วาสนาบันดาลรัก 244-250

ตอนที่ 244 ดีร้ายล้วนเกิดจากเรื่องในอดีต

 

“ซื่อจื่อ…อือๆ…” เสียงร้องตกใจของเจินเมี่ยวถูกปิดไว้อยู่ในลำคอ


 


 


เพราะเพิ่งตื่นนอน คนจึงดูงัวเงียอยู่ ชั่วขณะนั้นจึงยังคิดไม่ออกว่าคนผู้นี้กดทับอยู่บนร่างนางเพื่ออันใด จึงเพียงใช้สายตาอันง่วงงุนถลึงใส่เขา ความสงสัยอัดแน่นอยู่ในแววตา


 


 


หลัวเทียนเฉิงเห็นท่าทีงุนงงนั้นของนางก็รู้สึกอยากจะหัวเราะ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกโกรธขึ้นมา


 


 


สตรีผู้นี้ช่างโง่เง่านัก หากบุรุษอื่นทำเช่นเดียวกันนางก็จะมีท่าทีงุนงงเช่นนี้หรือ โง่เง่าเพียงนี้เชียว กระทั่งไม่รู้ว่าเขากำลังทำสิ่งใดอยู่!


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็รู้สึกมิพอใจยิ่ง จึงใช้แรงกระแทกกระทั้นใส่ร่างนางอยู่คราหนึ่ง


 


 


เจินเมี่ยวกลับซูดปากคราหนึ่ง


 


 


เจ็บ!


 


 


หรือ…เขาเอาไม้มาตีนางจริงๆ ความฝันนั้นคือความจริง?


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็รู้สึกทั้งน้อยใจและโมโหขึ้นมาจึงทั้งขัดขืนและผลักเขาออกให้ห่างตัว


 


 


แต่น่าเสียดายที่คนเพิ่งตื่นนอนร่างจึงอ่อนเปลี้ย มือเท้าไร้เรี่ยวแรง การผลักไสอันไร้เรี่ยวแรงนี้กลับทำให้คนบนร่างร้องฮึออกมาเพราะรู้สึกจักจี้เสียมากกว่า


 


 


หลัวเทียนเฉิงถอนริมฝีปากออก แล้วเอ่ยเสียงกดต่ำว่า “เจ้าเอะอะอันใด ระวังผู้อื่นได้ยินเข้าล่ะ!”


 


 


“ท่านตีข้า เจ็บยิ่ง!” เจินเมี่ยวโกรธจนต้องกัดริมฝีปากตนไว้


 


 


ตีนาง?


 


 


หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไปครู่หนึ่งแล้วจึงคิดขึ้นได้ หากมิใช่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เขาคงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแน่ ยามนั้นจึงเพียงประคองร่างตนไว้แล้วเคลื่อนไหวขยับเข้าออกอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน


 


 


เมื่อกระทำเช่นนี้ความรู้สึกเจ็บปวดนั้นกลับหายไปกลายเป็นความรู้สึกชาไปทั่วร่างอย่างประหลาดแทน


 


 


ยามนี้สติปัญญาทั้งหมดของเจินเมี่ยวจึงกลับคืนมา นางก้มลงมองด้านล่างแล้วเอ่ยอย่างคนติดอ่างว่า “ท่าน ท่าน ท่าน…ท่านกลับมาเมื่อไหร่?”


 


 


คนบางคนแทบจะหมดกำลังลงไปในทันที เขาเงียบอยู่นานจนสงบสติอารมณ์ได้ แล้วฉีกยิ้มกว้างเอ่ยถามว่า “คุณหนูสี่ เจ้ารู้สึกตัวช้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ!” กล่าวจบก็ชะงักไป รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มเจื่อนลง แล้วเอ่ยเน้นหนักออกมาทีละคำว่า “หากบุรุษอื่นทำเช่นนี้ เจ้า เจ้าก็ยังจะเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบกับเขาก่อนจึงค่อยสำนึกได้ว่าตนกำลังถูกเอาเปรียบอยู่เช่นกันใช่หรือไม่?”


 


 


เขาไพล่คิดไปถึงเรื่องที่คนใต้ร่างกำลังเริงร่ากับชายอื่นในชาติก่อนนั้นอย่างมิอาจควบคุมได้


 


 


เพราะนางโง่เขลาเช่นนี้ใช่หรือไม่ถึงได้ถูกผู้อื่นหลอกลวง?


 


 


ทว่านางกลับยอมกระโดดเข้ามาบังร่างบุรุษผู้นั้น ปากก็บอกว่ายอมตายเพื่อเขาได้


 


 


หลัวเทียนเฉิงทราบว่าตนคิดเช่นนี้นั้นดูไร้เหตุผลสิ้นดี แต่เขากลับมิอาจควบคุมเพลิงโทสะที่ปะทุขึ้นมานี้ได้


 


 


แค่คิดว่าสตรีใต้ร่างจะกระทำเรื่องเช่นนั้นกับบุรุษอื่น ทั้งยังปกป้องบุรุษผู้นั้นโดยไม่ไยดีต่อชีวิต เขาก็แค้นจนแทบจะทำลายคนทั้งสองให้มอดไหม้ไปด้วยกันเสียและในความเป็นจริงเขาก็ทำอย่างที่คิดนั้นแล


 


 


เจินเมี่ยวพลันรู้สึกว่าคนบนร่างเคลื่อนไหวรุนแรงขึ้น คล้ายกำลังใช้แส้หวดนางอย่างไม่มีความสงสารแม้แต่น้อย ทุกคราล้วนเจ็บปวดจนโลหิตสาดกระเซ็น!


 


 


“ซื่อจื่อ ซื่อจื่อ…” ครานี้เจินเมี่ยวร้องไห้ออกมาเพราะความเจ็บปวดจริงๆ


 


 


นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าเรื่องเช่นนี้จะทำให้เจ็บได้ถึงเพียงนี้ เจ็บปวดกว่าเมื่อวานที่ร่างนางแทบฉีกขาดออกมาแล้วด้วยซ้ำ!


 


 


นางคิดจะร้องเรียกให้คนช่วย อยากจะขัดขืนเขา ทว่าเมื่อคิดว่าอาหลวนนอนอยู่ห้องด้านข้างก็มิกล้าออกแรงขัดขืน


 


 


ต่อให้นางโง่เง่าและมิได้สงบเสงี่ยมเรียบร้อยกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ทุกคนในที่แห่งนี้ แต่ศักดิ์ศรีที่ควรมีนางก็ยังต้องการ


 


 


นางจึงทำเพียงสกัดเสียงร่ำไห้ไว้ในลำคอ นางทุบตีเขาด้วยอาการสะอึกสะอื้นพลางเอ่ยร้องขอ “ซื่อจื่อ ข้าเจ็บ ข้าเจ็บจริงๆ ท่านหยุดก่อนได้หรือไม่?”


 


 


ทว่าสิ่งที่ได้คืนมากลับเป็นคลื่นพายุใหญ่ลูกหนึ่ง


 


 


นางคล้ายว่าวที่หลุดจากสายป่านแล้วถูกพายุหมุนปั่นจนฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วค่อยมลายหายไปในอากาศ


 


 


ความมืดมิดจู่โจมเข้ามา ในความสิ้นหวังนั้นเจินเมี่ยวกลับสบตาเข้ากับดวงตาคู่นั้นอย่างมิได้ตั้งใจ


 


 


นัยน์ตาที่สวยงามยิ่งนั้นกลับมีเพียงความมืดมนไร้ประกายใดๆ ความสิ้นหวังและเจ็บปวดนั้นมีมากกว่านางเสียอีก คล้ายมหาสมุทรใหญ่ที่ไร้ฝั่งที่ค่อยๆ กลืนกินคนจนสิ้นไป


 


 


เจินเมี่ยวพลันลืมอาการขัดขืน ได้แต่จ้องดวงตาคู่นั้นนิ่ง ลืมกระทั่งความโกรธที่มี


 


 


แย่แล้ว สามีผู้ยิ่งใหญ่ของนางเกิดวิปริตขึ้นมาอีกแล้ว


 


 


เมื่อความคิดนี้โผล่เข้ามาในหัว ดวงตาก็ปิดลงแล้วหมดสติไป


 


 


ครั้นคนใต้ร่างนิ่งไป ความเจ็บปวดสูงเทียมฟ้านั้นจึงค่อยๆ หายไปจากหัวใจ แววตาของหลัวเทียนเฉิงค่อยๆ กลับมากระจ่างใสอีกครา


 


 


แสงจันทร์ด้านนอกส่องสว่างสะท้อนแสงขาวเรืองรองของหิมะบนพื้น แม้นภายในห้องจะมิได้จุดโคม แต่กลับสามารถมองเห็นรอยเขียวช้ำเป็นจ้ำๆ บนร่างที่ขาวราวหิมะนั้นอยู่รำไร กระทั่งริมฝีปากก็บวมเจ่อ มีโลหิตไหลซึมออกมาด้วย


 


 


เขาทำหรือ?


 


 


หลัวเทียนเฉิงมองอย่างเหม่อลอย เขาลุกขึ้นมาอย่างหมดสภาพ รีบร้อนสวมใส่อาภรณ์แล้วกระโดดหนีไปทางหน้าต่าง


 


 


ราตรีในยามเหมันต์นั้นเหน็บหนาวเสียจนคนต้องตกใจ แต่ผู้ที่เร่งหลบหนีไปนั้นกลับมิได้ใส่ใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย เขาอยากให้ความเหน็บหนาวนี้กล่าวเป็นดาบอันแหลมคมเสียบแทงใส่เขา ให้เขามีสติเสียที


 


 


หลัวเทียนเฉิงไม่ทราบว่าเหตุใดตนจึงกลายเป็นดั่งสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง


 


 


ทั้งที่เขาคิดถึงนางเหลือเกิน แม้นจะยุ่งทั้งวันแต่ก็ยังที่จะลอบกลับคืนจวนเพราะอยากจะทำดีต่อนาง


 


 


ทว่าเขากลับเกือบจะทำลายนางจนแหลกสลายไปแล้วด้วยซ้ำ!


 


 


หลัวเทียนเฉิงหยุดเท้าตนลง เขาอยากจะกลับไปดูเจินเมี่ยวสักหน่อย แต่ความหวาดกลัวที่ยากจะบรรยายนั้นกลับผุดโผล่ขึ้นมา


 


 


เขาไม่กล้ามองแววตาหลังจากฟื้นขึ้นมาของนาง ทั้งกลัวว่าตนจะบ้าคลั่งขึ้นมาอีก


 


 


ก่อนหน้านี้ที่อาซื่อด่าเขานั้นถูกต้องแล้ว เขามันไม่ปกติจริงๆ!


 


 


“เหมันต์มาเยือน ดับไฟปิดประตู…” เสียงคนเคาะบอกเวลาทำให้คนที่นิ่งดั่งดินปั้นตื่นจากภวังค์


 


 


หลัวเทียนเฉิงกระโดดเพียงสองสามคราก็หายไปจากค่ำคืนอันเหน็บหนาวนี้เสียแล้ว


 


 


เสียงกระโดดออกจากหน้าต่างนั้นปลุกให้อาหลวนตื่นขึ้น


 


 


นางเป็นคนสุขุมนิ่งเงียบจึงลุกขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใส่เสื้อตัวนอกอย่างรีบร้อนแล้วเดินเข้าไปในห้องเจินเมี่ยว นางแหวกผ้าม่านโปร่งบางที่กั้นเตียงไว้แล้วยื่นหน้าเข้าไป และวิญญาณก็ต้องหลุดลอยออกจากร่างไปโดยพลัน


 


 


“คุณหนู…” อาหลวนร้องด้วยเสียงสะอื้น นางกระโดดเข้าไปทันที เมื่อถึงขอบเตียงก็ยื่นมือออกไปอังตรงปลายจมูกเจินเมี่ยว


 


 


โชคดียิ่ง!


 


 


อาหลวนเปียกซก เหงื่อท่วมตัวคล้ายถูกลากขึ้นมาจากน้ำก็มิปาน นางนั่งลงบนพื้นข้างเตียง แล้วก็ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วเขย่าตัวเจินเมี่ยวเบาๆ “คุณหนู คุณหนู ท่านตื่นสิเจ้าคะ…”


 


 


เมื่อมิเห็นเจินเมี่ยวตอบรับอันใด อาหลวนก็ได้แต่กัดริมฝีปากตนปริแตก น้ำตาร่วงหล่นลงพื้น


 


 


นางมิกล้าไปหาท่านหมอ!


 


 


สภาพของคุณหนูเป็นเช่นนี้ เห็นชัดว่า เห็นชัดว่าถูกคนล่วงเกิน ทว่าวันนี้ซื่อจื่อก็มิได้กลับมา…


 


 


อาหลวนไม่กล้าคิดต่อไปอีก คล้ายว่ามีฝ่ามือใหญ่บีบกำหัวใจของนางอยู่ก็มิปาน


 


 


ตึกตักๆ


 


 


นางรู้สึกว่าหัวใจตนพร้อมจะแตกระเบิดออกมาทุกเมื่อกระนั้น


 


 


แล้วนางควรต้องทำเช่นใดกันแน่?


 


 


อาหลวนที่สุขุมนุ่มลึกมาตลอด กลับคิดสิ่งใดไม่ออกเช่นกันเมื่อต้องตกในสถานการณ์นี้


 


 


นางยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจว่าเรื่องนี้จะให้ผู้ใดทราบมิได้ นางจำได้ว่าหลังจากที่พี่ไป๋เสาเสียโฉมก็คล้ายเรียนรู้เรื่องการใช้ยาต่างๆ อยู่พักใหญ่ ไม่รู้ว่าจะ…


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็หมุนตัวออกไปอย่างไม่ลังเลอีก นางปิดประตูแน่น ทุกอย่างตกเข้าสู่ความมืดมิดในยามราตรีอีกครา


 


 


สาวใช้ใหญ่อย่างไป๋เสานั้นย่อมมีห้องเป็นของตัวเอง


 


 


นางมิใช่คนหลับสนิทมาแต่ไหนแต่ไร แม้นจะดึกดื่นเพียงใดก็ตาม เมื่อดิ้นเสียงเคาะประตูแผ่วเบานางกลับลืมตาขึ้น ใส่เสื้อคลุมแล้วเดินไปหน้าประตู เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “ผู้ใด?”


 


 


“พี่ไป๋เสา ข้าเอง อาหลวน…”


 


 


เสียงที่แฝงความสะอึกสะอื้นดังขึ้นคล้ายมีน้ำเย็นเฉียบราดรดลงไปบนร่างไป๋เสา เหน็บหนาวไปถึงขั้วหัวใจ


 


 


วันนี้เป็นเวรของอาหลวน ปกตินางจะสุขุมยิ่ง แต่ยามนี้กลับวิ่งมาหานาง หรือเกิดเรื่องใดขึ้นกับต้าไหน่ไหน่?


 


 


ไป๋เสาเปิดประตูทันที ลมหนาวสายหนึ่งพัดหอบเข้ามาในห้อง แต่นางมิสนใจแล้ว ได้แต่ดึง อาหลวนเข้ามาแล้วเอ่ยถาม “เกิดอันใดขึ้น?”


 


 


“พี่ไป๋เสา ตามข้ามาเถิด” อาหลานไม่พูดอันใดให้มากความ เพียงจูงมือไป๋เสาให้ตามตนไป


 


 


แม้นจะหวาดกลัวยิ่ง แต่ฝีเท้าของอาหลวนกลับแผ่วเบามั่นคง ไป๋เสารู้ว่าเรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดา จึงเดินตามไปอย่างแผ่วเบาเช่นกัน


 


 


เมื่อคนทั้งสองเข้าไปในห้องหลัก อาหลวนปิดประตูลงจึงเอ่ยด้วยน้ำตาว่า “พี่ไป๋เสา รีบไปดูคุณหนูเร็วเข้าเถิด”


 


 


หัวใจไป๋เสาสะดุดกึกคราหนึ่ง


 


 


ยามนี้จึงมิสนว่าอาหลวนเรียก ‘คุณหนู’ นั้นเป็นเรื่องไม่เหมาะสม นางรีบเดินเข้าไปข้างเตียงทันที


 


 


เมื่อเห็นคนบนเตียงก็ทั้งตกใจและโกรธแค้นขึ้นมาโดยพลัน


 


 


อย่างไรนางก็อายุไม่น้อยแล้ว ทั้งยังเคยเสียโฉมจนตั้งปณิธานว่าจะมิออกเรือนเด็ดขาด ไป๋เสาจึงเยือกเย็นกว่าอาหลวนอยู่มาก


 


 


หลังจากความตกใจเมื่อเริ่มแรกผ่านไป นางก็รีบก้าวเข้าไปดูทั้งนวดตามจุดชีพจรต่างๆ ตามร่างกายแล้วเอ่ยถามว่า “อาหลวน เกิดอันใดขึ้นกันแน่ เจ้าเป็นคนเฝ้าเวรมิใช่หรือ!”


 


 


หางตาอาหลวนคลอไปด้วยน้ำตา “ข้าพักอยู่ที่ห้องด้านข้าง ครั้นได้ยินเสียงแปลกๆ ต้าไหน่ไหน่ก็เป็นเช่นนี้แล้ว”


 


 


เมื่อมีผู้ที่นางสามารถพึ่งพา อาหลวนก็สงบสติอารมณ์ขึ้นได้มาก


 


 


“อาหลวน เรื่องนี้เราต้องเก็บไว้ให้มันเน่าอยู่ในท้องจนตาย!”


 


 


อาหลวนพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วเอ่ยอย่างลังเลว่า “ทว่าต้าไหน่ไหน่เป็นเช่นนี้ มิต้องเชิญท่านหมอหรือ?”


 


 


ไป๋เสาส่ายหน้า แต่มือก็ยังเคลื่อนไหวไม่หยุด นางเอ่ยเสียงขรึมว่า “ต้าไหน่ไหน่มีการร่วมหอที่รุนแรงเกินไปทำให้มิร่างกายมิอาจทานไหวจึงหมดสติไป ข้าดูแลอย่างใกล้ชิดสักระยะก็จะดีขึ้น แต่หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ต้าไหน่ไหน่คงมิอาจมีชีวิตอยู่ได้!”


 


 


ไป๋เสานวดคลึงให้เจินเมี่ยว ยิ่งมองก็ยิ่งผวา


 


 


เป็นผู้ใดกันแน่ที่ทำเรื่องเช่นนี้กับต้าไหน่ไหน่!


 


 


เคราะห์ดีที่ระยะนี้ซื่อจื่อยุ่งยิ่ง…


 


 


ส่วนความเป็นไปได้ที่ว่าซื่อจื่ออาจเป็นผู้กระทำจนเจินเมี่ยวมีสภาพเช่นนี้นั้น ไป๋เสากลับมิได้คิดถึงเลย


 


 


เมื่อวานต้าไหน่ไหน่กับซื่อจื่อเพิ่งจะกลายเป็นสามีภรรยากันอย่างแท้จริงๆ ความหวานล้ำที่ติดอยู่ในแววตาของคนทั้งสองกลับมิอาจปิดบังผู้คนได้ แม้แต่นางยังมองออกว่าซื่อจื่อรักใคร่ต้าไหน่ไหน่เพียงใด


 


 


ครั้นคิดถึงตรงนี้นางก็ใจหายวาบขึ้นมา หรือมีคนคอยจดจ้องเรือนชิงเฟิงอยู่ เมื่อทราบว่า ต้าไหน่ไหน่กลายเป็นสตรีเต็มตัวแล้ว มิต้องกังวลเรื่องความบริสุทธิ์อีกจึงได้ลงมือต่อต้าไหน่ไหน่เช่นนี้?


 


 


ไป๋เสาหรี่ตาคราหนึ่ง ดูท่าเรือนชิงเฟิงแห่งนี้คงมิอาจสงบได้


 


 


เสียงครวญครางดังขึ้น


 


 


ไป๋เสาและอาหลวนมีสีหน้ายินดีขึ้นแล้วเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “ต้าไหน่ไหน่!”


 


 


ขนตาเจินเมี่ยวสั่นไหว ในที่สุดนางก็ลืมตาขึ้น


 


 


เพราะกลัวว่าผู้อื่นจะพบความผิดปรกติ แม้นผ่านไปนานเพียงนี้แล้วก็ยังมิกล้าจุดเทียน ได้แต่อาศัยแสงรำไรจากจันทราเท่านั้น เจินเมี่ยวปวดหัวจนแทบแตกระเบิด เมื่อพิจารณาสถานการณ์อย่างไม่ทราบจะทำฉันใดอยู่ครู่หนึ่งจึงร้องขึ้นด้วยเสียงแหบพร่าว่า “ไป๋เสา…”


 


 


ไป๋เสาขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมา “ต้าไหน่ไหน่ บ่าวอยู่ตรงนี้เจ้าค่ะ”


 


 


“ไป๋เสา ข้าเจ็บไปหมด” เจินเมี่ยวกัดริมฝีปากตนไว้ นางยังคงอดกลั้นไว้ไม่อยากร้องไห้ออกมาต่อหน้าสาวใช้ตน


 


 


อาหลวนเห็นแล้วเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว “ต้าไหน่ไหน่ ท่านอย่ากัดริมฝีปากตนอีกเลย เลือดซึมออกมาแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เจินเมี่ยวจึงเลิกกัดปากตนอย่างว่าง่าย


 


 


ไป๋เสามองแล้วก็เจ็บร้าวขึ้นมาในใจ นางลุกขึ้นยืน “ต้าไหน่ไหน่ ข้าจะไปเอายามาทาให้ท่าน อาหลวน เจ้าไปเอาน้ำร้อนมาเช็ดตัวให้ต้าไหน่ไหน่”


 


 


ห้องข้างห้องหลักทั้งสองฝั่งนั้นเป็นที่นอนของสาวใช้ที่เข้าเวรยามค่ำ ส่วนอีกฝั่งเป็นห้องให้สาวใช้ทั้งหลายได้พักในตอนกลางวัน ที่นั่นจะมีเตาเล็กๆ ที่ไฟมิเคยมอดเลยอยู่เตาหนึ่ง


 


 


คนทั้งสองต่างปฏิบัติหน้าที่ตนอย่างว่องไวโดยไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจาสักคำ


 


 


เจินเมี่ยวปล่อยให้คนทั้งสองปรนนิบัติตามใจ แต่แววตากลับแข็งดุจท่อนไม้กระทั่งความเจ็บปวดของร่างกายก็มิรู้สึกว่าเป็นเรื่องจริงสักเท่าใด


 


 


นางไม่เข้าใจว่าซื่อจื่อเป็นอันใดไปกันแน่


 


 


คนชั่วช้า…สารเลวนั้น ไม่ว่าเขาจะมีความทุกข์ตรมใดก็มักมาลงที่นางเสมอ ชั่วชีวิตนี้นางคงไม่มีวันชอบเขาได้!


 


 


เมื่อทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว ไป๋เสาก็หยิบผ้านวมมาปูลงบนพื้น “ต้าไหน่ไหน่ วันนี้บ่าวจะอยู่ดูแลท่านเองเจ้าค่ะ”


 


 


“อืม” เจินเมี่ยวมิได้ปฏิเสธ ได้แต่มองผ้าม่านที่ปักลายบุตรนับร้อยหลานนับพันอย่างเหม่อลอยอยู่นานแล้วค่อยๆ ผล็อยหลับไป


 


 


หลัวเทียนเฉิงที่จากไปแล้วแต่ย้อนกลับมาคอยยืนเฝ้าอยู่นอกหน้าต่างตลอดเวลานั้นได้แต่ปล่อยให้ปุยหิมะก่อตัวขึ้นบนคิ้วตน กระทั่งฟ้าเริ่มสางจึงจากไปด้วยร่างแข็งทื่อ 

 

 


ตอนที่ 245 เจ็บปวด

 

วันต่อมา เจินเมี่ยวยังมิทันตื่นนอน ไป๋เสาก็เข้าไปลูบที่หน้าผากนาง แล้วถอนหายใจโล่งอกออกมา


 


 


เคราะห์ดีที่ปกติต้าไหน่ไหน่กินแต่อาหารดีๆ ทั้งยังชอบออกกำลัง พื้นฐานสุขภาพจึงดี การไม่มีไข้นับเป็นโชคอันใหญ่หลวงยิ่ง


 


 


อาหลวนออกไปตรวจสอบที่นอกหน้าต่างตั้งแต่เช้าแล้ว


 


 


เมื่อคืนหิมะตกหนัก จึงไม่มีร่องรอยใดๆ เหลืออยู่เลย คิดว่าคงไม่มีผู้ใดพบเห็นความผิดปรกติใดแน่


 


 


นางส่งสายตาให้ไป๋เสาคราหนึ่งแล้วเอ่ยกับไป่หลิงว่า “วันนี้ให้ข้าดูแลปรนนิบัติต้าไหน่ไหน่เถิด”


 


 


สาวใช้ใหญ่สองคนที่ดูแลเรื่องภายในเรือนคืออาหลวนและไป่หลิง สาวใช้ขั้นสองทั้งสองจะผลัดเปลี่ยนกันปรนนิบัติเจินเมี่ยว และวันนี้เป็นหน้าที่ของไป่หลิง


 


 


เมื่อได้ยินอาหลวนกล่าวเช่นนี้ ไป่หลิงก็อึ้งงันไปจึงอดหันไปสบตาไป๋เสามิได้


 


 


สาวใช้ที่มีตำแหน่งเท่าเทียบกัน แม้นจะมาจากจวนเจี้ยนอานปั๋วเหมือนกัน แต่ก็อดแข่งขันกันอยู่ในทีมิได้


 


 


คิดไม่ถึงว่าไป๋เสากลับพยักหน้าด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ไป่หลิง ต้าไหน่ไหน่มิใคร่สบายนัก วันนี้ให้อาหลวนปรนนิบัติเถิด เจ้าไปเรียนที่เรือนอี๋อานสักหน่อยเถิด หากมีคนมาขอเยี่ยมอาการเจ้าก็รับรองด้วย”


 


 


ไป่หลิงฉลาดปราดเปรื่องดั่งนามตน ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันใดกับผู้อื่นมาตลอด เมื่อได้ยินไป๋เสาเอ่ยเช่นนี้ก็มิพูดมากความ พยักหน้ารับแล้วถอยออกไปทันที


 


 


จื่อซูกลับมิใช่คนที่จะปิดบังอันใดได้โดยง่าย นางมิได้เอ่ยอันใดต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย แต่เมื่อภายในห้องเหลือเพียงไป๋เสาและอาหลวนก็หันไปมองพวกนางสองคนทันที


 


 


ไป๋เสาจูงมือนางไปที่ห้องเล็กด้านข้าง แล้วเล่าเรื่องอันคลุมเครือนั้นให้นางฟัง ทั้งเอ่ยเสริมว่า “เรื่องของต้าไหน่ไหน่นี้ ตามความเห็นข้า แม้นจะเป็นสาวใช้ในเรือนเราเอง แต่คนรู้น้อยเท่าใดก็ดีเท่านั้น ท่านว่าอย่างไร พี่จื่อซู?”


 


 


หากเป็นไปได้ เรื่องที่ยากจะเอ่ยปากเช่นนี้ แม้แต่จื่อซูก็ไม่ควรบอกด้วยซ้ำ


 


 


ทว่านางล้วนเป็นสาวใช้ใหญ่ หากภายหน้าจื่อซูทราบเข้า ก็อาจเกิดความระแวงในใจได้ ถึงตอนนั้นหากทั้งสองมิลงรอยกัน ต้าไหน่ไหน่คงลำบากแน่


 


 


ทั้งไป๋เสายังมีความคิดอีกอย่างแฝงอยู่ด้วย


 


 


แม้นนางจะเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน ทั้งตั้งใจว่าจะไม่ออกเรือนเด็ดขาด แม่นมหวังผู้ใกล้ชิดของฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วจึงอบรมนางในหลายๆ เรื่องรวมไปถึงการปฏิบัติดูแลนายผู้หญิงที่ออกเรือนแล้วด้วย


 


 


เมื่อวานต้าไหน่ไหน่ต้องพบเจอเรื่องเช่นนั้น หากเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา…


 


 


ถึงตอนนั้นก็มิใช่เรื่องที่นางและอาหลวนจะปิดบังได้อีกต่อไป อย่างไรจื่อซูที่เป็นสาวใช้ขั้นหนึ่งก็ต้องถูกลากมาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน


 


 


ในเมื่อเป็นเช่นนั้น มิสู้ให้นางรู้ตัวเร็วหน่อยจะดีกว่า


 


 


จื่อซูฟังแล้วก็ตกใจไม่ต่างกัน แต่เพราะมิชอบแสดงสีหน้ามาแต่ไหนแต่ไร เมื่อมองดูแล้วก็นับว่ายังสุขุมอยู่เช่นเดิม แล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “แน่นอนอยู่แล้ว”


 


 


ไป๋เสาจึงเอ่ยปรึกษาต่อว่า “”อย่างไรข้าก็ยังรู้สึกว่าข่าวคราวในเรือนชิงเฟิงของเราแพร่ออกไปเร็วไม่น้อย


 


 


ดวงตาของจื่อซูเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง “หรือในเรือนของเราจะมีคนของผู้อื่นอยู่?”“คนเก่าที่อยู่ในเรือนชิงเฟิง นอกจากอวิ๋นเยี่ยน อวิ๋นหลิ่วที่พอมีบทบาทอยู่บ้าง ผู้อื่นก็ล้วนมิอาจเข้ามาในเรือนหลักได้ เมื่อมีข่าวใดแพร่ออกไป หากมิใช่อวิ๋นเยี่ยนกับอวิ๋นหลิ่ว ก็คงต้องเป็นคนของเรานั้นแลที่ปากมากเกินไป ”


 


 


จื่อซูนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “อวิ๋นหลิ่ว อวิ๋นเยี่ยนเดิมเป็นสาวใช้ขั้นสองหากเราแสดงออกชัดเจนเกินไปดั่งป้องกันโจรผู้ร้ายคงน่าเกลียดเกินไป เช่นนั้นก็คอยระมัดระวังอยู่เงียบๆ เถิดส่วนคนของเราจะตักเตือนให้มาก ให้พวกนางอย่าลืมสิ่งที่ควรปฏิบัติ หากว่างนักก็คิดถึงจุดจบของเสี่ยวฉานให้มากๆ!”


 


 


“อืม” ไป๋เสาพยักหน้าหงึกหงัก


 


 


เมื่อไป่หลิงไปถึงเรือนอี๋อาน หงฝูเข้ามารับเข้าไปภายในเรือน


 


 


นางใช้หางตากวาดมองอย่างรวดเร็วคราหนึ่งจึงพบว่าภายในห้องมีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าเพียงคนเดียว จึงได้แต่โล่งอกอยู่ในใจ นางคุกเข่าทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “บ่าว ไป่หลิง สาวใช้ขั้นสองของต้าไหน่ไหน่คารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”


 


 


เห็นชัดว่าฮูหยินมิได้คาดการณ์ไว้ว่าจะมีคนมาหาตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้ เมื่อมองดูไป่หลิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วก็เอ่ยว่า “ลุกขึ้นเถิด พื้นเย็นยิ่ง”


 


 


ไป่หลิงลังเลเล็กน้อยแล้วยืนขึ้นแต่กลับไม่กล้าเงยหน้ามากนัก ได้แต่ก้มหน้าเอ่ยว่า “เรียนฮูหยินผู้เฒ่า วันนี้ต้าไหน่ไหน่มิใคร่สบายนักจึงสั่งให้บ่าวมาเรียนต่อท่านเพื่อขอรับคำตำหนิเจ้าค่ะ”


 


 


ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น นางเถียนก็พาหลัวจือหยาเดินเข้ามา สีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใย “เมื่อวานยังดีๆ อยู่มิใช่หรือ เหตุใดวันนี้จึงไม่สบายได้ เชิญท่านหมอแล้วหรือไม่?”


 


 


ไป่หลิงขบริมฝีปากตน “ต้าไหน่ไหน่เพียงรับไอเย็นมากเกินไป ทำให้รู้สึกไม่สบาย ดื่มน้ำขิงแล้วก็บอกว่า…”


 


 


นางชะงักไปครู่หนึ่งแล้วมองฮูหยินผู้เฒ่าอย่างระมัดระวังคราหนึ่งจึงเอ่ยต่อว่า “ต้าไหน่ไหน่บอกว่ามิต้องเรียกท่านหมอเจ้าค่ะ”


 


 


นางเถียนขมวดคิ้ว “ต้าไหน่ไหน่ทำตัวเป็นเด็ก พวกเจ้าเป็นบ่าวไพร่ เหตุใดจึงปล่อยให้นางทำตามใจ ป่วยก็ต้องเชิญท่านหมอมาตรวจ มีเรื่องใดต้องพูดกันอีกเล่า”


 


 


ไป่หลิงพลันร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


นางเถียนกับเม้มริมฝีปากเผยยิ้มเอ่ยต่อฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า อย่างไรก็ให้หมอในจวนไปตรวจหลานสะใภ้ดูสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ หากละเลยไป อาการป่วยเล็กน้อยอาจลุกลามจนอาการหนักคงมิคุ้มแน่”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าฟฟังแล้วก็พยักหน้า กำลังจะเอ่ยปากขึ้น ไป่หลิงก็กัดฟันคุกเข่าลงอีกครา “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ ความจริงต้าไหน่ไหน่ ระดูของต้าไหน่ไหน่มาเจ้าค่ะ…”


 


 


นางไม่รู้จริงๆ เหตุใดพี่ไป๋เสาจึงให้นางเรียนเช่นนี้ เมื่อเอ่ยวาจานี้ออกไป แม้แต่นางก็รู้สึกเขินอายจนแทบทนไม่ไหวแล้ว


 


 


ครั้นได้ฟังวาจานี้ ฮูหยินผู้เฒ่าและนางเถียนก็อึ้งงันไปพร้อมกัน


 


 


มิถูก นางเถียนลอบครุ่นคิดอยู่ในใจ


 


 


ระดูของนางเจินผ่านไปยังมิถึงเดือนมิใช่หรือ แล้วจะมาอีกได้อย่างไร?


 


 


เมื่อใคร่ครวญดูอีกทีก็ต้องยิ้มออกมา


 


 


เด็กสาวที่ระดูมาได้เพียงปีสองปี บางคนก็จะมีการมาที่คลาดเคลื่อน ดูท่านางเจินจะเป็นเช่นนั้นแล ร่างกายคงมิอาจปรับตัวได้


 


 


หากเป็นเช่นนี้ แม้นคิดจะตั้งครรภ์ในเวลาอันใกล้นี้ก็คงเป็นเรื่องยากยิ่งแล้ว


 


 


นางเถียนผลิยิ้มที่ไม่มีผู้ใดสามารถสังเกตเห็นออกมา


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าก็เบิกตากว้างเอ่ยสิ่งใดไม่ออกเช่นกัน จึงอ้าปากพูดได้เพียง “นาง…” เมื่อเห็นไป่หลิงหน้าแดงมากขึ้นทุกทีจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หงฝู ไปอาเจียวมาให้ไป่หลิงนำกลับไปด้วย”


 


 


“เจ้าค่ะ”


 


 


ไป่หลิงรีบเอ่ยขอบพระคุณทันที “บ่าวขอบพระคุณฮูหยินผู้เฒ่าแทนต้าไหน่ไหน่ด้วยเจ้าค่ะ”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ามองไป่หลิงอยู่นาน


 


 


สาวใช้ผู้นี้ช่างฉลาดมีไหวพริบนัก ฮูหยินผู้เฒ่าอดยกมุมปากหยักโค้งขึ้นมิได้


 


 


อาการตื่นเต้นของนางเมื่อครู่นั้นเป็นเพราะเหตุผลในการไม่มาน้อมทักทายของหลานสะใภ้นั้นช่างน่าเขินอายเช่นนี้เอง


 


 


นางกลับไพล่คิดไปว่าเมื่อวานหลานสะใภ้ถูกตำหนิ วันนี้จึงได้เล่นแง่กับนางเสียอีก


 


 


ปมในใจของฮูหยินผู้เฒ่าพลันคลายหายไปทันที


 


 


ไป่หลิงรับอาเจียวกลับไป อาหลวนเป็นผู้นำไปเคี่ยว ส่วนไป๋เสานั้นแยกตัวออกจากทุกคนไปคอยเฝ้าเจินเมี่ยวอยู่เงียบๆ


 


 


เจินเมี่ยวนั่งพิงหมอนอิงสีทองปักลายกุหลาบแดงอย่างเหม่อลอยไร้วาจา


 


 


มิทราบผ่านไปนานเท่าใดจึงมีสติคืนมา นางเลียริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “ไป๋เสา ข้ากระหาย อยากจะดื่มน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวใส่พุทราแดง”


 


 


ไป๋เสากลับมิได้เคลื่อนไหวใดๆ เพียงร้องเสียงสูงว่า “อาหลวน…”


 


 


อาหลวนที่กำลังเคี่ยวอาเจียวอยู่ห้องด้านข้างจึงเดินเข้ามาอย่างแผ่วเบา


 


 


“เจ้าไปบอกชิงเกอว่าต้าไหน่ไหน่อยากกินน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวใส่พุทราแดง ให้นางทำแล้วยกเข้ามาที”


 


 


“เจ้าค่ะ” เมื่อเห็นแววตาเจินเมี่ยวกลับมากระจ่างใสอีกครา อาหลวนก็มีสีหน้าดีใจแล้วรีบถอยออกไปทันที


 


 


เจินเมี่ยวกลอกตาไปมาแล้วมองไป๋เสา “ไป๋เสา เจ้าไม่ยอมอยู่ห่างข้าเพียงก้าว เพราะกลัวข้าจะคิดสั้นหรือ? ”


 


 


ยามนี้นางช่างรู้สึกลำบากใจจริงๆ


 


 


หากบอกไปตามความจริงแล้วจะให้เหล่าสาวใช้มองซื่อจื่ออย่างไร แล้วจะมองนางอย่างไร?


 


 


ทว่าหากมิพูดปล่อยให้ไป๋เสากับอาหลวนเข้าใจผิดไปเช่นนี้แล้วพวกนางจะมองตนเช่นไรเล่า?


 


 


เอ๊ะ คล้ายว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง!


 


 


เจินเมี่ยวครุ่นคิดคราหนึ่ง แล้วก็เข้าใจขึ้นมาโดยพลัน


 


 


พูดความจริง นางและซื่อจื่อก็จะถูกดูแคลนด้วยกันทั้งสองคน แต่หากไม่พูดความจริงผู้ที่ถูกเหยียดหยามคงมีแค่นางคนเดียว


 


 


ทั้งที่คนที่ทำเรื่องชั่วช้านี้คือคนเลวผู้นั้น แล้วเหตุใดนางต้องยอมถูกเหยียดหยามแต่เพียงผู้เดียวเล่า


 


 


คนบางคนที่มิเคยที่ว่าตนจะเป็นสตรีผู้เพียบพร้อมงดงามมีคุณธรรมจึงได้เอ่ยขายหลัวเทียนเฉิงออกไปทันที “ผู้ที่กระทำเรื่องเมื่อวานคือซื่อจื่อ”


 


 


นางจักต้องให้เหล่าสาวใช้ดูแคลนเขาไปเช่นเดียวกันนาง!


 


 


ไป๋เสาถอนหายใจโล่งอกออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ถอนหายใจเสร็จแล้ว โทสะและความสงสารกลับประเดประดังเข้ามา


 


 


ความจริงความรู้สึกเหล่านี้ที่ไป๋เสามีนั้นไม่ยากเลยที่จะเข้าใจ


 


 


สำหรับสตรีผู้หนึ่งแล้ว ความบริสุทธิ์นั้นสำคัญที่สุด หากเมื่อวานเป็นบุรุษอื่น แค่เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ต้าไหน่ไหน่ก็มีเพียงตายทางเดียวเท่านั้น ทั้งยังทำให้จวนเจี้ยนอานปั๋วต้องอับอายไปด้วย และแม้นจะไม่ทราบด้วยซ้ำว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใคร แต่หากเรื่องเช่นนี้ได้เกิดขึ้นกับต้าไหน่ไหน่แล้ว ก็ไม่ต่างอันใดกับอยู่ไม่สู้ตาย


 


 


หากคนผู้นั้นเป็นซื่อจื่อ…


 


 


ไป๋เสาสลัดก้อนหินอันหนักอึ้งที่สุดซึ่งกดทับหัวใจนางออกไป มิเช่นนั้นคงได้เผลอเผยความรู้สึกของตนออกมาอย่างง่ายดายเป็นแน่ นางประคองแขนเจินเมี่ยวด้วยตาแดงก่ำ “ซื่อจื่อช่างมิรู้จักถนอมต้าไหน่ไหน่เอาเสียเลย”


 


 


นางคิดถูกยิ่งที่ตัดสินใจไม่ออกเรือนไปชั่วชีวิตว่าหรือไม่ ติดตามต้าไหน่ไหน่ ทั้งกินดีอยู่ดี มิต้องกังวลว่าจะถูกบุรุษทารุณด้วย


 


 


ทว่าเหตุใดต้าไหน่ไหน่ถึงได้น่าสงสารถึงเพียงนี้เล่า!


 


 


ซื่อจื่อช่างนั้นเป็นสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์โดยแท้! ไป๋เสาคิดอย่างเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟัน


 


 


เมื่อเห็นว่ามีคนโกรธแค้นแทนนางเช่นนี้ เจินเมี่ยวก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมา แม้นเนื้อตัวจะฟกช้ำแต่คล้ายว่าหัวใจกลับเจ็บปวดยิ่งกว่า ความรู้สึกมึนชาไร้วิญญาณนั้นกลับมลายหายไป นางโผเข้าสู่อ้อมอกไป๋เสาแล้วร้องไห้ออกมา


 


 


จะแสร้งเข้มแข็งไปไย อย่าได้ล้อเล่นเลย นางทำมิได้เสียหรอก!


 


 


ตอนที่ชิงเกอยกน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวใส่พุทราแดงเข้ามาก็ว่าเจินเมี่ยวกำลังร้องไห้อย่างหนัก จึงอึ้งงันไปครู่หนึ่ง กระทั่งอาหลวนเดินออกมาจากห้องด้านข้างแล้วรับถ้วยน้ำแกงไป ทั้งส่งสายตาให้นางออกไปได้ นางจึงมีสติขึ้นมาในทันที


 


 


“ต้าไหน่ไหน่ ผู้ใดรังแกท่าน บอกบ่าวมา บ่าวจะไปจัดการมันเจ้าค่ะ!”


 


 


“นี่ๆ ชิงเกอ เจ้ารีบออกไปเถิด” อาหลวนผลักนางคราหนึ่ง


 


 


น่าเสียดายที่ชิงเกอตัวใหญ่กว่านางเป็นสองเท่า เมื่อนางแน่วแน่ว่าจะไม่ไป ผู้ใดผลักนางก็มิเคลื่อนไหว อาหลวนผลักอาหลวนให้หลบไปอีกทางแล้วเข้าไปจับตัวเจินเมี่ยวออกมาจากอกไป๋เสา


 


 


“ต้าไหน่ไหน่ ท่านบอกบ่าว บอกบ่าวมาเถิดเจ้าค่ะ!”


 


 


เจินเมี่ยวถูกนางเขย่าจนเวียนหัวจนแทบจะหมดสติไป นางกลอกตาไปมาแล้วเอ่ยว่า “หยุดเดี๋ยวนี้”


 


 


รอจนชิงเกอหยุดเขย่า นางจึงเอ่ยว่า “ข้าแค่ปวดท้องนิดหน่อย รู้สึกไม่สบายเท่าใดจึงร้องไห้ออกมาเท่านั้น ผู้ใดจะกล้ารังแกข้ากันเล่า ชิงเกอ อาหลวนพูดถูก เจ้าออกไปเล่นสักประเดี๋ยวเถิด ข้าดื่มน้ำแกงร้อนๆ นี้แล้วก็คงดีขึ้น”


 


 


“เจ้าค่ะ” ชิงเกอเดินออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์ นางคิดแล้วคิดอีกจึงเดินมุ่งหน้าไปหาปั้นซย่า


 


 


“พี่ชิงเกอ มาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ?” ปั้นซย่ากลัวสาวใช้ทึ่มทื่อผู้นี้มาก คราแรกก็เอาซาลาเปาไส้เนื้อมาติดสินบนเขา หึๆ เขายอมตายดีกว่าทำเช่นนั้น


 


 


ชิงเกอเป็นคนซื่อตรง เมื่อใจคิดเช่นไร ปากก็พูดไปเช่นนั้น “ต้าไหน่ไหน่ปวดท้องจนร้องไห้ เจ้าไปเรียนซื่อจื่อที่ศาลาว่าการสักหน่อยได้หรือไม่?”


 


 


“คือ…” ปั้นซย่าอยากจะดึงทิ้งศีรษะตนนักจะไปหาซื่อจื่อด้วยเหตุผลเช่นนี้ เขาจะมิถูกตีตายหรอกหรือ?


 


 


“เจ้าจะไปหรือไม่ไป?” ชิงเกอผลักเขาคราหนึ่ง


 


 


ปั้นซย่าเซถลาล้มลงไปบนพื้น แล้วตะกายลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล “ไป ข้าจะกล้าไม่ไปหรือ!” 

 

 


ตอนที่ 246 เสียใจ

 

คนที่เข้ามาในหน่วยองครักษ์จิ่นหลินล้วนเป็นคนเรียบง่าย มิชอบโอ้อวด


 


 


ใต้เท้าหัวหน้าผู้บัญชาการผู้มีบรรดาศักดิ์สูงส่งทั้งอายุยังน้อยของพวกเขา ปกติแม้นอยู่ในศาลาว่าการก็มิใครจะพบเจอตัวได้เท่าใดนัก ทว่าวันนี้มิเพียงปรากฏตัวตั้งแต่เช้าแต่ยังเดินตั้งแต่ในศาลาว่าการไปจนถึงหน้าประตูใหญ่อยู่หลายรอบดั่งต้องการแสดงตัวต่อผู้คนกระนั้น


 


 


หากเป็นผู้อื่นก็ช่างเถิด แต่ใต้เท้าที่มุมปากมักมีรอยยิ้มน้อยๆ ทำให้คนคาดเดามิได้ผู้นี้กลับมีสีหน้าลุ่มลึกดุจสายน้ำ คล้ายหากเผลอแตะต้องก็จะตกลงไปในธารน้ำแข็งก็มิปาน


 


 


ท่าทีเช่นนี้นั้นน้อยนักที่จะได้พบเห็น ไม่ทราบว่าพบเจอเรื่องหนักหนาอันใดกันแน่


 


 


แต่มีคนผู้หนึ่งนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาขององค์จักรพรรดินั้นคล้ายว่าใต้เท้าผู้นี้จะได้สร้างความบาดหมางกับรัชทายาท จึงได้แต่คิดถึงเรื่องของรัชทายาทกลับไปกลับมา


 


 


“ใต้เท้า นี่เป็นข่าวจากทางเหนือขอรับ” ผู้บัญชาการกู่หมิงเดินเข้ามาส่งกล่องใบเล็กให้กับหลัวเทียนเฉิง


 


 


หลัวเทียนเฉิงรับมา ท่าทีสงบนิ่งทั้งเงียบขรึม “ลำบากท่านแล้ว”


 


 


กู่หมิงเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง ในที่สุดก็กดโทสะที่มิอยากยอมรับนั้นเอาไว้แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ใต้เท้า วันนี้เที่ยงให้ข้าเรียกเหล่าพี่น้องเราไปฉลองร่วมกันสักหน่อยดีหรือไม่?”


 


 


หน่วยองครักษ์จิ่นหลินเพิ่งก่อตั้งได้ไม่ถึงหนึ่งปี ตำแหน่งต่างๆ ยังไม่ลงตัวนัก ผู้บัญชาการสูงสุดคือแม่ทัพโอวหยาง


 


 


ด้วยอายุของแม่ทัพใหญ่โอวหยางก็เหมาะสมยิ่งที่จะเชิญมาอยู่ในตำแหน่งสูงสุดนี้ แต่หากคิดจะให้เขาลงมือจัดการหน่วยองครักษ์จริงๆ คาดว่าจักรพรรดิคงมิใคร่ทรงพอพระทัยนัก


 


 


อย่าได้มองว่าผู้บัญชาการสูงสุดของหน่วยองครักษ์จิ่นหลินคือแม่ทัพใหญ่ บุคคลที่มีอำนาจจริงๆคือผู้บัญชาการสองท่านนี้ต่างหาก


 


 


แรกเริ่มนั้นตำแหน่งหัวหน้าบัญชาการยังว่างอยู่หนึ่งตำแหน่ง กู่หมิงย่อมต้องเล็งตำแหน่งนี้ไว้เป็นธรรมดาจึงมีการแข่งขันกับหลัวเทียนเฉิงอยู่ในที ทว่ายามนี้เขาโดดเด่นยิ่งหากยังมิยอมรับอีก ก็มิต่างอันใดกับผู้มีตาแต่ไร้แวว


 


 


อายุสามสิบแต่กลับได้เป็นถึงผู้บัญชาการก็นับว่าเป็นผู้มีความสามารถยิ่งแล้ว เหตุใดต้องมากลัดกลุ้มเพียงเพราะเรื่องนี้ด้วยเล่า?


 


 


ก่อนหน้านี้ที่มิเคยเอ่ยถึงเลย แต่วันนี้กับเอ่ยขึ้นมาเพราะรู้สึกว่าหลัวเทียนเฉิงดูผิดปกติไป


 


 


ระยะก่อนนั้นทุกคนต่างยุ่งอย่างยิ่งไม่มีผู้ใดกินอิ่มนอนเต็มตา แต่ใต้เท้าผู้นี้มิได้นอนทั้งคืนกลับไม่แม้แต่จะเปลี่ยนสีหน้า เห็นชัดว่าท่าทีที่ผิดแปลกไปนี้ของเขาจักต้องมิเกี่ยวกับเรื่องงานอย่างแน่นอน


 


 


หากเป็นเรื่องส่วนตัว แม้นมิสะดวกจะพูดแต่อารมณ์ที่มีก็มิจำเป็นต้องปิดบังไว้ แล้วจะมีอันใดดีที่กระชับความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษด้วยกันเท่ากับการดื่มสุราอีกเล่า?


 


 


ตั้งแต่ที่เขากระทำการวู่วามไปเมื่อคืนนี้ หลัวเทียนเฉิงก็นอนแทบไม่หลับ เขาอดทนและแข็งแรงยิ่ง บางคราสะสางงานไม่นอนติดต่อกันสองสามวันก็มี ยามนี้จึงดูไม่ออกว่าอยู่ในภาวะอ่อนเพลีย มีเพียงตนเองที่รู้ว่าคล้ายมีก้อนหินใหญ่กดทับหน้าอกตนไว้ แค่หายใจ ก็รู้สึกปวดหนึบๆ ในหัวใจแล้ว


 


 


เมื่อได้ยินคำเชิญของกู่หมิง หลัวเทียนเฉิงจึงชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยออกมาคำหนึ่งว่า “ดี”


 


 


กู่หมิงผ่อนลมหายใจออกมาทันที ดูท่าเขาคงเลือกโอกาสได้เหมาะสมยิ่ง หากได้นั่งดื่มสุราด้วยกัน การแข่งขันที่มีอยู่ในทีตั้งแต่อดีตนั้นย่อมต้องค่อยๆ มลายหายไป


 


 


เมื่อเขาได้สิ่งที่พอใจแล้วก็มิรบเร้าอันใดหลัวเทียนเฉิงอีก


 


 


หลัวเทียนเฉิงเปิดกล่องใบเล็กนั้น ด้านในมีขี้ผึ้งอยู่สองก้อน เขาหยิบขึ้นมาแล้วออกแรงบีบจนกระดาษที่อยู่ภายในโผล่ออกมา


 


 


เมื่ออ่านข้อความบนกระดาษสองแผ่นนั้นแล้วก็ทิ้งลงไปในเตาไฟที่วางอยู่มุมห้อง


 


 


กระทั่งกระดาษนั้นกลายเป็นเถ้าถ่าน ความรู้สึกอัดอั้นและร้อนรนที่ปนเปกันไปหมดนั้นก็กลับมาอีกครั้ง


 


 


พลันได้ยินเสียงเคาะประตู


 


 


“เข้ามา” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยใบหน้าเคร่งขรึม


 


 


ตอนที่หนุ่มน้อยผู้นั้นก้าวเข้ามาก็รู้สึกถึงพลังที่มองไม่เห็นชนิดหนึ่งคอยตามติดเขา แม้แต่หนังศีรษะก็ยังร้อนผ่าวขึ้นมา


 


 


ความรู้สึกนี้ชัดเจนขึ้นอีกคราเมื่อหลัวเทียนเฉิงเอ่ยปากขึ้น “มีอันใด?”


 


 


หนุ่มน้อยเลียริมฝีปากตนโดยไม่รู้ตัว ในใจก็คิดว่าหากคำตอบของเขาทำให้ใต้เท้าไม่พอใจ เขาคงมิถูกโบยจนตายใช่หรือไม่?


 


 


“ใต้เท้า ด้านนอกมีบ่าวผู้หนึ่งมาขอพบท่านขอรับ บอกว่าเป็นคนของจวนท่านชื่อ ปั้นซย่า…”


 


 


พูดยังมิทันจบเสียง ‘ตึง’ ก็ดังขึ้นทันที เป็นเพราะหลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นยืนรวดเร็วเกินไปทำให้เก้าอี้หงายล้มลง


 


 


“ใต้เท้า…”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเดินออกไปดุจพายุหอบหนึ่งโดยไม่สนเขาสักนิด


 


 


กระทั่งเดินออกจากประตู เมื่อเห็นปั้นซย่าคอยท่าอยู่ หลัวเทียนเฉิงจึงฟื้นคืนท่าทีเดิมแล้วเอ่ยถามเขาว่า “มีเรื่องเกิดขึ้นที่จวนหรือ?”


 


 


น้ำเสียงตระหนกนั้นทำให้ปั้นซย่าอึ้งไป แล้วมองเขาด้วยความงุนงง


 


 


แววตานี้เองที่ทำให้หลัวเทียนเฉิงมีสติคืนมา ยามนั้นเขาจึงกระแอมไอแผ่วเบาเสียงหนึ่ง พลันก็มิอาจมองเห็นร่องรอยใดๆ จากใบหน้าเขาได้อีก


 


 


“ต้าไหน่ไหน่…ปวดท้อง…” ปั้นซย่าเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก


 


 


“ปวดท้อง?” หลัวเทียนเฉิงซ่อนมือที่กำแน่นของตนไว้ใต้แขนเสื้อ แล้วลอบสูดหายใจเข้าจึงสามารถกลบเกลื่อนท่าทีแปลกประหลาดนั้นไว้ได้ “ต้าไหน่ไหน่ให้เจ้ามาหาข้าหรือ?”


 


 


ตอนที่เอ่ยคำถามนี้ออกไป เขาไม่แน่ใจจริงๆ ว่าตนกำลังดีใจหรือหวาดกลัวกันแน่


 


 


ปั้นซย่ากลับมิได้ปฏิเสธ “พี่ชิงเกอบอกมาขอรับ”


 


 


เขาคิดในใจว่าเอ่ยเช่นนี้ก็มิผิดกระมัง นี่เป็นสิ่งที่สาวใช้ทึ่มทื่อผู้นั้นพูด แต่หากบอกซื่อจื่อไปตามตรงว่าชิงเกอเป็นคนสั่งให้เขามาเรียกซื่อจื่อให้กลับไปและเขายังมาจริงๆ คาดว่าซื่อจื่อคงเตะเขากระเด็นติดกำแพงเป็นแน่


 


 


“ปวดท้อง เหตุใดจึงมิไปตามหมอ?” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยถามด้วยความรู้สึกหดหู่ แต่เพื่อปกปิดมัน น้ำเสียงที่เอ่ยจึงยิ่งเย็นชา


 


 


ปั้นซย่าอึ้งงันครู่หนึ่ง พลันเข้าใจความหมายของเขาผิดไป


 


 


เขารู้อยู่แล้ว เรื่องเช่นนี้ ซื่อจื่อจะกลับจวนได้อย่างไรเล่า


 


 


ซื่อจื่อมีหน้าที่อันสำคัญยิ่ง ว่าไปแล้วแม้นเป็นบุรุษทั่วไปที่มีการงานก็มิยอมละทิ้งหน้าที่ตนเพื่อกลับจวนเพียงเพราะเรื่องเล็กๆ เช่นภรรยาปวดท้องแน่


 


 


“เช่นนั้น…บ่าวกลับแล้ว ซื่อจื่อทำงานต่อเถิดขอรับ” ปั้นซย่ายิ้มแหย่ๆ แล้วต่อว่าตนเองอีกคราที่ยอมทำตามคำสั่งของสาวใช้ทื่อทึ่มผู้นั้น


 


 


แต่หวังว่าซื่อจื่อจะไม่คิดว่าเขาคือตัวโง่งมก็พอ


 


 


เมื่อเห็นปั้นซย่าหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว หลัวเทียนเฉิงก็ได้แต่อ้าปากเผยอ ร้องไห้โดยไร้น้ำตา


 


 


เจ้าคนโง่งมนั้น เขา เขาไปแล้วจริงๆ มิได้ถามเขาสักคำว่าจะกลับหรือไม่ มิรู้จักถามไถ่ให้เขาตัดสินใจสักนิด!


 


 


หลัวเทียนเฉิงยังคงยืนอยู่เช่นนั้นกระทั่งไม่เห็นแม้แต่เงา จึงตัดใจแล้วเดินเข้าไปในศาลาว่าการ


 


 


คนที่เข้าออกในศาลาว่าการต่างรู้สึกได้ว่าสีหน้าของหัวหน้าพวกเขานั้นมืดดำยิ่งกว่าเดิมเสียอีก


 


 


ชิงเกอยืนอยู่หน้าประตูเรือน สายตาสอดส่องไม่หยุด


 


 


เมื่อเห็นปั้นซย่าเดินเข้ามาก็รีบวิ่งออกไปมองซ้ายแลขวา แต่เมื่อไม่พบแม้แต่เงาของหลัวเทียนเฉิง ก็เดินวนไปด้านหลังปั้นซย่าอย่างไม่อยากเชื่อ


 


 


ปั้นซย่าจึงเย้านางว่า “พี่ชิงเกอ มิใช่ทุกคนจะเหมือนท่านที่แม้นมีคนยืนอยู่ด้านหลังก็มิอาจมองเห็นแม้เพียงเส้นผม”


 


 


ชิงเกอขมวดคิ้วมุ่น “เช่นนั้นเหตุใดจึงมิเห็นซื่อจื่อเล่า?”


 


 


“ซื่อจื่อ?” ปั้นซย่านวดคลึงขมับอยู่หลายครา “พี่ชิงเกอ ข้าถึงบอกว่าท่านอย่าได้ทำลายข้าเลย ซื่อจือจะกลับมาได้อย่างไร ซื่อจื่อไม่ด่าข้าก็นับว่าเป็นบุญยิ่งแล้ว”


 


 


“เหตุใดซื่อจื่อจึงไม่กลับมา? ต้าไหน่ไหน่ปวดท้องจนร้องไห้แท้ๆ”


 


 


เมื่อคิดถึงต้าไหน่ไหน่ผู้บอบบาง ปั้นซย่าก็มิอยากเอ่ยอันใดที่ทำร้ายจิตใจ ทว่าชิงเกอคอยแต่ซักไซ้ไปมา ในที่สุดก็อดเอ่ยออกมามิได้ว่า “ซื่อจื่อบอกว่า หากป่วยก็ไปเชิญท่านหมอ”


 


 


“เชิญท่านหมอ?” ชิงเกออึ้งงันไป เมื่อมีสติคืนมาจึงเอ่ยอย่างเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ฮึ ซื่อจื่อและเจ้าล้วนมิใช่คนดี เสียแรงที่กินซาลาเปาไส้เนื้อของคุณหนูข้าไปมากมายเช่นนั้น!”


 


 


เมื่อเห็นสาวใช้ร่างใหญ่วิ่งจากไปดุจสายลม ปั้นซย่าก็ลูบจมูกตนพลางพร่ำบ่นว่า “ผู้ใดกินไปมากมายเล่า มีแต่ซื่อจื่อต่างหากที่กิน ทุกคราที่ให้ตนก็ให้อย่างจำคล้าย ท่าทีดุจกำลังเฉือนเนื้อตนเองก็มิปาน มีคราหนึ่งทำให้เขาตกใจจนต้องแบ่งคืนกลับไปให้ครึ่งหนึ่ง”


 


 


ชิงเกอเข้าไปในห้องครัวเล็ก


 


 


ท่านย่าเคยสอนข้าทำขนมยัดไส้พุทรา คุณหนูจักต้องชอบเป็นแน่


 


 


เมื่อชิงเกอทำขนมเสร็จก็ล่วงเลยไปถึงยามเที่ยงพอดี


 


 


หิมะหยุดตกแล้ว แต่บนพื้นยังคงขาวโพลน นกกระจอกกระโดดโลดเต้นอยู่บนหิมะคอยหาอาหารกิน


 


 


“ต้าไหน่ไหน่ บ่าวประคองท่านพักผ่อนที่เตียงเองเจ้าค่ะ ข้างหน้าต่างนั้นหนาวเกินไป” อาหลวนเอ่ยอย่างระมัดระวัง


 


 


เจินเมี่ยวส่ายศีรษะ “นอนนานเกินไปแล้ว ข้าอยากนั่งสักหน่อย” กล่าวจบก็มองไปที่เหล่านกกระจอกแสนร่าเริงอย่างเหม่อลอย


 


 


นางก็เป็นสตรีผู้หนึ่ง แม้นภพก่อนจะมิเคยมีคนรัก ทว่าเมื่อคิดถึงเรื่องที่เขาทำต่อนางเมื่อคืนนี้แล้วก็โกรธแค้นและเสียใจจนต้องหลับตาลง


 


 


ตั้งแต่ที่นางลืมตาขึ้นมาบนสถานที่อันแปลกหน้านี้ก็ถูกคนชั่วช้าผู้นั้นบีบคอเกือบจนเกือบจะตายไปอีกครั้ง เจินเมี่ยวจึงรู้ดีว่าการแต่งงานของพวกเขามาจากสาเหตุที่มิใคร่จะดีนัก เกรงว่าชั่วชีวิตของนางคงไม่มีทางรู้ได้ว่าสิ่งใดที่เรียกว่าความรัก


 


 


เมื่อครุ่นคิดถึงยุคสมัยนี้แล้ว นางก็ได้แต่ยอมรับ


 


 


มีคนมากมายที่แต่งงานโดยไม่รู้จักกัน นางเองก็มิต่างอันใดกับสตรีเหล่านั้น แล้วมีอันใดที่ไม่ยุติธรรม ขอเพียงเข้าใจและรู้จักนำความรักไปทำในสิ่งที่ชอบก็สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้


 


 


ทว่าเขากลับมิยอมให้โอกาสนางได้แม้เพียงสักเล็กน้อย


 


 


หลังจากผ่านเหตุการณ์มากมายมาปีกว่านี้แล้ว สำหรับนางอย่างน้อยเขาก็นับว่าเป็นสหายคนหนึ่งได้ มิถูกต้อง…แม้นเป็นคนแปลกหน้าเขาก็มิควรต้องโหดร้ายถึงเพียงนี้กระมัง


 


 


เห็นชัดว่าก่อนหน้านั้นเขาก็ยังปกติดีทุกอย่าง


 


 


เจินเมี่ยวพลันเจ็บปวดใจขึ้นมาคล้ายมีด้ายเส้นเล็กๆ คอยเกี่ยวดึงหัวใจนางอยู่ตลอดเวลา แม้นมิได้ทำให้มีบาดแผลใหญ่ แต่มันก็เจ็บมากพอจะทำให้คนเหงื่อไหลแตกพลั่กได้


 


 


หากเขามีท่าทีอยากจะฆ่านางให้ตายเช่นเมื่อแรกเริ่มก็แล้วไปเถิด ผู้ใดจะไปคิดแค้นกับสัตว์เดรัจฉานได้เล่า


 


 


ทว่าเหตุใดถึงเลือกทำร้ายนางในขณะที่นางค่อยๆ เห็นเขาเป็นดั่งสหาย กระทั่งเป็นคนที่ชิดใกล้เช่นนี้ด้วยเล่า?


 


 


เจินเมี่ยวสึกสับสนยิ่ง


 


 


นางสับสนอย่างที่สุด สับสนกระทั่งต้องยกความรู้สึกของตนที่มีต่อเขาออกมาสำรวจอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก


 


 


มันคือความรักหรือไม่?


 


 


เป็นความรักที่เห็นแต่อีกฝ่ายอยู่ในสายตา ยอมรับทุกอย่างของอีกฝ่ายได้ทั้งหมด เป็นความรักที่หากมิใช่เขาก็จักไม่มีใครอีกเช่นนั้นหรือไม่?


 


 


เจินเมี่ยวส่ายหน้า


 


 


นางยอมรับว่าหนึ่งปีกว่าที่อยู่ด้วยกัน เพราะท่าทีเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของอีกฝ่ายทำให้ความรู้สึกดีๆ ที่กำลังจะพัฒนาไปนั้นต้องหยุดชะงักลง


 


 


อาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเขาเกิดจากอันใดกันแน่เล่า?


 


 


อุปนิสัยเดิมก็เป็นเช่นนี้หรือเพราะการแต่งงานครานี้ทำให้รู้สึกยากจะยอมรับได้มาตลอด?


 


 


เจินเมี่ยวคล้ายจะคว้าจับเหตุผลบางอย่างได้แล้ว แต่เมื่อคิดอย่างละเอียดกลับคล้ายมีเมฆหมอกเข้ามาบัง มองไม่เห็นแม้สิ่งใด


 


 


เวลานี้เองชิงเกอจึงยกขนมไส้พุทราเข้ามา “คุณหนู ลองกินดูเจ้าค่ะ”


 


 


เจินเมี่ยวมีสติคืนมาแล้วฝืนฉีกยิ้มออกมา “เหตุใดจึงเรียกคุณหนูเล่า หากจื่อซูได้ยินเขา เจ้าต้องถูกเอ็ดเอาแน่”


 


 


“อยากเรียกคุณหนูเจ้าค่ะ” ชิงเกอเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ


 


 


“เกิดอันใดขึ้นหรือ?”


 


 


ชิงเกอมิใช่คนมากเล่ห์ เมื่อได้ยินเจินเมี่ยวเอ่ยถามเช่นนี้ก็เอ่ยออกไปด้วยพาซื่อว่า “ซื่อจื่อมิกลับมาดูอาการคุณหนู ทั้งยังบอกว่าหากคุณหนูไม่สบายก็ให้ไปเชิญท่านหมอ บ่าวจึงเรียกคุณหนู ไม่เรียกต้าไหน่ไหน่แล้ว ไม่ให้ท่านเป็นภรรยาของซื่อจื่อแล้วเจ้าค่ะ!” 

 

 


ตอนที่ 247 หลุมดำในใจ

 

“เชิญท่านหมอ?” ใบหน้าเจินเมี่ยวพลันซีดเผือดไป ดูแล้วขาวซีดยิ่งกว่าหิมะนอกหน้าต่างเสียอีก สายลมอันเหน็บหนาวเสียดแทงหัวใจมุดเข้าไปถึงกระดูก ทำให้คนตัวแข็งไปทั้งร่าง


 


 


เมื่อนางมีท่าทีผิดแปลกไปอย่างชัดเจน ชิงเกอก็ตกใจยิ่ง


 


 


“คุณหนู ท่านเป็นอันใดหรือ?” แม้นชิงเกอมิได้ฉลาดเท่าใดนัก ในสายตาคนทั่วไปก็กล่าวได้ว่านางออกจะโง่งมอยู่บ้าง ทว่าใจที่มีต่อเจ้านายตนคือความจริง ทั้งสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดของเจินเมี่ยว นางย่อมมองออกเป็นธรรมดา


 


 


เจินเมี่ยวมีสติคืนมา จึงพยายามยกมุมปากขึ้นยิ้ม แต่กลับรู้สึกขมปร่าในลำคอยิ่ง นางพูดได้เพียงสามคำก็พูดต่อไปมิได้แล้ว “มิเป็นไร…”


 


 


ความเสียใจนั้นเปลี่ยนเป็นหมอกควันที่ปกคลุมไปทั่วดวงตาคู่นั้น


 


 


กล่าวไปแล้ว ใจของนางก็ยังคงซ่อนความหวังเล็กๆ นั้นไว้อยู่


 


 


ความหวังที่ว่านี้มิใช่ให้หลัวเทียนเฉิงรักถนอมนางให้มากสักหน่อย แต่คนทั้งสองมิใช่อยู่ด้วยกันเพียงวันสองวัน ทั้งยังเคยร่วมเป็นร่วมตายกันมา กระทั่งช่วงเวลาอันหวานล้ำก็มิใช่ไม่เคยมี แต่เขากลับทำเรื่องเช่นนั้น นางโกรธเขา แค้นเขา เขาไม่มีความรู้สึกผิดต่อนางสักนิดเลยหรือไร?


 


 


ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน หากถูกอีกฝ่ายทำร้ายแล้วกล่าวคำขอโทษ แม้นบางทีจะวางท่าหรือไม่ยอมให้อภัย แม้นจะมิให้อภัยแต่ในใจลึกๆ ก็ย่อมต้องรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายยังคงไยดีตนเองอยู่บ้าง


 


 


แต่หากผู้อื่นมิเคยคิดจะเอ่ยขออภัยเลยเล่า?


 


 


เจินเมี่ยวคล้ายถูกคนทุบลงไปในหัวใจโดยแรง หมอกควันที่มีนั้นกลับค่อยๆ สลายไปในทันที


 


 


ชิงเกอรู้สึกได้ว่าตนพูดอันใดผิดไป คล้ายว่าหลังจากที่ตนเรียกขานว่าคุณหนู สีหน้าคุณหนูดูไม่ดีนักจึงเปลี่ยนคำเรียกไปในทันใด


 


 


“ต้าไหน่ไหน่ กินขนมเถิดเจ้าค่ะ”


 


 


ขนมไส้พุทราสีขาวนั้นถูกยัดไส้ด้วยเนื้อพุทรา นำไปขายคงดียิ่ง เจินเมี่ยวหยิบขึ้นมากัดกินไปหนึ่งคำกลับรู้สึกว่ามีรสขม


 


 


“ต้าไหน่ไหน่เจ้าคะ?” ชิงเกอเต็มไปด้วยความงุงนงง


 


 


เจินเมี่ยวกลืนความขมขื่นทุกอย่างลงไป แล้วยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ชิงเกอ ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย อยากนอนพักสักครู่ ขนมนี้รสชาติดียิ่ง เจ้าช่างมีน้ำใจนัก ยกออกไปให้เชวี่ยเอ๋อและคนอื่น


 


 


กินด้วยเถิด”


 


 


“เจ้าค่ะ” ชิงเกอยกขนมออกไปข้างนอกอย่างว่าง่าย


 


 


รอกระทั่งพี่สาวหลายคนที่กำลังว่างอยู่มารับขนมไปแบ่งกินหมดแล้ว เพราะเชวี่ยเอ๋ออายุไล่เลี่ยกัน คนทั้งสองยังมีความสัมพันธ์อันไม่เลวต่อกัน ชิงเกอจึงจูงเชวี่ยเอ๋อไปยังที่ที่เงียบสงบไร้ผู้คนแล้วเล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง


 


 


เชวี่ยเอ๋อมีสีหน้าตกใจยิ่ง “สวรรค์ ซื่อจื่อพูดเช่นนี้จริงๆ หรือ?”


 


 


“ปั้นซย่าพูด”


 


 


ปั้นซย่าเป็นบ่าวรับใช้ของซื่อจื่อ เมื่อได้ฟังเช่นนันเชวี่ยเอ๋อก็มิสงสัยอันใดแล้ว นางจึงเริ่มต่อว่าด้วยความไม่พอใจ “ซื่อจื่อช่างไร้หัวใจจริงๆ ต้าไหน่ไหน่ของเรามีอุปนิสัยร่าเริงแจ่มใส อย่าว่าแต่คนนอกเลย แต่กับบ่าวไพร่ ก็ยิ้มแย้มด้วยเสมอ ดวงตาของซื่อจื่อถูกขี้ตาบดบังหมดแล้วหรือ เหตุใดจึงมิเห็นความดีของต้าไหน่ไหน่!”


 


 


เมื่อกล่าวถึงตรงนี้แววตากลับเป็นประกายขึ้นมา แล้วพึมพำต่อว่า “กลัวแต่พวกนั้นที่ซื่อจื่อร่วมทำงานด้วยจะพาซื่อจื่อไปเที่ยวเล่นในที่มิสมควรเสียมากกว่า”


 


 


ในสายตาของพวกนาง ต้าไหน่ไหน่นั้นไม่เพียงรูปโฉมงดงาม อุปนิสัยยังดียิ่ง หากพวกนางเป็นบุรุษย่อมต้องชมชอบอย่างแน่นอน ซื่อจื่ออยู่ด้วยทุกวันยังมิชมชอบ เช่นนี้ก็คงถูกสตรีอื่นล่อลวงใจไปดั่งในนวนิยายบอกไว้แล้วกระมังจึงมิอาจชมชอบสตรีที่ดีแสนดีเช่นนี้ได้


 


 


แน่นอนว่าสาวใช้น้อยย่อมมิกล้ากล่าวหาซื่อจื่อจึงได้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาเขา


 


 


แต่ชิงเกอนั้นเป็นคนซื่อตรง เมื่อได้ฟังวาจานี้ก็ก้มหน้าคิดอยู่นานแล้วลอบกำหมัดแน่ นางกลับไปจักต้องไปซัดปั้นซย่าสักคราแล้ว


 


 


หลังจากนั้นพวกนางก็มิได้พูดอันใดกันอีก


 


 


เจินเมี่ยวนอนเล่นอยู่บนเตียงไม่นานก็รู้สึกร่างกายหนักอึ้ง ขณะกำลังจะหลับก็ได้ยินเสียงจื่อซูและไป๋เสาปรึกษากัน


 


 


“เมื่อวานตอนต้าไหน่ไหน่ไปน้อมทักทายได้เคยพูดคุยกันว่างานเลี้ยงฉลองวันพรุ่งนี้จักกินหม้อไฟกัน แม้นต้าไหน่ไหน่มิต้องลงมือทำเอง แต่อย่างไรก็ต้องคอยควบคุมดูแล แต่อาการของต้าไหน่ไหน่ก็มิอาจเชิญท่านหมอมาได้ เมื่อเช้าก็ใช้เหตุผลที่มิใคร่จะเหมาะสมนักเช่นนั้นเพื่อของดการไปน้อมทักทาย” นั้นคือเสียงของจื่อซู


 


 


ไม่ว่าสะใภ้ตระกูลใดระดูมา ก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะไม่ไปน้อมทักทาย แต่หากบอกว่าไม่สบายแล้วเชิญท่านหมอมาดูอาการ แค่ตรวจชีพจรดูแล้วบอกว่าไม่สบายเพราะการร่วมหอที่รุนแรงเกินไป เช่นนั้นต้าไหน่ไหน่จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดกัน


 


 


แม้นจะลำบากใจแต่ไป๋เสาก็ยังกัดฟันเอ่ยว่า “หน้าตาเป็นของจอมปลอม สุขภาพต้าไหน่ไหน่ต่างหากที่สำคัญ ยอมเสียสุขภาพเพื่อหน้าตานั้นเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่าจริงๆ ต้าไหน่ไหน่เป็นเช่นนี้ หากพรุ่งนี้ต้องทำงานหนักทั้งวัน จะทนได้อย่างไร ข้าว่าอย่างไรก็ต้องเชิญท่านหมอมาตรวจดูว่าจะรักษาอย่างไรได้บ้าง ถึงตอนนั้นค่อยให้เงินมากหน่อยเพื่อปิดปากหมอผู้นั้น”


 


 


ไม่มีท่านหมอมาตรวจดู เพียงบอกว่าไม่สบายแล้วไม่ไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่า ย่อมต้องถูกผู้คนกล่าวว่า


 


 


จื่อซูครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “ต้องเชิญท่านหมอ แต่มิอาจเชิญหมอในจวนเรา”


 


 


นางรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วมาตั้งแต่เล็กกระทั่งกลายเป็นสาวใช้ขั้นหนึ่ง หากพูดถึงความเฉลียวนางมีไม่ต่างจากบรรดาฮูหยินสูงศักดิ์เหล่านั้นแน่


 


 


โดยเฉพาะผู้ที่เป็นบ่าวไพร่ หากได้มายืนมองปัญหาในตำแหน่งของพวกนาง บางครานั้นกลับมองออกทะลุปรุโปร่งกว่าเสียอีก


 


 


ฮูหยินรองนั้น…ไม่…ต่อให้เป็นซื่อจื่อ ฮูหยินรองก็มักทำดีต่อหน้าลับหลังอีกอย่างเช่นกัน


 


 


สาวใช้ทั้งสองต่างสบตากันอย่างจนใจ


 


 


ตระกูลสูงศักดิ์ หากมีแม่สามีคอยควบคุมก็ยาก แต่แม้นไม่มีแม่สามีก็ยังคงยากเช่นเดิม


 


 


“ข้าจะไปเรือนอี๋อานสักครา” จื่อซูลุกขึ้นยืน


 


 


ไป๋เสามีแผลเป็นบนหน้าแม้นเห็นไม่ชัดนักแต่ยามว่างนางก็มิใคร่ออกจากเรือน


 


 


คิดไม่ถึงว่าจื่อซูออกไปเพียงไม่นานก็พาหมอหญิงผู้หนึ่งกลับมา


 


 


หมอหญิงผู้นี้สวมใส่ชุดอย่างชาวบ้านทั่วไปแต่ก็สะอาดสะอ้าน ไป๋เสาก็เคยเห็นนาง นางคือจี้เหนียงจื่อภรรยาของท่านหมออู่แห่งสำนักเล่อเหริน นางชำนาญโรคเกี่ยวกับสตรีมากที่สุด


 


 


ไป๋เสาอดมองจื่อซูคราหนึ่งมิได้


 


 


จื่อซูพยักหน้าเล็กน้อยอย่างสุขุม นางจึงรีบเปิดยิ้มเข้าไปต้อนรับจี้เหนียงจื่อ


 


 


เจินเมี่ยวกลับตื่นขึ้นมาแล้วหันไปมองจื่อซูอย่างไม่เข้าใจในท่าที


 


 


จื่อซูส่ายหน้า


 


 


เจินเมี่ยวทราบจึงรู้ว่าจี้เหนียงจื่อมิใช่คนของนางเชิญ ทำให้รู้สึกประหม่าขึ้นมา


 


 


แต่ในเมื่อคนก็เข้ามาแล้วก็มิจำเป็นต้องไล่ไป มิเช่นนั้นก็ยิ่งจะทำให้คนสงสัย โชคดีที่  จี้เหนียงจื่อเป็นหมอหญิง ความประหม่าที่มีจึงลดลงไปมาก


 


 


จี้เหนียงจื่อทักทายเสร็จก็นั่งลงด้านข้างเพื่อตรวจชีพจรให้นาง


 


 


เมื่อนิ้วมือวาทาบลง นางก็ขมวดคิ้วทันที หลังจากนั้นจึงตรวจชีพจรทุกจุดอย่างละเอียด


 


 


ผ่านไปไม่นาน จี้เหนียงจื่อก็ชักมือกลับ ทำท่าทีคล้ายจะเอ่ยสิ่งใดแต่สุดท้ายก็มิเอ่ยออกมา


 


 


เจินเมี่ยวจึงเอ่ยว่า “จี้เหนียงจื่อมีวาจาใดก็เอ่ยมาเถิด”


 


 


“ต้าไหน่ไหน่ ท่านเป็นโรคส่วนภายในของสตรีเย็น…”


 


 


เจินเมี่ยวยังมิทันได้มีปฏิกิริยาใด ไป๋เสากลับตกใจจนเกือบจะเอ่ยอันใดบางอย่างออกมาแต่ถูกจื่อซูดึงเอาไว้


 


 


เจินเมี่ยวเพียงอึ้งงันไป หลังจากนั้นก็มิได้ตกใจอันใดมากมายนัก


 


 


นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ตกน้ำไปกับหลัวเทียนเฉิงและตกน้ำในวังหลวง แค่หนึ่งปีกว่าแต่นางตกน้ำแล้วถึงสองครั้ง ทั้งยังออกไปเร่ร่อนอยู่ข้างนอกอีกระยะหนึ่ง การป่วยด้วยโรคเช่นนี้มินับว่าแปลกอันใด


 


 


แต่หลังจากกลับจวน แล้วเชิญท่านหมอในจวนมาตรวจชีพจร ก็มิได้ยินเขาบอกว่านางมีโรคเช่นนี้


 


 


เจินเมี่ยวครุ่นคิดคราหนึ่งก็เข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที


 


 


จี้เหนียงจื่อเห็นเจินเมี่ยวนิ่งขรึมได้เช่นนั้นก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย


 


 


โรคส่วนภายในของสตรีเย็นนั้นจะบอกว่าร้ายแรงก็ไม่ร้ายแรง จะบอกว่าไม่ร้ายแรงเลยก็มิใช่ หากเป็นไม่หนักก็กินยาสักสองสามเทียบ แต่หากร้ายแรงก็อาจมีบุตรไม่ได้ แต่สตรีส่วนมากหากได้ยินต่างก็ต้องหน้าซีดเผือด


 


 


“เช่นนี้อาการป่วยของข้า น่าจะไม่ร้ายแรงกระมัง?” เจินเมี่ยวเอ่ยถาม


 


 


จี้เหนียงจื่อมองนางด้วยสายตาประหลาดใจแล้วรีบส่ายหัวพลางตอบว่า “ไม่ร้ายแรง เป็นเพียงระยะเริ่มต้น ต้าไหน่ไห่อายุยังน้อย แค่เพียงดูแลเป็นพิเศษเพียงไม่กี่เดือนก็หายแล้ว”


 


 


“เช่นนั้นก็รบกวนจี้เหนียงจื่อแล้ว” เจินเมี่ยวลอบถอนหายใจ


 


 


เรื่องเมื่อวานน่าจะตรวจไม่พบแล้วกระมัง เช่นนี้ก็มิต้องอับอายผู้อื่นแล้ว ทั้งยังมีคำตอบไปบอกกล่าวต่อฮูหยินผู้เฒ่า


 


 


ทว่าจี้เหนียงจื่อกลับมิได้จากไป นางมองจื่อซูและไป๋เสาคราหนึ่ง แต่นิ่งเงียบมิเอ่ยวาจา


 


 


เจินเมี่ยวโบกมือให้ทั้งสองคนออกไปก่อน


 


 


จี้เหนียงจื่อจึงเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “นอกจากโรคส่วนภายในของสตรีเย็นแล้วไตยังได้รับความเสียหายเล็กน้อย หากมิสะดวกให้จัดยา ก็ใช้การกินอาหารรักษาเถิด ประเดี๋ยวข้าจะเขียนวิธีใช้อาหารรักษาให้ แต่มีจุดที่ต้องระวังคือ ก่อนที่โรคส่วนภายในของสตรีเย็นจะหาย ควรงดการร่วมหอ มิเช่นนั้นหากเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา อาจทำให้แท้งได้…”


 


 


เจินเมี่ยวเผยอปากขึ้น แต่ใบหน้ากลับเห่อร้อนจนพูดไม่ออก


 


 


จี้เหนียงจื่อหัวเราะ “ต้าไหน่ไหน่วางใจ ข้าเป็นแพทย์ย่อมมีจรรยาบรรณ สิ่งใดที่มิควรพูดย่อมมิพูดเด็ดขาด”


 


 


“ขอบคุณจี้เหนียงจื่อยิ่งแล้ว”


 


 


หลังจากนั้นก็เรียกให้จื่อซู ไป๋เสาเข้ามา จี้เหนียงจื่อจัดเทียบยาให้แล้ว จื่อซูก็เดินไปส่งนาง


 


 


ไม่นานจื่อซูก็กลับมา นางเอ่ยว่า “มอบถุงเงินสิบตำลึงให้จี้เหนียงจื่อไป นางก็รับไว้แล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้า แล้วจึงเอ่ยถามว่า “จี้เหนียงจื่อมาได้อย่างไร?”


 


 


จื่อซูตอบว่า “ข้าเดินออกไปยังมิถึงเรือนอี๋อานด้วยซ้ำ ก็พบเข้ากับจี้เหนียงจื่อ นางบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าให้คนไปเชิญนางมาดูท่านโดยเฉพาะ”


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


ไป๋เสายกอาเจียวที่เคี่ยวไว้นานแล้วเข้ามา “ต้าไหน่ไหน่ กินก่อนเถิด ตอนนี้กำลังเคี่ยวยาเจ้าค่ะ ท่านเองก็เหลือเกิน ได้ยินจี้เหนียงจื่อเอ่ยเช่นนั้นแล้วยังนิ่งเฉยอยู่ได้”


 


 


เรื่องทายาทสืบสกุลนั้นเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งสำหรับสตรี


 


 


เจินเมี่ยวจึงยิ้มอ่อน “ก็มิได้นิ่งเฉย แต่ตามปกติแล้วหากร้ายแรง นางก็คงไม่บอกแก่ข้า ในเมื่อบอกก็หมายความว่ามิได้ร้ายแรงถึงเพียงนั้น”


 


 


จื่อซูและไป๋เสาสบตากัน พลันรู้สึกเข้าใจบางอย่างขึ้นมา


 


 


ต้าไหน่ไหน่ปกติทำอันใดเชื่องช้าตามแต่ใจ ทว่าเมื่อพบเรื่องใหญ่อันน่าตกใจสำหรับอิสตรี กลับสุขุมเยือกเย็นได้อย่างประหลาด


 


 


วันนี้คราหนึ่ง ตอนใช้ปิ่นแทงม้าก็คราหนึ่ง ทั้งช่วยชีวิตองค์หญิงตอนที่เป่ยเหอก็คราหนึ่ง


 


 


ในเวลาอันรวดเร็วนี้ สาวใช้ทั้งสองต่างบอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไรกันแน่


 


 


เจินเมี่ยวกลับโบกสะบัดมืออย่างอ่อนเพลีย “พวกเจ้าออกไปเถิด ข้าจะนอนพักสักหน่อย”


 


 


เมื่ออยู่เพียงลำพัง ท่าทีร่าเริงที่เคยมีกลับหายไป ไม่นานก็ค่อยๆ ผล็อยหลับไป


 


 


จี้เหนียงจื่อมิได้พักโรงเตี๊ยม แต่ระหว่างทางกลับเรือนนางก็เลี้ยวไปยังโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง


 


 


หลัวเทียนเฉิงที่รออยู่ที่นั่นรีบถามขึ้นทันทีอย่างทนไม่ไหว


 


 


สีหน้าของจี้เหนียงจื่อราบเรียบยิ่งแต่ในใจกลับหัวเราะออกมาแล้ว


 


 


มิน่าเล่าต้าไหน่ไหน่สกุลเจินถึงได้มีอาการป่วยเช่นนั้น ดูท่าทีใจร้อนของหลัวซื่อจื่อแล้ว ดูท่าความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาคงดีไม่น้อย


 


 


สามีหนุ่มภรรยาสาว เรื่องเช่นนั้นยากจะหลีกเลี่ยง แต่ความใส่ใจเช่นนี้นั้นยากนักจะพบเห็น ทั้งยังเชิญนางไปตรวจอาการโดยเฉพาะอีก


 


 


จี้เหนียงจื่อจึงบอกเล่าอาการทุกอย่างอย่างละเอียด


 


 


หลัวเทียนเฉิงฟังแล้วกลับนิ่งอึ้งไป แต่เมื่อคล้ายนึกอันใดได้ ก็ก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอก เมื่อถึงหน้าประตูก็ย้อนกลับมาเอ่ยวาจาขอบคุณ ทั้งมอบเงินค่าตรวจรักษาให้ แล้วจึงรีบเดินออกไป


 


 


เมื่อถึงหน้าประตูใหญ่จวนกั๋วกงกลับก้าวขาไม่ออก เขาลังเลอยู่ครู่ใหญ่ แล้วถอนหายใจออกมา สุดท้ายก็หันหลังเดินจากไป


 


 


เขาคิดว่า หากเขายังมิอาจก้าวข้ามหลุมดำในใจไปได้ พวกเขาก็มิควรพบหน้ากันจะดีกว่า


 


 


มิเช่นนั้นจะเป็นการทำร้ายผู้อื่นทำร้ายตัวเองเสียเปล่า


 


 


เมื่อคนจากไปก็ไม่เหลือแม้แต่รอยเท้า เขาทิ้งเพียงเสียงถอนหายใจแผ่วเบาไว้บนหิมะยามเหมันต์นี้เท่านั้น 

 

 


ตอนที่ 248 เมื่อป่วยต้องรักษา

 

 


 


 


เมื่อถึงวันที่มีงานเลี้ยงฉลองจึงมิได้กินหม้อไฟ 


 


 


เจินเมี่ยวฝืนทำตัวให้ร่าเริงเข้าไว้เมื่อมานั่งรวมกันบนโต๊ะ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยถามนางอย่างห่วงใยอยู่หลายประโยค 


 


 


นางเถียนจับมือเจินเมี่ยวไว้แล้วเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า มิใช่สะใภ้จะต่อว่า แต่แม้นต้าหลังจะยุ่งเพียงใด วันนี้ก็เป็นงานเลี้ยงฉลองของจวนเรา ทั้งหลานสะใภ้ก็ไม่สบายอยู่ ควรกลับมาดูสักหน่อย หรือจะให้ข้าส่งคนไปเรียกเขาสักครา?” 


 


 


เจินเมี่ยวทำทีเป็นลูบผมทัดหูเพื่อถอนมือออกจากการจับกุม แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบาว่า “ขอบพระคุณท่านอาสะใภ้รองมากเจ้าค่ะที่ใส่ใจ แต่ท่านพี่เพิ่งจะได้เลื่อนขั้น ทั้งมีเรื่องมากมายต้องสะสาง อีกอย่างข้าก็ไม่สบายเพียงเล็กน้อย มิได้ร้ายแรงอันใด” 


 


 


พูดพลางกวาดตามองไปบนโต๊ะของบุรุษคราหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ท่านอารองก็ไม่อยู่ ดูท่าช่วงนี้คงจะยุ่งมากกระมังเจ้าคะ” 


 


 


นางเถียนถึงกับสะอึกจนหายใจไม่ออกเพราะวาจานี้ 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวเป็นขุนนางเล็กๆ ในศาลหงหลู มิได้เป็นขุนนางใหญ่ใกล้ชิดจักรพรรดิเช่นต้าหลัง และมิได้ไปคอยเฝ้าฝึกทหารที่ชานเมืองเช่นนายท่านสี่สกุลหลัว เขามีงานยุ่งที่ใดกัน! 


 


 


เห็นชัดว่าวาจานี้ต้องการตอกย้ำคน แต่อีกฝ่ายกลับมีสีหน้าไร้เดียงสาเช่นนั้น จึงมิอาจไปโกรธแค้นต่อว่าได้ 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ากลับขมวดคิ้ว “ระยะนี้ต้าหลังยุ่งยากนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่เหตุใดเจ้ารองจึงจนไม่มีเวลากลับมากินข้าวเล่า? วันนี้เป็นวันพักผ่อนมิใช่หรือ?” 


 


 


นางเถียนเผยอปากขึ้น แล้วเอ่ยด้วยท่าทีลำบากใจเล็กน้อย “อาจเพราะใกล้วันตรุษแล้ว คงมีแขกต่างเมืองเข้ามาในเมืองหลวงไม่ขาดสายกระมังเจ้าคะ เรื่องอื่นๆ นั้นสะใภ้ก็มิได้ถามอันใดมาก” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเพียงเลิกคิ้วขึ้นแต่มิได้ถามอันใดอีก 


 


 


นางเถียนรู้สึกเสียหน้ายิ่ง นางกลอกตาไปมาแล้วมองไปที่ปกคอเสื้อที่ตั้งสูงยิ่งของเจินเมี่ยว แล้วระบายยิ้มล้ำลึก “รูปแบบตัดเย็บเสื้อผ้าของหลานสะใภ้ช่างพิเศษนัก สีก็ขับผิวเจ้ายิ่ง ให้ร้านใดทำให้หรือ ข้าจะได้ไปทำให้หยวนเหนียงบ้าง” 


 


 


วันนี้เจินเมี่ยวใส่เสื้อตุ้ยจินคอตั้งสูงสีแดงอ่อน 


 


 


สตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวง ไม่นิยมใส่เสื้อคอตั้งสูงในยามเหมันต์ หากออกไปข้างนอกก็เพียงพันขนจิ้งจอกหิมะยิ่งดูสง่างาม เมื่อเข้าไปในห้องที่มีเตาไฟให้ความอบอุ่นก็แค่ปลดออก เช่นนี้จึงไม่รู้สึกอบอ้าวแล้ว 


 


 


แต่เจินเมี่ยวอยู่ในวัยสาว ทั้งหน้าตางดงาม แม้นใส่เสื้อผ้าที่มิเป็นที่นิยม แต่กระดุมทรงดอกเหมยอันประณีตที่เรียงยาวไปกระทั่งถึงลำคอปกปิดลำคออันขาวผ่องไว้อย่างมิดชิดนั้น มองดูแล้วช่างอ่อนช้อยน่าทะนุถนอมยิ่ง 


 


 


จากวาจานี้ของนางเถียน ผู้อื่นอาจมิเข้าใจว่าหมายความเช่นไร แต่เมื่อเจินเมี่ยวได้ฟัง แววตากลับสาดประกายกล้าคราหนึ่ง 


 


 


หากเป็นในอดีตนางก็คงมิคิดอันใดลึกซึ้ง แต่วันนี้ที่นางเลือกหาเสื้อผ้าที่คอตั้งสูงออกมาพบผู้คนก็เพราะต้องการปกปิดรอยเขียวช้ำบนลำคอพวก และเมื่อคิดถึงเรื่องที่ท่านหมอในจวนมิเคยบอกนางว่านางเป็นโรคส่วนภายในของสตรีเย็นนั้นเลย ต่อให้เป็นคนโง่เขลาก็คงทราบแล้วว่านางเถียนคงมิได้แสนดีปานนั้น เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ก็คงเจตนาให้ตนอึดอัดใจเป็นแน่ 


 


 


เจินเมี่ยวมีข้อดีอยู่อย่างคือนางไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น เพราะหากมีความแค้น นางจะแก้แค้น ณ ตอนนั้นเลยทันที 


 


 


ในเมื่อนางเถียนเอาเรื่องของบุตรสาวมาพูด เช่นนั้นนางก็ไม่เกรงใจแล้ว นางเม้มริมฝีปากผลิยิ้ม “ก่อนข้าจะออกเรือน ท่านแม่พาข้าไปทำที่ร้านซิ่วลี่ น้องสาวเองก็ควรต้องไปตัดแล้วกระมัง” 


 


 


เมื่อวาจานี้กล่าวออกไป สีหน้าของนางเถียนก็เปลี่ยนทันที หลัวจือหยานั้นตัวแข็งทื่อไปหมดจนแทบจะจับถ้วยชาในมือไว้ไม่อยู่แล้ว 


 


 


เจินเมี่ยวมองกลับสายตาแค้นเคืองนั้นของหลัวจือหยา แล้วยกถ้วยชาขึ้น ก้มหน้าลงชิมมัน ขนตาเป็นแพหนาดุจพัดเล็กๆ ช่วยปิดปังหมอกควันที่ปรากฏขึ้นมาในดวงตาอย่างกะทันหันนั้นไว้ 


 


 


คนชั่วช้านั้นรู้บ้างหรือไม่ว่าทิ้งความลำบากไว้ให้นางมากมายเพียงใด? 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ากวาดตามองทุกคนคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เอาล่ะ กินข้าวเถิด” 


 


 


เหล่าสาวใช้ที่สวมใส่เสื้อกั๊กยาวปี๋จย่าต่างเดินเรียงแถวกันเข้ามาจัดอาหารวางบนโต๊ะ 


 


 


เมื่อเริ่มกินข้าว ทั้งยังเป็นงานเลี้ยงฉลองในจวนอีก กฎที่ว่ากินข้าวห้ามสนทนานั้นจึงต้องพิถีพิถันสักหน่อย ช่วงเวลานั้นจึงได้ยินเพียงเสียงถ้วยจานกระทบกันเบาๆ เท่านั้น 


 


 


ผ้าม่านหน้าประตูห้องอาหารพลันถูกแหวกออก ตามติดด้วยสายลมเหน็บหนาววูบหนึ่งที่มาพร้อมกับหลัวเทียนเฉิง 


 


 


เขามองที่สีหน้าของเจินเมี่ยวเป็นคนแรกแต่เพียงครู่เดียวก็เบี่ยงสายตาหนีไป พลางเอ่ยขออภัยขึ้นว่า “ท่านย่า หลานมาสายแล้ว” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าตรวจสอบหลานชายตนอย่างละเอียดคราหนึ่ง เมื่อดวงตาอันแดงก่ำ ทั้งอาภรณ์ยังดูขาดเก่า กระทั่งหนวดเคราก็มิได้โกนให้สะอาด แค่สองวันที่มิได้พบหน้ากลับผ่ายผอมไปไม่น้อยจึงอดห่วงใจมิได้ นางเอ่ยตำหนิขึ้นว่า “ในเมื่องานยุ่งเพียงนั้นจะกลับมาทำไมกัน?” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงมองไปที่เจินเมี่ยวคราหนึ่งอย่างอดมิได้แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ต่อให้ยุ่งเพียงใดก็ต้องมากินข้าวกับท่านย่าให้ได้ขอรับ” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเบิกบานยิ่งจึงเอ่ยเย้าเขาอย่างนึกสนุกว่า “เจ้าเด็กคนนี้ อายุมากแล้วยังรู้จักพูดเอาใจคน ข้าว่าเจ้าคิดถึงภรรยามากกว่ากระมัง?” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มโดยไม่มองเจินเมี่ยวสักน้อยนิด “หากไม่มีอันใด กินข้าวเสร็จแล้วหลานก็จะกลับศาลาว่าการขอรับ” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าชำเลืองมองเจินเมี่ยวที่นั่งหลังตรงดุจพู่กันคราหนึ่ง แล้วขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ในเมื่อกลับมาแล้ว ก็พักที่เรือนสักคืนเถิด” 


 


 


ไม่ทราบว่าหลัวเทียนเฉิงลำบากใจหรือโล่งใจ แต่ครู่ก็พยักหน้ารับแล้วไปนั่งกินข้าวที่โต๊ะด้านข้าง 


 


 


เจินเมี่ยวหยิบตะเกียบขึ้นมา ลอบคิดในใจว่าอาหารในถ้วยล้วนเป็นคนชั่วช้าผู้นั้น นางจึงจิ้มลงไปโดยแรงแล้วกัดกินคำใหญ่ แล้วกลืนกินมันลงไปพร้อมกับโทสะที่มี พริบตาก็กินหมดไปหนึ่งถ้วยใหญ่แล้ว 


 


 


กระทั่งเห็นก้นถ้วยจึงรู้ตัวว่าตนเอาแต่โกรธจนลืมตัวกินอาหารไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


ครั้นเงยหน้าขึ้นชำเลืองมองก็เห็นว่าในถ้วยของผู้อื่นนั้นยังมีข้าวกองพูนอยู่เลยจึงอึ้งงันไปเล็กน้อย 


 


 


หลัวเทียนเฉิงที่ใช้หางตาลอบมองนางอยู่ตลอดเวลาเห็นเช่นนั้นก็อดยกมุมปากขึ้นยิ้มมิได้ แต่ต่อมาก็เริ่มรู้สึกหดหู่อยู่ในใจอีกครั้ง 


 


 


เขาต้องถูกมนต์ดำอันใดเป็นแน่ เห็นชัดว่าทุกกระทำของนางทำให้เขาเบิกบานยิ่ง แต่เพราะความเบิกบานนี้เองทำให้เขาเกิดความหวาดกลัวและแค้นเคือง คล้ายกับได้เข้าไปอยู่ในฝันอันแสนสวยงามอย่างที่สุด แต่หากเขาจมจ่อมอยู่กับมัน บางทีอาจจะต้องเสียใจมากกว่าชาติที่แล้วก็เป็นได้ 


 


 


อาหารมื้อที่ไร้รสชาติที่สุดได้ผ่านไป ทุกคนต่างก็แยกย้ายกลับเรือน 


 


 


ยามเหมันต์ฟ้ามักมืดเร็วสักหน่อย เจินเมี่ยวถือโคมอันหนึ่งเดินเคียงไปกับหลัวเทียนเฉิง 


 


 


แสงไฟขมุกขมัว ส่องให้เห็นเพียงทางเดินตรงหน้า แต่มิอาจเห็นสีหน้าของคนได้ชัดนัก 


 


 


ภายใต้ความเงียบงันอันน่าอึดอัดนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกว่าถนนเส้นนี้ช่างยาวไกลและยากลำบากยิ่ง 


 


 


เมื่อสายตามองเห็นเรือนชิงเฟิงแล้ว หลัวเทียนเฉิงก็อดเอ่ยขึ้นมามิได้ว่า “อาซื่อ ยังเจ็บอยู่หรือไม่?” 


 


 


เจินเมี่ยวพลันชะงักฝีเท้า นางเม้มริมฝีปากแน่นมิเอ่ยวาจา 


 


 


“อาซื่อ…คืนนั้น…ข้าขอโทษ…” 


 


 


เจินเมี่ยวเงียบอยู่นาน นานกระทั่งหลัวเทียนเฉิงคิดว่านางคงมิไยดีแล้ว ในขณะที่กำลังก้าวเท้าไปข้างหน้านางก็พลันถามออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เพราะเหตุใด?” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว หัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง 


 


 


เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขาด้วยสายตามุ่งมั่น ดวงตาคู่นั้นกระจ่างใสยิ่งกว่าดาวดวงใดในท้องนภา ทั้งยังแวววาวไม่ต่างอันใดกับดวงดารา “จิ่นเหยียน ท่านต้องบอกข้าว่าเพราะเหตุใด?” 


 


 


ครานี้กลับเป็นหลัวเทียนเฉิงแล้วที่พูดไม่ออก 


 


 


เจินเมี่ยวหันหลังกลับไป เสียงที่เอ่ยคล้ายลอยมาจากที่แสนไกล “จิ่นหมิง เรื่องคืนนั้น ข้าแค้นท่านจริงๆ คิดว่าชาตินี้จะไม่สนใจท่านอีกเด็ดขาด แต่สองวันนี้ข้าคงเสียใจมากเกินไป ทำให้หวนคิดถึงเรื่องมากมาย ข้าจึงสรุปได้ว่าท่านน่าจะป่วย” 


 


 


“ป่วยหรือ?” หลัวเทียนเฉิงรู้สึกว่าน่าขันทั้งรู้สึกเป็นห่วงนาง 


 


 


นางคิดเรื่องเหลวไหลเรื่อยเปื่อยอันใดกัน? 


 


 


เจินเมี่ยวมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านป่วย ไม่รู้ว่าท่านเคยได้ยินหรือไม่ คนเราไม่เพียงแต่ร่างกายป่วยได้ แต่ใจก็ป่วยได้เช่นกัน” 


 


 


“ป่วยที่ใจหรือ?” หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้น 


 


 


เจินเมี่ยวเผยท่าทีดุจอาจารย์ส่วนศิษย์ นางพยายามใช้ภาษาที่คิดว่าเขาจะเข้าใจมาอธิบาย “หรืออาจกล่าวได้ว่าใจของเรานั้นมีหลุมดำที่มิอาจกระโดดข้ามไปได้ เมื่อมีปมในใจ มันก็คืออาการป่วยอย่างหนึ่ง” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงมีท่าทีเคร่งขรึมขึ้นมา เสียงที่เปล่งออกจะแห้งผาก “เจ้าพูดมาอีกเถิด” 


 


 


“ปมในใจนี้จะทำให้คนเรามิอาจควบคุมอารมณ์ตนได้ และอาจทำเรื่องที่ผิดจากคนทั่วไป” 


 


 


ในหัวของหลัวเทียนเฉิงคล้ายมีสายฟ้าฟาดผ่าลงมาคราหนึ่งทำให้ตื่นรู้ขึ้นมา 


 


 


ปมในใจ ปมในใจ! 


 


 


อาซื่อพูดถูก หลุมดำในใจเขาก็คือปมในใจที่นางกล่าว! 


 


 


เขาตื่นเต้นจนโผเข้าไปกอดเจินเมี่ยวอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้ 


 


 


นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในสถานการณ์ที่มิได้พูดคุยกันให้ชัดเจนนี้นางกลับเข้าใจในตัวเขา ความเข้าใจนี้คล้ายได้กระโจนพ้นออกมาจากหมอกควันอันร้ายกาจภายในพริบตา ทำให้คนรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่ง 


 


 


เจินเมี่ยวกลับผลักหลัวเทียนเฉิงออกไป แล้วถอยหลังหนึ่งก้าวให้คนทั้งสองมีระยะต่อกัน นางเอ่ยขึ้นเนิบนาบว่า “เมื่อป่วยก็ต้องรักษา” 


 


 


“รักษา?” ท่าทีตื่นเต้นดีใจนั้นค่อยๆ หายไปจากใบหน้าหล่อเหลา “รักษาอย่างไร?” 


 


 


“ท่านต้องบอกข้า ว่าหลุมดำในใจของท่านเกิดขึ้นได้อย่างไร” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงกลับเงียบขึ้นมาอีกครา 


 


 


มุมปากเจินเมี่ยวเคลือบไปด้วยรอยยิ้มที่คล้ายว่ามันจะหายไปได้ทุกเมื่อกระนั้น “จิ่นหมิง ตอนนี้ท่านบอกข้าได้หรือไม่ ว่าท่าทีประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายที่ท่านมีต่อข้านั้นเกิดจากสาเหตุใด?” 


 


 


รออยู่นาน รอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไปในราตรีอันเหน็บหนาว 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเอ่ยปากขึ้นอย่างยากลำบากว่า “หากข้ามิได้ป่วยเล่า?” 


 


 


เจินเมี่ยวเอียงคอระบายยิ้ม “หากท่านทำเรื่องเช่นนั้นเพราะเป็นอุปนิสัยของท่าน ข้าเองก็คงมิอาจก้าวข้ามหลุมดำในใจตนได้เช่นกัน เราคงต้องจบกันเท่านี้…” 


 


 


กล่าวตามตรง นางเองก็ยังมิได้รักเขาอย่างลึกซึ้งเพียงนั้น นางได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้วเพื่อความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ในเมื่อมิอาจสำเร็จก็ถอยกลับมาเป็นเพียงคนแปลกหน้า แล้วใช้ชีวิตของตัวเองต่อไปเถิด 


 


 


วาจานี้คล้ายธนูอันแหลมคมปักลงไปในใจหลัวเทียนเฉิง แล้วกระชากดึงกระชากเลือดและเนื้อออกมาโดยแรง 


 


 


เขาซวนเซเล็กน้อยจนเกือบยืนไม่อยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงยอมรับออกมาในที่สุด “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าพูดถูก ข้าป่วย” 


 


 


“แต่…” ปากของเขากลับขยับขึ้นด้วยความยากลำบากอีกครา “หากข้าบอกสาเหตุไม่ได้เล่า?” 


 


 


จะให้บอกว่าเขาฟื้นคืนชีพขึ้นมางั้นหรือ? นางมิมองเขาเป็นปีศาจหรอกหรือ? 


 


 


เจินเมี่ยวจ้องเขาเขม็ง บนใบหน้าแทบไม่มีความรู้สึกใด “มิใช่สตรีทุกคนจะมีความอดทนที่จะเอาแต่เฝ้ารอฟังเหตุผล” 


 


 


กล่าวจบก็ถือโคมไฟเดินเข้าไปในเรือนอย่างมิรั้งรอเขาอีก 


 


 


หลัวเทียนเฉิงยืนพิงต้นเหมยเก่าแก่อยู่นาน แม้แต่แผ่นหลังเปียกชื้นไปหมดเพราะหิมะที่เกาะตามต้นไม้นั้นเขาก็ยังมิรู้สึกตัว ยังคงเอาแต่จ้องมองแสงไฟอันริบหรี่ภายในห้องที่พวกเขาเคยอยู่ร่วมกัน 


 


 


เขาทราบดีว่านางยังคงรอเขาอยู่ แต่เมื่อดวงไฟนั้นมืดดับลงก็เกรงว่าความอดทนของนางก็คงจะหมดสิ้นแล้วเช่นกัน 


 


 


ราตรีค่อยๆ มืดลง แม้แต่พระจันทร์เสี้ยวก็ยังเข้าไปหลบซ่อนในกลีบเมฆ ลานในเรือนจึงยิ่งมืดดำมากขึ้น แสงไฟดวงน้อยๆ นั้นกลับยิ่งส่องให้ภายในห้องสว่างแจ้งขึ้นมาเป็นพิเศษ คล้ายต้องการนำทางให้คนมิต้องหลงทางอยู่ในราตรีอันเหน็บหนาวและโดดเดี่ยวนี้เพียงลำพัง 


 


 


เปลวไฟกะพริบไหวหลายครา แสงที่สะท้อนอยู่บนหน้าต่างกระดาษไขพลันวูบไปไหวมา เป็นสัญญาณเตือนว่าเทียนเล่มนั้นใกล้มอดดับแล้ว 


 


 


เมื่อถึงเวลานี้แล้ว ทางเลือกอันยากลำบากนั้นกลับพลันหายไปจนหมด หลัวเทียนเฉิงพุ่งเข้าไปด้านในประดุจธนูดอกหนึ่ง แล้วปีนข้ามหน้าต่างไปอย่างชำนาญ 


 


 


เจินเมี่ยวหันหน้าไปมอง 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเดินก้าวยาวเข้ามาหา เขาจ้องตานาง เสียงที่เอ่ยนั้นเรียบนิ่งกระทั่งตนเองยังแปลกใจ “อาซื่อ ข้าเคย…เคยฝันว่า…”  

 

 


ตอนที่ 249 ท้องฟ้าแจ่มใส

 

หลัวเทียนเฉิงเริ่มเล่าตั้งแต่ห่อลูกกวาดในวัยเยาว์กระทั่งพบว่าภรรยาตนมีชายอื่น ทว่าเรื่องการแก่งแย่งในราชสำนัก กลิ่นคาวเลือดในสงคราม รวมถึงจุดจบอันอเนจอนาถนั้นเขากลับมิได้เอ่ยถึง 


 


 


เรื่องพวกนี้ค่อนข้างหนักหนา เขาแบกรับมันไว้คนเดียวก็พอ และนอกจากนางแล้ว อย่างอื่นล้วนมิใช่ปัญหา 


 


 


บุคคลที่ร่างกายอาบด้วยโลหิตฟื้นคืนกลับมา เขาเพียงขลาดกลัวกับความรักและความอบอุ่นนั้น ส่วนบาดแผลอื่นๆ ของเขาที่ไม่ว่าจะเกิดจากคนหรือเรื่องราว เขาก็เพียงเงยหน้าขึ้นหัวเราะเท่านั้น 


 


 


เทียนนั้นได้มอดดับไปนานแล้ว ภายในห้องมีเพียงความมืด 


 


 


เจินเมี่ยวดีใจยิ่งที่ความมืดได้ช่วยปกปิดอารมณ์ทั้งหมดของนาง คราแรกเมื่อนางทราบนั้นก็ตกใจจนต้องกระโดดผลุงออกมา 


 


 


ความฝันอันใด เห็นชัดว่าเขาย้อนเวลากลับมาเป็นตนเองอีกครา! 


 


 


ฮึ การฟื้นคืนชีพนั้นดีกว่าการทะลุห้วงเวลายิ่ง นางทะลุห้วงเวลามาถึงก็ต้องสงบเสงี่ยมตนมิให้คนรู้ แต่เขาย้อนเวลามาถึงก็คิดจะแก้แค้นเสียแล้ว 


 


 


ความรู้สึกไม่ยุติธรรมสาดซัดเข้ามาครู่หนึ่ง ทั้งรู้สึกว่าโชคชะตาช่างเล่นตลกนักที่จับคนทั้งสองมาอยู่ด้วยกัน 


 


 


วาจาที่เขากล่าวมาหากเป็นผู้อื่นคงมิกล้าคาดเดาเรื่องราวเช่นนี้ แต่คนที่เขาเล่าให้ฟังเป็นนางอย่างไรเล่า 


 


 


ชั่วขณะนั้น เจินเมี่ยวก็รู้สึกเห็นใจหลัวเทียนเฉิงขึ้นมา 


 


 


ความรู้สึกที่ว่าข้ารู้ความลับอันยิ่งใหญ่ของท่าน แต่ท่านกลับไม่รู้ว่าข้ารู้ ทั้งยังไม่รู้ว่าข้าเองก็มีความลับนั้นมันช่างสะใจเสียจริง! 


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว?” ในความเงียบสงบนี้นั้นได้ยินเพียงเสียงหายใจอันแผ่วเบาของทั้งสองฝ่ายที่คล้ายเกี่ยวกระหวัดคลอเคลียกันอยู่ น้ำเสียงอันประหม่านั้นของเขากลับยิ่งชัดเจนยิ่ง 


 


 


เจินเมี่ยวจึงลุกขึ้นยืน เดินไปยังหน้าฐานวางเทียนแล้วจุดเล่มใหม่ขึ้น ภายในห้องพลันสว่างขึ้นมาทันที 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเห็นใบหน้าของนางชัดยิ่งจึงพบว่ามุมปากของนางนั้นมีรอยยิ้มจางๆ เคลือบอยู่ ในใจกลับรู้สึกขมขื่นขึ้นมา เขายิ้มเยาะหยันตนแล้วเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้ารู้สึกว่ามันดูเหลวไหลมากใช่หรือไม่ ที่ข้าทำชั่วช้าต่อเจ้าก็เพราะแค่เพียงความฝันนั้น?” 


 


 


อย่างไรเขาก็มิอาจเอ่ยสารภาพออกมาตามตรงได้ การพูดมันออกมาในรูปแบบความฝันก็นับว่ามากที่สุดแล้ว 


 


 


หรือบนโลกใบนี้ก็มีเพียงเจินเมี่ยวที่เข้าใจความรู้สึกของเขา อย่างไรนางเองก็เคยประสบพบกับความเป็นความตายมาก่อน 


 


 


มิอาจเอ่ยบอกตามตรงได้นั้นไม่เป็นไร แค่รู้สาเหตุก็พอแล้ว 


 


 


เจินเมี่ยวคิด นางเป็นสตรี หากพบเจอกันเรื่องนี้ก็อาจจะเตรียมกรรไกรไว้ใต้หมอน รอเวลาที่คนข้างกายกลับมา ไม่แน่อาจควักมันขึ้นแล้วตัดเจ้านั้นของเขาทิ้งเสีย 


 


 


แน่นอนว่าการเข้าใจทุกอย่าง กับการโกรธหรือไม่โกรธนั้นเป็นคนละเรื่อง 


 


 


เจินเมี่ยวทำสีหน้าเคร่งขรึมกลบเกลื่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ น้ำเสียงที่เอ่ยราบเรียบยิ่ง “ก็ไม่นับว่าเหลวไหลเสียทีเดียว หากความฝันนั้นมันล้ำลึกและเหมือนจริงคล้ายได้เราได้ประสบกับเหตุการณ์นั้นจริงๆ สำหรับคนที่ฝันย่อมรู้สึกว่าตราตรึงอยู่กับมันมิเสื่อมคลายเป็นธรรมดา” 


 


 


“จริงหรือ?” หลัวเทียนเฉิงมิอาจปกปิดความยินดีและแปลกใจในน้ำเสียงตนได้เลย ในส่วนลึกของจิตใจคล้ายมีสายธารอุ่นๆ ไหลผ่านไปกระนั้น 


 


 


“จริง” เจินเมี่ยวลอบกลอกตาตน มันเป็นเพียงแค่ผายลมเท่านั้น หากเป็นผู้อื่นคงกระโดดตบเขาไปแล้ว 


 


 


หลัวเทียนเฉิงพลันกอดเจินเมี่ยวไว้ ก้มหน้าลงกระซิบข้างหูว่า “เจี๋ยวเจี่ยว ขอบคุณ ขอบคุณเจ้ามาก” 


 


 


เจินเมี่ยวผลักเขาออกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเงยหน้าขึ้น “ใต้เท้า ท่านคงไม่คิดว่าเรื่องนี้คงจบลงเท่านี้กระมัง?” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไป 


 


 


เจินเมี่ยวเอ่ยอย่างเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ท่านว่าสถานการณ์เช่นนี้ แม้นข้าจะเข้าใจ แต่แค่ข้าเข้าใจมันไม่พอ ปัญหาคือท่านจะข้ามผ่านหลุมดำนี้ไปอย่างไร คงมิใช่ว่าต่อไปท่านเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาก็จะมาทำร้ายข้า ทรมานข้าเสร็จก็บอกให้ข้าเข้าใจท่านกระมัง? เช่นนั้นคงมิท่านที่ป่วย แต่เป็นข้าต่างหากที่ป่วย!” 


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว…” หลัวเทียนเฉิงกุมมือเจินเมี่ยวไว้แต่กลับมิทราบควรเอ่ยสิ่งใด 


 


 


เจินเมี่ยวตีมือเขา ให้เขาปล่อยมือ แล้วกลอกตาไปมาอย่างที่สตรีเพียบพร้อมมิกระทำ นางเอ่ยอย่างโกรธเคือง “หลัวเทียนเฉิง ท่านใช้ศีรษะที่ถูกลาเตะนั้นครุ่นคิดสักหน่อยเถิด ท่านตอนนี้กับท่านที่อยู่ในความฝันเหมือนกันหรือไม่?” 


 


 


“ข้า?” หลัวเทียนเฉิงพลันชะงักไป แล้วเริ่มครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง 


 


 


ชาติก่อนเขาเป็นคุณชายที่อ่อนโยนสง่างามมีชื่อเสียงในเมืองหลวง ความจริงแล้วก็เป็นเพียงคนขี้ขลาดไร้ความสามารถคนหนึ่ง แต่ชาตินี้… 


 


 


เสียงของเจินเมี่ยวดังขึ้นอีกครั้ง “ที่ข้าฟังเมื่อครู่ ตัวท่านกับคนที่อยู่ในฝันนั้นเป็นคนละคนกันอย่างสิ้นเชิง เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงคิดว่าข้าจะเป็นอย่างในฝันของท่านเล่า?” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงดุจถูกสายฟ้าฟาดใส่ 


 


 


ไม่เหมือนกัน หรือที่แท้นั้นนางไม่เหมือนเดิมมาตั้งแต่แรกแล้ว? 


 


 


เจินเมี่ยวรับเดินไปนั่งตรงโต๊ะอ่านตำราอย่างรวดเร็ว นางคลี่กระดาษออกมาแล้วใช้พู่กันวาดภาพนั้นอย่างไวว่อง 


 


 


นางสะบัดพูดกันไม่กี่คราก็ปรากฏเป็นภาพทารกคนหนึ่ง ด้านหน้าของเขามีถนนเส้นตรงสายหนึ่ง แต่ต่อมาก็แยกเป็นทางแยกหลายสาย แม้แต่รูปทรงของถนนก็ยังไม่เหมือนกัน สุดทางเดินของถนนทุกสายล้วนมีคนรูปแบบต่างๆ กระทั่งปีศาจที่มักพบบ่อยๆ ในตำราเล่าก็มี 


 


 


เจินเมี่ยววางพู่กันลงแล้วเอ่ยว่า “ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่…การเลือกกระทำบางอย่างโดยมิได้ตั้งใจของคนผู้หนึ่งนั้นอาจเปลี่ยนตัวเขาไปอย่างสิ้นเชิงก็เป็นได้ แล้วท่านจะทราบได้อย่างไรว่าเขาเป็นเด็กน้อยที่เคยเห็นเมื่อคราแรกเริ่มเล่า?” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงจ้องมองภาพวาดนั้นนิ่งคล้ายถูกสาปก็มิปาน 


 


 


ทั้งที่ดูวุ่นวายปานนั้นแต่ภาพวาดนี้กลับดึงจิตวิญญาณของเขาไปจนหมด 


 


 


เมื่อเห็นเขาเข้าใจในสิ่งที่นางพูดแล้ว เจินเมี่ยวจึงหยุดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ากับคนที่อยู่ในฝันของท่านพบเจอในสิ่งที่ไม่เหมือนกัน ท่านอยู่กับข้าทุกวันก็คงทราบแล้วว่าอุปนิสัยไม่เหมือนกัน หากสลัดรูปโฉมที่ห่อหุ้มเราไว้ออก เรานับเป็นคนเดียวกันอยู่หรือไม่? ทางที่นางเลือก จะเป็นสิ่งที่ข้าจะเลือกหรือไม่?” 


 


 


เจินเมี่ยวกล่าวจบก็คล้ายได้ปลดปล่อยบางอย่าง นางกลั้นหายใจมองไปที่หลัวเทียนเฉิง 


 


 


นางคิดว่าชั่วชีวิตนี้ นางคงมิอาจเอ่ยอันใดที่ใกล้เคียงความจริงได้มากเท่านี้มาก่อนแล้ว 


 


 


ดังนั้นนี้คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่นางจะทำเพื่อเด็กหนุ่มโชคร้ายที่ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้งผู้นี้แล้ว 


 


 


หากไม่ไหวจริงๆ ก็ต่างคนต่างใช้ชีวิตเถิด อยู่ห่างกันให้ไกล อย่างน้อยก็มิต้องทำร้ายกันและกันอีก 


 


 


หลัวเทียนเฉิงมองเจินเมี่ยวอย่างอึ้งงัน ในแววตามีความสงสัย สับสน เจ็บปวด สุดท้ายกลับสว่างใสดุจได้ถูกน้ำชะล้างดั่งมาแล้วก็มิปาน นัยน์ตานั้นแวววาวดุจเด็กน้อยแรกเกิดกระนั้น 


 


 


เจินเมี่ยวกลับอึ้งงันไป 


 


 


เมื่อไม่มีความเกรี้ยวกราดที่เขามักแสดงออกอยู่บ่อยครั้งเช่นนั้นแล้ว เขากลับคล้ายหยกงามที่ถูกขัดจนเงา เผยด้านที่ทำให้คนใจสั่นไหวที่สุดออกมา 


 


 


“ท่าน…” เจินเมี่ยวเผยอปากขึ้น 


 


 


หลัวเทียนเฉิงคล้ายตื่นจากฝัน เขาถึงกับคุกเข่าลงกอดภาพวาดนั้นไว้แล้วร้องไห้ออกมาคล้ายเด็กน้อยผู้หนึ่งก็มิปาน 


 


 


ตอนที่เขาเห็นว่านางเจินอยู่กับชู้รักบนเตียงเขาก็มิได้ร้องไห้ ตอนที่เห็นธาตุแท้ของอารองและอาสะใภ้รองที่เขาเคารพดุจบิดามาร เขาก็มิได้ร้องไห้ ตอนที่เข้าไปสู้รบฆ่าฟันศัตรู ร่างกายอาบด้วยโลหิต เขาก็มิได้ร้องไห้ ทั้งยังถูกลี่อ๋องกำจัดเพราะหมดประโยชน์แล้วเขาก็ยังคงมิได้ร้องไห้ 


 


 


แต่ยามนี้ เมื่อทราบว่าเจี๋ยวเจี่ยวกับนางเจินมิใช่คนเดียวกัน เขากลับอดร้องไห้ออกมามิได้ 


 


 


เขารู้ว่าบุรุษผู้หนึ่งร้องไห้นั้นอาจถูกหัวเราะเยาะ ถูกดูแคลน ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่ง 


 


 


ทว่าความอับอายนั้นนับเป็นอันใดได้ หากก้าวข้ามหลุมดำนี้ไปได้ เขาก็มิต้องสูญเสียนาง 


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง จึงลอบกวาดสายตาออกไปด้านนอก ในใจก็กล่าวว่าโชคดีเหลือเกินที่วันนี้มิได้ให้สาวใช้มาเฝ้ายาม มิเช่นนั้นหากคุณชายท่านนี้สงบสติอารมณ์ลงได้ แล้วคิดจะฆ่าคนปิดปากจะทำฉันใดดีเล่า! 


 


 


เทียนไขพลันส่งเสียง ‘เปรี๊ยะๆ ’แผ่วเบา แต่เสียงอันแผ่วเบานี้กลับสามารถดึงสติของหลัวเทียนเฉิงได้ 


 


 


เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แม้นดวงตายังแดงก่ำ แต่ท่าทีกลับนุ่มนวลขึ้นมาก เขาส่งยิ้มอ่อนโยนอย่างที่สุดให้เจินเมี่ยว  


 


 


เจินเมี่ยวก็เผยยิ้มหวานล้ำให้เขาเช่นกัน “คิดได้แล้วหรือ?” 


 


 


“คิดได้แล้ว” หลัวเทียนเฉิงยื่นมือออกมาบีบไหล่เจินเมี่ยว จ้องมองนางด้วยสายตาเป็นประกาย 


 


 


“คิดได้ก็ดีแล้ว” เจินเมี่ยวหมุนตัวเดินไปที่เตียงแล้วอุ้มผ้าห่มยัดใส่อกเขา แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยีว่า “ตอนนี้ท่านก็ออกไปได้แล้ว” 


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว?” คนบางคนถึงกับอึ้งงันไป 


 


 


เหตุใด…จึงเป็นเช่นนี้เล่า! 


 


 


เจินเมี่ยวสีหน้าจริงจัง “ในเมื่อปัญหาของท่านได้รับการแก้ไขแล้ว เช่นนั้นก็ควรต้องแก้ไขปัญหาของเราเสียที ข้ายังมิได้ให้อภัยท่านอย่างไรเล่า!” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงอัดอั้นอยู่นาน ในที่สุดก็เอ่ยออกมาคำหนึ่งว่า “ข้าจะกลับไปเป็นเช่นเดิมดีหรือไม่?” 


 


 


ความอ่อนโยนเมือครู่นี้เล่า? ความฉลาดปราดเปรื่องเล่า? ความอดทนใส่ใจเล่า? 


 


 


นี่ต้องมิใช่คนเดียวกับเมื่อก่อนหน้านี้แน่! 


 


 


“ดี” เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี “รอให้หย่งหวังเฟยรับข้าเป็นบุตรบุญธรรมก่อน ไม่แน่ว่าฝ่าบาททรงพระอารมณ์ดีก็อาจจะแต่งตั้งข้าเป็นเซี่ยนจู่ จวิ้นจู่ ถึงตอนนั้นเราค่อยหย่ากัน ข้าได้ยินมาว่า องค์หญิงในรัชสมัยก่อนนั้นเลี้ยงชายงามนั้นเป็นเรื่องที่นิยมกันมาก…” 


 


 


สิ่งที่เจินเมี่ยวพูดกลับมิใช่เรื่องเหลวไหล 


 


 


เรื่องที่หย่งหวังเฟยจะรับนางเป็นบุตรบุญธรรมนั้นจวนเจี้ยนอานปั๋วก็ทราบเรื่องแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วก็คาดการณ์ไว้นานแล้ว 


 


 


นางช่วยชีวิตชูสยาจวิ้นจู่ แต่นั่นมิใช่เพียงแค่การช่วยองค์หญิง แต่ยังช่วยมิให้เกิดความบาดหมางกับดินแดนหมานเว่ย อาจกล่าวได้ว่า เหตุผลอย่างหลังนั้นสำคัญที่สุด ดังนั้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะแต่งตั้งด้วยตำแหน่งใดสักตำแหน่ง 


 


 


“เจ้ากล้า!” หลัวเทียนเฉิงโกรธจนเจ็บร้าวใจไปหมด เขาดึงนางเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก 


 


 


“ท่านจะกลับไปทำอย่างเก่าหรือไม่เล่า?” เจินเมี่ยวซุกหน้าอยู่ในอกเขา เอ่ยเสียงงึมงำ 


 


 


หลัวเทียนเฉิงลูบผมนางอย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “ไม่กล้าแล้ว กลัวเจ้าเลี้ยงชายงาม” 


 


 


“ท่านอ่อนโยนถึงเพียงนี้ หากไม่มีกลิ่นเหม็นของสุราคงดีกว่านี้แน่” 


 


 


เจินเมี่ยวเอ่ยทอดถอนใจออกมาในเวลาที่มิใคร่เหมาะสมนัก แล้วฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายตัวแข็งทื่ออยู่นั้นผลักเขาออก นิ้วมือก็ชี้ไปที่ประตู “ไปเถิด เดินออกไปเลี้ยวซ้ายก็ถึงห้องตำราแล้ว” 


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว…” 


 


 


เจินเมี่ยวเบี่ยงหน้าหลบมิมองเขา 


 


 


หลัวเทียนเฉิงยังคงมิล้มเลิกความตั้งใจ “พรุ่งนี้เช้าข้าต้องกลับศาลาว่าการแล้ว คงต้องยุ่งยากอีกสักระยะหนึ่ง…” 


 


 


เจินเมี่ยวหอบผ้าห่มเดินออกไปทันที “ท่านไม่ไป ข้าไปเอง!” 


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว” หลัวเทียนเฉิงรู้สึกจนใจอยู่บ้าง 


 


 


เจินเมี่ยวกลอกตาใส่เขาคราหนึ่ง “เป็นอันใด ท่านคิดว่าข้ากำลังแง่งอนใส่ท่านหรือ?” 


 


 


“เช่น…เช่นนั้นทำอย่างไรเจ้าจึงจะหายโกรธ?” 


 


 


เจินเมี่ยวครุ่นคิดคราหนึ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่รู้ แต่ข้ารู้อยู่อย่างหนึ่ง” 


 


 


“อันใด?” 


 


 


“หากท่านไม่ไปนอนห้องตำรา ข้าจะโกรธมากขึ้นกว่าเดิม” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงรับผ้าห่มมาอย่างยอมรับชะตากรรม แล้วถือเอาภาพวาดนั้น เดินกุมขมับจากไป 


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาทันใด นางเป่าเทียนดับแล้วขึ้นไปบนเตียง รู้สึกเจ็บปวดทรมานคล้ายร่างจะแตกสลายก็มิปาน 


 


 


นางมักถูกผู้อื่นสั่งสอนเสมอ แต่มิเคยสั่งสอนผู้อื่นเลย คิดไม่ถึง…คิดไม่ถึงว่าสำเร็จแล้ว 


 


 


ได้แต่หวังว่าจากนี้ไปชีวิตของนางจะสงบสุขราบรื่นทุกคืนวัน 


 


 


เจินเมี่ยวตื่นขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นหอมที่โชยเข้าจมูกในยามเช้า 


 


 


นางกะพริบตา แล้วหันหน้าไปมองก็พบ ดอกเหมยกิ่งหนึ่งว่าอยู่บนหมอน ชั่วขณะนั้นนางคิดว่าตนฝันไป 


 


 


“ต้าไหน่ไหน่ ท่านตื่นแล้วหรือไม่เจ้าคะ?” เสียงของไป๋เสาดังขึ้น 


 


 


เจินเมี่ยวมีสติคืนมา นางรีบซ่อนดอกเหมยนั้นไว้ แล้วเอ่ยว่า “เข้ามาเถิด” 


 


 


เสียงเปิดประตูดังแอ๊ด 


 


 


ไป๋เสาพาสาวใช้สองสามคนเดินเข้ามา พวกนางยกผ้าผืนนุ่ม อ่างน้ำ และเครื่องหอมเดินตามกันเป็นแถวเข้ามา 


 


 


เจินเมี่ยวให้ไป๋เสาประคองเดินไปที่ห้องอาบน้ำ เมื่อกลับมาถึงห้อง เชวี่ยเอ๋อร์และเจี้ยงจูก็ทำความสะอาดห้องเสร็จพอดี 


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์เดินไปเปิดหน้าต่างพลางหันไปพูดกับเจินเมี่ยวด้วยความเบิกบานว่า “ต้าไหน่ไหน่ หิมะตกมาหลายวันแล้ว ในที่สุดวันนี้ท้องฟ้าก็แจ่มใสเสียที”  

 

 


ตอนที่ 250 ครอบครอง

 

อากาศสดใส หิมะที่สะท้อนเข้ากับแสงแดดนั้นยิ่งพราวระยับมากขึ้นไปอีก  


 


 


เรือนรูปทรงธรรมดาหลังหนึ่งในตรอกซิ่งฮวาอันเงียบสงบกลับมีเสียงร้องไห้กระซิกของสตรีผู้หนึ่งลอยมา 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวนั้นมีผ้าห่มปิดร่างกายไว้ครึ่งหนึ่ง เขามองดูสตรีงดงามที่หันหลังร้องไห้ผู้นั้นแล้ว ในใจก็รู้สึกภาคภูมิและเบิกบานยิ่ง ความพอใจที่ยากจะเอ่ยออกมาได้นั้นทำให้เขามีท่าสุขใจคล้ายมีแสงเปล่งออกมาจากร่างแล้ว เป็นครั้งแรกที่รู้ซึ้งว่าเรื่องเช่นนี้ทำให้คนอยากทำแล้วอยากทำอีกไม่สิ้นสุด 


 


 


เมื่อครุ่นคิดอีกครากลับรู้สึกว่าวันเวลาที่ผ่านมาล้วนไร้ค่า 


 


 


แผ่นดิน สาวงาม…มิน่าเล่าจึงมีคนเลือกสาวงามมิเลือกแผ่นดิน 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวจ้องแผ่นหลังอันนวลเนียนของสตรีผู้นั้น ผมดำขลับยาวถึงเอวของนางนั้นหยักสลวยดุจต้นสาหร่ายคอยเกี่ยวกระหวัดวิญญาณของเขาไว้ ทำให้อดทอดถอนใจออกมามิได้ 


 


 


“เยียนเหนียง…” นายท่านรองสกุลหลัวยื่นมือออกมาวางไว้บนไหล่นาง 


 


 


เยียนเหนียงพลันหมุนหายกลับมาจ้องนายท่านรองสกุลหลัวด้วยความโกรธ แล้วยกมือขึ้นตบหน้าเขาหนึ่งที 


 


 


เสียง ‘เพี๊ยะ’ ดังขึ้น เพราะห้องมิได้ใหญ่อันใดจึงคล้ายมีเสียงสะท้อนก้องกลับมา 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวถูกตบจนมึนงงไป ผ่านไปครู่หนึ่งจึงโมโหขึ้นมา แต่เมื่อกำลังจะบันดาลโทสะ การกระทำของเยียนเหนียงกลับทำให้เขาตกใจยิ่ง 


 


 


“ข้าเคารพท่านในฐานะคุณชายผู้มีน้ำใจ แต่ผู้ใดจะคิดว่าจะเป็นคนชั่วที่ฉวยโอกาสกับผู้อื่นเช่นนี้!” เยียนเหนียงดึงปิ่นปักออกมาจากมวยผมแล้วหันด้านอันแหลมคมนั้นไปที่ลำคอขาวผ่องของตน 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวพลันลนลานขึ้นมา “ชีเหนียง เจ้าได้ทำเรื่องเหลวไหล” 


 


 


เยียนเหนียงเงยหน้าขึ้น บนลำคอขาวผ่องยังมีรอยแดงที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่ นางเพียงกดปิ่นนั้นลงไป ผิวเนื้อขาวผ่องก็ฉีกขาด โลหิตแดงก็ไหลซึมออกมา 


 


 


“กายของถูกท่านล่วงเกินไปแล้ว ท่านคิดว่าข้ายังจะเสียดายชีวิตนี้อยู่อีกหรือ?” 


 


 


ท่าทีอันเด็ดเดี่ยว โลหิตที่ไหลรินนั้นกลับก่อเกิดเป็นความงดงามอย่างน่าประหลาด ทำให้นายท่านรองสกุลหลัวใจเต้นไม่เป็นส่ำขึ้นมา 


 


 


สตรีผู้นี้ช่างใจเด็ดยิ่งจนทำให้เขาเกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมาอย่างยากจะเอ่ย 


 


 


แค่เพียงคิดว่าสักวันสตรีเช่นนี้จะยอมเชื่อฟังเขา ให้เขาทำทุกอย่างได้ตามแต่ใจ นายท่านรองสกุลหลัวก็ตื่นเต้นจนตัวสั่นขึ้นมา 


 


 


เขากลับพลิกมมือขึ้นมาตบตนเอง 


 


 


เยียนเหนียงอึ้งงันไป มือนางผ่อนแรงลงครู่หนึ่ง 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวจึงฉวยโอกาสนี้จับมือนางไว้ แย่งเอาปิ่นนั้นโยนทิ้งไปที่พื้นแล้วโผกอดนางไว้แน่น 


 


 


“เยียนเหนียง เยียนเหนียง ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธ หากเจ้าเสียใจก็มาลงกับข้า แต่อย่าทำร้ายตัวเองเลย ครั้งแรกที่ข้าเห็นเจ้า ก็ชอบเจ้าแล้ว เมื่อวานข้าจึงเกิดอารมณ์ชั่ววูบเช่นนั้น…” 


 


 


ร่างกายอันแข็งเกร็งของเยียนเหนียงพลันอ่อนยวบลง นางกัดฟันเอ่ยว่า “ท่านไม่ควร ไม่ควรที่จะรังแกข้าในขณะที่สามีข้าเพิ่งจะจากไปเช่นนี้…” 


 


 


เมื่อวานนายท่านรองสกุลหลัวมิได้กลับไปร่วมแม้งานเลี้ยงฉลองของจวน เพราะคนที่ส่งไปสืบข่าวได้ความมาว่าวาณิชที่เลี้ยงดูเยียนเหนียงนั้นดื่มสุราแล้วทะเลาะวิวาทจนถูกอีกฝ่ายฆ่าตาย 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวอยากจะหัวเราะออกมาเสียงดังๆ ต่อให้วาณิชผู้นั้นมิตาย เขาก็คิดจะลงมืออยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าจะประหยัดแรงถึงเพียงนี้ 


 


 


ตอนนั้นจึงตัดสินใจมาที่ตรอกซิ่งฮวาอย่างมิอาจทนรอไหว 


 


 


เมื่อทราบข่าวการจากไปของวาณิชผู้นั้น เยียนเหนียงก็เสียใจอย่างยิ่ง นายท่านรองสกุลชีรีบเข้ามาปลอบใจ และฉวยโอกาสตอนที่นางยังอ่อนแอบังคับขืนใจนางจนสำเร็จ ดังนั้นจึงมิจำเป็นต้องเอ่ยว่าเหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ 


 


 


“เยียนเหนียง เจ้าวางใจ ต่อไปข้าจะดีต่อเจ้าให้มาก” 


 


 


เยียนเหนียงแค่นยิ้มเย็น “ข้าติดตามสามีข้า เพราะเขามีบุญคุณต่อข้า หรือท่านคิดว่าข้าเป็นสตรีแพศยาที่นอนกับชาได้ก็ได้?” 


 


 


“เยียนเหนียง ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่ยามนี้เจ้าเหลือตัวคนเดียวแล้ว สตรีตัวคนเดียวจะอยู่อย่างไร เจ้าคิดให้ดีก็จะเข้าใจ ข้าชอบเจ้าจริงๆ เจ้าติดตามข้าเถิด หากเจ้าอยากได้สิ่งใด ข้าก็ให้ได้ทุกอย่าง” 


 


 


หากเยียนเหนียงอย่างไรก็ไม่ยอม เขาก็ย่อมต้องเล่นไม้แข็ง แต่นั่นคงมิใคร่จะดีสักเท่าใด 


 


 


“ให้ข้าได้ทุกอย่าง?” 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวรีบพยักหน้ารับ 


 


 


เยียนเหนียงเงยหน้าขึ้น “เช่นนั้น หากท่านรับปากข้าสามเรื่อง ข้าจะยอมติดตามท่าน” 


 


 


“เจ้าว่ามา” 


 


 


“ข้อหนึ่ง ข้าอยู่ที่นี่จนชินแล้ว มิคิดจะไปอยู่กับภรรยาเอกให้นางดูแคลน” 


 


 


“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา” นายท่านรองสกุลหลัวเผยสีหน้ายินดีออกมา 


 


 


เดิมเขาก็มิคิดจะพาเยียนเหนียงเข้าจวนอยู่แล้ว มิเพียงแค่เรื่องของฮูหยินผู้เฒ่าและนางเถียน มากกว่าไปกว่านั้นคือซีเหนียงก็ต้องรู้ว่าซูเหนียงมิได้อยู่ในจวนอย่างมีความสุขแต่ถูกขายทิ้งไปแล้ว เกรงว่าตอนนั้นเขาจะกล่อมนางอยู่นานทีเดียว 


 


 


ลอบเลี้ยงไว้เป็นอนุนอกเรือนนั้นลดความวุ่นวายต่างๆ ได้ดีแท้ คำขอร้องนี้เขาไหนเลยจะมิรับปาก 


 


 


“ข้อสอง ท่านต้องทวงความยุติธรรมให้สามีข้า!” เยียนเหนียงหน้าขรึมขึ้นมาทันที “ท่านคิดให้ดีค่อยตอบ”  


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวอึ้งงันไป แล้วจึงพยักหน้า “ข้าจะพยายาม” 


 


 


เป๋ยก่วงไม่เหมือนเมืองหลวงที่ไปหนใดก็มีแต่ขุนนางขั้นห้าขั้นหก ขอเพียงมิใช่บุตรขุนนาง เขาช่วยเหลือเท่านี้มินับเป็นอันใดได้ แต่หากยุ่งยากล่ะก็ หึๆ…เยียนเหนียงก็มิได้ไปดูด้วยตนเองเสียหน่อย อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับเขาว่าจะเอ่ยเช่นไรแล้ว 


 


 


“แล้วข้อสามเล่า?” 


 


 


“ข้อสาม ข้ายังคิดไม่ออก รอคิดออกก่อนค่อยว่า” ท่าทีของเยียนเหนียงดูผ่อนปรนลง 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวอดคว้ามือนางมาจับมิได้ 


 


 


เยียนเหนียงชักมือกลับ แล้วเอาเสื้อผ้าโยนใส่เขา “ท่านรีบกลับไปเถิด” 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวยังอยากจะกอดสักนิดหอมสักหน่อย แต่กลับถูกเยียนเหนียงปฏิเสธเสียงแข็ง 


 


 


“หากท่านชอบข้าด้วยใจจริง ก็ให้ข้าได้ไว้ทุกข์สักเจ็ดวันเถิด แม้นข้าจะมิได้มีฐานะอันใดไปไว้ทุกข์ให้เขา แต่มันก็มาจากใจบริสุทธิ์ที่แท้จริง” 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวจึงเดินออกไปด้วยท่าทีอาลัยอาวรณ์ 


 


 


อาจเพราะคนเรามีความดิบซ่อนอยู่ในตัว เยียนเหนียงยิ่งไม่เหมือนกับบรรดาอนุน้องเรือนที่อ่อนช้อยว่าง่ายดุจบุปผา นายท่านรองสกุลหลัวก็ยิ่งอดมาหานางที่ตรอกซิ่งฮวามิได้ ต่อให้ไปแล้วทำได้เพียงดื่มชาก็ยังรู้สึกดีกว่ากลับไปเห็นหน้าเ**่ยวๆ ของนางเถียน 


 


 


ในใจของนายท่านรองสกุลหลัวมีกระทั่งความยำเกรงต่อนางอยู่หลายส่วน เป็นความยำเกรงที่นอกจากภรรยาเอกแล้วก็มิเคยมีสตรีใดเคยได้รับ เรื่องนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็มิทันได้ขบคิดให้ละเอียด 


 


 


ส่วนเจินเมี่ยวนั้นแม้นจะมิได้พบหน้ากับหลัวเทียนเฉิงเลย แต่กลับได้รับของที่เขาส่งคนนำมาให้ทุกวัน 


 


 


บางคราก็เป็นหุ่นดินปั้นอันประณีต บางคราเป็นขนมจากร้านอู่เว่ยไจ มีครั้งหนึ่งที่เขาส่งกระทะมาให้นางด้วย 


 


 


ก้นกระทะเรียบแบน ขนาดเท่าฝ่ามือบุรุษ เจินเมี่ยวชอบอย่างยิ่ง นางจึงหยิบมาใช้ทอดไข่ไปหายฟอง ทั้งยังทอดเนื้อกวางอีกชิ้นหนึ่ง 


 


 


เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว จื่อซูจึงสั่งให้เชวี่ยเอ๋อร์ไปที่ประตูหลังทั้งกำชับว่า “ได้ของแล้วก็รีบกลับมา อย่าเอาแต่ห่วงเล่น” 


 


 


เรือนชิงเฟิงเป็นเรือนพักของคุณชายผู้สืบทอดแห่งจวนกั๋วกงมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จึงมิออกแบบมาไม่เหมือนเรือนอื่นๆ ที่ด้านหลังเรือนเต้าจั้วนั้นมีกำแพงแคบๆ อยู่ ที่นั่นมีประตูเล็กๆ ที่สามารถทะลุไปด้านนอกได้ ปกติจะมีคนคอยเฝ้าอยู่ที่นั่นตลอด นับเป็นรูปแบบเรือนที่มีความเฉพาะตนอย่างหนึ่ง 


 


 


เหตุใดจื่อซูจึงได้เป็นผู้ดูแลเรื่องนี้ ว่าไปแล้วก็ช่างบังเอิญนัก 


 


 


วันนั้นจื่อซูเพิ่งจะกลับมาจากซื้อข้าวของก็บังเอิญเห็นชิงเกอกำลังเท้าเอวจ้องถลึงบุรุษหนุ่มที่แต่งกายอย่างองครักษ์ผู้หนึ่งด้วยความโกรธ 


 


 


นางสอบถามอย่างละเอียดจึงทราบว่าบุรุษผู้นั้นเป็นองครักษ์ส่วนตัวของซื่อจื่อ นามว่าหลัวเป้า เขาได้รับคำสั่งจากซื่อจื่อให้นำของมามอบแก่ต้าไหน่ไหน่ 


 


 


นางจึงสอบถามชิงเกอเพิ่มเติม เมื่อทราบเช่นนั้นก็แทบจะรักษาท่าทีตนเอาไว้ไม่ได้ 


 


 


สาวใช้ผู้นี้ถึงกับแค้นเคืองที่ซื่อจื่อรังแกต้าไหน่ไหน่ นางจึงมิรับของที่หลัวเป้านำมาให้ เดิมของเหล่านี้ควรเป็นหน้าที่ของปั้นซย่าที่ต้องนำมาให้แต่เพราะชิงเกอต่อยเขาเสียจนย่ำแย่ เขาจึงมิกล้ามาอีก 


 


 


จื่อซูจึงมิกล้าส่งชิงเกอไปรับของ ได้แต่สั่งให้เชวี่ยเอ๋อร์ที่ตามนางไปซื้อของในวันนั้นไปรับแทน 


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์กระโดดโลดเต้นออกไปก็พบบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งที่ยืนรออยู่หน้าประตู ในมือถือกล่องไม้สลักใส่ขนมอยู่ใบหนึ่ง 


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์รีบวิ่งเข้าไปหา แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “พี่หลัวเป้า วันนี้มาเช้าจริง?” 


 


 


เมื่อหลัวเป้าเห็นเชวี่ยเอ๋อร์ก็อดมองไปข้างหลังนางคราหนึ่งมิได้ ครั้นเห็นว่าไม่มีผู้ใดตามา ความผิดหวังก็วูบผ่านนัยน์ตาเขาไป แล้วยื่นกล่องขนมนั้นให้พลางยิ้ม “ซื่อจื่อบอกว่าขนมที่ออกจากเตาใหม่ๆ นั้นอร่อยยิ่ง ให้รีบเอามาให้ต้าไหน่ไหน่” 


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์รับกล่องไม้นั้น แต่มิได้เอ่ยอันใดให้มากความ 


 


 


นางยังจำเรื่องที่ซื่อจื่อมิกลับมาเยี่ยมต้าไหน่ไหน่ได้แม่น นางจะมิยอมให้ซื่อจื่อคิดว่าการที่เขาส่งสิ่งของมาให้นั้น ต้าไหน่ไหน่จะดีใจ 


 


 


เมื่อเห็นเชวี่ยเอ๋อร์ถือเอากล่องไม้แล้วเดินจากไป หลัวเป้าก็อดร้องเรียกขึ้นมามิได้ 


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์หันกลับไปถามด้วยความสงสัย “พี่หลัวเป้ามีเรื่องใดหรือ?” 


 


 


บุรุษหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ ถูกถามเช่นนี้กลับหูแดงขึ้นมา โชคดีที่เชวี่ยเอ๋อร์อายุยังน้อยจึงมิได้พบความผิดปกติใด เพียงจ้องมองเขาด้วยความสงสัย 


 


 


หลัวเป้ารวบรวมความกล้าเอ่ยถามว่า “เหตุใดจึงมิเห็นพี่สาวที่มาวันนั้นเล่า?” 


 


 


เมื่อเอ่ยวาจานี้ออกไปแล้วก็พลันหน้าแดงขึ้นมาในทันใด มือเท้าก็มิรู้จะวางไว้ที่ใด เห็นชัดว่าขานั้นเตรียมจะวิ่งออกไปแล้ว แต่เท้ากลับคล้ายมีรากงอก ขยับไม่ได้ไปชั่วขณะ 


 


 


“พี่สาว…วันนั้น?” เชวี่ยเอ๋อร์กะพริบตาปริบ แล้วจึงเอ่ยว่า “อ้อ ท่านหมายถึงพี่จื่อซูหรือ?” 


 


 


จื่อซู? ชื่อของนางช่างไพเราะจริงๆ…หลัวเป้าหัวเราะแหะๆ อย่างโง่งม 


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์กลอกตาไปมา “พี่จื่อซูเป็นสาวใช้ขั้นหนึ่งของต้าไหน่ไหน่ จะให้นางมาที่นี่ด้วยเหตุใด? วันนั้นแค่บังเอิญพบเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี” 


 


 


เมื่อเห็นหลัวเป้ายังคงยิ้มอย่างโง่งม แม่นางน้อยจึงหมดความอดทน นางขยับเท้าแล้วเอ่ยว่า “ไม่พูดกับท่านแล้ว ข้าจะเอาขนมไปให้ต้าไหน่ไหน่” 


 


 


ตอนที่เชวี่ยเอ๋อร์ไปถึง จื่อซูกำลังยกน้ำผึ้งมาให้เจินเมี่ยวดื่ม ไป๋เสาก็กำลังเลือกเครื่องประดับ 


 


 


เมื่อเห็นเชวี่ยเอ๋อร์ยกกล่องใส่ขนมเข้ามา เจินเมี่ยวก็วางถ้วยลงแล้วโบกมือเรียก “มา ข้าดูสิว่าวันนี้มีขนมอะไร” 


 


 


แม้นยามนางคิดถึงคนผู้นั้นก็ยังโกรธจนต้องเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่นางก็ไม่มีทางลงกับของขวัญ โดยเฉพาะของขวัญที่เป็นของกิน 


 


 


อืม…ความโกรธกับการรับของขวัญนั้นเป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง 


 


 


เจินเมี่ยวมิอาจปฏิเสธได้ว่าทุกคราที่นางรับของขวัญมาก็จะอดนึกถึงกลิ่นหอมของดอกเหมยที่วางอยู่ข้างหมอนในเช้าวันนั้นมิได้ ใจของนางก็รู้สึกดีขึ้นมาอีกสักหน่อย 


 


 


“เอ๊ะ นี่มันขนมดอกกุ้ยแป้งรากบัวของโรงเตี๊ยมเล็กเย่ว์ไหลมิใช่หรือ ยามนี้ต้องต่อแถวอยู่นานเลยเชียวถึงจะซื้อมาได้” เชวี่ยเอ๋อร์เอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น 


 


 


เจินเมี่ยวหยิบมากินชิ้นหนึ่งจึงเอ่ยว่า “ก็มิได้ให้เขาไปซื้อเสียหน่อย” 


 


 


แล้วให้จื่อซู ไป๋เสาและเชวี่ยเอ๋อร์คนละชิ้น 


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์เดินมารับแล้วเอ่ยว่า “ย่อมต้องเป็นพี่หลัวเป้าซื้อมาอย่างแน่นอน” 


 


 


พูดแล้วก็หลุดขำออกมา “ใช่แล้ว ต้าไหน่ไหน่ วันนี้พี่หลัวเป้ายังถามด้วยว่าเหตุใดจึงมิเห็นพี่จื่อซู คิกๆ ท่านว่าเขาโง่หรือไม่ ไหนเลยต้องให้สาวคนสนิทของท่านวิ่งไปรับของ…” 


 


 


“เชวี่ยเอ๋อร์!” จื่อซูเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พลันรู้สึกขนมในมือร้อนจนลวกมือขึ้นมาทันใด ใบหน้าที่น้อยนักจะแสดงความรู้สึกออกมากลับเห่อร้อนขึ้นมาโดยพลัน 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม