พันธกานต์ปราณอัคคี 244-250

ตอนที่ 244 ความปรารถนาที่ไม่สมหวัง

 

พูดถึงตรงนี้ผู้ชายหยุดลง ถอนใจเบาๆ แล้วถึงเอ่ยว่า “สหายน้อยทั้งสอง พวกเจ้าว่าระหว่างสามีภรรยาสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดคือสิ่งใด?”


 


 


มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงนิ่งเงียบ พวกเขายังไม่มีคู่บำเพ็ญเพียรทั้งคู่ ต่อให้รู้หลักการมากมายแต่ไม่ได้สัมผัสรสชาติในนั้นด้วยตนเอง ต่อหน้าผู้อาวุโสเช่นนี้กลับไม่มีคุณสมบัติพูดอะไรได้


 


 


ผู้ชายก็ดูเหมือนไม่ได้อยากฟังคำตอบ พูดเองเออเองต่อไปว่า “ข้าและหนิงเอ๋อร์ยามที่เพิ่งแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน เวลานั้นอายุน้อยหุนหันพลันแล่น คิดว่าระหว่างสามีภรรยาสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดก็คือการรักกันอย่างจริงใจ โดยที่มิใช่เพื่อการบำเพ็ญเพียร เพื่อกลายเป็นเซียนถึงบำเพ็ญเพียรคู่ ยิ่งกว่านั้นชีวิตต่อจากนั้นก็คิดเช่นนี้เสมอมา จนกระทั่งเรื่องนี้พัฒนามาถึงขั้นที่หวนกลับคืนไม่ได้ ถึงในที่สุดก็เข้าใจ ระหว่างสามีภรรยาสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดคือความเชื่อใจ!”


 


 


พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง ต่างนึกขึ้นอย่างไม่รู้ตัวถึงการทดสอบต่อพวกเขาสองคนที่แปลงเป็นหญิงสาวหน้าตาเหมือนวุนหนิง


 


 


“หนิงเอ๋อร์เป็นหญิงสาวทระนงที่ไม่มีใครเทียบได้ ต่อให้ข้าไม่ได้แสดงอะไรออกมา ทว่าอาจเพราะความสงสัยแวบหนึ่งที่แสดงออกมาในแววตาในชั่วพริบตาที่พบหน้ากันทิ่มแทงให้นางเจ็บปวด ไม่คิดเลยว่านางจะเย็นชาต่อข้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ส่วนข้าเดิมทีก็เกิดสงสัยอยู่แล้ว อีกทั้งพบว่าสามีภรรยาไม่พบกันสิบกว่าปีนางกลับปฏิบัติอย่างเย็นชากับข้าเช่นนี้ จิตใจจึงยิ่งว้าวุ่นขึ้น ก็เป็นเช่นนี้จนถึงต่อมา ไม่คิดว่านางจะจากไปโดยไม่ร่ำลาแล้ว” ผู้ชายพูดถึงตรงนี้น้ำเสียงโศกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก


 


 


ความผูกพันของสามีภรรยานับพันปี สู้ความสงสัยแวบนั้นในแววตาไม่ได้ มั่วชิงเฉินแอบรำพึงรำพัน แล้วอดถามไม่ได้ว่า “ท่านผู้อาวุโส หรือว่าเวลานั้นท่านก็ไม่ได้นึกถึงครรภ์หลบเลยหรือเจ้าคะ?”


 


 


ผู้ชายมองไปที่มั่วชิงเฉิน รอยยิ้มจางๆ ดังลมเย็นพัดผ่าน สง่างามไร้ผู้เทียมทาน “สหายน้อยทั้งสองเคยได้ยินครรภ์หลบมาก่อนหรือไม่?”


 


 


พวกมั่วชิงเฉินสองคนส่ายศีรษะ


 


 


“สหายน้อยทั้งสองคิดว่าบัดนี้ยังไม่มีคู่ครอง สำหรับเรื่องนี้ย่อมต้องไม่รู้เป็นธรรมดาอยู่แล้วใช่หรือไม่?” ผู้ชายอมยิ้มถาม


 


 


มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงสบตากันปราดหนึ่ง แล้วเบือนหน้าไปพร้อมกัน


 


 


ผู้ชายกลับนึกว่าทั้งสองคนพึงใจต่อกัน เพียงแต่ถูกคนนอกพูดออกมาจึงเกิดเขินอาย จึงเอ่ยต่อว่า “อันว่าครรภ์หลบ แม้มีมาแต่โบราณกลับหายากยิ่งนัก ดังนั้นอย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย ต่อให้เป็นข้าที่แต่งงานเกือบพันปีสำหรับการนี้ก็รู้น้อยนัก ยามนั้นในชั่วขณะที่เห็นหนิงเอ๋อร์ตั้งครรภ์ยิ่งไม่ได้คิดไปในแง่นั้น จนกระทั่งหนิงเอ๋อร์จากไปด้วยความโมโหข้าตามหาไปทั่ว ถึงได้นึกถึงข้อนี้ด้วยโอกาสบังเอิญครั้งหนึ่ง น่าเสียดายในยามนั้น กลับหาร่องรอยของหนิงเอ๋อร์ไม่พบแล้ว”


 


 


ผู้ชายพูดจบก็นิ่งเงียบขึ้นมา


 


 


“ท่านผู้อาวุโส เช่นนั้นต่อมาท่านมาถึงหุบเขาไร้วิญญาณนี่ได้อย่างไรกัน เพราะตามหาภรรยาของท่านหรือเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินถามเสียงเบา ในใจกลับแอบปั่นป่วน


 


 


สถานที่ที่หุบเขาไร้วิญญาณตั้งอยู่นี้อยู่ไม่ไกลจากเมืองลั่วหยาง ส่วนมารดาของร่างกายตนเองนี้ถือกำเนิดในหมู่บ้านเล็กๆ ห่างจากเมืองลั่วหยางไม่ถึงพันลี้ ระยะพันลี้ในสายตาคนธรรมดาดูเหมือนไกลจนเอื้อมไม่ถึง ทว่าในสายตาผู้บำเพ็ญเพียรกลับไม่เท่าไร กระทั่งพูดได้ว่านี่ก็คือสถานที่เดียวกันแล้ว!


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็สามารถสันนิษฐานได้ว่าปีนั้นวุนหนิงตั้งครรภ์แล้วหลบมาถึงที่นี่ตามคาด จากนั้นให้กำเนิดทายาทที่นี่ หรือก็คือบรรพบุรุษของมารดาตนเองใช่หรือไม่?


 


 


ผู้ชายมองมั่วชิงเฉินแล้วพยักหน้าช้าๆ “สหายน้อยเดาได้ถูกต้อง ข้ามาถึงที่นี่ก็เพราะสืบได้ว่าหนิงเอ๋อร์เคยพักอยู่ที่นี่ น่าเสียดายที่สถานที่ที่ข้าอยู่ไกลจากที่นี่จนเอื้อมไม่ถึง รอยามที่ข้าหามาถึงที่นี่ก็หาร่องรอยของหนิงเอ๋อร์ไม่พบอีกแล้ว”


 


 


เพิ่งสิ้นเสียง จู่ๆ หลัวอวี้เฉิงก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านผู้อาวุโสเป็นเจินจวินระดับก่อกำเนิด ต่อให้อยู่ดินแดนอื่นนอกจากดินแดนเทียนหยวน ก็ไม่นับว่าไกลจากที่นี่จนเอื้อมไม่ถึงกระมัง?”


 


 


ผู้ชายยิ้มว่า “สหายน้อยคิดว่าสถานที่ที่ห่างไกลจากที่นี่ที่สุดคือที่ใด?”


 


 


หลัวอวี้เฉิงเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ทวีปแห่งเทพแบ่งเป็นห้า สถานที่นี้นับเป็นสถานที่ตัดกันของดินแดนเทียนหยวนและดินแดนไท่ไป๋ หากพูดถึงสถานที่ที่ห่างจากที่นี่ที่สุด เช่นนั้นย่อมต้องเป็นดินแดนแห่งสิบทวีปภาคตะวันออก” พูดถึงตรงนี้น้ำเสียงเปลี่ยนว่า “ทว่าฟ้าดินกว้างใหญ่หาใช่สิ่งที่เราจะตัดสินได้ไม่ ไม่แน่นอกทวีปแห่งเทพยังมีฟ้าดินที่อื่นอีกก็ไม่อาจรู้ได้”


 


 


ผู้ชายในตาฉายแววชื่นชมว่า “สหายน้อยฉลาดจริงๆ ข้ามาจากจงหลาง”


 


 


“จงหลาง?” มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงพึมพำขึ้นพร้อมกัน


 


 


“จงหลางและทวีปแห่งเทพห่างกันไกลนัก ไกลถึงขนาดต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหากอาศัยเพียงสมบัติวิเศษเหินหาวหรือเหินมาด้วยตนเองคิดจะมาถึงที่นี่เกรงว่าก็ต้องใช้เวลาทั้งชีวิต ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรในจงหลางที่รู้ว่ายังมีทวีปแห่งเทพจึงมีไม่กี่คน ปีนั้นข้าตามหาภรรยาอย่างยากลำบากไม่เป็นผล ก็เพราะคาดไม่ถึงว่านางจะตัดใจมาถึงทวีปแห่งเทพได้ลงคอ ไม่คิดว่านางกะจะไม่พบข้าชั่วชีวิตแล้ว” ผู้ชายพูดถึงตรงนี้ความเจ็บปวดสายหนึ่งวาบผ่านใบหน้า


 


 


มั่วชิงเฉินฟังแล้วแอบถอนใจ หญิงที่ชื่อวุนหนิงผู้นั้นงามเหนือมนุษย์ อีกทั้งยังบำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อกำเนิดได้อย่างราบรื่น ดูท่าตั้งแต่เล็กจนโตต้องได้รับการเอาอกเอาใจรักใคร่จากคนนับไม่ถ้วนเป็นแน่ จนมีนิสัยดื้อรั้นเย่อหยิ่งทระนงก็เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อน้อยใจสามีจึงกระทำการเช่นนี้ก็ไม่แปลก น่าเสียดายกลับทำลายบุพเพหนึ่งชาติของสามีภรรยาไป เรื่องนี้ใครถูกใครผิดก็พูดยากแล้ว


 


 


“ท่านผู้อาวุโสสามารถมาถึงทวีปแห่งเทพ เพราะผ่านค่ายเคลื่อนย้ายโบราณใช่หรือไม่?” หลัวอวี้เฉิงถามนิ่งเรียบ


 


 


ผู้ชายยิ้มว่า “สหายน้อยความรู้กว้างขวาง ถูกต้อง ข้ามาถึงที่แห่งนี้ได้ก็เพราะอาศัยค่ายเคลื่อนย้ายโบราณ ปีนั้นข้ารู้ว่าหนิงเอ๋อร์มาที่นี่ จึงขอร้องศิษย์พี่ใหญ่อนุญาตให้ข้าเคลื่อนค่ายเคลื่อนย้ายโบราณ น่าเสียดายจงหลางห่างไกลจากทวีปแห่งเทพมากเหลือเกิน ต่อให้ข้าอาศัยค่ายเคลื่อนย้ายโบราณมาถึงทวีปแห่งเทพก็ยังคงใช้เวลาไปสิบกว่าปี มาถึงทวีปแห่งเทพ ข้าเดินทางไปทั่วสุดหล้าฟ้าเขียว ในที่สุดก็ได้เบาะแสบางอย่างจึงหามาถึงที่นี่ น่าเสียดายยังคงหาเงาของหนิงเอ๋อร์ไม่พบ อีกทั้งโชคไม่ดีตกลงมาในหุบเขาไร้วิญญาณนี้อีก”


 


 


“ใจในการตามหาภรรยาของท่านผู้อาวุโส น่าเลื่อมใสนัก” มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงเบา


 


 


ผู้ชายยิ้มอย่างจำใจอยู่บ้างว่า “เรื่องราวในโลก บางทีกลับไม่ใช่อาศัยเพียงใจที่เข้มแข็งดวงเดียวก็สามารถสำเร็จได้ ส่วนใหญ่ยังต้องการโชคส่วนหนึ่งด้วย ข้าตกลงมาในหุบเขาไร้วิญญาณนี้ ในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดกลับสูญเสียสิ่งพึ่งพิงทุกอย่างไปจนหมด ตลอดหลายร้อยปีคิดมาทุกวิธีก็ออกไปไม่ได้ ในที่สุดก็หมดอายุขัยลงเมื่อสามร้อยปีก่อน เหลือเพียงจิตตระหนักสายนี้รอคอยผู้มีวาสนามาทำความปรารถนาของเข้าให้เป็นจริงต่อไป”


 


 


“ไม่ทราบท่านผู้อาวุโสมีความปรารถนาใดที่ยังไม่สมหวัง?” แม้มั่วชิงเฉินรู้ว่าความปรารถนาของเขาต้องไม่หลุดจากวุนหนิงเป็นแน่ แต่ยังคงถามออกมา


 


 


ผู้ชายกวาดสายตาผ่านใบหน้าของพวกมั่วชิงเฉินสองคนช้าๆ เอ่ยว่า “แม้ข้ามีเบาะแสรู้ว่าหนิงเอ๋อร์มาถึงที่นี่ ทว่าเมื่อไม่ได้พบนางอย่างไรก็ยากจะแน่ใจ ดังนั้นความปรารถนาข้อแรกของข้า ก็คือหวังว่าหลังจากสหายน้อยสองท่านออกจากหุบเขาไร้วิญญาณแล้วจะตามหาที่อยู่ของภรรยาเพื่อข้าได้”


 


 


“ท่านผู้อาวุโสอยู่ที่นี่มาเกือบพันปีก็หาทางออกไม่ได้ สุดท้ายจากโลกนี้ไปด้วยความเสียใจ แล้วจะแน่ใจได้เช่นไรว่าพวกเราสองคนสามารถออกไปได้?” หลัวอวี้เฉินถามขึ้นทันที ในใจกลับคาดการณ์ว่าชายผู้นี้ต้องมีวิธีออกไปเป็นแน่


 


 


แล้วก็ได้ยินชายผู้นี้เอ่ยขึ้นตามคาดว่า “เมื่อครู่ข้าก็พูดแล้ว ที่ข้าขาดก็คือโชคส่วนหนึ่ง ยามที่ข้าเหลืออายุขัยไม่มาก กลับได้วิธีออกจากหุบเขาไร้วิญญาณอย่างไม่คาดคิด น่าเสียดายยามนั้นอาศัยเพียงร่างกายข้าก็ไม่อาจทำอะไรได้แล้ว ดังนั้นขอเพียงสหายน้อยทั้งสองรับปากว่าจะช่วยข้าตามหาที่อยู่ของภรรยา ข้าก็จะบอกวิธีออกจากที่นี่ให้พวกเจ้า”


 


 


“ข้อนี้พวกเราย่อมรับปากอยู่แล้ว ขอให้ท่านผู้อาวุโสพูดต่อขอรับ” หลัวอวี้เฉิงเอ่ย


 


 


“หากพวกเจ้าสามารถตามหาที่อยู่ของวุนหนิงจนพบ เกรงว่านางก็ไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ความปรารถนาข้อที่สองของข้า ก็คือหวังให้พวกเจ้าดูสักหน่อยว่าวุนหนิงได้ทิ้งทายาทไว้หรือไม่ หากยังมีทายาทอยู่ในโลกนี้ ก็ทดสอบสักหน่อยว่าพวกเขามีรากวิญญาณหรือไม่ หากมีรากวิญญาณละก็ ถ่ายทอดวิชายุทธ์ชุดนี้ให้เขา ก็ไม่จำเป็นต้องชี้แนะเป็นพิเศษ ทุกอย่างปล่อยไปตามธรรมชาติเถอะ” ผู้ชายพูดพลางสะบัดแขนเสื้อในทันใด ม้วนคัมภีร์หยกสองม้วนก็บินไปหาทั้งสองคน


 


 


เห็นทั้งสองคนรับม้วนคัมภีร์หยกไว้ ผู้ชายเอ่ยต่อว่า “ม้วนคัมภีร์หยกสองม้วนนี้ ม้วนหนึ่งข้างในบันทึกความรู้ทั่วไปในการบำเพ็ญเพียรและเรื่องราวของพวกเราบางส่วน อีกม้วนหนึ่งข้างในสลักวิชายุทธ์ไว้ชุดหนึ่ง เนื่องจากไม่รู้คุณลักษณะของรากวิญญาณของทายาทวิชายุทธ์นี้จึงไม่แยกตามห้าธาตุ ด้วยเหตุนี้แม้เป็นวิชายุทธ์ชั้นยอดความเร็วในการบำเพ็ญเพียรกลับเร็วสู้วิชายุทธ์ในระดับเดียวกันไม่ได้ หากสหายน้อยสองท่านตามทายาทของข้าไม่พบ ก็จัดการตามอำเภอใจได้”


 


 


“ผู้น้อยจะพยายามสุดความสามารถแน่นอน” พวกมั่วชิงเฉินสองคนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน


 


 


ในตาผู้ชายวาบแววยิ้มพาดผ่าน แล้วเอ่ยต่อว่า “สำหรับความปรารถนาข้อที่สาม… หากเป็นไปได้ หวังว่าพวกเจ้าจะนำศพของข้าและภรรยากลับจงหลางไปได้”


 


 


“อะไรนะ?” พวกมั่วชิงเฉินสองคนตกใจ


 


 


ผู้ชายยิ้มว่า “สหายน้อยทั้งสองไม่ต้องตกใจ แสงที่ข้าซัดเข้าหว่างคิ้วพวกเจ้าก่อนหน้านี้คือความคิดสายหนึ่ง ความปรารถนาสองข้อแรกหากพวกเจ้าไม่พยายามทำให้เต็มที่กลับต้องลำบากเล็กน้อย แน่นอนขอเพียงทั้งสองท่านทำสุดกำลังแล้ว ต่อให้หาที่อยู่ของภรรยาข้าไม่พบ ข้าก็ไม่ทำให้พวกเจ้าต้องลำบากใจ ส่วนความปรารถนาข้อที่สาม ก็แล้วแต่ความเต็มใจของพวกเจ้าแล้ว”


 


 


พวกมั่วชิงเฉินสองคนโล่งอก


 


 


“ทว่า ข้าไม่จำกัดเวลา ขอเพียงพวกเจ้ารับปากว่าต่อไปหากมีโอกาสละก็จะไปจงหลางสักครา เช่นนั้นข้าก็จะมอบวิชาฝึกจิตตระหนักชุดหนึ่งและสมบัติวิเศษติดตัวให้พวกเจ้าสองคน ยามเดียวกันก็มอบวิชาบำเพ็ญเพียรคู่ให้สหายน้อยทั้งสองชุดหนึ่งด้วย สองท่านว่าเป็นเช่นไร?” ผู้ชายถามอย่างอ่อนโยน


 


 


หลัวอวี้เฉิงมองไปที่มั่วชิงเฉินอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม มั่วชิงเฉินสีหน้าแดงเรื่อย ถลึงตาใส่เขาอย่างดุดันปราดหนึ่ง


 


 


“ท่านผู้อาวุโส เรื่องนี้เกรงว่าพวกเราต้องปรึกษากันสักหน่อย” หลัวอวี้เฉิงเอ่ย


 


 


“แน่นอน” ผู้ชายพูดพลางหันหลังไป


 


 


“สหายเต๋ามั่ว คำขอสองข้อแรกเราไม่มีทางเลือกอยู่แล้ว คำขอข้อที่สามนี่ เจ้าคิดจะเอาเช่นไร?”


 


 


มั่วชิงเฉินคิดอย่างรอบคอบแล้ว ตอบว่า “ข้ารู้สึกว่ารับปากก็ใช่ว่าไม่ได้ ไหนๆ ก็ไม่ได้จำกัดเวลาของพวกเรา ต่อไปหากเราก่อแก่นปราณหรือกระทั่งก่อกำเนิด ไปเปิดหูเปิดตาที่จงหลางสักครั้งกลับมีประโยชน์ใหญ่หลวง”


 


 


ความคิดของหลัวอวี้เฉิงและมั่วชิงเฉินไม่ต่างกันเท่าไร ทั้งสองคนความเห็นเป็นเอกฉันท์ จึงเอ่ยว่า “ท่านผู้อาวุโส พวกเราสองคนยอมรับปาก”


 


 


ผู้ชายหันกลับมา สีหน้าปีติว่า “เช่นนั้นก็ขอขอบคุณสหายน้อยทั้งสองแล้ว” พูดพลางในมือมีคัมภีร์หยกเพิ่มมาสองม้วนและกระบี่เล็กๆ สีขาวเล่มหนึ่ง


 


 


“สิ่งที่บันทึกในม้วนคัมภีร์หยกสีขาวนี้ก็คือวิชาฝึกจิตตระหนัก ข้าเห็นสหายน้อยท่านนี้พรสวรรค์ด้านจิตตระหนักโดดเด่น ม้วนคัมภีร์หยกนี้ก็ขอมอบให้สหายน้อยเถอะนะ” พูดพลางม้วนคัมภีร์หยกบินไปหามั่วชิงเฉิน


 


 


ผู้ชายดีดกระบี่เล็กสีขาวเบาๆ ยกมือขวาขึ้นแล้วพันกระบี่เล็กไว้บนข้อมือตน จากนั้นสะบัดข้อมือกระบี่ยาวหลุดร่วงออกมาอย่างคล่องแคล่วบินไปหาหลัวอวี้เฉิง “กระบี่รอบนิ้วนี้แม้ไม่ใช่สมบัติวิเศษเจ้าชะตาของข้า กลับเป็นกระบี่อ่อนที่หาได้ยากในบรรดาสมบัติวิเศษประเภทกระบี่ ข้าถึงระดับก่อกำเนิดแล้วยังคงใช้อยู่ รอสหายน้อยเจ้าก่อแก่นทอง คิดว่ากระบี่รอบนิ้วนี้ก็จะช่วยเจ้าได้อีกแรงหนึ่ง”


 


 


จากนั้นผู้ชายยกมือขึ้น ม้วนคัมภีร์หยกสีมรกตอีกม้วนหนึ่งก็บินไปหาหลัวอวี้เฉิง มุมปากอมยิ้มว่า “ม้วนคัมภีร์หยกนี้ ถือว่าข้ามอบให้สหายน้อยทั้งสองเป็นการอวยพรล่วงหน้าก็แล้วกัน” 

 

 


ตอนที่ 245 วิธีออกจากหุบเขา

 

มั่วชิงเฉินแอบกระตุกมุมปาก หลัวอวี้เฉิงกลับเก็บม้วนคัมภีร์หยกเข้าในอกอย่างไม่รู้สึกรู้สา แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณของขวัญล้ำค่าของท่านผู้อาวุโสขอรับ”


 


 


ผู้ชายยิ้มนิ่งเรียบว่า “บัดนี้ข้าจะบอกวิธีออกจากหุบเขาและข้อมูลของค่ายเคลื่อนย้ายโบราณบางส่วนให้พวกเจ้า พวกเจ้านั่งลง ตั้งใจฟังให้ดี”


 


 


มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงนั่งขัดสมาธิลงมาพร้อมกัน


 


 


แล้วก็ได้ยินผู้ชายเอ่ยว่า “พวกเจ้ามาถึงหุบเขาไร้วิญญาณนี่ คิดว่าคงตกลงมาในทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์สินะ?”


 


 


พวกมั่วชิงเฉินสองคนพยักหน้าพร้อมกัน


 


 


“ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์นั่น เป็นสถานที่ที่ข้าสั่งให้ชาวบ้านในหุบเขานี้รักษาไว้ให้ดีก่อนดับขันธ์โดนเฉพาะ คิดว่าพวกเจ้าตกลงไปในทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ คงลำบากมาไม่น้อยสินะ?” ผู้ชายยิ้มพูดอย่างอ่อนโยน


 


 


พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างขมขื่น


 


 


ผู้ชายเอ่ยต่อว่า “ข้าถูกกักอยู่ในหุบเขาไร้วิญญาณนี่มาเกือบพันปีกลับหาทางออกจากหุบเขาไม่เจอ มีเพียงหน้าผาที่ลื่นชันที่หนึ่งทางด้านตะวันตกของหุบเขา หากจะพูดว่าเป็นทางออกเพียงหนึ่งเดียว เกรงว่าก็คงจะเป็นที่นี่แล้ว เพียงแต่น่าเสียดายในหุบเขานี้ไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรคนไหนก็ไม่อาจใช้คาถาได้ ต่อให้ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดร่างกายสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ กลับไม่อาจออกห่างจากการค้ำจุนของปราณวิญญาณจากฟ้าดินได้ ทุกครั้งที่แหงนมองหน้าผา ก็ได้เพียงปลงอนิจจังเท่านั้น อาจเพราะโชคชะตากลั่นแกล้ง ในปีที่ข้าอายุขัยใกล้สิ้นนั่นเอง กลับพบหญ้าเซียนต้นหนึ่งในซอกหินใต้ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์!”


 


 


“หญ้าเซียน?” มั่วชิงเฉินอุทานออกเสียง นางค้นคว้าทางแห่งการหลอมโอสถมาตั้งแต่เยาว์วัย รู้เรื่องสมุนไพรหญ้าทิพย์พวกนี้มากกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปมาก


 


 


ผู้ชายมองมาที่มั่วชิงเฉินว่า “สหายน้อยก็รู้จักหญ้าเซียนเช่นนั้นหรือ?”


 


 


มั่วชิงเฉินอมยิ้มพยักหน้าว่า “หญ้าเซียนหายากยิ่งนัก พูดได้ว่าเป็นหญ้าทิพย์ที่อยู่ในตำนาน ไม่ กระทั่งพูดได้ว่าเป็นหญ้าของเซียนชนิดหนึ่งก็ไม่เกินไป ผู้น้อยเคยเห็นการบรรยายเกี่ยวกับหญ้าเซียนท่อนหนึ่งในม้วนคัมภีร์หยกม้วนหนึ่งโดยบังเอิญ ว่าเมล็ดของหญ้าเซียนห้าร้อยปีถึงโผล่พ้นดิน ภายในร้อยปีโตขึ้นออกผลไม้เซียน คนทั่วไปหากโชคดีได้กินผลไม้เซียน ก็จะตัวเบาดังปักษา พลิ้วไหวเหมือนบินได้ ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรที่ผ่านการบำเพ็ญเพียรมาก่อนหากกินผลไม้เซียนเข้าไป เช่นนั้นก็สามารถเหาะเหินเดินอากาศ ได้สัมผัสอิทธิฤทธิ์ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดล่วงหน้า”


 


 


“สหายน้อยสามารถกล่าวประสิทธิภาพประโยชน์ใช้สอยทีละอย่างๆ ของหญ้าทิพย์เช่นหญ้าเซียนนี้ได้ ก็หาได้ยากแล้ว คิดว่าสหายน้อยคงเชี่ยวชาญทางแห่งการหลอมโอสถทีเดียวสินะ?” ผู้ชายพูดพลางเหลือบหลัวอวี้เฉิงปราดหนึ่ง ใจคิดว่าสหายน้อยสองคนนี้ก็เป็นคนงามที่เหมาะสมกันดังกิ่งทองใบหยกคู่หนึ่ง ต้องเป็นคนที่โดดเด่นในรุ่นเดียวกันแน่นอน ก็เหมือนเขาและหนิงเอ๋อร์ในยามนั้น…นึกถึงตรงนี้กลับรู้สึกเศร้าใจอีก


 


 


มั่วชิงเฉินถ่อมตนว่า “ท่านผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว ผู้น้อยเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน จะเรียกว่าเชี่ยวชาญวิชาหลอมโอสถได้อย่างไรกัน เพียงแต่มีความสนใจในสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เด็กก็เท่านั้นเอง”


 


 


ผู้ชายไม่รับและไม่ปฏิเสธ เอ่ยต่อว่า “สหายน้อยทั้งสองน่าจะรู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเหาะเหินเดินอากาศได้กระมัง?”


 


 


พวกมั่วชิงเฉินสองคนพยักหน้า นี่ก็เป็นหนึ่งในอิทธิฤทธิ์ที่พวกเขาชื่นชม


 


 


“ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเหาะเหินเดินอากาศได้ ต้องอาศัยสองสิ่ง หนึ่งคือพลังวิญญาณในร่างตน สองคือปราณวิญญาณในฟ้าดิน นี่ก็เป็นสาเหตุที่ข้ายากจะหลุดออกจากหุบเขาไร้วิญญาณ ทว่าผลไม้เซียนกลับต่างกัน ผู้บำเพ็ญเพียรที่กินผลไม้เซียนเข้าไปร่างกายจะเบาหวิวไม่มีสิ่งใดเทียบได้ ต่อให้ไม่มีพลังวิญญาณคอยค้ำจุน อย่างมากก็คือความเร็วในการเหินหาวถูกจำกัด กลับไม่เป็นอุปสรรคต่อการเหาะเหินเดินอากาศ ปีนั้นข้าพบหญ้าเซียนนี้โดยบังเอิญแล้วประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก น่าเสียดายที่ผลไม้เซียนที่เกิดมายังไม่สุก แต่ร่างกายของข้ากลับรอไม่ไหวแล้ว” ผู้ชายพูดถึงตรงนี้แล้วรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย


 


 


พวกมั่วชิงเฉินสองคนนิ่งเงียบพูดไม่ออก ไม่ได้รับคำ เวลาเช่นนี้ไม่ว่าพูดอะไร ก็เหมือนกับพวกเขาเก็บผลประโยชน์ของคนอื่นไปเป็นของตนอย่างไรอย่างนั้น


 


 


ผู้ชายเก็บสีหน้าผิดหวังขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงเปลี่ยนว่า “บัดนี้ผลไม้เซียนกำลังจะสุกแล้ว คิดว่าพวกเจ้ารออีกไม่กี่ปีก็เด็ดได้แล้ว ทว่าใกล้ๆ หญ้าเซียนมีปลาดุกตัวหนึ่งคอยเฝ้า หากพวกเจ้าคิดจะเด็ดผลไม้เซียนอย่างราบรื่น เกรงว่ายังต้องเสียแรงสักครา”


 


 


เป็นไปตามคาด ในโลกนี้ไม่มีอาหารกลางวันที่ให้เปล่า เพียงแต่การมีโอกาสเช่นนี้ก็หายากมากแล้ว อย่างไรก็โชคดีกว่าท่านผู้อาวุโสตรงหน้านี้มาก มั่วชิงเฉินแอบคิดคนเดียว


 


 


“เอาล่ะ วิธีออกจากหุบเขาไร้วิญญาณก็คือสิ่งนี้ คิดว่าด้วยพลังความสามารถของสหายน้อยทั้งสอง ยังมีโอกาสเด็ดผลไม้เซียนได้มาก ส่วนค่ายเคลื่อนย้ายโบราณนั่น… หากสหายน้อยทั้งสองได้ผลไม้เซียนแล้ว ก็มาคุยกับข้าที่ถ้ำอีกครั้ง ถึงเวลาข้าย่อมบอกพวกเจ้าเอง” ผู้ชายลุกขึ้นยืน แสดงออกถึงการส่งแขก


 


 


“ผู้น้อยขอตัว” หลัวอวี้เฉิงลุกขึ้นยืน แล้วกอบหมัด


 


 


มั่วชิงเฉินลุกขึ้นยืนตาม ในใจกลับดิ้นรนอยู่ การสันนิษฐานของตนตกลงถูกหรือไม่ จะยืนยันกับคนผู้นี้สักทีดีหรือไม่ ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เรื่องที่หลัวอวี้เฉิงรู้ก็จะมากเกินไป…ยิ่งกว่านั้น โลกกว้างใหญ่มีเรื่องมหัศจรรย์มากมาย คนที่คล้ายกันก็ใช่ว่าจะไม่มี หากผิดขึ้นมาจะทำเช่นไรดี?


 


 


มั่วชิงเฉินในใจกำลังกลัดกลุ้ม หันหลังตามหลัวอวี้เฉิงออกไปโดยไม่รู้ตัว กลับได้ยินเสียงผู้ชายด้านหลังลอยมานิ่งเรียบว่า “ใช่แล้ว ยังมิได้บอกสหายน้อยทั้งสอง สมญาเต๋าข้าคือฝูเฟิงเจินจวิน ชื่อทางโลกชื่อว่าหลิ่วเฉินเฟิง”


 


 


มั่วชิงเฉินชะงักทันที หันกลับมาว่า “ท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยมีเรื่องอยากหารือกับท่านสักหน่อย”


 


 


“เอ่อ ไม่ทราบสหายน้อยมีสิ่งใดจะกล่าว?” ฝูเฟิงเจินจวินถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ


 


 


มั่วชิงเฉินเหลือบมองหลัวอวี้เฉิงอย่างไม่รู้ตัว


 


 


หลัวอวี้เฉิงกระตุกมุมปากว่า “ข้าออกไปก่อนแล้ว” พูดจบก็เดินสวบๆ หันหลังจากไป


 


 


มั่วชิงเฉินถอนใจ ฝูเฟิงเจินจวินแซ่ทางโลกแซ่หลิ่ว ส่วนตนเองแม้ไม่รู้ว่ามารดาชื่ออะไร กลับรู้ว่าน้าชายชื่อหลิ่วต้าเฉิง หากบอกว่าเพราะหน้าตาคล้ายกันยังสามารถบอกว่าเป็นความบังเอิญ ทว่าแม้แต่แซ่ก็ตรงกัน นางไม่อาจทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้จริงๆ


 


 


จู่ๆ ตนก็เสนอขึ้นเองว่ามีเรื่องหารือ ด้วยความฉลาดของหลัวอวี้เฉิงเกรงว่าจะคาดเดาเรื่องออกมาได้ไม่น้อย ทว่าเช่นนี้ก็ดี พวกเขาสองคนถูกฝูเฟิงเจินจวินตั้งข้อจำกัดไว้ ถูกบังคับให้รับปากเงื่อนไขสองข้อแรกของเขา


 


 


ต่อไปออกจากหุบเขาไร้วิญญาณ หลัวอวี้เฉิงต้องไปตามหาที่อยู่วุนหนิงพร้อมตน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หาไปหามามิหาไปถึงหน้าบ้านตนเองหรอกหรือ


 


 


เปรียบเทียบกันแล้ว ยังไม่สู้ให้เขารู้โดยตรงว่าสองเรื่องแรกนี้ไม่ต้องไปทำแล้วดีกว่า ส่วนเรื่องที่สาม ก็รออนาคตค่อยว่ากันแล้วกัน


 


 


“สหายน้อยมีเรื่องอันใดพูดตรงๆ ได้แล้ว” ฝูเฟิงเจินจวินยิ้มอย่างอ่อนโยน 


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปาก เรื่องนี้ยังไม่รู้จะเปิดปากเช่นไรดีจริงๆ จะรับบรรพบุรุษดื้อๆ เลยก็คงไม่ได้กระมัง


 


 


“สหายน้อย?” เห็นมั่วชิงเฉินไม่พูดเสียที ฝูเฟิงเจินจวินออกเสียงเรียก 


 


 


มั่วชิงเฉินกัดฟัน หันหลังไปให้รู้แล้วรู้รอด ยื่นมือทัดผมหน้าที่หนาเตอะไว้หลังหู แล้วใช้ดอกไม้มุกบนศีรษะติดไว้ ถึงหมุนตัวกลับมาช้าๆ


 


 


ในชั่วขณะที่เห็นใบหน้าของมั่วชิงเฉิน ฝูเฟิงเจินจวินเหมือนถูกฟ้าผ่าในทันใด รีบก้าวขึ้นหน้าไปสองก้าวจับมือของนางไว้โดยพลัน แล้วเอ่ยเสียงสั่นว่า “หนิงเอ๋อร์…”


 


 


มั่วชิงเฉินดึงมือกลับอย่างอักอ่วน ไม่คิดว่าจิตตระหนักเพียงสายเดียวของฝูเฟิงเจินจวินตรงหน้า ยามที่มือแตะถูกกันจะไม่แตกต่างอะไรกับคนจริงๆ ช่างอัศจรรย์พันลึกเหลือเกิน


 


 


ดีที่อย่างไรเสียฝูเฟิงเจินจวินก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ท่ามกลางความปั่นป่วนของจิตวิญญาณแม้เสียกิริยาไปบ้างแต่ก็ใจเย็นลงมาอย่างรวดเร็ว ตายังคงไม่ห่างจากใบหน้ามั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินไม่พูดสักแอะ เอาเป็นว่าบัดนี้ให้เขาดูให้ชัดเจน ถึงเวลามีอะไรก็ปล่อยให้อีกฝ่ายมาถามแล้วกัน ตนจะได้ไม่ต้องลำบากใจ


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าตนดูเหมือนนับวันจะยิ่งเจ้าเล่ห์ขึ้นแล้ว เอ่อ คงไม่ใช่คนใกล้หมึกดำ[1]หรอกนะ


 


 


ผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดฝูเฟิงเจินจวินก็เอ่ยว่า “เด็กน้อย เจ้า…เจ้าชื่ออะไร?”


 


 


“ผู้น้อยชื่อมั่วชิงเฉิน” มั่วชิงเฉินตอบอย่างนอบน้อม


 


 


“แซ่มั่ว?” ฝูเฟิงเจินจวินขมวดคิ้วขึ้น


 


 


มั่วชิงเฉินรีบเอ่ยว่า “มารดาของผู้น้อยแซ่หลิ่ว”


 


 


ฝูเฟิงเจินจวินมือสั่น ยากจะปิดบังความตื่นเต้นในดวงตา “แซ่หลิ่วจริงหรือ?”


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มน้อยๆ ว่า “ผู้น้อยไม่กล้าพูดเหลวไหล”


 


 


“หนิงเอ๋อร์…สุดท้ายเจ้าก็ยังนึกถึงข้า…” ฝูเฟิงเจินจวินบ่นพึมพำ จากนั้นสายตาไม่ออกห่างจากมั่วชิงเฉิน “เด็กน้อย มานั่งตรงนี้ เล่าเรื่องของตระกูลมารดาให้ข้าฟังได้หรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปนั่งลงอย่างว่าง่ายว่า “ข้าน้อยถือกำเนิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆ ไม่รู้ชื่อแห่งหนึ่ง มารดาจากโลกนี้ไปนานแล้ว ตั้งแต่เด็กใช้ชีวิตมากับครอบครัวของน้าชาย ยามอายุหกขวบปีนั้นถูกท่านอาจากตระกูลบิดารับกลับเข้าตระกูล จนถึงบัดนี้ก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย”


 


 


ฝูเฟิงเจินจวินกลับหัวเราะขึ้นว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ข้ารู้ว่าหนิงเอ๋อร์อยู่นี่จริงๆ อีกทั้งมีทายาทสืบสกุล เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”


 


 


เดิมทีเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด อารมณ์ความรู้สึกความปรารถนาแบบปุถุชนทั่วไปจางแล้ว จากจงหลางมาถึงทวีปแห่งเทพ จนตายก็ไม่เคยกลับไปสักครั้ง สำหรับบุตรคนโตที่ทิ้งไว้ที่จงหลางกลับไม่ได้ห่วงอะไรมากนัก ที่ห่วงใยบุตรที่ไม่เคยเห็นหน้าคนนั้นถึงเพียงนี้ สาเหตุสำคัญเพราะความเสียใจที่เกิดกับวุนหนิง ถึงได้กลายเป็นปมในใจ


 


 


“เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่คิดว่าความปรารถนาสองข้อแรกของข้าก็บรรลุเป้าหมายแล้ว ดูท่าสุดท้ายสวรรค์ก็ดีกับข้าไม่น้อย เด็กน้อย บัดนี้เจ้าน่าจะไม่เกินห้าสิบปีกระมัง?” ฝูเฟิงเจินจวินถาม


 


 


มั่วชิงเฉินหลุบตาตอบว่า “ผู้น้อยปีนี้อายุสามสิบหกเจ้าค่ะ”


 


 


“สามสิบหกปี?” ฝูเฟิงเจินจวินชะงัก อายุสามสิบหกปีบำเพ็ญเพียรถึงยอดระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ต่อให้ในจงหลางก็นับว่าเป็นคนเก่งที่น่าตะลึงแล้ว เด็กคนนี้ เป็นชนรุ่นหลังของข้าและหนิงเอ๋อร์นะ


 


 


เมื่อฝูเฟิงเจินจวินมองไปที่มั่วชิงเฉินอีกครั้ง สายตาก็ยิ่งอ่อนโยนขึ้นมา


 


 


“ยามที่ผู้น้อยออกจากบ้านน้าชายอายุยังน้อย ทว่าจำได้ว่าในหมู่บ้านที่แซ่หลิ่วมีเพียงครอบครัวน้าชายครอบครัวเดียวเท่านั้น มีลูกผู้น้องคนหนึ่งชื่ออาฝู หากผู้น้อยสามารถออกจากหุบเขาไร้วิญญาณได้ จะกลับไปลองดูที่หมู่บ้าน หากในบรรดาทายาทของลูกผู้น้องมีคนที่มีรากวิญญาณ ก็จะชักนำเขาสู่เส้นทางเซียนเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างอ่อนโยน


 


 


แม้ตนก็นับว่าเป็นชนรุ่นหลังของคนตรงหน้า ทว่าอย่างไรเสียก็ห่างกันชั้นหนึ่ง อีกอย่างหมู่บ้านนั้นเป็นสถานที่ที่มารดาเกิด ก็ควรกลับไปดูเสียหน่อยแล้ว


 


 


ฝูเฟิงเจินจวินหัวเราะว่า “พวกนี้ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติเถอะ ได้รู้ว่าหนิงเอ๋อร์อยู่ที่ใด ข้าก็ไม่เสียใจแล้ว”


 


 


จากนั้น ฝูเฟิงเจินจวินถามสถานที่ที่หมู่บ้านตั้งอยู่และประสบการณ์การบำเพ็ญเพียรบางส่วนของมั่วชิงเฉินอีก ทั้งสองคนคุยกันเกือบหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ถึงหยุดลง


 


 


“เอาล่ะ ชิงเฉิน เจ้ารีบออกไปเถอะ สหายน้อยคนนั้นเกรงว่าจะรอจนร้อนใจแล้ว” ฝูเฟิงเจินจวินอมยิ้มเอ่ย


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างจำใจ แน่นอนหลัวอวี้เฉิงต้องรอจนร้อนใจ เพียงแต่ไม่ใช่สถานการณ์เช่นที่ฝูเฟิงเจินจวินเข้าใจ


 


 


“ใช่แล้ว ชิงเฉิน สหายน้อยคนนั้นชื่ออะไร?” ฝูเฟิงเจินจวินถาม


 


 


“เขาชื่อหลัวอวี้เฉิงเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินตอบ


 


 


ฝูเฟิงเจินจวินพยักหน้า “เช่นนั้นชิงเฉินหลังจากเจ้าออกไปแล้วก็ให้อวี้เฉิงเข้ามาอีกสักครั้ง”


 


 


เห็นสายตาประหลาดใจของมั่วชิงเฉิน ฝูเฟิงเจินจวินหัวเราะว่า “ข้าต้องเตือนเจ้าหนุ่มนั่นเสียหน่อย ว่าวันหลังจะรังแกเจ้าไม่ได้”


 


 


มั่วชิงเฉิน…


 


 


 


 


——


 


 


[1] คนใกล้หมึกดำ คำเต็มคือ คนใกล้ชาดแดง คนใกล้หมึกดำ เป็นการเปรียบเปรยว่า สภาพแวดล้อม คนรอบกายเราล้วนมีผลกระทบต่อตัวเราทั้งนั้น ถ้าเราอยู่ใกล้คนดี เราจะก็เปลี่ยนเป็นคนดี ถ้าเราอยู่ใกล้คนเลว เราก็จะทำตัวเองคนเลวเหมือนกัน 

 

 


ตอนที่ 246 ทุ่มเทใจเพื่อฟ้าดิน

 

ข้างทะเลสาบ มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงนั่งเคียงกัน สายตาเพ่งพิศผิวทะเลสาบที่สงบราบเรียบอย่างไม่มีจุดหมาย


 


 


“วันนั้น…” นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ทั้งสองคนมองไปที่อีกฝ่ายแล้วเอ่ยขึ้นพร้อมกัน แล้วก็หยุดลงมาพร้อมกันอีก


 


 


“เจ้ามีเรื่องจะถามข้าหรือ?” หลัวอวี้เฉิงเลิกคิ้ว


 


 


สายตามั่วชิงเฉินตกลงบนผิวทะเลสาบ เอ่ยอย่างสงบว่า “ก็ไม่มีอะไร เพียงแต่อยากถามว่าคิดหาวิธีอะไรกำจัดปลาดุกตัวนั้นได้หรือยัง”


 


 


ที่จริงนางอยากถามว่าวันนั้นหลังจากออกจากถ้ำของฝูเฟิงเจินจวินจวบจนวันนี้ เหตุใดจู่ๆ เขาก็นิ่งเงียบไป ทว่าก็รู้สึกอีกว่าคำพูดนี้จะลึกซึ้งเกินไปสำหรับการรู้จักกันเพียงผิวเผินเช่นนี้จึงเบนหัวข้อออก


 


 


หลัวอวี้เฉิงได้ยินดังนั้นแล้วก็หัวเราะ ทันใดนั้นยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อล้วงม้วนคัมภีร์หยกออกมาม้วนหนึ่งว่า “อ้าว ของกลับคืนเจ้าของเดิม”


 


 


มั่วชิงเฉินยื่นมือรับไป ถามว่า “ฝูเฟิงเจินจวินบอกเจ้าหมดแล้วหรือ?”


 


 


“บอกอะไรข้า?” หลัวอวี้เฉิงมองมั่วชิงเฉินอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม


 


 


มองสายตาเปื้อนยิ้มของหลัวอวี้เฉิง มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก “เจ้าหลอกข้า?”


 


 


สวรรค์ คนคนนี้ช่างผิดมนุษย์มนาจริงๆ ขอเพียงเขาอยาก ในโลกนี้ก็ไม่มีเรื่องปิดบังเขาได้ใช่หรือไม่? มั่วชิงเฉินเกิดความรู้สึกอยากหนีไปให้ไกลๆ ขึ้นมาทันที


 


 


หลัวอวี้เฉิงหัวเราะหึๆ ขึ้นมาว่า “บอกตรงๆ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ข้าไม่แน่ใจที่สุด”


 


 


“เพราะอะไร?” มั่วชิงเฉินถามอย่างไม่รู้ตัว


 


 


หลัวอวี้เฉิงไม่พูด สายตากวาดผ่านหน้ามั่วชิงเฉิน


 


 


“หลัวอวี้เฉิง!” มั่วชิงเฉินกัดฟันตะโกน นางก็ไม่ใช่คนโง่ ย่อมเข้าใจความหมายในสายตาเขา


 


 


ระหว่างกำลังโกรธอยู่ก็เห็นอีกฝ่ายโยนม้วนคัมภีร์มรกตมาอีกม้วนหนึ่งทันที เสียงนิ่งเรียบอมยิ้มดังขึ้นว่า “เกือบลืมสิ่งนี้แล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินมองม้วนคัมภีร์มรกตที่บันทึกวิชาบำเพ็ญเพียรคู่ หน้าแดงก่ำขึ้นทันที แล้วโยนกลับไปเหมือนหัวมันร้อนลวกมือ “สหายเต๋าหลัว ม้วนคัมภีร์หยกนี้ก็ถือว่าเป็นของขวัญแสดงความยินดีที่ข้ามอบให้เจ้าและคู่หมั้นล่วงหน้าก็แล้วกัน คิดว่าวันแต่งงานของเจ้า เกรงว่าข้าก็ไปไม่ได้แล้ว”


 


 


สีหน้าหลัวอวี้เฉิงกลับจู่ๆ ก็เย็นชาขึ้นมา แล้วยัดม้วนคัมภีร์มรกตกลับเข้าอกเสื้อ สายตามองไปที่ผิวทะเลสาบว่า “สหายเต๋ามั่ว เกรงว่าเราต้องอยู่ในหุบเขานี่อีกหลายปี คิดว่าต่อไปจะทำเช่นไรจะดีกว่านะ”


 


 


มั่วชิงเฉินก็กลัดกลุ้มขึ้นมา


 


 


วันก่อนพวกเขาสองคนลงน้ำไปด้วยกัน หาหญ้าเซียนต้นนั้นเจอตามคาด ที่โชคดีคือไม่คิดว่าข้างบนจะงอกผลไม้เซียนแล้วสามผล เพียงแต่น่าเสียดายที่ผลไม้ยังไม่สุกดี ดูท่าทางยังต้องอีกหลายปี


 


 


แม้มั่วชิงเฉินมีขวดน้ำเต้าเซียนอยู่ในมือสามารถเร่งผลไม้ทิพย์ได้ ทว่ามีหลัวอวี้เฉิงอยู่จึงไม่กล้าคิดทำเช่นนี้เด็ดขาด ยอมรออีกหลายปีค่อยว่ากันดีกว่า


 


 


ที่ยิ่งทำให้ทั้งสองคนจำใจคือ ปลาดุกที่เฝ้าหญ้าเซียนลื่นไหลมาก พวกเขาสองคนมาถึงใกล้ๆ หญ้าเซียนไม่คิดว่าจะไม่โผล่แม้แต่หน้าออกมา จนกระทั่งลงน้ำครั้งที่สองยามจงใจแสร้งทำเป็นจะเด็ดผลไม้เซียน ถึงมีอสูรยักษ์ตัวหนึ่งโผล่มา พุ่งมาหาพวกเขาอย่างเกรี้ยวกราด รอพวกถอยออกไประยะหนึ่ง ก็ไม่ไล่ตาม ไม่รู้มุดกลับไปทางไหนอีก ไร้ซึ่งร่องรอย


 


 


“ปลาดุกตัวนั้น ไม่กำจัดโดยเร็วสุดท้ายจะเป็นภัย หากยามที่ผลไม้เซียนสุกงอมแล้วมันมาแลกชีวิตกับพวกเรา ทำให้พลาดเวลาในการเด็ดผลไม้เซียนเราก็ต้องติดตายอยู่ในนี้จริงๆ แล้ว” มั่วชิงเฉินถอนใจว่า


 


 


หลัวอวี้เฉิงพยักหน้า “สหายเต๋ามั่ว ในเมื่อเจ้าคุ้นเคยกับธรรมชาติของหญ้าทิพย์สมุนไพรทิพย์ สามารถคาดคะเนเวลาสุกงอมอย่างเป็นรูปธรรมของผลไม้เซียนได้หรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินค้อนตาคว่ำว่า “สหายเต๋าหลัว เจ้ายกย่องข้าเกินไปแล้ว ในโลกนี้เกรงว่าจะมีนักหลอมโอสถเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นหญ้าเซียนกระมัง ทว่าฝูเฟิงเจินจวินบอกว่า ผลไม้เซียนกำลังจะสุกแล้ว อย่างน้อยสามปี อย่างมากห้าปีก็สามารถเด็ดได้แล้ว”


 


 


พูดถึงตรงนี้ก็แอบกลุ้ม หากต้องรออยู่ที่นี่สักห้าปีจริง ตนก็อายุสี่สิบเอ็ดปีแล้ว ส่วนสัญญากับหัวหน้าตระกูลหวังแห่งทะเลขนาบใจก็คือยามที่ตนอายุสี่สิบสองปี เวลาจะเร่งรีบเกินไปแล้ว


 


 


หลัวอวี้เฉิงกลับไม่รู้สิ่งที่มั่วชิงเฉินคิด ลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆ ทีหนึ่งว่า “ไม่สู้พวกเราก็สร้างบ้านสักสองหลังที่ริมทะเลสาบนี่เถอะ เวลาสามปีห้าปีหากกักตนบำเพ็ญเพียรแม้ไม่นับว่ายาวนาน ทว่าด้วยสภาพบัดนี้ของเรากลับทนได้ยากนัก อย่างไรเสียก็นอนกลางดินกินกลางทรายเช่นนี้ตลอดไม่ได้กระมัง”


 


 


มั่วชิงเฉินพิจารณาหลัวอวี้เฉิงปราดหนึ่ง แล้วหัวเราะว่า “สหายเต๋าหลัว หุบเขาไร้วิญญาณนี่ไร้ปราณวิญญาณหล่อเลี้ยง ต้นไม้ใบหญ้าบางเบา หากเราจะสร้างบ้านเกรงว่าต้องใช้ก้อนหิน เจ้ายกไหวหรือ? คงไม่ใช่ถึงสุดท้าย… กลายเป็นข้าสร้างคนเดียวหรอกนะ?”


 


 


หลัวอวี้เฉิงหน้าดำทันที ถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินอย่างดุดันทีหนึ่งแล้วก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า


 


 


เห็นหลัวอวี้เฉิงหยุดลงที่ที่แห่งหนึ่งแล้วเริ่มขนก้อนหิน มั่วชิงเฉินยิ้มละไมแล้วลุกขึ้นยืน เดินขึ้นหน้าไปขนย้ายด้วยกัน


 


 


พริบตาเดียวผ่านไปสิบกว่าวัน มองกองหินที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างแล้ว สองคนสบตากันยิ้มระทม ตามระดับความเร็วเช่นนี้ คิดจะสร้างบ้านสองหลังเกรงว่าต้องใช้เวลาสักครึ่งปีแล้ว


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่สามารถร่ายคาถาได้ ยังสู้ช่างอิฐช่างปูนธรรมดาสองสามคนไม่ได้เลยจริงๆ


 


 


ในเวลานี้เอง โอรสศักดิ์สิทธิ์พาชายกำยำที่ใช้เพียงหนังสัตว์ผืนหนึ่งห่อหุ้มร่างกายกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา


 


 


เห็นภาพคนกลุ่มหนึ่งเดินมาอย่างรวดเร็วจนพื้นสะเทือนฝุ่นตลบ มั่วชิงเฉินแอบส่งเสียงทางจิตว่า “พวกเขามาทำอะไร?”


 


 


“ใครจะไปรู้ ไม่แน่อาจมาช่วยพวกเราสร้างบ้านก็ได้” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างขี้เกียจ ยุ่งมาครึ่งค่อนวันแล้ว เขาไม่มีแรงแล้ว


 


 


ใครจะรู้ว่าถูกหลัวอวี้เฉิงเดาถูกจริงๆ คนกลุ่มนั้นมาถึงตรงหน้า โอรสศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงกลางก็เอ่ยว่า “ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉนกวาดมองกลุ่มคนปราดหนึ่ง เห็นส่วนสูงเฉลี่ยของคนกลุ่มนี้มีเจ็ดฉื่อเล็กน้อย แต่ละคนไหล่กว้างเอวใหญ่รูปร่างบึกบึน มีเพียงโอรสศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกห้อมล้อมอยู่ตรงกลางรูปร่างขนาดกลาง หน้าตาหมดจด ไม่แตกต่างจากเด็กหนุ่มทั่วไปนอกหุบเขา


 


 


ทว่าชายกำยำข้างหลังเขาดันไม่มีใครไม่เคารพ กิริยานอบน้อม ว่าไปก็ประหลาด


 


 


“โอรสศักดิ์สิทธิ์ยอมช่วย เราสองคนซาบซึ้งนัก” หลัวอวี้เฉิงยิ้มนิ่งเรียบ ถือโอกาสพูดขึ้น


 


 


โอรสศักดิ์สิทธิ์ได้ยินแล้วสีหน้าปีติ หันหน้าไปว่า “พวกเจ้ารีบเข้ามา ทำตามที่ท่านปราชญ์ทั้งสองสั่ง”


 


 


ท่านปราชญ์? พวกมั่วชิงเฉินสองคนมองหน้ากัน


 


 


ยามนี้ชายกำยำกลุ่มนั้นล้อมเข้ามาหมดแล้ว มองกองหินสร้างบ้านที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างของทั้งสองคนเหมือนไม่เคยเห็น


 


 


“พวกเราไม่เคยสร้างสิ่งนี้มาก่อน ต้องทำเช่นไรพวกท่านบอกพวกเขาก็พอ วางใจได้ พวกเขาแรงเยอะมาก” โอสถศักดิ์สิทธิ์บอกทั้งสองคน


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกมั่วชิงเฉินสองคนก็ไม่เกรงใจแล้ว สั่งชายกำยำกลุ่มนั้นขนก้อนหินเป็นก้อนๆ มา แล้วเริ่มก่อสร้างภายใต้การชี้แนะของพวกเขา


 


 


ชายกำยำพวกนี้ดูเหมือนสติปัญญาไม่สูง แทบจะต้องให้พวกมั่วชิงเฉินสองคนพูดก้าวหนึ่งพวกเขาถึงเดินก้าวหนึ่ง ดีที่พละกำลังกลับเป็นของจริงแท้แน่นอน ขนก้อนหินแล้วเดินเร็วดุจบินได้ อีกทั้งเชื่อฟังยิ่งนัก ใช้เวลาไม่นานเท่าไร ก็มีรูปร่างของบ้านแล้ว


 


 


เห็นหลัวอวี้เฉิงสอนชายกำยำพวกนั้นสร้างบ้านอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย มั่วชิงเฉินตบๆ มือ แล้วนั่งลงข้างทะเลสาบ


 


 


ไม่นานนัก โอรสศักดิ์สิทธิ์ก็เดินเข้ามา


 


 


รู้สึกได้ว่าเด็กหนุ่มตั้งใจผ่อนฝีเท้า มั่วชิงเฉินยังคงหันหน้ามา มองเด็กหนุ่มแล้วยิ้มว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์ มีธุระหรือ?”


 


 


เด็กหนุ่มชะงักแผ่วเบา ครู่ใหญ่ถึงเอ่ยว่า “ข้านั่งลงข้างๆ ท่านได้หรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินอึ้ง แล้วยิ้มทันทีว่า “ได้สิ นั่นตรงนี้เถอะ” พูดพลางตบก้อนหินที่อยู่ข้างๆ


 


 


เด็กหนุ่มนั่งลงด้วยสีหน้าดีใจ มองไปที่มั่วชิงเฉินอย่างประหม่าเล็กน้อย


 


 


มั่วชิงเฉินก็ไม่เร่ง เพียงแต่ยิ้มมองเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน


 


 


ผ่านไปเนิ่นนาน ถึงได้ยินเด็กหนุ่มว่า “ท่านได้พบท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์แล้วหรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินลังเลครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าเบาๆ


 


 


สีหน้าของเด็กหนุ่มตื่นเต้นขึ้นมาทันที เสียงยกสูงขึ้นเล็กน้อยว่า “ท่านได้พบท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ? ท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์หน้าตาเป็นเช่นไรกันแน่?”


 


 


“ท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ท่าน…ก็ดั่งเทพยดาบนสวรรค์ก็ไม่ปาน ทำให้คนได้พบแล้วลืมสิ้นสิ่งอื่น” มั่วชิงเฉินจะใช้คำพูดอื่นบรรยายหนึ่งในบรรพบุรุษของตนก็รู้สึกไม่ดี จึงได้แต่เอ่ยอย่างคลุมเครือ


 


 


เด็กหนุ่มกลับพยักหน้าอย่างพอใจเป็นพิเศษ ตาเป็นประกายว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์จะต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ เหล่าโอรสศักดิ์สิทธิ์เมื่อก่อนก็พูดเช่นนี้” พูดถึงตรงนี้สีหน้ามืดมนลง “น่าเสียดายข้าไม่เคยเห็นท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์มาก่อน โอรสศักดิ์สิทธิ์ก่อนข้าหลายรุ่นก็ไม่เคยพบมาก่อน…”


 


 


มั่วชิงเฉินเห็นท่าทางหดหู่ของเด็กหนุ่มแล้ว อดไม่ได้ว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์ เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่าเจ้ากลายเป็นโอรสศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นไร ท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์และพวกเจ้าเหล่าโอรสศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวข้องกันเช่นไรอีก?”


 


 


เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น สายตามองผิวทะเลสาบแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ


 


 


ที่แท้ปีนั้นฝูเฟิงเจินจวินตกลงมาในหุบเขาไร้วิญญาณ ก็พบว่าที่นี่มีชาวพื้นเมืองอยู่ เพียงแต่เวลานั้นคนในหุบเขาสติปัญญายังต่ำกว่าบัดนี้อีก พูดได้ว่าไม่ต่างอะไรกับคนป่า


 


 


ยามแรกเริ่มฝูเฟิงเจินจวินคิดแต่จะจากไป ย่อมไม่มีกะจิตกะใจเสวนากับชาวพื้นเมืองพวกนี้ ทว่าพริบตาเดียวผ่านไปร้อยปีหาทางออกไม่พบ ต่อให้เขาในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็ใจเกิดอ้างว้างได้ อย่างช้าๆ ก็ไปมาหาสู่กับชาวพื้นเมืองที่นี่ขึ้นมา


 


 


ที่ทำให้มั่วชิงเฉินเลื่อมใสก็คือ ฝูเฟิงเจินจวินสอนวิธีล่าสัตว์ให้พวกเขา อีกทั้งยังสอนวิธีรักษาโรคภัย อาการบาดเจ็บภายนอกอย่างง่ายๆ กระทั่งยังเลือกคนที่สติปัญญาสูงสักหน่อยในบรรดาชาวพื้นเมืองออกมา สอนหนังสือให้พวกเขา!


 


 


เป็นเช่นนี้มารุ่นต่อรุ่น ไม่คิดว่าในบรรดาชาวพื้นเมืองจะปรากฏคนที่จิตวิญญาณสติปัญญาค่อนข้างสูงออกมาสายหนึ่งจริงๆ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด คนในตระกูลของสายนี้ตั้งแต่เด็กก็ต่างจากตระกูลอื่นในหุบเขา เกิดมารูปร่างเล็กกะทัดรัด หลังจากที่โตเป็นผู้ใหญ่ส่วนสูงเรี่ยวแรงยิ่งเทียบกับคนอื่นไม่ได้


 


 


ฝูเฟิงเจินจวินสงสารการเอาตัวรอดอย่างลำบากของชาวพื้นเมืองสายนี้ นอกจากนี้พวกเขารูปร่างหน้าตาคล้ายกับตนมากกว่า จึงให้อยู่ข้างกายสั่งสอนด้วยตนเองขึ้นมา นี่ก็คือประวัติความเป็นมาของโอรสศักดิ์สิทธิ์ในสมัยแรกสุดแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินล่วงรู้จากเรื่องที่เด็กหนุ่มตรงหน้าเล่า ฝูเฟิงเจินจวินถ่ายทอดวิธีฝึกฝนจิตตระหนักอย่างง่ายๆ ให้โอรสศักดิ์สิทธิ์รุ่นแรก โอรสศักดิ์สิทธิ์บันทึกวิธีนี้ในหนังสัตว์ผืนหนึ่งแล้วสืบทอดลงมาในฐานะสมบัติตกทอด ทุกครั้งที่โอรสศักดิ์สิทธิ์ชราภาพ ก็จะเลือกเด็กอายุน้อยในตระกูล เด็กที่มีความสามารถในการเรียนรู้สามารถฝึกจิตตระหนักได้ก็จะถูกฟูมฟักอย่างดีให้กลายเป็นโอรสศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไป


 


 


ทุ่มเทใจเพื่อฟ้าดิน ทุ่มเทชีวิตเพื่อประชา สืบต่อความรู้เพื่อปราชญ์ผู้ล่วงลับ ริเริ่มสันติสุขเพื่อทั่วหล้า


 


 


ยามที่ฝูเฟิงเจินจวินทำเรื่องเหล่านี้อาจเพียงเพราะทำตามจิตใต้สำนึกปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ กลับไม่ต่างจากการนำเชื้อไฟแห่งอารยธรรมมาสู่หุบเขาไร้วิญญาณนี้ ทำให้พวกเขาไม่ต้องเสียเวลาคลำทางอย่างช้าๆ นับร้อยนับพันปี มองจากมุมบางมุมแล้ว พูดได้ว่าเป็นการสร้างบุญอย่างมหาศาลแล้ว


 


 


มองดูสีหน้าเด็กหนุ่มที่เปี่ยมด้วยความจริงใจ ชายกำยำกลุ่มหนึ่งขนย้ายก้อนหินสร้างบ้านอย่างขมัดเขม้น บนใบหน้าคือรอยยิ้มบริสุทธิ์ที่ไม่เจือปนปัจจัยใดๆ จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมา ผู้บำเพ็ญเพียรเช่นพวกเขาวันๆ เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญเพียร เพื่อผลประโยชน์แล้วแย่งกันจนหัวร้างข้างแตก กุมพลังที่สามารถทำลายฟ้าดินในสายตาคนธรรมดา ทว่าเคยคิดจะใช้พลังที่ตนกุมไว้ไปทำประโยชน์อะไรบ้างหรือไม่?


 


 


เห็นหญิงสาวตรงหน้าจู่ๆ ก็สีหน้าเหม่อลอยขึ้นมา เด็กหนุ่มเกาศีรษะอย่างสงสัย ผ่านไปเนิ่นนานถึงเอ่ยอย่างเจี๋ยมเจี้ยมว่า “ท่านมาจากข้างนอก ต้องรู้หนังสือแน่นอนสินะ?”


 


 


แววตามั่วชิงเฉินกลับมาใสกระจ่าง ในรอยยิ้มมีความอบอุ่นที่ตนก็ไม่สังเกตเห็นเพิ่มมาสายหนึ่ง “อืม”


 


 


เด็กหนุ่มเลิกคิ้วว่า “เช่นนั้นท่านสอนหนังสือข้าได้หรือไม่?” พูดถึงตรงนี้หน้าแดงเรื่อเล็กน้อย “มีโอรสศักดิ์สิทธิ์รุ่นหนึ่งเสียไปตั้งแต่เนิ่นๆ ยังไม่ทันได้ถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดที่เรียนมาให้โอรสศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไป ทว่ายามนั้นท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ก็อยู่ในถ้ำไม่ออกมาข้างนอกหลายปีแล้ว และก็ไม่อนุญาตให้พวกเราเข้าไปรบกวนอีก ดังนั้นนับแต่นั้น ความรู้ที่โอรสศักดิ์สิทธิ์แต่ละรุ่นต่อจากนั้นกุมไว้ล้วนไม่ครบครัน


 


 


“ได้แน่นอน” มั่วชิงเฉินยิ้มว่า


 


 


เด็กหนุ่มตาเป็นประกาย รีบล้วงหนังสัตว์ที่ถูจนเก่าใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อทันที แล้วเปิดออกอย่างระมัดระวังชี้ตัวอักษรที่อยู่ชิดกันสองคำว่า “สองคำนี้อ่านว่าอะไร?”


 


 


มั่วชิงเฉินกวาดมองไป เอ่ยเสียงเบาว่า “ตัวนี้หรือ อ่านว่า ‘เฉียนคุน’ เฉียนคุนน่ะ เป็น ‘สองทิศ’ ในแปดทิศ เป็นตัวแทนของฟ้าดิน และแตกออกเป็นหยินหยาง ชายหญิง…”


 


 


มั่วชิงเฉินพูดพลางยื่นนิ้วมือออกวาดแผนฝังแปดทิศไว้บนพื้น แล้วเอ่ยต่อว่า “เฉียนคือฟ้า คุนคือดิน ทิศเฉียนผ่านการเปลี่ยนแปลงเพื่อแสดงถึงสติปัญญา ทิศคุนผ่านความเรียบง่ายเพื่อแสดงถึงพลังความสามารถ ควบคุมการเปลี่ยนแปลงและความเรียบง่าย ก็คือควบคุมทางแห่งสรรพสิ่งในฟ้าดิน…”


 


 


“ซับซ้อนจังเลย ข้าฟังไม่เข้าใจ” เด็กหนุ่มย่นจมูกอย่างกลัดกลุ้ม


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วอธิบายต่ออย่างอดทน


 


 


“คนข้างนอกร้ายกาจเช่นนี้เหมือนท่านหมดหรือไม่? เหตุใดเราอายุห่างกันไม่เท่าไร ท่านกลับรู้มากถึงเพียงนี้ล่ะ?” พูดถึงสุดท้าย เด็กหนุ่มมองไปที่มั่วชิงเฉินอย่างเลื่อมใส


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มแล้ว “โอรสศักดิ์สิทธิ์ ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว?”


 


 


เด็กหนุ่มก้มหน้าลงต่ำอย่างเขินอายว่า “ข้าอายุสิบสี่แล้ว”


 


 


“ทว่าข้าอายุสามสิบหกแล้ว แก่กว่าเจ้ามากว่าสองเท่าเต็มๆ นะ” มั่วชิงเฉินเอ่ย


 


 


เด็กหนุ่มลืมตาโตทันที “หา ท่านอายุสามสิบหกแล้ว? ทว่าท่านดูแล้วไม่ต่างกับข้าเท่าไรชัดๆ นี่นา”


 


 


ที่แท้สภาพแวดล้อมในหุบเขาย่ำแย่ ชาวบ้านในหุบเขาอายุขัยเฉลี่ยไม่เกินสี่สิบกว่าปี นี่ยังเป็นความดีความชอบของฝูเฟิงเจินจวินเมื่อพันปีก่อนที่ถ่ายทอดการล่าสัตว์ วิชาการแพทย์ให้พวกเขา เวลานั้นอายุขัยเฉลี่ยของพวกเขายังไม่ถึงสามสิบปี!


 


 


“ข้ารู้แล้ว พวกท่านเป็นเหมือนท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ เป็นอมตะหมดเลยใช่หรือไม่?” นัยน์ตาเด็กหนุ่มส่องประกายวิบวับ


 


 


มั่วชิงเฉินทำใจทำให้เด็กหนุ่มผิดหวังไม่ได้ จึงอธิบายเรื่องบำเพ็ญเพียรอย่างง่ายๆ ทว่าไม่ได้ลงลึก อย่างไรเสียเด็กหนุ่มนี่ต้องอยู่ในหุบเขาตลอดชีวิต รู้มากไปกลับเป็นการเพิ่มความกลัดกลุ้มเสียเปล่าๆ


 


 


ต่อให้เป็นเช่นนี้ เรื่องราวที่มั่วชิงเฉินเล่าก็เพียงพอที่จะทำให้เด็กหนุ่มหลงใหลแล้ว


 


 


นับแต่วันนั้น เด็กหนุ่มนำคนในหุบเขามาทุกวัน หลัวอวี้เฉิงสั่งการชายกำยำกลุ่มหนึ่งสร้างบ้าน มั่วชิงเฉินสอนหนังสือให้เด็กหนุ่ม ไม่เกินสิบวัน บ้านสองหลังก็สร้างเสร็จอย่างเหนือความคาดหมาย


 


 


มองดูบ้านที่แข็งแรงเรียบร้อย มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงยิ้มหน้าบาน


 


 


เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนเงียบๆ เรียกชาวเผ่าก็จะจากไป


 


 


“โอรสศักดิ์สิทธิ์” มั่วชิงเฉินเรียก


 


 


เด็กหนุ่มหันหน้ามา


 


 


มั่วชิงเฉินเดินขึ้นไป ตบไหล่ของเด็กหนุ่มว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์ ต่อไปยามบ่ายของทุกวันเจ้ามาหาข้าเรียนหนังสือได้”


 


 


“จริงหรือ?” เด็กหนุ่มตาเป็นประกาย


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้าอมยิ้ม


 


 


เด็กหนุ่มแย้มยิ้ม พาชาวเผ่าหันหลังจากไป แม้แต่เดินก็เบาหวิวขึ้นมา


 


 


“เจ้าช่างใจดี” หลัวอวี้เฉิงเย้ยหยันอย่างเย็นชา


 


 


มั่วชิงเฉินเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง “ไยเจ้าต้องปากแข็ง เหตุใดข้าได้ยินเจ้าพูดกับชาวบ้านพวกนั้นว่า พรุ่งนี้เจ้าจะไปช่วยพวกเขาสร้างบ้านศิลาที่พวกเขาโน่นล่ะ?”


 


 


หลัวอวี้เฉิงแบะปาก “นั่นเพราะพวกเขาโง่เกินไป สร้างบ้านมานานปานนี้แล้วยังไม่รู้ว่าต้องสร้างอย่างไรอีก!” พูดพลางหน้าก็ไม่หันกลับมาแล้วเดินเข้าบ้านศิลาที่สร้างขึ้นใหม่ 

 

 


ตอนที่ 247 สิ่งอัศจรรย์นำเคราะห์อัสนี

 

เวลาสามปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว


 


 


หมูป่าตัวหนึ่งนอนอาบแดดอย่างขี้เกียจ กึ่งหรี่ตาจะหลับมิหลับแหล่


 


 


ทันใดนั้น มันกระโดดขึ้นมาโดยพลัน ร้องอู๊ดๆ พุ่งไปข้างหน้า


 


 


หากมีคนอยู่ที่นี่ ต้องคิดว่าหมูป่าตัวนี้เกิดคลั่งขึ้นมากะทันหันเป็นแน่ ทว่าหากเขาใส่ใจสักนิด ก็จะเห็นก้อนหินที่มุมแหลมคมก้อนหนึ่งไล่ตามหมูป่าไปดังฟิ้ว


 


 


ว่ากันตามหลักแล้วหากก้อนหินนี่ถูกคนโยนออกไป ความเร็วน่าจะยิ่งนานยิ่งช้า ทว่าความเร็วของก้อนหินนี้ไม่เพียงแต่ไม่ลดลง ยังมีท่าทียิ่งนานยิ่งเร็วขึ้นอีกต่างหาก ที่ยิ่งประหลาดคือ ยามที่หมูป่าข้างหน้าเลี้ยวโค้ง ก้อนหินยังเลี้ยวตามด้วย!


 


 


อาจเพราะสัญชาตญาณของสัตว์รู้สึกได้ว่าชีวิตได้รับการคุกคาม หมูป่ายิ่งบ้าคลั่งขึ้นมา สี่ขาวิ่งทะยานชนไม่ดูตาม้าตาเรือ กระทั่งชนต้นไม้เล็กล้มต้นหนึ่ง


 


 


ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานที่หมูป่าผ่อนความเร็วลงนี่เอง ก้อนหินที่ไล่ตามอย่างไม่ลดละในที่สุดก็ไล่มาทัน ซัดลงบนหัวหมูป่าอย่างแม่นยำ


 


 


หัวหมูป่าแตกเป็นรูทันที เลือดทะลักออกมา


 


 


พุ่งไปข้างหน้าอีกสิบกว่าจั้ง หมูป่าก็ล้มลงโดยพลัน ได้ยินเพียงเสียงตึ้งดังสนั่น ฝุ่นตลบไปหมด


 


 


หลังจากนั้นหนึ่งเค่อ ชายหนึ่งหญิงหนึ่งถึงเดินเข้ามาอย่างเอ้อระเหย


 


 


มองดูหมูป่าที่ยังชักเบาๆ อยู่ หลัวอวี้เฉิงยักคิ้วหัวเราะว่า “สหายเต๋ามั่ว ดูท่าเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาของเจ้าสำเร็จผลเล็กน้อยแล้ว ยินดีด้วย”


 


 


มั่วชิงเฉินกลับเพียงแค่หัวเราะ เดินไปถึงหมูป่าในไม่กี่ก้าวว่า “อะไรสำเร็จผลเล็กน้อยสำเร็จผลมาก ข้ารู้เพียงว่าวันนี้เรามีเนื้อหมูป่ากินแล้ว”


 


 


ไม่รู้เป็นเพราะสูญเสียการค้ำจุนจากพลังวิญญาณหรือไม่ แม้พวกเขาเลี่ยงธัญพืชแล้ว ความอยากในด้านปากท้องกลับรุนแรงกว่าเมื่อก่อน หากไม่กินอาหารทางโลกเป็นเวลานาน ก็จะรู้สึกหมดแรงไปทั้งตัว


 


 


เริ่มแรกหลัวอวี้เฉิงยังฝืนข่มใจไว้ กลัวกินอาหารที่ไม่มีปราณวิญญาณพวกนี้เป็นเวลานานจะส่งผลร้ายต่อร่างกาย มั่วชิงเฉินกลับไม่สนใจพวกนี้ เมื่อก่อนยามนางอยู่ข้างนอก ขอเพียงเงื่อนไขอำนวยก็จะกินข้าว โดยเฉพาะที่เขาป่าไผ่ ต้องกินข้าวเย็นกับอาจารย์แทบทุกวันไม่ว่าฝนตกแดดออก


 


 


ยามที่หลัวอวี้เฉิงพูดความกังวลออกมา มั่วชิงเฉินกลับหัวเราะว่า “การบำเพ็ญเพียรเดิมทีก็เพื่อให้มีชีวิตอยู่อย่างอิสระยิ่งขึ้น ก็เฉกเช่นอาหารนี้ ตอนนั้นในระหว่างทางที่เรามาหุบเขาไร้วิญญาณไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอะไรทั้งนั้น เมื่อไม่มีของกินก็ไม่จำเป็นต้องไปคิด ทว่าบัดนี้ในเมื่อมีแล้ว ขืนยังคิดไม่ตกว่าจะกินดีหรือไม่กินดีก็ดูเหมือนหาเรื่องใส่ตัวไปสักหน่อยแล้วกระมัง”


 


 


พูดจนหลัวอวี้เฉิงก็โยนความกังวลทิ้งไป กินอย่างสบายอุราขึ้นมา


 


 


หลัวอวี้เฉิงเดินเข้ามา ก้มโค้งจับขาหน้าสองข้างของหมูป่าขึ้นมา ยิ้มเช่นกันว่า “ไปเถอะ”


 


 


สองคนหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง ยกหมูป่าขนาดเท่าภูเขาย่อมๆ เดินไปที่ข้างทะเลสาบอย่างช้าๆ


 


 


มองแผ่นหลังของหลัวอวี้เฉิง มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างไม่มีเสียง


 


 


พริบตาเดียวเวลาผ่านไปสามปี ตอนนั้นคนที่ถูกลมพัดทีก็ล้มไม่คิดว่าบัดนี้จะมีรูปร่างดีเช่นนี้ ดูท่าชีวิตเช่นนี้สำหรับร่างกายของผู้บำเพ็ญเพียรแล้วกลับเป็นการฝึกฝนที่ดีมากแบบหนึ่ง


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ต่อให้ตนไม่อาจฝึกเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา เวลาสามปีนี้ก็ไม่นับว่าเสียเปล่า ก็ดังเช่นหลัวอวี้เฉิง


 


 


มาถึงข้างทะเลสาบ พวกมั่วชิงเฉินสองคนกำลังเตรียมจัดการหมูป่าด้วยกัน ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งทะยานมาแต่ไกล


 


 


“ท่านอาจารย์ปราชญ์…” ชายหนุ่มที่ยังมีความละอ่อนเล็กน้อยเรียกพลางหอบแฮ่กๆ ยกรวงข้าวสีเหลืองทองในมือว่า “ท่านอาจารย์ปราชญ์ ท่านดูสิ เช่นนี้ก็สุกงอมแล้วใช่หรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินมองไปที่รวงข้าว จากนั้นยิ้มว่า “ใช่”


 


 


ชายหนุ่มยิ้มหน้าบานทันที มองมั่วชิงเฉินแล้วคิดจะพูดอะไรแต่กลับเจี๋ยมเจี้ยมไม่พูดอีก


 


 


“โอรสศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้าสามารถเก็บเกี่ยวตามวิธีที่ข้าสอนได้แล้ว รอโม่แป้งสาลีออกมา ข้าค่อยสอนพวกเจ้าทำหมั่นโถวเซาปิ่ง” มั่วชิงเฉินหน้าตายิ้มแย้ม ในใจก็ยินดีเช่นเดียวกัน


 


 


ตั้งแต่สามปีก่อนนางสอนหนังสือให้โอรสศักดิ์สิทธิ์วันละหนึ่งชั่วยาม เวลาที่เหลือก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา นานๆ ทีก็คุยเคล็ดลับการบำเพ็ญเพียรกับหลัวอวี้เฉิง


 


 


หลัวอวี้เฉิงไม่มีวิชายุทธ์ให้ฝึก แรกเริ่มตั้งใจฝึกฝนร่างกาย ถึงตอนหลังไม่คิดว่าจะตามชาวบ้านในหุบเขาไปล่าสัตว์เป็นระยะ ร่างกายก็บึกบึนขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว


 


 


เป็นเช่นนี้ผ่านไปครึ่งปี มั่วชิงเฉินไม่มีอะไรจะสอนให้โอรสศักดิ์สิทธิ์แล้ว หนังสือเขาแทบจะรู้หมดแล้ว กระทั่งข่าวคราวของโลกภายนอกก็บอกเขาไปไม่น้อย ส่วนวิธีการบำเพ็ญเพียร กลับไม่มีความจำเป็นต้องพูด จู่ๆ ก็มีเวลาว่างขึ้นมาหนึ่งชั่วยามกลับทำให้มั่วชิงเฉินไม่ชินขึ้นมา


 


 


ในการล่าสัตว์ครั้งหนึ่งชาวบ้านในหุบเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีที่มั่วชิงเฉินเอาโอสถออกมาไม่น้อยตั้งแต่ก่อนนี้ ในนั้นก็มียามังกรเหลืองด้วย ทาเพียงเบาๆ ก็รักษาชีวิตของสองคนนั้นได้แล้ว ทำให้ชาวบ้านในหุบเขายกย่องให้เป็นชาวสวรรค์ในทันใด


 


 


มองดูชาวบ้านในหุบเขาที่ซาบซึ้งน้ำหูน้ำตาไหล จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็เกิดความคิด การหลอมโอสถในหุบเขาไร้วิญญาณต้องทำไม่ได้แน่นอน ทว่าในหุบเขานี้กลับมีสมุนไพรไม่น้อย หากตนลองเดินดูให้ทั่ว รวบรวมสมุนไพรที่รู้จักขึ้นมา สอนคนของที่นี่รู้จักแยกแยะชื่อสมุนไพร ฤทธิ์ยาและวิธีใช้ กลับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง


 


 


ก็เป็นเช่นนี้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาทุกวันมั่วชิงเฉินจะใช้เวลาชั่วยามกว่าเดินดูรอบๆ ไปทั่ว เจอสมุนไพรก็ขุดออกมานำกลับไป โอรสศักดิ์สิทธิ์พาชาวบ้านที่ความคิดละเอียดอ่อนสองสามคนศึกษาวิธีแยกแยะสมุนไพรด้วยกัน


 


 


พูดไปก็ให้บังเอิญ หนึ่งปีก่อนยามที่มั่วชิงเฉินหาสมุนไพรพบต้นกล้าข้าวสาลีป่าไม่กี่ต้นโดยบังเอิญ จึงรีบนำกลับบ้านศิลาอย่างดีใจ ปลุกบนพื้นที่โล่งหน้าบ้านคอยดูแลตลอดเวลา แล้วแอบรดสุราเลิศรสในขวดน้ำเต้าที่ผสมน้ำจนเจือจางมากลงบนต้นกล้าข้าวสาลีป่า แม้ต้นกล้าข้าวสาลีป่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน กลับต้นอวบขึ้นมาทันที ต่อมาเวลาออกรวงข้าวอย่างไรก็เร็วกว่าข้าวสาลีปกติเล็กน้อย


 


 


หลัวอวี้เฉิงแม้ฉลาดล้ำเลิศ สำหรับการนี้กลับไม่มีความรู้เลย แม้แต่หน้าตาของต้นกล้าข้าวสาลีที่มั่วชิงเฉินนำกลับมาทีแรกเป็นเช่นไรก็จำไม่ได้ ย่อมไม่พบเงื่อนงำใดๆ เป็นธรรมดา


 


 


มั่วชิงเฉินกลับพบว่าพันธุ์ข้าวที่งอกจากต้นกล้าข้าวสาลีป่า อวบอิ่มทุกเม็ด เห็นชัดว่าดีกว่าของข้างนอกไม่น้อย ไม่รู้เพราะธรรมชาติของข้าวสาลีป่าเป็นเช่นนี้อยู่แล้วหรือเพราะเคยรดสุราเลิศรสในขวดน้ำเต้าเซียนมาก่อน


 


 


มั่วชิงเฉินมอบพันธุ์ข้าวที่เก็บเกี่ยวได้ให้โอรสศักดิ์สิทธิ์ ชี้แนะให้พวกเขาปลุกข้าวสาลี สอนวิธีดูแลให้พวกเขา


 


 


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวข้าวสาลีก็สุกงอมแล้ว


 


 


“ท่านอาจารย์ปราชญ์ ขอบคุณท่านมาก เช่นนั้นข้ากลับไปก่อนแล้ว” ชายหนุ่มก้มโค้งคำนับหนึ่งที ก็จะหันหลังจากไป


 


 


“ช้าก่อน” มั่วชิงเฉินเรียก


 


 


ชายหนุ่มหยุดเดินทันที เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ท่านอาจารย์ปราชญ์ ยังมีเรื่องอะไรขอรับ?”


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างจำใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร เด็กหนุ่มคนนี้ก็ยืนยันจะเรียกตนและหลัวอวี้เฉิงเป็นอาจารย์ปราชญ์ แรกเริ่มพวกเขารู้สึกว่าสรรพนามนี้ประหลาดเหลือเกินอีกทั้งยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ทว่าเมื่อนานวันเข้าคนในหุบเขาต่างเรียกพวกเขาเช่นนี้ จนชินจนเป็นเรื่องปกติแล้ว


 


 


“สหายเต๋าหลัว ยืมกระบี่ให้ข้าใช้หน่อย” มั่วชิงเฉินยื่นมือไป


 


 


มองดูมือเรียวเนียนที่มั่วชิงเฉินยื่นมา หลัวอวี้เฉิงยื่นกระบี่รอบนิ้วที่ฝูเฟิงเจินจวินมอบให้ไปอย่างไม่รู้ตัว


 


 


มั่วชิงเฉินรับไปอย่างไม่เกรงใจ นั่งยองๆ ลงมือขึ้นกระบี่ลง ขาหมูข้างหนึ่งก็ถูกตัดออกมา


 


 


“มั่วชิงเฉิน!” หลัวอวี้เฉิงสีหน้าเกร็งตึง กัดฟันเรียก


 


 


มั่วชิงเฉินกลับไม่แม้แต่จะสนใจ พูดกับชายหนุ่มโดยตรงว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์ เจ้าเรียกคนมาสองคนมาหามหมูป่าตัวนี้กลับไปเถอะ”


 


 


ชายหนุ่มรีบเอ่ยว่า “จะได้เช่นไรกัน อาหารเลิศรสเช่นเนื้อหมูป่านี้ ท่านอาจารย์ปราชญ์ทั้งสองเก็บไว้ค่อยๆ รับประทานเถอะ” พูดเช่นนี้ไปพลางกลับกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว


 


 


ชีวิตในหุบเขาลำเค็ญ ชาวบ้านอาศัยการล่าสัตว์และเก็บผลไม้ป่าประทังชีพเป็นหลัก สิ่งที่กินบ่อยที่สุดคือผลไม้ที่ใหญ่เท่าจานกลมชนิดหนึ่ง ผลไม้นั่นชั้นนอกเป็นเปลือกแข็ง เนื้อผลไม้ข้างในหยาบกระด้าง กินแล้วเหมือนเคี้ยวเทียนไข ก็คืออาหารหลักที่ชาวบ้านในหุบเขากินบ่อยที่สุดแล้ว


 


 


พูดให้ถูกต้องคือนอกจากนานๆ ทีล่าสัตว์ได้ไม่กี่ตัวทำให้อาหารการกินดีขึ้น ปกติพวกเขาก็ใช้ผลไม้ชนิดทำให้อิ่มท้อง


 


 


เนื้อหมูป่าอย่าว่าแต่ชาวบ้านธรรมดาเลย ต่อให้เป็นโอรสศักดิ์สิทธิ์ก็ถือว่าเป็นอาหารชั้นเลิศแล้ว


 


 


“ให้เจ้านำกลับไปก็นำกลับไป พูดมากเช่นนี้ทำอะไร เราสองคนกินขาหมูข้างนี้ก็เพียงพอแล้ว” มั่วชิงเฉินถลึงตาใส่


 


 


ชายหนุ่มรีบคารวะอย่างนอบน้อมทันที จากนั้นวางนิ้วมือไว้ที่ริมฝีปาก ผิวเสียงใสกังวานออกมา


 


 


ไม่นานนัก ชายกำยำสูงเท่าภูเขาย่อมๆ สองคนก็วิ่งเท้าเปล่ามาแล้ว ก่อนอื่นเรียกพวกมั่วชิงเฉินสองคนว่าท่านอาจารย์ปราชญ์แล้วคุกเข่ากราบไหว้ จากนั้นจึงยืนก้มหน้าอยู่หน้าชายหนุ่ม


 


 


“พวกเจ้าสองคนหามหมูป่าตัวนี้กลับไป วันนี้เรากินเนื้อกัน” ชายหนุ่มออกคำสั่ง น้ำเสียงปิดความยินดีไม่มิด


 


 


สายตาของชายกำยำสองคนตกลงบนหมูป่าแล้วไม่เบือนสายตาไปที่อื่นอีก ยิ้มจนมุมปากฉีกไปถึงแก้มเห็นฟันเหลืองเต็มปาก แล้วหามหมูป่าที่ขาดขาไปข้างหนึ่งวิ่งทะยานไปอย่างดีใจ มั่วชิงเฉินกระทั่งมองเห็นน้ำลายของชายกำยำสองคนนั้นหกเต็มพื้น


 


 


รอคนเดินไปไกลแล้ว หลัวอวี้เฉิงเดินเข้ามาในสองสามก้าว สีหน้าเย็นเยียบว่า “เอากระบี่รอบนิ้วคืนข้ามา!”


 


 


มั่วชิงเฉินยื่นกระบี่รอบนิ้วไป เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “จำเป็นต้องใจแคบเช่นนี้หรือ?”


 


 


หลัวอวี้เฉิงมองกระบี่รอบนิ้วอย่างสงสารเดิมไม่คิดจะเอาเรื่องแล้ว ได้ยินคำพูดของมั่วชิงเฉินแล้วไฟโกรธลุกพรึบขึ้นมาทันที เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “มั่วชิงเฉิน เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คืออะไร?” พูดพลางยกกระบี่รอบนิ้วในมือขึ้น


 


 


มั่วชิงเฉินถอยหลังหนึ่งก้าว กะพริบตาว่า “เจ้าจะทำอะไร จะฆ่าคนหรือ?”


 


 


หลัวอวี้เฉิงโมโหจนชะงัก จากนั้นโกรธว่า “ฆ่าคน? ถ้าฆ่าคนยังดี นี่เป็นสมบัติวิเศษชั้นสูงเชียวนะ เจ้า เจ้ากลับเอามันมาฆ่าหมู!”


 


 


มั่วชิงเฉินนั่งยองๆ ลงมาอย่างไม่สนใจใคร เริ่มจัดการขาหมูข้างนั้น ปากก็เอ่ยว่า “ข้ายังนึกว่าเจ้าจะทำอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้ ฆ่าคนฆ่าหมูต่างอะไรกัน ให้มันได้ทำหน้าที่ของมันเท่านั้น”


 


 


“เช่นนั้นไยเจ้าไม่ใช้กระบี่ชิงมู่ของตนล่ะ!” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน


 


 


ตอนนั้นพวกเขาใช้พลังวิญญาณหมดตัวฝืนเปิดถุงเก็บวัตถุออก เขาเห็นผู้หญิงคนนี้ของตกเต็มพื้นกับตา ในนั้นก็มีกระบี่ชิงมู่อยู่


 


 


มั่วชิงเฉินถอนขนหมูไปพลาง หน้าก็ไม่เงยว่า “ไม่อาจร่ายเคล็ดวิชากระบี่ได้ กระบี่ชิงมู่เล่มนั้นของข้าต่างอะไรกับท่อนไม้ท่อนหนึ่ง เจ้าคิดว่าสามารถเฉือนหมูป่าที่เนื้อหนาหนังหยาบเช่นนี้ได้หรือ? พอแล้วน่ะ อย่าโมโหเลย อีกสักครู่ก็มีเนื้อหมูป่ากินแล้ว วันนี้เราย่างกินกัน”


 


 


ได้ยินขาหมูย่าง ไม่คิดเลยว่าท้องของหลัวอวี้เฉิงจะร้องขึ้นมาอย่างไม่รักดี เห็นมั่วชิงเฉินอมยิ้มมองมา จึงนั่งลงอย่างอารมณ์เสีย ในใจแอบคิดว่าผู้หญิงคนนี้แม้ชั่วร้าย มักทำจนเขาตอบโต้ไม่ได้ แต่กลับมีฝีมือในการทำอาหาร ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรหญิงในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรนี้ก็นับว่าหายากแล้ว


 


 


เห็นหลัวอวี้เฉิงหายโกรธแล้ว มั่วชิงเฉินเร่งมือขึ้น ครู่เดียวก็จัดการเนื้อหมูป่าเรียบร้อย ก่อไฟแล้วเริ่มย่างขึ้นมา


 


 


มั่วชิงเฉินพลิกเนื้อเป็นระยะ น้ำมันหยดลงกองไฟส่งเสียงดังชี่ๆ เปลวไฟสีแดงพุ่งขึ้นมา แสงไฟส่องลงบนหน้านาง ขับจนสีหน้าดังเมฆยามต้องแสงอาทิตย์


 


 


ไม่นานนักกลิ่นหอมเย้ายวนใจก็ลอยมา มั่วชิงเฉินรีบใช้แปรงเล็กทาน้ำผึ้งดอกท้อที่ไม่ยอมกินมาตลอดลงไป โรยเกลือเล็กน้อยแล้วพลิกอีกที


 


 


มองท่าทางย่างเนื้ออย่างตั้งใจและใจเย็นของมั่วชิงเฉินแล้ว จู่ๆ หลัวอวี้เฉิงก็เบือนหน้าไป แล้วถอนใจแผ่วเบาจนไม่ได้ยิน


 


 


“อ้าว เสร็จแล้ว รีบกินตอนร้อนๆ” มั่วชิงเฉินยื่นเนื้อที่ย่างเสร็จแล้วไป


 


 


“ขอบใจ” หลัวอวี้เฉิงยื่นมือรับไปกินคำหนึ่ง เนื้อย่างร้อนกรุ่นกระตุ้นปุ่มรับรส อีกทั้งยังมีรสชาติจางๆ ของน้ำผึ้งดอกท้อ รู้สึกสดนุ่มไร้เทียมทานทันปี หอมคลุ้งไปทั้งปาก จึงรีบกินเหมือนตายอดตายอยากขึ้นมา


 


 


มั่วชิงเฉินที่พลิกเนื้ออย่างเงียบๆ ข้างๆ เห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมา ความคิดกลับค่อยๆ บินไปไกล


 


 


ฝีมือทำอาหารของตนนับวันยิ่งดีขึ้นจริงๆ ไม่ว่าออกไปท่องเที่ยวฝึกตนตามลำพังคนเดียว หรือว่าหลายปีนี้ที่อยู่ร่วมกับหลัวอวี้เฉิง กระทั่งเมื่อก่อนยามที่ออกไปกับพวกต้วนชิงเกอ หากเกิดนึกอยากกินอะไรขึ้นมา ดูเหมือนคนที่ลงมือทำล้วนเป็นตนเอง


 


 


มีคนชื่นชมอาหารที่ตนทำย่อมเป็นเรื่องดีมาก ทว่าคิดดูดีๆ แล้ว หลายปีมานี้ ที่ตนสามารถนั่งรออาหารที่ทำเสร็จแล้ว ก็มีเพียงยามที่อยู่กับอาจารย์เท่านั้น


 


 


ความคำนึงถึงที่ฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจมาตลอดถูกสะกิด ท่ามกลางการขับของแสงไฟ หน้าตามั่วชิงเฉินอ่อนโยนขึ้นมา


 


 


กลิ่นไหม้จางๆ สายหนึ่งลอยมา


 


 


“ไหม้แล้ว!” หลัวอวี้เฉิงเตือนว่า


 


 


มั่วชิงเฉินถึงได้สติกลับมา หยิบเนื้อที่ไหม้เล็กน้อยขึ้นมาส่งไปที่ปาก


 


 


จู่ๆ มือข้างหนึ่งก็ยื่นมาแย่งเนื้อไม้นั้นไป เสียงนิ่งเรียบของหลัวอวี้เฉิงลอยมา “ข้าชอบกินที่ย่างนานหน่อย” พูดพลางยัดเนื้อในมือที่ยังไม่ได้แตะเข้ามือมั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินมองเนื้อในมือแล้วเพ่งพิศหลัวอวี้เฉิงปราดหนึ่งอย่างสงสัย หากนางเข้าใจถูกต้อง หรือว่านี่เขากำลังแสดงความเป็นห่วงอย่างเคอะเขิน?


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ก็รู้สึกประหลาดขึ้นมาทันที


 


 


หลัวอวี้เฉิงถูกนางมองจนจากอายเปลี่ยนเป็นโกรธ แล้วเบือนสายตามองไปที่ผิวทะเลสาบ


 


 


ในเวลานี้เอง ผิวทะเลสาบที่เดิมทีเงียบสงบไร้คลื่นลมจู่ๆ ก็ระเบิดน้ำขึ้นสูงหลายจั้ง กลางเสียงน้ำซู่เห็นอสูรปีศาจอัปลักษณ์ตัวมหึมากระโดดขึ้นผิวน้ำเป็นระยะๆ ร่างกายพลิกตัวไปมา


 


 


“ปลาดุก!” ทั้งสองคนลุกขึ้นยืนทันที ประสานตากันปราดหนึ่ง


 


 


“ดูสิ!” มั่วชิงเฉินยื่นนิ้วมือชี้ไปบนฟ้า


 


 


หลัวอวี้เฉิงเงยหน้าขึ้น ก็เห็นบนฟ้าเมฆดำยิ่งรวมตัวยิ่งหนาแน่น กดอัดลงมาตรงๆ ยังมีเสียงฟ้าร้องรางๆ อีก


 


 


เมฆดำปกคลุม เกรงว่าก็คือเหตุการณ์เช่นนี้กระมัง มั่วชิงเฉินแอบถอนใจ


 


 


หากนางคาดไม่ผิด ความผิดปกติเช่นนี้ของปลาดุกน่าจะเพราะผลไม้เซียนใต้ทะเลสาบกำลังจะสุกแล้ว!


 


 


ที่จริงเริ่มนับจากที่พวกเขาเพิ่งเข้าหุบเขา ผลไม้เซียนน่าจะต้องปีที่สี่ถึงปีที่ห้าถึงสุกได้ ทว่าเพราะสัญญาแปดปีของนางและหัวหน้าตระกูลหวังกลับรอนานเช่นนั้นไม่ได้แล้ว จึงแอบสาดสุราเลิศรสในขวดน้ำเต้าเซียนลงไปสักหน่อย ผลไม้เซียนจึงสุกก่อนเวลาหนึ่งปีอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง


 


 


มั่วชิงเฉินเตรียมใจไว้นานแล้วว่าผลไม้เซียนจะสุกในปีนี้ ทว่าวันไหนอย่างเป็นรูปธรรมกลับไม่อาจรู้ได้ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นวันนี้!


 


 


“นี่ นี่คือเมฆเคราะห์กรรม!” หลัวอวี้เฉิงจ้องเมฆดำเหนือศีรษะเขม็ง แล้วพูดเสียงหลง


 


 


ตามคำเล่าลือผู้บำเพ็ญเพียรถึงระดับพิชิตเคราะห์กรรมก็จะต้องเจอกับเคราะห์กรรมสวรรค์ พิชิตไม่ได้ก็จะเข้าสู่วัฏสงสาร พิชิตได้แล้วก็จะก้าวเข้าระดับมหายาน บินขึ้นโลกเซียน


 


 


หลายแสนปีมานี้ โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรไม่เคยมีคนเห็นว่าเคราะห์กรรมสวรรค์เป็นเช่นไร ทว่ากลับมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงไม่น้อยเคยเห็นเหตุการณ์ที่อสูรปีศาจพิชิตเคราะห์กรรม


 


 


อสูรปีศาจและผู้บำเพ็ญเพียรนั้นก็ต่างกันอีก ยามที่พวกมันจากขั้นเจ็ดเลื่อนเข้าขั้นแปดก็จะต้องเจอกับเคราะห์อัสนีจำแลงกาย หากสำเร็จก็จะเข้าระดับจำแลงกาย ถอดร่างอสูรดูแล้วไม่ต่างจากมนุษย์แล้ว


 


 


นอกจากนี้ ก็คือในยามที่โอสถฝืนลิขิตฟ้าออกจากเตาหรือยามที่สมบัติวิเศษฟ้าดินปรากฏ ล้วนจะนำเคราะห์อัสนีมา ส่วนภาพตรงหน้า ต้องเป็นผลไม้เซียนนำเคราะห์อัสนีมาอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว


 


 


ด้วยเหตุนี้ย่อมรู้ว่าผลไม้เซียนนั้นล้ำค่าเพียงใดแล้ว!


 


 


พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง แล้วกระโดดลงทะเลสาบพร้อมกัน 

 

 


ตอนที่ 248 เมฆมาเจียวหลงเกิด

 

ปลาดุกเห็นมนุษย์ที่จ้องผลไม้เซียนตาเป็นมันมาตลอดบุกเข้าถิ่นของตน จึงคลุ้มคลั่งทันที คำรามด้วยความโกรธพลางว่ายมาหาทั้งสองคน ความเร็วเร็วจนน่าตกใจ ท่าทางลื่นไหลไร้อันตรายแต่ก่อนหายไปไม่เห็นอีก


 


 


พวกมั่วชิงเฉินสองคนเข้าตะลุมบอนกับปลาดุก


 


 


แม้พวกเขาใช้คาถาไม่ได้ ดีที่ปลาดุกก็ไม่รู้วิชาจู่โจมใดๆ เช่นกัน เพียงแต่อาศัยร่างกายที่แข็งแกร่งพุ่งเข้าชนอย่างไม่ลืมหูลืมตา


 


 


เห็นปลาดุกพุ่งเข้ามา มั่วชิงเฉินหลบเข้าข้างๆ เพราะว่าอยู่ในน้ำอย่างไรเสียความเร็วก็ถูกจำกัด ไหล่ครึ่งหนึ่งเกือบถูกปลาดุกชนถูก


 


 


ในยามนี้กระบี่รอบนิ้วของหลัวอวี้เฉิงแทงมา


 


 


กระบี่รอบนิ้วเป็นสมบัติวิเศษชั้นสูง บัดนี้แม้ไม่สามารถเคลื่อนพลังวิญญาณได้ อาศัยเพียงความคมของตัวมันเองก็มีพลานุภาพพอสมควรเช่นกัน


 


 


สัมผัสได้ถึงอันตราย ปลาดุกว่ายออกไปอย่างคล่องแคล่วทันที แล้วอ้าปากพ่นน้ำออกสายหนึ่งใส่หลัวอวี้เฉิง


 


 


สายน้ำพุ่งถูกตัวหลัวอวี้เฉิง หลัวอวี้เฉิงโซเซทันที แล้วตกลงไปในน้ำ


 


 


ปลาดุกเผยท่าทางดุร้ายออกมาไล่ตามหลัวอวี้เฉิงไป


 


 


มั่วชิงเฉินกัดฟันจมร่างลงไป พุ่งเข้าหาผลไม้เซียน


 


 


ปลาดุกเห็นดังนั้นรีบเลี้ยวกลับไล่ตามมาทันที


 


 


ถึงใต้น้ำ มุกกันน้ำสำแดงฤทธิ์เดช สร้างที่กั้นขึ้นรอบตัวมั่วชิงเฉินชั้นหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินไม่สนใจปลาดุกที่ไล่ตามมาอย่างเร็วด้านหลัง ร่างกายวิ่งไปข้างหน้าอย่างคล่องแคล่ว ไปถึงที่ที่หญ้าเซียนขึ้นอยู่อย่างรวดเร็ว


 


 


ยอดหญ้าเซียน ผลไม้เซียนสามผลสีแดงสด เห็นชัดว่ากำลังใกล้จะสุกงอมแล้ว


 


 


ปลาดุกเห็นมนุษยที่น่ารังเกียจบังอาจไปเด็ดสมบัติล้ำค่าที่มันเฝ้าปกป้องมาหลายร้อยปี จึงสะบัดร่างกายทันทีกวนจนน้ำกระเพื่อมไปทั่ว กลายเป็นน้ำวนเชี่ยวกราก กลับจู่ๆ ก็รู้สึกว่าเจ็บอย่างสาหัสที่กลางหัว ร่างกายมหึมาแข็งทื่อในบัดดล


 


 


มั่วชิงเฉินมองปลาดุกอย่างเย็นชา มือห่างจากผลไม้เซียนไม่เกินสามนิ้ว เอ่ยเสียงร้ายกาจว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้าฟังเข้าใจหรือไม่ หากเจ้าบ้าขึ้นมาอีก ข้าก็จะทำลายผลไม้เซียนนี่เสีย ให้เจ้าออกจากที่นี่ไม่ได้ตลอดชีวิต!”


 


 


ที่มั่วชิงเฉินพูดเช่นนี้เดิมทีเป็นการหยั่งเชิง กลับไม่คิดว่าปลาดุกหยุดอยู่กับที่จริงๆ แม้สีหน้าเกรี้ยวกราดกลับไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่ก้าวเดียว


 


 


มันฟังเข้าใจจริงๆ ด้วย!


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกดีใจ ฟังเข้าใจก็ง่ายแล้ว เมื่อครู่ฉวยโอกาสที่มันไม่ทันระวังตนใช้จิตตระหนักลอบจู่โจม แม้ได้ผลดีกลับเหนื่อยมาก หากปลาดุกนี่สู้อย่างไม่คิดชีวิต การจู่โจมสะท้อนกลับ เช่นนั้นตนก็ซวยแล้ว


 


 


ในเวลานี้ หลัวอวี้เฉิงก็หอบแฮ่กๆ รุดมาถึงแล้ว


 


 


สองคนหนึ่งอสูรประจันหน้ากัน


 


 


ในยามนี้เอง สายฟ้าสายหนึ่งจู่ๆ ก็ผ่าลงจากฟ้า ทะลุน้ำในทะเลสาบฟาดลงบนหญ้าเซียน หญ้าเซียนส่ายไปมาทันที


 


 


สองคนหนึ่งอสูรมองมาที่หญ้าเซียนในทันใด


 


 


ในยามที่หญ้าเซียนเพิ่งหยุดส่าย สายฟ้าอีกสายหนึ่งก็ผ่าลงมาอีก ครั้งนี้ หญ้าเซียนส่ายยิ่งรุนแรงขึ้นแล้ว สายฟ้าสายที่สามผ่ามา ส่วนหนึ่งของลำต้นหญ้าเซียนถูกผ่าขาดเสียแล้ว ผลไม้เซียนที่อยู่ที่ยอดส่ายไปมาจะตกมิตกแหล่


 


 


เมื่อยามที่สายฟ้าสายที่สี่ผ่าลง พวกมั่วชิงเฉินสองคนกำลังจะเคลื่อนไหวก็เห็นปลาดุกพุ่งตัวขึ้นในทันใด ใช้ร่างกายบังสายฟ้าที่ผ่าลงมาไว้


 


 


ปลาดุกถูกสายฟ้าฟาด คลื่นไฟฟ้ากระจายไปทั่วร่างทันที มันบิดตัวอย่างคลุ้มคลั่งสีหน้าเจ็บปวดเหลือคณา


 


 


ไม่นานนัก สายฟ้าอีกสายหนึ่งผ่าลงอีก ฟาดลงบนตัวปลาดุกตรงๆ ปลาดุกคำรามด้วยความเจ็บปวดพลางพลิกตัวไปมา กลับไม่ได้หนีไปแม้ก้าวเดียว


 


 


“นี่เป็นสายฟ้าสายที่ห้าแล้ว ข้างหลังเกรงว่ายังมีอีกสองสาย!” หลัวอวี้เฉิงตะโกนเสียงดัง


 


 


นอกจากเคราะห์กรรมสวรรค์ในตำนานแยกเป็นสามเก้า สี่เก้า หกเก้า เก้าเก้าแล้ว เช่นเคราะห์อัสนีจำแลงกายของอสูรปีศาจ เคราะห์อัสนีสำเร็จโอสถของโอสถฝืนลิขิตฟ้า เคราะห์อัสนีของสมบัติวิเศษฟ้าดินปรากฏต่อโลก ปกติทั่วไปล้วนมีเก้าสาย หรือก็คือเคราะห์อัสนีหนึ่งเก้า


 


 


“สหายเต๋ามั่ว ข้าจะอัญเชิญอาวุธเวทป้องกัน เจ้าเฝ้าผลไม้เซียนไว้ให้ดี” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างไม่ลังเล


 


 


แล้วก็เห็นหลัวอวี้เฉิงยกมือโยนร่มกระดาษน้ำมันสีเขียวออกด้ามหนึ่ง เพราะไม่มีพลังวิญญาณค้ำจุน ร่มกระดาษน้ำมันสีเขียวก็ไม่ต่างอะไรกับร่มกระดาษน้ำมันทั่วไป ยามที่ส่ายไปส่ายมาบินไปหาผลไม้เซียนมั่วชิงเฉินยังห่วงว่ามันจะร่วงลงกลางทาง


 


 


ในเวลานี้เอง สายฟ้าสายหนึ่งฟาดลง ช่วงเส้นยาแดงผ่าแปดร่มกระดาษน้ำมันส่องแสงเจิดจ้าขึ้นในทันใด กางออกดังพรึบ ครอบหญ้าเซียนไว้ภายใน


 


 


แทบจะในยามเดียวกับที่กันสายฟ้าไว้ ร่มกระดาษน้ำมันมืดมนอับแสงลงทันที แล้วร่วงลงไปตรงๆ มั่วชิงเฉินมือไวตาเร็วจับไว้ได้ มองดูร่มกระดาษน้ำมันที่ขาดรุ่งริ่งแล้วสูดลมเข้าอึดหนึ่ง


 


 


ที่จริงร่มกระดาษน้ำมันนี้เป็นอาวุธเวทป้องกันที่ไม่เลวทีเดียว เสียดายที่หลัวอวี้เฉิงโคจรพลังวิญญาณทั่วร่าง ทำได้เพียงฝืนเคลื่อนร่มกระดาษน้ำมันในชั่วขณะที่ปล่อยออกเท่านั้น ต่อจากนั้นพลังวิญญาณทั้งหมดกระจายหายไปในอากาศ อาวุธเวทที่ไม่มีพลังวิญญาณคอยค้ำจุนจึงมีจุดจบเช่นนี้


 


 


“สหายเต๋าหลัว รับไว้ โอสถระเบิดวิญญาณ” มั่วชิงเฉินโยนขวดหยกขาวใบหนึ่งข้ามไป


 


 


พวกเขาทั้งสองต่างเป็นคนหัวไว เมื่อยามที่หลัวอวี้เฉิงให้นางเฝ้าผลไม้เซียนไว้ให้ดี ความหมายในคำพูดก็คือเคราะห์อัสนีที่เหลือสองสายปล่อยให้เขารับมือ นางเพียงแต่รักษาผลไม้เซียนให้อยู่ในสภาพดีเยี่ยมก็พอแล้ว


 


 


สำหรับการนี้มั่วชิงเฉินไม่คัดค้านเลยแม้แต่น้อย ระหว่างพวกเขาสองคน อย่างไรก็ต้องมีคนหนึ่งลุกออกมารับมือเคราะห์อัสนี อีกคนออมพละกำลังให้เต็มที่เพื่อรับมือการแย่งชิงผลไม้เซียนหลังเคราะห์อัสนีผ่านไป


 


 


เปรียบเทียบกันแล้ว นางที่มีฝีมือในการโจมตีจิตตระหนักย่อมเหมาะกับภารกิจข้างหลังมากกว่า


 


 


หลัวอวี้เฉิงชะงักแผ่วเบา ดูจากสีหน้าจะเห็นได้ว่าเขาไม่รู้ว่าโอสถระเบิดวิญญาณคือโอสถอะไร แต่กลับอ้าปากกลืนโอสถลงไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทันใดนั้นรู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณในร่างกายระเบิดออก เพียงชั่วพริบตาพลังวิญญาณในกายก็ฟื้นฟูดังเดิมแล้ว


 


 


ยามนี้เอง สายฟ้าสายที่เจ็ดฟาดลงจากฟ้าแล้ว


 


 


หลัวอวี้เฉิงยกมือโยนยันต์สีเหลืองดินใบหนึ่งออกไป ขยายออกบนท้องฟ้าเหนือหญ้าเซียนกลายเป็นโล่ทองอันหนึ่ง


 


 


“ยันต์โล่ทอง!” ตามั่วชิงเฉินฉายแววประหลาดใจ ยันต์โล่ทองเป็นยันต์ป้องกันชั้นสูงระดับล่าง ราคาไม่ธรรมดา ดูท่าในมือหลัวอวี้เฉิงมีของดีไม่น้อยทีเดียว


 


 


ยันต์โล่ทองชั้นสูงระดับล่างแผ่นนี้ นับว่าต้านการโจมตีครั้งสุดท้ายของเคราะห์อัสนีไว้ได้พอดี


 


 


เมฆดำบนฟ้าเหนือทะเลสาบกระจายหายไปทันที เผยให้เห็นเมฆขาวเรืองรอง หมอกห้าสีส่องประกายรางๆ สวยงามเหมือนฟ้าหลังฝน อากาศสะอาดสดชื่น


 


 


กลิ่นหอมน่าอัศจรรย์สายหนึ่งตลบอบอวลพุ่งเข้ามา มั่วชิงเฉินเพ่งสายตาดู ผลไม้เซียนแดงสดเสียจนเหมือนมีเลือดหยดออกมา ส่ายเบาๆ บนยอดหญ้าดูเหมือนจะร่วงลงมาได้ตลอดเวลา เห็นชัดว่าสุกงอมแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินยื่นมือไปหาผลไม้เซียน


 


 


ปลาดุกที่เบิกตาจนกลมดิ๊กส่ายหางอย่างรุนแรงทันที พ่นสายน้ำออกจากปากสายหนึ่ง พุ่งตรงใส่มือมั่วชิงเฉิน


 


 


“เจ้าอย่าเหลวไหล ผลไม้เซียนตกพื้นจะเสียทันที!” มั่วชิงเฉินถูกสายน้ำซัดจนร่างกายเซไปมา ปากก็ตะโกนเสียงร้ายกาจ


 


 


ปลาดุลกลับดูเหมือนฟังไม่เข้าใจ อ้าปากปุ๊บสายน้ำก็พ่นออกมาอีกสายหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินปกป้องผลไม้เซียนไว้อย่างแข็งขัน แข็งใจใช้ร่างกายต้านสายน้ำนี้ไว้ แล้วตะโกนอีกครั้งว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าฟังรู้เรื่อง เจ้าดูสิ ที่นี่มีผลไม้เซียนสามผล ไยเราต้องแย่งกันจนหัวร้างข้างแตกด้วย หากไม่ระวังทำผลไม้เซียนร่วงสักผลหนึ่ง เช่นนั้นก็ต้องไม่ตายไม่เลิกรากันจริงๆ แล้ว!”


 


 


ในที่สุดปลาดุกก็หยุดขยับ แล้วมองมั่วชิงเฉินอย่างลังเล


 


 


มั่วชิงเฉินถูกสายน้ำสองสายซัดติดๆ กันจนเจ็บไปทั้งตัว ตัวสั่นไม่หยุด แล้วฝืนยิ้มว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเฝ้าผลไม้เซียนมาหลายร้อยปีนั้นไม่ง่าย ทว่าผลไม้เซียนนี่กินมากไปก็ไร้ประโยชน์ บัดนี้เรามีสามคนพอดี แบ่งผลไม้สามผลอย่างเท่าเทียมกันไม่มีหรือ เจ้ายอมสู้กับเราจนเจ้าไม่ตายก็ข้าม้วยจริงๆ หรือ?”


 


 


ปลาดุกส่ายตัวแผ่วเบาไปมา ดูเหมือนหวั่นไหวแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินมองหลัวอวี้เฉิงที่หมดสติไปแล้ว แล้วกวาดมองผลไม้เซียนที่จะร่วงแหล่มิร่วงแหล่ปราดหนึ่ง เอ่ยเสียงเข้มว่า “ผลไม้เซียนจะสุกงอมจนร่วงแล้ว หากเจ้ายังคิดจะสู้ตายข้าก็ไม่กลัวเจ้าหรอกนะ ทว่าข้าจะบอกเจ้าตรงๆ ผลไม้เซียนนี่เราสองคนจะต้องเอามาให้จงได้!”


 


 


พูดถึงตรงนี้เห็นปลาดุกส่ายหางโกรธขึ้นมาเล็กน้อย จู่ๆ ในใจก็คิดอะไรขึ้นมาได้ รีบเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากลัวเราสองคนไม่รักษาสัญญา ยึดผลไม้เซียนไว้เอง?”


 


 


เพิ่งสิ้นเสียง ปลาดุกส่ายหัวอันใหญ่โตไปมาแล้วพยักหน้า


 


 


มั่วชิงเฉินปวดศีรษะแล้วหัวเราะว่า “ข้าบอกแล้ว ผลไม้เซียนนี่กินมากไปก็ไร้ประโยชน์ เราจะยึดไว้เองทำอะไร ข้าจะพูดอีกครั้งหนึ่ง ผลไม้สามผลนี้ เราคนละผล เจ้าเข้าใจหรือยัง?”


 


 


ในยามนี้เอง ผลไม้แดงสดที่อยู่บนยอดหญ้าเซียนจู่ๆ ก็ตกลงมา


 


 


มั่วชิงเฉินมือไวตาเร็วจับไว้ แล้วจับไปที่ผลไม้เซียนอีกสองผล


 


 


เอาเป็นว่าที่ควรพูดนางก็พูดหมดแล้ว หากปลาดุกยังดึงดันเหมือนเดิมนางก็ยินดีสู้ไปถึงที่สุด อย่างมากก็สู้จนดวงจิตเสียหาย ก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถเอาผลไม้เซียนมาให้ได้ มิเช่นนั้นพวกเขาต้องถูกกักอยู่นี่ตลอดชีวิตแล้วจริงๆ


 


 


การโจมตีจิตตระหนักก่อนหน้านี้ของมั่วชิงเฉินอย่างไรเสียก็สะเทือนขวัญปลาดุกไม่น้อย กระทั่งมันก็ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจู่โจมเช่นไรกัน จึงเกิดความหวาดหวั่นอย่างไม่รู้ตัวจากก้นบึ้งของหัวใจ อีกทั้งได้ฟังคำสัญญาจากอีกฝ่าย เห็นนางเด็ดผลไม้เซียนก็เพียงแค่ร่างกายส่ายทีหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว กลับไม่ได้จู่โจม


 


 


มั่วชิงเฉินหันหน้าเผชิญหน้ากับปลาดุก สีหน้าสงบในใจกลับแอบโล่งอก เป็นเช่นนี้ได้ก็ดีที่สุดแล้ว ปากเอ่ยว่า “ข้าจะพาสหายขึ้นฝั่ง เจ้าตามพวกเราไป ถึงฝั่งแล้วข้าก็จะโยนผลไม้เซียนให้เจ้าผลหนึ่ง”


 


 


พูดจบไม่รอให้ปลาดุกแสดงความเห็นใดๆ เพียงไม่กี่ก้าวก็เดินไปถึงข้างกายหลัวอวี้เฉิง แล้วก้มตัวพยุงเขาขึ้นมา ให้เขาพิงตนเองไว้แล้วค่อยๆ ว่ายขึ้นข้างบน


 


 


โชคดีที่ตนมีมุกกันน้ำสองเม็ด สามปีมานี้ทั้งสองคนผลักกันไปสังเกตหญ้าเซียนและปลาดุกที่ก้นทะเลสาบ จึงให้หลัวอวี้เฉิงไว้เม็ดหนึ่ง หากมิเช่นนั้นวันนี้ก็ต้องแบกทั้งหมดนี้เพียงคนเดียวแล้ว


 


 


ถึงฝั่ง มั่วชิงเฉินหันหลังมา แล้วก็เห็นปลาดุกโผล่พ้นน้ำมาครึ่งตัว จ้องนางนิ่งไม่ขยับเขยื้อน


 


 


ในชั่วขณะหนึ่ง มั่วชิงเฉินเกิดความคิดขึ้นมาความคิดหนึ่งว่า หากตนหันหลังวิ่งไปจริงๆ ปลาดุกตัวนี้หรือว่าจะยังสามารถไล่ตามขึ้นฝั่งมาได้เช่นนั้นหรือ?


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้แล้วจู่ๆ ก็ทอดถอนใจ ถึงที่สุดแล้วอสูรปีศาจก็จิตใจบริสุทธิ์กว่ามนุษย์มาก ตนบอกว่าผลไม้สามผลแบ่งเท่าๆ กันได้พอดี ไม่ยึดไว้เองหรอก มันก็เชื่อเช่นนี้แล้ว กระทั่งยังไม่แม้แต่จะห้ามตนที่พาสหายกลับขึ้นฝั่งก่อน


 


 


“ให้เจ้า” มั่วชิงเฉินยกมือโยนผลไม้แดงสดผลหนึ่งออกไป


 


 


ปลาดุกเห็นดังนั้นกระโดดออกจากผิวน้ำ อ้าปากอันใหญ่โตกลืนผลไม้เซียนลงไป


 


 


ปลาดุกที่กลืนผลไม้เซียนเข้าไปจมลงก้นทะเลสาบช้าๆ ผิวทะเลสาบค่อยๆ สงบลง มองไปจะเห็นน้ำสีมรกตคลื่นเป็นระลอก ลึกมิอาจหยั่งได้


 


 


มั่วชิงเฉินเก็บผลไม้เซียนขึ้น แล้วลากหลัวอวี้เฉิงกลับบ้านศิลา


 


 


วางหลัวอวี้เฉิงไว้บนเตียง มองดูสีหน้าซีดคล้ำของเขา มั่วชิงเฉินถอนใจแผ่วเบา ผลข้างเคียงหลังจากกินโอสถระเบิดวิญญาณนางประจักษ์กับตนเองมาอย่างลึกซึ้ง ภายในสามวัน ไม่ต้องคิดจะขยับเขยื้อนแม้สักทีแล้ว


 


 


ดีที่หลัวอวี้เฉิงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเลี่ยงธัญพืชแล้ว ก็ไม่ต้องให้ตนห่วงสักเท่าไร


 


 


มั่วชิงเฉินกลับเข้าบ้านศิลาของตน ถึงรู้สึกว่าทั่วทั้งตัวเจ็บปวดเหลือคณา หยิบน้ำเต้าน้อยที่แขวนอยู่ที่คอลงมาส่ายมือหนึ่งที ขวดน้ำเต้าก็ใหญ่ขึ้นทันที แล้วแหงนหน้ากรอกสุราเลิศรสเข้าไปหลายอึก ถึงรู้สึกสบายขึ้นมาสักหน่อย


 


 


แขวนขวดน้ำเต้ากลับไปที่คอ นางถึงหลับตาพักผ่อนขึ้นมา


 


 


วันที่สอง มั่วชิงเฉินใช้เนื้อหมูป่าที่เหลือผสมกับผักป่าทำโจ๊กขึ้นมาสองชาม ตนเองกินชามหนึ่ง ยกอีกชามหนึ่งเดินไปที่บ้านศิลาของหลัวอวี้เฉิง


 


 


“สหายเต๋าหลัว” มั่วชิงเฉินยืนเรียกอยู่หน้าประตู ตามประสบการณ์ยามนี้เขาน่าจะฟื้นแล้ว


 


 


เสียงนิ่งเรียบของหลัวอวี้เฉิงดังมาจากในบ้านจริงๆ “เข้ามาเถอะ”


 


 


มั่วชิงเฉินผลักประตูเข้าไป ส่งโจ๊กเนื้อร้อนควันกรุ่นไปถึงข้างปากเขาว่า “รีบกินตอนร้อนๆ เถอะ ความรู้สึกที่กินโอสถระเบิดวิญญาณไม่ดีหรอกนะ กินอะไรหน่อยจะฟื้นฟูได้เร็วขั้น”


 


 


“ได้ผลไม้เซียนมาแล้วหรือ?” หลัวอวี้เฉิงกวาดมองโจ๊กเนื้อปราดหนึ่งแล้วถาม


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มละไมว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นเจ้ารีบกินข้าว ฟื้นฟูกำลังเร็วๆ ถึงเวลาพวกเราก็กินผลไม้เซียนได้ จะได้ออกจากที่นี่เร็วหน่อย”


 


 


“อืม” หลัวอวี้เฉิงพยักหน้าเบาๆ


 


 


กินโจ๊กเนื้อหมดชาม หลัวอวี้เฉิงรู้สึกสบายตัวขึ้นมากจริงๆ ถามว่า “โอสถระเบิดวิญญาณที่เจ้าให้ข้ากินคือโอสถอันใด ไยไม่เคยเห็นมีขายในตลาดมาก่อน?”


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะว่า “ที่แท้ยังมีของที่เจ้าไม่รู้อีก”


 


 


หลัวอวี้เฉิงกระดกมุมปากขึ้นเย้ยหยันตนเองว่า “คนมีทั้งเรื่องที่เก่งและไม่เก่ง ใครจะรู้ไปเสียทุกอย่างล่ะ”


 


 


มั่วชิงเฉินแอบว่า บัดนี้เจ้าพูดเช่นนี้ ยามที่เพิ่งรู้จักกัน ก็ไม่รู้ว่าใครที่ต่างออกไปอยู่บนฟ้าโน่น เวลามองคนมักมองด้วยแววตามองคนโง่


 


 


“โอสถระเบิดวิญญาณแปรผันมาจากโอสถเติมวิญญาณ โอกาสที่จะหลอมออกมาได้ต่ำมาก เมื่อใดที่ได้โอสถระเบิดวิญญาณล้วนถูกนักหลอมโอสถเก็บไว้อย่างดี หรือส่งต่อให้คนสนิทกันในราคาสูง ในตลาดย่อมหาไม่ได้เป็นธรรมดา” มั่วชิงเฉินอธิบาย


 


 


“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” หลัวอวี้เฉิงพึมพำว่า จากนั้นยักคิ้วว่า “เช่นนี้แล้ว โอสถระเบิดวิญญาณนี่เจ้าหลอมเองออกมากับมือแล้วสิ?”


 


 


มั่วชิงเฉินถลึงตาใส่ “สหายเต๋าหลัว เจ้าไม่รู้สึกว่าถามมากเกินไปหน่อยหรือ? ใช่แล้ว ข้ายังอยากถามเจ้า หากข้าไม่มีโอสถระเบิดวิญญาณ เจ้ากะจะรับมือเคราะห์อัสนีสายสุดท้ายเช่นไร?”


 


 


หลัวอวี้เฉิงถลึงตากลับไป แล้วหลุบตาลง


 


 


ในยามนี้เองจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงน้ำดังสนั่น มั่วชิงเฉินรีบวางชามลงแล้ววิ่งออกไป


 


 


หลัวอวี้เฉิงที่ขยับตัวไม่ได้ถามเสียงดังว่า “เกิดอะไรขึ้น? ปลาดุกกินผลไม้เซียนแล้วเกิดสิ่งปกติใช่หรือไม่?”


 


 


เสียงตื่นเต้นกังวานของมั่วชิงเฉินลอยมา “เจ้าพูดถูกอีกแล้ว!”


 


 


หลัวอวี้เฉิงหน้าเจื่อน ถอนใจอย่างหดหู่อึดหนึ่ง


 


 


ได้ยินเสียงผิดปกติข้างนอกเป็นระยะๆ หลัวอวี้เฉิงทนแล้วทนอีก ในที่สุดก็ทนไม่ไหวตะโกนว่า “สหายเต๋ามั่ว เจ้าพาข้าออกไปดูหน่อยได้หรือไม่?”


 


 


หลังจากนั้นชั่วครู่ ก็เห็นมั่วชิงเฉินวกกลับมาแล้ว ในใจหลัวอวี้เฉิงรู้สึกอบอุ่นขึ้นทันที กลับได้ยินมั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “มันบินไปแล้วล่ะ ผลไม้เซียนสมคำร่ำลือจริงๆ!”


 


 


หลัวอวี้เฉิงลมหายใจจุกอยู่ที่คอหอย อึ้งอยู่ครึ่งค่อนวันถึงว่า “ฉากเหตุการณ์นั้นเป็นเช่นไร?”


 


 


มั่วชิงเฉินยังคงยากจะปิดบังความตื่นเต้นได้ว่า “ปลาดุกตัวนั้นพลิกตัวในทะเลสาบไม่หยุด รอบตัวเมฆหมอกรวมตัวเมฆมงคลวนเวียน ต่อมาก็เห็นมันกระโดดออกมาขึ้นไปบนเมฆหมอก กลิ้งอยู่กลางเมฆหมอกหลายตลบแล้วก็ยิ่งบินยิ่งขึ้นสูงแล้ว สหายเต๋าหลัว เจ้าเดาสิที่ประหลาดที่สุดคืออะไร?”


 


 


“ข้าเดาไม่ถูก” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์


 


 


มั่วชิงเฉินไม่แยแสว่า “ปลาดุกตัวนั้น ข้าเห็นยามที่มันพลิกตัวอยู่กลางอากาศ ไม่คิดว่าจะมีลักษณะของเจียวหลง[1]รางๆ แล้ว!”


 


 


 


 


——


 


 


[1] เจียวหลง เป็นเทพอสูรในตำนานเทพโบราณ เป็นมังกรที่มีเกล็ดรอบตัว เป็นอสูรน้ำที่มีสายเลือดของเผ่าพันธุ์มังกร (รวมทั้งปลา งู สัตว์น้ำต่างๆ) เป็นอสูรชนิดหนึ่งก่อนกลายเป็นมังกร ขอเพียงพิชิตเคราะห์กรรมได้ก็จะกลายเป็นมังกรที่แท้จริง 

 

 


ตอนที่ 249 จากหุบเขาไร้วิญญาณ

 

 


 


สามวันให้หลัง ผลข้างเคียงของโอสถระเบิดวิญญาณค่อยๆ หายไป หลัวอวี้เฉิงในที่สุดก็ฟื้นฟูกำลังวังชา ทั้งสองคนระงับอารมณ์รีบร้อนไม่ไหวมาถึงข้างทะเลสาบ ตัดสินใจกินผลไม้เซียนเข้าไป


 


 


“สหายเต๋าหลัว เจ้าว่าผลไม้เซียนนี่กินเข้าไปจะรู้สึกเช่นไร?” มั่วชิงเฉินเพ่งพิศผลไม้สีแดงที่สดจนเหมือนเลือดหยด แล้วพึมพำถาม


 


 


หลัวอวี้เฉิงหัวเราะแล้ว “เจ้ากินเข้าไปก็รู้แล้วมิใช่หรือ”


 


 


“นั่นน่ะสิ กินเข้าไปก็รู้แล้ว เช่นนั้นเราเริ่มเถอะ” มั่วชิงเฉินทอดถอนใจเอ่ยว่า


 


 


อยู่ในหุบเขามาสามปี ตั้งแต่ผ่านวันหนึ่งเหมือนปีหนึ่งในยามแรกสุดจนถึงอยู่อย่างสบายอารมณ์ในตอนหลัง ในที่สุดบัดนี้ได้ผลไม้เซียนที่คิดถึงเช้าเย็นแล้ว สามารถออกไปได้ทันทีแล้ว จู่ๆ ก็มีความรู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริง


 


 


เมื่อผลไม้เซียนเข้าปาก ก็กลายเป็นน้ำพุหวานใสสายหนึ่งไหลสู่ท้อง


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าแขนขากระดูกเหมือนแช่ลงในน้ำพุเย็นเยียบในวันที่ร้อนที่สุดในฤดูร้อน เย็นสบายอุรา ใช้จิตตระหนักมองดูภายในจะเห็นว่ากระดูกภายในร่างกายขาวขึ้น ปกคลุมด้วยหมอกขาวชั้นหนึ่งอย่างช้าๆ


 


 


พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง ไม่พูดอะไรแล้วต่างคนต่างพุ่งเข้าบ้านศิลาของตน ปิดประตูดังปัง


 


 


สามวันให้หลัง มั่วชิงเฉินที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นหายใจออกยาวๆ จมูกและปากมีหมอกขาวพ่นออกมา


 


 


รับรู้ถึงความรู้สึกพลิ้วไหวเหมือนบินได้ นางแผ่จิตตระหนักออกมองความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายขึ้นมา


 


 


เมื่อได้ดู มั่วชิงเฉินอดตกใจไม่ได้ เห็นเพียงกระดูกในร่างกายโปร่งใสขึ้นมีประกายสีขาวรางๆ ราวกับหยกขาวที่เป็นประกายกระจ่างใส เมื่อเพ่งพิศอย่างละเอียดอีกครั้งก็พบว่าบนกระดูกมีลวดลายจางๆ เหมือนน้ำแข็ง ดูแล้วงดงามและเร้นลับ


 


 


เก็บจิตตระหนักกลับมา ในใจมั่วชิงเฉินมีความรู้สึกประหลาด การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไยถึงเหมือนร่างกายบางส่วนไม่เหมือนมนุษย์อีกแล้ว นี่ก็คือการเกิดใหม่ถอดกระดูกที่ว่ากันเช่นนั้นหรือ?


 


 


ปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเล็กน้อย มั่วชิงเฉินยกเท้าลงพื้น ใครจะรู้ว่าเพิ่งแตะถูกพื้นเท้าก็เกิดลื่นโดยพลัน ร่างกายพุ่งตรงไปข้างหน้า


 


 


ที่ยิ่งทำให้นางตะลึงคือ อาศัยแรงพุ่งนี้ปลายเท้าออกห่างจากพื้นอย่างเป็นธรรมชาติอย่างไม่คาดคิด มีความรู้สึกเหมือนจะลอยขึ้นฟ้าไป


 


 


มั่วชิงเฉินรีบกลั้นใจไว้ ร่างกายค่อยๆ ร่วงลงมา เดินอีกครั้งก็ไม่กล้าตามสบายเช่นแต่ก่อนแล้ว หากแต่เขย่งปลายเท้าไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง กลัวว่าหากไม่ระวังก็จะลอยขึ้นฟ้าไป


 


 


ก็เดินอยู่ในห้องเช่นนี้ไปๆ มาๆ สิบกว่ารอบ มั่วชิงเฉินถึงนับว่าปรับตัวกับสภาพร่างกายใหม่นี่ได้ แล้วผลักประตูเดินออกไป


 


 


ข้างทะเลสาบ แผ่นหลังสีดำนั่งอย่างสงบไม่ขยับเขยื้อน คนทั้งคนราวกับกลืนเข้าไปในทิวทัศน์


 


 


ต่อให้มั่วชิงเฉินเดินไร้เสียง หลัวอวี้เฉิงยังคงหันหน้ามา มองนางแล้วยิ้มละไมว่า “สหายเต๋ามั่ว”


 


 


มั่วชิงเฉินเดินไปถึงก้อนหินที่อยู่ข้างๆ ในไม่กี่ก้าว ยิ้มเช่นกันว่า “สหายเต๋าหลัว ไม่คิดว่าเจ้าจะเร็วกว่า”


 


 


หลัวอวี้เฉิงนิ่งเงียบครู่หนึ่ง อ้าปากว่า “สหายเต๋ามั่ว วันนี้เราก็ออกไปกันเถอะ”


 


 


มั่วชิงเฉินชะงักงัน พวกเขารอคอยที่จะออกจากที่นี่ทุกวัน ทว่าเมื่อสามารถจากไปได้จริงๆแล้ว ในใจกลับมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก


 


 


มองดูสีหน้าเงียบสงบของอีกฝ่าย มั่วชิงเฉินยิ้มแผ่วเบาว่า “ได้ ทว่าอย่างไรก็ไปบอกกล่าวฝูเฟิงเจินจวินและโอรสศักดิ์สิทธิ์สักหน่อยเถอะ”


 


 


“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว” หลัวอวี้เฉิงพยักหน้า


 


 


ทั้งสองคนลุกขึ้นเดินสู่ถ้ำของฝูเฟิงเจินจวินพร้อมกัน


 


 


ในห้องศิลา ยังคงวางเพียงเบาะรองนั่งเก่าอันหนึ่งไว้อย่างเดียวดาย


 


 


พวกมั่วชิงเฉินสองคนคารวะต่อเบาะรองนั่ง ชายร่างสูงงามสง่าก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทั้งสองคน


 


 


“ขอคารวะท่านฝูเฟิงเจินจวิน” ทั้งสองคนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน


 


 


ฝูเฟิงเจินจวินพิจารณาสองคนปราดหนึ่ง ยิ้มเบาๆว่า “ชิงเฉิน อวี้เฉิง พวกเจ้ากินผลไม้เซียนแล้วสินะ?”


 


 


พวกมั่วชิงเฉินสองคนเอ่ยพร้อมกันว่า “ได้บารมีของท่านผู้อาวุโส”


 


 


ฝูเฟิงเจินจวินยิ้มอย่างอบอุ่นและสงบ “ข้าเพียงแต่โยนอิฐล่อหยก[1] สามารถได้ผลไม้เซียนก็เพราะอาศัยความสามารถของพวกเจ้าเอง ใช่แล้ว ปลาดุกตัวนั้นเป็นเช่นไรแล้ว?”


 


 


มั่วชิงเฉินก้มหน้าตอบว่า “หญ้าเซียนออกผลไม้เซียนทั้งหมดสามผล วันที่ผลไม้สุกงอมนำเคราะห์อัสนีมา พวกเราสองคนและปลาดุกต้านเคราะห์อัสนีด้วยกันรักษาผลไม้เซียนไว้ได้ จึงแบ่งผลไม้เซียนอย่างเท่าเทียมกัน วันที่สองที่ปลาดุกกินผลไม้เซียนก็บินขึ้นฟ้าไป ชิงเฉินเห็นรูปร่างของมัน พบว่ารูปร่างของมันเปลี่ยนแปลงจากเดิมมาก มีลักษณะของเจียวหลงรางๆ อย่างคาดไม่ถึงแล้ว”


 


 


ฝูเฟิงเจินจวินฟังแล้วชะงักงัน ผ่านไปเนิ่นนานถึงเอ่ยว่า “ปลากระโดดประตูมังกรถอดกระดูกเกิดใหม่เช่นนั้นหรือ? มิน่าปลาดุกตัวนั้นจึงเฝ้าหญ้าเซียนอย่างโง่งมมาหลายร้อยปี ก็มีจิตวิญญาณอยู่บ้าง” พูดถึงตรงนี้สายตามองไปที่มั่วชิงเฉินอย่างอบอุ่น ยิ้มนิ่งเรียบว่า “ชิงเฉิน ผลลัพธ์เป็นเช่นนี้ก็ดี”


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มว่า “ชิงเฉินก็รู้สึกว่าดีมากเจ้าค่ะ”


 


 


“พวกเจ้ามาอำลาข้าสินะ?” ฝูเฟิงเจินจวินถาม


 


 


หลัวอวี้เฉิงกอบหมัดคารวะว่า “ขอรับ ผู้น้อยสองคนนับตั้งแต่เข้ามาในแดนไร้วิญญาณ อยู่มาสี่ปีแล้ว ข้างนอกยังมีเรื่องมากมายต้องไปทำ ดังนั้นจึงมาร่ำลาท่านผู้อาวุโส”


 


 


ฝูเฟิงเจินจวินพยักหน้าว่า “นั่นสินะ ในเมื่อพวกเจ้ากินผลไม้เซียนแล้ว ก็ควรออกไปแล้ว อยู่ในหุบเขาไร้วิญญาณสักระยะก็มิใช่ไม่เป็นผลดีกับผู้บำเพ็ญเพียร ทว่าอยู่นานไปก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน”


 


 


พวกมั่วชิงเฉินสองคนพยักหน้า ในใจคิดเช่นเดียวกัน ในหุบเขาไร้วิญญาณแม้ไม่สามารถเพิ่มตบะฝึกคาถา ทว่าลองคิดดีๆ แล้ว เวลาสามปีนี้ก็มิใช่ไม่ได้อะไรเลย


 


 


ไม่พูดถึงอย่างอื่น หลัวอวี้เฉิงก็จากคนขี้โรคอ่อนแอทนไม่ได้แม้ลมพัดเมื่อก่อนกลายเป็นชายหนุ่มองอาจสง่างามเช่นบัดนี้ ใส่ชุดดำบนร่างแล้วดูผอมแต่ไม่อ่อนแอ ไม่มีท่าทางขี้โรคเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว


 


 


ส่วนมั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่าตนใจร้อนน้อยลงสุขุมมากขึ้น เคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาก็พอเห็นผล ไม่พูดถึงเรื่องอื่นไกล อย่างน้อยที่สุดหลังจากออกจากหุบเขาหากพบผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายนางก็มีสิ่งให้พึ่งพิงแล้ว


 


 


ที่สำคัญคือบัดนี้ตันเถียนในร่างกายนางไม่สามารถรับพลังวิญญาณที่เกินมาแม้แต่สายเดียว บวกกับอยู่ในหุบเขาทำอะไรด้วยตนเองทุกอย่างขัดเกลาจิตใจมาหลายปี หลังจากออกจากที่นี่สิ่งแรกที่นางทำเกรงว่าก็คือหาสถานที่ปลอดภัยที่หนึ่งกักตนทะลวงระดับสร้างรากฐานระยะปลายแล้วล่ะ


 


 


“เจินจวิน ชิงเฉินมาเพื่อร่ำลาท่าน หนึ่งคือกราบขอบคุณพระคุณการสอนสั่งของท่านในสามปีนี้ สองคือคิดจะนำอัฐิของท่านไป อนาคตหากสามารถหาอัฐิของภรรยาท่านได้ ต้องหาโอกาสที่เหมาะสมไปจงหลางสักคราแน่นอน ส่งท่านทั้งสองกลับคืนมาตุภูมิ” มั่วชิงเฉินพูดพลางกราบลงไปช้าๆ


 


 


วันนั้นฝูเฟิงเจินจวินรู้ว่ามั่วชิงเฉินก็คือทายาทของเขาและวุนหนิง ก็อนุญาตให้นางเข้าถ้ำมาคุยทุกสามเดือนครั้ง ชี้แนะสภาพการฝึกฝนเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาแก่นาง


 


 


สามปีมานี้ที่การฝึกเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาของมั่วชิงเฉินก้าวหน้าเร็วเช่นนี้ ขาดการชี้แนะของฝูเฟิงเจินจวินไม่ได้เลย ทำให้นางเดินทางคดเคี้ยวน้อยลงไม่น้อย


 


 


“เด็กดี…” ฝูเฟิงเจินจวินยื่นมือพยุงมั่วชิงเฉินขึ้นมา อดยื่นมือลูบเส้นผมของนางไม่ได้ “ชิงเฉิน เจ้าฉลาดเฉลียวอีกทั้งไม่ขาดความเมตตา บุญวาสนาหนา ดังนั้นเจ้าต้องจำไว้ให้ดี วันหลังต้องรู้จักพอใจในบุญที่มี”


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “เจินจวิน ชิงเฉินจำไว้แล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ฝูเฟิงเจินจวินมองไปที่หลัวอวี้เฉิงอีก


 


 


“ท่านผู้อาวุโสเชิญสั่งได้ขอรับ” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างนอบน้อม


 


 


ฝูเฟิงเจินจวินมองหลัวอวี้เฉิงอยู่เนิ่นนาน ถึงว่า “อวี้เฉิง ข้าก่อนที่จะมาหุบเขาไร้วิญญาณก็มีชีวิตมามากกว่าพันปีแล้ว พบคนมานับไม่ถ้วน ทว่าคนฉลาดล้ำเลิศเช่นเจ้านี้กลับไม่เคยพานพบมาก่อน ข้าขอพูดประโยคหนึ่ง ทางสวรรค์สมดุล ฉลาดมากจะเจ็บ ขอให้วันหน้าเจ้าจงรักษาตัว”


 


 


หลัวอวี้เฉิงเอ่ยเสียงเข้มว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่สอนสั่ง”


 


 


ฝูเฟิงเจินจวินถอนใจเบาๆ แล้วถึงเอ่ยว่า “อวี้เฉิง ไม่ว่าเจ้าและชิงเฉิงอนาคตเป็นเช่นไร ข้าหวังว่าเจ้าจะเห็นแก่กระบี่รอบนิ้วอย่ามีความคิดที่จะทำร้ายนาง”


 


 


หลัวอวี้เฉิงมองมั่วชิงเฉินอย่างเร็วปราดหนึ่ง เอ่ยโดยไม่ได้หยุดชะงักว่า “ท่านผู้อาวุโสวางใจ ผู้น้อยไม่มีทางทำร้ายสหายเต๋ามั่วแน่นอน”


 


 


มั่วชิงเฉินแอบคิดว่า ยังมาทำไก๋อีก เจ้าสาบานต่อจิตมารแล้ว ย่อมทำร้ายข้าไม่ได้เป็นธรรมดา


 


 


ฝูเฟิงเจินจวินกลับพยักหน้าอย่างพอใจ ทันใดนั้นสะบัดแขนเสื้อแสงวิญญาณสองสายก็หายเข้าไปในสมองทั้งสองคน


 


 


“หึๆๆ ครั้งนี้ไยพวกเจ้าสองคนถึงใจเย็นเช่นนี้?” ฝูเฟิงเจินจวินหัวเราะว่า เขาไม่ลืมหรอกนะว่ายามทำเช่นนี้เมื่อแรกพบ ท่าทางโมโหตาขวางของเจ้าเด็กสองคนนี้


 


 


หลัวอวี้เฉิงยิ้มละไมว่า “ท่านผู้อาวุโสผนึกข้อมูลเกี่ยวกับค่ายเคลื่อนย้ายโบราณเข้าสมองของเรากระมัง?”


 


 


ฝูเฟิงเจินจวินถอนใจยาวเสียงหนึ่ง ถึงเอ่ยช้าๆ ว่า “เจ้าพูดได้ถูกต้อง ยังจำจิตตระหนักที่ยามนั้นข้าซัดเข้าสมองพวกเจ้าสองคนได้หรือไม่?”


 


 


ทั้งสองคนพยักหน้า


 


 


“ความปรารถนาสองข้อแรกของข้าบรรลุแล้ว ดังนั้นจิตตระหนักสายนั้นปกติจะแฝงอยู่ในส่วนลึกของจิตใต้สำนึกพวกเจ้าเท่านั้น จะไม่สร้างผลกระทบใดๆ ต่อพวกเจ้า ที่ข้าเพิ่งซัดเข้าไปคือข้อมูลเกี่ยวกับค่ายเคลื่อนย้ายโบราณ อนาคตหากพวกเจ้าเกิดความคิดจะไปจงหลาง จิตตระหนักที่ข้าซัดเข้าไปก่อนหน้าก็จะกระตุ้นข้อมูลส่วนที่ซัดเข้าไปวันนี้ขึ้นมา ถึงเวลาพวกเจ้าย่อมรู้เรื่องเกี่ยวกับค่ายเคลื่อนย้ายโบราณ ทว่าก่อนที่พวกเจ้าสองคนจะก่อแก่นปราณ ไม่ว่าอย่างไรข้อมูลนี้ก็จะไม่ถูกเปิด วันที่พวกเจ้าสองคนย่างเข้าแผ่นดินจงหลาง ก็คือยามที่จิตตระหนักของข้าหายไป” ฝูเฟิงเจินจวินเอ่ย


 


 


มั่วชิงเฉินสีหน้าไม่แสดงออก ในใจกลับหวั่นไหว ฝูเฟิงเจินจวินตรงหน้าเป็นเพียงจิตตระหนักสายหนึ่ง กลับมีอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ หรือว่าเกี่ยวกับการที่เขาฝึกฝนเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาถึงขั้นมหายานแล้ว?


 


 


“เอาล่ะ ในเมื่อคิดจะจากไป ก็อย่าชักช้าเลย จงไปเสียเดี๋ยวนี้เถอะ นี่คืออัฐิของข้า ชิงเฉินเจ้าเก็บไว้ให้ดี” ฝูเฟิงเจินจวินยื่นกล่องหยกใบหนึ่งให้


 


 


มั่วชิงเฉินยื่นมือรับแล้วใส่ไว้ในตะกร้าไม้ไผ่ข้างหลัง กราบลงไปอีกครั้งพร้อมหลัวอวี้เฉิง “ผู้น้อยขออำลา”


 


 


คนบำเพ็ญเพียรไม่ยืดยาดเช่นนั้น หลังจากกราบอำลาสองคนก็หันหลังจากไป


 


 


“ท่านอาจารย์ปราชญ์ พวกท่านดูสิ นี่ก็คือแป้งสาลีที่ท่านว่าใช่หรือไม่?” เพิ่งถึงที่อยู่ของชาวบ้านในหุบเขา ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งทำงานอย่างขะมักเขม้น โอรสศักดิ์สิทธิ์กอบแป้งสาลีกอบหนึ่งพุ่งมาถึงหน้าทั้งสองคนแล้วพูดอย่างตื่นเต้น


 


 


มั่วชิงเฉินอมยิ้มพยักหน้าว่า “ถูกต้อง โอรสศักดิ์สิทธิ์ ข้าเคยรับปากว่าจะสอนคนในเผ่าพวกเจ้าใช้แป้งสาลีทำอาหารชนิดต่างๆ ออกมา บัดนี้เจ้าจงไปตามหญิงสาวที่เฉลียวฉลาดมาสองสามคนเถอะ”


 


 


“ขอรับ!” โอรสศักดิ์สิทธิ์พยักหน้าอย่างแรง แล้วเอ่ยเสียงเบาอีกว่า “ท่านอาจารย์ปราชญ์ ข้าฟังได้หรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างสดใสว่า “แน่นอน”


 


 


สอนหญิงสาวไม่กี่คนหมักแป้งให้ฟู นึ่งหมั่นโถว จี่เซาปิ่งจนเป็น มั่วชิงเฉินลุกขึ้นยืน เอ่ยกับโอรสศักดิ์สิทธิ์ที่ปลายจมูกเลอะแป้งแต่กลับดีใจออกนอกหน้าว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์ วันนี้พวกเราก็จะไปแล้ว”


 


 


“ท่านอาจารย์ปราชญ์ ท่านยังไม่ได้กินเซาปิ่งก็จะกลับไปหรือขอรับ?” โอรสศักดิ์สิทธิ์ยังตั้งตัวไม่ทัน


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มนิ่งเรียบว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์ พวกเราจะไปจากที่นี่แล้ว ไม่ใช่กลับบ้านศิลา”


 


 


โอรสศักดิ์สิทธิ์ชะงัก คุกเข่าดังตุ๊บลงมาว่า “ท่านอาจารย์ปราชญ์ พวกท่านจะไปแล้วจริงหรือขอรับ?”


 


 


การกระทำเช่นนี้ของโอรสศักดิ์สิทธิ์ทำให้คนในเผ่าคนอื่นตกใจ ทุกคนเห็นดังนั้นต่างคุกเข่าลงมา


 


 


“ท่านอาจารย์ปราชญ์อย่าไป อย่าไปเลย” ชาวบ้านในหุบเขามากมายตะโกนเสียงดัง กราบไหว้ไม่หยุด


 


 


โอรสศักดิ์สิทธิ์กลับคุกเข่าตรงๆ ไม่ส่งเสียงสักแอะ


 


 


มั่วชิงเฉินเดินขึ้นหน้าไป ตบไหล่ของโอรสศักดิ์สิทธิ์เบาๆ ด้วยความเอ็นดูว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์ การพบหรือจากล้วนลิขิตไว้แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องยึดมั่นเกินไป วันหลังนำพาคนในเผ่าใช้ชีวิตให้ดีก็พอแล้ว”


 


 


พูดจบสบตากับหลัวอวี้เฉิงปราดหนึ่ง ทั้งสองคนบินขึ้นฟ้าไปอย่างช้าๆ


 


 


โอรสศักดิ์สิทธิ์นำกลุ่มคนในเผ่าคุกเข่าแหงนหน้า จนกระทั่งมองเงาของทั้งสองคนไม่เห็นถึงพึมพำว่า “ท่านอาจารย์ปราชญ์ ข้าจำไว้แล้วขอรับ”


 


 


 


 


——


 


 


[1] โยนอิฐล่อหยก เป็นสุภาษิตจีน ตรงกับภาษาไทยว่า กุ้งฝอยตกปลากะพง 

 

 


ตอนที่ 250 น้ำมาคลองย่อมเกิด

 

หน้าผาสูงชันและลื่น สูงไม่รู้กี่หมื่นจั้ง พวกมั่วชิงเฉินสองคนบินขึ้นไปช้าๆ หลังจากบินได้ระยะหนึ่งพละกำลังไม่ค่อยไหวแล้ว จึงหยุดพักบนก้อนหินที่ยื่นออกจากหน้าผาก้อนหนึ่ง


 


 


ยืนอยู่บนหน้าผาสูงหมื่นจั้งแล้วมองลงไป คือทะเลเมฆที่คลื่นหมอกซัดสาด ในเมฆหมอกที่ทับซ้อนกันมองไม่เห็นหน้าตาของหุบเขาไร้วิญญาณอีก


 


 


ไม่แน่ผ่านไปพันปีหมื่นปี โลกภายนอกก็ไม่มีทางรู้ตลอดกาลว่าใต้หุบเหวลึกหมื่นจั้งนี้ยังมีคนกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ พวกเขาบำเพ็ญเพียรไม่ได้ อาศัยการล่าสัตว์เก็บผลไม้ป่าอย่างดั้งเดิมที่สุดประทังชีวิต กลับมีความสุขที่เร่าร้อนและง่ายที่สุด


 


 


มองไปข้างบน ยังคงเป็นทะเลเมฆ เห็นเพียงสีขาวเวิ้งว้าง ไม่รู้ทางไหนถึงเป็นฝั่ง


 


 


มั่วชิงเฉินเกิดทอดถอนใจ ในที่สุดก็เข้าใจความรู้สึกของฝูเฟิงเจินจวินในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่มีอิทธิฤทธิ์ในการเหาะเหินเดินอากาศกลับต้องสิ้นหวังเพราะทำอะไรไม่ได้แล้ว


 


 


นึกถึงอีกว่าทั้งสองคนอยู่ในหุบเขาเพียงแค่สามปีก็ได้ผลไม้เซียนผลไม้วิเศษมหัศจรรย์ ถึงออกมาได้ คำสั่งสอนก่อนจากกันของฝูเฟิงเจินจวินก็ดังขึ้นข้างหู


 


 


เห็นค่าของบุญ นี่คือการเตือนอย่างจริงใจครั้งสุดท้ายของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่ถูกกักอยู่ในที่แห่งนี้มานับพันปี


 


 


จากการเล่าของฝูเฟิงเจินจวินเดาได้ไม่ยากว่าปีนั้นเขาก็เป็นบุคคลระดับบุตรผู้ได้รับความโปรดปรานจากสวรรค์ ก็เคยเอาแต่ใจอิสรเสรี กระทั่งไม่เห็นทุกอย่างในสายตา สุดท้ายความไม่ยอม เสียดาย สิ้นหวัง คาดหวังทั้งหมดล้วนแปรเปลี่ยนเป็นคำสี่คำส่งให้พวกเขาสองคน ความหมายที่ลึกซึ้งในนั้นคู่ควรที่จะให้พวกเขาไปตริตรองอย่างดี


 


 


“ไม่ต้องคิดแล้ว ไปเถอะ” หลัวอวี้เฉิงมองดูมั่วชิงเฉินที่ไม่รู้คิดอะไรอยู่แล้วเอ่ยขึ้น


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้าแผ่วเบา สองคนบินขึ้นข้างบนพร้อมกันอีก


 


 


เสียงลมพัดข้างหูดังไม่หยุด พัดเสื้อผ้าของทั้งสองคนพลิ้วไปตามลม


 


 


“สหายเต๋ามั่ว เจ้าว่าพวกเราเช่นนี้เหมือนบินสู่โลกเซียนหรือไม่?” จู่ๆ หลัวอวี้เฉิงก็ออกเสียงถาม


 


 


มั่วชิงเฉินชะงัก มองท่าทางจริงจังของหลัวอวี้เฉิงแล้วหัวเราะว่า “หากมีเรื่องดีเช่นนี้ก็ดีน่ะสิ”


 


 


ทั้งสองคนไม่พูดต่ออีก แล้วบินขึ้นข้างบนไปเงียบๆ


 


 


ไม่รู้บินนานเพียงใด เมฆหมอกข้างบนค่อยๆ บางเบา เผยให้เห็นเงาท้องฟ้าสีคราม


 


 


แสงตะวันเป็นสายสาดส่องลงมา ย้อมขอบทองให้เมฆขาว ใบหน้าของทั้งสองคนส่องแสงอันพร่ามัวท่ามกลางเมฆขาวในแสงตะวันเช่นกัน ดูแล้วก็คล้ายเทพเซียนจริงๆ


 


 


ในที่สุดก็เห็นพื้นดินแล้ว พวกมั่วชิงเฉินสองคนเหยียบขึ้นไป


 


 


เท้าแตะพื้น มั่วชิงเฉินรู้สึกจิตใจสงบผสมผสานกับความรู้สึกหดหู่จากก้นบึ้งของหัวใจ แล้วยิ้มให้หลัวอวี้เฉิงว่า “สหายเต๋าหลัว ที่แท้ยังเป็นโลกมนุษย์”


 


 


หลัวอวี้เฉิงเม้มริมฝีปากบางแผ่วเบา ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า


 


 


ทั้งสองคนพลางเดินพลางพิจารณา ถึงพบว่าที่นี่คือทิวเขาเรียงราย ต้นไม้เขียวขจี เสียงร้องเบาๆ ของสิงสาราสัตว์ดังมาเป็นระยะ กลับขับให้ที่นี่ยิ่งเงียบสงัดขึ้น


 


 


หลัวอวี้เฉิงพิจารณารอบหนึ่งในใจมีความคิดแล้ว แล้วหยุดลงที่ที่หนึ่งว่า “สหายเต๋ามั่ว เราแยกจากกันตรงนี้เถอะ”


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มนิ่งเรียบว่า “ได้”


 


 


มองดูใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างไม่ยินดียินร้ายของมั่วชิงเฉินแล้ว ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจหลัวอวี้เฉิงรู้สึกผิดหวังรางๆ ตกลงเพราะอะไรกันแน่กลับยากจะอธิบายให้ชัดเจนได้


 


 


อาจเพราะตั้งแต่ตนถือกำเนิดมาเป็นครั้งแรกที่ตนอยู่ร่วมกันเช้าเย็นกับหญิงสาวที่ตามฝีเท้าของตนทันนานถึงเพียงนี้กระมัง


 


 


นึกถึงตรงนี้เงาร่างในชุดสีแดงสดสายหนึ่งวาบผ่านสมองหลัวอวี้เฉิง รอยยิ้มเย้ยหยันที่เคยชิน โผล่ขึ้นที่มุมปากกอบหมัดใส่มั่วชิงเฉิน แล้วหันหลังจากไป


 


 


“สหายเต๋าหลัว…” มั่วชิงเฉินตะโกนตามหลังมา


 


 


“มีอะไร?” หลัวอวี้เฉิงหยุดฝีเท้า ในใจรู้สึกปีติอย่างที่ตนก็ไม่เข้าใจ


 


 


แล้วก็เห็นมั่วชิงเฉินส่ายม้วนคัมภีร์หยกเล็กๆ ในมือตนเองว่า “สหายเต๋าหลัว อย่าลืมคืนเงิน”


 


 


หลัวอวี้เฉิงหน้าบึ้ง ถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินอย่างดุดันปราดหนึ่งแล้วหันหลังเดินไปแล้ว


 


 


ว่าแล้วเชียว ข้าไม่ควรตั้งความหวังอะไรกับผู้หญิงบ้าที่ชอบเอาเปรียบคนนี้!


 


 


หลัวอวี้เฉิงคิดอย่างโมโหพลางเดินหน้าไป


 


 


ไม่ได้ หินวิญญาณมากถึงเพียงนี้หากคืนไม่ไหวขึ้นมาจริงๆ ตนมิต้องขายของทั้งหมดที่มีหรือ?


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้แล้วหลัวอวี้เฉิงหยุดเดิน หันกลับมาว่า “สหายเต๋ามั่ว เจ้าต้องการเพียงหินวิญญาณหรือ? ไม่รู้ใช้ของอย่างอื่นทดแทนได้หรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินชะงักทีหนึ่งก่อน จากนั้นยิ้มหวานเหมือนดอกไม้ว่า “สหายเต๋าหลัวหากมีของที่ข้าต้องการ เช่นนั้นย่อมใช้สิ่งของใช้หนี้ยิ่งดี”


 


 


“เจ้าต้องการอะไร?” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างซังกะตาย ไม่รู้เพราะเหตุใดมองรอยยิ้มของอีกฝ่ายแล้วกลับมีความรู้สึกอยากยกเท้าวิ่งหนี


 


 


มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าต้องการไม้สะกดวิญญาณ หากสหายเต๋าหลัวสามารถเอาไม้สะกดวิญญาณออกมาได้ หินวิญญาณที่เจ้าติดข้าก็หายกัน”


 


 


“ไม้สะกดวิญญาณ?” สายตาของหลัวอวี้เฉิงตกไปบนหน้ามั่วชิงเฉิน พึมพำด้วยสีหน้าประหลาด


 


 


มั่วชิงเฉินเหลือกตาใส่ “พอแล้ว เจ้าคิดให้มันน้อยหน่อยเถอะ เอาเป็นว่าข้าต้องการแค่ไม้สะกดวิญญาณ หรือไม่เจ้าก็คืนหินวิญญาณ อ้อ ใช่แล้ว ถ้าจะคืนหินวิญญาณละก็ ข้าเก็บดอกเบี้ยนะจะบอกให้”


 


 


หลัวอวี้เฉิงหน้าดำทันที เกือบกระอักเลือดออกมา ถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินอย่างดุดันแล้วหันหลังเดินไปแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินกลับยิ้มระรื่นแล้วโบกมือว่า “สหายเต๋าหลัว ไว้พบกันใหม่”


 


 


หลัวอวี้เฉิงหยุดฝีเท้า จนกระทั่งเดินไปไกลแล้วเสียงนิ่งเรียบถึงลอยมาว่า “ที่นี่คือสถานที่ตัดกันของแดนไท่เป๋าและดินแดนเทียนหยวน เดินไปทางตะวันตกอีกคือป่ากาลี มั่วชิงเฉินรักษาตัวด้วย”


 


 


มองเงาร่างสีดำสายนั้นค่อยๆ หายไป มั่วชิงเฉินเบนสายตากลับมา ยื่นมือตบถุงอสูรวิญญาณของตนทีหนึ่ง อีกาอ้วนดำตัวหนึ่งก็บินออกมา


 


 


อีกาไฟเพิ่งบินออกมา ก็พุ่งเข้าอ้อมกอดของมั่วชิงเฉินทันที กระพือปีกร้องไห้แว้ดๆ ขึ้นมาว่า “เจ้านาย แว้ดๆ แว้ดๆ อึดอัดจะตายอยู่แล้ว แว้ดๆ…”


 


 


มั่วชิงเฉินนวดขมับ ยิ้มอย่างขมขื่นว่า “อู่เย่ว์ ขืนเจ้าพูดมากอีกข้าก็ยังจะโยนเจ้ากลับเข้าไปอีก”


 


 


“แว้ด…” อีกาไฟรีบใช้ปีกข้างหนึ่งปิดปากไว้ หยุดเอะอะโวยวาย แล้วใช้ตารื้นน้ำตาจ้องมั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินตบหัวอีกาไฟอย่างรู้สึกตลก ทันใดนั้นในใจรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาอย่างหาได้ยาก แต่กลับพึมพำว่า “ไยผึ้งวิญญาณเลือดมรกตถึงไม่ออกมา?”


 


 


พูดพลางยื่นจิตตระหนักเข้าไปดูในถุงอสูรวิญญาณ แล้วกลับต้องตกใจยกใหญ่ เห็นในถุงอสูรวิญญาณมีไข่แมลงสีมรกตขนาดเท่าเมล็ดข้าวเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตไม่กี่ตัวนั้นไม่ขยับเขยื้อนอยู่ข้างในเฝ้าอยู่ข้างๆ ไข่แมลง เหมือนแม่ไก่ปกป้องลูกไก่อย่างไรอย่างนั้น


 


 


ไม่คิดว่าผึ้งวิญญาณเลือดมรกตออกไข่แล้ว!


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกเหนือความคาดหมาย นึกถึงว่าสี่ปีนี้พวกมันได้แต่อยู่ในถุงอสูรวิญญาณไม่ได้กินอะไรเลย จึงรีบใส่ของที่ปกติพวกมันชอบเข้าไปในถุงอสูรวิญญาณ แล้วถึงเก็บจิตตระหนักกลับมา


 


 


อีกาไฟเอาปีกออกจากปาก พูดอย่างน้อยใจว่า “เจ้านายลำเอียง ลำเอียง ข้าขอสาปแช่งให้ไข่พวกนั้นฟักลูกผึ้งออกมาไม่ได้หมดเลย!”


 


 


“อู๋เย่ว์! เจ้าแน่ใจ?” มั่วชิงเฉินถามชัดถ้อยชัดคำ สีหน้าเริ่มดำ


 


 


อีกาไฟกลอกกลิ้งตาเล็กๆ ไปมา อ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “โมโหอะไร เจ้าไม่ใช่ไม่รู้ว่าคนเขาพูดอะไร สิบครั้งมีเก้าครั้งที่ไม่เฮี้ยน…”


 


 


มั่วชิงเฉิน…


 


 


มีอู๋เย่ว์เป็นเพื่อน เดินอยู่ในเทือกเขาลึกเช่นนี้มั่วชิงเฉินกลับไม่รู้สึกเหงา เดิมทีนางกะจะบินกลับสำนักโดยตรงแล้วกักตนทะลวงระดับสร้างรากฐานระยะปลาย รอออกจากกักตนค่อยไปปราณภูเขาไฟไหล ทว่าหลังจากฟังการตักเตือนของหลัวอวี้เฉิงแล้วกลับเปลี่ยนความคิดแล้ว


 


 


หากจากนี่ไปทางทิศตะวันตกอีกเป็นป่ากาลีละก็ เช่นนั้นตามการชี้นำของแผนที่ ที่นี่น่าจะเป็นเขาอู๋ฉยงที่อยู่ติดกับป่ากาลี


 


 


ป่ากาลีและเขาอู๋ฉยงล้วนจัดเป็นสถานที่อันตราย ยิ่งเพราะอยู่ติดกับดินแดนมารจึงทำให้สถานการณ์ซับซ้อน หากนางผลีผลามบินขึ้นเร่งเดินทางละก็ หากเจอสถานการณ์อะไรเข้าก็ยุ่งยากแล้ว


 


 


บัดนี้นางเวลาเร่งรีบ ไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดมาทำให้เสียเวลาได้อีกแล้ว


 


 


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ละก็ ก็หาสถานที่ปลอดภัยสักที่กักตนทะลวงระดับสร้างรากฐานระยะปลายให้รู้แล้วรู้รอดไป รอหลังจากออกจากกักตนความสามารถเพิ่งขึ้นหนึ่งระดับค่อยเร่งเดินทางจะเหมาะสมกว่า


 


 


มั่วชิงเฉินตัดสินใจแล้วก็อดทนค้นหา ในที่สุดก็หาถ้ำที่มิดชิดได้ถ้ำหนึ่ง หลังจากก้มตัวเข้าไปแล้วถึงพบว่าพื้นที่ข้างในก็ไม่เล็ก หากกักตนที่นี่ละก็ไม่อึดอัดเลยสักนิด


 


 


มั่วชิงเฉินปล่อยจิตตระหนักสำรวจอย่างละเอียด ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร จึงใช้ก้อนหินเถาวัลย์ผนึกปากถ้ำไว้ เช่นนี้ดูจากข้างนอกแล้วก็เหมือนเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ยากมากที่จะพบว่าหลังเถาวัลย์มีสิ่งซ่อนเร้นอยู่


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างพอใจ คาถาธาตุไม้แม้ไม่ถนัดการโจมตี ปกติกลับใช้งานได้มากกว่า ตนใช้ก้อนหินต้นไม้ใบหญ้าตามธรรมชาติผนึกปากถ้ำไว้ ต้องได้ผลดีกว่าใช้คาถาค่ายกลมาก เพราะอย่างไรเสียคาถาค่ายกลส่วนใหญ่ล้วนไม่ขาดการผันผวนของพลังวิญญาณ


 


 


ผนึกปากถ้ำเสร็จ มั่วชิงเฉินวางค่ายสะกดวิญญาณและค่ายป้องกันไว้รอบตัว ถึงนั่งขัดสมาธิลงกลางค่ายกล


 


 


นางไม่ได้รีบร้อนกักตน หากแต่ล้วงของที่จำเป็นออกมาทีละอย่างวางไว้ในสถานที่ที่ยื่นถึง ถึงค่อยๆ หลับตาลงสงบจิตใจ


 


 


การเดินทางในถนนโคลนตมเกือบหนึ่งปี สามปีของการใช้ชีวิตในหุบเขา ทำให้สภาพจิตใจของมั่วชิงเฉินพัฒนาขึ้นมากอย่างไม่รู้ตัวแล้ว นางขจัดความใจร้อนไปอย่างรวดเร็ว เข้าสู่สภาพสมองว่างเปล่า จิตวิญญาณรวมเป็นหนึ่งเดียว


 


 


จนกระทั่งถึงตอนนี้ นังยังคงไม่ได้กินโอสถใดๆ ลงไป เพียงแต่ใช้พลังของตนค่อยๆ ชักนำพลังวิญญาณโคจรไปมาในกาย


 


 


หลังจากโคจรรอบใหญ่หลายรอบ ความรู้สึกที่คุ้นเคยเช่นนั้นก็ค่อยๆ กลับมา นางถึงหยิบโอสถรวมจิตออกมาเม็ดหนึ่งแล้วกลืนลงไปอย่างไม่รีบร้อน


 


 


ปราณวิญญาณที่อยู่ในโอสถรวมจิตระเบิดออก ทว่าตันเถียนของมั่วชิงเฉินในยามนี้รับพลังวิญญาณที่มากเกินมาไม่ได้แม้แต่สายเดียว ในชีพจรก็ถูกพลังวิญญาณเติมเต็มเช่นกัน ปราณวิญญาณพวกนั้นไม่มีที่ไป จึงพุ่งชนไปทั่วในตันเถียน


 


 


ระยะกลางถึงระยะปลายแม้มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานติดอยู่มากมาย ทว่าอย่างไรเสียก็เป็นการเลื่อนระดับเล็ก ขั้นตอนโดยธรรมชาติแล้วไม่ต่างกับระยะต้นเลื่อนขั้นเข้าระยะกลาง


 


 


มั่วชิงเฉินทำตามวิธีเมื่อก่อนอย่างมีแบบแผน ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ยามที่รู้สึกรางๆ ว่าแตะถูกธรณีประตูนั้นแล้วก็ล้วงโอสถลับที่หลอกมาจากคุณชายสิบเจ็ดตระกูลหวังกลืนลงไป


 


 


ยามบำเพ็ญเพียรไม่รู้วันเวลาผ่านไปนานเท่าไร เมื่อยามที่มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เป็นเวลาหนึ่งเดือนให้หลังแล้ว


 


 


นางสะบัดฝุ่นดินบนชุดกระโปรงลุกขึ้นยืน แล้วหายใจออกยาวๆ


 


 


การเลื่อนขั้นแม้อยู่ในความคาดหมายของนางมานานแล้ว เป็นเรื่องน้ำมาคลองย่อมเกิด แต่เมื่อเลื่อนขั้นได้อย่างราบรื่นเช่นนี้จริงในใจยังคงดีใจไม่หาย


 


 


“เจ้านาย เจ้าเลื่อนขั้นอีกแล้ว!” อีกาไฟที่ได้โอกาสออกมาร้องเสียงดังว่า


 


 


มั่วชิงเฉินตบหัวอีกาไฟพลางยิ้ม


 


 


กลับได้ยินอีกาไฟหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “เจ้านาย เจ้าเลื่อนขั้นสำเร็จช่างน่ายินดีจริงๆ เลย ไม่สู้เรามาดื่มสุรากันเล็กน้อยฉลองกันสักหน่อยเป็นเช่นไร?”


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างจำใจ เกิดมีอารมณ์แล้วเช่นกัน หนึ่งคนหนึ่งนกจึงดื่มอย่างสะใจยกหนึ่ง


 


 


เช้าตรู่วันที่สอง มั่วชิงเฉินเปิดปากถ้ำออก พาอีกาไฟเดินออกไป


 


 


“เจ้านาย เราจะไปไหน?” อีกาไฟสะอึก ถามด้วยดวงตาพร่ามัวเพราะความเมา


 


 


มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก เหตุใดนางถึงลืมไปได้นะว่าเจ้านี่ขวดเดียวล้ม เมื่อวานดื่มไปมากปานนั้นวันนี้ยังไม่สร่างเมา!


 


 


จึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ไปปราณภูเขาไฟไหล!” พูดจบอัญเชิญเรือเล็กออกมาแล้วกระโดดขึ้นไป

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม