหรอก”


 


 


“เป็นความผิดของข้า”


 


 


เสียงอันแหบพร่าเสียดหู หนิงอวี้ค่อยปล่อยมือลงกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น “หากข้าฟังคำทัดทานของท่านพ่อ คอยหลบอยู่ในเมืองอย่างสงบ คงไม่เกิดเรื่องราวทั้งหมดนี้ขึ้น”


 


 


“เรื่องนี้…”


 


 


“ท่านไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ”


 


 


หนิงอวี้ชำเลืองขึ้น มองไปยังแสงอัสดงสีแดงนอกหน้าต่าง นายพลชุดดำยืนกับที่ไม่พูดจา ครู่ใหญ่ก็เค้นคำพูดออกมาหนึ่งประโยคว่า “ท่านแม่ทัพหนิงคงหวังให้ท่านมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข เชิญท่านอยู่ตามลำพังก่อน”


 


 


ประตูถูกปิดลง น้ำตาไหลพรูออกจากดวงตาหนิงอวี้ ใบหน้านางไม่แสดงความรู้สึกแม้แต่น้อย แต่น้ำตากลับพรั่งพรูออกมาจากหางตา


 


 


“เป็นความผิดของข้า”


 


 


หนิงอวี้สองมือกอดเข่า พึมพำเสียงเบาอยู่ท่ามกลางความเงียบงัน


 


 


“ข้าควรทำอย่างไรดี ท่านพ่อ ข้าควรทำอย่างไรดี ใครก็ได้บอกข้าที”


 


 


สิ้นสุดคำพูดสะเปะสะปะ ในที่สุดหนิงอวี้ก็ร้องไห้โฮออกมาสะอึกสะอื้นไม่ได้ศัพท์


 


 


“เป็นความผิดของข้า ข้าทำให้ท่านแม่ต้องตาย สุดท้ายยังทำให้ท่านต้องตายด้วยอีก!”


 


 


ขนตาหนิงอวี้สั่นระริก มือทั้งคู่ปิดหน้าร้องไห้


 


 


“ข้าสมควรตาย ตัวอับโชคเช่นข้า ไยจึงมีชีวิตอยู่อีกเล่า”


 


 


เสียงร่ำไห้ดังขึ้นในห้องอยู่ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็กลายเป็นความเงียบงัน หนิงอวี้ร้องไห้จนเหนื่อย นางหลับตาทั้งคู่ลงสนิทเอนกายขดอยู่กับพื้นผล็อยหลับไป


 


 


เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลากลางดึกยามสาม หนิงอวี้กอดเข่าทั้งสองนั่งอยู่บนเตียงมองไปยังหน้าต่าง ท้องฟ้ารัตติกาลอันมืดมิดประดับด้วยดวงดาวส่องสว่างเป็นจุดเล็กๆ


 


 


นางนึกถึงเมื่อครั้งยังเยาว์ขึ้นมาทันใด บิดาจูงมือนางและพี่ชายพาทั้งสองเดินเล่น ตอนนั้นพวกเขาประจำการอยู่ยังชายแดนแถบทะเลทราย เท้าย่ำไปบนทรายอันอ่อนนุ่มเกิดเสียงสวบสาบดังขึ้นเบาๆ


 


 


บิดาปล่อยมือนางแล้วคุกเข่าลงมองหน้านางในระดับเดียวกันพลางชี้ไปยังดวงดาวที่ส่องสว่างที่สุดดวงนั้นบนท้องฟ้า เขาพูดว่า ‘อวี้เอ๋อร์ นั่นคือดาวศุกร์ ดาวที่ส่องสว่างที่สุดบนท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่นี้ไป หากเจ้าหลงทาง ให้เจ้ามองมันแล้วอย่าไปไหน เดี๋ยวพ่อจะไปตามหาเจ้า เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น!’


 


 


นางในตอนนั้นเผลอเดินเข้าไปลึกกลางทะเลทรายจนเกือบได้ตายอยู่ที่นั่น ความหิวโหยเหน็บหนาวบีบบังคับทำให้นางออกวิ่งจนเกือบตกลงกลางทรายดูด โชคดีที่ทันใดนั้นก็มีเด็กชายผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาช่วยนางไว้ได้ทัน หลังจากนั้น เขาผู้นั้นก็กลายเป็นพี่ชายนาง


 


 


‘อวี้เอ๋อร์อย่ากลัวนะ พี่ก็จะไปตามหาเจ้า!’


 


 


เด็กชายวัยเยาว์ตบอกพูดให้คำมั่นสัญญา


 


 


หนิงอวี้แค่นเสียงหนึ่งทีแล้วยกมือขึ้นโอบรอบคอหนิงจื้อหย่วน นางพูด ‘มีท่านพ่อช่วยแล้ว ไม่ต้องรอให้เจ้าช่วยหรอก’

 

 

 


ตอนที่ 251 ปฏิเสธที่จะกลับ

 

“ท่านนายพลหนิง จิ่นอ๋องส่งคนมาขอรับ”


 


 


สายตาอันว่างเปล่าของหนิงอวี้เป็นประกายขึ้นมาทันใด นางชำเลืองขึ้นช้าๆ ก็เห็นคนแปลกหน้าผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ประตู


 


 


“ข้าน้อยรับคำสั่งท่านอ๋อง ให้มารับท่านกลับพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ท่านอ๋องเล่า”


 


 


“ท่านอ๋องกำลังบัญชาการศึกอยู่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ประกายในตาหนิงอวี้เลือนหายไป นางค่อยๆ ก้มหน้าลง


 


 


“ทันทีที่ท่านอ๋องตีหยวนอีแตกก็ส่งใต้เท้ามั่วหลีมารับท่าน แต่เกิดเรื่องเร่งด่วนคับขันขึ้น ใต้เท้ามั่วหลีกำชับข้าน้อยเดินทางมาก่อน เพื่อมาอารักขาท่านพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


พลทหารกล่าวจบก็แอบคาดคะเนด้วยสายตา พระชายาได้ยินคำพูดแล้วกลับไม่เคลื่อนไหว หนิงอวี้จับสังเกตสายตาเขาได้ก็ได้สติกลับคืน


 


 


“เรื่องคับขัน”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ จู่ๆ เกิดมีคนชุดดำนับพันคนบุกโจมตีเข้ามา พระชายา ตอนนี้เหตุการณ์เร่งด่วน สถานการณ์หยวนอีไม่รู้แน่ชัด โปรดให้ข้าน้อยอารักขาข้างกายท่านด้วยเถิด ข้าน้อยจะคุ้มครองท่านกลับไปข้างกายท่านอ๋องให้ได้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


นิ่งเงียบอยู่นาน หนิงอวี้บีบผ้าเช็ดหน้าไหมในมือแน่น นางส่ายหน้าช้าๆ แล้วพูดโพล่งออกมาหนึ่งประโยคอย่างชัดเจนว่า “ไปเรียนท่าน ข้าจะไม่ไป”


 


 


“หนิงอวี้ไม่มีทางหนีทัพเด็ดขาด ต่อให้ต้องสู้รบจนตัวตายกลางสนามรบก็ตาม”


 


 


“พระชายา! ความเป็นห่วงของท่านอ๋อง…”


 


 


“ออกไป”


 


 


หนิงอวี้มองเขาปราดหนึ่งด้วยสายตาหยิ่งผยอง นายทหารถูกข่มขู่ด้วยสายตาก็ก้าวถอยสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัว ครั้นรู้ตัวว่าตัวเองก้าวถอยโดยไม่ทันรู้ตัวก็หน้าแดงด้วยความอาย จากนั้นก็หันกายออกไปพร้อมปิดประตู


 


 


ประตูถูกปิดลง เหลือเพียงหน้าต่างที่เปิดให้สายลมพัดเข้ามา ลมพัดผ่านแก้มหนิงอวี้ นางหลับตาทั้งคู่ลง สัมผัสสายลมอันแผ่วเบา


 


 


“ข้าผิดต่อท่านพ่อ และผิดต่อท่านด้วย”


 


 


รบจนตัวตายกลางสนามรบหรือ นับแต่ที่นางหลุดปากประโยคนี้ออกมา ในใจนางก็ตัดสินใจไว้แล้วว่า


 


 


นางจะเอาตัวเจ้าคนชุดดำหน้ากากผีนั้น มาสับเป็นหมื่นชิ้นให้ได้ !


 


 


ฆ่า ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถ้าคิดมาขวางนาง นางจะเอาศีรษะคนผู้นั้นมาเซ่นบิดา!ในเมื่อมู่หรงเหยียนก้าวเข้ามา เช่นนั้นเขาก็สมควรตาย! ต่อให้เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์เหนือ ต่อให้เขาเป็นขุนพลหน้ากากผีกล้าหาญชำนาญศึก ต่อให้เขาเคยไว้ชีวิตนางไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม


 


 


ไม่ว่าจะเป็นใคร หากทำร้ายบิดา ต้องตายให้หมด! ต้องชดใช้! หนิงอวี้ขบฟัน นางกำผ้าเช็ดหน้าแพรที่ชุ่มโชกในมือแน่น จนเค้นเป็นหยดน้ำใสร่วงหล่นกระทบพื้น


 


 


ทันทีที่หยดน้ำกระทบพื้น หนิงอวี้ก็ลืมตาขึ้น ดวงตาบวมแดงแววตาเยือกเย็นไร้อารมณ์ หนิงอวี้ลุกขึ้นยืน แต่เนื่องด้วยนั่งขัดสมาธิบนพื้นอยู่นาน แข้งขาจึงอ่อนล้า นางเซแทบจะล้มกองกับพื้น


 


 


หนิงอวี้ใช้มือค้ำชั้นหัวเตียง นางพยายามลุกขึ้นยืน เมื่อล้วงจดหมายสองสามฉบับนั้นออกมาจากหลังหมอนก็สอดเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างดี หากรบจนตัวตาย ก็จะมีจดหมายของเว่ยหยวนเป็นเพื่อน บนเส้นทางที่ตามหาบิดามารดาก็คงไม่เหงามากนัก


 


 


เมื่อผลักประตูออกไป ใบหน้าผู้ช่วยแม่ทัพและสาวใช้ปรากฏความยินดี หนิงอวี้กวาดสายตามองปราดหนึ่งแล้วออกคำสั่งเสียงเบาว่า “ไปยกอาหารมา ส่วนเจ้า ส่งคนไปเฝ้าจับตาหยวนอี หากหยวนอีเกิดความวุ่นวายขึ้น ให้ส่งทหารหนึ่งพันเข้าจู่โจมโดยทันที”


 


 


“นี่มัน…กำลังพลของเรา…”


 


 


“ไป”


 


 


เมื่อผู้ช่วยนายพลพยักหน้ารับ สาวใช้ก็ยกอาหารมาจัดวางอย่างพร้อมเพรียงแล้ว


 


 


หนิงอวี้กินอาหารจนหมดด้วยสีหน้านิ่งเฉย นางยกมือขึ้นเช็ดปากแล้วรีบเดินไปยังที่พักของบิดาอย่างรวดเร็ว


 


 


ผ้าขาวปลิวไหว ทุกสิ่งที่ปรากฏสู่สายตาล้วนแต่สีขาวสะอาด กลางห้องโถงมีโลงศพไม้สีดำโลงหนึ่งตั้งอยู่ หนิงอวี้ฝืนปั้นหน้ายิ้มแต่น้ำตากลับไหลอาบผ่านมุมปากแล้วร่วงหล่น


 


 


“ท่านพ่อ ข้าจะล้างแค้นให้ท่าน รอข้านะเจ้าคะ”


 


 


หนิงอวี้คุกเข่าลงกับพื้นแล้วโขกศีรษะคำนับเสียงดังสามครั้ง


 


 


โขกคำนับครั้งที่หนึ่ง เพื่อคารวะบุญคุณบิดาที่เลี้ยงดูอุ้มชู โขกคำนับครั้งที่สอง เพื่อขอบคุณบิดาที่ไม่กล่าวโทษนาง โขกคำนับครั้งที่สาม เพื่อให้สัตย์ว่าจะสังหารมู่หรงเหยียนและคนชุดดำถือดาบโค้งนั่นแล้วเอาศีรษะมาเซ่นวิญญาณบิดาบนสวรรค์


 

 

 


ตอนที่ 252 ฝังลงสู่พื้นดิน

 

“ทหาร มายกท่านแม่ทัพหนิงขึ้นมา!”


 


 


หนิงอวี้ตะโกนเสียงดัง พลทหารต่างทำสีหน้าลังเล ไม่รู้ว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ ในวินาทีนั้นเอง นายพลชุดดำตัวโชกไปด้วยเลือด รีบเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน


 


 


“ท่านนายพลหนิง นี่ท่านกำลังทำอะไรกัน? ยังไม่พ้นสามวัน ก็ละทิ้งวินัยแล้ว!”


 


 


“ข้าต้องจัดการฝังศพท่านพ่อ”


 


 


หนิงอวี้ชำเลืองขึ้น พลทหารเหล่านั้นต่างกรูกันเข้ามาแบกโลงศพไม้ขึ้น นายพลชุดดำหน้าแดงก่ำขึ้นมา แล้วพูดออกมาไม่ขาดเสียงอย่างรีบร้อน “ข้ารู้ถึงความรักที่ท่านมีต่อบิดา แต่นี่มันผิดวินัย”


 


 


หนิงอวี้รู้แก่ใจดีว่าเขาปรารถนาดีต่อพวกนางอย่างจริงใจจึงได้อธิบายด้วยความอดทนว่า “ข้าอยากให้ท่านพ่อได้พักเร็วหน่อย ท่านรอพบท่านแม่ รอมานานมากแล้ว”


 


 


ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง หากสังหารนายพลหน้ากากผี เป็นได้อย่างมากที่นางจะต้องทิ้งชีวิตกลางสนามรบ นางอยากพาบิดากลับไปฝังยังเมืองหลวง ฝังร่วมกับหลุมศพมารดา แต่ความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะได้ชัยชนะนั้นน้อยเสียเหลือเกิน สุดท้ายคงได้รบจนตายกลางสนามรบ


 


 


บิดารอมานานหลายปีแล้ว คงรอพบมารดาแทบไม่ไหวแล้วเป็นแน่ นางต้องจัดการเรื่องบิดาให้เหมาะสมก่อน หากได้ชัยกลับมา นางก็จะพาบิดากลับยังเมืองหลวง หากนางตายกลางสนามรบ บิดาก็จะไม่มีที่ไป หรือ หากท่านอ๋องบุกฝ่าหยวนอีมาได้คงอาจจะพาบิดากลับไปได้


 


 


หนิงอวี้มองผู้คนแบกโลงศพเดินสีหน้าเรียบเฉย นางค่อยๆ ก้าวเดินคอยตามผู้คนเดินไปยังสุสาน ที่เนินเขาทิวทัศน์งดงามแห่งหนึ่ง หนิงอวี้ได้ยินเสียงนกร้อง จิ๊บๆ อยู่ข้างหู นางกุมผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นยิ่งขึ้น


 


 


“ตอกตะปูฝาโลง” ตะปูเหล็กยาวสามนิ้วถูกค้อนเหล็กขนาดมหึมาตอกลงไป หัวค้อนทุบลง กระทบเข้ากับตะปูเหล็ก หนิงอวี้ได้ยินเสียงนั้นก็ขบริมฝีปาก อดทนอยู่ครู่ใหญ่ในที่สุดก็ทนไม่ได้รีบร้องห้าม “หยุด!”


 


 


“ท่านนายพล ปล่อยท่านแม่ทัพใหญ่ได้พักเถิดขอรับ!”


 


 


“ข้า…” มือหนิงอวี้สั่นโดยไม่รู้ตัว “ข้าเพียงแค่อยากฝังผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ลงไปด้วย”


 


 


หากเกิดนางตายกลางสนามรบ เว่ยหยวนเองก็คงไม่อาจตามมาทัน บิดาคงได้ติดอยู่ที่แห่งนี้ หากมีผ้าเช็ดหน้าไหมของมารดาผืนนี้ก็คงไม่เหงามากนัก


 


 


หนิงอวี้เดินเข้าไปแล้วสอดผ้าเช็ดหน้าเข้าไปในช่องแง้มบนฝาโลง ผ้าเช็ดหน้าร่วงลงบนข้างแขนของบิดา แต่มือนั้นกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย


 


 


“ปิดฝาโลงเถอะ!”


 


 


หนิงอวี้ค่อยๆ หลับตาทั้งคู่ลง ค้อนเหล็กทุบดังขึ้นอีกครั้งตามด้วยเสียงหนักอึ้งหนึ่งที คงเพราะเหล่าทหารวางโลงไม้ลงแล้ว


 


 


หนิงอวี้ขบฟันพยายามตัดตัวเองจากสภาพรอบข้าง ภาพของบิดาที่หัวเราะร่าปรากฏเบื้องหน้า เขากำลังลูบหนวดพูดบอกนางด้วยเสียงหัวเราะว่า ‘จับสายบังเ**ยนไว้แน่น ถ้าเกิดร่วงขึ้นมา พ่อก็ช่วยเจ้าไม่ได้นะ’


 


 


นางตกใจหวาดหวั่น แต่หากนางตกจากม้าจริง บิดาเองก็คงรีบเข้ามาช่วยอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เสียงดังแว่วข้างหู ทรายแต่ละพลั่วถูกตักขึ้นกลบปิดลงบนโลงไม้ดัง สวบสาบ เสียงดังสวบสาบนั้นค่อยๆ เงียบหายไป ทรายคงกลบปิดหน้าแล้ว


 


 


“ท่านนายพลหนิง คนตายไม่อาจฟื้นคืน ระงับความเศร้าด้วยเถิด วิญญาณท่านนายพลหนิงหากอยู่บนสวรรค์ คงต้องการให้ท่านมีชีวิตอย่างสงบสุข สมหวังราบรื่นทุกเรื่องมากกว่า”


 


 


“ข้ารู้ พวกเจ้าไปเถอะ ข้ามีสองสามเรื่องอยากพูดกับท่านพ่อ”


 


 


หนิงอวี้พูดเสียงเบา นางลืมตาทั้งคู่ขึ้นช้าๆ เหล่าทหารโค้งคำนับเบาๆ แล้วทยอยเดินจากไป


 


 


สายลมที่ชายแดนแฝงด้วยกลิ่นไออันเยือกเย็นอยู่เสมอ สายลมพัดผ่าน พัดเอาหญ้าเขียวชอุ่มข้างหลุมศพสั่นไหว หนิงอวี้นั่งลงช้าๆ แล้วฝืนยกมุมปากยิ้มไปยังป้ายศิลา


 


 


“ไปหาท่านแม่เถอะเจ้าค่ะ นางรอท่านมาหลายปีแล้ว คงรอจนทนไม่ไหวแล้ว ไม่รู้ว่าที่ยมโลกจะมีสุราหรือไม่ หากมี ท่านกับท่านแม่คงร่ำสุรากับท่านแม่ทุกวันอย่างแน่นอน”


 


 


“ที่บอกว่าจะคอยอยู่เคียงข้างข้าชั่วชีวิต ยังมีอีกหลายเรื่องยังไม่ทันได้พูด…” หนิงอวี้ขมวดคิ้ว น้ำตาอันแสบพร่าเอ่อรื้นออกมาหยดหนึ่ง “แต่ละคน ล้วนแต่เป็นจอมโกหก”


 


 


น้ำตาที่ไหลผ่านแก้มค่อยๆ หยดลงบนพื้นดิน ท่ามกลางเสียงสายลมที่พัดดัง หนิงอวี้ทอดถอนใจแล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ

 

 

 


ตอนที่ 253 หนิงอวี้ได้รับบาดเจ็บที่หน้าอก

 

ลูกธนูไฟแล่นแหวกอากาศ เหิงโส่วกลายเป็นป้อมปราการกลางเปลวไฟที่ลุกไหม้ท่ามกลางห่าธนู ทั้งเมืองกลายเป็นสีแดงเพลิงและสีดำไหม้สลับกัน 


 


 


“ท่านนายพลหนิง ยุ้งเสบียงถูกไฟไหม้! หลังจากดับไฟเหลือเสบียงเพียงห้ากระสอบเท่านั้นขอรับ” 


 


 


พู่กันขนเพียงพอนในมือหนิงอวี้หยุดลง ปลายพู่กันที่สัมผัสกับกระดาษทำให้น้ำหมึกหยดลงเป็นจุดใหญ่สีดำดวงหนึ่ง 


 


 


“อืม รู้แล้ว ไปเถิด” 


 


 


หนิงอวี้ยกพู่กันแล้วจุ่มน้ำหมึกอย่างไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย นางเขียนประโยคที่หยุดกลางครันเมื่อครู่ต่อ 


 


 


ไม่เป็นอะไร ม้าศึกเกราะเหล็กราชวงศ์เหนือคงจะบุกเข้ามาในไม่ช้า เสบียงอาหารที่โชคดีรอดมาได้ห้ากระสอบอาจจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ด้วยซ้ำ หนิงอวี้มุมปากยกยิ้มเศร้า นางส่ายหน้าเบาๆ 


 


 


เรื่องของลูก ไม่เขียนดีกว่า หนิงอวี้น้ำตาซึมอยู่หางตา หากเว่ยหยวนรู้เรื่องนี้ คงจะทุกข์ใจยิ่งขึ้น 


 


 


ผ่านไปราวครึ่งเค่อ พู่กันขนเพียงพอนในมือหนิงอวี้ก็หยุดขยับแล้ววางมันลงบนชั้นรองพู่กัน นางล้วงกริชสั้นออกจากแขนเสื้อมาตัดเส้นผมกระจุกหนึ่งออกมาแล้ววางลงบนกระดาษจดหมาย 


 


 


นางจำได้ดี ในคืนแต่งงานนางเมาสุราจนหลับไป วันรุ่งขึ้นบนเตียงก็มีปมผูกเข้าด้วยกันปมหนึ่งปรากฏอยู่ คิดๆไปแล้วน่าจะเป็นท่านอ๋องที่แอบดึงผมนางมา 


 


 


จนกระทั่งตอนนี้ นางอยากเหลือสิ่งเตือนความจำไว้สักหน่อยแต่ก็นึกไม่ออกว่าจะหาสิ่งใดมาดี จึงได้แต่ตัดเส้นผมกระจุกหนึ่งแล้วผูกเป็นปม 


 


 


นางลุกขึ้นยืนแล้วลูบไปบนสาบเสื้อ ครั้นแน่ใจว่าพกจดหมายติดตัวอย่างดีแล้ว จึงเหลียวมองไปรอบห้อง จากนั้นก็ผินกายเดินจากไป 


 


 


นางกุมกระบี่ยาวในมือแน่น แล้วยกมือขึ้นผิวปากออกมาหนึ่งเสียง ม้าเหงื่อโลหิตร้องเสียงแหลมวิ่งตะบึงมา หนิงอวี้ตีลังกาขึ้นหลังม้า ชุดคลุมสีแดงเพลิงปลิวไสวไปตามสายลม 


 


 


เกือกเหล็กย่ำลงไปบนพื้นดินที่ถูกสาดย้อมด้วยเลือด วิ่งพุ่งออกนอกประตูเมืองมุ่งสู่กลางฝูงชน นางมองดวงตะวันที่ขอบฟ้า ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า ‘ความหวัง’ บางทีมันอาจจะเป็นต้นทานตะวันก็ได้ ทานตะวันจะเติบโตโดยหันหน้าไปยังดวงอาทิตย์ นั่นไม่ใช่คำอธิบายของสิ่งที่เรียกว่าความหวังอยู่แล้วหรือ 


 


 


ม้าเหงื่อโลหิตหวีดร้องเสียงแหลม ทะยานขึ้นกลางอากาศเตะพลทหารล้มกองกับพื้น หนิงอวี้แกว่งกระบี่ ฟันสังหารทหารผู้นั้น กระบี่ในมือดื่มเลือดไปมากมาย ท่ามกลางแสงเงินปลาบดูเหมือนมันอาบไปด้วยสีแดงแห่งเลือด 


 


 


หนิงอวี้ออกกระบี่สีหน้านิ่งเฉย ไม่ใส่ใจกฎระเบียบใดๆ นางคิดเพียงสังหารศัตรูเท่านั้น ผ่านไปราวครึ่งเค่อก็ไม่มีใครกล้ารุกเข้ามา หนิงอวี้ชำเลืองขึ้นก็เห็นว่าที่ไกลออกไปจากที่นั่น นายพลหน้ากากผีกำลังขี่บนหลังม้ายืนตระหง่านอยู่กลางฝูงชน 


 


 


วินาทีถัดจากนั้น นัยน์ตาหนิงอวี้ก็หดเล็กลง ข้างกายนายพลหน้ากากผียังมีอีกคนยืนอยู่ บนเอวเขามีดาบโค้งเหน็บไว้ ภายใต้แสงแดดแสงเงินวาวสาดสะท้อนออกมา 


 


 


หนิงอวี้บังคับม้าเข้าไป นางควบผ่านเหล่าพลทหารนับหมื่นนับพัน นางเห็นเลือดสาดกระเซ็น ซากศพเกลื่อนกลาดไปทั่ว เมื่อประชิดเป้าหมายขึ้นเรื่อยๆ หนิงอวี้ตวัดแส้ ม้าวิ่งห้อด้วยความเร็ว 


 


 


ทั้งสองเผชิญหน้ากัน หนิงอวี้แกว่งดาบเข้าหา นายพลหน้ากากผีก้มตัวหลบได้ คนชุดดำดาบโค้งที่อยู่ด้านข้างกระโดดขึ้น หนิงอวี้ปลายเท้าแตะลงบนบังโกลนแล้วกระโดดขึ้นกลางอากาศ 


 


 


คนชุดดำมือถือดาบโง้งตั้งขึ้น หนิงอวี้พลิกตัวถีบเท้าข้างหนึ่งไปยังเขา กระบี่ยาวในมือแทงพุ่งตรงไปยังนายพลหน้ากากผี นายพลหน้ากากผียังคงหลบได้ ตาทั้งคู่ที่มองไปยังนางเต็มไปด้วยความเศร้าระทม 


 


 


หนิงอวี้มือยันบนหลังม้าแล้วลงสู่พื้นอย่างมั่นคง ดาบโค้งจู่โจมเข้ามาแต่ก็หยุดลงกะทันหัน หนิงอวี้เห็นสีหน้าเกรงกลัวของคนชุดดำก็ควงกระบี่ยาวเข้าหา 


 


 


ชั่วอึดใจเดียว เสียงเท้าม้าก็ดังขึ้น คนชุดดำพาดดาบยาวอยู่กลางอก หนิงอวี้ก้าวถอยสองสามก้าวรอรับมือ จดจ้องอยู่นาน ทันใดนั้นแสงสีขาววาววับก็สว่างวาบขึ้นมาทันใด นางเผลอใจลอยไปชั่วขณะ 


 


 


หน้าอกรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง กลิ่นคาวเลือดรสดั่งสนิมปะทุขึ้นในปากหนิงอวี้ แสงสีขาวที่วาววับแล้วเลือนหายไป คือแสงที่แดดที่สะท้อนจากดาบโค้ง คิดไม่ถึงว่าจะถูกใช้เป็นอาวุธได้ 


 


 


หนิงอวี้ก้มหน้าเห็นรอยแผลมีเลือดกลบอยู่บนสาบเสื้อ นางยกมุมปากยิ้มช้าๆ หนิงอวี้เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าปราดหนึ่งแล้วค่อยๆ หลับตาลง 


 


 


ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามาแล้ว รอข้าด้วยนะ  


 


 


เว่ยหยวน หม่อมฉันผิดต่อท่านนัก 


 


 


เจ้าเด็กบ้า มารดาเจ้าช่างเป็นคนไร้ประโยชน์ยิ่งนัก ทั้งที่เคยบอกว่าจะพาเจ้าเชยชมโลกมนุษย์อันหลากหลายนี้ น่าเสียดาย แม้แต่แสงตะวันเจ้าก็คงไม่อาจได้เห็นเสียแล้ว 

 

 

 


ตอนที่ 254 ถูกมู่หรงเหยียนช่วย

 

เว่ยหยวนที่กำลังห้ำหั่นกับศัตรูรู้สึกเจ็บอกขึ้นมากระทันหัน ทันใดนั้นกระบี่ยาวในมือร่วงลงกับพื้น มั่วหลีแกว่งกระบี่เข้าสกัดการแทงจู่โจมไปยังเว่ยหยวนได้แล้วขึ้นถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


เว่ยหยวนส่ายหน้าช้าๆ ใบหน้าซีดเผือด พวกคนชุดดำอาศัยจังหวะที่พวกเขาไม่ทันระวัง อีกทั้งทหารอารักขาหยวนอีอ่อนสิ้นกำลังทำให้พวกเขาแพ้ร่นต่อเนื่อง 


 


 


ตอนนี้ พวกเขาแปรกระบวนทัพใหม่เตรียมพร้อมจู่โจม เมื่อต่อสู้กับคนชุดดำ พวกคนชุดดำค่อยๆ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบลงเรื่อยๆ เว่ยหยวนยื่นมือไปชักกระบี่ยาวออกจากฝักหนังข้างๆ ตัวม้าแล้วออกคำสั่งเสียงทุ้ม “หากหยวนอีแตกเมื่อไหร่ ให้รีบไปตามหาพระชายาทันที” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


—— 


 


 


เจ็บ หน้าอกเจ็บแสบราวกับถูกไฟเผา หนิงอวี้ขมวดคิ้ว ความตายนั้นเจ็บปวดเช่นนี้เองหรอกหรือ กลิ่นหอมยาจีนอ่อนๆ แตะปลายจมูก หนิงอวี้ค่อยๆ ลืมตาทั้งคู่ขึ้น 


 


 


เบื้องหน้าคือฉากอันโอ่อ่าหรูหรา ที่นี่คือที่ใดกัน หนิงอวี้ยกมือขึ้นลูบขมับที่ปวดหน่วงก็ได้ยินเสียงคนตะโกนขึ้นด้วยความแปลกใจระคนยินดี “แม่นางฟื้นแล้ว รีบส่งคนไปตามหมอมารักษาแล้วให้ส่งอีกคนไปกราบทูลองค์ชายรองด้วย” 


 


 


“ที่นี่คือที่ไหนกัน” หนิงอวี้ได้ยินคำว่า ‘องค์ชายรอง’ สามคำนี้ก็ตกใจตื่นขึ้นมา นางยื่นมือคลำไปทั่ว หมายจะหากริชที่พกติดตัวกลับพบว่าแม้แต่ชุดเองก็ถูกเปลี่ยนไปเสียแล้ว 


 


 


“แม่นาง ที่นี่คือตำหนักขององค์ชายสอง!” หนิงอวี้ตอนนี้ไร้ซึ่งอาวุธ นางชำเลืองไปยังจอกกระเบื้องบนโต๊ะแล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ขอน้ำให้ข้าสักจอกเถิด” 


 


 


สาวใช้ส่งยิ้มแล้วยกจอกชาขึ้น หนิงอวี้รับจอกชามา นางเป่าลมหนึ่งที อาศัยจังหวะที่สาวใช้ไม่ทันระวัง ก็ทุบจอกชาไปยังเสาเตียงที่แกะสลักอย่างงามประณีต เสียงดังกังวานใส รอยแหว่งปรากฏขึ้นบนจอกชา 


 


 


สาวใช้มิได้รู้สึกแปลกใจกลับยอบกายคำนับพลางยิ้มอ่อนหวาน 


 


 


“ต้องการอีกจอกไหมเจ้าคะ” 


 


 


หนิงอวี้กุมจอกชาในมือแน่นแล้วปามันลงไปกับพื้นอย่างแรง จอกใบนั้นกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้น ยังคงสมบูรณ์ดีไม่แตกร้าว 


 


 


ท่ามกลางความเงียบงันพักใหญ่ หนิงอวี้ชำเลืองมองสาวใช้ปราดหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “พวกเจ้าตั้งใจจะทำอะไรกัน” 


 


 


สาวใช้ส่ายหน้ายิ้มบาง ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ผู้เฒ่าในชุดสีครามทั้งตัวก็เดินเข้ามาพอดี 


 


 


“แม่นางโปรดยื่นมือ ขอข้าตรวจวัดชีพจรด้วย” 


 


 


หนิงอวี้กุมท้องน้อยๆ ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความตื่นตัวระวัง ดวงตาทั้งคู่ของหมอโก่งโค้ง เขายิ้มออกมาอย่างเมตตา “แม่นางโปรดวางใจ ร่างกายเจ้ายังดีอยู่ ลูกในท้องเองก็ปลอดภัยดี เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น เมื่อจิตใจว้าวุ่นจำ เป็นต้องพักผ่อนให้ดี” 


 


 


หนิงอวี้ไม่เอ่ยสิ่งใดแต่หลับตาทั้งคู่ลงช้าๆ นางนั่งบนเตียง กอดเข่าทั้งสอง ในขณะที่หมอจนด้วยปัญญา ก็เห็นชายชุดดำเดินเข้ามาช้าๆ พวกเขาคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อต้อนรับ 


 


 


มู่หรงเหยียนมองไปยังผู้คนที่กำลังคุกเข่ากับพื้นแล้วโบกมือ หนิงอวี้นั่งอยู่กลางผ้าห่มสีชมพูอ่อน นางสวมชุดสีขาวทั้งตัว ทำให้นางดูท่าทางบอบบางอ่อนแอยิ่งนัก 


 


 


เส้นผมดำขลับยาวประบ่า ขับดุนใบหน้านางให้ดูขาวซีด มู่หรงเหยียนเหยียดมุมปากยิ้มแล้วยื่นมือขึ้นไปดึงผ้าห่มขึ้น เขาตั้งใจจะพูดปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก็ได้ยินเสียงหนิงอวี้พูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร” 


 


 


ขนตางอนยาวขยับแยกออกจากกัน หนิงอวี้ลืมตาทั้งคู่ขึ้นช้าๆ แล้วจ้องไปยังชายผู้อยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางมองทะลุหน้ากากเขียวเขี้ยวโง้ง จ้องนิ่งไปยังดวงตาทั้งคู่ของเขาแล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “เจ้าจับข้ามา หามีประโยชน์อันใดไม่” 


 


 


มู่หรงเหยียนชะงักนิ่งกับที่ หนิงอวี้แค่นเสียงเยาะหนึ่งที ครั้นแล้วก็หันหลังให้เขา 


 


 


“ไสหัวไป อย่าให้ข้าได้เจอเจ้าอีก” 


 


 


ดวงตาคู่นั้นซ่อนความรู้สึกเอาไว้มากมาย นางไม่อาจคาดเดาได้และไม่อยากที่จะเดา 


 


 


“เจ้าควรกินอาหารสักหน่อย ข้า…ได้ยินว่าเจ้ามีลูก และเพื่อลูกในท้อง เจ้าก็ควรดูแลตัวเอง” 


 


 


“เจ้ามีดีอะไรจึงมาพูดเช่นนี้ ไสหัวไป! หากให้ข้าพบเจ้าอีกครั้ง ข้าจะฆ่าเจ้าเพื่อล้างแค้นให้ท่านพ่อ” 

 

 

 


ตอนที่ 255 ท่านอ๋อง พระชายาหายสาบสูญ!

 

กลางเมืองหยวนอีธงราชวงศ์เหนือถูกแทนที่ เว่ยหยวนพลิกตัวขึ้นหลังม้าแล้วตะโกนขึ้นเสียงดัง “ทิ้งทหารไว้พันนาย ที่เหลือรวบรวมสิ่งของแล้วตามข้าไปเหิงโส่ว” 


 


 


ไม่รู้ด้วยเหตุใด เขาจึงรู้สึกจุกในอกสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องแย่ๆ ขึ้นมา ม้าวิ่งห้ออย่างรวดเร็ว ฝุ่นฟุ้งตลบขึ้นนับไม่ถ้วน 


 


 


มั่วหลีขมวดคิ้วคอยตามอยู่ด้านหลังเขา ตั้งแต่ท่านอ๋องชะงักอึ้งครั้งนั้น เขารู้สึกว่าท่านอ๋องใจร้อนขึ้นอย่างมาก กิริยาว่องไว คำพูดชัดเจน แววตามเต็มไปด้วยความร้อนรน 


 


 


“ท่านอ๋อง! พระชายาออกไปยังสนามรบตามลำพัง ได้รับบาดเจ็บที่หน้าอก ไม่ทราบที่ไป” 


 


 


มีคนรีบควบม้าเข้ามาต้อนรับแล้วคุกเข่าลงกับพื้น เว่ยหยวนรั้งสายบังเ**ยนเคลื่อนสายตาลงกวาดมองคนผู้นั้น 


 


 


ม้าทะยานขึ้นกลางอากาศร้องเสียงแหลมแล้วเดินกระทืบเท้าหมุนตัวไปมาอยู่กับที่ เว่ยหยวนนิ่งอึ้ง มือทั้งคู่กุมสายบังเ**ยนแน่น เสี้ยนเล็กละเอียดบนสายบังเ**ยนแทงทิ่มลงกลางฝ่ามือแต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บเลยแม่แต่น้อย 


 


 


“เจ้าว่าอะไรนะ พูดอีกที!” 


 


 


มั่วหลีได้ยินก็กวาดตามองไปยังท่านอ๋องปราดหนึ่ง ในใจบอกกับตัวเองว่าดูท่าจะแย่แล้วแต่ใบหน้ากลับยังคงแสร้งทำทีเป็นสงบนิ่ง 


 


 


“พระชายาไปยังสนามรบเพียงลำพัง ถูกคนชุดดำจากราชวงศ์เหนือผู้หนึ่งทำร้ายเข้า คนชุดดำผู้นั้นถือดาบโค้ง ทำร้ายพระชายาจนบาดเจ็บสาหัส หลังเสร็จศึก พวกข้าน้อยออกไปตามหาพระชายา พลิกดูซากศพจนหมดแล้วก็หาพระชายาไม่พบพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เมื่อฟังคำพูดนี้ก็เข้าใจอย่างแจ่มชัด มั่วหลีตัวสั่นขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ เขาเดินเข้าไปแล้วโค้งคำนับ “ท่านอ๋อง” 


 


 


ภายใต้แสงอาทิตย์อันร้อนระอุ เว่ยหยวนตัวสั่นอย่างทนมิได้ เขาคลายสายบังเ**ยนในมือลงแล้วกำมือแน่นเพื่อรักษาจิตใจให้สงบนิ่ง ครั้นแล้ว มือทั้งคู่ที่กำหมัดแน่นนั้น เขาก็สะดุ้งรู้สึกตัวได้ว่านิ้วมือตนนั้นเย็นยะเยือก 


 


 


“ท่านอ๋องมีอะไรกำชับหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ความยินดีที่จะได้พบหน้าในดวงตาเว่ยหยวนพลันหายไป ครู่หนึ่งก็สะบัดแส้ ม้าสัมผัสถึงความเจ็บรุนแรงก็ยกเท้าออกวิ่งไป มั่วหลีไม่ทันได้ระวังตัวถูกฝุ่นที่ตลบฟุ้งนั้นเกาะไปทั่วทั้งตัว 


 


 


อวี้เอ๋อร์ตายแล้วหรือ เป็นไปไม่ได้ เว่ยหยวนมองทิวทัศน์ที่เคลื่อนผ่านสายตา สติหลุดลอยออกไป อวี้เอ๋อร์นางรับปากว่าจะกลับมาโดยเร็ว เพื่อคอยดู ‘ความหวัง’ ออกดอกเบ่งบานพร้อมเขา 


 


 


เว่ยหยวนเม้มปาก เมื่อฟันฝังลงบนริมฝีปาก เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาสาดย้อมริมฝีปากอันขาวซีดเป็นจุดๆ เว่ยหยวนกุมสายบังเ**ยนในมือแน่น เสี้ยนเล็กละเอียดทิ่มบาดลงกลางฝ่ามือ 


 


 


เจ็บปวด ก็ดีเหมือนกัน เช่นนี้จะได้ปลุกข้าให้ได้สติ เว่ยหยวนคิดสีหน้าสงบนิ่ง ต้องตกหล่นแน่ กลางสนามรบมีคนมากมายขนาดนั้น อวี้เอ๋อร์อาจจะปะปนอยู่ท่ามกลางผู้คนแต่ยังไม่ถูกพบเข้าเป็นได้ 


 


 


นางฝึกฝนวิทยายุทธ์มาหลายปี ร่างกายก็แข็งแรง ต่อให้ได้รับบาดเจ็บ แค่รักษาไม่กี่เดือนก็หายแล้ว เว่ยหยวนปลอบใจตนเองพลางพยายามทำใจให้สงบนิ่งแล้วตวัดแส้บังคับม้าให้วิ่งไป 


 


 


“แม่นาง ท่านอยากกินอะไรหรือไม่ ข้าน้อยจะได้สั่งให้ห้องเครื่องเตรียม” 


 


 


หนิงอวี้ทำราวกับไม่ได้ยิน นางเหลือบมองสาวใช้ปราดหนึ่งแล้วหลับตาทั้งคู่ลงช้าๆ นางตกอยู่ในกำมือมู่หรงเหยียนคงไม่อาจหนีรอดได้อย่างปลอดภัย หากเขาใช้นางบีบบังคับท่านอ๋องเล่า หนิงอวี้ขมวดคิ้วขบริมฝีปากไม่กล่าวสิ่งใด 


 


 


นางทำร้ายชีวิตของบิดามารดาแล้ว อย่าได้ดึงท่านอ๋องมาพัวพันด้วยอีกเลย หนิงอวี้โค้งมุมปาก ปั้นยิ้มอย่างเยาะเย้ยออกมาหนึ่งที 


 


 


กลับชาติมาเกิดอีกครั้ง มีประโยชน์อะไรกัน แก้ไขอะไรได้เสียที่ไหน พี่ชายยังคงหายสาบสูญ ไม่รู้เป็นตายร้ายดี บิดาต้องสิ้นชีพเพราะนาง ศพต้องถูกฝังอยู่ต่างถิ่น ยังโชคดีที่หงหลิงอยู่ไกลยังเมืองหลวง จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีภัยถึงชีวิต 


 


 


คนที่สมควรตายที่สุด กลับมีชีวิตอยู่ต่อ น่าขันสิ้นดี มุมปากหนิงอวี้โค้งยิ้มชัดเจนยิ่งขึ้น นางหลับตาทั้งคู่ลงสนิทแล้วน้ำตาก็ค่อยๆ ไหลออกมา 


 


 


ที่จริงแล้วมันไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ยังมีท่านอ๋องคอยเคียงข้าง เมื่อนางนึกถึงจุดนี้ก็ลืมตาขึ้นมาโดยพลันแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอันแหบพร่า “สาสน์ของข้าเล่า” เสียงแหบพร่าจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ สาวใช้คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจความหมายจึงค้อมกายคำนับแล้วพูดตอบ “สาสน์เหล่านั้นองค์ชายรองเก็บรักษาไว้อยู่เจ้าค่ะ” 


 


 


“ข้าจะไปพบเขา!” 

 

 

 


ตอนที่ 256 ลอบสังหารล้มเหลว

 

หน้าต่างถูกเปิดกว้าง สายลมอ่อนโยนพัดโชยเข้ามาพัดเอาผ้าแพรบางปักดิ้นทองพลิ้วไหว หนิงอวี้ขดตัวอยู่บนหนังเสือสีขาวมองไปยังท้องฟ้าไม่พูดจา แม้หน้าต่างจะเปิดออกแต่บนนั้นกับตีไม้ซี่นับไม่ถ้วนเพื่อกันนางหนีออกจากทางหน้าต่างฆ่าตัวตาย 


 


 


หนิงอวี้เหยียดมุมปาก ฮึ คิดรอบคอบเสียจริง ท่ามกลางภวังค์ นางหลับตาทั้งคู่ลงแล้วหลับไป 


 


 


มู่หรงเหยียนผลักประตูเข้ามา สาวใช้ยอบกายคำนับ 


 


 


“แม่นางกำลังนั่งชมทิวทัศน์อยู่ห้องข้างๆ ไม่ยอมให้พวกเราเข้าไปเลยเพคะ” 


 


 


มู่หรงเหยียนได้ฟังก็กวาดสายตามองสาวใช้ปราดหนึ่งอย่างเย็นชา นัยน์ตาฉายแววไม่พอใจอย่างถึงที่สุด สาวใช้ก้มตัว คุกเข่าลงกับพื้น 


 


 


ผ้าแพรบางถูกเลิกขึ้น เขาเดินผ่านฉากบังตา เสียงฝีเท้าของเขาเบาลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ หนิงอวี้กำลังหลับอยู่ นางนอนคว่ำอยู่บนหนังเสือขาว เป็นท่านอนที่ดูสงบนิ่ง 


 


 


“เหลวไหล” 


 


 


คำพูดสองคำหลุดออกมาจากริมฝีปากอันบาง มู่หรงเหยียนก้มตัวลงอุ้มนาง คนในอ้อมกอดดูเหมือนจะรู้สึกตัว นางย่นคิ้วอย่างไม่ยินดี มู่หรงเหยียนหลุดเสียงหัวเราะแล้วกอดคนในอ้อมกอดไว้มั่น 


 


 


คนในอ้อมกอดยกมือขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว มือทั้งคู่โอบรอบลำคอเขา วินาทีถัดจากนั้น ข้างลำคอก็สัมผัสได้ถึงความแหลมคม ของแหลมนั้นแนบชิดลำคอ รู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นอย่างหนึ่งขึ้นมา 


 


 


หนิงอวี้ออกแรงมือ ปิ่นปักผมทิ่มทะลุชั้นผิวหนัง มีเลือดไหลซึมออกมา มู่หรงเหยียนหายใจมั่นคงมิได้มีความตื่นตระหนกแม้แต่น้อย 


 


 


มู่หรงเหยียนกลับกอดนางเอาไว้มั่นยิ่งขึ้น เขาพูดขึ้นเสียงเบา “ระวังหน่อย เดี๋ยวจะตกลงไป” ในน้ำเสียงนั้นคล้ายแฝงด้วยความสุขและความรู้สึกยินดี 


 


 


“เจ้าระวังหัวเจ้าก่อนเถิด” ยังไม่ทันขาดคำ มือข้างที่กำปิ่นของหนิงอวี้ก็ถูกตรึงเอาไว้แต่มู่หรงเหยียนยังคงกอดนางเอาไว้ด้วยท่าทีสุขุมแน่นิ่ง 


 


 


หนิงอวี้ช้อนตาขึ้นมองก็เห็นสาวใช้ยื่นมือออกมายื้อแขนตนเอาไว้ สาวใช้ที่อ่อนน้อมในวันก่อนๆ กลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร 


 


 


ต่างกับหนิงอวี้ สาวใช้พละกำลังแข็งแกร่งอย่างมาก หนิงอวี้ขัดขืนอยู่นาน ในที่สุดปิ่นก็ถูกแย่งจากนางไป เมื่อปิ่นหลุดออกจากบาดแผล เลือดสดไหลหลั่งออกมาอย่างรวดเร็ว ต่างหยดซึมลงบนปกเสื้อสีดำกลายเป็นรอยชุ่มเป็นบริเวณ 


 


 


“ในเมื่อข้าสังหารเจ้าไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ฆ่าข้าเสียสิ” 


 


 


หนิงอวี้กำหมัดทั้งคู่แน่น มู่หรงเหยียนส่ายหน้าอย่างใจเย็น ครั้นแล้วก็ยื่นนิ้วออกไปทำสัญญาณมือให้เงียบ 


 


 


หน้ากากเขียวเขี้ยวโง้ง ไร้ซึ่งอารมณ์ แต่หนิงอวี้สังเกตได้อย่างชัดเจนว่าภายใต้หน้ากากนั้นคือรอยยิ้มอันน่าเกลียดน่ากลัว 


 


 


“ฝ่าบาท บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวไม่ควรประมาท ปล่อยให้แม่นางปักปิ่น” 


 


 


“ไปซะ โบยสามสิบไม้ นับแต่นี้ไปห้ามใครที่นี่ก็ตามปักปิ่นอีก” 


 


 


“เพคะ” 


 


 


สาวใช้ลุกขึ้นพลางก้มหน้า แล้วเดินออกจากห้องช้าๆ หนิงอวี้มองนางครู่หนึ่งก็พูดขึ้นเสียงเบา “เจ้าคิดจะทำอะไร” 


 


 


“ได้ยินว่าเจ้าไม่กินอาหารมาทั้งวันเลยหรือ” 


 


 


มู่หรงเหยียนไม่ตอบแต่ถามกลับ หนิงอวี้แค่นเสียงเยาะหนึ่งที “แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าหรือ” 


 


 


หางตามู่หรงเหยียนโค้งยิ้ม เขาล้วงจดหมายออกมาสองสามฉบับ หนิงอวี้เห็นจดหมายเหล่านั้น ก็ประคองตัวลุกขึ้นนั่งโดยไม่รู้ตัว 


 


 


“เข้ามา! เตรียมข้าวต้มและกับข้าว เอามาต้อนรับแม่นาง” จดหมายสองสามฉบับถูกเขย่า “หากเจ้าไม่กิน ข้าก็จะเผาสาสน์พวกนี้ทิ้ง” 


 


 


หนิงอวี้ขบริมฝีปาก ครู่หนึ่งก็โพล่งออกมาหนึ่งคำว่า “ได้” นี่คือสิ่งเดียวที่นางคำนึงถึง นอกเหนือจากลูกในท้อง มู่หรงเหยียนผู้นี้ ช่างน่ารังเกียจยิ่งนั้น 


 


 


หลังกินอาหาร หนิงอวี้ก็ชำเลืองตาขึ้น “คืนให้ข้า!” ดวงตามู่หรงเหยียนโค้งยิ้ม เขาส่ายหน้าแล้วเดินจากไป หนิงอวี้กำหมัดทั้งสองแน่น จ้องนิ่งไปยังแผ่นหลังของเขาอย่างดุดัน เมื่อเงากายในชุดดำเดินจากไป ทันใดนั้นผนังก็สั่นขึ้นหนึ่งที ครั้นแล้วก็กลับไปนิ่งสงบดังเดิม 


 


 


คนวิปลาศ เมื่อครู่นางตั้งใจยื้ออยู่อย่างอดทน มู่หรงเหยียนกลับรออยู่อย่างสงบนิ่ง ไม่ได้จัดการกับบาดแผลบนลำคอเลยแม้แต่น้อย เขาทำเพียงรอคอยอยู่อย่างอดทน 


 


 


หนิงอวี้ไม่เข้าใจ หากต้องการใช้นางเพื่อบีบท่านอ๋อง ไยถึงต้องทำถึงเพียงนี้ 


 


 


‘ซากศพเขาถูกทหารราชวงศ์เหนือลากไป’ เสียงนั้นดังขึ้นฉับพลันในความคิด ราวกับจะระเบิดความคิดนางเสีย มู่หรงเหยียนเป็นใครกันแน่ เป็นไปไม่ได้! ท่านพี่ไม่มีทางลงมือกับท่านพ่อเป็นอันขาด 

 

 

 


ตอนที่ 257 ค้นหากลางกองศพ

 

ดวงอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยต่ำลง แสงอาทิตย์อันร้อนระอุกลับกลายเป็นอบอุ่น เว่ยหยวนเลอะไปด้วยคราบเลือดทั่วกาย เขาพลิกกองศพค้นหาอยู่สองชั่วยาม


 


 


มือทั้งคู่ของเขาเต็มไปด้วยลิ่มเลือดที่จับตัวจนดำ ใบหน้าขาวผ่องราวกับเนื้อหยกเต็มไปด้วยรอยเลือดเป็นจุดๆ มั่วหลีค้นหาอยู่เป็นชั่วยาม เหน็ดเหนื่อยจนเหงื่อไหลพลั่กจึงต้องนั่งลงกับพื้นเพื่อพักเหนื่อย


 


 


เว่ยหยวนกลับไม่ใส่ใจ เขาเม้มปากค้นหาจนถึงที่สุด เขานับไม่ถ้วนว่าเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือดไปแล้วกี่ศพ อาจนับร้อยหรืออาจจะนับพัน ใบหน้าดวงหนึ่งถูกเช็ดจนสะอาด แต่นั่นก็มิใช่คนผู้นั้นที่ใจเขาเฝ้าคิดถึง


 


 


ทุกครั้งที่พลิกร่างกาย ใจของเขาล้วนจมลงสู่ห้วงเหวไร้ซึ่งที่สิ้นสุดจนกระทั่งถึงร่างสุดท้าย ไม่ใช่ เว่ยหยวนยกมือขึ้นกุมหน้า หยดน้ำเปื้อนเลือดไหลผ่านซอกนิ้วเขาออกมาหยดหนึ่ง


 


 


มั่วหลียืนนิ่งกับที่ไม่กล้าออกเสียง เขาไม่แน่ใจว่าท่านอ๋องกำลังร้องไห้อยู่หรือไม่ เพราะน้ำตาที่ไหลพรั่งพรู สุดท้ายแล้วกลับดูเหมือนเป็นน้ำเลือด


 


 


ทันใดนั้น ขอบฟ้าก็มีสายฟ้าฟาดผ่านแถบหนึ่ง เมฆดำครึ้มแผ่กระจาย มั่วหลีโค้งคำนับ “ท่านอ๋อง ตอนนี้พายุฝนกำลังจะมาแล้ว พวกเรากลับกันก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ปล่อยให้ข้าอยู่เงียบๆคนเดียว”


 


 


มั่วหลีจนปัญญาจึงได้แต่คำนับแล้วจากไป


 


 


ท่ามกลางซากศพนับพันนับหมื่นที่กระจัดกระจาย คนผู้หนึ่งนั่งคุกเข่ากับพื้น มือทั้งสองปิดหน้า ฝนห่าใหญ่เทลงมา ราวกับร่ำไห้ให้กับความเศร้าโศกในใจเขา เมื่อเลือดถูกสายฝนชะ ก็ค่อยๆ กลายเป็นสีแดงอ่อน


 


 


เว่ยหยวนปล่อยเสียงร่ำไห้อย่างเศร้าโศกท่ามกลางพายุฝนใหญ่ ราวกับสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เมื่อฝนหยุดลง สายลมโชยผ่าน เว่ยหยวนปล่อยมือลงเผยให้เห็นใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์


 


 


ในเมื่อหาศพนางไม่พบ นั่นแสดงว่านางอาจถูกพาตัวไป ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์เหนือหรือราชวงศ์ใต้ นางล้วนแต่อยู่ในสถานะที่ถูกใช้ การที่หาตัวไม่พบ ก็อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้


 


 


เว่ยหยวนมองฝ่ามือตัวเอง เขาลุกขึ้นยืนช้าๆ จากนี้ไป คงต้องเพิ่มค่าตัวหนิงอวี้ขึ้นอีกหน่อยแล้วกัน ให้ศัตรูจำต้องดูแลนางให้ดี เพื่อจะขายนางในราคาดีๆ เมื่อถึงตอนนั้น


 


 


ทำเช่นนี้ ร้อนรนเกินไป แต่เขาจำเป็นต้องทำ หากไม่เช่นนั้น เวลาที่เขาจะได้พบกับหนิงอวี้คงถูกยืดยาวออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด


 


 


——


 


 


ทันทีที่ความคิดผุดขึ้น ก็ยากที่จะเลือนหายไป หนิงอวี้ก้มหน้าลงมองไปยังฝ่ามือที่เต็มไปด้วยรอยแผล นางคาดหวังว่าจะได้ถามซึ่งๆ หน้า แต่มู่หรงเหยียนกลับไม่ปรากฏตัวมาสองวันแล้ว


 


 


“แม่นาง เชิญกินอาหารเถิด”


 


 


“ออกไป ไปเรียกมู่หรงเหยียนมาพบข้า”


 


 


สาวใช้สีหน้าคงเดิม นางพูดอธิบายด้วยเสียงอันเบาว่า “สองสามวันนี้ฝ่าบาททรงยุ่ง แม่นางท่านกินอาหารก่อนเถิด ให้ข้าน้อยได้ไปรายงานพระองค์สักคำ”


 


 


หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว นางช้อนตาขึ้นจ้องนางแล้วพูดอย่างชัดคำว่า “ข้าอยากพบเขา”


 


 


สาวใช้พยักหน้าแล้วหันกายเดินจากไป


 


 


หากเป็นพี่ชายจริง นางควรทำอย่างไรดี หนิงอวี้กำหมัดแน่น ทันใดนั้นหน้าอกก็เกิดเจ็บขึ้นมาอย่างรุนแรง ก่อนไปท่านหมอได้กำชับว่าต้องรักษาจิตใจให้สงบ หากอารมณ์พุ่งพ่าน จะไม่เป็นผลดีต่อบาดแผล


 


 


นางยังไม่ตาย จึงควรมีชีวิตอยู่ต่อให้ดี เก็บเรี่ยวแรงเอาไว้ ถึงจะสามารถฟันคอล้างแค้นศัตรูของบิดาได้ ทว่า หากศัตรูแค้นผู้นี้คือญาติสนิทชิดเชื้อเล่า


 


 


หนิงอวี้ไม่อยากคิดหาคำตอบและไม่กล้าที่จะตอบด้วย หากเป็นหนิงเฝ่ยจริง นางควรทำอย่างไร สังหารเขาให้ตายในกระบี่เดียว หรือปล่อยเขาไปดี คงมีเพียงสองตัวเลือกนี้เท่านั้น แต่วิทยายุทธ์นางด้อยกว่าหนิงเฝ่ย หากปล่อยเขาไป ใครจะชดใช้ให้กับการตายของบิดาเล่า


 


 


สาวใช้จากไปได้ไม่เพียงหนึ่งเค่อ หนิงอวี้กลับรู้สึกอยู่ไม่สุขราวกับเวลาผ่านไปนานแสนนาน ในที่สุดเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น เสียงเดินก้องกังวานดั่งทองและหยกที่เป็นเสียงจังหวะเท้าเฉพาะของเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์เหนือ


 


 


ประตูถูกเปิดออกช้าๆ ภาพหน้ากากเขียวเขี้ยวโง้งปรากฏสู่สายตา คนผู้นั้นวันนี้สวมชุดสีดำ ปักดิ้นทองลายงู เครื่องประดับตกแต่งสวยงาม ทุกท่วงท่าย่างก้าวเห็นถึงความสง่างามเฉกเช่นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง


 


 


นางถึงกับไม่อาจหาจุดเชื่อมโยงระหว่างเขากับพี่ชายได้ พี่ชายสมถะเรียบง่ายไม่ชอบความหรูหรา มักเลือกแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอันเรียบง่ายที่สุดเพื่อเป็นการฝึกฝนปณิธานตน


 


 


“ตามหาข้าด้วยเรื่องอันใดหรือ”


 


 


“องค์ชายรองทรงรู้จักหนิงเฝ่ยหรือไม่เพคะ”


 

 

 


ตอนที่ 258 หนิงอวี้ ข้าโกรธแล้วนะ

 

“แน่นอน เขาเคยรักษาการณ์ที่หนิงเปียนอยู่นาน ชาวชายแดนราชวงศ์เหนือล้วนแต่รู้จักทั้งนั้น”


 


 


หนิงอวี้จ้องไปยังดวงตาเขา ตั้งใจค้นหาพิรุธในนั้น


 


 


มู่หรงเหยียนจับสังเกตความตั้งใจนั้นได้ เขาเคลื่อนสายตาลงรับสายตานาง แววตาเต็มไปด้วยความสงบไร้กังวล หนิงอวี้ขบริมฝีปากครุ่นคิดอยู่นานล้วนแต่หาไม่พบร่องรอยใดๆ


 


 


ขณะที่มู่หรงเหยียนหันกายจากไป หนิงอวี้ถอนหายใจยาวหนึ่งที นางหลุบสายตากลับต้องตกตะลึงเมื่อเห็นรอยเลือดบนพื้น รอยเลือดยาวคดเคี้ยว ทอดยาวตามชายชุดดำที่กำลังหายไปจากปากประตู


 


 


หนิงอวี้ไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงมาจากไหน นางวิ่งไปยังประตูอย่างรวดเร็ว องครักษ์สองข้างประตูยื่นมือออกมาขวางนางไว้


 


 


“แม่นาง ท่านออกไปไม่ได้”


 


 


หนิงอวี้ขมวดคิ้ว มองดูเขาเดินจากไปช้าๆ นางอ้าปากอย่างรีบร้อนหมายจะร้องเรียก แต่ก็ปิดปากลงอย่างเงียบๆ


 


 


นางไม่กล้า หนิงอวี้ยกมุมปากยิ้มอย่างเยาะเย้ยแล้วผินกายเดินจากไป ชายกระโปรงแดงที่ลากยาวทำให้รู้สึกถึงความอ้างว้างไม่น้อย


 


 


——


 


 


เว่ยหยวนผลักประตูไม้ที่เลอะเทอะออก เขานิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่ ครั้นแล้วจึงได้สติกลับมา


 


 


“ออกไปก่อน”


 


 


เขาสะบัดมือ สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างก็ถอยออกไป


 


 


เว่ยหยวนเดินไปยังด้านหน้าเตียงช้าๆ แล้วเอนกายลง กลิ่นหอมจางๆ ของดอกกล้วยไม้ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น หน้าต่างถูกเปิดออกกว้าง สายลมเย็นพัดเข้ามา


 


 


กระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะหนังสือปลิวไหว แต่เพราะถูกแท่นฝนหมึกแท่นหนึ่งวางทับเอาไว้ จึงไม่ได้ปลิวหล่นลงพื้น เว่ยหยวนลุกขึ้นนั่งแล้วรีบเดินเข้าไปหยิบจดหมายนั้นมา


 


 


“ท่านอ๋อง ข้าคือหนิงอวี้”


 


 


“ตอนที่ท่านพบสารฉบับนี้ หม่อมฉันคงตายกลางสนามรบแล้ว”


 


 


“หม่อมฉันรู้ดี ว่าหม่อมฉันออกไปเสี่ยงภัยโดยพลการ ท่านอย่าได้โกรธข้าเลย ได้ไหมเพคะ”


 


 


เว่ยหยวนกุมจดหมายนั้นแน่น เขาขบฟันเค้นคำพูดออกมาหนึ่งประโยคว่า “ฮึ รู้ว่าเสี่ยงภัยยังจะทำอีกหรือ หนิงอวี้ เจ้าให้ข้าอยู่ที่ไหนกันหรือ”


 


 


“ท่านพ่อตายแล้ว หม่อมฉันต้องล้างแค้นให้ท่าน ต้องหาตัวฆาตกรให้ได้”


 


 


เว่ยหยวนกำหมัดข้างหนึ่ง คิ้วขมวดแน่น


 


 


“ข้าฝังศพท่านพ่อไว้ที่บนเขากู๋ซานน้อย ท่านช่วยหม่อมฉันย้ายสุสานของท่านด้วยนะเพคะ พาท่านไปฝังร่วมกับท่านแม่ที่ชานเมืองด้วย”


 


 


“หงหลิงและมั่วหลีทั้งสองรักใคร่ยินดีกันนานแล้ว ขอท่านเป็นประธานจัดงานมงคลใหญ่ ส่งตัวหงหลิงออกเรือนพร้อมกับมั่วหลีอย่างสมเกียรติด้วยนะเพคะ”


 


 


มุมปากอันซีดเซียวของเว่ยหยวนค่อยๆ โค้งขึ้น ข้าเล่า หนิงอวี้ เจ้าเอาข้าไว้ที่ไหนกัน รู้ว่าอาจต้องตาย ยังดึงดันจะออกไปอีก ตอนที่เจ้าได้รับบาดเจ็บหนักนั้น เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่า ชีวิตที่เหลือของข้าจะเป็นเช่นไร


 


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ เว่ยหยวนก็เบ้าตาบวมแดงแต่ยังคงฝืนทำเป็นเข้มแข็งสงบนิ่งแล้วอ่านจดหมายต่อ


 


 


“ท่านอ๋อง หม่อมฉันรู้ว่า ตอนนี้ท่านคงกำลังโมโห คงจะเอาแต่ถาม ว่าหม่อมฉันเคยฟังคำทัดทานของท่านหรือเปล่า”


 


 


“ความฝันอันงดงามที่สุดในชีวิตหม่อมฉันนี้ น่าจะเป็นการได้อยู่ร่วมกันท่านจนแก่ชราผมหงอกไปด้วยกัน ไม่ทอดทิ้งห่างเหิน เมื่อถึงยามแก่เฒ่าท่านจะจูงมือเดินเล่นไปในสวนหย่อม”


 


 


“เคยบอกว่าจะดู ‘ความหวัง’ ออกดอกไปพร้อมกับท่าน เคยบอกว่าจะปั้นตุ๊กตาหิมะเป็นเพื่อนท่าน โปรดให้อภัยที่หม่อมฉันต้องผิดคำมั่น ขออภัยด้วยนะเพคะ”


 


 


“ถ้าหากชาติหน้ามีจริง ขอเป็นหม่อมฉันที่เป็นฝ่ายคอยเฝ้าคิดถึงท่าน รอคอยท่าน ดีไหมเพคะ”


 


 


เว่ยหยวนขมวดคิ้วอย่างกระวนกระวายใจ เขาอยากจะขยำจดหมายเสียแต่ก็ลังเลตัดใจทำไม่ลงจึงได้แต่ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะหนึ่งที โต๊ะที่ไม่ได้แข็งแรงแต่แรกอยู่แล้วก็แตกร้าวไปสี่ห้าส่วน เศษไม้ปลิวกระเด็นออกไป


 


 


เว่ยหยวนหดมือที่มีเลือดหยดกลับคืนด้วยสีหน้านิ่งเฉย เขาพับจดหมายในมืออย่างประณีตแล้วเก็บซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อ


 


 


“ข้าโกรธแล้ว หนิงอวี้”


 


 


ทำผิดไม่ควรซ้ำเกินสามครั้ง เจ้าทำราวกับคำพูดข้าเป็นเพียงลมปากครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าดึงดันที่จะออกไปเสี่ยงภัย รอถึงชาติหน้าจะมีประโยชน์อันใด ชาตินี้หากไม่มีเจ้าแล้วก็หามีประโยชน์อันใดไม่


 


 


เสียงทอดถอนใจดังขึ้นหนึ่งที เว่ยหยวนหลับตาทั้งคู่ลงช้าๆ เลือดหยดหนึ่งหยดลงบนพื้นแผ่ออกเป็นวงเหมือนดอกไม้ดอกหนึ่ง ข้าจะตามหาเจ้า ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย


 


 


เขาผลักประตูเดินออกไป มั่วหลีคอยรอรับใช้อยู่นานแล้ว ครั้นเห็นแผลบนมือเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แต่เขากลับไม่กล้าที่จะพูดอะไรมากนัก เว่ยหยวนกวาดสายตามองพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าปราดหนึ่ง มันดูส่องสว่างงดงามยิ่งนัก


 


 


“ไปเอาโลงศพท่านแม่ทัพหนิง แล้วพวกเรากลับเมืองหลวง”

 

 

 


ตอนที่ 259 หนิงเฝ่ย

 

ดึกดื่นค่ำมืด กลางตำหนักกลับมีแสงโคมไฟส่องสว่างไสว มู่หรงเหยียนสวมชุดคลุมยาวทั้งตัวเดินฝ่าความหนาวเข้าไปในห้อง สาวใช้คุกเข่าลงบนพื้นแล้วโขกหัว 


 


 


“ถวายบังคมองค์ชายรอง กลางดึกแม่นางไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลด ได้เชิญท่านหมอมาแล้วเพคะ” 


 


 


“ท่านหมอว่าอย่างไร ใช้ยารักษาได้หรือไม่” มู่หรงเหยียนพูดไปพลางเดินเข้าไปยังห้องนอน บนเตียงนุ่มยกพื้นสูง หนิงอวี้นอนมุดอยู่กลางผ้าห่มนวมใบหน้าแดงก่ำ 


 


 


“ท่านหมอบอกไม่เป็นอะไรมากเพคะ ดื่มยาไปแล้ว เหลือเพียงรอให้เหงื่อออกทั่วตัวเพื่อขับพิษไข้” 


 


 


มู่หรงเหยียนรับคำแล้วโบกมือ สาวใช้ก้มหน้าแล้วงับประตูปิด 


 


 


ท่ามกลางความเงียบงันครู่ใหญ่ หนิงอวี้พูดเสียงคลอเบาๆ ขึ้นหนึ่งเสียง “น้ำ” นางพึมพำหนึ่งคำแล้วพลิกกายมุดเข้ากลางผ้าห่มไป บนหน้าผากนางเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เส้นผมเกาะติดไปด้วยกัน 


 


 


มู่หรงเหยียนรู้สึกปวดใจขึ้นมาเล็กน้อยอย่างยากจะอธิบาย เขารีบลุกขึ้นแล้วเดินไปยังข้างอ่างน้ำ เขาบิดผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งแล้วเช็ดแก้มนาง จนกระทั่งเห็นว่าสะอาดแล้วก็หันกายกลับ เขาเทน้ำหนึ่งจอก 


 


 


“คนดี อ้าปาก” 


 


 


หนิงอวี้ขมวดคิ้วแน่น ภายใต้ผ้าห่มนูนขึ้นไปมาหลายที่ เห็นได้ว่านางกำลังขยับกายไปมาวุ่นวาย มู่หรงเหยียนจนปัญญาจึงได้แต่โน้มกายลงใช้มือข้างหนึ่งง้างปากนางออก ส่วนมืออีกข้างถือจอกน้ำแล้วเทลงไป 


 


 


ทันใดนั้นเอง หนิงอวี้ที่หลับตาในตอนแรกก็เบิกตาขึ้น มือที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มกลับไปอยู่บนหน้าเขา มู่หรงเหยียนนิ่งอึ้ง ตั้งใจจะดึงตัวหลบแต่ก็ไม่ทันการ 


 


 


วินาทีถัดมา หนิงอวี้พยายามเปิดหน้ากากเขาออก ใบหน้าอันธรรมดาเรียบเฉยดวงหนึ่ง หนิงอวี้ในใจกลับรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าดีใจหรือเสียใจดี สายตาอันสงบนิ่งของมู่หรงเหยียน ริมฝีปากบางๆ เม้มอยู่ 


 


 


หนิงอวี้ขบฟัน หากไม่ใช่เขา ทำไมถึงมีเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลหลายจุดเช่นนี้ คิดมาถึงจุดนี้ หนิงอวี้ก็ยื่นมือออกไป แต่ถูกมู่หรงเหยียนคว้าเอาไว้หมับ 


 


 


“แม่นางหนิง นี่คิดจะกลั่นแกล้งข้าหรือ” 


 


 


หนิงอวี้แค่นเสียงเยาะ แล้วพลิกมือกุมข้อมือเขากลับ มืออีกข้างก็ยื่นไปยังหน้าของเขา 


 


 


สีหน้าอันสงบนิ่งของมู่หรงเหยียนพลันทลายลง เมื่อเขาวางจอกลงก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บของหนิงอวี้ดังขึ้น ทันทีที่เผลอแบ่งความคิด หน้ากากหนังคนบนหน้าก็ถูกดึงลง 


 


 


หนิงอวี้กุมหน้ากากหนังคนในมือแน่นแล้วโพล่งออกมาสองคำด้วยรอยยิ้มอันดุดันว่า “หนิงเฝ่ย” มู่หรงเหยียนเห็นนางไม่ได้รับบาดเจ็บ จึงลุกขึ้นจัดระเบียบเสื้อผ้า 


 


 


“ไยจึง…ฆ่าท่านพ่อ” ร่างที่กำลังแต่งตัวหันหลังให้นางอยู่นั้นพลันสะดุ้งนิ่ง หนิงอวี้โยนหน้ากากหนังคนในมือทิ้งกับพื้น แล้วถามต่อ “เหตุใดกัน ท่านพ่อไม่ดีต่อเจ้าตรงไหน ไยจึงฆ่าท่านได้” 


 


 


“การตายของท่านพ่อ เจ้ามีส่วนร่วมหรือไม่” 


 


 


มู่หรงเหยียนหันหลังให้นาง พยักหน้ารับช้าๆ 


 


 


“วันนั้นข้าเห็นคนชุดดำถือดาบโค้งยืนข้างเจ้า…” 


 


 


“เขาเป็นข้ารับใช้ของข้า” 


 


 


ข้ารับใช้ของเขา ย่อมต้องฟังคำสั่งจากเขาอย่างแน่นอน หนิงอวี้ได้ยินเสียงอันสั่นเครือของตน “เช่นนั้น เจ้าก็ฆ่าท่านพ่อ” 


 


 


มู่หรงเหยียนกำหมัดทั้งคู่แน่น มุมปากโค้งยิ้มเล็กน้อยอย่างจืดจางแล้วเดินจากไปโดยเร็ว 


 


 


หนิงอวี้ยื่นมือไปกุมผ้านวมแน่นแล้วร้องไห้เสียงดัง ทำไมกัน สุดท้าย คนที่นางต้องการฆ่ากลับเป็นหนิงเฝ่ย หนิงอวี้เอนหลังไปบนหัวเตียง ฉับพลันก็รู้สึกอ่อนแรงขึ้นมา 


 


 


หากไม่ได้เปิดหน้ากากออก นางคงสังหารเขาได้อย่างไม่วอกแวก วินาทีที่ตัดคอเขาลงมา ในใจคงมีแต่เพียงความสาแก่ใจเท่านั้น 


 


 


แต่เรื่องมาถึงตอนนี้ นางควรทำอย่างไรต่อกันแน่ หนิงอวี้ร้องไห้จนสะอื้น มือทั้งคู่กอดอก หากท่านพ่อรู้ ท่านจะเสียใจมากเพียงใด 


 


 


เขาพาหนิงเฝ่ยมาปรากฏต่อหน้านาง ลูบผมเขาด้วยรอยยิ้มอันอ่อนหวาน ท่านพ่อเคยบอกนางว่า ‘นับแต่นี้ไป เขาคือพี่ชายของเจ้า’ 


 


 


หนิงเฝ่ย เขาไม่เพียงเป็นพี่ชายของข้า แต่ยังเป็นศัตรูผู้สังหารบิดาของข้าด้วย หนิงอวี้น้ำตาไหลอาบแก้มลงไป ซึมลงบนสาบเสื้อ 

 

 

 


ตอนที่ 260 เจ้าคิดสังหารข้า แต่เจ้ากลับไม่อาจลงมือ

 

“วันนี้แม่นางเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


“ทูลองค์ชาย แม่นางไข้ลดแล้ว แต่ยังไม่ยอมรับอาหารแต่โดยดี ยังดีที่ช่วงที่นางป่วยได้กินข้าวต้มไปบ้างเพคะ” 


 


 


หนิงอวี้ได้ยินเสียงคนทั้งสองคุยกันจากด้านหลัง นางก้มหน้ามองลายปักบนชายกระโปรง ดอกโบตั๋นเหลื่อมซ้อน มีผีเสื้อปีกงามหลากสีสันสองตัวโบยบินอยู่ท่ามกลาง  


 


 


เสียงฝีเท้าดังขึ้น หนิงอวี้ย่นคิ้ว มุมปากโค้งยิ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างเย้ยหยัน 


 


 


“เจ้ามาทำไม หรือมาเพื่อเอาศีรษะหัวหน้าฝ่ายข้าศึก” 


 


 


ภายใต้มวยผมซึ่งปักด้วยปิ่นหยกคือใบหน้าอันงามคมขำ คิ้วเข้มดั่งสลัก ริมฝีปากบางกำลังเม้มเล็กน้อย ในดวงตานั้น เต็มไปด้วยความเยือกเย็น มู่หรงเหยียนส่ายหน้าอย่างนิ่งเฉย สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยน 


 


 


น้ำแกงทัพพีหนึ่งยื่นไปจรดริมฝีปาก หนิงอวี้ช้อนตาขึ้นมองแล้วยื่นมือไปปัดมันจนคว่ำ มู่หรงเหยียนหดมือข้างที่ถือทัพพีกลับ มืออีกข้างยังคงถือถ้วยน้ำแกงข้นคลั่กเอาไว้อย่างมั่นคง 


 


 


“องค์ชายเพคะ พระองค์ได้รับบาดเจ็บหรือไม่เพคะ” 


 


 


สาวใช้รีบวิ่งมาจากประตูแล้วคุกเข่าลงกับพื้น มู่หรงเหยียนส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าวต้มเย็นแล้ว ไม่ถูกปากแม่นาง ไปเปลี่ยนข้าวต้มลูกเดือยใส่กุ้งร้อนๆ มาหนึ่งถ้วย” 


 


 


หนิงอวี้เหยียดมุมปาก จนเห็นโค้งยิ้มได้อย่างชัดเจน นางก้มหน้าแล้วซุกหน้าลงกลางเข่าหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆๆ หนิงเฝ่ย ไม่สิ มู่หรงเหยียน เจ้าอยากสังหารข้า แล้วมัวพิรี้พิไรอยู่ไยกัน” 


 


 


“ข้าไม่อยากสังหารเจ้า” 


 


 


“แต่ข้าอยาก” หนิงอวี้โพล่งออกมาสามคำ นางหลับตาทั้งคู่ลง “อย่าให้ข้าได้มีโอกาสเชียว ออกไปซะ!” 


 


 


มู่หรงเหยียนได้ยินเช่นนั้นแต่ยังคงสีหน้าเรียบเฉย แล้วเดินไปสองสามก้าวเพื่อปิดหน้าต่าง 


 


 


“เจ้าตั้งครรภ์อยู่ ตอนนี้จำเป็นต้องระวังให้มาก ช่วงปลายฤดูสารทต้นเหมันต์แบบนี้ ระวังจะต้องไอเย็นจนป่วย 


 


 


เจ้ามักลืมใส่เสื้อเพิ่ม จนต้องลมหนาวเดี๋ยวดีเดี๋ยวไข้อยู่ประจำ พอจมูกแดงเป่งก็วิ่งมาหาข้า ร้องไห้โยเยไม่ยอมดื่มยา” 


 


 


หนิงอวี้ไม่เอ่ยสิ่งใด นางค่อยๆ ลืมตาทั้งคู่ก็เห็นมุมปากเขายกยิ้มน้อยๆ กำลังดื่มด่ำกลับเรื่องราวครั้งอดีตอย่างเต็มที่ นางกำหมัดทั้งสองแน่น ทนไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา แต่เรื่องนี้มันจะมีความหมายอะไรกันเล่า 


 


 


เขาเป็นคนทำลายอดีตทุกอย่างลงด้วยมือตัวเอง ใช้วิธีการเดียวทำลายทุกสิ่งจนพังพินาศ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว จะย้อนคิดถึงอดีตให้มีประโยชน์อย่างใดกัน ดีแต่ทำให้นางรู้สึกสะอิดสะเอียนเพียงเท่านั้น 


 


 


“ถวายบังคมองค์ชาย ข้าวต้มมาแล้วเพคะ” 


 


 


สาวใช้ประคองข้าวต้มเข้ามาข้างหน้า กลิ่นหอมจางๆ จนแทบจะไม่ได้กลิ่นลอยฟุ้ง หนิงอวี้ขบฟัน มู่หรงเหยียนเดินเข้าไปยกถ้วยข้าวต้ม สาวใช้จึงยอบกายคำนับแล้วถอยออกไป 


 


 


“เจ้าชอบกินข้าวต้มลูกเดือยใส่กุ้งที่สุด ลองชิมหน่อยไหม” 


 


 


หนิงอวี้กวาดสายตามองเขาปราดหนึ่งอย่างเย็นชา มู่หรงเหยียนทำราวกับไม่เห็น เขาตักข้าวต้มขึ้นมาช้อนหนึ่งแล้วยื่นไปริมฝีปากหนิงอวี้ 


 


 


“คิดจะฆ่าข้า ก็ต้องเก็บแรงเอาไว้ให้พอ เจ้าไม่กินอาหารก็ได้ แต่ลูกในท้องเจ้าต้องการอาหารนะ” 


 


 


หนิงอวี้ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก็ได้ยินมู่หรงเหยียนอ้าปากเอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดว่า…ความหวังก่อนสิ้นใจของท่านแม่ทัพหนิง คือให้เจ้ามีชีวิตต่ออย่างมีความสุข” 


 


 


หนิงอวี้ค่อยๆ อ้าปาก กลืนข้าวต้มอุ่นๆ นั้นลงไปแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ข้าไม่เคยพบเคยเห็น คนไร้ซึ่งยางอายเช่นเจ้ามาก่อน” 


 


 


มู่หรงเหยียนทำราวกับไม่ได้ยิน เขาตักข้าวต้มขึ้นมาหนึ่งช้อน เขาโน้มตัวลงเป่าเบาๆ แล้วจึงยื่นไปจรดริมฝีปากนาง หนิงอวี้ยื่นมือไปแย่งถ้วยมา นางเงยหน้าซดลงจนหมดในรวดเดียว 


 


 


มู่หรงเหยียนพยักหน้าพลางหันกายกลับ ข้าวต้มนั้นร้อนอยู่บ้าง นางจึงรู้สึกแสบร้อนในลำคอ แต่นี่จะเทียบกับความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงในใจนางได้อย่างไรกัน 


 


 


“เจ้าอยากฆ่าข้า แต่เจ้ากลับไม่อาจลงมือได้” 


 


 


เสียงทอดถอนใจแผ่วเบาแว่วมา หนิงอวี้ปาถ้วยข้าวต้มลงกับพื้น ถ้วยข้าวต้มกลิ้งวนไปบนพรมกำมะหยี่ ข้าวต้มที่เหลืออยู่เล็กน้อยกระเด็นร่วงไปบนพรม 


 


 


เขาพูดไม่ผิด นางไม่อาจลงมือได้ ไม่มีอาวุธแหลมคม ไม่มีแม้กระทั่งผ้าที่จะรัดคอให้เขาสิ้นใจ หนิงอวี้น้ำตาไหลพรั่งพรูไม่หยุด นางถามตัวเองเสียงเบาว่า “เพราะอะไรกัน” 


 


 


ชายหนุ่มเยาว์วัยในความทรงจำตบกลางอก ใบหน้าประดับยิ้มร่าสดใส ‘พี่จะดูแลคุ้มครองอวี้เอ๋อร์เอง ไม่ยอมให้อวี้เอ๋อร์ถูกรังแกแน่นอน’ 


 


 


แต่เอาเข้าจริง ผู้ที่ทำร้ายข้าอย่างรุนแรงที่สุด ก็คือเจ้า หนิงเฝ่ย 

 

 

 


ตอนที่ 261 ข้าแทบจะบ้าแล้ว

 

“ท่านอ๋องช่างอายุน้อยแต่มีความสามารถเสียจริง จัดการกองทัพมีระเบียบนักแล สังหารกองทัพราชวงศ์เหนือจนตั้งรับไม่ทัน ช่วงชิงเอาหยวนอีและเหิงโส่วกลับมาได้ กระหม่อมนับถือยิ่งนัก ทว่าเสียดาย ท่านแม่ทัพหนิง เฮ้อ”


 


 


“ได้ยินว่าเมื่อท่านอยู่สนามรบ เป็นเพราะท่านจิตใจห่วงหาพระชายา สวรรค์อยู่ๆ ก็ประทานพร ให้ขาทั้งสองเกิดหายดีขึ้นมา ความรักอันลึกซึ้ง พวกกระหม่อมมิอาจเทียบได้จริงๆ”


 


 


“เฮ้อ เสียดายที่พระชายาหายสาบสูญ เช่นนั้นก็เถอะ พระชายาเป็นผู้มีบุญสวรรค์คุ้มครอง ย่อมกลับคืนมาได้โดยสวัสดิภาพแน่นอน”


 


 


บนหน้าเว่ยหยวนปรากฏรอยยิ้มดูประหลาดน่ากลัวขึ้นบนใบหน้าทันใด เขาพูดกับเหล่าขุนนางที่เข้ามาประจบเอาใจเหล่านั้นว่า “แม่ทัพหนิงต่างหาก มิใช่พระชายาในจิ่นอ๋อง”


 


 


“อ๊ะ ใช่ๆๆ กระหม่อมเลอะเลือนเสียจริง”


 


 


เว่ยหยวนพยักหน้ายิ้มตอบ แล้วหันกายเดินจากไป มั่วหลียืนอยู่ข้างประตูกำลังก้มหน้าลงไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดจึงไม่ทันได้สังเกตถึงการปรากฏตัวของเขา


 


 


“มั่วหลี กลับตำหนัก”


 


 


“อ๊ะ ท่านอ๋อง ท่านมาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เมื่อเข้าไปนั่งในรถม้า รอยยิ้มอันสุภาพบนใบหน้าเว่ยหยวนพลันหายไปกลับกลายเป็นความเฉยชา วันนี้เขากลับเมืองหลวง เว่ยหลิงสีหน้าดูไม่ดีนัก


 


 


ผู้คนต่างประหลาดใจกับขาทั้งคู่ของเขาที่หายดี ต่างยอมรับว่าข่าวลือนั้นเป็นจริง


 


 


ที่จริงแล้ว ข่าวลือแพร่จากหยวนอีมาถึงเมืองหลวงแต่แรก ขาทั้งคู่ที่เจ็บป่วยมาหลายปีของจิ๋นอ๋อง เป็นเพราะหัวใจรักผูกพันกับพระชายา จนสวรรค์เห็นใจ ด้วยเหตุนั้นขาทั้งสองจึงหายดีเหมือนคนทั่วไป


 


 


ไหนเลยที่ฟ้าดินจะรักษาขาทั้งคู่ของเขา เป็นเพราะสิ่งที่อวี้เอ๋อร์ได้ทำต่างหาก เว่ยหยวนคิดมาถึงจุดนี้ก็ยิ้มน้อยๆ ทันใดนั้นก็นึกถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน รอยโค้งยิ้มน้อยๆ นั้นก็พลันเลือนหายไป


 


 


รถม้าออกเดินไปตามทาง ในที่สุดก็หยุดลงช้าๆ เว่ยหยวนเดินลงจากรถม้า คนผู้หนึ่งโผเข้ามาด้านหน้า หงหลิงสองตาแดงก่ำ ร้องไห้จนสะอื้น


 


 


“ท่าน…อ๋อง…พระชายา…เล่าเพคะ”


 


 


เว่ยหยวนส่ายหน้าช้าๆ แล้วเดินหลบนางเข้าตำหนักไป หงหลิงน้ำตาพรั่งพรู นางตามไปหมายจะสอบถาม แต่ก็ถูกมั่วหลีคว้าเอาไว้


 


 


เดินเข้าตำหนักชิงอวี้ซวน ต้นความหวังกลางลานกำลังเป่งดอกตูม กลีบดอกสีเหลืองแต่ละกลีบเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ หันไปยังพระอาทิตย์ ดูสว่างสดใส เว่ยหยวนหยุดฝีเท้าลงแล้วยืนอยู่หน้าดอกไม้นั้นอย่างเงียบๆ


 


 


‘ความหวัง’ เจ้าเป็นดอกทานตะวันเองหรอกหรือ


 


 


“อวี้เอ๋อร์ เจ้าผิดคำสัญญาแล้ว”


 


 


เว่ยหยวนทอดถอนใจเบาๆ เขาส่ายหน้าอย่างจนปัญญาแล้วเดินเข้าห้องหนังสือไป


 


 


ประตูหน้าต่างปิดสนิท มืดสลัวไปทั่ว เจ้าดำพันไปรอบเอวเขา มันคายลิ้นสองแฉกแดงสดออกมา ดวงตารียาวสีทองคู่หนึ่งดูน่าสยองอย่างมาก


 


 


เจ้าดำพันขดอยู่สองสามรอบบนช่วงเอว แล้วเลื้อยไต่ขึ้นไปบนบ่าเขา ใช้หัวที่เต็มไปด้วยเกล็ดงูละเอียดเงาวับถูไปบนเสื้อเขา เว่ยหยวนไม่ใส่ใจมัน เขาถือม้วนหนังสือสีขาวซีดม้วนนั้นเอาไว้ในมือ


 


 


“นางบอกว่า นางคิดถึงข้ามาก แต่ตอนที่นางออกไปเสี่ยงภัย ไยจึงตัดสินใจโดยไม่คิดถึงข้าบ้างเล่า”


 


 


เจ้าดำชูตัวขึ้นแล้วสีใบหน้าเขา ท่าทางดูร้อนรนราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง เว่ยหยวนหลุบสายตาลง ประสานตากับดวงตารียาวสีทองคู่นั้นแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ไม่ต้องหาแล้ว นางไม่คิดถึงเจ้าหรอก นางทิ้งเจ้าไป โดยไม่พูดอะไรสักคำ”


 


 


เจ้าดำส่ายหางไปมาอย่างไม่เข้าใจ ครั้นแล้วก็เรื่อยผ่านลำคอ เลื้อยลงไป แล้วเข้าไปอยู่ใต้เตียง


 


 


เว่ยหยวนนั่งเหม่อสีหน้านิ่งเฉยอยู่นาน ในที่สุดก็ม้วนเก็บม้วนกระดาษนั้นแล้วซุกเก็บไว้ในลิ้นชัก เขาพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ออกมา” คนผู้หนึ่งเดินออกมาจากความมืดแล้วคุกเข่าลงกับพื้น


 


 


“ลอบเข้าไปในห้องหนังสือหลิงอ๋อง แล้วหาจดหมายหลักฐานสมคบคิดร่วมกับข้าศึกทรยศแผ่นดินมา”


 


 


คนในชุดดำพยักหน้าแล้วเร้นกายเข้าไปในความมืด


 


 


ในห้องกลับคืนสู่ความเงียบงัน เว่ยหยวนก้มหน้า กวาดสายตาไปบนลายอักษรที่หวัดโย้เย้ไปมา เขายิ้มออกมาพลางส่ายหน้า ช่างเถอะ ไม่โกรธแล้ว ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเขาเองที่หาเรื่องใส่ตัว


 


 


“ถ้าจับมัดไว้เสียคงจะว่าง่ายขึ้น จะได้ไม่หนี”


 


 


เว่ยหยวนพูดเสียงเบาอย่างเลื่อนลอย ครั้นรู้สึกตัวว่าพูดสิ่งใดไปก็ยกมุมปากยิ้ม พลางยกมือขึ้นลูบบนหน้า


 


 


“ข้าจะวิปลาสอยู่แล้ว หนิงอวี้ เจ้าต้องรีบกลับมานะ กลับมาข้างกายข้า”

 

 

 


ตอนที่ 262 ไว้อาลัยเจ็ดวันแรก วันพระราชทานพระราชพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาท

 

สองสามวันนี้ มู่หรงเหยียนมาทุกวัน คอยถามเรื่องการกินของนาง เมื่อได้คำตอบก็ยืนดูอยู่ที่ประตูครู่หนึ่งแล้วหันกายเดินจากไป


 


 


หนิงอวี้ไม่เหลียวกลับ นางได้ยินเพียงเสียงที่ดังขึ้น ฟังจากเสียงฝีเท้าก็รู้ได้ว่าเขายืนอยู่นานพอดู


 


 


วันนี้ เป็นวันไว้อาลัยเจ็ดวันแรกของท่านพ่อ ตามประเพณีแล้ว วิญญาณผู้วายชนม์จะกลับคืนยังบ้าน หนิงอวี้ยืนขึ้นสีหน้าสงบนิ่ง นางเดินไปยังประตู สาวใช้คอยตามประกบโดยไม่กล่าวสิ่งใด


 


 


องครักษ์สองนายยื่นมือออกมาขวาง หนิงอวี้ชำเลืองขึ้นมองทั้งสองปราดหนึ่ง


 


 


“พวกเจ้าตามมาก็ได้ ข้าแค่อยากดูทิวทัศน์เท่านั้น”


 


 


“เอ่อ องค์ชายทรงรับสั่ง มิให้ท่านออกไปไหน”


 


 


“หากเจ้าไม่ยอมให้ข้าไป ข้าจะเอาหัวโขกฆ่าตัวตายเสีย”


 


 


หนิงอวี้พูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่อย่างเย็นชา


 


 


“ปล่อยให้ข้าออกไป เดี๋ยวข้าก็กลับมา”


 


 


องครักษ์สบตากัน สาวใช้มุ่นหัวคิ้ แล้วพูดขึ้นเสียงสูง “ไม่ได้นะ!” ทันทีที่สิ้นเสียง องครักษ์ทั้งสองก็หดมือกลับ


 


 


“ไยต้องตื่นเต้นนัก เจ้าวรยุทธ์เหนือกว่าข้า ซ้ำข้ายังได้รับบาดเจ็บ เคลื่อนไหวเชื่องช้า” หนิงอวี้ขยับเท้าก้าวข้ามธรณีประตูเดินไปอย่างใจเย็น “ตามข้ามา แค่คนเดียวพอ ข้าอยากอยู่เงียบๆ”


 


 


สาวใช้มุ่นหัวคิ้ว นางขยิบตาให้องครักษ์แล้วเดินตามหนิงอวี้ไป


 


 


ท่ามกลางความเงียบสงบ หนิงอวี้เดินไปตามโถงทางเดินยาวแล้วเลี้ยวเข้าไปในสวนดอกไม้ นางถามขึ้นเสียงเบาว่า “ทางไหนคือหนิงเปียน”


 


 


สาวใช้นิ่งอึ้ง ครั้นแล้วก็ยอบกายคำนับแล้วเดินนำทางไป


 


 


ผู้หนึ่งนำทาง ผู้หนึ่งเดินตาม ชุดกระโปรงยาวสีแดงสดของหนิงอวี้ เฉียดผ่านก้อนหินสีขาวไข่ห่านวาววับ นางก้มหน้าลง มองไปยังกระโปรงยาวปราดหนึ่งแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ


 


 


บิดาตายไปแล้ว มู่หรงเหยียนกลับไม่ยอมให้นางสวมเสื้อผ้าปอหยาบไว้อาลัย เสื้อผ้าที่มอบให้ล้วนแต่เป็นสีแดง นี่เป็นครั้งแรกที่นางก็ทำหน้ารังเกียจขึ้นมาอย่างกะทันหัน


 


 


เลี้ยวผ่านศาลาริมทาง ใต้ต้นไม้มีบ่าวหญิงสองนางกำลังเก็บกวาดใบไม้ ก้มหน้าพูดคุยกันอยู่


 


 


“ไยองค์ชายรองยังไม่เสด็จมาดูแม่นางนะ หรือทรงตัดพระทัยแล้ว ข้าว่านะ นางช่างดุดันนัก พอฝืนพูดได้ว่าเป็นหญิงงามอยู่หรอก แต่บนหน้ามีรอยแผลยาว ดูโหดเ**้ยมดุดันเสียจริง”


 


 


สาวใช้ย่นคิ้ว กดเสียงต่ำหมายจะกล่าวตำหนิ หนิงอวี้ยื่นมือไปห้ามเอาไว้


 


 


“เจ้าจะรู้อะไรกัน! วันนี้เป็นวันที่องค์ชายรอง…ไม่สิ…องค์รัชทายาทรับพระราชทานยศ ทรงยุ่งอย่างมาก จะให้เสด็จมาที่นี่ได้อย่างไรกัน”


 


 


“หุบปาก”


 


 


สาวใช้ตะโกนเอ็ดเสียงดัง บ่าวหญิงทั้งสองนางตกใจจนหน้าถอดสี ครั้นเห็นหนิงอวี้ผู้ซึ่งพวกนางเพิ่งนินทาว่าหน้าตาโหดเ**้ยมดุดัน ก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างลนลาน


 


 


“บ่าวปากพล่อย ขอแม่นางโปรดให้อภัยด้วยนะเจ้าคะ”


 


 


“เจ้าพูดถูกแล้ว ผิดเสียที่ไหนกัน”


 


 


หนิงอวี้ยิ้มตอบกลับอย่างเศร้าๆ


 


 


“นำทางข้าต่อ อย่าหยุด”


 


 


สาวใช้เผยสีหน้าลังเลแล้วขบฟันนำทางต่อ หนิงอวี้คอยตามหลังนาง อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา วันไว้อาลัยเจ็ดวันแรกของบิดา ตรงกับวันที่มู่หรงเหยียนได้รับแต่งตั้งยศเป็นรัชทายาท


 


 


มู่หรงเหยียนตัวดี หนิงเฝ่ยตัวดี น้ำตาไหลหยดลงบนหินสีขาวไข่ห่าน กลายเป็นรอยน้ำดวงหนึ่ง


 


 


สาวใช้เดินมาถึงที่แห่งนึ่งแล้วยอบกายคำนับ


 


 


“ที่นี่เจ้าค่ะ”


 


 


มุมหนึ่งของกำแพงที่ปิดล้อม มีก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งใต้ต้นเซียงจางต้นหนึ่ง หนิงอวี้เดินเข้าไปแล้วนั่งลงบนหินก้อนนั้น


 


 


ที่นี่ คือที่ซึ่งนางสามารถอยู่ใกล้หนิงเปียนที่สุด ได้ยินว่า เมื่อคนตายแล้ว วิญญาณจะกลับคืนสู่บ้านเกิด แต่นางกลับรู้สึกว่า วิญญาณบิดาน่าจะหวนคืนสู่หนิงเปียน


 


 


ที่นั่นคือสถานที่ซึ่งท่านได้พบมารดา สถานที่พบรัก และคือสถานที่สิ้นใจของมารดา สถานที่นางถือกำเนิดขึ้น ในวันนี้ ท่านคงกำลังจูงมือมารดา เดินไปบนกำแพงเมืองหนิงเปียน ทอดสายตามองทัศนียภาพกลางเมืองอยู่


 


 


หนิงอวี้ครุ่นคิดสีหน้านิ่งเฉย น้ำตากลับค่อยๆ ไหลหลั่งออกจากหางตา นางยกมือใช้ท้องนิ้วปาดน้ำตาหนึ่งทีแล้วมองนิ่งไปยังของเหลวใสนั้น


 


 


ท่านพ่อจะรู้หรือไม่ว่านางตกอยู่ในอุ้งมือหนิงเฝ่ย รู้หรือไม่ว่าเขาถูกแต่งตั้งเป็นถึงองค์รัชทายาท รู้หรือไม่ว่าเขานั่นเองที่เป็นผู้สังหารท่าน…


 


 


ท่านจะทำอย่างไร ข้าควรทำอย่างไร หนิงอวี้ยกมือทั้งคู่ขึ้นปิดหน้า หากวิญญาณท่านอยู่บนสวรรค์ ได้โปรดบอกข้าทีเถิด

 

 

 


ตอนที่ 263 ผู้ที่มีชีวิตต่อคือมู่หรงเหยียน

 

เสียงฝีเท้าดังขึ้น หนิงอวี้มิได้หันกลับ เพียงแต่ยิ้มขึ้นเล็กน้อย


 


 


“ถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ”


 


 


ความกังวลบนใบหน้ามู่หรงเหยียนพลันเลือนหายไป กลับกลายเป็นสีหน้าอันสงบนิ่ง เขานิ่งอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ มองไปยังแผ่นหลังของหนิงอวี้แล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “วันนี้หาใช่ข้าเป็นคนเลือกเองไม่”


 


 


หนิงอวี้ไม่ตอบแต่กลับหัวเราะออกมา “ช่างเจรจาค้าขายได้กำไรเป็นกอบเป็นกำจริงๆ ไยพระองค์จึงทรงรับสั่งเช่นนั้น”


 


 


มู่หรงเหยียนเดินมายังด้านหน้าหนิงอวี้ ชุดลายมังกรสีม่วงทั้งตัวนั้นดูแสดตายิ่งนัก


 


 


“อวี้เอ๋อร์ เจ้าฟังข้านะ…”


 


 


“ทางนี้คือหนิงเปียน”


 


 


หนิงอวี้พูดแทรกตัดบทเขา นางลุกขึ้นช้าๆ มู่หรงเหยียนขมวดคิ้วแล้วยื่นมือออกไปหมายจะแตะนาง แต่ก็ยั้งมือกลางอากาศ


 


 


“เจ้าว่า วันไว้อาลัยเจ็ดวันแรกที่ท่านพ่อกลับมา ท่านจะรู้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นองค์รัชทายาทของราชวงศ์เหนือไปเสียแล้ว ฮ่าๆๆ น่าขันเสียจริง”


 


 


สิ้นคำ หนิงอวี้ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา น้ำตาเล็ดออกจากหางตาหยดลงกลางพุ่มหญ้า


 


 


“ศีรษะคนผู้หนึ่ง แลกกับตำแหน่งรัชทายาท เป็นวิธีการที่ดี เป็นการแลกเปลี่ยนที่ดี”


 


 


“แล้วข้าเล่า”


 


 


หนิงอวี้หันกายกลับ สายตาจ้องตรงไปยังตาทั้งคู่ของเขา


 


 


มู่หรงเหยียนส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล หนิงอวี้เหยียดมุมปากแล้วพูดพลางหัวเราะอย่างเย้ยหยันว่า “นอกจากนี้ ข้าก็ไม่มีค่าอะไรแม้แต่น้อย เดิมทีคิดว่าองค์รัชทายาทจะทรงปราดเปรื่องปรีชา คิดไม่ถึงว่าจะโง่ทึ่มเช่นนี้”


 


 


สายลมพัดผ่าน บนแก้มหนิงอวี้เลอะไปด้วยคราบน้ำตา มู่หรงเหยียนมองนางนิ่งไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ จึงเห็นว่านางสวมใส่ชุดสีแดงสด หนิงอวี้สังเกตเห็นสีหน้าประหลาดใจของเขาก็โคลงศีรษะเล็กน้อยพร้อมกระพริบตา “เตรียมเพื่อข้าโดยเฉพาะมิใช่หรือ”


 


 


“หามิได้…ข้า…เพียงแค่คิดว่าเจ้าเคยใส่ชุดกระโปรงแดง…ก็เลย”


 


 


“ก็เลย เตรียมชุดกระโปรงแดงให้ข้า ในวันไว้อาลัยโดยเฉพาะ เพื่อให้ข้าต้องเสียเกียรติใช่หรือไม่”


 


 


หนิงอวี้พูดต่อคำพูดเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน น้ำตาไหลพรูออกจากหางตา


 


 


มู่หรงเหยียนก้มหน้า ไม่พูดแม้แต่คำเดียว หนิงอวี้ชำเลืองเขาปราดหนึ่งแล้วหันกายเข้าหาผนังฟากนั้น นอกผนังห้องสีเทานั้นคืออิสรภาพ แต่นางกลับมิอาจเอื้อมถึง


 


 


สายลมพัดเฉียดใบหน้า พัดเส้นผมดำขลับของหนิงอวี้พลิ้วไหว เส้นผมสีดำไหวไปตามลมแล้วทิ้งตัวลงบนชุดกระโปรงสีแดงสดดั่งเลือดนั้น ดูงดงามเย้ายวนยิ่งนัก บนแก้มนางมีรอยแผลยาวรอยหนึ่งและคราบน้ำตาสองสามจุด แต่มันกลับทำให้ดูงดงามแฝงด้วยความโศกเศร้าสิ้นหวัง


 


 


หนิงอวี้ยกมุมปากขึ้นยิ้ม ท่ามกลางน้ำตาที่พลั่งพรู ปรากฏภาพของคนแปลกหน้าในชุดมังกรซ้อนทับกับภาพของพี่ชายในเครื่องแบบที่เรียบง่าย


 


 


เมื่อยังเล็ก นางฝึกกระบี่ภายใต้การควบคุมของพี่ชาย หนึ่งวันต้องฝึกสามชั่วยาม มือของนางถูกกระบี่ไม้เสียดสีจนห้อเลือด นางร้องไห้ไปพลางฝึกร่ายรำเพลงกระบี่ในมือไปพลาง ทั้งน้ำตา ทั้งหยดเลือด หยดลงสู่พื้นดิน


 


 


พี่ชายที่อยู่ด้านข้างขบฟันแน่น ดูราวกับจะเจ็บเสียยิ่งกว่านางอีก หนิงเฝ่ยลุกขึ้นยืนข้างธูปที่ลุกไหม้แล้วเป่าลมใส่ หมายจะเร่งเวลาให้หดสั้นลง วินาทีถัดจากนั้น แม่ทัพหนิงก็เอามือไขว้หลังเดินเข้ามาอย่างเคร่งขรึม


 


 


เรื่องราวในอดีตยังคงติดตา ความเจ็บปวดที่นางได้รับ สำหรับพี่ชายนั้นมากกว่าทบเท่าทวีคูณ แต่ด้วยเหตุใด วันนี้นางเจ็บปวดจนแทบสิ้นใจ แต่พี่ชายกลับไปรับตำแหน่งรัชทายาท เดินสู่เส้นทางอันรุ่งโรจน์งดงาม ไร้ซึ่งความโศกเศร้าแม้แต่น้อย


 


 


ท่านพ่อเคยบอกว่าไม่จำเป็นต้องตามหาหนิงเฝ่ยอีก ท่านอ๋องเคยบอกว่าหนิงเฝ่ยตายไปแล้ว ใช่แล้ว หนิงเฝ่ยตายไปแล้วจริงๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นเป็นเพียงมู่หรงเหยียนเท่านั้น


 


 


ไม่รู้ว่าเรื่องราวแต่แรกเป็นเช่นไร แต่เขากลับกลายเป็นมู่หรงเหยียนไปเสียแล้ว เขาย่อมมีสายเลือดราชสกุลราชวงศ์เหนืออย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้ว ที่บิดาในชาติก่อน ต้องตายด้วยโทษกบฏนั้นก็คง…


 


 


“รีบกลับเสียเถอะ ที่นี่ลมแรง ระวังจะต้องไอเย็นล้มป่วยเอา”


 


 


 “มิบังอาจให้พระองค์ต้องทรงกังวลพระทัยหรอกเพคะ ในเมื่อทรงยุ่ง ไม่สู้เสด็จกลับแต่โดยเร็ว คิดว่าวันนี้คงมีขุนนางใหญ่มากหน้าหลายตามาแสดงความยินดีไม่น้อยเลย ไยทรงลำบากเสียเวลากับคนไร้ประโยชน์เช่นข้านี้เล่าเพคะ”


 


 


มู่หรงเหยียนไม่มีคำพูดที่จะตอบ ได้แต่ปั้นหน้ายิ้มเจื่อนแล้วหันกายจากไป เสียงฝีเท้าดังออกไปไกล หนิงอวี้กลับนั่งลงบนก้อนหินอย่างสิ้นหวังน้ำตาหลั่งพรั่งพรูออกมา

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม