เล่ห์รักกลกาล 242-248

ตอนที่ 242 ปฏิเสธการลงจากรถม้าของเป่ย...

 

เซียวเยว่ชิงก็พยักหน้าอย่างจริงจัง อีกทั้งเขายังค้นพบเรื่องน่าอัศจรรย์เรื่องหนึ่ง เมื่อก่อนพวกเขาไม่เชื่อใจเยี่ยเม่ยเลย ต่อมาก็ค่อยๆ เคารพนาง จนกระทั่งตอนนี้ฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้ที่นาง


 


 


โลกใบนี้ช่างแปลกพิสดารจนน่ากลัวยิ่งนัก


 


 


……


 


 


เยี่ยเม่ยติดตามเป่ยเฉินอี้ นั่งรถม้าเป็นเวลาสามวัน


 


 


เสี่ยวกวนถึงหาตัวเยี่ยเม่ยพบ เขามุ่งหน้าตามนางที่หมู่ตึกกูเยว่ จะรู้ได้ที่ไหนว่าเยี่ยเม่ยถูกเป่ยเฉินอี้พาตัวไปยังที่ตั้งเก่าของราชสำนักจงเจิ้ง ถึงได้ไม่พบเบาะแสนางเลย


 


 


ไม่ง่ายเลยกว่าจะหารถม้าของเป่ยเฉินอี้พบ เขาพุ่งไปขวางหน้ารถม้า “แม่นางเยี่ยเม่ยอยู่ด้านในหรือไม่”


 


 


อย่าได้อยู่ข้างในเด็ดขาด


 


 


อย่าบอกเขาเชียวว่า เยี่ยเม่ยถูกเป่ยเฉินอี้ฆ่าไปแล้ว หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ความหวังของบรรพชนสามรุ่นของตระกูลคงถึงกาลอวสาน…


 


 


ชิงเกอมองพวกเขาที่พากันมาตั้งมากมาย พลันหยุดรถม้าลง เลิกม่านรถม้าบอกกับเป่ยเฉินอี้ “ท่านอ๋อง คนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน! มาตามหาแม่นางเยี่ยเม่ย”


 


 


สายตา เป่ยเฉินอี้มองเยี่ยเม่ยอย่างใจกว้าง แววตาลุ่มลึกแสดงออกว่าทุกอย่างแล้วแต่เยี่ยเม่ยตัดสินใจ


 


 


เยี่ยเม่ยเงยหน้ามองชิงเกอ “ให้พวกเขาตามไปก็แล้วกัน!”


 


 


นางไม่มีอารมณ์ลงจากรถม้าจากนั้นเดินเท้าหรือขี่ม้าไปกับคนทั้งหมด ยังมีเวลาอีกหนึ่งวันก็ถึงชายแดนแล้ว นั่งรถม้าคลุมผ้าขนเตียวไม่สบายกว่าหรืออย่างไร


 


 


ทำไมถึงต้องออกไปทนรับลมหนาว เดิมทีก็ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว อีกอย่างเป่ยเฉินอี้ชิงตัวนางมา ให้นางนั่งรถม้าก็เป็นค่าตอบแทนที่เขาสมควรจ่าย


 


 


ชิงเกอพยักหน้า ในใจรู้สึกว่าเยี่ยเม่ยพิเศษจนถึงขั้นแปลกพิสดาร


 


 


ในสถานการณ์ปกติคนถูกลักพาตัวไป เมื่อคนของตัวเองมาตามหา ก็สมควรจากไปทันทีมิใช่หรือ กลับกันนางคลุมผ้าขนเตียวของเตี้ยนเซี่ย ปล่อยให้เตี้ยนเซี่ยรับไอเย็น ไม่มีจิตสำนึกว่าตนเองอยู่ในรังของศัตรูเลยสักน้อย ชิงเกอเพียงรู้สึกว่าเขานับถือนางยิ่งนัก!


 


 


ช่างน่านับถือจากใจ!


 


 


เขาหันมองพวกเสี่ยวกวนทีหนึ่ง เอ่ยว่า “คำพูดของแม่นางเยี่ยเม่ยพวกเจ้าก็ได้ยินแล้ว นางให้พวกเจ้าติดตามพวกเราไปก็พอ!”


 


 


สถานที่แห่งนี้เงียบมาก คำพูดของเยี่ยเม่ย เสี่ยวกวนย่อมได้ยิน


 


 


 “อ้อ! ได้!” ถึงเสี่ยวกวนไม่พอใจกับคำตอบมาก แต่ว่าก็ยังรับคำ เขาโบกมือทีหนึ่ง คนทั้งหมดก็ติดตามอยู่ด้านหลังรถม้า


 


 


รถม้าเดินทางต่อ


 


 


ทว่าเสี่ยวกวนเริ่มร้อนรนแล้ว เพราะอะไรแม่นางเยี่ยเม่ยถึงไม่ยอมเดินทางลำพังไปกับเขา ซ้ำยังนั่งรถม้าของอี้อ๋องต่อไปอีกด้วย หรือว่าแม่นางเยี่ยเม่ยคิดอะไรกับอี้อ๋อง


 


 


หรือว่าแม่นางเยี่ยเม่ยไม่พอใจที่เขามาช้าเกินไป ดังนั้นจึงไม่อยากร่วมทางไปกับเขาถึงขั้นคร้านจะแยกทางกับอี้อ๋อง


 


 


ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ล้วนมีความหมายว่า เขาคงแย่แล้ว! ไม่ว่าจะเป็นแบบใด เตี้ยนเซี่ยย่อมไม่ปล่อยเขาแน่ คิดแล้วในใจเสี่ยวกวนแทบระเบิด การมีชีวิตช่างลำบากเหลือเกิน…


 


 


……


 


 


ตกดึก


 


 


 “เจ้าพูดว่าอะไรนะ ทำเช่นนี้แล้วยังสังหารจิ่วหุนไม่ได้อีก” ซือถูเฟิงมองคนเบื้องด้วยหน้าด้วยความไม่อยากเชื่อ


 


 


คนชุดดำในยามนี้สีหน้าโศกสลด เล่าเรื่องทั้งหมดให้กับซือถูเฟิง


 


 


เมื่อเอ่ยจบแล้ว ก็สรุปว่า “จากสถานการณ์ยามนี้ มีคนคอยช่วยเหลือเยี่ยเม่ยมากเกินไปแล้ว! เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ซือหม่าหรุ่ย ซินเยว่เยี่ยน จงรั่วปิง แม้กระทั่งราชาดาบกับเทพกระบี่ก็เข้าร่วมด้วย! ดังนั้นพวกเราคิดสังหารจิ่วหุน ยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก!”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ คนชุดดำก็เสริมขึ้นต่อว่า “เดิมทีคนในเมืองช่วยเหลือพวกเรา แต่ใครจะรู้ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแบกรับเรื่องทั้งหมดไว้ด้วยตัวเอง บอกว่าเขาเป็นคนสังหารเรื่องของแม่ทัพซ่างกวนและอดีตเสนาบดี แม่ทัพทั้งหลายจึงไม่กล้าขอให้ส่งตัวจิ่วหุนออกมาอีก ดังนั้น…”


 


 


 “ดังนั้น ไม่ว่าจะนอกหรือใน เรื่องนี้ล้วนทำไม่สำเร็จ!” ซือถูเฟิงสูดลมหายใจลึก โมโหจนหน้าเขียว “อี้อ๋องเล่า”


 


 


จากความสามารถของอี้อ๋อง ต่อให้สถานการณ์ดำเนินมาถึงขึ้นนี้ เขาคิดจะกำจัดเยี่ยเม่ยหรือจิ่วหุน ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้  


 


 


ขอเพียงเขาฉวยโอกาสลงมือยามชุลมุน ทุกอย่างก็จะต่างออกไป


 


 


พูดถึงเป่ยเฉินอี้ คนชุดดำก็ไม่เข้าใจ “หลังจากจิ่วหุนหมดสติไป อี้อ๋องไม่ทำการใดๆ เพื่อลอบสังหารจิ่วหุนทั้งนั้น ครั้งนี้ถึงเขาจะพาตัวเยี่ยเม่ยไประหว่างทาง ทว่าก็ไม่ได้ส่งคนมาช่วยเหลือพวกเราชิงสมุนไพร การกระทำของอี้อ๋องไม่ชัดเจนเอาเสียเลย!”


 


 


พูดถึงเรื่องนี้ คนชุดดำรู้สึกอื้ออึง


 


 


เดิมทีพวกเขาร่วมมือกับอี้อ๋อง นั่นก็เพื่อกำจัดจิ่วหุนและเยี่ยเม่ยไม่ใช่หรือ ไฉนเวลาที่ลงมือได้ง่ายดายที่สุด อี้อ๋องกลับไร้การเคลื่อนไหว


 


 


ทว่า…


 


 


สีหน้าซือถูเฟิงไม่น่ามอง กัดฟันเอ่ยว่า “ก็ถูก! เป่ยเฉินอี้ไม่ใช่คนที่จะหลอกพวกเรา เขายินยอมวางแผนให้พวกเราก็เป็นเรื่องดีอย่างยิ่งแล้วไม่เช่นนั้นอย่าว่าแต่สังหารจิ่วหุนเลย แม้แต่ขนสักเส้นเดียวของจิ่วหุนพวกเรายังยากถอนได้!”


 


 


เรื่องนี้คนชุดดำเห็นด้วย หากไม่ใช่เพราะแผนการของอี้อ๋อง พวกเขาก็ยากจะมีโอกาสวางยาจิ่วหุน ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพนี้ได้”


 


 


 “เช่นนั้นคุณชาย พวกเราจะเอาอย่างไรต่อดี” คนชุดดำถามขึ้นอีกครั้ง ระหว่างเอ่ยเขามองออกไปด้านนอกคราหนึ่ง ข้างนอกคือเหมืองถ่าน ถูกเนรเทศเพื่อใช้แรงงาน


 


 


ดีที่มีฐานะของนายท่านคุ้มไว้ มือปราบทางนี้จึงไม่กล้าให้คุณชายทำงานจริงๆ แต่คุณชายก็ไม่อาจออกไปจากที่นี่ได้ นี่ยังมีอะไรแตกต่างกับหงส์ถูกขังไว้ในบ่ออีก


 


 


เมื่อเขาถามออกมา สีหน้าซือถูเฟิงยิ่งไม่น่าชมเข้าไปใหญ่ “เคราะห์ดีที่ท่านพ่อคาดเดาได้ว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่มีทางรามือ แอบส่งคนคอยอารักขาข้าลับๆ ไม่เช่นนั้นข้าคงจบชีวิตใต้เงื้อมมือคนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว บัญชีนี้ข้าต้องคิดกับพวกเขาแน่!”


 


 


เอ่ยถึงบัดนี้ ซือถูเฟิงจ้องคนชุดดำ สั่งการว่า “เจ้าไปจับตาที่ชายแดนต่อ ขอเพียงมีโอกาส รีบรายงานข้าทันที! ต่อให้เป็นพยัคฆ์ร้ายก็ย่อมมีเวลาที่ผ่อนคลายบ้าง ข้าไม่เชื่อว่าจะกำจัดเยี่ยเม่ยไม่ได้!”


 


 


 “ขอรับ!” คนชุดดำรับคำสั่งทันที


 


 


จากนั้น คล้ายกับว่าเขามีข้อสงสัยเล็กน้อย มองซือถูเฟิง “แต่ว่า คุณชาย! นายท่านกลับไม่ต้องการให้พวกเราเป็นศัตรูกับพวกเขาต่อไปอีก! นายท่านบอกแล้วว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนผู้นี้อันตรายมาก เป็นศัตรูกับเขาไม่มีทางพบจุดจบที่ดี โดยเฉพาะสภาพลำบากของท่าน ในยามนี้ยิ่งไม่อาจก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้ว  ไม่สู้พวกเรา…พอแค่นี้เถอะ!”


 


 


ในทางกลับกันพวกเขาลงแรงอย่างเต็มที่แล้วครั้งหนึ่ง แต่สุดท้ายอย่าว่าแต่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลย แม้กระทั่งขนสักเส้นของเยี่ยเม่ยก็ยังไม่หลุด เขาคิดว่าทำเช่นนี้ต่อไป คงไม่มีผลลัพธ์ที่ดีแน่


 


 


 “หากถอนตัวทันเวลาไม่แน่อาจจะไม่ถูกพบได้!” คนชุดดำเอ่ย จากนั้นก็มองซือถูเฟิงอย่างระวัง


 


 


ซือถูเฟิงมองเขาด้วยแววตาเย็นชา “ทำไม เจ้ากลัวแล้ว”


 


 


 “ไม่ใช่ข้าน้อยกลัว  

 

 


ตอนที่ 243 ฮูหยินคิดว่า เยี่ยนสมควรดี...

 

ซือถูเฟิงหัวเราะเสียงเย็น “อนาคตหรือ คุณชายใหญ่ของตระกูลซือถูถูกเนรเทศมายังสถานที่เช่นนี้ ท่านหญิงของตระกูลซือถูที่มีโอกาสเป็นมารดาของแผ่นดินมาที่สุดกลายเป็นคนพิการขาขาด ตระกูลซือถูยังมีอนาคตอะไรให้เอ่ยถึงอีก”


 


 


 “เรื่องนี้…” คนชุดดำพลันไม่รู้จะเอ่ยว่าอะไร จะตอบคำถามของซือถูเฟิงอย่างไรดี


 


 


หากมองนาคต ย่อมต้องดูชนรุ่นหลัง


 


 


สถานการณ์ของคุณชายกับท่านหญิงในยามนี้ไม่ดีเอาเสียเลยจริงๆ


 


 


ซือถูเฟิงเอ่ยต่อว่า “ในตระกูลคนจำนวนมากคิดมาแทนตำแหน่งของข้า ข้าไม่อยู่เมืองหลวง หากไม่มีวิธีกลับไป เช่นนั้นซือถูเฟิงก็จะกลายเป็นอดีตสำหรับตระกูลซือถูในไม่ช้า! ถึงข้าจะเป็นบุตรจากภรรยาเอกที่โดดเด่นที่สุดของท่านพ่อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีบุตรจากอนุภรรยา!”


 


 


 “คุณชาย ท่านอย่าได้คิดเช่นนี้เป็นอันขาด นายท่านยังคงเห็นความสำคัญของท่านมาก เขาต้องคิดหาหนทางพาท่านกลับไปแน่!” คนชุดดำรีบปลอบ


 


 


ซือถูเฟิงมองเขาคำรบหนึ่ง เอ่ยเสียงนิ่ง “ข้าคิดมาตลอดว่า หวังในตัวคนอื่น ไม่สู้หวังพึ่งตนเอง ถึงท่านพ่อจะใส่ใจข้ามาก แต่ในใจเขาใส่ใจตระกูลซือถูมากกว่า หากข้ามีวิธีกำจัดเยี่ยเม่ย รวมถึงกำจัดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไปได้ เช่นนั้นไม่ต้องให้ท่านพ่อลงมือ ฝ่าบาทก็จะเชิญข้ากลับไปด้วยความเบิกบานพระทัย!”


 


 


 “นี่…” คนชุดดำค่อยเข้าใจว่า ที่แท้คุณชายมีความคิดเช่นนี้


 


 


เดิมทีเขายังคิดว่า ต่อให้คุณชายมีสายสัมพันธ์ฉันพี่ชายกับน้องสาวกับท่านหญิงแน่นแฟ้นเพียงไหน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำร้ายตัวเองจนตกอยู่ในสภาพนี้ ยังไม่พอเขายังทำเรื่องอันตรายเช่นนี้ต่อไปอีกด้วย


 


 


คิดไม่ถึงว่าคุณชายจะมีความหวังนี้เช่นนี้ ก็จริง อย่างไรเสียใครต่างก็รู้ว่า องค์ชายสี่เป็นภัยพิบัติในใจของฝ่าบาท หากคุณชายกำจัดเขาไปได้จริง ต่อให้การอวยยศโหวหรือเสนาบดี หรือแม้กระทั่งตำแหน่งที่สูงส่งกว่านายท่านก็อาจเป็นไปได้ทั้งนั้น


 


 


 “แต่ว่าคุณชาย ทำเช่นนี้ออกจะอันตรายเกินไปแล้ว! โอกาสสำเร็จไม่สูงเลยจริงๆ โดยเฉพาะจุดยืนของอี้อ๋อง พวกเราเองก็ไม่รู้แน่ชัด!” คนชุดดำเอ่ยไปก็ยิ่งกังวลใจ ไม่ต้องพูดถึงองค์ชายสี่และเยี่ยเม่ยล้วนไม่ใช่บุคคลที่ต่อกรได้ง่าย ซ้ำยังมีอี้อ๋องที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกันแน่อีก


 


 


ไม่ว่ามองอย่างไร การเลือกเป็นศัตรูกับพวกเขา ถือว่าอันตรายมาก


 


 


ซือถูเฟิงหัวเราะเสียงย็นชา เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ลาภยศสรรเสริญต้องเสี่ยงชิงมาในคราวคับขัน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังมีชีวิตอยู่วันหนึ่ง เขาย่อมไม่ยินยอมให้ข้ากลับเมืองหลวง ท่านพ่อไม่มีวิธีช่วยเหลือข้าได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้นอกจากข้าช่วยเหลือตัวเองแล้วก็ไร้ทางเลือกอื่นอีก! เจ้าทำตามคำสั่งข้าก็พอแล้ว!”


 


 


“ขอรับ!”


 


 


ถึงในใจของคนชุดดำจะจนปัญญา แต่ก็ยังตอบรับ


 


 


ซือถูเฟิงถามขึ้นอีกว่า “ท่านหญิงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”


 


 


คนชุดดำรีบตอบ “ท่านหญิง…ความจริงแล้วไม่กี่วันก่อน ฮองเฮาทรงมีพระราชเสาวนีย์ ประทานงานอภิเษกให้ท่านหญิงกับองค์ชายสี่ ท่านหญิงดีใจอยู่ได้ไม่กี่วัน ผลคือองค์ชายสี่ขัดพระราชเสาวนีย์ไม่พอ ข่าวนี้ส่งมาถึงวังหลวง ฝ่าบาททรงกักบริเวณฮองเฮาและองค์ชายใหญ่ จากนั้นท่านหญิงก็เริ่มร้องไห้ทั้งวันไม่หยุด…”


 


 


คนชุดดำเล่าไป ก็รู้สึกหมดคำพูด


 


 


เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าท่านหญิงเป็นอะไรกันแน่ ถูกวางยาหรืออย่างไร เป่ยเฉินเสียเยี่ยนทำกับนางเช่นนั้น นางยังไม่ถอดใจ ตกต่ำลงมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังคงทำเช่นนี้ ช่าง…”


 


 


 “ข้ารู้แล้ว!”


 


 


ซือถูเฟิงแสดงออกว่าเข้าใจแล้ว ไอสังหารในแววตาทวีความเข้มข้นขึ้น เพราะว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ย พวกเขาสองพี่น้องถึงรับความลำบากเช่นนี้ เขาย่อมไม่มีทางหยุดแน่ “จับตาดูพวกเขาไว้ให้ดี ความหวังทั้งหมดของข้าในตอนนี้ฝากไว้กับเจ้าแล้ว!”


 


 


 “ข้าน้อยรับทราบ!”


 


 


……


 


 


ใกล้ชายแดน


 


 


เยี่ยเม่ยเลิกม่านหน้าต่างรถม้าขึ้น มองออกไปด้านนอก ตอนนี้เป็นยามจื่อ[1] อยู่ในช่วงกลางดึกพอดี


 


 


สายตาเป่ยเฉินอี้กวาดมองนาง กลับมีแววหวาดหวั่นอยู่หลายส่วน


 


 


เยี่ยเม่ยปล่อยม่านลง ถอนสายตากลับมามองเป่ยเฉินอี้ เมื่อเห็นสายตาแปลกๆ ของเขามองนางอยู่ จึงถามว่า “อี้อ๋องมองอะไรกัน”


 


 


เป่ยเฉินอี้นิ่งไป ถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว


 


 


เยี่ยเม่ยกลับเข้าใจแล้ว แค่นเสียงเย็น “อี้อ๋องมองเห็นข้าเป็นอีกคนหนึ่งใช่หรือไม่”


 


 


คำพูดของนางตรงมาก เป่ยเฉินอี้คร้านจะปิดบัง “ในเมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยเข้าใจแล้วไฉนยังต้องถามด้วย”


 


 


 “หึ…” เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็น


 


 


เป่ยเฉินอี้พลันถามว่า “หลายวันมานี้ คล้ายแม่นางเยี่ยเม่ยจะมีความในใจ”


 


 


หัวใจเยี่ยเม่ยในเวลานี้เต้นระรัว หรือเรื่องที่นางจำอะไรขึ้นมาได้ถูกเขาพบเห็นแล้ว นางจ้องใบหน้าของเขา เห็นสีหน้าสูงศักดิ์และเย็นเยือก ก็เปลี่ยนความคิด น่าจะยังไม่ใช่


 


 


ไม่เช่นนั้น เป่ยเฉินอี้ต้องถามถึงฐานะของนางแน่


 


 


อย่างนั้น…


 


 


นางมองเป่ยเฉินอี้ “ถูกแล้ว ข้าคิดอยู่ตลอดว่า เจ้าเมืองหลินรู้ฐานะของจิ่วหุนได้อย่างไร! คนของซือถูเฟิงบอกหรือท่านอ๋องบอกด้วยตัวเองกันแน่!”


 


 


นางใคร่ครวญปัญหานี้อยู่จริงๆ เมื่อเอ่ยออกมาในยามนี้ก็บังเอิญใช้เป็นเหตุผลปิดบังได้


 


 


เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วกลับยิ้มออก “ข้ายอมให้ แม่นางเยี่ยเม่ยสามครั้งแล้ว หากยังยอมแม่นางอีก แม่นางเยี่ยเม่ยคิดจะจ่ายค่าตอบแทนอย่างไร”


 


 


 “หากอี้อ๋องไม่ยอมพูด ข้าบีบเจ้าเมืองหลินก็ไม่แน่ว่าจะไม่ได้คำตอบ!” เยี่ยเม่ยตอบกลับไปอย่างเฉยเมย


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าเป่ยเฉินอี้ชัดเจนขึนอีก เอ่ยว่า “ดูท่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะไม่ยอมเสียเปรียบเลยสักนิด!”


 


 


 “ในโลกนี้จะมีคนยอมเสียเปรียบด้วยหรือ” เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วย้อนถาม จากนั้นเอ่ยเสียงนิ่งว่า “อี้อ๋องยินยอมพูดก็พูด ไม่ยินยอมพูด ข้าก็ไม่บังคับ!”


 


 


เป่ยเฉินอี้จ้องอยู่นาน กลับยิ้มแล้ว พยักหน้าเอ่ย “เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอให้แม่นางไปเค้นถามเขาดูแล้ว !”


 


 


แต่หลังจากที่ เป่ยเฉินอี้พูดพร้อมอมยิ้ม เยี่ยเม่ยเกิดความคิดทำร้ายคนขึ้นมา


 


 


ก่อนจะเอ่ยต่อ


 


 


นางพลันรับรู้ถึงพลังปราณคุ้นเคยกระแสหนึ่ง ไอมารเข้มแข็งมาจากคนที่นางคุ้นเคยมาก คนที่คะนึงหามาตลอดหลายวัน


 


 


เวลาเดียวกันนี้ รถม้าหยุดลงแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยลุกขึ้น เดินไปหน้าประตู เปิดม่านรถม้าออก นางทำกิริยาเช่นนี้ออกไป เป่ยเฉินอี้เห็นท่าทางร้อนรนแทบทนไม่ไหวของนาง นัยน์ตาก็ลุ่มลึกขึ้น


 


 


ม่านรถถูกเปิดออก


 


 


นางก็เห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ยามนี้เขานั่งอยู่บนหลังม้า มองนางด้วยความสงบ บนชุดของเขามีไอเย็นจากการขี่ม้าข้ามราตรีในฤดูเหมันต์ ในเสี้ยวนาทีที่มองนาง ดวงตาร้อยกาจคู่นั้นปรากฏความคลายใจ ไม่ช้าก็ปกคลุมไปด้วยความเย็นเยือก


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักงัน ไม่เข้าใจว่า จู่ๆ ไฉนเขาถึงพลันเปลี่ยนสีหน้า


 


 


นางหันกลับไปมองเป่ยเฉินอี้ หรือเป็นเพราะเขาไม่อยากเห็นเป่ยเฉินอี้กันแน่ นางไม่ถามออก ถึงบอกว่านางยังคงโดยสารรถม้าของเป่ยเฉินอี้กลับเมืองหลวงจะสบายเป็นพิเศษ แต่เมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาแล้ว นางยังยินยอมขี่ม้าร่วมกับเขา


 


 


เมื่อเดินไปถึงข้างม้าของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นางยังไม่ทันเอ่ย เขาก็ยื่นมือออกมาดึงนางขึ้นไปนั่งบนหลังม้าอย่างแรง


 


 


เยี่ยเม่ยอึ้งไปเล็กน้อย หันมองเขาด้วยความแปลกใจ “ท่านเป็นอะไร”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองประเมินนาง เผยรอยยิ้มสง่างามทว่าอันตราย “ฮูหยินคิดว่า เยี่ยนสมควรดีใจอย่างนั้นหรือ”


 


 


 


 


 


 


[1] 23.00-01.00  

 

 


ตอนที่ 244 ฮูหยินทนแยกจากเป่ยเฉินอี้ไ...

 

อ้อ


 


 


เยี่ยเม่ยสะอึกไปเล็กน้อย ไม่เขาใจเรื่องนี้เลยสักนิด กลับรู้สึกว่าเขาที่เป็นเช่นนี้ดูอันตรายอยู่ไม่น้อย ครั้งก่อนที่เห็นท่าทางแบบนี้ของเขา…


 


 


นั่นคือตอนเขาหึง


 


 


ครั้งนี้…


 


 


เมื่อคิดถึงสถานการณ์ครั้งนั้น คิดถึงความประหม่าและอ่อนแอของตัวเอง เพื่อกันไม่ให้เกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้นมาอีกครั้ง เยี่ยเม่ยรีบอธิบายทันที “ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ที่อยู่กับเป่ยเฉินอี้ก็เพราะถูกเขารั้งตัว ท่านอย่าได้คิดเหลวไหล!”


 


 


 “อย่างนั้นหรือ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบ ในตาร้ายกาจแผ่ความอันตรายออกมา เขากวาดตามองไปที่ร่างของเยี่ยเม่ย เสียงน่าฟังค่อยๆ กล่าวว่า “ฮูหยินคิดว่า สามีตาบอดหรืออย่างไร”


 


 


เยี่ยเม่ยชะงัก “หืม”


 


 


นี่มันคำพูดอะไรกัน


 


 


จากสายตาของเขา เยี่ยเม่ยก็มองบนร่างของตัวเองบ้าง เห็นผ้าคลุมขนเตียวบนกาย นางพลันมุมปากกระตุก


 


 


ในขณะที่กลัดกลุ้มว่าจะตอบคำพูดนี้อย่างไรดี เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ดึงผ้าคลุมขนเตียวบนร่างนางออก โยนกลับไปที่รถม้าของเป่ยเฉินอี้โดยไร้ความอ่อนโยน


 


 


เป่ยเฉินอี้ยื่นมือออกมารับผ้าคลุมไว้ บุรุษทั้งสองมองหน้ากัน


 


 


ในแววตาปรากฏกระแสเพลิง…


 


 


ถัดมา


 


 


เยี่ยเม่ยเพิ่งรับรู้ว่าผ้าคลุมบนร่างตนเองไม่อยู่แล้ว กลับเป็นผ้าคลุมขนเตียวสีเงินราวขนจิ้งจอกคลุมที่ร่างตน


 


 


นี่คือผ้าคลุมที่อยู่บนร่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


เยี่ยเม่ยหางตากระตุก คนผู้นี้เจ้าคิดเจ้าแค้นกับเรื่องเล็กน้อย ทั้งยังแสดงออกมาบนใบหน้า จำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองเป่ยเฉินอี้ เส้นเสียงน่าฟังของเขา ค่อยๆ ดัง “ทำไมกัน เสด็จอาคิดท้าทายความอดทนของเยี่ยนหรือ”


 


 


น้ำเสียงเป่ยเฉินอี้ยังทุ้มต่ำเหมือนเคย “ท้าทายแล้วจะทำไม”


 


 


เขาตอบกลับมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับยิ้มออก หลังจากรอยยิ้มจางหายไป บรรยากาศโดยรอบหลายลี้เกิดความกดดัน  


 


 


ถึงขั้นเครียดขึงขึ้นมาแล้ว!


 


 


…..


 


 


ไม่ว่าชิงเกอ หรือเสี่ยวกวน ต่างตระหนักได้จับด้ามกระบี่เตรียมอารักขาผู้เป็นนาย


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจ้องเป่ยเฉินอี้ น้ำเสียงของเขายังคงสบายๆ  เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ท้าทายแล้วจะทำไมหรือ ในเมื่อเสด็จอาถามอย่างนี้แล้ว เช่นนั้นเยี่ยนก็ทำได้แต่เอาชีวิตของเสด็จอา ให้ท่านรับผิดชอบการท้าทายของตัวเองซะ! อย่างไรเสียพวกเราอาหลานกัน หากไม่สำเร็จความต้องการจบชีวิตของเสด็จอา จะแสดงให้เห็นว่าเยี่ยนไม่เคารพเสด็จอาไม่ใช่หรือ”


 


 


เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ คนทั้งหมดต่างมุมปากกระตุก


 


 


องค์ชายสี่ช่างถนัดการกลับดำเป็นขาว ถนัดการกลับเรื่องเท็จเป็นเรื่องจริง ขณะจะต่อสู้สังหารคนแล้ว ยังพูดจาว่าเป็นเคารพเป่ยเฉินอี้ไปได้


 


 


อีกทั้ง


 


 


สิ้นเสียงเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เป่ยเฉินอี้กลับหัวเราะเบาๆ เอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้ามีความคิดจะต่อสู้กับเจ้าสักครั้ง แต่ว่าตอนนี้ หลานออกจากเมืองมาอย่างง่ายดาย เคยคิดถึงความปลอดภัยของจิ่วหุนหรือไม่”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา เยี่ยเม่ยแววตาสั่นไหวทันที


 


 


นางหันกลับไปมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน จริงด้วย ก่อนนางออกมาได้ฝากฝังเมืองกับจิ่วหุนไว้กับเขา ไฉนเขาถึงตามออกมาแล้วด้วยเล่า


 


 


เขาออกจากเมืองมาแล้ว จิ่วหุนจะเป็นอย่างไร


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแววตาลุ่มลึก จ้องเป่ยเฉินอี้ ถามว่า “ความหมายของเสด็จอาคือ ท่านเตรียมจัดฉากสังหารจิ่วหุนอีกครั้งหรือ”


 


 


 “ถูกต้อง!” เป่ยเฉินอี้ยอมรับตามตรง จากนั้นกวาดตามองเยี่ยเม่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย กล้าเดิมพันหรือไม่”


 


 


ยามนี้ เยี่ยเม่ยเข้าใจแล้วว่าเขาต้องการถามอะไร


 


 


กล้าเดิมพันหรือไม่


 


 


หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสังหารเป่ยเฉินอี้อยู่ที่นี่ จิ่วหุนจะถูกลอบสังหาร อาศัยเพียงพวกซือหม่าหรุ่ยไม่มีทางรับไหวแน่


 


 


นางย่อมไม่กล้าเดิมพัน


 


 


นางรีบหันกลับไปมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยว่า “อย่าสนใจเขาอีกเลย พวกเรากลับกันเถอะ!”


 


 


เมื่อนางกล่าวจบ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก้มหน้ามองเยี่ยเม่ย เอ่ยว่า “ก่อนเยี่ยนออกจากเมือง ได้สั่งให้องครักษ์เงาคุ้มกันจิ่วหุนแล้ว คนของเสด็จอาจะลอบสังหารเขา หาใช่เรื่องง่าย!”


 


 


เขาเอ่ยไปสายตาก็ตกอยู่ที่ร่างเป่ยเฉินอี้ แววตาฉายความอันตราย


 


 


เป่ยเฉินอี้หัวเราะเบาๆ กวาดตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน จากนั้นมองตรงไปที่ใบหน้าเยี่ยเม่ย “หลานส่งคนไปคุ้มกันจิ่วหุนแล้ว ข้าก็ส่งคนไปสงหารจิ่วหุน นั่นก็พูดได้ว่าความเป็นตายของจิ่วหุนมีโอกาสครึ่งต่อครึ่ง! แม่นางเยี่ยเม่ย สถานการณ์ในเวลานี้ เจ้าน่าจะเข้าใจกระมัง”


 


 


เมื่อเขาอธิบาย แววตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเย็นเยียบลง และก็เข้าใจว่าเป่ยเฉินอี้คิดอาศัยความใส่ใจของเยี่ยเม่ยที่มีต่อจิ่วหุนเพื่อหนีจากที่นี่


 


 


เยี่ยเม่ยก็ไม่โง่ นางรู้ว่าเป่ยเฉินอี้มีแผนอย่างไร ครั้งก่อนตอนเขาประมือกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คู่มือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน วันนี้เขาเอ่ยออกมาก็เพื่อรักษาชีวิต


 


 


แต่ต่อให้รู้ทันความคิดเป่ยเฉินอี้ เยี่ยเม่ยก็ไม่กล้าเสี่ยง


 


 


นางหันมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีกครั้ง “ครั้งนี้แล้วกันไปเถอะ ความปลอดภัยของจิ่วหุนสำคัญกว่า คนของเขาไม่แน่จะสังหารจิ่วหุนได้ คนของท่านก็ไม่แน่ว่าจะปกป้องจิ่วหุนได้ ซือหม่าหรุ่ยก็ดูไม่มีวรยุทธ์อะไรนัก อันตรายเกินไป อีกอย่าง…”


 


 


อีกอย่าง เป่ยเฉินอี้ยังมีการติดต่อกับคนของต้ามั่ว


 


 


ใครจะรู้ว่า เขายังจะวางแผนร่วมมือกับคนต้ามั่วสังหารจิ่วหุนหรือไม่


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็มิใช่โง่งม เยี่ยเม่ยคิดได้ เขาย่อมคิดออกและก็เพราะคิดออก ในใจยิ่งไม่ยินดี นางใส่ใจเจ้าเด็กน้อยยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่นขนาดนี้ เขาย่อมดีใจไม่ออก!


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียงเย็น ปรายตามองเยี่ยเม่ย จากนั้นมองเป่ยเฉินอี้ ค่อยๆ กล่าวว่า “เสด็จอา โอกาสรอดชีวิตไม่ใช่มีทุกครั้ง ท่านจงรักษามันให้ดี!”


 


 


เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วกลับไม่โมโห ยิ้มตอบ “เป็นเช่นนั้นแน่นอน!”


 


 


สิ้นคำพูด เป่ยเฉินอี้คลุมผ้าขนเตียวปิดม่านรถม้าลง สั่งว่า “ไปเถอะ!”


 


 


ชิงเกิอพยักหน้ารับ ควบม้าจากไปทันที


 


 


พวกเสี่ยวกวนก็ตามขึ้นมาอยู่ข้างกายเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


อวี้เหว่ยมองหน้าเสี่ยวกวนด้วยความกลัดกลุ้ม ไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ในเมื่อเสี่ยวกวนตามตัวเยี่ยเม่ยพบแล้ว ทำไมไม่เดินทางกับนาง แต่ยังติดตามอยู่ด้านหลังรถม้าเป่ยเฉินอี้อีก เจ้านี่คิดอะไรกันแน่?!


 


 


ขณะที่อวี้เหว่ย กลัดกลุ้มอยู่…


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองเสี่ยวกวน ชิงเอ่ยปากถาม “ไฉนเจ้าถึงตามอยู่หลังรถม้าเป่ยเฉินอี้”


 


 


 “คือ…” เสี่ยวกวนสีหน้าทุกข์ตรม ก้มหน้ารายงานตามจริง “คือ คือว่า หลังจากที่ข้าน้อยพบตัวแม่นางเยี่ยเม่ยแล้ว นางบอกว่า นางบอกให้ข้าน้อยติดตามอยู่ด้านหลังก็พอ ข้าน้อยไม่กล้าขัดคำสั่งแม่นางเยี่ยเม่ย ด้วยเหตุนี้ ด้วยเหตุนี้…”


 


 


คำพูดต่อมาเขาไม่กล้าเอ่ยแล้ว แต่เขาเชื่อว่าเตี้ยนเซี่ยต้องเข้าใจเขาแน่


 


 


อีกทั้งในใจเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หลังจากตัวเองเอ่ยออกไป แม่นางเยี่ยเม่ยจะไม่พูดว่านางไม่พอใจในตัวเขา ดังนั้นจึงไม่ร่วมเดินทางกับเขา


 


 


อวี้เหว่ยฟังคำตอบของเสี่ยวกวน พลันรู้สึกว่าเจ้านี่ร้ายกาจนัก เขาเอ่ยคำพูดเช่นนี้ ไม่ใช่กำลังก่อเรื่องหรือไง เห็นได้ชัดว่ากำลังยุแยงให้เกิดความน่าสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างแม่นางเยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินเสียเยี่ยน!


 


 


เป็นดังคาด…


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก้มหน้าลง มองเยี่ยเม่ยถามเสียงนุ่มว่า “ดังนั้น ฮูหยินทนแยกจากเป่ยเฉินอี้ไม่ได้เชียวหรือ” 

 

 


ตอนที่ 245 เจ้าเตรียมใช้ชีวิตแบบสามสา...

 

เยี่ยเม่ย “…”


 


 


นี่มันเรื่องอะไรกันเล่า?! ทำไมเขาเชื่อมโยงมาถึงตรงนี้ได้ เขามีจินตนาการมากเกินไป หรือมีแนวคิดไม่เหมือนนาง หรืออะไรกันแน่


 


 


อีกอย่าง สีหน้าอันตรายน่ากลัวของเขานี่หมายความว่าอะไรกันแน่


 


 


เสี่ยวกวนได้ยินเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถามเช่นนี้ ก็อึ้งไป…


 


 


อวี้เหว่ยมองเสี่ยวกวนด้วยความเห็นใจ


 


 


ดีมาก


 


 


หากวันนี้แม่นางเยี่ยเม่ยถูกเตี้ยนเซี่ยจัดการ เสี่ยวกวนถึงจะย่ำแย่อย่างแท้จริง ไม่แน่ว่าอาจจะถูกแม่นางเยี่ยเม่ย ‘จดจำ’ เรื่องที่เขายุยงปลุกปั่นได้ ผลลัพธ์คงไม่ดีแน่


 


 


เห็นเยี่ยเม่ยหน้าตาหมดคำพูดมองเขาไม่เอ่ยอะไร เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยกมุมปาก รอยยิ้มยังคงสง่างามเหมือนเคย ถามเยี่ยเม่ยว่า “ทำไม ฮูหยินไม่ตอบ เพราะว่าร้อนตัวใช่หรือเปล่า”


 


 


 “ข้าร้อนตัวอะไรกัน” คราวนี้เยี่ยเม่ยตอบกลับอย่างรวดเร็ว แต่ว่าเอ่ยคำพูดพวกนี้กับเขา ก็ไม่สะดวกให้พวกอวี้เหว่ยฟัง ดังนั้นนางจึงมองไปรอบๆ ด้าน


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้าใจความกังวลของนาง เบือนหน้ามองพวกอวี้เหว่ยคราหนึ่ง อวี้เหว่ยตระหนักได้ทันที โบกมือครั้งหนึ่งส่งสัญญาณให้พวกเสี่ยวกวนถอยออกไป


 


 


คนทั้งหมดรีบหลบไปอีกฝั่งหนึ่งทันที


 


 


ดังนั้นบนถนนสายนี้จึงเหลือเพียงแค่เยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเท่านั้น


 


 


เยี่ยเม่ยหันกลับไปมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นางเอ่ยปากโต้แย้งด้วยสีหน้าง้ำงอ “ทำไมข้าต้องร้อนตัวด้วย ทำไมข้าถึงไม่อยากแยกจากเขา ท่านอย่าได้คิดเองอย่างเกินเหตุเช่นนี้ ข้าก็แค่คิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกลับเมืองชายแดน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มีรถม้าให้นั่งโดยไม่ต้องเสียเงินทำไมข้าจะไม่นั่งเล่า”


 


 


พูดไปแล้ว นางยิ่งรู้สึกจนปัญญา เหลือบมองเขากล่าวต่อว่า “หรือจะให้ข้าทนความหนาว เดินตากลมกลับไปพร้อมพวกเสี่ยวกวนถึงจะแสดงออกว่าข้ารังเกียจเป่ยเฉินอี้อย่างนั้นหรือ เพราะความรังเกียจเขา ข้าจำเป็นต้องทำร้ายตัวเองด้วยหรือ”


 


 


นางหาใช่มีนิสัยเห็นใครขัดตา ก็ยอมลำบากตัวเองแต่ไม่ยอมอยู่ร่วมชายคากับคนผู้นั้น นางกลับเป็นคนประเภทยิ่งขัดตา ก็ยิ่งอยากเอาเปรียบคนผู้อื่น


 


 


ไม่ใช่หรืออย่างไร ตลอดเส้นทางนางนั่งรถม้าของเป่ยเฉินอี้ ใช้ผ้าคลุมของเขา ปล่อยให้เขาทนหนาว ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็ถือว่าชาญฉลาดกว่าเดินทางท่ามกลางอากาศหนาวเป็นไหนๆ  


 


 


นางเอ่ยเช่นนี้


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองนาง น้ำเสียงไพเราะค่อยๆ ถามว่า “ดังนั้น นี่คือเหตุผลที่เจ้าคลุมผ้าคลุมของเขาอย่างนั้นหรือ”


 


 


น้ำเสียงของเขาอันตรายมาก


 


 


แต่ในฐานะที่เยี่ยเม่ยเป็นหญิงแกร่งตรงไปตรงมา ไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าการคลุมผ้าคลุมขนเตียวมีปัญหาอะไรทั้งนั้น นางเงยหน้ามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน  ตีหน้าบึ้งเอ่ย “อย่างนั้นทำไมกัน เขาเป็นศัตรูของข้า ข้าใช้ผ้าคลุมขนเตียวของเขา ข้าไม่หนาวแต่เขาต้องทนหนาว นี่ไม่เรียกว่าสมบูรณ์แบบหรืออย่างไร”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยน “…”


 


 


เขาจ้องใบหน้าจริงจังของนาง ทั้งยังมองเพลิงโทสะในแววตาคู่สวยของนาง เขาเข้าใจแล้ว นางเข้าใจว่าตัวเองไม่มีปัญหาอะไรจากใจ


 


 


อีกอย่าง…


 


 


นางวิเคราะห์เรื่องนี้ด้วยตรรกะเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์เลยสักนิด นางมีเหตุผลเสียจนน่ากลัว ส่วนเรื่องความรู้สึกก็น้อยจนน่ากลัว


 


 


ในเสี้ยวขณะนี้เอง จู่ๆ เขาก็อยากเคาะหัวนางจริงๆ ดูว่าภายในมีอะไรอยู่บ้าง


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสูดลมหายใจลึก หลับตาลง รับรู้ได้ว่าตนเองเริ่มโมโหแล้ว เขารู้สึกว่าเส้นชีพจรที่ขมับเต้นตุบๆ


 


 


แต่ว่าการโต้เถียงปัญหานี้กับเยี่ยเม่ย สตรีที่ไม่รู้สึกว่าตัวเองสร้างปัญหาอะไรทั้งนั้น…ผลลัพธ์สุดท้ายคงน่าหวาดกลัวไม่น้อย


 


 


แล้วก็เป็นดังคาด ในขณะที่เขาคิด


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องมองเขาอย่างจนปัญญา แสดงความเห็นออกมาประโยคหนึ่ง “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน วันๆ ท่านอย่าได้ทำตัวกลัวว่าจะไม่เกิดเรื่อง ถึงได้คอยมาก่อเรื่องก่อราวอยู่ที่นี่!”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยน “…!”


 


 


ก็ถูก เขารู้ว่านางยังคิดว่าเขาตั้งใจก่อเรื่องก่อกวน


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสูดลมหายใจลึก รู้สึกว่าโทสะสุมอยู่ในอกแทบสะกดไว้ไม่ไหวอีกต่อไป แต่เขายังจะทำอะไรได้อีกเล่า ดันหลงรักสตรีที่มีความคิดเป็นบุรุษเสียยิ่งกว่าเขาอีก


 


 


เห็นท่าทางสะกดข่มความโมโหของเขา เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างใจแคบจริงๆ แต่ว่านางเป็นคนรู้จักขอบเขต ปรายตาเห็นท่าทางโมโหของเขา ต่อให้นางไม่เข้าใจว่าเขาโมโหอะไร แต่นางก็รู้ว่าในเวลานี้ไม่ควรสาดน้ำมันลงในกองเพลิง


 


 


ดังนั้น นางจึงเงียบ


 


 


อีกอย่าง ยังดีที่นางไม่ราดน้ำลงบนกองเพลิงเพิ่มอีก ดังนั้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสูดลมหายใจลึกๆ หลายที ก็ค่อยๆ สะกดความโมโหในใจตนลงได้


 


 


หลังจากผ่านไปสักพัก


 


 


เขาจ้องสตรีเบื้องหน้าตน อดทนจนเส้นชีพจรตรงขมับเต้นตุบตับ เอ่ยปากว่า “เช่นนั้นฮูหยิน ขลุ่ยหยกโลหิตที่เอวเจ้านั่นเป็นเรื่องอะไรกันอีก”


 


 


ยามเอ่ยคำพูดนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้สึกว่าเสียงของเขาถูกเค้นลอดออกมาจากไรฟัน


 


 


อืม ไม่ยินยอมลงจากรถม้า แยกเดินทางกับเป่ยเฉินอี้ เพระว่านางไม่ยอมเดินทางอย่างลำบากลำบน นางคลุมผ้าคลุมขนเตียวของเขา ก็เพราะนางหนาว ทั้งยังคิดให้เป่ยเฉินอี้ทนรับหนาวไปด้วย วิธีการพูดเช่นนี้ เห็นชัดว่านางไม่รู้สึกว่าตนเองทำอะไรผิด


 


 


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาได้แต่…ทน


 


 


แต่ว่า ขลุ่ยหยกโลหิตเล่า


 


 


เขาจะทนได้อย่างไร


 


 


เขาไม่มีทางไหว!


 


 


 “อ้อ…” เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก สีหน้าบึ้งตึง ท่าทางมีเหตุมีผลเมื่อครู่ยามนี้ไม่หลงเหลืออีกแล้ว


 


 


อีกทั้งสายตายังมองซ้ายทีขวาที


 


 


ความจริงตอนเดินทาง นางรู้สึกกังวลไม่ใช่แค่หนเดียว หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นขลุ่ยเลานี้ นางจะบอกอย่างไรดี


 


 


เพราะว่าปัญหานี้ค่อนข้างรุนแรง


 


 


นางรับของหมั้นหมายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถึงตกลงหมั้นหมายกับเขา ดังนั้นสามารถนับการรับของหมั้นเป็นพิธีการอย่างหนึ่ง ทว่าเวลานี้นางยังรับขลุ่ยหยกโลหิต สิ่งของที่คนทั่วหล้าต่างรับรู้ว่าเป็นของหมั้นหมายมาอีก


 


 


เมื่อเห็นนางมองไปรอบๆ ท่าทางเหมือนร้อนตัว โทสะในใจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ่งโหมแรงขึ้น


 


 


แต่ไรมานางมีสีหน้าเย็นชา ยากนักจะมีท่าทางเช่นนี้ ทว่าเพราะเรื่องนี้ ร้อนตัวได้ถึงขั้นนี้ เห็นได้ชัดว่านางรู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้นางผิดจริงๆ


 


 


เขาสูดลมหายใจลึก เพื่อบังคับให้ตนสงบใจอีกครั้ง ไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา นัยน์ตาร้ายกาจจ้องมองดวงตาเยี่ยเม่ย “ฮูหยิน ไม่คิดอธิบายเลยสักนิดหรืออย่างไร หรือว่าเจ้าคิดจะใช้ชีวิตโดยมีสามสามีสี่ชายกัน”


 


 


คำว่าสามสามสีสี่ชาย เขาเอ่ยออกมาได้น่ากลัวนัก ทำเอาเยี่ยเม่ยฟังแล้วยังหนังศีรษะชาวาบ


 


 


แต่ว่านางเหมือนสมองเบลอไปชั่วครู่ อดไม่ไหวแก้ต่างไปว่า “มีสามและสี่ที่ไหนกัน ต่อให้นับรวมกูเยว่อู๋เหินไปด้วย ก็มีแค่สองคนเท่านั้น”


 


 


พูดจบแล้ว มุมปากนางกระตุกเล็กน้อย


 


 


นางโง่ไปแล้วหรือเปล่า


 


 


คำพูดนี้…ไม่ตรงจุดก็ช่างเถอะ ซ้ำยังยอมรับข้อสงสัยที่ว่านางมีใจให้กับกูเยว่อู๋เหินด้วย


 


 


เป็นดังคาด


 


 


เมื่อนางเอ่ยออกมา นัยน์ตาร้ายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสงบนิ่งลง จ้องเยี่ยเม่ย น้ำเสียงน่าฟังกลับเอ่ยออกมาอย่างโยน ถามว่า “มีเพียงเยี่ยนกับเขาสองคน อืม” 

 

 


ตอนที่ 246 เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่ถูกภร...

 

 “ไม่!” เยี่ยเม่ยส่ายหน้ารัวๆ


 


 


ในเวลานี้ นางร้อนรนเพราะสติปัญญาของตัวเองแล้ว กุมขมับเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ความหมายของข้าคือต่อให้นับรวมกูเยว่อู๋เหินเข้าไปแล้ว ก็มีเพียงแค่สองคนเท่านั้น ไม่ไม่ไม่…”


 


 


แม่เจ้าเถอะ!


 


 


ไฉนพูดไปพูดมา ยังเป็นเช่นนี้อีกเล่า


 


 


ในขณะที่บรรยากาศรอบด้านเริ่มตึงเครียด เยี่ยเม่ยตระหนักถึงอะไรบางอย่าง จับจุดสำคัญของปัญหาได้ เอ่ยปากว่า “จริงด้วย! ที่ข้าอยากบอกก็คือ ข้าบอกว่ามีเพียงสองคนก็เพื่อบอกว่าท่านนับเลขผิดพลาด อยากบอกท่านว่าหนึ่งบวกหนึ่งได้สอง ไม่เท่ากับสาม ไม่เท่ากับสี่ ข้าเพียงแค่ต้องการเน้นย้ำปัญหาในการคิดเลข ไม่มีความหมายอื่นจริงๆ ท่านอย่าคิดมากไป!”


 


 


คำพูดของนางนับว่าพูดออกไปชัดเจน ชี้ออกไปอย่างชัดเจนว่า นางเพียงเน้นย้ำว่าเขาคิดเลขผิดเท่านั้น


 


 


ทว่าเมื่อองค์ชายสี่ได้ฟัง ไม่เพียงแต่ไม่ดีใจเลยสักน้อย ซ้ำยังรู้สึกว่าตนในเวลานี้ยิ่งโมโหแล้ว


 


 


ดีมาก เขากำลังพูดเรื่องความรู้สึกกับนาง นางกลับลากเขาไปคุยเรื่องคณิตศาสตร์!


 


 


มีเสี้ยวเวลาหนึ่งที่เขาสงสัยจริงๆว่า คนในอ้อมกอดไม่ใช่สตรี แต่เป็นบุรุษที่แข็งกระด้างเสียยิ่งกว่าเหล็กกล้าเสียอีก


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเงียบไปชั่วครู่ สูดลมหายใจลึก บังคับให้ตนเองสงบลง เขาปลอบใจตัวเอง ต่อให้เป็นคู่หมั้นที่เถรตรงกว่านี้ ก็เป็นคนที่เขาหามาเอง ก็สมควรแล้ว! ห้ามโมโห!


 


 


เขาฝืนตัวเองสงบลงอยู่สักพัก เมื่อครู่เขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้น้ำเสียงของตัวเองฟังแล้วสงบลง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเยี่ยเม่ย ค่อยๆ กล่าวว่า “ดังนั้นเมื่อฮูหยินแยกแยะเรื่องปัญหาในการคิดเลขจบแล้ว พวกเราก็ควรถกปัญหาจริงๆ กันเสียทีแล้วใช่ไหม เพราะอะไรเจ้าถึงรับขลุ่ยหยกโลหิตของกูเยว่อู๋เหิน”


 


 


เยี่ยเม่ยก็สงบใจลง นางรู้อยู่ในใจ ปัญหาการคิดเลขในเวลานี้ ไม่นับว่าเป็นเรื่องสลักสำคัญ


 


 


เมื่อฟังคำถามจากปากเป่ยเฉินเสียเยี่ยน สีหน้านางแข็งทื่อไปหลายวินาที ปรายตามองเขา เอ่ยปากว่า “เรื่องนี้ข้าไม่ได้ตั้งใจเลยจริงๆ เดิมทีข้าไม่รู้ว่าของสิ่งนี้เป็นของหมั้นหมาย ตอนที่ข้ากำลังจะจากมา กูเยว่อู๋เหินมอบมันให้ข้าบอกว่าเป็นที่ระลึก ข้าก็ไม่คิดมาก ดังนั้นจึงรับไว้แล้ว!”


 


 


เมื่อนางเอ่ยออกมา เขาฟังด้วยความสนใจ


 


 


นัยน์ตาร้ายของเขาขรึมลงมองสตรีเบื้องหน้า น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ กล่าวว่า “อย่างนั้นฮูหยินหมายความว่า แรกเริ่มเจ้าไม่รู้ว่าคือของหมั้น หลังจากรับไว้แล้วค่อยรู้ ซ้ำยังเก็บเอาไว้ ผิดแล้วก็ปล่อยเลยตามเลยหรือ”


 


 


 “เอ่อ…” เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก เงยหน้ามองเขา เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ท่านคิดอะไรกัน อะไรคือผิดแล้วก็ปล่อยเลยตามเลย ตอนข้าเดินทางกลับมาค่อยรับรู้ว่าเป็นของหมั้นหมาย แต่พอคิดว่ายามนั้นกูเยว่อู๋เหินบอกว่าเป็นของที่ระลึกเท่านั้น ไม่ได้พูดอย่างอื่นเลยสักนิด หากข้ายึดถือว่าเป็นของหมั้นโดยพลการ เอาของกลับไปคืนผู้อื่น ไม่เท่ากับว่าข้าคิดเองเออเองหรอกหรือ”


 


 


เมื่อเอ่ยจบ เยี่ยเม่ยก็อธิบายต่อ “อีกอย่าง ความตื้นลึกหนาบางของวรยุทธ์กูเยว่อู๋เหินข้าก็ไม่รู้ชัด หากเขาเปลี่ยนจากรักเป็นความแค้น ต่อสู้กับข้า ถึงข้ามั่นใจในตัวเองมากว่าจะไม่เกิดเรื่อง แต่หากเพลี่ยงพล้ำแล้วจะทำอย่างไร”


 


 


นางวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผล


 


 


ทว่ากลับทำให้เส้นเอ็นบนขมับเขาเต้นตุบตับไม่หยุด ดีมาก ตรรกะชัดเจน พูดเป็นเหตุเป็นผล ไม่มีปัญหาด้านความคิดเลยสักน้อย


 


 


ทำให้โทสะที่สุมอยู่เต็มอกเขาไม่รู้จะไประบายที่ไหนดี


 


 


ระหว่างที่เขาอารมณ์คุกรุ่น นางยังเสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง ทำเอาความไม่พอใจทั้งหลายจุกอยู่ที่คอ “อีกอย่างหนึ่ง หากข้าเอาของกลับไปคืน ถูกกูเยว่อู๋เหินทำร้าย นี่คือสิ่งที่ท่านต้องการพบเห็นหรอกหรือ”


 


 


ยามนี้เขาหลับตาลง สูดลมหายใจลึก


 


 


ดีมาก


 


 


ตอนนี้เริ่มเอาความปลอดภัยของนางมาต่อรองกับเขาแล้ว ดังนั้นหากเขายังยืนกรานว่าหลังจากนางรู้ความจริงแล้วสมควรเอาของกลับไปคืนกูเยว่อู๋เหิน นั่นก็เท่ากับเขาไม่เพียงไม่มีเหตุผล ซ้ำยังไม่ใส่ใจความปลอดภัยของนางด้วย


 


 


เป็นแบบนี้ใช่หรือไม่


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเงียบไป ในที่สุดก็เหลือบมองเยี่ยเม่ย ถามว่า “ดังนั้นความหมายของเจ้าคือ เจ้าคิดว่าการกระทำของตนเองไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งนั้นอย่างนั้นหรือ”


 


 


ขณะเอ่ยคำพูดนี้ เขาต้องสะกดเพลิงโทสะกองโตและความอิจฉาไว้


 


 


เขาไม่เข้าใจจริงๆ สตรีที่มีตรรกะเหตุผลเข้มแข็งขนาดไหน ถึงได้เอาเรื่องที่ตอบไม่ได้เช่นนี้ อธิบายได้ว่าไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น


 


 


 “คือ…” เยี่ยเม่ยนิ่งเงียบไปหลายวินาที เอ่ยจากใจตามความสัตย์จริง “หากบอกว่าไม่มีปัญหาเลยสักนิด ก็ออกจะเกินไปหน่อย ความจริงข้ายอมรับว่าตัวเองก็มีปัญหานิดหน่อย นั่นก็คือต่อให้มีเหตุผลเหมาะสมมากแค่ไหน แต่ข้ารับขลุ่ยหยกโลหิตของกูเยว่อู๋เหินไว้ ทั้งไม่คืนกลับไป ก็คือปัญหาของข้าเอง”


 


 


ถูกแล้ว ไม่ว่าเหตุผลจะเหมาะสมมากมายแค่ไหน เรื่องราวจะเกิดอย่างกะทันหันและยังเหนือความคาดหมายขนาดนี้ แต่สุดท้ายเรื่องราวย่อมมีบทสรุป ความจริงที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็คือนางรับของที่ไม่สมควรรับเอาไว้


 


 


ในฐานะหญิงแกร่ง ถึงเยี่ยเม่ยจะมีแนวคิดแบบผู้ชายไปบ้าง แต่เป็นคนก็ต้องมีหลักการ


 


 


นางเงียบไปสักครู่ เอ่ยอย่างกล้าทำกล้ารับว่า “ในเมื่อเรื่องนี้เป็นปัญหาจากข้า ข้ายินยอมรับผลทุกอย่าง”


 


 


นางเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง เขายิ่งโมโห


 


 


อวี้เหว่ยและเสี่ยวกวนที่แอบฟังอยู่นานสองนาน ฟังแล้วก็ปวดใจเหลือเกิน สายตาที่มองเยี่ยเม่ยเต็มไปด้วยความนับถือ สตรีนางนี้…


 


 


นางทำได้อย่างไรกันแน่


 


 


ในเวลาที่เตี้ยนเซี่ยหึงจนแทบจะบินได้แล้ว นางสามารถยืนวิเคราะห์เหตุผลเป็นข้อๆ โดยหน้าไม่เปลี่ยนสีอยู่ที่นี่ ซ้ำสุดท้ายยังไม่มีการแสดงออกว่าเสียเปรียบเลยสักน้อย ยินยอมรับผลที่ตามมาด้วยตัวเอง


 


 


สวรรค์!


 


 


สตรีประเภทนี้…พวกเขารู้สึกจากใจว่า สิ่งที่นางเสียเปรียบก็คือเตี้ยนเซี่ยถูกใจนาง หากนางตกอยู่ในมือของผู้อื่น เกรงว่าบุรุษอื่นวันหนึ่งจะโมโหจนตายไปแปดร้อยรอบแล้ว นางวิเคราะห์เป็นแต่ตรรกะและเหตุผล แต่ไม่วิเคราะห์ความรู้สึกเลยหรือไง


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนิ่งไปสักพัก มองท่าทางไม่ยี่หระต่อความตาย กล้าทำกล้ารับของนาง กลับหัวเราะออกมาเพราะความโมโหถึงขีดสุด เอ่ยว่าดี! ติดต่อกันหลายครั้ง


 


 


เยี่ยเม่ยรู้ดีว่าเขาจวนถูกนางยั่วโมโหจนคลั่งแล้ว


 


 


แต่นางไม่เข้าใจจริงๆ เรื่องที่ควรอธิบายก็อธิบายไปหมดแล้ว ทั้งนางยังยินยอมแบกความรับผิดชอบ ทำไมเขายังโมโหอีกเล่า


 


 


บุรุษช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนนักเชียว เยี่ยเม่ยแอบคิดอยู่เงียบๆ


 


 


เมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยคำว่าดีออกไปสามครั้งก็มองเยี่ยเม่ย น้ำเสียงน่าฟังถามว่า “ความหมายของฮูหยินคือ ไม่ว่าผลลัพธ์ใดๆ เจ้าก็ล้วนยินยอมรับใช่หรือไม่”


 


 


 “อืม!” เยี่ยเม่ยตอบรับตามตรง


 


 


 “อย่างนั้นก็ดี” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่พูดมาก ควบม้าทะยานมุ่งกลับชายแดน


 


 


ม้าทะยานออกไปด้วยความว่องไว ในจังหวะนั้นเยี่ยเม่ยไม่ทันนั่งให้มั่น เคราะห์ดีที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา สองแขนยาวของเขาโอบนางไว้สองด้าน นางถึงไม่ร่วงตกลงไป


 


 


นางหันกลับไปมองเขาอย่างกลัดกลุ้ม ถามว่า “ท่านจะคิดบัญชีกับข้าอย่างไร” 

 

 


ตอนที่ 247 นางหมั้นหมายแล้ว ยังรับขลุ...

 

ดูท่าทางแบบนี้คงเตรียมกลับไปคิดบัญชีนางแล้วแน่


 


 


จะว่าไปตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกดื่นค่อนคืน อยู่ข้างนอกไม่อาจคิดบัญชีได้สะดวก แต่ว่าหลังจากกลับไปแล้ว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะทำอย่างไรนะ


 


 


เยี่ยเม่ยเริ่มใคร่ครวญอยู่ในใจ


 


 


เมื่อนางถามเช่นนี้


 


 


น้ำเสียงน่าฟังแฝงไปด้วยโทสะของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดังแทรกผ่านสายลมราตรี “ในเมื่อฮูหยินรู้ว่าจะกลับไปคิดบัญชี รู้ทั้งรู้อยู่แล้วไฉนต้องถามด้วย”


 


 


อืม


 


 


ก็ได้ เขาเตรียมกับไปคิดบัญชีกับนางแล้วจริงๆ


 


 


ไม่รู้เพราะอะไร เยี่ยเม่ยตัวสั่นอย่างไม่มีเหตุผล นางกระชับผ้าคลุมบนร่าง ผ้าคลุมขนเตียวของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแตกต่างกับผ้าคลุมขนเตียวของเป่ยเฉินอี้โดยสิ้นเชิง


 


 


บนผ้าคลุมขนเตียวของเป่ยเฉินอี้มีกลิ่นอำพันทะเล หลังจากคลุมแล้ว กลิ่นหอมนั้นทำให้คนหลับได้ง่าย รวมถึงคลายจากความตื่นตัว แต่ก็เพราะสรรพคุณเช่นนี้ ดังนั้นตอนนี้ที่เยี่ยเม่ยคลุมผ้าคลุมไว้ยิ่งไม่กล้าผ่อนคลายเลย


 


 


ทุกวินาทีที่ใช้ผ้าคลุมขนเตียวรู้สึกเหมือนขอหนังกับเสือ ทำให้คนไม่สงบใจ


 


 


ทว่าผ้าคลุมขนเตียวของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต่างกันโดยสิ้นเชิง


 


 


ผ้าคลุมไม่มีกลิ่นอะไรทั้งนั้น ตอนอยู่บนร่างนางกลับมีไออุ่นจากร่างเขา คลุมแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นรวมถึงปลอดภัย ทำให้คนที่ถูกคลุมไว้ด้านในรู้สงบใจอย่างแท้จริง


 


 


นางคิดไปหลากหลายเรื่อง ภายใต้อารมณ์สงบใจเช่นนี้ พิงกายไปด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว ขยับเข้าใกล้อ้อมอกเขาอีกนิด


 


 


การกระทำเล็กๆ ของนางทำให้เขาตัวแข็งทื่อในทันที


 


 


ในขณะเดียวกันก็ทำให้อารมณ์ไม่ยินดีที่มีอยู่ในยามนี้ ค่อยๆ คลายลงไปหลายส่วน ยังดีที่ถึงสตรีนางนี้จะ ‘มีเหตุผล’ เสียจนเขาโมโห แต่ท้ายที่สุดแล้วใจนางก็ยังใกล้ชิดเขา


 


 


แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ โทสะในใจเขาก็ยังไร้หนทางสงบลง


 


 


อวี้เหว่ยและเสี่ยวกวนมองพวกเขาขี่ม้าจากไปก็รีบติดตาม อวี้เหว่ยไม่พูดพร่ำก็ทะยานขึ้นม้า ห้อตะบึงตามไป


 


 


เสี่ยวกวนพาคนใต้บัญชาทั้งหมดวิ่งตามหลังไปอย่างหมดคำพูด…


 


 


เขาเหนื่อยใจเหลือเกิน ในฐานะองครักษ์ลับ การเคลื่อนไหวของพวกเขาย่อมเป็นไปอย่างลึกลับ การขี่ม้าจะเปิดเผยตัวตนได้ในวินาทีแรก ดังนั้นไม่ว่าออกไปทำภารกิจใด พวกเขาล้วนใช้วิชาตัวเบา นั่นก็ทำให้พวกเขามีวิชาตัวเบาที่ดีมาก


 


 


แต่ต่อให้ดีแค่ไหน…


 


 


ก็ไม่สามารถคุ้มครององค์ชายสี่ที่พาพระชายาขี่ม้าไปได้


 


 


เมื่อเห็นอวี้เหว่ยขี่ม้าจากไปลำพัง


 


 


พวกเขารั้งท้ายต่อสู้กับความคิดโลดแล่นในจิตใจ


 


 


เขารู้สึกเหนื่อยจริงๆ


 


 


อวี้เหว่ยไสม้าห่างไปได้ไม่กี่ร้อยเมตร หันกลับมามองเสี่ยวกวนด้วยความยินดีในโชคร้ายของผู้อื่น เขาโบกมือให้เสี่ยวกวน…


 


 


จากนั้นหันหน้ากลับไปควบขี่ม้าต่อ


 


 


อวี้เหว่ยเห็นบรรยากาศขององค์ชายสี่และแม่นางเยี่ยเม่ยก่อนหน้านี้ไม่ปกติเอาเสียเลย โทสะของเตี้ยนเซี่ยยังไม่หาย ไม่แน่ว่าหลังจากกลับถึงชายแดนแล้ว พวกเขาอาจจะทำเรื่องที่ชวนให้เขินอายก็ได้…


 


 


อวี้เหว่ยกุมหน้ากุมตา หัวใจเต้มโครมคราม รู้สึกเฝ้ารอได้พบเตี้ยนเซี่ยตัวน้อยๆ ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว


 


 


จากนั้นเพราะเขากุมหน้า จึงไม่จับเชือกไว้ให้ดี


 


 


 “เฮ้ย!”


 


 


 “ตุบ!” คนร่วงลงมาจากหลังม้า…


 


 


……


 


 


ชายแดน


 


 


ภายในห้องซือหม่าหรุ่ย ซือหม่าหรุ่ยหยิบยาลูกกลอนที่เพิ่งปรุงเสร็จเตรียมป้อนให้จิ่วหุน จงรั่วปิงฉุกคิดได้ห้ามเอาไว้


 


 


 “นี่ เจ้าอย่าลืมว่าครั้งก่อน…”


 


 


ครั้งก่อนตอนที่ซือหม่าหรุ่ยเข้าใกล้จิ่วหุน เกือบถูกเขาที่ไม่ได้สติแทงเอาแล้ว


 


 


ซือหม่าหรุ่ยหันมองนางทีหนึ่ง บอกให้นางวางใจ “ไม่เป็นไร ยามนั้นเขายังมีแรงต่อสู้ และยังเหลือเศษเสี้ยวจิตสำนึกอยู่บ้าง ยามนี้เขาอาศัยตัวยาในการยื้อชีวิต ไม่มีสติ พละกำลังก็ไม่มี ทำอะไรข้าไม่ได้!”


 


 


คราวนี้ จงรั่วปิงค่อยวางใจ


 


 


ก็จริง คนก็เหลือลมหายใจรวยรินแล้ว ยังจะเหลือสัญชาตญาณนักฆ่าจากไหนกัน


 


 


เป็นอย่างที่คาดไว้ หลังจากซือหม่าหรุ่ยเดินเข้าไป ก็ไม่ถูกขัดขวางใดๆ นางเอายาป้อนใส่ปากจิ่วหุน เขาก็ไม่ได้ลงมือกับนางอย่างที่คิดไว้


 


 


นี่ยิ่งเป็นการพิสูจน์ว่าเขาใช้พละกำลังไปจนหมดสิ้น ซือหม่าหรุ่ยก็กังวลเล็กน้อย เมื่อร่างกายดำเนินมาถึงขั้นนี้จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าเขายังมีเรี่ยวแรงกลืนยาลงไปหรือไม่


 


 


เห็นสีหน้าตื่นเต้นของซือหม่าหรุ่ย จงรั่วปิงก็เริ่มตื่นเต้นตามมาอย่างอดไม่ได้


 


 


คนทั้งสองจ้องมองจิ่วหุน ตั้งใจสังเกตความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าเขา


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเองยื่นมือออกไป เชยคางของจิ่วหุนขึ้น รอปฏิกิริยาตอบรับของเขาอย่างสงบ เวลานี้กลัวแต่เขาจะไม่กลืนยาลงไป


 


 


ยังดีที่หลังจากรอไปสักครู่ ลำคอของเขาเกิดการขยับ กลืนเม็ดยาลงไป


 


 


ยามนี้ซือหม่าหรุ่ยวางใจแล้ว จงรั่วปิงมองนางคราหนึ่ง ถามว่า “น่าจะไม่เป็นไรแล้วใช่หรือไม่”


 


 


 “อืม!” ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า “กลืนยาได้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว! เพียงแต่ไม่รู้ว่าเยี่ยเม่ยเป็นอย่างไรบ้าง ซินเยว่เยี่ยนก็ยังไม่กลับมา ตอนนี้…”


 


 


ในขณะที่กำลังเอ่ยอยู่นั้น ด้านนอกประตูก็มีเสียงของ ซินเยว่เยี่ยนดังขึ้น “ข้ากลับมาแล้ว!”


 


 


……


 


 


 “นายท่าน!” เฉิงฉู่ยืนอยู่เบื้องหน้ากูเยว่อู๋เหิน เขากล้ำกลืนความเจ็บปวดที่บั้นท้าย พูดไปแล้วเขาถูกโบยยังไม่ทันหายก็ต้องทำงานเสียแล้ว


 


 


กูเยว่อู๋เหินเงยหน้า วางพู่กันที่กำลังวาดภาพลง


 


 


เขาหยิบผ้าขาวเช็ดมือ สายตานิ่งสงบกวาดมองที่เฉิงฉู่ ถามเสียงเรียบว่า “สืบได้แล้วหรือ”


 


 


 “ขอรับ!” เฉิงฉู่ตอบนับ จากนั้นรีบรายงานว่า “เยี่ยเม่ยผู้นั้น มีที่มาไม่ชัดเจน…”


 


 


ประโยคแรกที่เขาเอ่ยออกมา เรียกสายตาเรียบเฉยของกูเยว่อู๋เหินให้กวาดมองเขาอีกครั้ง ถามว่า “ที่มาไม่ชัดเจนหรือ”


 


 


 “ถูกต้อง!” เฉิงฉู่พยักหน้า ในเวลาเดียวกันเหงื่อเย็นเยียบผุดพรายเต็มแผ่นหลัง “มีที่มาไม่ชัดเจนจริงๆ คล้ายกับว่าโผล่ออกมาจากอากาศก็ไม่ปาน”


 


 


กูเยว่อู๋เหินเงียบใช้ความคิดไปชั่วขณะ จากนั้นเอ่ยเสียงเรียบว่า “พูดต่อ!”


 


 


เฉิงฉู่ระบายลมหายใจออกมาทันที สืบความเป็นมาของเยี่ยเม่ยไม่ได้ เขากลัวว่าจะถูกนายท่านจัดการเสียแล้ว ดูท่าแล้วนายท่านไม่คิดจัดการเขา เขาย่อมต้องเบาใจ


 


 


เฉิงฉู่เล่าต่อ “นางปรากฏตัวที่ชายแดน ช่วยเหลือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนป้องกันเมือง นี่น่าสนใจก็คือ เพราะว่าการปรากฏตัวของนางทำให้เซียวชินจั่วอี้อ๋องแห่งต้ามั่วประสบความพ่ายแพ้ครั้งแรกในชีวิต ไม่เพียงแค่นั้น นางยังทำลายตำนานไม่เคยพ่ายแพ้ของจิวมั่วเหอ ทำให้หลังจากเซียวซินทิ้งอำนาจทางการทหารไป ก็ทิ้งจดหมายลาไว้ จากไปโดยไร้ร่องรอย ความสามารถของสตรีนางนี้ เหนือกว่าคนทั่วไปมากจริงๆ!”


 


 


 “อืม” กูเยว่อู๋เหินรับคำเสียงเรียบ เหมือนบอกให้เฉิงฉู่เล่าต่อ


 


 


ในเวลาเดียวกัน เรียวนิ้วยาวประดุจหยกสลัก หยิบการินน้ำชาใส่ถ้วย


 


 


แต่ในเวลานี้เฉิงฉู่เริ่มตื่นเต้น เงยหน้ามองอย่างระแวดระวัง เห็นสีหน้านายท่านของตนก็เอ่ยปากเล่าต่อ “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือระหว่างแม่นางเยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคล้ายจะมีการพึ่งพากันอย่างไม่ธรรมดา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ปิดบังความชอบที่มีต่อเยี่ยเม่ยเลยแม้แต่น้อย อืม…ยังมีคำเล่าลือว่า คนทั้งสองหมั้นหมายกันแล้วด้วย!”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เฉิงฉู่รู้สึกว่าเหงื่อเย็นเยียบที่แผ่นหลังแทบจะไหลลงมาแล้ว


 


 


จากนั้นเป็นอย่างที่เขาคิดไว้ เมื่อกูเยว่อู๋เหินฟังประโยคนี้ มือที่รินชาอยู่พลันชะงักไปหลายวินาที เขาวางกาน้ำชาลง มองเฉิงฉู่ ถามเสียงเรียบว่า “เจ้าบอกว่านางหมั้นหมายแล้ว แต่กลับรับขลุ่ยหยกโลหิตของข้าไว้” 

 

 


ตอนที่ 248 ปั่นหัวกูเยว่อย่างนั้นหรือ

 

“ถูกต้อง! ไม่ผิด!” เฉิงฉู่รีบพยักหน้าแสดงออกว่าเห็นด้วย เมื่อเอ่ยจบแล้วเขายังสงสัยว่าตัวเองโง่งมไปแล้วหรือเปล่า ตอบว่าถูกต้องไม่พอ ยังเติมคำว่าไม่ผิดอีก จะถูกสงสัยว่าเยาะเย้ยที่เห็นคนอื่นมีความทุกข์หรือไม่


 


 


คราวนี้เขารีบทำทีโมโหเรียกร้องความเป็นธรรม เพื่อรักษาความเบาปัญญาของตนที่แสดงออกไปอย่างผิดพลาด “เยี่ยเม่ยผู้นี้ช่างทำเกินไปนัก นางคิดจะปั่นหัวท่านหรืออย่างไรกัน”


 


 


 “หึ…” กูเยว่อู๋เหินแค่นหัวเราะเสียงเย็น เอ่ยเสียงเรียบว่า “ปั่นหัวกูเยว่อย่างนั้นหรือ”


 


 


เมื่อเอ่ยคำนี้ออกมา นัยน์ตาของเขายังคงเรียบเฉย ทว่าเขาลุกขึ้นมาแล้ว ยามดอกบัวดำบนชุดสยายลู่ตามลม ยิ่งขับเน้นความหล่อเหลาสง่างามของเขา กูเยว่อู๋เหินก้าวเท้าเดินออกจากห้อง


 


 


เฉิงฉู่เห็นท่าทางของเจ้านายก็ตกตะลึง อดถามไม่ได้ว่า “นายท่าน ท่านเตรียมจะ…”


 


 


 “นางอยู่ที่ใด” น้ำเสียงราบเรียบเช่นเคยถามขึ้น รองเท้าสีขาวปลอดของเขาก้าวออกจากห้องไปแล้ว


 


 


เฉิงฉู่รีบตอบกลับไป “นายท่าน นางไปชายแดนแล้ว คิดว่าจะทำสงครามกับต้ามั่วอีก แล้วก็…ครั้งนี้นางขอสมุนไพรไปเพื่อรักษาจิ่วหุน ยังมีเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ จิ่วหุนผู้นั้นปกป้องนางเป็นพิเศษ ตามที่ได้ฟังมาเพราะความหึงหวง เขาประลองกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนบนกำแพงเมืองตั้งหลายกระบวนท่า…….”


 


 


เฉิงฉู่เอ่ยออกมา มุมปากก็กระตุก


 


 


เรื่องหึงหวงตามปกติแล้วเป็นเรื่องที่สตรีชอบทำมิใช่หรือ ไฉนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับจิ่วหุน บุรุษสองคนนี้ก็ยังเป็นไปด้วย


 


 


พวกเขาสองคน…แค่ก


 


 


สมองยังใช้การได้อยู่หรือไม่


 


 


กูเยว่อู๋เหินฟังแล้ว สีหน้าอารมณ์ยังไม่แปรเปลี่ยน เอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้ารู้แล้ว ไปเตรียมม้า”


 


 


 “นายท่าน ท่านจะไปชายแดนหรือ” เฉิงฉู่มองแผ่นหลังของเจ้านายอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง


 


 


หลายปีมานี้นายท่านออกไปข้างนอกน้อยครั้งมาก


 


 


สายตากูเยว่อู๋เหินกวาดมองเขาเรียบๆ ไม่พูดไม่จา ทว่าแววตาคล้ายกำลังมองตัวโง่งม เฉิงฉู่มุมปากกระตุก พลันรับรู้ถึงความเขลาของตน รีบหมุนตัวไปเตรียมม้า


 


 


ในใจกลับอัดแน่นไปด้วยความไม่อยากเชื่อ


 


 


มารดามันเถอะ…


 


 


นายท่านถึงกับยอมออกจากหมู่ตึกเพื่อเยี่ยเม่ย อีกทั้งยังเดินทางไกลไปถึงชายแดน….จากนิสัยเฉยชาของนายท่านแล้ว เฉิงฉู่ไม่อยากเชื่อจริงๆ


 


 


แต่เมื่อเขาคิดถึงเยี่ยเม่ย


 


 


คนที่สามารถทำให้คนอย่างซ่งอวี้เชวียหัวหมุน ถูกหลอกครั้งหนึ่ง ทั้งยังเอาชนะเซียวชินและจิวมั่วเหอได้ ซ้ำเขาเฝ้าอยู่หน้าประตูนานขนาดนั้น ยังไม่อาจเฝ้าคนไว้ได้ ปล่อยให้นางขโมยของได้สำเร็จภายใต้การจับตาดูของตน


 


 


เมื่อเอ่ยเช่นนี้…


 


 


เขารู้สึกว่าหากนายท่านต้องการสตรีนางนี้ ต่อให้ต้องสิ้นเปลืองความคิดมากมายก็นับว่าคุ้มค่า


 


 


……


 


 


บนรถม้าเป่ยเฉินอี้


 


 


เสียงไอแห้งเบาๆ ดังขึ้นอยู่เป็นระยะไม่ขาดสาย ชิงเกอรีบเปิดผ้าม่านเข้าไปรับใช้ เขารู้ดีแก่ใจว่า เดิมทีร่างกายของนายท่านก็อ่อนแอมากเพราะพิษอยู่แล้ว สองสามวันมานี้ยกผ้าคลุมให้เยี่ยเม่ย ใช้กำลังภายในคุ้มครองร่างกายของตัวเอง ร่างกายนี้ก็รับไม่ไหว


 


 


หลังจากเข้าไป ชิงเกอเอ่ยปากถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านจะให้หยุดรถเพื่อหาหมอมาตรวจดูดีหรือไม่”


 


 


การเดินทางครั้งนี้เซียวชินมิได้มาด้วย ดังนั้นชิงเกอค่อนข้างกังวลใจ


 


 


เป่ยเฉินอี้ไอโขลกอย่างแรงหลายคำ ห่อตัวอยู่ในผ้าคลุมขนเตียว โบกมือให้กับชิงเกอ น้ำเสียงนิ่งเฉยในเวลานี้ฟังแล้วแฝงไปด้วยความเหนื่อยอ่อน “ไม่ต้อง ร่างกายของข้า ข้ารู้ดีที่สุด”


 


 


ชิงเกอขมวดคิ้ว อดไม่ไหวเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง เยี่ยเม่ยผู้นั้นหาใช่จงเจิ้งซี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไฉนท่านต้องทนหนาว เอาผ้าคลุมให้นางด้วยเล่า”


 


 


เมื่อเขาถาม เป่ยเฉินอี้กลับคลี่ยิ้มออก เอ่ยเสียงขรึมว่า “ต่อให้ไม่ใช่ แต่ใบหน้าที่เหมือนอาซีไม่มีผิดของนาง เมื่อข้าเห็นแล้วจะอดทนมองนางรับความลำบากได้อย่างไร ชิงเกอ เจ้าก็เข้าใจว่าข้าผิดต่ออาซี”


 


 


แน่นอนว่าชิงเกอเข้าใจ ทว่าเขายังตาแดงเรื่อขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “ท่านอ๋อง คนเราควรมองไปข้างหน้า”


 


 


เป่ยเฉินอี้ฟังแล้ว ก็หัวเราะออกมา กระชับผ้าคลุมแน่นขึ้น หลับตาลง เอ่ยเสียงนิ่งว่า “มองไปข้างหน้าหรือ นับตั้งแต่วินาทีที่อาซีตาย ชีวิตของข้าก็ติดชะงัก ไม่มีข้างหน้าข้างหลังอีกต่อไป”


 


 


ชิงเกอยามนี้เงียบลง ยิ่งรู้สึกรับไม่ได้อยู่ภายในใจ


 


 


เขาเติบโตมาพร้อมกับท่านอ๋อง ย่อมรู้ว่าหลายปีที่ผ่านมา ทุกเส้นทางที่ท่านอ๋องเดิน ทุกการเลือกล้วนเต็มไปด้วยความหนักแน่น แต่น่าเสียใจที่ชะตาชีวิตกลั่นแกล้งคน ในเสี้ยวเวลาที่เข้าใกล้ความใฝ่ฝันมากที่สุด กลับพบว่าตัวเองหลงรักจงเจิ้งซีเสียได้


 


 


ท่านอ๋องพ่ายแพ้ทุกสิ่งทุกอย่าง หลังจากการตายของจงเจิ้งซี ตั้งแต่นั้นหัวใจของท่านอ๋องก็ตายไปด้วย


 


 


 “ท่านอ๋อง…” ชิงเกอปวดเจ็บเหลือเกิน แต่เขากลับไม่รู้ว่าตัวเองยังพูดอะไรออกไปเพื่อปลอบใจเจ้านายได้บ้าง


 


 


เป่ยเฉินอี้หลับตาลงสักพัก จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “ชิงเกอ นางตายแล้วจริงๆ ใช่ไหม ตายแล้วใช่หรือไม่”


 


 


เขาถามชิงเกอซ้ำๆ คล้ายกับกำลังถามตัวเอง หรือถามสวรรค์ว่า


 


 


นางตายแล้วจริงหรือ


 


 


ยามที่ชิงเกอหันไปมองผู้เป็นนาย เห็นเป่ยเฉินอี้ในยามนี้ลืมตาขึ้นมา ดวงตาสุดหยั่งคาดคู่นั้นมีสีแดงเป็นปื้น เส้นเลือดฝอยสีแดง คล้ายกับร้องไห้ออกมาในยามนี้


 


 


คนที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เห็นใต้หล้าอยู่ในสายตา เห็นคนทั่วหล้าเป็นหมากในมือ แสดงโฉมหน้าด้านนี้ออกมา ยิ่งทำให้คนเจ็บปวด


 


 


ชิงเกอทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่สุดท้ายก็ยังก้มหน้า รู้สึกว่าศีรษะตัวเองหนักเป็นพันชั่ง พยักหน้าเงียบๆ “ใช่ เตี้ยนเซี่ย! นางตายแล้วจริงๆ! เยี่ยเม่ย นางไม่ใช่จงเจิ้งซี”


 


 


เป่ยเฉินอี้จ้องชิงเกอ ถามว่า “เจ้าคิดว่านางกับอาซีไม่เหมือนกันสักนิดใช่ไหม”


 


 


 “ขอรับ! ไม่เหมือนเลยสักนิด!” ชิงเกอพยักหน้า กระบอกตาของเขาเองก็แดงเรื่อแล้ว เขารู้ว่าสำหรับท่านอ๋อง นี่คือคำตอบที่โหดร้ายมาก แต่ว่าเขาไม่อาจเอ่ยคำลวงท่านอ๋อง ทำให้ท่านอ๋องกอดความหวังที่เป็นไปไม่ได้


 


 


เช่นนั้นก็จะ…


 


 


ยิ่งทำร้ายมากไปใหญ่


 


 


เป่ยเฉินอี้ผงะ ในที่สุดก็หลับตาลง “ข้าเข้าใจแล้ว!”


 


 


ถูกต้อง เข้าใจแล้ว


 


 


เพราะว่าใบหน้าที่เหมือนกับจงเจิ้งซีของเยี่ยเม่ย เขาทำแผนการของตัวเองยุ่งเหยิงไปตั้งมาก ในเมื่อนางไม่ใช่อาซี อย่างนั้นเขาสมควรทำให้ทุกอย่างกลับสู่หนทางเดิม


 


 


เพียงแต่


 


 


เสี้ยวเวลาเพียงชั่วไฟลุก ในสมองเขามีภาพเยี่ยเม่ยล้มลงกับพื้น บอกว่าตัวเองมีประจำเดือนวาบขึ้นมา


 


 


แววตาเขาลุ่มลึกลงหันกลับไปมองชิงเกอ เอ่ย “สั่งให้คนจับตาดูการเคลื่อนไหวของเยี่ยเม่ยไว้ หากนางออกจากเมืองเพียงลำพัง รีบมารายงานข้าทันที!”


 


 


 “ขอรับ!” ชิงเกอรับคำ ทว่าไม่เข้าใจว่า ทำไมท่านอ๋องถึงสั่งการเช่นนี้


 


 


ในเมื่อไม่เข้าใจ อย่างนั้นก็ไม่ถามแล้ว


 


 


หลังจากรับคำสั่ง เขาก็มองเป่ยเฉินอี้ถามว่า “ท่านอ๋อง เช่นนั้น…การเตรียมตัวก่อนหน้าของพวกเรายังจะพักไว้ก่อน ท่านมีแผนการอื่นหรือจะดำเนินตามแผนเดิม”


 


 


เมื่อเขาถาม เป่ยเฉินอี้ก็มองเขาเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่า ก่อนหน้านี้เจ้าไม่สนับสนุนแผนการของข้าไม่ใช่หรือ”


 


 


 “ใช่!” ชิงเกอพยัหน้า “ข้าน้อยไม่เห็นด้วยที่ท่านจะทำลายใต้หล้านี้ ทำลายตัวเอง แต่เทียบกับการตามหาเงาของจงเจิ้งซีจากเยี่ยเม่ยอย่างอ่อนแอแล้ว เห็นท่านเจ็บปวด ไม่สู้ให้ท่าน…”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม