ระบบร้านค้าออนไลน์ 245-251
TB:บทที่ 245 ศึกระหว่างหลอมรวมธรรมชาติ
ได้ฟังที่เฉินหลงว่าดังนั้นแล้ว เต๋าไป่ไม่กล้าจะเดินมาข้างหน้าอีก ทว่าเขาจ้องมองเฉินหลงอย่างระแวดระวัง พวกเขาเป็นคนร้ายมาหลายปี พวกเขาชินชากับการที่ต้องระแวง
เมื่อเห็นว่าเต๋าไป่ไม่กล้าจะเดินมาข้างหน้าแล้ว เฉินหลงเผยสีหน้าเหยียดหยามเขากล่าวไปว่า “ข้าให้พวกเจ้าทุกอย่างเลย แต่ถ้าเจ้าไม่กล้าจะมาขอ ข้าก็จะไปแล้ว” สิ้นคำเฉินหลงกำลังจะเดินออกไป
“รอเดี๋ยว ข้าต้องการมีดนั่น” ยักษ์ดำที่มีค้อนยักษ์เข้ามาขวางเฉินหลงไว้ น้ำเสียงของเขาไม่สู้ดีนัก
นี่คือทั่งตีเหล็กสีดำแห่งฆาตกรทั้งเจ็ด เมื่อพี่ของเขาสั่งให้เขาฆ่า เขามักจะทุบคนให้แบนเป็นเนื้อบดด้วยแรงเหมือนดั่งเหล็ก
“ได้สิ มาเอาสิ” เฉินหลงยื่นมีดไปให้ เฮยเฉิน (ทั่งเหล็กดำ )
หัวของเฮยเฉินนั้นใช้งายได้ไม่ดี เมื่อเขาเห็นเฉินหลงยื่นมีดมาให้ เขาจึงรีบพุ่งไปเพื่อหยิบมีดมา
ในตอนนั้นเองที่ ยักบ์ขาวที่มีหมัดเหล็กยื่นหมัดออกมาพลังของเขาไปถึงระดับ “หลอมรวมธรรมชาติ” เขากล่าวว่า “น้องสี่ หยุดก่อน”
เขาคือหมัดเหล็กขาว แห่งฆาตกรทั้งเจ็ด กล่าวได้ว่า เนื่องจากเขาไม่ได้ต้องการจะเข้าไปยังวิหารศักดิ์สิทธิแล้ว พวกเขาทั้งเจ็ดคงตายในคุนหลุน ไป่เตียซวน (หมัดเหล็กขาว)ไม่เพียงมีพลังสูงที่สุดในหมู่คนทั้งเจ็ดเท่านั้น ทว่าเขายังฉลาดที่สุดในหมู่คนทั้งเจ็ดด้วย โดยปกติแล้ว เขาไม่ฆ่าใคร แต่หากเขาอยากจะฆ่าแล้วเขาจะต้องเชี่ยวชาญ เขาต้องฆ่าได้ในการโจมตีเดียว
อย่างไรก็ตามแต่ในครั้งนี้เขาตะโกนช้าไปเล็กน้อย เนื่องจากมีดของเฉินหลงไวกว่าคำพูดของเขา
เมื่อเฮยเฉินยื่นมือออกไปแล้ว มือของเฉินหลงพร้อมมีดในมือได้เหวี่ยงไปเบื้องหน้าแล้ว
หลังจากการฟันของเฉินหลง เฮยเฉินนิ่งไป สายตาของเขาเบิกกว้าง
สองวินาทีต่อมา มือข้างที่ถือทั่งเหล็กอยู่หักและส่วนบนของเฮยเฉินค่อยๆหล่นลงพื้น
เฮยเฉินอยู่ในระดับ ปลดปล่อยลมปราณ โดนเฉินหลงฆ่า
“น้องสี่ น้องสี่”
“พี่สี่”
………
ต่อหน้าต่อตา พี่น้องที่อยู่กันมาหลายปีของพวกเขาโดนฆ่าไปด้วยมีดเพียงเล่มเดียว พวกเขานิ่งอึ้งในตอนแรกจากนั้นพวกเขาทุกคนตะโกนออกมาอย่างแตกตื่น แล้วพวกเขาจึงมาล้อมรอบเฉินหลงพร้อมกัน
“โห ช่างโหดร้าย เขาตัดเฮยเฉิน โดยไม่ได้กระพริบตาเลย” นักบุญเฮยรุ่นเยาว์บนฟ้ามองเฉินหลงด้วยความสนใจเป็นที่สุด
อย่างไรเสีย นักบุญไป่รุ่นเยาว์ไม่ได้คิดว่าเฉินหลงน่าสนใจอย่างเพื่อนเขา เขาคิดว่าเฉินหลงช่างเลวร้าย และหากเป็นไปได้ คงจะดีกว่าหากไม่ไปทำให้เขาไม่พอใจ
“แกฆ่าพี่สี่” คนที่สนิทกับเฮยเฉินที่สุดคือ ไป่ฟู่ (ไป่ฟู่) คนที่มีขวานใหญ่สองอัน เขาจ้องมองเฉินหลง
ในทุกครั้งที่ไป่ฟู่ฆ่าคน เขาชอบทำให้ขวานทั้งสองของเขากลายเป็นสีเลือด เพื่อให้เขารู้สึกถึงความสวยงามมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเขาคิดว่าชื่อของเขาควรจะชื่อว่าขวานเลือดไม่ใช่ไป่ฟู่ ในตอนนั้นเองเขาพยายามจะย้อมขวานเขาด้วยเลือดเฉินหลง
“ต้องขอโทษด้วย ข้าแค่ขยับมือ ข้าคาดไม่ถึงว่าเขาจะอ่อนขนาดนั้น เขาโดนมีดข่วนแล้วก็โดนฆ่าไป อุ้ย ข้าต้องขอโทษจริงๆ” แม้เฉินหลงจะกล่าวไปว่าเขาขอโทษแต่เขาก็ไม่ได้อยากจะขอโทษจริงๆ
“มือข้าสั่น ตอนนี้มือข้าสั่นด้วย” จากนั้นเขามองไปหาไป่ฟู
“น้องห้า หยุดก่อน” ไป่เตียซวน เดินไปและขวางขวานคู่ของไป่ฟู่ไว้
“พี่สาม เขาฆ่าพี่สี่” เมื่อเห็นว่า ไป่เตียซวน ขวางเขาไว้ ไป่ฟู่ พลันมีสายตาตื่น
“ไม่ต้องห่วงไป ข้าไม่ได้จะพูดว่าข้าจะไม่แก้แค้นให้น้องสี่ ข้าแค่จะถามคำถามเขาสักนิดหน่อยแล้วเจ้าค่อยจัดการหลังจากที่ถามเขาไป” ไป่เตียซวนว่าอย่างเย็นชา
“ท่านเทพ ท่านมาทำอะไรที่นี่ มีคนจากวิหารมาตามข้าหรือ ข้าจะให้น้องห้ามอบเวลาดีๆให้ท่านเอง หากท่านไม่ต้องการจะกล่าวอะไรแล้ว ข้าคิดว่าพวกเขาคงดูแลท่านอย่างดี”
ไป่เตียซวนว่า คนที่หกคือเฮยกุน
“ข้าแค่ผ่านมา ข้าจะไปต่อแล้ว แล้วเรื่องวิหาร ข้าไม่รู้” เฉินหลงชี้ทางที่เขาจะไปและบอก
“เยี่ยมมาก งั้นเจ้าก็ตายได้แล้ว น้องห้า เตรียมพร้อม” ป๋านเทียชวนไม่กล่าวอะไรอย่างอื่น เขาเพียงต้องการให้ไป่ฟู่จัดการ
เมื่อเขาฟังที่ไป่เตียซวนพูดขึ้น ไป่ฟู่เผยยิ้มเหี้ยมโหดในทันที เขาฟันลงไปตรงหัวของเฉินหลง
“น่ารำคาญ” “สิบห้ากรกฎ”
ในทันทีที่ออกเสียง “สิบห้ากรกฎ” ก็ทำงานออกมา
หลังจากใช้กระบวนท่านั้นแล้ว เว้นแต่เพียงไป่เตียซวนที่หนีออกจากกระบวนท่านั้น ได้ด้วยพลังของหลอมรวมธรรมชาติ อีกห้าคนที่เหลือโดนตัดขาดครึ่งท่อนด้วยกระบวนท่าของเฉินหลง
เบื้องบนของกระบวนท่าสิบห้ากรกฎมีประตูผีสาง ที่ผีน้อยใหญ่ออกมาทางประตูนั้น
“สิบห้ากรกฎ” ของเฉินหลงนั้นเกินจะทานทน
“ช่างเป็นมีดที่เยี่ยมอะไรเช่นนั้น”
กระบวนท่าของเฉินหลงทำให้แม้แต่นักบุญบนท้องฟ้ายังอยู่ไม่สุข
“แก แกทำได้อย่างไร แกฆ่าพวกเขาหมดได้อย่างไร” ไป่เตียซวนมองเฉินหลงด้วยสีหน้าโกรธจัด
คนพวกนี้เป็นพี่น้องที่อยู่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา เป็นเวลาหลายปีที่คนทั้งเจ็ดอยู่ร่วมกัน ฆ่าผู้คนไปด้วยกัน ดื่มกินอาหารด้วยกัน ในตอนนี้เพียงแค่เสี้ยวพริบตา พวกเขาตายไปทั้งหมด และในอนาคตต่อไปจะเหลือเพียงตัวเขาแค่คนเดียวเท่านั้น ความรู้สึกนี้ช่างแย่เอามากๆ เขาจึงโกรธ
“ทำไมข้าถึงจะฆ่าคนพวกนี้ไม่ได้ ข้าเป็นเทพ พวกเจ้าก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่อ่อนน้อมเบื้องหน้าข้า ข้าอยากจะเอาชีวิตเจ้าไป อยากให้เจ้าตาย เรื่องนี้เหมาะสมแล้วนี่ อีกอย่างคือเจ้าก็อยากจะฆ่าข้าด้วย ก็มีเพียงแต่จะโดนสาป” เฉินหลงมองไป่เตียซวนด้วยใบหน้าเย็นชา
“เหอะ เจ้าเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตอ่อนแอในสายตาข้าเช่นกัน ในตอนนี้จงมอบชีวิตมาซะ” ไป่เตียซวนขยับนิ้วทั้งห้าในถึงมือเหล็ก
“โอ้ งั้นก็ เข้ามาแล้วเอาไปสิ” เฉินหลงยิ้ม
“ตายซะ” ไป่เตียซวนชกเฉินหลงตรงส่วนหัว
ในที่สุดไป่เตียซวนทำให้เฉินหลงเห็นพลังที่แท้จริงที่มีระดับ “หลอมรวมธรรมชาติ” ดูเหมือนว่าหมัดของเขาจะส่งพลังของสรวงสวรรค์และโลกหล้าใส่เฉินหลง
ด้วยหมัดของเขาเสมือนว่าเฉินหลงกำลังโดนกักขัง เขาขยับไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เขาทำได้เพียงมองการโจมตีของไป่เตียซวนที่ตรงเข้ามาทางหัวเขา
เฉินหลงขยับร่างของตนไม่ได้ ทว่าพลังจิตเขาช่างแข็งแกร่งนัก เฉินหลงหยิบโล่ป้องกันออกมาใช้งาน ทันเวลาพอดี ในทันทีที่โล่ป้องกันได้เริ่มต้นทำงาน โล่ได้ขวางหมัดของไป่เตียซวนไว้
เมื่อเห็นว่าหมัดของเขาโดนขวางไว้ ไป่เตียซวนขมวดคิ้วและกล่าวไปว่า “เกิดอะไรขึ้น”
แน่ชัดว่า หมัดของเขาโจมตีส่วนหัวของเฉินหลงได้อย่างสมบูรณ์ ทว่าทำไมจึงขวางไว้ได้กัน เกิดอะไรขึ้นเล่า ไป่เตียซวนไม่อาจเข้าใจได้
เนื่องจากเขาไม่อาจจะนึกได้ เขาจึงไม่อยากจะคิดอีกต่อไป เขาจึงชกไปอีกหมัด
หมัดของไป่เตียซวนชกเฉินหลง ทว่าร่างของเฉินหลงยังไม่อาจจะขยับได้ เขาพึ่งเพียงโล่ป้องกันเพื่อป้องกันทุกการโจมตีของไป่เตียซวน
และในตอนนี้เองเฉินหลงพึ่งโล่ป้องกันเพื่อขวางทุกหมัดของไป่เตียซวนได้ ทว่าเมื่อโล่ป้องกันใช้ได้ดีแล้ว เขาควรจะทำอย่างไรต่อ
พลังของไป่เตียซวนคล้ายกับจะไม่มีวันสิ้นสุด พลังในแต่ละหมัดไม่อ่อนแอลงไปเลยแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับที่เขาไม่อ่อนล้า
“ลงไปช่วยเขากันเถอะ ไม่เช่นนั้นเขาจะโดนไป่เตียซวนฆ่าตาย” หลังจากที่เห็นเฉินหลงโดนทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียวแล้ว นักบุญทั้งสองพร้อมที่จะพุ่งลงไปหาเขา
ในตอนนั้น ภารกิจของทั้งสองคือการป้องกันคนที่กำลังโดนทำร้ายอยู่นี้ ทว่าหากมีสิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว เมื่อกลับไปคงเป็นการยากจะอธิบาย
“ไม่ รอเดี๋ยวก่อน ไม่เห็นหรือว่าพลังโจมตีของไป่เตียซวนไม่ได้ทำอะไรเขาเลย ตามปกติแล้วนักสู้ระดับแปดไม่อาจทานทนพลังของระดับ 9 ได้เมื่อเผชิญหน้ากัน ข้าคิดว่าคนคนนี้อาจมีแผนการอะไรบางอย่าง รออีกหน่อย หากอันตรายจริงๆเราจะลงไป” นักบุญไป่ขวางเพื่อนเขาไว้
หลังจากที่เขารู้สึกได้ว่าเพื่อนของเขาพูดมีเหตุผลจริงๆ เขาจึงไม่พยายามไปมากกว่านั้น เขาเพียงมองดูความเป็นไปของเหตุการณ์อย่างระแวดระวังและหากว่ามีอันตรายอะไรเขาจะพุ่งลงไปฆ่าไป่เตียซวน
ในเวลาเดียวกันนั้น ช่องว่างระหว่างระดับ 9 อัศวินศักสิทธิ์ และระดับ 10 นักบุญฝึกหัดห่างไปเท่ากับเฉินหลงและไป่เตียซวน และนี่เป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะฆ่าไป่เตียซวน
“สมแล้วที่เจ้าเป็นเทพ หากว่าข้าไม่ได้มีพลังเหนือกว่าเจ้าแล้ว ข้าคงทำอะไรเจ้าไม่ได้ ทว่าในตอนนี้เจ้าต้องตายเท่านั้น” ไป่เตียซวนกล่าวกับเฉินหลงในขณะที่เขากำลังต่อยไปด้วย
เฉินหลงโดนกักขังอยู่ เขาไม่มีทางจะกล่าวอะไรได้ เขาทำได้เพียงพูดในใจ “หากว่าข้ามีพลังระดับ “หลอมรวมธรรมชาติ” แล้ว ข้าคงจะฆ่าแกไปด้วยการตบหน้าเพียงครั้งเดียว”
TB:บทที่ 246 พลังของหลอมรวมธรรมชาติ
มีความแตกต่างอย่างสำคัญระหว่างผู้ที่มีพลังระดับหลอมรวมธรรมชาติและสัตว์อสูรที่มีพลังระดับหลอมรวมธรรมชาติ ผู้ใช้พลังจะฝึกฝนไปทีละขั้นจากอ่อนแอจนแข็งแกร่ง พวกเขาต้องมีพลังไปถึงขั้นที่รู้แจ้งสรวงสวรรค์และโลกหล้า ดังนั้นแล้วเมื่อพวกเขามีระดับพลังผ่านพ้นไปสู่ระดับ “หลอมรวมธรรมชาติ” ทุกๆกระบวนท่าและทุกๆรูปแบบนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยบรรยายกาศอันไม่สิ้นสุดแห่งสรวงสวรรค์และโลกหล้าที่จะทำให้คู่ต่อสู้ที่มีพลังต่ำกว่ารู้สึกอับจนหนทาง
สัตว์ต่างชนิดนั้นแตกต่างกัน สิ่งที่ทำให้พวกมันต่างออกคือยีนส์ของพวกมัน ฉะนั้นแล้วพวกมันจึงไม่รู้ว่าพวกมันมีพลังของสวรรค์และโลกหล้าอะไร ไม่ต้องกล่าวถึงการใช้พลังสรวงสวรรค์และโลกเลย และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไม “แมลงป่องหางเสือ” สีทองถึงโดนเฉินหลงบดขยี้ไปได้ แน่นอนว่ามีสัตว์บางตัวในโลกนี้ที่มีพลังสวรรค์และโลกหล้าโดยกำเนิด ทว่าก็มีสัตว์บางตัวที่มีพลังน้อยกว่านั้น
ในตอนนี้สถานการณ์ของเฉินหลงคือความสิ้นหวังระดับต่ำสุดที่ต้องเผชิญหน้ากับ “หลอมรวมธรรมชาติ”
ประสิทธิภาพของโล่กำบังนั้นทำให้พลังหมัดแทบเข้ามาหาเขาไม่ได้ เฉินหลงยังพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะให้หลุดออกจากการกกักขังของพลังชี่แห่งสรวงสวรรค์และโลกหล้า ทว่าเขากลับทำไม่ได้
“ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพลังแบบที่เขามี เมื่อต้องเผชิญหน้ากับ “หลอมรวมธรรมชาติ” ด้วยพลังระดับที่ต่ำกว่าแล้ว ไม่ได้เรียกว่าสู้กันเลยแม้แต่น้อย แต่แค่เป็นการรังแกสุนัขที่ไม่มีทางสู้” เฉินหลงรู้สึกหมดหนทาง
แต่ความจริงแล้ว เฉินหลงคิดผิด เขาไม่ได้สู้อยู่กับคนในอาณาจักรคุนหลุน เนื่องจากว่าเขามีพลังระดับสรวงสวรรค์และโลกหล้าอยู่หลายประเภทเมื่อเทียบกับพลังที่โลก เนื่องจากเหตุผลดังกล่าวจึงมีพลังแห่งสรวงสวรรค์และโลกหล้าที่ทรงพลังเมื่อใช้กับระดับสภาพอย่าง “หลอมรวมธรรมชาติ” เขาสามารถกักขังคู่ต่อสู้ที่พลังต่ำกว่าได้ เพียงแต่ว่ายังมีการสู้กลับจากบนโลกอยู่เท่านั้น
“จะว่าไป ข้ายังมีไฟแห่งสวรรค์และโลกอยู่ ข้าสงสัยเหลือเกินว่าพลังนั้นจะช่วยข้าจากเหตุการณ์นี้ได้หรือไม่”
ในตอนที่เขาคิดอยู่นั้น เฉินหลงนึกคิดแล้วไฟแห่งสวรรค์และโลกได้ติดขึ้นมา
แน่นอนว่าเฉินหลงไม่ได้ทำให้ไฟแห่งสวรรค์และโลกปรากฏออกมา
ในทันทีที่ไฟแห่งสวรรค์และโลกจุดติดขึ้น เฉินหลงพลันรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแห่งสรวงสวรรค์และโลกหล้าที่จำกัดตัวเขาให้หายไปในทันใด
หลังจากเฉินหลงควบคุมธาตุไฟของพลังฉีและโลกหล้าที่ไป่เตียซวนควบคุม พลังฉีแห่งสวรรค์และโลกหล้าที่ควบคุมเฉินหลงก็หายไปด้วย
เฉินหลงที่รอดพ้นไปจากปัญหาแล้วพลันถอยกลับและเปิดช่องว่างระหว่างเขาและไป่เตียซวน ในเดียวกันตัวเขาก็มีไม้เท่ายาวสามเมตรที่ฝังเครื่องรางเอาไว้
ไม้เท่านี้เป็นหนึ่งในเครื่องมือทั้งสี่สิบแปดชิ้นที่เฉินหลงครอบครองอยู่ ชื่อของไม้นี้คือ “ไม้เท้าแห่งพลัง” การทำงานคือจะมีเพียงผู้ใช้ที่ถือที่จะรู้สึกว่าน้ำหนักปกติแต่ เมื่อโจมตีศัตรูไปแล้ว ศัตรูจะรู้สึกได้ว่าโดนบดขยี้โดยพลังหนึ่งหมื่นตัน
ตอนที่เขาเห็นว่าเฉินหลงสลัดตัวออกมาจากการกักขังด้วยพลังฉีแห่งสรวงสวรรค์และโลกหล้าของตัวเขาได้ ไป่เตียซวนนิ่งอึ้งไป เนื่องจากว่าเรื่องนี้สำหรับเขาแล้วค่อนข้างจะเหนือความคาดหมาย
ในอดีต หากเป็นพลังแล้วไป่เตียซวนมีเหนือกว่าศัตรูมาตลอด และตราบเท่าที่มีพลังแห่งสรวงสวรรค์และโลกหล้ามาคุมขังพวกเขา พวกศัตรูก็เป็นเพียงผักเป็นเพียงปลา แต่วันนี้เฉินหลงลบล้างกฏที่ว่าของไป่เตียซวน
เช่นเดียวกัน นักบุญทั้งสองบนฟ้าพวกเขาก็นิ่งอึ้งไป
ไม่กี่นาทีต่อมา นักบุญเฮยได้ส่งเสียงขึ้นมา “คนคนนี้เป็นปิศาจจริงๆด้วย”
เพื่อนของเขาทำได้เพียงพยักหน้า ในตอนนี้เขาไม่มีอะไรที่ทำได้นอกจากพยักหน้าแล้ว
ในตอนแรก เขาเพียงต้องการจะดูว่าเฉินหลงจะทนต่อไปได้หรือไม่ แล้วจึงค่อยไปช่วยเขาตอนที่เฉินหลงทนมาไม่ได้แล้ว ทว่าการที่เฉินหลงหลุดจากการกักขังในสถานการณ์แบบนี้ด้วยพลังของตนนั้นเขาไม่ได้คาดคิดมาก่อน
“คงต้องบอกว่า เจ้ายังคงทำให้ข้าประหลาดใจได้จริงๆ ด้วยพลังแห่งเทพนักรบระดับแปด เจ้าสามารถจะเอาตัวเองหนีจากการกักขังของฉีแห่งสวรรค์และโลกได้ เจ้าเป็นคนแรกที่ทำได้” ไป่เตียซวนมองเฉินหลงด้วยความไม่คาดคิด “แต่ นี่ก็เป็นครั้งสุดท้ายด้วยเช่นกัน อีกอย่างพวกอุปกรณ์ช่องมิติของเจ้าน่ะ จะเป็นของข้า”
สิ้นคำ หมัดของไป่เตียซวนก็เล็งมาที่เฉินหลง
“แค่นี้หรือ”
เฉินหลงก็ปล่อยหมัดไปใส่ไป่เตียซวนด้วยเช่นกัน
“ตู้ม”
“ไม้เท้าแห่งพลัง” กับหมัดของไป่เตียซวนก็ปะทะกัน เกิดเป็นฝุ่นใหญ่ที่พวยพุ่ง ทำให้ทัศนียภาพโดนบดบังไป
ในตอนนั้นเองที่มีร่างหนึ่งบินออกมาจากภายในนั้น
ร่างนั้นคือไป่เตียซวน
หลังจากนั้นไป่เตียซวนก็ร่วงลงไปกับพื้น มีรอยเลือดไหลออกมาจากมุมปากของเขา หมัดเหล็กที่สวมอยู่ได้พังทลายไป แขนเขาสั่นไหวเล็กน้อยอย่างรู้ตัวราวกับว่าการโจมตีนี้ทำร้ายเขาได้
“เป็นอะไรไปกันนี่ ข้าบาดเจ็บหรือ” ไป่เตียซวนมองเฉินหลงด้วยความหวาดกลัวและความไม่แน่ใจ
เขาไม่เชื่อว่าเขาจะโดนเฉินหลงทำให้บาดเจ็บได้ “ในตอนนี้อะไรคือพลังกัน นี่ไม่ใช่พลัง แต่จะว่าไป นั่นคือไม้ท้า”
“เอาล่ะ แกมั่นใจหรือว่าข้าจะเป็นคนสุดท้ายที่ทำแบบนั้นได้” ในทันทีที่ฝุ่นหายไป เฉินหลงยืนอย่างสง่างามพร้อมด้วยไม้เท้าในมือ เขาเผชิญหน้ากับไป่เตียซวน “นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น แล้วแกจะต้องทรมานมากกว่านี้”
จากเครื่องมือทั้งสี่สิบแปดชิ้น มีเพียงของสิบกว่าชิ้นที่มีการใช้แบบพิเศษ ที่เหลือนั้นเป็นเครื่องมือที่ร้ายกาจ แม้ว่าการฆ่าไป่เตียซวนจะไม่ใช่เรื่องยาก ทว่าหากเขาต้องการจะสู้รบตบตีกับเฉินหลงแล้ว เฉินหลงก็จะสู้รบตบตีด้วย
“เช่นนั้นหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าจะฆ่าข้าได้จริงๆหรือ อุปกรณ์ป้องกันของเจ้าก็น่าจะมีเวลาใช้จำกัด เมื่อเวลานั้นหมดไปแล้ว ข้าจะดูว่าเจ้ายังภาคภูมิอยู่อีกไหม ตอนนี้ข้าจะปล่อยให้เจ้าภูมิใจไปก่อนสักพัก แล้วข้าจะเอาชีวิตเจ้าไปอีกรอบเอง” สิ้นคำร่างของไป่เตียซวนก็กระพริบและหายไปในป่าของภูเขาที่ต้นไม้แน่นหนา
เครื่องมือของเฉินหลงทำให้ไป่เตียซวนประหลาดใจจริงๆ อีกอย่างหนึ่งคือพลังฉีแห่งสวรรค์และโลกหล้าไม่อาจจะกักขังเฉินหลงได้ ในช่วงเวลานั้น ไป่เตียซวนไม่อาจทำอะไรเฉินหลงได้ แต่อย่างไรเสียเขาเชื่อว่าอุปกรณ์ของเฉินหลงนั้นไม่มีทางใช้ได้ผลตลอดไป เขาจึงใช้วิธีเล่นเกมแมวจับหนูกับเฉินหลง
หลังจากไป่เตียซวนไปแล้ว เฉินหลงโล่งใจเล็กน้อยเนื่องจากพลังในตอนนี้ที่เขามีนั้นไม่มีทางที่จะฆ่าไป่เตียซวนได้เลย ทว่าเขายังเชื่อว่าไป่เตียซวนจะจับตามองเขาและพร้อมจะโจมตีเขาได้ทุกเวลา เฉินหลงรู้สึกกดดันกับเรื่องนี้
“ดูเหมือนว่าวันนี้ฉันจะดวงไม่ดีเลย” เขาแค่อยากหาใครมาคุยด้วย” เฉินหลงทำได้เพียงไม่พูดอะไรไปพักใหญ่
“ไป่เตียซวนไปแล้ว เราควรตามเขาไปไหม” นักบุญเฮยที่อยู่บนฟ้าว่า
“ไม่ต้อง ไป่เตียซวนมีชื่อในเรื่องการแก้แค้น มันจะต้องหาทางกลับมาแน่นอนหลังจากที่เจ็บปวดกับความพ่ายแพ้อันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ตราบใดที่เราตามเขาอยู่ไป่เตียซวนคงหนีไปไหนไม่พ้น” นักบุญไป่ว่าขึ้น
หลังจากที่ไป่เตียซวนไปแล้ว เฉินหลงได้เปลี่ยนเส้นทางและออกไปเช่นกัน
อย่างไรเสีย เฉินหลงก็ได้รู้ว่าไป่เตียซวนจะตามเขาเงียบๆ เขาจึงจะระมัดระวังไว้ตลอด
เหตุการณ์เป็นไปตามนั้น ไม่นานก็เป็นเวลาเย็น
เฉินหลงไม่หาทางอะไรอีก เขาพบที่ว่างเปล่าแล้วเขาจึงหยุดพัก
หลังจากนั่งลง เฉินหลงจุดไฟ และย่างเนื้อ “งูเขียวยักษ์”
“งูเขียวยักษ์” นี้เป็นเนื้อชิ้นยักษ์ ทำให้เฉินหลงต้องปรุงรส อีกทั้งยังมีบางส่วนเหลืออีกด้วย และในตอนที่เขาอบเนื้อนั่น ขณะเดียวกัน เฉินหลงก็พร้อมจะต่อสู้ตลอดเวลา
TB:บทที่ 247 หมีเหล็กกล้า
ในช่วงกลางวัน เฉินหลงไม่เพียงแต่ต้องระแวงไป่เตียซวน ทว่าเขาต้องแอบจุดไฟแห่งสรวงสวรรค์และโลกหล้าด้วย
คงเป็นไปไม่ได้หากจะฆ่าไป่เตียซวนที่มีพลังระดับ “หลอมรวมธรรมชาติ” ทว่าถ้าเขาบาดเจ็บสาหัสจึงจะมีทางฆ่าเขาอยู่ วิธีนั้นมีอยู่ในไฟแห่งสรวงสวรรค์และโลกหล้า ตราบใดที่เฉินหลงทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสได้ เฉินหลงก็ควรหาเวลาให้ตัวเองพัฒนาระดับพลัง เมื่อเขามีพลังระดับ “หลอมรวมธรรมชาติ” แล้ว เฉินหลงก็จัดการเขาได้
ก่อนที่เฉินหลงจะพัก เขาได้คิดกระบวนท่าสังหารด้วยไฟแห่งสรวงสวรรค์และโลกหล้าได้ นั่นคือระเบิดเปลวไฟ
ระเบิดเปลวไฟได้กดไฟแห่งสรวงสวรรค์และโลกหล้าไว้ให้เหลือเพียงกำลังระเบิดขนาดเท่ากับลูกวอลนัท
การทำเช่นนี้ช่างง่ายที่จะพูดแต่ยากที่จะทำ และแม้แต่คนอย่างเฉินหลงที่ได้ฝึก “โฮวชิงจือ” มาแล้วและเปลี่ยนร่างโดยผ่าน “ผลไฟ” ได้ยังยากที่จะควบคุมพลังนี้ เขาสามารถสร้างระเบิดเปลวไฟได้ ทว่าเขาจำไม่ได้แล้วว่าพลาดไปกี่ครั้ง
ยังโชคดีที่เฉินหลงควบคุมไฟแห่งสวรรค์และโลกได้และมีพลังถึงระดับนิ้วมือ
ทุกๆครั้งที่เขาควบคุมระเบิดเปลวเพลิงไม่ได้ ไฟแห่งสรวงสวรรค์และโลกหล้าจะลามไป หรือไม่เช่นนั้นมันจะระเบิดมลายหายเป็นความว่างเปล่า
ในตอนนั้นเองที่แม้เฉินหลงจะทำเป็นว่าเขารู้เรื่องนี้แล้ว แต่เขาก็ได้ฝังลูกระเบิดไฟยี่สิบลูกไว้รอบๆตัวเขา และนี่คือข้อจำกัดที่เฉินหลงจะควบคุมได้
แม้ว่าจะมีลูกระเบิดยี่สิบลูก พลังของแต่ละลูกนั้นมีถึงระดับ “หลอมรวมธรรมชาติ” หากว่าจะระเบิดขึ้นจริงๆ คงจะพอที่จะกำจัดไป่เตียซวนได้ อีกประการคือเครื่องมือกึ่งอาวุธของเฉินหลงที่เตรียมพร้อมให้เฉินหลงโจมตีไป่เตียซวนโดยที่เขาไม่คาดคิด
เมื่อกินอาหารมื้อเย็นเสร็จ เฉินหลงพักผ่อนโดยพิงต้นไม้ต้นใหญ่
เนื่องจาก เขาไม่รู้ว่าไป่เตียซวนจ้องมองเขาจากที่ใด เฉินหลงจึงถือ “ไม้เท้าพลัง” ในตอนที่เขาพักด้วย
หลังจากนั้นสองชั่วโมง ไป่เตียซวนปรากฏตัวขึ้นเงียบๆจากป่า เขาเข้าไปหาเฉินหลง
ในตอนนั้นเองที่เฉินหลงได้เปิดตาอย่างระมัดระวัง เขาถือ “ไม้เท้าแห่งพลังไว้” ในมือและทำท่าป้องกันตัว
“เจ้าช่างกล้าหาญ เจ้าคงรู้ว่าข้าจะไม่มีทางปล่อยเจ้าไปในเมื่อเจ้าเปิดโอกาสดีๆเช่นนี้แล้ว” ไป่เตียซวนมองเฉินหลง
ในช่วงสองชั่วโมงที่เฉินหลงพักผ่อนอยู่นั้น ไป่เตียซวนเฝ้าสังเกตเขาจนรู้ว่าเขาปลอดภัยแน่ๆแล้ว
“ข้าเป็นเทพและเจ้าก็เป็นแค่อัศวินศักสิทธิ์ อัศวินที่ไม่กล้าแม้จะไปยังวิหาร ทำไมจึงต้องกลัวกันเล่า” เฉินหลงบอกกับไป่เตียซวนพร้อมด้วยไม้เท้าแห่งพลัง
ในอาณาจักรคุนหลุน คนคุนหลุนทั้งหมดที่ผ่านพ้นพลังระดับเก้า ต้องเตรียมการเพื่อรับใช้นักบุญ พวกเขาจะต้องไปยังวิหารศักดิ์สิทธิเพื่อรับใช้นักบุญ หากว่าพวกเขาไม่ได้ไปรับใช้เหล่านักบุญแล้ว พวกเขาถือได้ว่าหักหลังคนทั้งอาณาจักรคุนหลุน เมื่อพลังของไป่เตียซวนก้าวไปถึงระดับ “หลอมรวมธรรมชาติ” เขาไม่มีความเคารพต่อนักบุญ ดังนั้นเขาจึงหลบหนีจากพิธีการ
“โอ้ไม่กลัวงั้นหรอ แล้วทำไมเจ้าไม่ไล่ตามข้าละวันนี้ ทั้งๆที่ข้าบาดเจ็บในตอนนั้น” ไป่เตียซวนไม่กลัวเฉินหลงตอนที่ได้เห็นเขา ทว่าเมื่อเขาพัฒนาพลังขึ้น เขาก็ต้องแอบระวังตัวด้วย
“แม้ว่าข้าไม่ไล่ตามเจ้าไป นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าข้ากลัวเจ้า พลังของเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้า และแม้ข้าไล่ตามพลังเจ้าทัน ข้าก็ฆ่าเจ้าไม่ได้ ทำไมข้าจะต้องพยายามอย่างเสียเปล่าด้วยล่ะ และข้าคงไม่ได้ทำร้ายเจ้าได้แค่ครั้งเดียว ข้าเชื่อว่าข้าจะทำได้อีก” ใบหน้าเฉินหลงแสดงความมั่นใจอย่างที่สุด
เขาเห็นสีหน้าเฉินหลงที่มั่นใจแล้ว ไป่เตียซวนไม่แน่ใจว่าเขาจะดำเนินการต่อดีหรือไม่
“ไม่กล้าจะทำหรือ” เฉินหลงมองไป่เตียซวนด้วยสีหน้ารังเกียจ “คงจะเป็นความผิดหวังอย่างสุดซึ้งหากเจ้าไม่มีความกล้าพอจะสู้กับนักรบศักดิ์สิทธิ”
“จะไปมีกำลังใจสู้ได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีประโยชน์สำหรับข้า” ไป่เตียซวนส่ายหัวอย่างใจเย็น
“หากว่าไม่กล้าแล้วก็อย่าเสียเวลาและจงไปเสีย” เฉินหลงเผยสีหน้ารังเกียจและรอยยิ้มเหยียดหยาม
ภายหลังจากที่จ้องมองเฉินหลงพักหนึ่ง ไป่เตียซวนหันและจากไปโดยไม่กล่าวอะไร
ในที่สุดแล้วไป่เตียซวนก็เผชิญหน้ากับชนชาติคุนหลุนทั้งหมด อีกทั้งต้องเผชิญหน้ากับวิหารศักดิ์สิทธิอันมีพลังที่น่าสะพรึงกลัว หากว่าเขาไม่ระมัดระวัง เขาคงไม่อยู่รอดมาถึงตอนนี้
ในขณะนั้น ใบหน้าของเฉินหลงที่ไม่เข้าใจรายละเอียดอะไรนักแม้แต่เรื่องที่พลังของไป่เตียซวนไม่ได้ดีเท่ากับพลังของเขาเอง และเรื่องที่ไป่เตียซวนรีบพุ่งออกไปด้วย
“ไม่ได้กล้าเลย” เขาเห็นไป่เตียซวนที่ตื่นกลัวเพราะคำของเขาแล้ว เฉินหลงผิดหวังเล็กน้อย ทว่าเขายังได้ประโยชน์อยู่
ไป่เตียซวนกลับมาเพื่อหาเฉินหลง หลังจากนั้นเขาไม่ได้กลับเข้าไปในป่า
เมื่อไป่เตียซวนที่ระแวดระวังและแสดงออกอย่างไม่เกรงกลัวแล้ว เฉินหลงทำได้เพียงส่ายหัวและพักผ่อนต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เฉินหลงพักผ่อนดีๆได้แล้ว เนื่องจากเขารู้ว่าไป่เตียซวนจะไม่โผล่มาอีก หากไม่ได้มีโอกาสที่เลิศเลออะไร
“ทรงพลังเสียจริง หลังจากพูดไม่กี่คำ ไป่เตียซวนก็จากไปโดยไม่ได้สู้กับเขา พวกผู้อาวุโสขอให้เราเพ่งความสนใจไปที่เขา แต่เขาช่างทรงพลังเสียจริง” นักบุญเฮยรุ่นเยาว์กล่าวอย่างชื่นชม
ตอนที่เขาเป็นเพียงนักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับแปด เขาไม่ได้รับการเคารพนับถืออะไร ความเคารพนับถือเกิดขึ้นตอนที่เขาต้องเจอกับการเตรียมตัวเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้า เขาจะกล้าทำอย่างเฉินหลงได้อย่างไร เขาพูดเพียงไม่กี่คำแล้วอัศวินศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรต่อ สำหรับคนอย่างเขาแล้วเขาทำได้เพียงยอมรับเท่านั้น
“เจ้าคิดจริงๆหรือว่าเขาเป็นแค่พวกคุยโต ข้าคิดว่าไป่เตียซวนฉลาดมาก ข้ารู้สึกว่าหากไป่เตียซวนโจมตีเขา จะต้องเป็นไป่เตียซวนแน่นอนที่จะเจ็บปวด” นักบุญไป่ มองเฉินหลงที่พักผ่อนอยู่และกล่าวไป
นักบุญเฮยมองเพื่อนของเขาด้วยสีหน้าตกใจ
สิบวันต่อมา เฉินหลงไปยังสถานที่ ที่มีสัตว์ประหลาดตัวเล็กตัวน้อย พวกมันมีพลังระดับ “หลอมรวมธรรมชาติ”
ทำไมเฉินหลงจึงมาถึงที่นี่ได้ไวนักหรือ นั่นเพราะเฉินหลงใช้แต้มแลกเปลี่ยนสามร้อยแต้มในระบบเพื่อแลกเปลี่ยนเครื่องร่อนสำหรับคนหนึ่งคนใช้ แม้ว่าเครื่องร่อนจะได้ผลกระทบที่ทำให้บินสูงกว่ายี่สิบเมตรไม่ได้ ทว่าเครื่องร่อนนี้ก็บินห่างจากภูเขาได้ยี่สิบเมตร
นักบุญทั้งสองที่อยู่บนท้องฟ้าสับสนเมื่อเห็นว่าเฉินหลงบินได้
พลังของเขายังเป็นเพียงนักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดอย่างเห็นได้ชัด เขาจะบินได้อย่างไรกัน
ต่อมาเมื่อพวกเขาเห็นว่าเฉินหลงบินได้สูงยี่สิบเมตรเหนือพื้น พวกเขาได้รู้ว่าเฉินหลงบินได้ด้วยเครื่องมือบนหลังของเขา
เช่นเดียวกับคนที่เฝ้าตามเฉินหลงมาอย่างระมัดระวัง ไป่เตียซวนที่เมื่อเห็นเฉินหลงบินได้จริงๆแล้ว เขานิ่งอึ้งไป ทว่าในทันทีที่เขารู้ว่าทำไมเฉินหลงจึงบินได้เขาก็รีบตามไปอย่างรวดเร็ว การบินในที่แห่งนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้
ดังที่เป็นเช่นนั้น เฉินหลงบินไปกว่าสิบวันและได้มาถึงสถานที่ที่มีสัตว์แปลกประหลาด ที่นั่นเต็มไปด้วยหมีสีน้ำตาลคล้ายกับบนโลก
ชื่อของสัตว์ตัวนี้บนนิวเวิร์ลคือหมีเหล็กกล้า ตัวมันสูงสิบเมตร ผิวหนังแข็งแกร่งดังเหล็ก ที่เป็นที่มาของชื่อมัน
“หมีเกราะเหล็ก” ไม่ได้เพียงแค่แข็งแกร่งดังเหล็ก ทว่ายังมีกำลังอย่างไม่สิ้นสุดด้วย เมื่ออุ้งเท้าทั้งสองของมันทะยานออกมาจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าอากาศที่หนักแน่น การจะฆ่าพวกมันนั้น เขาจะต้องหาจุดอ่อนของมัน นั่นคือ “ดอกเบญจมาศ”
TB:บทที่ 248 ความสามารถอันไม่เหมือนใครของราชันย์หมี
สำหรับจุดอ่อนนี้ เฉินหลงทำได้เพียงพูดขึ้นว่า “ดอกเบญจมาศนั้นร่วงโรยสู่พื้นดิน” ในขณะที่เขาทิ้ง “หมีเหล็กกล้า” ที่โดนฆ่าโดยไว้เบื้องหลัง
การกระทำที่โหดร้ายของเฉินหลงทำให้นักบุญทั้งสองรู้สึกไม่สบายใจกับนัก
เช่นเดียวกันนั้น ของอย่างอุ้งเท้าหมีก็เป็นของรสเลิศ น้ำดีหมีก็เป็นวัตถุดิบยาชั้นดีเช่นกัน เฉินหลงจะไม่ทิ้งของพวกนี้ให้เปล่าประโยชน์ ทว่าผิวหนังของมันช่างแข็งเหลือเกิน
หลังจากนั้นสิบวัน เฉินหลงฆ่า “หมีเหล็กกล้า” ไปแทบหมด “ภูเขาหมี” ในตอนนี้เขาจะต้องไปหา “ราชันย์หมี” เพราะเขาต้องการจะลองว่าพลัง “ของหมีเหล็กกล้า” ระดับสิบเป็นอย่างไร และเพื่อลองว่าดอกเบญจมาศของ “ราชันย์หมี” จะบานได้อย่างเปล่งประกายกว่าหรือไม่ และในตอนเดียวกันนั้นเอง แม้ว่าเขาจะแทบไม่ได้ปรากฏร่างเขาให้เห็นเลย ทว่าเขามีไป่เตียซวนตามมาอยู่เสมอ โอกาสอยู่ในมือเขาแล้ว
ราชันย์หมีเป็นสัตว์แปลกประหลาดเช่นเดียวกับ “หมีเกราะเหล็กกล้า” ทั่วๆไป ทว่าตัวของมันเป็นสีทองทั้งหมด อีกทั้งในช่วงนั้นเอง อารมณ์ของมันยังร้ายกาจอีกด้วย เพราะว่าพี่น้องของมันหายไปทีละตัว อีกทั้งมันยังรู้เรื่องที่ว่าน้องชายมันตายอีกด้วย แม้ว่ากำลังของน้องชายมันจะด้อยกว่า แต่พวกมันก็เป็นสายเลือดเดียวกัน ในขณะนั้นพวกมันกำลังโดนฆ่าไปทีละตัว จะไม่ให้มันโกรธได้อย่างไร
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง มันยังส่งตัวช่วยเพื่อตามหาสาเหตุ ทว่าในที่สุดแล้วตัวช่วยหาข้อมูลก็โดนฆ่าไป โดยชายที่มีพลังธรรมดาๆ นี่ยิ่งทำให้มันโกรธกว่าเดิม ลูกน้องของมันจำนวนมากที่ส่งออกไปหาข่าวคราวโดนมนุษย์คนนี้ฆ่า หากว่าไม่มีเหตุผลใดให้ต้องออกไปไหน มันคงกินหัวใจของไอ้มนุษย์นั่นไปแล้ว
แต่อย่างไรเสียในตอนนั้น มันไม่จำเป็นต้อรอให้ตัวมันเองออกจากหลุมเพื่อหามนุษย์คนนั้นแล้ว เนื่องจากเจ้ามนุษย์นั่นมาหามันด้วยตัวเอง
“บัดซบ กลิ่นแย่จริง” เมื่อเข้าไปในถ้ำของราชันย์หมี เฉินหลงพลันได้กลิ่นเหม็น เขาได้กลิ่นนี้แล้วรู้ได้ทันที
ในทันทีที่เฉินหลงพูดจบ ราชันย์หมียืนอย่างโกรธเคืองและพุ่งเข้าไปหาเฉินหลง แม้ว่าราชันย์จะไม่อาจเข้าใจสิ่งที่เฉินหลงพูดก็ตาม แต่มันรู้สึกได้ว่าเฉินหลงไม่ใช่อะไรที่ดีอย่างแน่นอน หากว่ามีมนุษย์ที่อ่อนแอคนหนึ่งอยู่เบื้องหน้ามัน มันจะฆ่าเขาและมันก็ไม่มีเหตุผลต้องออกไปจากถ้ำอีก
ต่อหน้าเฉินหลงมีราชันย์หมีที่ตบอุ้งเท้าเข้าใส่เขา
“ช่างเป็นอุ้งเท้าหมีที่ใหญ่เสียจริง ฉันไม่รู้เลยว่าจะเอาไปย่างหรือนึ่งดี” เขามองอุ้งเท้าหมียักษ์ที่ตบลงมาบนหัวเขา เฉินหลงคิดถึงว่าจะเอาไปกินอย่างไรดี
เนื่องจากมี ร่างอมตะโฮวชิงจื่อ เฉินหลงต้องการจะดูว่าเขาจะป้องกันการโจมตีทางกายภาพจากหมียักษ์นี้ได้หรือไม่
ราชันย์หมียกมือออกจากหัวของเฉินหลง ราวกับเป็นเงา มันตบผ่านลงไปบนพื้นขณะที่เฉินหลงก็ยังยืนอยู่
“ไม่มีประโยชน์” เฉินหลงมองราชันย์หมีด้วยสายตาแหย่เย้า
ร่างอมตะนั้นแทบจะป้องกันการโจมตีร่างกายได้ทั้งหมด ทว่าไม่อาจจะป้องกันพลังระดับ “ปรมาจารย์แห่งดวงดาว”
ราชันย์หมีให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีโดยแสดงสายตาโกรธแค้น
“ตอนนี้ฉันจะใช้ไม้เท้ากับแกเอง” สิ้นคำเฉินหลงยก “ไม้เท้าแห่งพลัง” ขึ้นมาและโจมตีราชันย์หมี
มันเห็นว่าการโจมตีของเฉินหลงเกินกว่ากำลังมันจะรับได้ ราชันย์หมีอดไม่ได้ที่จะเผยสายตารังเกียจ
แน่นอนว่า เฉินหลงทุบหัวของราชันย์หมีด้วยไม้เท้านั้น ทว่าการโจมตีนี้ทำให้ร่างของมันเซไปเล็กน้อย
อย่างไรเสีย แม้จะเป็นดังนั้น ราชันย์หมียังนิ่งไปพักหนึ่ง ไก่อ่อนที่ทำให้มันรู้สึกเจ็บปวดได้ เป็นไปได้อย่างไรกัน ไม่มีทางจะให้อภัยได้ ให้อภัยไม่ได้
ราชันย์หมีโกรธเคือง อุ้งเท้าของมันกางอย่างบ้าคลั่งใส่เฉินหลง
อย่างไรก็ตาม ร่างอมตะของเฉินหลงก็ป้องกันการโจมตีของราชันย์หมีได้ทั้งหมด อุ้งเท้าของราชันย์หมีเพียงปัดให้ฝุ่นจำนวนมากในถ้ำคลุ้งในอากาศเท่านั้น ทว่าไม่อาจทำให้เฉินหลงบาดเจ็บได้แม้แต่น้อยอยู่ดี
แม้พลังของราชันย์หมีจะมีถึงระดับสิบ มันก็ได้แต่แกว่งอุ้งมือโจมตีด้วยพลังเท่านั้น มันไม่เข้าใจความลึกลับของพลังหลอมรวมธรรมชาติ
“ไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์ ไม่มีผลอะไร ไร้ประโยชน์เกินไป” เฉินหลงและ “ไม้เท้าแห่งพลัง” ในมือทุบราชันย์หมีไปเรื่อยๆเพื่อท้าทายมัน
อย่างไรเสียราชันย์หมีก็เริ่มที่จะรับรู้ถึงพลังของ “ระดับหลอมรวมธรรมชาติ”
มันเห็นว่าการโจมตีไม่อาจจะทำร้ายเฉินหลงได้เลย ราชันย์หมีจึงเปิดปากคำรามใส่เฉินหลง
“โฮก”
ด้วยการคำราม ทำให้เกิด“เสียงคลื่น” ที่ตัดผ่านมายังเฉินหลง
เขามอง “ใบมีดคลื่นเสียง” อันนับไม่ถ้วนที่ตัดผ่านมาทางเขาแล้ว เฉินหลงพลันรู้สึกถึงความอันตราย
“หลีกไป”
ตอนนั้นเองในหัวเฉินหลงมีเพียงความคิดเดียว
ณ เวลาที่ความคิดนั้นเข้ามาในหัว ร่างของเฉินหลงก็ถอยกลับหลังอย่างบ้าคลั่ง อย่างไรเสียความเร็วของเฉินหลงไม่อาจไวได้เท่า “ใบมีดคลื่นเสียง” “ใบมีดคลื่นเสียง” ที่นับไม่ถ้วนเข้ามาตัดร่างของเฉินหลง
ร่างอมตะนั้นแข็งแกร่งมาก ทว่าเมื่อต้องเผชิญกับ “ใบมีดคลื่นเสียง” ที่เฉือนตัดนี่แล้ว ก็ไม่อาจจะป้องกันอะไรได้
ตอนที่ “ใบมีดคลื่นเสียง” ที่มากมายเข้าไปฟันร่างของเฉินหลงแล้ว คลื่นเสียงพวกนั้นได้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง เขารู้สึกเหมือนว่าร่างของเขาฉีกเป็นชิ้นๆ
ภายในถ้ำเต็มไปด้วยเลือดจากเฉินหลง
ในเวลาเดียวกันนั้นเองที่เฉินหลงรู้ว่านี่ไม่ใช่ “ใบมีดคลื่นเสียง” ทว่าเป็น “มิติตัดขาด”
การตัดเฉือนแบบนี้ทำให้ “ร่างอมตะ” ต้องเจ็บปวดกับอาการบาดเจ็บอย่างหนักได้ตรงๆ
หลังจากที่เฉินหลงได้รับบาดเจ็บแล้ว เขารีบตั้งโล่ป้องกันทันที
เมื่อ “มิติตัดขาด” โจมตีใส่โล่ป้องกันของเฉินหลง การโจมตีนั้นก็โดนขวางไปโดยโล่และจากนั้น “มิติตัดขาด” ก็สลายหายไป
ภายใต้การป้องกันของโล่ป้องกัน เฉินหลงกระเสือกกระสนถอยออกไปจากถ้ำ
เมื่อราชันย์หมีเห็นว่ามนุษย์ที่น่ารำคาญนี่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเนื่องจากตัวมัน มันตื่นเต้นและไปคำรามใส่เฉินหลงที่ปากถ้ำ แต่อย่างไรก็ตามแต่มันก็ไม่ได้มีพลังพอจะใช้ “มิติตัดขาด”อีก
เมื่อเขาเห็นราชันย์หมีที่ภาคภูมิในตนเองแล้ว เฉินหลงพ่นเลือดที่เต็มปากออกมา
แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่การโจมตี แต่เป็นการบาดเจ็บ
นี่เป็นสิ่งเดียวกับที่เฉินหลงต้องการให้ไป่เตียซวนได้เห็น
เนื่องจากไป่เตียซวนเป็นคนที่เฝ้ามองเขาอยู่ราวกับเป็นงูพิษ เขาจะต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ก่อน
เฉินหลงพ่นเลือดแล้วออกจากถ้ำไป
เขาหาที่ที่จะซ่อนตัวได้ แล้วเฉินหลงจึงเริ่มหายใจ
ไป่เตียซวนที่ตามหลังเฉินหลงอยู่ เห็นว่าเฉินหลงบาดเจ็บแล้ว เขารู้ว่านี่คือโอกาสที่เข้ามา
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่เฉินหลงบาดเจ็บ เขารู้ว่าการเกราะป้องกันของเฉินหลงได้สลายไปแล้ว
หลังจากที่การใช้งานของเกราะป้องกันของเฉินหลงสลายไป ไป่เตียซวนปรากฏกายออกมาทันที
อีกอย่างหนึ่งคือเฉินหลงตั้งใจส่งเสียงออกมาโดยเจตนา
เมื่อเขาได้ส่งเสียงแล้ว เฉินหลงเปิดตาและมองเห็นว่าไป่เตียซวนได้เข้ามาหาเขา
ใบหน้าเขาเผยยิ้มแห้งๆ
แน่นอนว่าเฉินหลงต้องแสร้งยิ้มออกมา เขาบาดเจ็บสาหัส ทว่าด้วยฉีรักษาทำให้อาการบาดเจ็บของเฉินหลงค่อยๆฟื้นฟูขึ้น การเร่งรีบเกินกว่าสิบนาทีได้ทำให้การฟื้นฟูของเฉินหลงสมบูรณ์ แต่อย่างไรเสียการที่เขาจะปล่อยให้ไป่เตียซวนโดนหลอก เขาจะต้องแสดงให้เห็นว่าเขาบาดเจ็บหนักอยู่
สิ่งที่เขาแสดงให้เห็นยังหลอกนักบุญที่อยู่บนฟ้าได้ด้วย
TB:บทที่ 249 การผ่านพ้นสู่ระดับหลอมรวมธรรมชาติ
“ไป่เชิง ลงไปกันเถอะ เร็วเข้า ชายคนนั้นบาดเจ็บสาหัส เขาเป็นคู่ต้องสู้ให้ไป่เตียซวนไม่ได้แน่ๆ” นักบุญเฮยกล่าวกันเพื่อนของเขา
แม้ว่าเฉินหลงจะมีพลังร้ายกาจเป็นอย่างมากทว่าในตอนนี้เขาบาดเจ็บสาหัส เขาไม่มีทางที่จะชนะไป่เตียซวนได้เลย
แต่ว่าเพื่อนของเขา ไป่เชิง กลับลังเลใจ
ในใจของไป่เชิง เฉินหลงไม่มีทางจะเป็นคนประมาท เขารู้ว่าไป่เตียซวนจะตามมาหาเขา เขาจะมอบโอกาสแบบนี้ให้ได้อย่างไร
“คงไม่ได้….”
เขาคิดถึงความเป็นไปได้ จู่ๆไป่เชิงก็มองเฉินหลงพร้อมกับรอยยิ้มขมขื่นบนใบหน้าของเขา
“ไป่เชิง เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ รีบลงไปกันเถอะ” นักบุญเฮยมองไป่เชิงที่อยู่ตรงนั้นและกล่าวไปอย่างรวดเร็ว
“เฮยเทียน ไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าไม่คิดว่าเขาไม่ใช่คนง่ายๆแบบนี้หรอก” ไป่เชิงบอกกับเพื่อนของเขา เฮยเทียน
“ไม่ได้ ข้าไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับเขา” เฮยเทียนไม่เห็นด้วยกับคำของไป่เชิง เขากล่าวดังนั้นและลงไปข้างล่าง
“เฮยเทียน หากจะทำอีกอย่างคือ เราจะต้องลงไปและซ่อนตัวอยู่ข้างหนึ่งก่อน และหากว่าเขาอยู่ในอันตรายจริงๆ เราจะออกมา เชื่อข้าสิเขาไม่ทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ง่ายๆหรอก” ไป่เชิงรีบตามมาให้ทันเขา
เฮยเทียนครุ่นคิดก่อนจะเห็นด้วย
นักบุญทั้งสองซ่อนตัวอย่างเงียบเฉียบ
“ข้ากล่าวว่า ข้าจะไม่ปล่อยแกไป” ไป่เตียซวนเผชิญหน้ากับเฉินหลง
“ในครั้งนี้ ข้าประมาทไปและข้าไม่คาดคิดว่าหมีนั่นจะทำร้ายข้าได้ ข้าเลยสร้างโอกาสนี้ให้เจ้า”
เฉินหลงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มขมขื่น “อย่าให้ข้าหนีไปได้นะ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ให้โอกาสแบบนี้กับเจ้าอีกแล้ว”
“ไม่ต้องเป็นห่วงไป ข้าไม่ยอมเสียโอกาสแบบนี้หรอกหน่า” ไป่เตียซวนว่าจบ เขาก็โจมตีหัวของเฉินหลงเฉินหลงอีกจริงๆ
“ระวังไว้นะ”
เขาเห็นกระบวนท่าของไป่เตียซวนแล้ว เฮยเทียนได้โผล่ออกมาเบื้องหน้าร่างของเฉินหลง ไป่เชิงจับเขาไว้ไม่ทัน
อย่างไรเสียการปรากฏตัวของเฮยเทียนคงไม่ได้สำคัญอะไรเพราะหากเขาไม่ปรากฏตัวระเบิดเปลวไฟของเฉินหลงก็ขวางไป่เตียซวนได้อยู่ดี
เขาเห็นว่าจู่ๆเฮยเทียนก็ปรากฏตัวออกมาแล้ว ไป่เตียซวนรีบเก็บหมัดตัวเองและพร้อมที่จะออกไป
เนื่องจากเขารู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเฉินหลงมีพลังถึงระดับ “เหนือธรรมชาติ” และคนเช่นนั้นทั้งหมดก็เป็นนักบุญแห่ง “วิหารศักดิ์สิทธิ” ดังนั้นแล้วไป่เตียซวนจึงต้องหนีไป
แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ก็ได้มีระเบิดเปลวไฟที่ขวางไป่เตียซวนไว้ เขาจะหนีไปได้หรือไม่
“ตู้ม ตู้ม”
ระเบิดเปลวไฟยี่สิบอันที่เตรียมไว้ใช้กับไป่เตียซวนระเบิดในเสี้ยวพริบตา
ไป่เตียซวนมีประสบการณ์การรบมาอยากโชกโชน ในตอนที่เกิดระเบิดเปลวไฟระเบิดขึ้นนั้นเอง เขาสามารถจะใช้พลังธรรมชาติ (หลังสวรรค์และโลก มันยาวไป)ขึ้นมาสร้างเกราะป้องกันเพื่อลดพลังทำลายล้าง
ทว่าไม่ว่าอย่างไร ระเบิดเปลวไฟทั้งยี่สิบลูกที่รุนแรงอย่างเท่ากันและเป็นการร่วมพลังของระดับ “หลอมรวมธรรมชาติ” ไว้ทั้งยี่สิบลูก เกราะป้องกันจะไปปกป้องได้อย่างไรกัน
ผลที่เกิดขึ้นคือโล่ป้องกันที่แตกหักและคนที่บาดเจ็บสาหัส
ไป่เตียซวนโดนเฉินหลงทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ปากที่เต็มไปด้วยเลือดไหลออกมาจากปากเขา
อย่างไรก็ตาม ไป่เตียซวนนั้นมีเล่ห์เหลี่ยม เขาใช้โอกาสตอนที่มีการโจมตีเพื่อหนีไปให้ไกล
สุดท้ายแล้ว ก็เป็นถึงอัศวินศักดิ์สิทธิ เขาย่อมมีหนทางหนีไปได้
หลังจากที่เขาเห็นว่าไป่เตียซวนไป เฉินหลงมองนักบุญเฮยด้วยสายตาไม่ชอบใจนัก “เจ้าเป็นใคร เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
ในตอนแรกเฉินหลงยังคงต้องการจะสู้ต่อหน้าไป่เตียซวน ทว่าเมื่อเฮยเทียนปรากฏกายเช่นนี้ทำให้ไป่เตียซวนตกใจและหนีไป แม้ว่าเขาจะบรรลุเป้าหมายของเขาได้ก็ตาม แต่เขาพลาดความสนุกไป
แน่นอนว่าเฉินหลงไม่พอใจ
ภาพการปรากฏตัวขึ้นมาของเฮยเทียนทำให้ตะลึงงงไปได้ เขาไม่ได้คาดหวังว่าเฉินหลงจะยังทรงพลังอยู่หลังจากกระบวนท่านั้น เขาจึงเป็นกังวลเรื่องของไป่เตียซวนขึ้นมาจริงๆ
แม้ว่าคำของเฉินหลงจะฟังแล้วไม่น่าพอใจเท่าไร ทว่าเฉินหลง คนที่ผู้อาวุโสสั่งให้ปกป้องดินแดนนี่ไว้ เขาจึงทำได้เพียงกลั้นใจ “ชื่อของข้าคือเฮยเทียน ข้าเป็นนักบุญฝึกหัดแห่งวิหาร ข้ามาเพื่อปกป้องท่านอย่างลับๆเนื่องจากคำสั่งของผู้อาวุโส เมื่อครู่ ข้าเห็นว่าท่านอยู่ในอันตราย”
แม้ว่าผู้อาวุโสจะปล่อยให้เขาปกป้องเฉินหลงอย่างลับๆ ทว่าตอนนี้เขาออกมาแล้ว เขาจึงควรจะชี้แจงให้แจ้ง
“เจ้ากลับไปเถอะ ข้าไม่ต้องการการปกป้องจากเจ้า” เนื่องจากพวกเขามีเจตนาดี เฉินหลงจึงไม่อยากจะโทษอะไรพวกเขาอีก ทว่าเขาก็ไม่อยากให้เขาพวกเขาตามอีกต่อไปแล้ว
“แต่ว่า…”
“อย่าเลย กลับไปเถอะ ข้าไม่ต้องการให้ปกป้อง” เฮยเทียนอยากจะพูดต่อทว่ากลับโดนเฉินหลงดักไว้
เฮยเทียนจะอยากว่าอะไรต่อไปอีก แต่ไป่เชิงกลับออกมาและดึงให้เฮยเทียนไป
จากนั้นไป่เชิงก็โค้งให้เฉินหลงและดึงให้เฮยเทียนไปไกลๆ
หลังจากที่เขามองไป่เชิงและอีกคนนึงจากไป เฉินหลงก็ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของเขาด้วยฉีรักษาต่อ
“ไป่เชิง ทำไมเจ้าถึงดึงข้าออกมา ภารกิจของพวกเราคือปกป้องเขา เจ้าลืมไปแล้วหรือ” หลังจากที่เฮยเทียนโดนดึงออกไปไกลแลว ไป่เชิงก็ทำให้เขาออกไปจากทาง
“ข้าไม่ลืมหรอก แต่เจ้าลืมสิ่งที่ผู้อาวุโสพูดไปหรือ ที่ว่าให้แอบปกป้องเขาน่ะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือความลับ” เฮยเทียนพูดไม่ออก เขามองอีกฝ่ายที่มีความหงุดหงิดในแบบเพื่อน
หลังจากที่ได้ยินคำของไป่เชิง เฮยเทียนจำภารกิจของเขาได้ว่าเขาต้องปกป้องเฉินหลงอย่างลับๆ เขาไม่คาดหวังว่าเฉินหลงจะสงบใจได้ในตอนนี้
“ดี เช่นนั้นเราก็กลับขึ้นกลับไปอีกครั้ง ครั้งนี้ไปดูว่าเขาจะฆ่า “ราชันย์หมีเหล็กกล้า” ได้อย่างไรเถอะ” ไป่เชิงสงสัยในตัวเฉินหลงจริงๆ “จะว่าไปแล้ว เจ้าอย่าได้หงุดหงิดไปเลย”
เฉินหลงบาดเจ็บสาหัสตอนที่เขาออกจากถ้ำหมี แต่อย่างไรเสียเมื่อเขาเห็นเฉินหลงในตอนนี้ เขาพบว่าอาการบาดเจ็บเขาเกือบจะหายดีแล้ว อีกอย่างหนึ่งคือเขายังสามารถจะไล่ไป่เตียซวนไปได้ และนั่นช่างแข็งแกร่งอย่างมาก เฉินหลงมีความลับมากมาย และแม้ไป่เชิงจะไม่กล้าคิดเรื่องเฉินหลงก็ตาม แต่เขาก็ยังอยากจะรู้ต่อไป
เฮยเทียนพยักหน้าและบินขึ้นฟ้าอีกครั้งพร้อมด้วยไป่เชิง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา อาการบาดเจ็บของเฉินหลงได้หายสนิท
หลังจากที่เขาฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บ เฉินหลงเดินไปยังภูเขาที่อยู่ถัดจากเขาหมี
พลังในตอนนี้ของเขาไม่มีเพียงพอให้ชนะราชันย์หมี หากว่ามันมาหาเขา เขายังคงโดนทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียว ดังนั้นเฉินหลงจึงตัดสินใจว่าจะพัฒนาพลังของเขาให้เป็นระดับ “หลอมรวมกับธรรมชาติ” หากเป็นเช่นนั้นร่างอมตะจะสามารถพัฒนาไปเป็นระดับกลางได้ จนกว่าจะถึงตอนนั้น การโจมตีทั้งหมดในระดับปรมาจารย์แห่งดวงดาวจะไม่สามารถทำอะไรเขาได้ และนั่นจะเป็นเวลาแห่งการแก้แค้น
เฉินหลงไม่ได้ไปหาราชันย์หมีทว่าเขาเดินไปเขาลูกอื่นแทน พวกไป่เชิงจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ตามต่อไป
สามเดือนต่อมา เฉินหลงตามหาสัตว์ป่าทุกๆวันที่มีพลัง “หลอมรวมธรรมชาติ” เพื่อจะฝึกฝน ในขณะเดียวกันเขาก็ตามหาแร่ธาตุ หากว่ามีแร่ธาตุที่หายากแล้ว เฉินหลงจะทำเครื่องหมายไว้ให้รถบรรทุกที่ต้องทำภารกิจเดิมให้สำเร็จก่อนจะมาที่นั่นเพื่อขุดเหมืองต่อไป
ในท้ายที่สุดแล้วเฉินหลงได้ฆ่าหมูป่าคลั่งที่ชื่อว่า “หมูเขี้ยวโหด” ไป พลังของเฉินหลงได้เปลี่ยนจาก “ปลดปล่อยพลังปราณ” สู่ “หลอมรวมธรรมชาติ”
เมื่อเข้าสู่ระดับหลอมรวมธรรมชาติ เฉินหลงรู้สึกได้ถึงสภาพพลังแห่งธรรมชาติ เฉินหลงพบว่าจิตวิญญาณของเขาได้รวมเข้าสู่จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ พลังจิตของเขาขับเคลื่อนด้วยจิตวิญาณแห่งธรรมชาติที่มารับเข้ามา
ตอนนี้เขาสามารถปล่อยพลังธรรมชาติมาเพื่อเป็นโล่ และการที่ปล่อยพลังธรรมชาติเพื่อกักขังสิ่งมีชีวิตได้ ตราบใดที่ยังมีความคิดอยู่ พลังธรรมชาตินี้ก็จะใช้เพื่อประโยชน์ของตัวเขา และนั่นคือระดับหลอมรวมธรรมชาติ
TB:บทที่ 250 แร่ทองที่เบาบาง
“เขาผ่านพ้นไประดับที่เก้าของ “หลอมรวมธรรมชาติ”แล้ว เขาเพิ่งถึงระดับปลดปล่อยพลังลมปราณเอง เพียงนานเท่าไรเขาก็ผ่านพ้นไปยังระดับ “หลอมรวมธรรมชาติได้อีก เขาทำได้อย่างไรกัน” เฮยเทียนประหลาดใจที่เห็นว่าเฉินหลงได้ผ่านพ้นไปยังระดับ “หลอมรวมธรรมชาติ”
ไป่เชิงเพื่อนของเขาก็ตกใจเช่นกัน ทว่าในใจของไป่เชิงแล้วเขาคิดถึงความเป็นไปได้อื่น ทำไมเฉินหลงจึงฆ่าสัตว์ประหลาดกันเล่า จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาพลังของเขาอย่างแน่นอน
สองวันต่อมาเฉินหลงกลับไปหาราชันย์หมีอย่างมั่นใจ
พลังของเฉินหลงได้พัฒนาไปเป็นระดับ “หลอมรวมธรรมชาติ” แล้ว ร่างอมตะก็ได้มีพลังถึงระดับกลางค่อนไปทางสูงแล้วด้วย ในตอนนี้นั้นขึ้นอยู่กับว่าเขาจะทำร้ายราชันย์หมีอย่างไร
เมื่อเขาเข้าไปยังหุบเขาหมี เฉินหลงได้กวาดภูเขาหมีนี่ไปอย่างดีเมื่อสามเดือนก่อน การทำเช่นนั้นทำให้เขาแทบจะกำจัดหมีเกราะเหล็กไปหมดภูเขาหมี เมื่อเฉินหลงไปถึงที่ถ้ำหมี เขาเห็นว่ามีหมีอยู่เพียงไม่กี่ตัวระหว่างทาง และในบางครั้งก็เป็นเพียงลูกหมี ด้วยความรู้สึกเวทนา ตราบใดที่หมีพวกนี้ไม่ได้มาท้าทายอะไรเขา เขาจะปล่อยมันไป
หลังจากที่เขาไปถึงถ้ำหมี ราชันย์หมีไม่ได้อยู่ในถ้ำ ดังนั้นเฉินหลงจึงหยิบเครื่องมือตรวจสอบทัศนียภาพออกมาและสำรวจถ้ำ หากจะว่าตามปกติแล้ว จะมีของดีๆอยู่ที่ที่จ่าฝูงและสัตว์อื่นที่เป็นอย่างราชันย์หมีอาศัยอยู่ ครั้งสุดท้ายที่เฉินหลงไปที่นั่น เขาไม่มีเวลาจะใช้เครื่องตรวจสอบเพื่อตรวจทั่วถ้ำ ในครั้งนี้ เขาไม่อาจจะเพิกเฉยถ้ำของราชันย์หมีไปได้ แน่นอนว่าเขาจะต้องมองดูให้ดีๆ
เมื่อเฉินหลงเห็นว่ามีชื่อของแร่ปรากฏบนเครื่องมือตรวจสอบ ใบหน้าของเฉินหลงพลังแสดงสีแห่งความประหลาดใจ
บนเครื่องตรวจสอบนั้นได้แสดงว่าที่นี่มีแร่ที่ชื่อว่า “ทองมิติ” ในถ้ำนี้
“ทองมิติ” เป็นแร่ที่หาได้ยากชนิดที่ว่าไม่มีที่ใดในโลก แร่นี้สามารถนำไปใช้ทำอุปกรณ์ช่องมิติได้
“ฉันไม่คิดว่าจะมีของดีเช่นนี้อยู่ที่นี่ หากว่าฉันไม่ได้อยากจะแก้แค้นราชันย์หมี ฉันคงจะพลาดของดีๆแบบนี้ไป” ใบหน้าของเฉินหลงตื่นเต้น
เฉินหลงไม่คาดคิดว่าที่นี่จะมี “แร่ทองมิติ” อยู่ที่นี่ แม้ว่าจะแสดงบนเครื่องตรวจสอบว่าที่นั่นมีแร่ “ทองมิติ” เป็นร้อยคันรถ และการเก็บของนั้นไปก็ดีเยี่ยมมากๆเช่นกัน
ในตอนนี้ที่เขาเจอกับ “ทองมิติ” แล้ว เขาก็ควรจะรีบขุดในตอนนั้นเลย เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาจะต้องเก็บของให้อยู่ในวงแหวนมิติของเขาเอง
เมื่อเฉินหลงเริ่มจะทำการขุด “ทองมิติ” นั้น ราชันย์หมีที่กำลังเดินอยู่กับหมีตัวเมียหลายตัวก็รู้สึกถึงการขุดในทันที มันโกรธและคำรามออกมา มันทิ้งคู่ทั้งหลายของมันและวิ่งไปยังถ้ำหมี
ใครหน้าไหนที่กล้ามาเอาลูกมันไปมันจะฆ่าทิ้ง
เหตุผลที่ว่าทำไมมันจึงกลายเป็นราชันย์หมีนั้นคือความสามารถของพลัง “มิติตัดขาด” ที่พลังทั้งหมดขึ้นอยู่กับ “แร่ทองมิติ” เนื่องจากมีการหลอมรวมพลังงานพิเศษที่มาจาก “แร่ทองมิติ” ทำให้พลังสามารถผ่านพ้นไปยังระดับ “หลอมรวมธรรมชาติ” และยังไปถึงขั้นระดับ “เหนือธรรมชาติ” อีกด้วย
ครั้งล่าสุดที่ราชันย์หมีไม่ออกมาจากถ้ำเนื่องจากว่าวันนั้นเป็นวันที่ “แร่ทองมิติ” ส่งพลังงาน และมันไม่อาจจะทำให้พลังงานเสียเปล่าไปได้
ในตอนนี้มีสิ่งที่ไม่เจริญหูเจริญตากล้าจะมาเคลื่อนย้ายลูกของมัน มันปล่อยให้ทำไม่ได้ คนที่ทำจะต้องตาย
เมื่อเฉินหลงขุดหา “แร่ทองมิติ” เขารู้สึกได้ด้วยว่าราชันย์หมีกำลังกลับมาอย่างกะทันหัน
อย่างไรเสียในตอนนี้ราชันย์หมีก็ไม่ใช่ภัยคุกคามอะไรสำหรับเขา เฉินหลงจึงขุด “แร่ทองมิติ” ต่อไปอย่างใจเย็น
ราชันย์หมีวิ่งมาตลอดทางและใช้เวลาเพียงสองนาทีเพื่อจะกลับไปยังถ้ำ “ทองมิติ” เป็นของจำเป็นอย่างคอขาดบาดตาย หากไม่มีแล้วมันจะทำอะไรไม่ได้เลย
เมื่อกลับมาที่ถ้ำแล้ว ราชันย์หมีพบในทันทีว่าคนที่ขุดหาลูกรักของมันอยู่คนคนเดียวกับที่ฆ่าพี่น้องของมันไปเมื่อคราวก่อน ในตอนนี้มันไม่อาจทนใจเย็นได้อีกแล้ว
สิ่งสุดท้ายคือมันยังไม่ได้สะสางเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขา ในตอนนี้เขายังกลับมาและจะขโมยลูกรักของมันอีก แบบนี้สมควรตาย
“หมี เจ้าหมี เจ้ากลับมาแล้วหรือ ที่นี่มีของดีๆยู่ด้วย พอฉันขุดเสร็จแล้วเราค่อยมาคุยเรื่องในอดีตกันนะ” เมื่อเห็นว่าราชันย์หมีกลับมา ใบหน้าเฉินหลงฉายยิ้มเย้าแหย่
“โฮก”
สิ่งที่ราชันย์หมีตอบกลับเฉินหลงคือคลื่นเสียง “มิติตัดขาด”
มันรู้ดีว่าการโจมตีปกติไม่ได้อาจทำอะไรเฉินหลงได้ กลวิธีแรกของมันจึงเป็น “มิติตัดขาด”
ท่านี้เคยให้ได้ผลกับเฉินหลงเมื่อสามเดือนก่อน เฉินหลงทำได้เพียงหนีไป
ทว่าในตอนนี้ใบหน้าของเฉินหลงแสดงรอยยิ้มที่ไม่ได้ต่างออกไป และเขาก็ยังขุดหา “แร่ทองที่ว่างเปล่า” ต่อ
เมื่อมันโจมตีร่างของเฉินหลงด้วย “มิติตัดขาด” เฉินหลงกลับไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
มันเห็นว่าคราวก่อนมันทำร้ายเขาจนสาหัสได้ แต่ครั้งนี้กลับไม่มีผลอะไร ราชันย์หมีจึงอึ้งไป
อย่างไรก็ตามราชันย์หมีได้ส่งพลัง“มิติตัดขาด”ไปอีกสองสามครั้งในทันที โชคไม่ดีที่ก็ยังไม่มีผลอะไรกับเฉินหลงอยู่
“ เจ้าหมี อย่าได้เสียแรงเปล่าอีกเลย ทำแบบนี้ไม่ได้มีผลอะไรกับฉัน ฉันจะขุดเหมืองก่อนนะ แล้วจะไปเล่นกับแกทีหลัง” เฉินหลงหันหน้าและยิ้มให้กับราชันย์หมี
เมื่อมันเห็นว่ามันไม่อาจจัดการมนุษย์ตรงหน้าได้ ราชันย์หมีไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
มันทำร้ายเขาไม่ได้และไม่อาจจะไล่เขาไปได้ มันจะมองเขาขุดสมบัติมันไปหมดได้อย่างไร
ไม่ ไม่ ไม่แม้แต่จะทำลายได้ มันไม่อาจปล่อยมนุษย์ที่มันเกลียดขโมยสมบัติของมันไปได้
จากนั้นราชันย์หมีพุ่งเข้าไปหาที่ที่ “ทองมิติ” อยู่ มันอยากจะหยุดยั้งการขุดขิงเฉินหลง
เมื่อเขาเห็นว่าราชันย์หมีกำลังเข้ามา เฉินหลงรู้ว่ามันจะทำอย่างไรต่อ พวก “แร่ทองมิติ” นี้ทั้งหมดเป็นสมบัติ แล้วหมีบ้าบอนี่ยังไม่อาจจะทำลายได้อีก
ตอนที่เขาหยิบ “ไม้เท้าแห่งพลัง” ออกมาเฉินหลงพุ่งมันไปยังราชันย์หมี
พลังของ “ไม้เท้าแห่งพลัง” ยังมีจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติบนไม้เท้าด้วย ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เฉินหลงทำให้ราชันย์หมีกลายเป็นดังลูกเบสบอลที่โดนตีให้กระเด็นในถ้ำ
ในทันใดนั้นเฉินหลงก็พุ่งออกไปนอกถ้ำ เพราะว่าหมีตัวนี้อยากจะตาย ก็ควรทำให้มันตาย
แม้ราชันย์หมีจะมีพลัง “ธรรมชาติ” มันยังโดนเฉินหลงทำร้ายได้อยู่ดี มันพ่นเลือดสีทองที่เต็มปากออกมา
ราชันย์หมีฝืนจะก้าวผ่านระดับไปโดยการเปลี่ยนยีนส์ของตนผ่าน “แร่ทองมิติ” แต่ตอนนี้ไม่มีโอกาศแล้ว
อย่างไรเสียพลัง “หลอมรวมธรรมชาติ” ของเฉินหลงได้พัฒนาขึ้นเนื่องจากความพยายามของเขา ดังนั้นแล้วไม้เท้าในครั้งก่อนหน้าที่มีพลังธรรมชาติอยู่ด้วยรวมกับพลังไม้เท้าที่เค้นออกมาโดยตรงสามารถจัดการกับราชันย์หมีได้อย่างง่ายดาย
ราชันย์แห่งเหล่าหมีได้ปกครอง “ภูเขาหมี” มีเพียงมันที่ทำร้ายสิ่งอื่นได้ มีเพียงมันที่ทำให้สัตว์อื่นพิการและฆ่าสัตว์อื่น จะมีวันที่มันจะบาดเจ็บไปได้อย่างไร ไม่ต้องนึกถึงการที่มีมนุษย์มี่มีพลังต่ำกว่าเลย นั่นทำให้มันมองเฉินหลงด้วยสายตาที่ซับซ้อนปะปนตกใจ อีกทั้งยังมีความกลัวและไม่แน่ใจอีกด้วย
เฉินหลงเดินมาหาราชันย์หมี และโดยไม่ได้กล่าวอะไรให้มากความ เขายกไม้เท้าขึ้นและทุบลงไปตรงๆ
จากนั้น เขาก็ขุดเหมืองต่อ
ราชันย์หมีไม่รู้วิธีใช้พลังธรรมชาติเป็นโล่กำบัง สำหรับไม้เท้าของเฉินหลงแล้ว เขาต้องพึ่งพากำลังของตนเพื่อป้องกันมัน อย่างไรก็ตามแต่ ไม่ว่าพลังของร่างมันจะเป็นอย่างไร และพลังการป้องกันของมันจะเป็นอย่างไร มันก็โดนโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวเมื่อเผชิญหน้ากับพลังธรรมชาติ
TB:บทที่ 251 การต่อสู้กับไป่เตียซวนอีกครั้ง
ราชาหมีเหมือนลูกบอลขนาดใหญ่ที่กำลังถูกเฉินหลงใช้ไม้ตีอยู่ เฉินหลงตีราชาหมีด้วยไม้เท้า แทนที่จะไล่มันไปให้พ้นเขากลับสร้างเปลวเพลิงระเบิดใส่ราชาหมีแทน หลังจากที่ราชาหมีลอยขึ้นไปก็ได้มีการระเบิดตามมาและราชาหมีก็ถูกซัดกลับมา และเฉินหลงก็ใช้ไม้ตีโต้กลับไป
ตอนนี้มันเหมือนกับมีคนล่องหนกำลังเล่นปิงปองอยู่กับเฉินหลง อย่างไรก็ตามสถานการ์แบบนี้ยังมีไป่เฉิง (ไป่เชิง)และเฮยเทียนตามมาเห็นอีก ซึ่งก็แอบตามเฉินหลงมาอย่างลับๆด้วย มันช่างน่าสยดสยองจริงๆที่หลอมรวมธรรมชาติจะสู้กับสัตวที่แข็งแกร่งได้เหมือนกับมันเป็นแค่ของเล่น ชายทั้งสองต่างมองกันและกันด้วยสีหน้าและแววตาที่หวาดกลัว
ชายคนนี้เติบโตและพัฒนาเร็วเกินไป มันช่างพิศวงที่นักรบระดับ 7 จะเลื่อนขั้นไปถึงระดับ 9 แล้ว แต่พลังการต่อสู้ที่รวมเข้ากับ อัศวินศักดิ์สิทธิ์แล้วนั้นแข็งแกร่งเกิน ความแข็งแกร่งของสัตว์ร้ายนดินแดนมหัศจรรย์ยังถูกโจมตีจนเหมือนเป็นของเล่นในกำมือของเขา ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นยังไงหากได้สู้กับเขา
ตอนนี้ พวกเขาทั้งสองรู้แล้วว่าไม่มีความสามารถมากพอที่จะต่อสู้กับเฉินหลงได้
ดังนั้น ไป่เฉิงก็หยิบหยกชิ้นหนึ่งขึ้นมาและพูดใส่มัน หยกเขียวมรกตชิ้นนี้ได้ถูกวิหารศักดิ์สิทธิ์ถ่ายทอดข้อมูลไปเรียกว่า หินสื่อสาร ซึ่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้เอาไว้ใช้เพื่อความสะดวกในการติดต่อสื่อสารกับนักบุญที่ออกไปข้างนอก ในไม่ช้าข้อความของไป่เฉิงก็ถูกส่งไปถึงวิหาร
ผู้อาวุโสที่ตอนนี้ผิวหนังเริ่มเหี่ยวหย่นและเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองตามกาลเวลาต้องตะลึงเมื่อได้เห็นข้อความที่ว่าพลังของเฉินหลงที่มาถึงขอบเขตหลิมรวมธรรมชาติแล้ว เขาสู้กับสัตว์ร้ายในภูเขาแสนลูกเหมือนกับมันเป็นแค่ของเล่น ลูกหลานที่พระเจ้าได้สรรสร้างขึ้นมานั้นช่างแข็งแกร่งจริงๆ
หลังจากนั้นก็ได้มีข้อความส่งมาหาไป่เฉิงว่าให้นำตัวเฉินหลงกลับมาด้วย
“ท่านผู้อาวุโสให้พวกเราเอาตัวเฉินหลงกลับไปที่วิหาร” ไป่เฉิงได้นำข้อความที่ถูกส่งมาไปบอกกับเฮยเทียน
เฮยเทียนก็รู้สึกประหลาดใจไปด้วยเมื่อได้ยินคำพูดของไป่เฉิง แต่ก็รู้สึกโล่งอกในทันที อย่างไรก็ตามเฉินหลงนั้นก็แข็งแกร่งมากและต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับท่านเทพแน่ มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องนำตัวเขากลับไปที่วิหาร
ยังไงทั้งไป่เฉิงและเฮยเทียนก็ลงมาจากท้องฟ้าทันที
เฉินหลงรู้สึกชายสองคนที่น่ารำคาญกำลังกลับมาหาเขาอีกครั้ง เฉินหลงไม่ต้องการที่จะเล่นกับราชาหมีตัวนี้แล้ว ระเบิดไฟเพลิงหลายร้อยอันปรากฏขึ้นมาฉับพลัน จากนั้นก็ระเบิดขึ้นพร้อมๆกันและมันได้ฆ่าราชาหมีในทันที
หลังจากที่ราชาหมีตายแล้วแต่หนังของมันยังไม่บุสลาย เฉินหลงจึงโยนร่างหมีเข้าไปเก็บในแหวนมิติของเขา จากนั้นเขาก็พบกับชายสองคนกำลังลงมาจากฟ้า
“โถ่ มันจะอะไรกันหนักหนา? ฉันก็เหาะได้นะ” เมื่อมองไปที่เขาทั้งสองโดยเฉพาะไป่เฉิง เฉินหลงก็รู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก
หลังจากที่พวกเขาลงมา เฉินหลงก็พูดถามไปอย่างไม่สุภาพตรงๆว่า
“พวกเจ้าสองคนกำลังจะทำอะไร?”
“เอ่อ ท่านผู้อาวุโสแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์อยากจะให้ท่านกลับไปที่วิหารกับพวกเรา” แม้ว่าเฉินหลงจะพูดหยาบคาย แต่ไป่เฉิงก็ยังคงยิ้มให้เขา
ไม่ว่าจะด้วยเหตุที่ท่านอาวุโสสนใจในตัวเฉินหลงหรืออาจจะเป็นความแข็งแกร่งของเขา ไป่เฉิงทำได้เพียงยิ้มทักทายเขาเท่านั้น
“วิหารศักดิ์สิทธิ์? ท่านผู้อาวุโส? พวกเขาต้องการอะไรจากข้า?”เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
วิหารศักดิ์สิทธิ์อาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้กลับสู่โลกเดิม แต่พลังของเฉินหลงตอนนี้กำลังอ่อนแอ หากเขาสามารถอัพเกรดร่างอมตะให้สูงขึ้นกว่านี้ได้ เขาก็คงไม่มีทางที่จะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้
“เอ่อ ข้าไม่รู้” ไป่เฉิงส่ายหัว
เฉินหลงเห็นว่าไป่เฉิงไม่ได้โกหก หลังจากที่ไตร่ตรองได้สักพัก เขาก็พูดขึ้นมาว่า
“ตอนนี้ข้ามีบางอย่างที่ต้องทำ ถ้าจัดการเรื่องเสร็จแล้ว ข้าจะไปที่วิหารเอง”
“ข้าไม่สามารถตัดสินเรื่องนี้แทนท่านอาวุโสได้ ข้าต้องบอกเรื่องนี้กับเขาด้วย” พูดจบ ไป่เฉิงก็หยิบเอาหินสื่อสารออกมาแล้วติอต่อไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์
ในไม่ช้าไป่เฉิงก็ได้รับคำตอบจากวิหารศักดิ์สิทธิ์
“ท่านเทพ นี่คือหินสื่อสาร เมื่อท่านเสร็จธุระของท่านแล้ว ท่านสามารถส่งข้อความผ่านหินนี่ไปยังวิหารศักดิ์ได้ แล้ววิหารจะส่งคนมารับท่าน” ไป่เฉิงยื่นหินสื่อสารให้กับเฉินหลงและได้บอกวิธีใช้งานมัน
เมื่อครู่ ไป่เฉิงได้รับข้อความจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ ทางวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้บอกถึงตัวตนของเฉินหลงว่าเขาเป็นท่านเทพและได้ขอให้เพวกขายุติภาระกิจการอารักขาในครั้งนี้ จากนั้นทางวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้ขอให้นำหินสื่อสารให้กับเฉินหลง จากนั้นก็บอกให้พวกเขาทั้งสองคนกลับมายังวิหาร
“ตกลง เข้าใจละ” เฉินหลงพยักหน้าและรับเอาหินสื่อสารมา
“งั้น พวกเรากลับก่อนนะ” พูดจบ ไป่เฉิงก็บอกให้เฮยเทียนมอบของขวัญชิ้นใหญ่กับเฉินหลงจากนั้นค่อยจากไป
เมื่อเห็นว่าชายทั้งสองจากไปแล้ว เฉินหลงก็กลับไปที่ถ้ำของหมีอีกครั้งเพื่อที่จะไปขุดทองมิติในถ้ำต่อ
สามวันผ่านไป ในที่สุดเฉินหลงก็ออกมาจากถ้ำและทองมิติก็ถูกเฉินหลงขุดออกมาจนหมด
หลังจากที่ออกมาจากถ้ำแล้ว เฉินหลงก็ออกจากเขาแสนลูก และได้เหาะไปยังภูเขาอีกลูก ที่นั้นมีชายคนหนึ่งที่เฉินหลงต้องการที่จะกำจัดออกไปโดยเร็วอยู่ เขาคือ
ไป่เตียซวน
ตอนที่ไป่เตียซวนถูกร้ายเฉินหลงทำร้ายจนบาดเจ็บ เฉินหลงได้นำยุงติดตามติดไปที่ร่างของไป่เตียซวนด้วย ดังนั้น ไม่ว่าเขาจะหนีไปจนถึงขอบโลก เขาก็ไม่มีทางหนีหลุดไปจากเงื้อมมือของเฉินหลงได้
หลังจากที่ผ่านไปสองวัน เฉินหลงก็ได้มาถึงหุบเขาที่ไป่เตียซวนอยู่
มีสัตว์แปลกประหลาดอาศัยอยู่ในหุบเขานี้ซึ่งส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นจำพวกงู ซึ่งงูพวกนี้ได้ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำและรวมถึงตัวของไป่เตียซวนด้วย
ตอนนี้อาการบาดเจ็บของไป่เตียซวนนั้นดีขึ้นมากแล้ว แต่เขาก็คิดได้ว่าตอนนี้ตนตกเป็นเป้าของวิหารศักดิ์สิทธิ์แล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาและไม่กล้าแสดงตัว
เมื่อเฉินหลงได้มาถึงหุบเขาที่ไป่เตียซวนซ่อนตัวอยู่ เขาได้เคาะไปที่ก้อนหินยักษ์อย่างแรง หินยักษ์ก้อนนั้นมีช่องที่ถูกปิดอยู่และไม่สามารถมองเข้าไปข้างในได้ เฉินหลงจึงพูดขึ้นว่า
“ไม่ต้องซ่อนอีกต่อไปแล้ว ข้าเจอเจ้าแล้ว” ไป่เตียซวนที่ตอนนี้อยู่ในถ้ำ เมื่อเขาได้ยินเสียงของเฉินหลง ร่างกายของเขาก็ถึงกับอ่อนแรงลงและสีหน้าก็แสดงออกทั้งหวาดกลัวทั้งตกใจ
“เป็นไปได้ยัง? ข้าซ่อนอยู่ที่นี่ เขาจะหาข้าเจอได้ยังไง?”
“ไม่ต้องหลบอยู่ข้างในแล้ว ข้ารู้ว่าแกอยู่ในนั้น ข้ามาคนเดียว” เฉินหลงพูดต่อ
ตอนนี้ ไป่เตียซวนมั่นใจแล้วว่าเฉินหลงรู้แล้วว่าเขาหลบอยู่ข้างใน ไม่ว่าเขาจะพูดจริงหรือหลอก เขาก็ต้องออกไปเผชิญหน้ากับเฉินหลงแล้ว
จากนั้น ไป่เตียซวนก็ไม่ซ่อนตัวอีกต่อไปแล้ว เขาวิ่งออกมจากถ้ำและมาอยู่ตรงหน้าเฉินหลง
“เจ้านี่มีความสามารถมาก ที่หาข้าเจอ แล้วยังกล้ามาหาข้าคนเดียวอีก” ไป่เตียซวนใช้เวลาถึงสี่สัปดาห์ในการซ่อนตัวและก็ไม่มีคนจากวิหารหาตัวเขาพบเลยสักคน เขามองไปที่เฉินหลงอย่างประหลาดใจ
“ข้าจะไม่ปล่อยให้คนอื่นมายุ่งเรื่องข้องใจระหว่างเรา” เฉินหลงมองไปที่ไปเตียซวนอย่างเยือกเย็น
“ใช่หรอ? ถ้าแกอยากจะตายนัก งั้นแกก็ตายซะ” ไป่เตียซวนพูดจบ เขาก็ซัดหมัดไปที่หัวของเฉินหลง
“ไอ้เวรเอ้ย!” เฉินหลงยกแขนขึ้นบัดหมัดของไป่เตียซวน
“แก…”
เมื่อเห็นว่าเฉินหลงไม่ได้รับผลกระทบจากหมัดพลังธรรมชาติ ไป่เตียซวนจึงรีบชักหมัดกลับอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถอยออกมาเพื่อเปิดช่องว่างระหว่างเฉินหลง เขามองเฉินหลงอย่างประหลาดใจ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น