ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ 241-272

 ตอนที่ 241 สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก


 


 


คนที่ถามหลินจยาอวี่สวมเสื้อโค้ทสีม่วงทั้งตัว เป็นคุณนายวัยกลางคนที่ดูแลตัวเองมาเป็นอย่างดี สายตาของเธอดุจดั่งรังสีเอกซเรย์จ้องมาที่หลินจยาอวี่ ถึงจะดูไม่เหมือนคุกคาม แต่ก็ชวนให้อดรู้สึกอึดอัดไม่ได้


 


 


อวี๋กานกานค่อนข้างสับสน


 


 


หลินจยาอวี่ไม่เข้าใจสถานการณ์


 


 


คุณนายแสนสวยอ่านรายงานผลการตรวจอีกครั้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าหลินจยาอวี่ตั้งครรภ์ เธอตื่นเต้นจนพูดไม่หยุด “ท้องแล้วทำไมไม่บอกล่ะจ้ะ เจ้าลูกชายคนนี้เนี่ยทำไมถึงปล่อยให้หนูพักอาศัยอยู่ที่นี่คนเดียว กับที่บ้านก็ไม่บอกสักคำ หนูพักอยู่ที่นี่มีคนคอยดูแลหรือเปล่า ป้าจะโทรให้พ่อบ้านมาดูแลหนู ไม่สิไม่ได้ ป้าว่ามาอยู่บ้านป้าเลยดีกว่า พวกหนูอายุยังน้อยไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้หรอก” พูดพลางเดินเข้าไปคว้ามือของหลินจยาอวี่


 


 


หลินจยาอวี่ตกใจก้าวถอยหลังทันที


 


 


ในที่สุดคุณนายก็ตระหนักได้ว่าการกระทำของตนเองค่อนข้างบุ่มบ่ามและฉุกละหุกไปหน่อย กล่าวอย่างละอายใจเล็กน้อย “ดูสิป้าลืมแนะนำตัวไปซะสนิท สวัสดีจ้ะ ป้าคือแม่ของลู่เสวี่ยเฉิน”


 


 


หลินจยาอวี่และอวี๋กานกานต่างตกใจ พวกเขาคิดไม่ถึงว่าคุณนายตรงหน้าจะเป็นแม่ของลู่เสวี่ยเฉิน ทำไมแม่ของหมอนั่นถึงมาอยู่ที่นี่ได้ หรือเป็นเพราะเหตุการณ์นัดบอดเมื่อวานที่ลู่เสวี่ยเฉินให้หลินจยาอวี่แกล้งทำเป็นแฟน หลุดไปถึงหูแม่ของเขาทำให้บังเกิดความอยากรู้ว่า “แฟน” ของลูกชายตนหน้าตาเป็นอย่างไร


 


 


ผลลัพธ์กลับพบว่า “แฟน” ของลูกชายกำลังตั้งครรภ์!


 


 


เห็นได้ชัดว่าแม่ของลู่เสวี่ยเฉินนึกว่าเด็กในท้องเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของลูกชายตน


 


 


อิหลักอิเหลื่อซะแล้วสิ!


 


 


ทั้งอวี๋กานกานและหลินจยาอวี่ต่างก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับแม่ของลู่เสวี่ยเฉินอย่างไรดี


 


 


แม่ของลู่เสวี่ยเฉินสาธยายคัมภีร์เลี้ยงบุตรด้วยใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อิ่มเอมไปด้วยความสุข ไม่เปิดโอกาสให้พวกอวี๋กานกานพูดแทรกแม้แต่น้อย


 


 


อวี๋กานกานแอบส่งข้อความหาลู่เสวี่ยเฉิน


 


 


หลังจากที่ลู่เสวี่ยเฉินหายช็อกจากข้อความแล้ว เขาใช้ความเร็วสูงสุดเดินทางไปหาพวกอวี๋กานกาน ในตอนที่มาถึงแม่ของเขากำลังกุมมือของหลินจยาอวี่พร้อมกับเตือนอย่างเอาใจใส่ว่าอายุครรภ์หนึ่งเดือนควรระวังเรื่องอะไรบ้าง


 


 


หลินจยาอวี่ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปให้อวี๋กานกานเป็นเนืองๆ


 


 


อวี๋กานกานเองก็จนปัญญา ทำได้เพียงยืนยิ้มเจื่อนอยู่ข้างๆ


 


 


เมื่อรู้ว่าอวี๋กานกานเป็นหมอ แม่ของลู่เสวี่ยเฉินกุมมือของอวี๋กานกาน ฝากฝังอย่างจริงจัง “มีเพื่อนเป็นหมอสักคนก็ดี วันหน้าทั้งจยาอวี่และเด็กในท้องต้องรบกวนหนูช่วยดูแลอีกแรง”


 


 


เมื่อลู่เสวี่ยเฉินปรากฏตัว ทั้งเขาและแม่ต่างพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ ลู่เสวี่ยเฉินเองก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตลอดทางเขารู้สึกเหมือนถูกจับมัดไว้อยู่บนเตาไฟ อยากหารอยแยกแทรกแผ่นดินหนีเสียจริง ที่สำคัญคือเขาคิดไม่ถึงว่าแม่ของเขาจะมาตามหาหลินจยาอวี่ถึงที่บ้าน ถึงขั้นคิดว่าเด็กในท้องหลินจยาอวี่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา


 


 


น่าขายหน้าเกินไปแล้ว! โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าผู้หญิงที่ชื่อหลินจยาอวี่ ลู่เสวี่ยเฉินหมายจะลากแม่ของเขากลับ แต่แม่เขาไม่ยินยอม


 


 


ผู้เป็นแม่สะบัดมือของลูกชายอย่างแรง กล่าวสั่งสอน “แกนี่มันยังไง เรื่องจยาอวี่ท้องทำไมไม่รีบบอก”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินจะหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก “แม่ เรื่องส่วนตัวผม แม่ไม่ต้องมาเป็นกังวล ผมจัดการเองได้”


 


 


ใจจริงลู่เสวี่ยเฉินอยากบอกเด็กในท้องไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขเขา เขาและหลินจยาอวี่ไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่เขาก็กลัวว่าแม่ของตัวเองจะจับคู่นัดบอดให้เขากับเหวินซินเม่ยอีก


 


 


“จัดการบ้าจัดการบออะไรของแกหะ ถ้าแกจัดการได้ก็คงไม่ให้จยาอวี่แบกท้องพักอยู่ที่นี่หรอก” แม่ของลู่เสวี่ยเฉินพูดถากถาง สีหน้าบึ้งตึง แต่ตอนหันไปหาหลินจยาอวี่กลับสดชื่นดุจดั่งอาบลมในฤดูใบไม้ผลิ “จยาอวี่จ้ะ คราวหน้าถ้าเจ้าเด็กบ้านี่ยังกล้ารังแกหนูอีก ป้าจะช่วยหนูจัดการเขาเอง!”


 


 


หลินจยาอวี่ “…”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 242 คู่สวรรค์สร้าง


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินเอือมถึงขีดสุด อยากจะมุดหนีลงรูมดให้สิ้นเรื่องสิ้นราว แม่เล่นใหญ่เกินไปแล้ว แม้แต่อากาศก็ยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาดนี้ ราวกับปกคลุมไปด้วยหมอกที่ทำให้หายใจไม่ออก แม้แต่ลมหายใจก็ยังอ่อนระโหยโรยแรง


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินลากแม่ของตนกลับไปในที่สุด


 


 


ผู้เป็นแม่ค่อนข้างไม่พอใจในพฤติกรรมของลูกชาย “เสวี่ยเฉิน นี่แกทำอะไรอยู่ ให้ไปนัดบอดก็บอกว่าไม่อยากเป็นแบบฉันกับพ่อแก”


 


 


แม่และพ่อของลู่เสวี่ยเฉินแต่งงานกันจากการนัดบอด ระหว่างทั้งคู่ไม่ได้มีความรักความผูกพันอะไรต่อกัน อีกทั้งพ่อของเขายังมีลูกนอกสมรส เป้าหมายหลักชีวิตนี้ของแม่เขาคือให้ลู่เสวี่ยเฉินสืบทอดตระกูลลู่ แต่งงานและกำเนิดทายาท “เหวินซินเม่ยรักลูกจากใจจริง ฉันว่าแกก็น่าจะดูออก ซินเม่ยรักลูกขนาดนั้น ถ้าแต่งงานกันต้องไม่เป็นเหมือนฉันกับพ่อแกแน่ แต่ในเมื่อแกบอกว่ามีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้ว ฉันก็เลยให้คนไปสืบดูสักหน่อย แม้ว่าหลินจยาอวี่จะเป็นคนไป๋หยาง เครือข่ายของคนในครอบครัวก็อยู่ที่ไป๋หยาง แต่จยาอวี่เป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูล ถ้าได้แต่งงานกับแกก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่านังผู้หญิงนั่นกับลูกนอกสมรสของมันจะมาแย่งชิงสมบัติตระกูลลู่”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินนวดหัวคิ้ว “แม่ ระหว่างผมกับจยาอวี่มันไม่ได้เรียบง่ายเหมือนแบบที่แม่กำลังคิด”


 


 


“แกทะเลาะกับจยาอวี่เหรอ” ผู้เป็นแม่ขมวดคิ้วถาม พลันสรุปเองเออเองอย่างรวดเร็ว “ต้องใช่แน่ ไม่งั้นเรื่องที่จยาอวี่ท้องทำไมแกจะไม่บอก หรือว่าพวกแกทั้งคู่ไม่อยากเก็บเด็กไว้” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของผู้เป็นแม่ยิ่งย่ำแย่ “แกก็อายุไม่น้อยแล้วนะ อย่าไปมีความคิดที่ว่าอีกสักปีสองปีค่อยมีลูก เด็กคลอดออกมาฉันก็ไม่ได้จะให้แกเลี้ยงสักหน่อย ลูกเอ่ย แกกับจยาอวี่ไม่ว่าจะด้านหน้าตาหรือชาติตระกูลล้วนเหมาะสมกัน คู่สวรรค์สร้างโดยแท้ สิ่งสำคัญที่สุดคือแกชอบจยาอวี่”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉิน “…”


 


 


เขาเนี่ยนะชอบหลินจยาอวี่? ใช้ตาข้างไหนมองกันว่าเขาชอบยัยนั่น ผู้หญิงที่เขาไม่ชอบมากที่สุดก็คือผู้หญิงเย็นชาจืดชืดแบบหลินจยาอวี่


 


 


ว่าแต่เขากับหลินจยาอวี่เหมาะสมกับจริงเหรอ


 


 


คู่สวรรค์สร้าง?


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินขจัดความรู้สึกพิลึกพิลั่นในใจออก แสยะยิ้ม “แม่ไม่ใช่พูดอยู่บ่อยๆ เหรอว่าสะใภ้ของฉันต้องกิริยามารยาทงดงาม อ่อนหวานนุ่มนวล หน้าตาของจยาอวี่น่ะเหมือนกับพวกปีศาจจิ้งจอกที่แม่พร่ำบ่นไม่มีผิด”


 


 


แม่ของเขาโมโหขึ้นมาแล้ว ฟาดป้าบเข้าไปที่เขาหนึ่งที “เหลวไหล ฉันไปพูดแบบนั้นตอนไหน ฉันพูดว่าแกอย่าไปเอาพวกผู้หญิงเจ้าเล่ห์หรือปีศาจจิ้งจอกที่จ้องจะแต่งเข้าตระกูลเศรษฐีต่างหาก จะได้ไม่ซ้ำรอยพ่อแก! แวบแรกที่ฉันมองจยาอวี่ จริงที่จยาอวี่ไม่ใช่สะใภ้ในอุดมคติของฉัน แต่จยาอวี่นิสัยดี ไม่มีมารยา อีกอย่างจยาอวี่กำลังตั้งท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลลู่ จะเมินเฉยต่อไปอีกไม่ได้แล้ว แกรีบโทรศัพท์หาพ่อแม่เขาซะ เชิญพวกเขามาปักกิ่งจะได้คุยเรื่องงานแต่งงานของพวกแกสองคน”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินหมดคำจะพูด


 


 


ทำไมหลินจยาอวี่ถึงท้อง ถ้าเขารู้แต่แรกว่าหลินจยาอวี่ท้องแล้วจะเกิดเรื่องวุ่นวายตามมาแบบนี้ ตอนนั้นเขาก็คงไม่วานให้หลินจยาอวี่ช่วยปลอมเป็นแฟนเพื่อไล่เหวินซินเม่ย


 


 


เยี่ยมไปเลยที่นี่ ขึ้นหลังเสือยากจะลง


 


 



 


 


หลังจากที่แม่ลูกตระกูลกลับไปแล้ว อวี๋กานกานและหลินจยาอวี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่


 


 


“ลู่เสวี่ยเฉินคงกลับไปอธิบายให้แม่เขาเข้าใจใช่ไหม” หลินจยาอวี่อธิบายลางสังหรณ์ที่อยู่ในใจไม่ถูก เธออยากบอกความจริงว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูกของลู่เสวี่ยเฉิน แต่ท่าทีที่ดีใจเหมือนคนบ้า พูดไปยิ้มไปของแม่ลู่เสวี่ยเฉิน ทำให้เธอไม่กล้าปริปากดับฝันของคนที่กำลังเปี่ยมไปด้วยความสุข


 


 


ความเข้าใจผิดครั้งนี้มันบานปลายเกินไปแล้ว อวี๋กานกานผงกศีรษะ “ฉันว่าลู่เสวี่ยเฉินคงกลับไปอธิบายให้แม่เขาเข้าใจแหละ”


 


 


ไม่เช่นนั้นดูจากนิสัยของแม่เขาแล้ว ต้องทุ่มเททุกวิถีทางจัดงานแต่งให้ลู่เสวี่ยเฉินและหลินจยาอวี่แน่


ตอนที่ 243 ฉวยโอกาสแต๊ะอั๋ง


 


 


หลินจยาอวี่ตัดสินใจเก็บเด็กไว้ ถึงแม้จะเป็นเรื่องดี แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเท่าไรนัก หากพ่อของเด็กปรากฏตัวแล้วสามารถเข้ากันได้กับหลินจยาอวี่ ถึงขั้นดอกรักผลิบานก็คงวิเศษไปเลย


 


 


อวี๋กานกานสองจิตสองใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “จยาอวี่ เหตุการณ์ครั้งนั้นมันเกิดขึ้นที่โรงแรมอะไรในปักกิ่งเหรอ ลองให้คนสืบหาพ่อของเด็กดูไหม บางที…”


 


 


หลินจยาอวี๋พูดขัดทันควัน “ไม่! ลูกฉันฉันเลี้ยงคนเดียวได้”


 


 


หน้าตาของผู้ชายคนนั้นเธอเห็นไม่ชัด นิสัยเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ เช้าวันต่อมาก็หายตัวไป ไม่มีแม้แต่ข้อความทิ้งไว้ เห็นได้ชัดว่าคนคนนั้นเป็นผู้ชายที่ไร้ความรับผิดชอบ หากหาตัวจนเจอเป็นไปได้ที่จากหาพ่อให้ลูกจะกลับกลายมาเป็นหาตัวปัญหาให้เธอและลูก


 


 


ถูกผู้ชายเอาเปรียบแค่ครั้งเดียวก็มากเกินพอแล้ว


 


 



 


 


อวี๋กานกานไม่ได้อยู่กินข้าวเย็นกับหลินจยาอวี่ เธอไปบ้านฟังจือหันเพื่อเล่นกับยาจุดกันยุง


 


 


ยาจุดกันยุงชอบอวี๋กานกานมาก ทันทีที่อวี๋กานกานเดินเข้าบ้าน มันก็รีบวิ่งมาคลอเคลียเรียวขาอวี๋กานกาน อ้อนให้ลูบ


 


 


ฟังจือหันสั่งคนดูแลไว้ว่าให้อาบน้ำยาจุดกันยุงอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นตัวมันจึงสะอาดเป็นพิเศษ กอดเจ้าเหมี้ยวไว้ในอ้อมอกตอนฤดูหนาวก็เหมือนกับกอดเตาผิงขนาดจิ๋วอุ่นๆ


 


 


อวี๋กานกานเกาท้องยาจุดกันยุงอย่างเบามือ เจ้าเหมี้ยวยืดขาข้างหนึ่งออกมาอย่างเอื่อยเฉื่อยและสุขสบาย ใจกลางดวงตาสีเหลืองดุจอำพันมีสีเขียวอ่อนผสมอยู่ ยาจุดกันยุงจ้องมองอวี๋กานกานตาไม่กระพริบ หางส่ายไปทางซ้ายทีขวาที ดูมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ใครๆ ต่างก็ว่าแมวทั้งเย่อหยิ่งและเย็นชาแล้วทำไมยาจุดกันยุงถึงได้น่ารักขี้อ้อนแบบนี้ อวี๋กานกานหันไปมองฟังจือหันที่นั่งอยู่ข้างๆ เจ้าของแกก็เป็นผู้ชายเย่อหยิ่งเย็นชานี่นา ไหนว่าสัตว์เลี้ยงจะเหมือนเจ้าของ ตรงข้ามกันสุดๆ


 


 


“แมวนายหน้าตาดีนะเนี่ย”


 


 


อวี๋กานกานลูบหัวยาจุดกันยุง ส่วนฟังจือหันลูบหัวอวี๋กานกาน พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “เพราะเจ้าของหน้าตาดี”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น อวี๋กานกานถึงกับหลุดขำออกมา “นี่นายกำลังแอบชมตัวเองเหรอ”


 


 


“เจ้าของคือคุณต่างหาก”


 


 


ฟังจือหันกำลังบอกว่าเขาชมเธออยู่


 


 


อวี๋กานกานขำหนักกว่าเก่าจนดวงตาเป็นพระจันทร์เสี้ยว นัยน์ตาเป็นประกายประหนึ่งดวงดาวบนท้องฟ้ายามราตรี ผิวขาวเนียนละเอียดขึ้นสีชมพูระเรื่อราวกับดอกท้อ “จะชมฉันสวยถึงกับต้องเอาแมวมาอ้างเลยเหรอ”


 


 


“ยาจุดกันยุงเป็นแมวของคุณตั้งแต่แรกแล้ว” มุมปากของฟังจือหันยกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นหันไปกำชับยาจุดกันยุง “ยังไม่เรียกแม่อีก”


 


 


ยาจุดกันยุงส่งเสียร้อง “เมี๊ยว~” ทันที


 


 


“ยาจุดกันยุงเป็นแมวที่ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่านายเลี้ยงมันแบบสุนัข”


 


 


“ผมไม่ได้เลี้ยงยาจุดกันยุงแบบสุนัข แต่คุณเคยบอกกับผมว่าแมวก็เฝ้าบ้านได้เหมือนกับสุนัข”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


เธอเคยมีความคิดแบบนี้อยู่จริงๆ แต่เหมือนว่าจะไม่เคยเล่าให้ฟังจือหันฟังนี่นา ทันใดนั้นจู่ๆ ฟังจือหันก็โอบบ่าของเธอ…


 


 


อวี๋กานกานเหมือนโดนไฟดูด เขยิบถอยหลังนั่งห่างออกไปไกลหลายเมตร ใบหน้าจิ้มลิ้มขึ้นสี ราวกับถูกทาด้วยชาดบางๆ หนึ่งชั้น พูดติดอ่าง “นะ นายจะทำอะไร”


 


 


ฟังจือหันพูดอย่างจำใจ “พรุ่งนี้คุณมีเคสผ่าตัดนี่ ให้กำลังใจไง”


 


 


“เมื่อก่อนฉันเคยช่วยอาจารย์ฝังเข็มเชิงวิสัญญีในการผ่าตัด” ให้กำลังใจอะไรกัน อวี๋กานกานรู้สึกว่าฟังจือหันคิดจะหลอกแต๊ะอั๋งเธอ ปัญหาอยู่ที่ฟังจือหันยังมีหน้าพูดออกมาได้อย่างมั่นใจเต็มปากเต็มคำ อวี๋กานกานเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาบ้างแล้ว “อย่าคิดฉวยโอกาสแต๊ะอั๋ง”


 


 


ฟังจือหันแบมือทั้งสองออกไปด้านข้างเป็นไม้กางแขน “ถ้าคุณรู้สึกเสียเปรียบ งั้นก็กอดผมกลับซะสิ”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


 


 


 


 


 ตอนที่ 244 ราบรื่นสมบูรณ์แบบ


 


 


วันรุ่งขึ้นอวี๋กานกานต้องวุ่นอยู่กับเคสผ่าตัด คนไข้ไม่ใช่ใครไหนแม่เฒ่าตระกูลเยี่ยนั่นเอง


 


 


ไมเคิลเป็นหมอจากต่างประเทศที่เยี่ยซีเชิญมา หลังจากที่ตรวจดูอาการของแม่เฒ่าแล้ว เขาเองก็แนะนำให้ใช้วิธีฝังเข็มเชิงวิสัญญี ซึ่งทำให้เยี่ยซีรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง


 


 


การฝังเข็มเป็นที่ยอมรับในยุโรปและอเมริกา ประเทศอเมริกาเคยทุ่มลงทุนโฆษณาวิทยาลัยฝังเข็ม รัฐบาลเคยออกประกาศรับรองว่าการฝังเข็มปลอดภัยและมีประสิทธิภาพจริง


 


 


แม้ว่าการฝังเข็มจะเผยแพร่จากประเทศจีนสู่ประเทศอเมริกา แต่ปัจจุบันบทความวิชาการเกี่ยวกับการฝังเข็มส่วนใหญ่ล้วนมาจากประเทศอเมริกา ปัจจุบันมาตรฐานคุณภาพการฝังเข็มของประเทศอเมริกาจัดอยู่ในเกณฑ์สูง ทว่ามาตรฐานในประเทศจีนกลับตกต่ำลงทุกวัน


 


 


ก่อนทำการผ่าตัด อวี๋กานกานและไมเคิลจำเป็นต้องปรึกษาหารือวิเคราะห์อาการและประวัติของผู้ป่วยร่วมกันเพื่อวางแผนการผ่าตัด รวมถึงคาดเดาภาวะที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการผ่าตัด ตระเตรียมขั้นตอนรับมือให้พร้อม


 


 


ตอนที่ไมเคิลเห็นอวี๋กานกาน แววตาของเขาปรากฏความประหลาดใจ เนื่องจากอายุของอวี๋กานกานทำให้การผ่าตัดครั้งนี้ของเขาเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ แต่เขาก็ไม่ได้ขอให้ตระกูลเยี่ยเปลี่ยนตัวอวี๋กานกาน เพียงแต่ให้ตระกูลเยี่ยเชิญแพทย์แผนจีนอาวุโสที่มีประสบการณ์เพิ่มอีกคนมาเป็นผู้ช่วยอวี๋กานกาน


 


 


เยี่ยจยาเซิงและเยี่ยซีได้เห็นฝีมือการฝังเข็มของอวี๋กานกานมากับตาแล้ว จึงเชื่อมั่นในความสามารถของอวี๋กานกาน พวกเขาพยายามพูดกับผู้จัดการหลี่ว์อย่างบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นว่าจะเชิญแพทย์อีกคนมาเป็นผู้ช่วย หลังจากที่ปรึกษากันแล้ว พวกเขาไม่ได้เชิญไท่โต่ว[1]แห่งวงการแพทย์แผนจีน แต่เชิญซย่าเฉิงโจวมาแทน  


 


 


ซย่าเฉิงโจวนับได้ว่าเป็นแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง อีกทั้งยังยินดีที่จะเป็นผู้ช่วยอวี๋กานกาน


 


 


ปัจจุบันการผ่าตัดไส้ติ่งทั่วไป แพทย์มักจะแนะนำให้ผู้ป่วยใช้วิธีผ่าตัดส่องกล้อง การผ่าตัดส่องกล้องปากแผลเล็ก ผลกระทบหลังการผ่าตัดน้อย ทั้งยังฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่การผ่าตัดส่องกล้องจำเป็นต้องดมยาสลบเท่านั้น หากเป็นการผ่าตัดเปิดช่องท้องแบบปกติ สามารถเลือกได้ระหว่างบล็อกหลังแบบ Spinal[2] หรือ Epidural[3]


 


 


ด้วยข้อจำกัดทางด้านร่างกายของแม่เฒ่า จึงเลือกใช้ได้เพียงวิธีผ่าตัดเปิดช่องท้องตามปกติเท่านั้น ตอนทำการผ่าตัดคนไข้จะอยู่ในภาวะที่มีสติตลอดเวลา ฉะนั้นแพทย์จำเป็นต้องอธิบายให้ละเอียด เพื่อให้คนไข้เตรียมได้ใจและยอมให้ความร่วมมือ


 


 


ก่อนทำการผ่าตัด อวี๋กานกานยังต้องเลือกจุดฝังเข็มบนร่างกายของแม่เฒ่า จากนั้นทดลองฝังเข็ม เพื่อทำความเข้าใจกับเต๋อชี่[4] และขีดความอดทนของคนไข้ อีกทั้งตอนทำการผ่าตัดจริงจะได้เลือกใช้วิธีและระดับความแรงในกระตุ้นเข็มที่เหมาะสมกับคนไข้[5]


 


 


เมื่อเต๋อชี่ง่าย คนไข้ก็จะสบาย ไม่เจ็บปวด แพทย์ก็สามารถทำการผ่าตัดได้อย่างไร้อุปสรรค


 


 


บนเตียงผ่าตัด แม่เฒ่าเยี่ยนอนหันข้างคดตัวกอดหัวเข่า อวี๋กานกานใช้เข็มที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้วเริ่มทำการฝังเข็มเชิงวิสัญญี


 


 


ตลอดทั้งขั้นตอนการผ่าตัด แม่เฒ่าเยี่ยมีสติอยู่ตลอด ยาชาเมื่อฉีดในปริมาณที่น้อยก็อาจเกิดความรู้สึกเจ็บขึ้นมาได้ การฝังเข็มเชิงวิสัญญีก็เช่นกันอาจมีความรู้สึกเจ็บเกิดขึ้นในบางช่วงได้


 


 


อวี๋กานกานถามแม่เฒ่าเยี่ยว่าอดทนไหวไหม แม่เฒ่าเยี่ยกระพริบตาตอบกลับเธอทุกครั้งเชิงว่ายังทนไหว ตลอดทั้งการผ่าตัดเป็นได้อย่างราบรื่น


 


 


หลังจากทำการผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว อวี๋กานกานและไมเคิลออกจากห้องผ่าตัดพร้อมกัน เยี่ยซีที่ยืนรออยู่ด้านนอกตลอด รีบพุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว มองหน้าแพทย์ทั้งสองแล้วถาม “ยะ ย่าผมอาการเป็นไงบ้างครับ”


 


 


เยี่ยซีกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ไมเคิลคลี่ยิ้มพร้อมกับแจ้งว่าการผ่าตัดสำเร็จไปได้ด้วยดี อีกสักครู่จะเข็นไปที่ห้องพักผู้ป่วยแล้ว


 


 


พ่อลูกตระเยี่ยดีใจจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ กล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำอีก


 


 


อวี๋กานกานเอ่ยอย่างนุ่มนวล “การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่นค่ะ แต่การพักฟื้นหลังผ่าตัดต่างหากที่สำคัญที่สุด ห้ามขยับร่างกายหกชั่วโมง งดอาหารและน้ำ อาจจะมีความรู้สึกเจ็บบ้าง พวกคุณสามารถอยู่คุยเป็นเพื่อนแม่เฒ่าได้ค่ะ”


 


 


“รับทราบครับผม” เยี่ยซีตอบกลับอย่างเชื่อฟัง


 


 


บรรยากาศของฤดูหนาว หยาดเหงื่อที่ผุดออกมาจากหน้าผากของหญิงสาว ราวกับดวงดาวและทางช้างเผือกที่ล่องลอยอยู่ทั่วจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ท่อประกายแสงแวววาวงดงาม


 


 


 


 


——


 


 


[1] ไท่โต่ว หมายถึง ภูเขาไท่ซานและดาวเหนือ อุปมาถึง ผู้เชี่ยวชาญหรือสุดยอดนักวิชาการที่ทุกคนต่างเคารพยกย่อง


 


 


[2] Spinal เป็นการฉีดยาชาเข้ากระดูกไขสันหลังทันที ยาจะออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วภายใน 1-2 นาที คนไข้จะรู้สึกชาตั้งแต่ช่วงเอวลงไป


 


 


[3] Epidural เป็นการฉีดยาชาโดยใช้เข็มที่มีหลอดนำยาขนาดเล็กเข้าไปในกระดูกไขสันหลัง โดยหลอดนำยาจะค้างอยู่ข้างในแล้วค่อยๆ ปล่อยยาชาออกมาอย่างต่อเนื่อง


 


 


[4] เต๋อชี่ คือ ความรู้สึกถึงการออกฤทธิ์ของเข็มเมื่อแทงเข็มลงไปถึงจุด โดยผู้ป่วยอาจรู้สึกปวด ชา พองแน่น หรือรู้สึกหน่วงบริเวณรอบจุดที่ฝังเข็ม หรืออาจรู้สึกมีบางอย่างแล่นกระจายขึ้นหรือลงไปตามแนวเส้นลมปราณ


 


 


[5] การฝังเข็มเชิงวิสัญญีจำเป็นต้องมีการกระตุ้นเข็มเพื่อให้เกิดเต๋อชี่อยู่ตลอด การกระตุ้นเข็มทำได้โดยการปั่นเข็มหรือกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ


ตอนที่ 245 อยากจูบจนแทบจะทนไม่ไหว


 


 


ถึงแม้ตระกูลเยี่ยจะเชิญซย่าเฉิงโจวมาเพิ่มอีกหนึ่งคน แต่ตลอดทั้งการผ่าตัดอวี๋กานกานเป็นคนลงมือเองทั้งหมด ความเชี่ยวชาญของอวี๋กานกานทำให้ไมเคิลถึงกับต้องมองเธอใหม่ ไมเคิลทึ่งในทักษะการฟังเข็มอันแม่นย่ำและช่ำชองของอวี๋กานกาน เขาขอโทษอวี๋กานกานจากใจจริงที่ก่อนหน้านี้ได้สบประมาทเธอไว้


 


 


ซย่าเฉิงโจวที่ยืนอยู่ข้างๆ พลันนึกถึงตนเองขึ้นมา ก่อนหน้านี้เขาเองก็ดูถูกดูแคลนอวี๋กานกานเพราะเรื่องอายุเช่นเดียวกัน ความรู้สึกผิดในใจถาโถมเข้ามาประหนึ่งเขื่อนกั้นน้ำแตก


 


 


เขาขอโทษอวี๋กานกานซ้ำอีกครั้ง “ขอโทษ” เรื่องเมื่อก่อนที่เคยทำตัวเสียมารยาท


 


 


อวี๋กานกานมองซย่าเฉิงโจวด้วยสายตาประหลาดใจ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องขอโทษอีก


 


 


ซย่าเฉิงโจวกล่าวด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิดเสียเต็มประดา “ขงจื้อกล่าวไว้ว่า ‘ในสามคนที่เดินมา จักต้องมีครูของเราอยู่ จงเลือกสิ่งที่ดีของเขาแล้วปฏิบัติตาม สิ่งที่ไม่ดีของเขาก็ให้นำมาย้อนมองแก้ไขพัฒนาตนเอง[1]’ แต่ผมกลับมองแคบๆ แค่สามชุ่นตรงหน้า น่าละอายใจจริงๆ”


 


 


อวี๋กานกานเข้าใจในทันที คลี่ยิ้มบางๆ “เรื่องนั้นมันก็ผ่านไปแล้ว ถึงฉันจะไม่ได้เรียกคุณว่ารุ่นพี่ซย่า แต่ฉันก็เคารพคุณเหมือนรุ่นพี่คนหนึ่งของฉันนะคะ”


 


 


ได้เห็นอวี๋กานกานส่งยิ้มให้ ซย่าเฉิงโจวรู้สึกว่าเมฆหมอกอึมครึมในใจหายสลายไปในพริบตา


 


 


การผ่าตัดสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ทว่าอวี๋กานกานยังไม่กลับ เธอกังวลว่าแม่เฒ่าเยี่ยจะมีอาการปวดหลังผ่าตัดจนทนไม่ไหว ถึงตอนนั้นเธอจะได้อยู่ช่วย เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอจึงมานั่งรอบริเวณหน้าห้องพักผู้ป่วย


 


 


ในคีมภีร์หลิงซู บทเปิ่นเสินระบุไว้ว่า ‘แพทย์ผู้ฝังเข็ม จักต้องสังเกตภาวะของคนไข้ ตรวจทานจิตวิญญาณและสัญญาณชีพ ประเมินโอกาสสำเร็จและล้มเหลว’


 


 


ดังนั้นระหว่างขั้นตอนการฝังเข็ม แพทย์จะต้องรวบรวมสมาธิ จดจ่ออยู่กับภาวะตื่นตัวของคนไข้รวมทั้งหมั่นตรวจเจินซย่า[2] อยู่เสมอ เพื่อให้การฝังเข็มได้ประสิทธิภาพสูงสุด


 


 


การผ่าตัดใช้เวลาสองชั่วโมงเต็ม สมาธิมหาศาลที่ใช้ไปทำให้อวี๋กานกานค่อนข้างเหนื่อยล้า เมื่อได้นั่งผ่อนคลายร่างกายบนเก้าอี้ก็เกิดอาการง่วงหงาวหาวนอนขึ้นมา


 


 


เดิมทีซย่าเฉิงโจวตั้งใจจะกลับแล้ว ทว่าได้ยินนางพยาบาลพูดกันว่าอวี๋กานกานยังไม่กลับ เขาจึงเดินมาที่ห้องพักผู้ป่วยของแม่เฒ่าเยี่ย พลันเห็นอวี๋กานกานหลับอยู่บนเก้าอี้ คำพูดที่ขึ้นมาถึงริมฝีปากถูกกลืนลงไป เขากลัวว่าอวี๋กานกานจะเป็นหวัด ซย่าเฉิงโจวถอดเสื้อโค้ทของตัวเองออก จากนั้นคลุมให้อวี๋กานกานอย่างเบามือ พร้อมกับหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ


 


 


หญิงสาวหน้าตาสะสวย ผิวขาวเนียนละเอียด ท่าทางตอนนอนหลับให้ความรู้สึกบอบบางน่าทะนุถนอม ไม่เหมือนเวลาปกติที่ดูหนักแน่นมั่นคง


 


 


สายตาของซย่าเฉิงโจวเคลื่อนลงด้านล่างช้าๆ จดจ้องอยู่ที่ริมฝีปากของอวี๋กานกาน รูปปากของอวี๋กานกานได้สัดส่วนสวยงาม ชมพูอวบอิ่มดุจดอกซากุระ ยั่วยวนชวนให้น้ำลายไหล เหมาะที่จะประทับริมฝีปากลงไป


 


 


ความคิดเช่นนี้ปรากฏขึ้นในหัวของซย่าเฉิงโจว ใบหน้าของเขาหน้าแจ๋อย่างฉับพลัน จู่ๆ ก็ใจเตลิดไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาดีดตัวนั่งหลังตรง เคลื่อนสายตาจ้องไปด้านหน้า แกล้งทำเป็นไม่เห็นไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้น


 


 


ทว่าจิตใจของเขาเตลิดไปเป็นที่เรียบร้อย ราวกับมีมดเป็นร้อยเป็นพันตัวเดินไปเดินมาอยู่ในหัวใจ รู้สึกคันยุบยิบจนแทบจะไม่ไหว เพียงครู่เดียวความอดทนของเขาก็หมดลง หันกลับไปมองอวี๋กานกานอีกครั้ง


 


 


อวี๋กานกานยังคงหลับสนิท ขนตางอนยาวทอดเงาอยู่บนใบหน้า สายตาของซย่าเฉิงโจวหยุดอยู่ที่ริมฝีปากของอวี๋กานกานอีกครั้ง


 


 


ใจเต้นโครมคราม สมองไม่ฟังคำสั่ง ซย่าเฉิงโจวกลั้นหายใจ ร่างกายค่อยๆ เอียงเข้าไปอย่างอ้อยอิ่ง ริมฝีปากเคลื่อนเข้าใกล้หมายจะประทับจูบ…


 


 


ริมฝีปากอยู่ตรงหน้า ห่างเพียงแค่ระยะหนึ่งเล่มหนังสือ เปลือกตาของซย่าเฉิงโจวค่อยๆ ปิดลง เตรียมจะประทับจูบลงไป ทันใดแขนแขนของเขาก็ถูกคนคนหนึ่งคว้าเอาไว้


 


 


วินาทีถัดมา ท้องฟ้าและผืนแผ่นดินพลิกสลับสับไปมา ในตอนที่ได้สติคืนกลับมา เขาพบว่าตัวเองถูกคนกระชากอย่างแรงจนลงไปกองอยู่บนพื้น!


 


 


ฟังจือหันปรายตามองซย่าเฉิงโจวที่นอนเอ้งเม้งอยู่บนพื้นจากจุดที่อยู่สูงกว่า สายตาเย็นยะเยือกทิ่มแทงกระดูกเสียยิ่งกว่าน้ำค้างแข็ง น้ำเสียงอันตรายแฝงไว้ด้วยไอสังหาร “แกจะทำอะไร”


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] หมายความว่า เราสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากคนรอบข้างได้


 


 


[2] เจินซย่า คือ ความรู้สึกของเข็มหลังฝังลงไปในจุดลมปราณ บริเวณรอบๆ เข็มจะตึงแน่น ซึ่งหมายความว่าเข็มกำลังทำงานอยู่ 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 246 ฟังจือหันโมโหแล้ว


 


 


เสียงซย่าเฉิงโจวกระแทกกับพื้นดัง “อั่ก” สนั่นไปทั้งหน้าห้องพักผู้ป่วยจนอวี๋กานกานถึงกับสะดุ้งตื่น เธอดีดตัวนั่งหลังตรง เสื้อโค้ทที่คลุมอยู่คนตัวหล่นลงบนพื้น


 


 


อวี๋กานกานก้มลงเก็บเสื้อโค้ทวางไว้บนเก้าอี้ด้านข้าง มองซย่าเฉิงโจวที่นั่งอยู่บนพื้นและฟังจือหันที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความตกตะลึง  


 


 


ระเบียงทางเดินของโรงพยาบาลปกคลุมไปด้วยรังสีอึมครึม ชายหนุ่มเย็นชารูปร่างสูงตระหง่านสวมเสื้อโค้ทสีดำ ไอสังหารล้อมรอบกาย ชวนให้รู้สึกหายใจไม่ออก


 


 


อวี๋กานกานที่เพิ่งตื่นมีอาการสะลึมสะลือเล็กน้อย สับสนงงงวยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เอ่ยปากถาม “เกิดอะไรขึ้นเหรอ”


 


 


ฟังจือหันชำเหลืองมามองเธอแวบหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็หมุนตัวเดินมาหยุดตรงด้านข้างอวี๋กานกาน จากนั้นคว้าข้อมือของเธอแล้วเดินจากไปทันที


 


 


เอาแต่ใจและเผด็จการที่สุด


 


 


ฟังจือหันก้าวขายาวๆ อย่างรวดเร็ว อวี๋กานกานแทบจะต้องวิ่งถึงจะฝืนเดินตามฟังจือหันทัน หลังจากที่เดินผ่านระเบียงทางเดินจนมาถึงลานจอดรถ อวี๋กานกานอดทนต่อไม่ไหวแล้ว เอ่ยปากถาม “ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”


 


 


ฟังจือหันปรายตามองอวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกานฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตร


 


 


เมื่อเห็นอวี๋กานกานยิ้มอย่างสดใสเบิกบาน ท่าทางไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง แววตาของฟังจือหันยิ่งอึมครึมขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศรอบกายที่แผ่ออกมาหนาวเหน็บยิ่งกว่าหิมะที่อยู่รอบๆ เสียอีก


 


 


เมื่ออวี๋กานกานเห็นว่าตัวเองยิ้มก็แล้ว แต่ฟังจือหันกลับยังคงจ้องเธอด้วยสายตาเย็นชา แถมสีหน้ายิ่งแย่ เธอค่อยๆ หุบยิ้มลง รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง ทั่วร่างกายรู้สึกหนาวเหน็บบาดลึกลงไปถึงกระดูก


 


 


รถยนต์ขับเคลื่อนอยู่บนถนนอย่างมั่นคง


 


 


ความกดอากาศต่ำแผ่ออกมาจากร่างกายฟังจือหัน ภายในรถยนต์เปิดฮีตเตอร์ แต่กลับให้ความรู้สึกหนาวเหน็บยิ่งกว่าด้านนอกที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ฟังจือหันในตอนนี้เป็นเหมือนเครื่องปรับอากาศมนุษย์เคลื่อนที่ ทั้งยังเป็นเครื่องปรับอากาศชนิดทำความเย็นโดยเฉพาะ


 


 


อวี๋กานกานลูบข้อมือของตัวเองที่ถูกฟังจือหันจับจนเป็นรอยแดง เธอยังเคลือบแคลงใจ


 


 


ฟังจือหันโกรธเหรอ


 


 


ทำไมถึงโกรธ


 


 


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง อวี๋กานกานพบว่าเส้นทางที่รถกำลังขับเคลื่อนไปไม่ใช่ทางกลับสมาคมแพทย์แผนจีนและไม่ใช่ทางกลับบ้านของฟังจือหันเช่นกัน


 


 


อวี๋กานกานถาม “กำลังไปที่ไหนเหรอ”


 


 


ฟังจือหันไม่ตอบ ทำเพียงแค่ปรายหางตามามองเท่านั้น


 


 


อวี๋กานกานเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาบ้างแล้ว หมอนี้เป็นอะไร เธอเผลอทำความผิดร้ายแรงถึงขั้นยกโทษให้กันไม่ได้หรืออย่างไร


 


 


ฟังจือหันหยุดรถอย่างกะทันหัน ซ้ายขวาหน้าหลังห้อมล้อมไปด้วยทิวทัศน์สีขาว โลกที่มีเพียงหิมะสีขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา มองไปไกลๆ เห็นชายหญิงวัยรุ่นกำลังเล่นสกีอยู่ได้อย่างเลือนราง


 


 


อวี๋กานกานกำลังจะหันไปถามฟังจือหันว่าพาเธอมาที่นี่ทำไม แต่ฟังจือหันเปิดประตูลงจากรถไปแล้ว เสียงรองเท้าเดินบนพื้นหิมะดังฉึบฉึบ


 


 


ฟังจือหันเดินมาหยุดที่ประตูรถฝั่งอวี๋กานกาน เปิดประตูดึงอวี๋กานกานออกมาโดยไม่พูดอะไรสักคำ จากนั้นเปิดประตูหลังดันอวี๋กานกานเข้าไป


 


 


อวี๋กานกานต่อต้าน ไม่ยอมเข้าไป ขึงตาใส่ฟังจือหัน “ตกลงนายเป็นอะไรเนี่ย โอ้ย! แขนฉัน…”


 


 


ฟังจือหันกลัวว่าตัวเองจะเผลอใช้แรงมากเกินไปจนทำให้แขนของอวี๋กานกานได้รับบาดเจ็บ พลันผ่อนแรงคลายมือทันที จากนั้นกดเธอไว้กับประตูรถแทน


 


 


ลมหายใจของอวี๋กานกานถี่กระชั้น มองชายตรงหน้าด้วยสายตาตะลึงงัน “นาย…” แพขนตากระพือขึ้นลงเบาๆ ประหนึ่งปีกผีเสื้อ “ปะ…เป็นอะไร”


 


 


ฟังจือหันยืนแนบชิดติดกับเธอจนขยับไม่ไปไหนไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว อวี๋กานกานยกแขนขึ้นหมายจะดันฟังจือหันออก ทว่าฟังจือหันกลับคว้าแขนของเธอไว้จากนั้นกดแนบลงกับลำตัว


 


 


ใบหน้าหล่อเหล่างดงามเคลื่อนเข้าใกล้ สายตาลึกซึ้งจับจ้องไปที่อวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกานสบตาฟังจือหันด้วยแววตาลุกลน กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “นาย…”


 


 


ประโยคที่จะพูดยังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยออกมา ฟังจือหันโน้มตัว ประกบริมฝีปากลงมา…


ตอนที่ 247 จุมพิตดื่มด่ำใต้หิมะ


 


 


อวี๋กานกานนิ่งอึ้ง! ไร้ปฏิกิริยาตอบโต้ไปชั่วขณะหนึ่ง ทำเพียงแค่เบิกตาโตมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า


 


 


ฟังจือหันบดขยี้ริมฝีปากอย่างอุกอาจบ้าคลั่ง ความรู้สึกซาบซ่านแล่นเข้าหัวใจอย่างฉับพลัน ก่อนจะแพร่กระจายไปแขนขาทั่วร่าง ร่างกายของอวี๋กานกานอ่อนปวกเปียก ไร้เรี่ยวแรงเอนพิงฟังจือหัน


 


 


เสียงครางในลำคอที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ เรียกสติอวี๋กานกานกลับคืนมา เธอดิ้นต่อต้าน


 


 


ฟังจือหันใช้แรงเพียงน้อยนิดหยุดการขัดขืนของอวี๋กานกาน เขากอดเธอไว้ในอ้อมอก พร้อมกับขบริมฝีปากของอวี๋กานกานเบาๆ ราวกับเป็นการลงโทษ “ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้อยู่ห่างๆ หมอนั้น หืม” ลมหายใจหนักหน่วง ร้อนดั่งเปลวเพลิง


 


 


ทันทีที่พูดจบ ฟังจือหันประกบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง บังคับให้อวี๋กานกานเผยอปาก เรียวลิ้นรุกล้ำเข้ามาอย่างอุกอาจบ้าคลั่งเกี่ยวพันพัวกับลิ้นของเธอ


 


 


ฟังจือหันถอดริมฝีปากออกในตอนที่อวี๋กานกานกำลังจะขาดอากาศหายใจ ให้เธอได้มีโอกาสสูดอากาศหายใจเฮือกใหญ่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบดเบียดริมฝีปากลงมาอีกครั้งอย่างรวดเร็วไม่รู้จักอิ่ม ลุ่มหลงจนมิอาจตัดใจ หอมหวานมิมีวันเบื่อหน่าย   


 


 


อวี๋กานกานไม่เคยถูกรุกล้ำและกระตุ้นเช่นนี้มาก่อน สมองเป็นสีขาวโพลน หลับตาปล่อยไปตามอารมณ์ รับรู้เพียงแค่ว่าทั้งซาบซ่านและอ่อนระทวยประหนึ่งมาร์ชเมลโล่เนียนนุ่ม ทว่าอุ่นและหวานฉ่ำ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ฟังจือหันหยุดการกระทำทั้งหมดลง ศีรษะอิงแอบอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างไหปลาร้า ลมหายใจถี่กระชั้น


 


 


อวี๋กานกานเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาวูบไหวจ้องมองท้องฟ้า ลมหายใจรวยริน


 


 


ณ วินาทีนี้ท้องฟ้าและผืนแผ่นดินสงบเงียบดุจหิมะ


 


 


ฟังจือหันพลันเลื่อนสายตาขึ้นมองอวี๋กานกาน อวี๋กานกานสะดุ้งโหย่ง ได้สติหมายจะผลักฟังจือหันออก ทว่ากลับถูกฟังจือหันโอบเอวไว้อีกครั้ง


 


 


พวกเขายืนกอดจูบใต้หิมะ ทัศนีย์ภาพงดงามราวกับจิตรกรรมฝาผนัง


 


 


อวี๋กานกานใจสั่นระรัวประหนึ่งกลอง อ่อนระทวยไปทั้งร่าง ออกแรงผลักอยู่ครึ่งค่อนวันก็ผลักไม่ออกสักคืบ เธอทั้งอายทั้งโมโห ข่มอารมณ์จนหน้าแดงแจ๋ พูดติดๆ ขัดๆ “นะ นะ นาย…นายทำอะไร…นายทำกับฉันแบบนี้ทำไม…”


 


 


ฟังจือหันนัยน์ตาดำขลับลึกล้ำ ลมหายใจสงบนิ่ง ถามกลับเสียงทุ้ม “คุณว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ล่ะ”


 


 


เรียวแขนที่โอบอวี๋กานกานเริ่มรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ การกระทำอันเผด็จการเช่นนี้กำลังบอกจุดประสงค์ของฟังจือหัน  


 


 


อวี๋กานกานลุกลี้ลุกลน เอ่ยเสียงแผ่ว “นายกำลังลวนลามฉันอยู่นะ”


 


 


ฟังจือหันแทบไม่ต้องคิดยอมรับออกมาตรงๆ “ใช่”


 


 


อวี๋กานกานหน้าแดงยิ่งกว่าเก่า ไม่รู้จะตอบอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง ทำได้เพียงทักท้วง “นายรังแกฉัน!”


 


 


ใบจิ้มลิ้มเป็นสีแดงจัดเหมือนกับดอกซากุระที่เพิ่งบานสะพรั่ง เย้ายวนให้ดอมดมจนแทบจะทนไม่ไหว


 


 


ฟังจือหันยื่นมือออกมาประกบแก้มของอวี๋กานกาน พูดจาแฝงความนัยลึกซึ้ง “ผมแค่อยากจะเอ็นดูคุณ”


 


 


ความจริงตอนแรกเขาแค่ต้องการที่จะตักเตือนอวี๋กานกาน คนที่ควบคุมตัวเองเก่งอย่างเขาก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าตัวเองจะมีเวลาที่ขาดสติเช่นนี้


 


 


อวี๋กานกานจ้องหน้าฟังจือหันนิ่ง ริมฝีปากที่ถูกจูบจนบวมเป่ง น้ำตาคลอเบ้า ใครเห็นต้องตัวชา  


 


 


ร่างกายร้อนผ่าวอย่างควบคุมไม่ได้


 


 


ฟังจือหันหลุบสายตามองอวี๋กานกานแวบหนึ่ง เอียงศีรษะเล็กน้อย ริมฝีปากบางเคลื่อนมาหยุดข้างใบหู กระซิบ “อยากรู้ไหมว่าผมจะเอ็นดูคุณยังไง”


 


 


เอ็นดู?


 


 


สองพยางค์เย้าหยอกข้างใบหู บวกกับร่างกายที่แนบชิดติดกัน สัมผัสได้ถึงความปรารถนาอันร้อนลุ่มของชายหนุ่มได้อย่างชัดเจน ใบหน้าจิ้มลิ้มของอวี๋กานกานเป็นสีแดงจัดยิ่งกว่าเดิม ราวกับทาผงชาด 


 


 


อวี๋กานกานสติหลุดออกจากร่างเป็นที่เรียบร้อย ในตอนที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ทันใดนั้นเธอก็จามออกมา


 


 


ฟังจือหันหรี่สายตาลงเล็กน้อย เพิ่งตระหนักได้ว่าร่างกายของอวี๋กานกานพิงอยู่กับประตูรถ เสื้อของเธอเปียกชุ่ม หิมะก็ยังโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าไม่หยุด ศีรษะของเธอชื้นแฉะ ฟังจือหันรีบถอดเสื้อของตัวเองออกคลุมให้อวี๋กานกาน


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 248 โดนจับจูบแล้วต้องทำอย่างไร


 


 


ทั้งคู่กลับเข้าไปในในรถ ฟังจือหันหยิบผ้าขนหนูจากในรถออกมาเช็ดศีรษะให้อวี๋กานกาน


 


 


ดูเหมือนฤดูหนาวอันเย็นสะท้านของปีนี้จะบ้าบิ่นเกินไปแล้ว อวี๋กานกานผู้ซึ่งกลัวหนาวทนเย็นไม่ได้จำเป็นต้องรีบกลับไปอาบน้ำอุ่น ดื่มน้ำขิงขับไอเย็น


 


 


อวี๋กานกานไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ ขดตัวติดอยู่กับเก้าอี้ ยวงแก้มยังคงเป็นสีแดงระเรื่อ บนตัวถูกคลุมแน่นด้วยเสื้อโค้ทที่ยังหลงเหลือไออุ่นจากร่างกายของฟังจือหัน แบบนี้เหมือนกับยังถูกเขากอดไว้ในอ้อมกอดอย่างแน่นหนาไม่มีผิด มีความรู้สึกเคลิบเคลิ้มที่ยากจะบรรยาย ทั่วทั้งร่างกายเบาหวิว นั่งอยู่ในรถเหมือนนั่งอยู่บนปุยเมฆ


 


 


ที่แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากคอนโดมิเนียมของฟังจือหัน ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถก็จอดลงตรงใต้คอนโด


 


 


อวี๋กานกานเพิ่งลงจากรถก็ถูกฟังจือหันอุ้มในท่าเจ้าสาว


 


 


“กรี๊ด” อวี๋กานกานร้องตกใจออกมาโดยอัตโนมัติ เพื่อกันไม่ให้ล้มเธอจึงรีบกอดคอฟังจือหัน ท่วงท่าของทั้งคู่สนิทแนบชิดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้


 


 


อวี๋กานกานหน้าแดงแจ๋ อั้นลมหายใจ ไม่กล้าขยับแม้แต่ปลายก้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอถึงเนื้อต้องตัวกับผู้ชายคนหนึ่งถึงขนาดนี้ ระยะห่างแทบจะติดลบเสียด้วยซ้ำ ใจเต้นดุจฟ้าแลบ ชีพจรปั่นป่วน อวี๋กานกานไม่สามารถแสดงปฏิกิริยาอื่นใดออกมาได้ นอกจากปิดปากเงียบกริบ


 


 


ฟังจือหันหยิบผ้าขนหนูและชุดคลุมอาบน้ำส่งให้อวี๋กานกาน “รีบไปอาบน้ำอุ่น”


 


 


อวี๋กานกานยื่นแขนออกไปรับมา จากนั้นเดินเข้าห้องอาบน้ำ


 


 


สายน้ำอุ่นไหลผ่านขจัดความเย็นบนร่างกาย อวี๋กานกานอุ่นไปทั้งตัว หัวสมองเริ่มตื่นตัว นึกภาพจูบใต้หิมะโปรยปรายนั้น พลันเขินอายขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


เพราะอะไรทำไมฟังจือหันต้องจูบเธอด้วย


 


 


หรือว่าฟังจือหันจะชอบเธอจริงๆ


 


 


อวี๋กานกานอยากถามแต่ไม่กล้า ในใจรู้สึกแปลกประหลาดราวกับถูกเขี่ยด้วยขนนก เป็นความรู้สึกทรมานที่บรรยายได้ยาก ทว่าในความทรมานนั้นกลับเหมือนมีความรื่นรมย์แฝงไว้


 


 


อวี๋กานกานอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดินลงมายังห้องรับแขก มองเห็นฟังจือหันที่ออกมาจากห้องน้ำอีกห้องพอดี พวกเขาสวมชุดคลุมอาบน้ำแบบเดียวกัน สิ่งที่ไม่เหมือนคืออวี๋กานกานมัดเชือกอย่างแน่นหนามิดชิด แต่เสื้อคลุมอาบน้ำของฟังจือหันหลุดลุ่ย สามารถมองเห็นกล้ามเนื้อหน้าอกอันดิบเถื่อนได้อย่างวับๆ แวมๆ   


 


 


เมื่อเห็นอวี๋กานกานออกมาจากห้องน้ำแล้ว ฟังจือหันจึงกวักมือเรียก “มานี่”


 


 


ไม่มีน้ำขิง ฟังจือหันทำนมอุ่มให้อวี๋กานกาน ส่วนตนเองดื่มน้ำอุ่น


 


 


อวี๋กานกานนั่งลงตรงข้ามฟังจือหัน รูปร่างของชายหนุ่มสวมชุดคลุมอาบน้ำช่างเซ็กซี่ ประหนึ่งฮอร์โมนเดินได้[1]


 


 


จู่ๆ ก็รู้สึกว่าลำคอและริมฝีปากแห้งผาก อวี๋กานกานลุกลี้ลุกลน จิตใจกระสับกระส่าย หยิบแก้วเซรามิคขึ้นดื่มนมพลางเหลือบมองฟังจือหัน สายตาลึกซึ้งของชายหนุ่มกำลังจ้องมองมาที่เธออยู่พอดี ประหนึ่งหัวขโมย อวี๋กานกานรีบดึงสายตากลับ จดจ่ออยู่กับการดื่มนมในแก้ว


 


 


มุมปากของฟังจือหันขยับเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววความขบขัน


 


 


หลังจากดื่มนมหมดแล้ว อวี๋กานกานวิ่งกลับเข้าไปยังห้องนอนของตัวเอง ทั้งยังปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา กลัวฟังจือหันจะบุกเข้ามา


 


 


คนคนนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว


 


 


สมัยก่อนซ่งฉาไป๋เคยเล่าว่าจูบแรกหากเกิดขึ้นตอนหิมะแรกของฤดูโปรยปราย จะโรแมนติกและงดงามเป็นพิเศษ แถมยังเล่าอีกว่าสามเคล็ดลับเด็ดของการเดทในซีรีย์เกาหลีคือ หิมะแรกของฤดู ไก่ทอดและราเมน[2]


 


 


ค่อนข้างได้บรรยากาศเหมือนที่ซ่งฉาไป๋เล่าเลย ขนาดวันนี้เธอยังไม่รู้สึกว่าหิมะที่อยู่รอบตัวชวนให้รู้สึกหายใจไม่ออกเหมือนอย่างที่เคยเป็น แต่ฟังจือหันก็ไม่ได้สารภาพรักเธอ เพียงแค่จับจูบอย่างไร้สาเหตุ ไม่ว่าจะวิเคราะห์จากมุมไหนการกระทำของเขาก็ดูไม่เหมือนออกเดทหรือมาจากความรัก


 


 


อวี๋กานกานพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง ความคิดฟุ้งซ่านนอนไม่หลับ รู้สึกเหมือนจูบท่ามกลางหิมะจูบนั้นเป็นฝันประหลาดหนึ่งตื่น ทว่าราวกับชายหนุ่มเผด็จการทิ้งไออุ่นไว้บนริมฝีปากของเธอ ทันทีที่หลับตาก็จะสัมผัสได้ถึงไออุ่นอย่างชัดเจน  


 


 


อวี๋กานกานนอนไม่หลับ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาซ่งฉาไป๋ [อวี๋กานกาน : ถ้าจู่ๆ มีคนจับเธอจูบ เธอจะทำยังไง]


 


 


 


 


——


 


 


[1] ฮอร์โมนเดินได้ เป็นศัพท์วัยรุ่นในอินเทอร์เน็ตจีน หมายถึงผู้ชายที่มีเสน่ห์เหลือร้าย มักใช้กับผู้ชายที่มีลุคแด๊ดดี้


 


 


[2] เหตุการณ์โรแมนติกหรือฉากสารภาพรักของซีรีย์เกาหลีมักจะเกิดขึ้นในเหตุการณ์เล่านี้ 


ตอนที่ 249 สามีกำมะลอก็กลายเป็นจริงได้


 


 


[ซ่งฉาไป๋ : ใครจับเธอจูบ จะทำอะไรได้อีก ฟ้องฟังจือหันของเธอให้ไปต่อยหมอนั่นหนักๆ สักชุด เตือนให้มันรู้ซะบ้าง…แล้วทำไมเธอถึงซุ่มซ่ามได้ขนาดนี้เนี่ย ไปทำอิท่าไหนถึงได้เจอเรื่องเฮงซวยแบบนี้]


 


 


[อวี๋กานกาน : คนที่จับฉันจูบคือฟังจือหัน]


 


 


ซ่งฉาไป๋น่าจะช็อก ตะลึง อึ้งไปแล้ว เธอไม่ตอบกลับข้อความของอวี๋กานกาน แต่ต่อสายตรงเข้ามาทันที น้ำเสียงตื่นตะลึงถึงขีดสุด “อวี๋กานกานยัยตัวดี ตอนนี้ฉันโดนบังคับให้ทำโอทีอยู่อย่างทุกข์ทรมาน เธอไม่ปลอบใจฉันก็แล้วไป แต่ทำไมถึงต้องแอบสาดอาหารสุนัข[1]ใส่ด้วย เธอยังมีมโนธรรมอยู่บ้างไหม”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


นี่เธอกำลังสาดอาหารสุนัขอยู่เหรอ ซ่งฉาไป๋ใช้หูข้างไหนฟังไม่ทราบ เธอกำลังบ่นโวยวายพร้อมกับขอให้ช่วยไขข้อข้องใจอยู่ชัดๆ !


 


 


ซ่งฉาไป๋เคืองเล็กน้อย “พวกเธอสองคนแต่งงานอยู่ด้วยกันนานเท่าไรแล้ว อะไรที่ควรทำก็น่าจะทำกันหมดแล้วล่ะมั้ง กะอิแค่จับจูบ ระดับขับรถไปโรงเรียนอนุบาลชัดๆ ไม่เร้าใจสักนิด”


 


 


อวี๋กานกานเนือยหน่าย “งั้นแบบไหนถึงจะทำให้เธอรู้สึกเร้าใจได้”


 


 


ซงฉาไป๋ตอบ “หลังจากนี้เก้าเดือดเธอกลายเป็นแม่คน”


 


 


อวี๋กานกานจะร้องไห้ก็ไม่ได้จะหัวเราะก็ไม่ออก “เธอก็รู้นี่ว่าฉันกับเขา เราเป็นสามีภรรยาปลอมๆ”


 


 


ซ่งฉาไป๋เสนอความคิดเห็น “ถ้าฟังจือหันชอบเธอจริงๆ ทั้งยังดีกับเธอมาก ไม่สู้ลองพิจารณาพัฒนาความสัมพันธ์ให้เป็นจริงดูหน่อยเหรอ”


 


 


อวี๋กานกานครุ่นคิด เป็นความจริงที่เป้าหมายการปรากฏตัวของฟังจือหันคือเขาต้องการอยู่ด้วยกันกับเธอ ถ้างั้นเธอควรลองพิจารณาอย่างจริงจังดูดีไหมนะ ในเมื่อฟังจือหันก็เป็นผู้ชายที่ใช้ได้เลยทีเดียว


 


 


เป็นค่ำคืนที่อวี๋กานกานนอนไม่หลับ เวลาตีสามมืดมิดและเงียบสงัด ทว่าเธอยังคงพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง กว่าจะข่มตาหลับได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่พอหลับก็จะฝัน และแน่นอนว่าฝันถึงเธอกับฟังจือหัน ทั้งยังเป็นเหตุการณ์ทั้งหมดของวันนี้ที่เกิดขึ้นท่ามกลางหิมะโปรยปราย ชายหนุ่มกำลังกอดจูบเธอ คันยุบยิบไปทั้งหัวใจ


 


 


อวี๋กานกานลืมตาโพลง มองเห็นพระจันทร์ผ่านหน้าต่าง กระพริบตานึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในความฝัน เธอเขินอายจนมุดเข้าไปในผ้าห่ม ภาพเหตุการณ์ที่ฟังจือหันจูบเธอท่ามกลางหิมะฉายซ้ำวนไปมา


 


 


นี่เธอชอบจูบของฟังจือหันมากแค่ไหนกันนะ


 


 


ผ่านพ้นไปแล้วหนึ่งคืน ทว่าอวี๋กานกานยังคงเขินอายเล็กน้อยที่ต้องเผชิญหน้ากับฟังจือหัน ทันทีที่ตื่นนอน เธอก็ลุกขึ้นมาจัดเตียงนอนให้เรียบร้อย จากนั้นเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน


 


 


ป้าหูกำลังทำอาหารเช้าอยู่ในครัว เมื่อเห็นอวี๋กานกาน เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน “คุณผู้หญิงฟังตื่นแล้วเหรอคะ”


 


 


ทีแรกอวี๋กานกานจะถามป้าหูว่าทำไมถึงเรียกเธอว่าคุณผู้หญิงฟัง เป็นเพราะฟังจือหันสั่งไว้หรือเปล่าว่าผู้หญิงที่เขาพากลับมาที่บ้านทุกคนให้เรียกแบบนี้ ทว่าจังหวะไม่ดี เธอได้ยินเสียงฝีเท้าของฟังจือหันกำลังเดินลงมา อวี๋กานกานผวา แก้มเป็นสีแดงระเรื่อ วิ่งหนีด้วยความเร็วสูงสูด


 


 


ฟังจือหัน “…”


 


 


อวี๋กานกานเจอลู่เสวี่ยเฉินที่หน้าประตู เขาสวมชุดสูทสีขาวทั้งตัว มือข้างหนึ่งสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกง มุมปากแฝงรอยยิ้ม “อรุณสวัสดิ์ ปลาน้อย”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินมาหาฟังจือหัน เขาไม่แปลกใจแม้แต่น้อยที่เห็นอวี๋กานกาน ทำเพียงแค่ส่งยิ้มทักทาย


 


 


อวี๋กานกานฝืนฉีกยิ้ม สีหน้าเลิ่กลั่ก “อรุณสวัสดิ์”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินคงไม่เข้าใจผิดว่าเมื่อคืนเธอนอนกับฟังจือหันใช่ไหม น่าจะไม่ เพราะที่ไป๋หยางเธอเองก็พักอยู่คอนโดห้องเดียวกับฟังจือหันแต่แยกห้องนอนกัน


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินที่เดิมทีกำลังจะเดินเข้าห้อง นัยน์ตาของเขาวูบไหวเล็กน้อย จู่ๆ ก็เดินมาหยุดตรงหน้าอวี๋กานกานอย่างกะทันหัน เห็นได้ชัดว่าเขาอยากรู้อยากเห็น ทว่าแสร้งทำเป็นถามออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “ถามอะไรหน่อยสิ”


 


 


อวี๋กานกานจ้องหน้าลู่เสวี่ยเฉิน “อะไรล่ะ”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินกระแอมเบาๆ หนึ่งครั้ง คลี่ยิ้มแล้วกล่าว “ไม่ได้จะเมาท์นะ แค่อยากรู้เฉยๆ พ่อของเด็กในท้องหลินจยาอวี่เป็นใครเหรอ”


 


 


 


 


 


 


 ——


 


 


[1] สาดอาหารสุนัข หมายถึง คู่รักสวีทหวานต่อหน้าต่อตาคนโสดหรือเล่าเรื่องราวความรักให้คนโสดฟัง เนื่องจากคนโสดในภาษาจีน คือ 单身狗 แปลว่า สุนัขเปลี่ยว สุนัขที่อยู่ตัวเดียว หรือสุนัขโสด


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 250 ฟังจือหันพาเธอเสียคนแล้ว


 


 


อวี๋กานกานมองลู่เสวี่ยเฉินด้วยสายตางุนงง ค่อนข้างสับสน นี่ไม่เรียกว่าเมาท์ เรียกว่าอยากรู้เฉยๆ สวมเสื้อคลุมอยากรู้แต่เนื้อในเป็นอยากเมาท์รึเปล่า หรือแค่อยากรู้จริงๆ


 


 


 อวี๋กานกานกระตุกยิ้มชั่วร้าย “มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า หลายครั้งหลายคราความอยากรู้ไม่เท่ากับความรัก แต่ความอยากรู้มักเป็นจุดเริ่มต้นของโชตชะตา เมื่อผู้ชายคนหนึ่งอยากรู้เรื่องของผู้หญิงคนหนึ่ง มักจะมาจากการที่ผู้ชายเริ่มหลงรักผู้หญิงคนนั้นอย่างช้าๆ ฉะนั้นผู้ชายจึงค่อยๆ เริ่มให้ความสนใจในตัวผู้หญิงคนนั้น อยากที่จะเรียนรู้และเข้าใจผู้หญิงคนนั้น”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินสีหน้าจริงจัง “ปลาน้อย ฟังจือหันพาเธอเสียคนแล้วนะ”


 


 


อวี๋กานกานยิ้มอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ “เสียคนอะไรกัน ฉันแค่วิเคราะห์อย่างมีหลักการก็เท่านั้น” เธอเลิกคิ้วขึ้น คลี่ยิ้มแล้วถาม “เรื่องเมื่อวาน นายอธิบายให้แม่นายเข้าใจแล้วใช่ไหม”


 


 


ลู่เสวี่ยตอบ “ยัง”


 


 


เขายังอธิบายไม่ได้ หากเขาอธิบายไปเกรงว่าแม่เขาต้องเริ่มแผนจับคู่เขากับเหวินซินเม่ยอีกครั้งแน่


 


 


เหวินซินเม่ยไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่ก็มักจะมาหาแม่เขาอยู่บ่อยๆ ตอนที่แม่เขาเชิญเหวินซินเหม่ยมาเป็นแขกที่บ้าน เขาถึงได้รู้ถึงความน่ากลัวที่แท้จริงของผู้หญิงคนนี้


 


 


คิดถึงเรื่องนี้ก็ปวดหัวขึ้นมาทันที


 


 


อวี๋กานกานอยากถามลู่เสวี่ยเฉินว่าทำไมถึงไม่อธิบาย หรือเขาอยากให้แม่ของเขาเข้าใจผิดต่อไป คิดว่าเด็กในท้องหลินจยาอวี่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของลู่เสวี่ยเฉินจริงๆ


 


 


รถแท็กซี่ที่อวี๋กานกานเรียกมาถึงแล้ว อวี๋กานกานไม่ได้คุยอะไรกับลู่เสวี่ยเฉินต่อ เพียงแค่พูดทิ้งท้ายก่อนจะขึ้นรถไป “ถ้านายไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ อธิบายให้ชัดเจนก็น่าจะดีกว่า ไม่งั้นในอนาคตถ้าแม่นายรู้ว่าเด็กไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของนาย ระยะเวลายิ่งนานเท่าไรแม่ของนายก็จะยิ่งเสียใจมากเท่านั้น”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินนวดหัวคิ้วของตัวเอง แม่จะเสียใจ? งั้นก็ไม่ต้องให้แม่รู้ไปตลอดกาลว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกเขา


 


 


จากข้อมูลที่ลู่เสวี่ยเฉินสืบมา หลินจยาอวี่เป็นสาวโสด แล้วทำไมจู่ๆ ถึงท้องได้ เธอวางแผนคลอดลูกแล้วเลี้ยงดูด้วยตัวคนเดียวอย่างงั้นเหรอ


 


 


ถ้าเช่นนั้นเด็กจำเป็นต้องมีพ่อในนามสักคนหรือเปล่า เขารู้สึกว่าเป็นพ่อของแม่ลูกติดก็ยังดีกว่าโดนผู้หญิงโรคจิตตามตอแยไม่เลิก ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวตั้งแต่เมื่อวานที่เขาไปลากตัวแม่กลับบ้านแล้ว


 


 


ตกบ่ายลู่เสวี่ยเฉินนัดหลินจยาอวี่ออกมา เขาสวมชุดสูทรองเท้าหนัง ทว่ากลับไม่ได้ดูเรียบร้อยเป็นทางการ ใบหน้าสวยหยาดเยิ้มพยายามแผ่รังสีดิบเถื่อนอย่างสุดกำลัง ทำให้ยังคงแยกได้ยากว่าเขาเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย


 


 


ส่วนหลินจยาอวี่สวมชุดเดรสเรียบง่าย คลุมทับด้วยเสื้อโค้ทหนึ่งชั้น เธอค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อยที่ลู่เสวี่ยเฉินนัดเธอออกมา


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินลุกขึ้นยืน เดินมาดึงเก้าอี้ให้หลินจยาอวี่อย่างสุภาพบุรุษ “เชิญนั่ง คุณหนูหลิน”


 


 


หลินจยาอวี่ชำเลืองสายตาไปมองลู่เสวี่ยเฉินแวบหนึ่ง ก่อนจะนั้งลงตรงข้ามอย่างสุภาพเรียบร้อย “คุณลู่นัดฉันออกมาไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเหรอคะ”


 


 


จู่ๆ ก็มาทำดีด้วย ต้องมีจุดประสงค์บางแอบแฝงแน่นอน


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินไม่ตอบหลินจยาอวี่ ทำเพียงแค่ถาม “คุณหนูหลินชอบทานอะไรครับ วันนี้ทางภัตตาคารมีฟัวกราส์และไข่ปลาคาเวียร์สดใหม่ที่เพิ่งส่งมาทางอากาศจากประเทศฝรั่งเศส คุณหนูหลินทานไหมครับ”


 


 


หลินจยาอวี่ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับอาหารการกินมื้อนี้เท่าไรนัก “แล้วแต่คุณตัดสินใจเลยค่ะ”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินตัดสินใจเลือกเมนูทั้งหมดเอง เขาสั่งฟัวกราส์และไข่ปลาคาเวียร์มาอย่างละสองชุด ทั้งคู่ต่างเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนของครอบครัว พวกเขาพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทว่ากลับไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนอะไร


 


 


หลังจากที่สั่งอาหารแล้ว ลู่เสวี่ยเฉินยิ้มแล้วกล่าว “ปกติแล้วคุณหนูหลินมีงานอดิเรกอะไรหรือครับ ปกติชอบไปเที่ยวที่ไหน”


 


 


จู่ๆ ก็ถามถึงงานอดิเรกของเธอ…


 


 


หัวข้อสนทนานี้ มันสำหรับเปิดประเด็นพูดคุยตอนนัดบอดไม่ใช่หรือ


 


 


หลินจยาอวี่รู้สึกว่ามีเรื่องอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เลยดีกว่า ไม่จำเป็นต้องบ่ายเบี่ยงเปลี่ยนเรื่อง “คุณลู่มีเรื่องอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เถอะค่ะ”


ตอนที่ 251 อยากหาใครสักคนมาเป็นพ่อเด็กไหม


 


 


แน่นอนว่าลู่เสวี่ยเฉินไม่ได้อยากรู้ว่าหลินจยาอวี่มีงานอดิเรกอะไร เขาเพียงแค่ถามไปตามมารยาท เพื่อไม่ให้เกิดความกระอักกระอ่วนในหัวข้อสนทนาหลังจากนี้ก็เท่านั้น


 


 


หลินจยาอวี่ไม่ชอบการพูดอ้อมค้อมไม่ตรงประเด็น


 


 


อาหารชั้นเลิศถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ ลู่เสวี่ยเฉินคลี่ผ้ารองกันเปื้อนที่วางอยู่บนโต๊ะออก ก่อนจะเริ่มลงมือรับประทานอาหาร เขายกแก้วน้ำขึ้นจิบหนึ่งอึก หันไปมองหลินจยาอวี่แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “คุณหนูหลิน อยากหาใครสักคนมาเป็นพ่อเด็กไหมครับ”


 


 


หลินจยาอวี่ที่กำลังคลี่ผ้ารองกันเปื้อนชะงักไปเล็กน้อย เธอเลื่อนสายตาขึ้นมามองลู่เสวี่ยเฉิน พูดด้วยความสงสัย “ที่คุณลู่นัดฉันออกมาวันนี้ คงไม่ใช่เพราะอยากให้ร่วมมือกันโกหกแม่ของคุณใช่ไหมคะ”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินแก้คำพูดของหลินจยาอวี่ให้ถูกต้อง “ไม่ถือว่าเป็นการโกหกหรอกครับ แค่ช่วยให้แม่ผมมีความสุขก็เท่านั้น”


 


 


หลินจยาอวี่จ้องหน้าลู่เสวี่ยเฉินเขม็ง โครงหน้าของชายหนุ่มงดงามมากจริงๆ ทุกสัดส่วนราวกับถูกแกะสลักออกมาอย่างประณีต เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปฏิเสธ “ขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่มีความคิดที่จะหาพ่อให้ลูก ฉันแนะนำว่าคุณลู่ควรจะอธิบายกับคุณแม่ของคุณให้ท่านเข้าใจ การโกหกอยู่ได้ไม่นานหรอกค่ะ ไม่ช้าหรือเร็วอย่างไรก็ต้องมีสักวันที่ความแตก อาหารมื้อนี้ถือว่าฉันเป็นคนเชิญแล้วกันนะคะ”


 


 


หลินจยาอวี่พูดอย่างหนักแน่นมั่นคง ทว่ากลับไม่ได้ทำให้ลู่เสวี่ยเฉินมีความคิดที่จะถอดใจแม้แต่น้อย เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ “คุณหนูหลินไม่ลองคิดทบทวนเพื่อตัวเองก็ลองคิดทบทวนเพื่อเด็กในท้องดูดีไหมครับ หรือคุณหนูต้องการให้เขาเติบโตมาเป็นลูกเก็บที่ให้ออกไปเจอใครไม่ได้”


 


 


หลินจยาอวี่หลุบสายตาลงเล็กน้อย ตอบกลับเสียงเรียบ “แต่พวกเราสองคนไม่เหมาะสมกัน”


 


 


มุมปากของลู่เสวี่ยเฉินยกขึ้น เหมือนยิ้มแต่ก็เหมือนไม่ยิ้ม “ผมไม่ได้จะเป็นสามีภรรยากับคุณหนูหลินจริงๆ สักหน่อย ผมแค่ต้องการให้เราทำสัญญาเป็นสามีภรรยากันหนึ่งปี หลังจากหนึ่งปีค่อยหย่าขาดตัดจากกัน”


 


 


เท่าที่เขารู้จักเหวินซินเม่ย มีเพียงการแต่งงานเท่านั้นที่จะสามารถทำให้เหวินซินเม่ยหมดเยื้อใยต่อเขา สำหรับชีวิตเขาจะแต่งงานกี่ครั้งก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรอยู่แล้ว


 


 


หลินจยาอวี่อ้าปากหมายจะปฏิเสธทันที ทว่าลู่เสวี่ยเฉินชิงพูดขึ้นก่อน “คุณหนูหลินไม่จำเป็นต้องรีบร้อนปฏิเสธ ลองคิดทบทวนดูก่อนก็ได้ครับ”


 


 


ทบทวนสัญญาแต่งงานหนึ่งปี ให้ลูกท้องได้มีสถานะอยู่ในสังคมได้อย่างเปิดเผย?


 


 


ข้อแลกเปลี่ยนนี้จะทำได้จริงหรือ หลินจยาอวี่ไม่สามารถตัดสินใจในทันทีทันใดได้ เธออยากถามความคิดเห็นจากอวี๋กานกานดูก่อน


 


 


อวี๋กานกานอยู่ในงานสัมมนา ซึ่งวันนี้บรรยายโดยแพทย์อาวุโสเจิง อวี๋กานกานฟังบรรยายอย่างตั้งอกตั้งใจ


 


 


ซูจิ่วซานนั่งอยู่ตรงข้ามกับอวี๋กานกาน มีอาการกระวนกระวายใจเล็กน้อย สายตามักจะแอบเหล่มองอวี๋กานกานอยู่บ่อยครั้ง เมื่อสองวันก่อนเธอแนะนำผู้จัดการหลี่ว์ให้เชิญอวี๋กานกานไปรักษาแม่เฒ่าตระกูลเยี่ย ราชาปีศาจแห่งตระกูลเยี่ยรับมือด้วยยากขนาดนั้น อวี๋กานกานไปแล้วไม่มีทางได้รับการต้อนรับที่ดีอย่างแน่นอน แล้วทำไมถึงทำตัวเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หรือว่าราชาปีศาจแห่งตระกูลเยี่ยนั่นไม่ได้สร้างเรื่องลำบากใจให้ยัยอวี๋กานกาน?


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์เองก็ไม่ได้มาที่สมาคมหลายวันแล้ว อาการป่วยของแม่เฒ่าเยี่ยตอนนี้เป็นอย่างไรเธอก็ไม่รู้ หรือยัยอวี๋กานกานจะมีวิธีที่รักษาไส้ติ่งอักเสบได้ภายในพริบตาจริงๆ ?


 


 


ไม่มีทางเป็นไปได้ เธอได้ยินมาว่าอาการป่วยของแม่เฒ่า แม้แต่ผู้อาวุโสหวงเองก็ไม่มีวิธีรักษาให้หายในทันที ยัยอวี๋กานกานอะไรนั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง แม้ว่าผู้จัดการหลี่ว์จะไม่ได้เที่ยวตระเวนเชิญแพทย์แล้ว แต่เหมือนว่าเขาจะโทรศัพท์หารุ่นพี่ซย่า ดูลับๆ ล่อๆ ยังไงชอบกล


 


 


หรือที่เขาโทรหารุ่นพี่ซย่าก็เพราะอาการป่วยของแม่เฒ่าเยี่ย?


 


 


ตอนอยู่ที่ตระกูลเยี่ยยัยอวี๋กานกานต้องโดนด่าสาดเสียเทเสียแล้วอย่างแน่นอน ทั้งยังทำให้ผู้จัดการหลี่ว์ต้องซวยไปด้วย นี่เป็นสาเหตุที่ผู้จัดการหลี่ว์โกรธจนไม่มาสมาคม ทำเพียงแค่โทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือจากรุ่นพี่ซย่า


 


 


ลำบากรุ่นพี่ซย่าแล้วจริงๆ ที่ต้องไปตามเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ยัยอวี๋กานกาน


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 252 ขอบคุณถึงที่


 


 


ผู้อาวุโสหวงบรรยายได้อย่างยอดเยี่ยม เนื้อหาสั้นกระชับแต่ได้ใจความสำคัญ ชวนให้ผู้ฟังติดตาม


 


 


ทุกคนล้วนฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ทุกเคสตัวอย่างราวกับได้เข้าไปอยู่วิเคราะห์ในสถานการณ์จริง คำถามมาอย่างไม่ขาดสายจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงานสัมมนาแล้วก็ยังไม่จบการบรรยาย


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์ปรากฏตัวบริเวณหน้าประตูห้องสัมมนา เมื่อเห็นว่าทุกคนยังถกถามและฟังบรรยายต่อ เขาจึงไม่เข้าไปขัดจังหวะ หมุนตัวแล้วเดินจากไป


 


 


หางตาของซูจิ่วซานเห็นผู้จัดการหลี่ว์แวบๆ หัวใจของเธอพองโตขึ้นมาทันที เธอรู้ว่าผู้จัดการหลี่ว์มาสมาคมทั้งทีต้องอยู่นานอย่างแน่นอน ถ้างั้นเธอลองถามเหตุการณ์ตอนอวี๋กานกานไปตรวจอาการให้แม่เฒ่าตระกูลเยี่ยดูดีไหมนะ ทุกคนจะได้รู้เช่นเห็นชาติว่ายัยอวี๋กานกานไร้ความสามารถ มีดีแต่พูด คนรุ่นใหม่ผู้มีแววสืบทอดแพทย์แผนจีนบ้าบออะไร ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ใช้วิธีสกปรกให้ได้มาซึ่งชื่อเสียง


 


 


การที่ยัยอวี๋กานกานมาเข้าร่วมสัมมนาที่สมาคมก็ไม่ได้เป็นเพราะรักในแพทย์แผนจีน ตั้งใจอยากศึกษาเล่าเรียน มันแค่ต้องการชุบตัวสร้างชื่อเสียงอย่างรวดเร็วก็เท่านั้น


 


 


หลังการบรรยายจบ อวี๋กานกานและหวังไอ้เจินยังติดลมบน เดินเข้าไปหาผู้อาวุโสเจิงแลกเปลี่ยนถกเถียงปัญหาด้านวิชาการทางการแพทย์กับทุกคนอย่างออกรสชาติ


 


 


ด้านซูจิ่วซานแยกตัวออกไปอย่างเงียบๆ เธอตะโกนเรียกผู้จัดหลี่ว์ตรงหน้าบันได “ผู้จัดการหลี่ว์คะ ครั้งก่อนที่ฉันให้คุณเชิญอวี๋กานกานไปตระกูลเยี่ยตรวจอาการให้แม่เฒ่า อาการของแม่เฒ่าเยี่ยดีขึ้นบ้างหรือยังคะ สองวันนี้ฉันว่าง ให้ฉันไปตรวจดูอีกทีดีไหมคะ…”


 


 


สองวันมานี้ผู้จัดการหลี่ว์อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เดินหลังตรง อกผายไหล่ผึ่ง ในตอนที่เขากำลังอ้าปากจะตอบซูจิ่วซาน สายตาหันไปเห็นด้านนอกมีเด็กหนุ่มสามคนกำหลังเดินเข้ามา สีหน้าของผู้จัดการหลี่ว์อึมครึมขึ้นเล็กน้อย ฉายแววความหนักใจที่อธิบายออกมาได้ยาก


 


 


แม้ว่าอวี๋กานกานจะรักษาแม่เฒ่าเยี่ยจนหายดีแล้ว เยี่ยจยาเซิงเองก็ยอมรับในมิตรไมตรีที่เขามีให้ ตอนนี้พวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างมากต่อกัน แต่กับราชาปีศาจแห่งตระกูลเยี่ย ผู้จัดการหลี่ว์ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าหากเลี่ยงไม่ยุ่งเกี่ยวได้ก็ขอไม่ยุ่งเกี่ยว ยิ่งไม่หวังให้เยี่ยซีมาขอบคุณ หวังเพียงแค่เยี่ยซีให้เขาได้อยู่อย่างสงบสุข


 


 


 ซูจิ่วซานเห็นว่าผู้จัดการหลี่ว์หน้าซีดเป็นไก่ต้มทันทีที่เธอเอ่ยถึงอวี๋กานกานและตระกูลเยี่ย พลันสรุปเอาเองในใจว่าเรื่องตระกูลเยี่ยอวี๋กานกานทำพังพินาศย่อยยับหมดแล้วอย่างแน่นอน


 


 


ผิวหนังชั้นนอกของยัยอวี๋กานกานใกล้จะถูกถลกออกมาแล้ว


 


 


ในใจซูจิ่วซานจินตนาการถึงฉากที่อวี๋กานกานโดนทุกคนฉีกหน้า ดูถูกเหยียดหยามและหมางเมิน พลันรู้สึกอยากจะพูดปลอบใจผู้จัดการหลี่ว์ “ผู้จัดการหลี่ว์คะ…”


 


 


จู่ๆ ผู้จัดการหลี่ว์ก็ก้าวเท้าเดินไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับส่งเสียงทักทาย “คุณชายเยี่ย…”


 


 


ซูจิ่วซานเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสามคน สวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า ราคาทั้งตัวคาดว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งแสนหยวนกว่าๆ โดยเฉพาะเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด นาฬิกาข้อมือแบรนด์ดังที่สวมอยู่นั้นคือ Patek Philippe รุ่นลิมิตเต็ดอิดิชั่น เหมือนว่าบนโลกนี้จะมีเพียงสิบเรือนเท่านั้น


 


 


ใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงตระหง่าน สีหน้าหยิ่งทะนง แววตาเย็นชา…การมาเยือนของพวกเขาทำให้เหล่าพนักงานสาวในสมาคมพากันใจเต้นโครมคราม


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์เรียกเด็กชายที่สวมนาฬิกาข้อมือแบรนด์ Patek Philippe ว่าคุณชายเยี่ย ถ้าอย่างงั้นเด็กหนุ่มสามคนนี้ก็คือสามวีรบุรุษแห่งปักกิ่ง ประกอบด้วยราชาปีศาจแห่งตระกูลเยี่ยเยี่ยซี ตามด้วยเฉินมั่วและเสิ่นตงชิง


 


 


ทำไมพวกเขาถึงมาที่สมาคม หรือเป็นเพราะยัยอวี๋กานกานรักษาแม่เฒ่าไม่สำเร็จ มิหนำซ้ำยังไปยั่วโมโหเยี่ยซีเข้าให้ ฉะนั้นเยี่ยซีจึงมาคิดบัญชีกับอวี๋กานกานถึงที่สมาคม


 


 


หากเป็นเช่นนี้จริงต้องมีเรื่องสนุกๆ ให้ได้ดูกันฟรีๆ อย่างแน่นอน เยี่ยซีขึ้นชื่อว่ามีนิสัยไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น ลงมือกับผู้หญิงได้อย่างน่าสยดสยอง ไม่มีทางปล่อยให้ยัยอวี๋กานกานมีจุดจบที่สวยงามแน่


 


 


“สวัสดีครับผู้จัดการหลี่ว์ ผมมามอบของเล็กๆ น้อยๆ” เยี่ยซีพูดพลางหันไปมองเสินตงชิงและเฉินมั่ว ในมือของพวกเขาข้างหนึ่งถือธงประกาศเกียรติคุณอีกข้างถือกล่องผูกด้วยริบบิ้น มองแค่แวบเดียวก็สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นของขวัญที่ผ่านการเอาใจใส่มาอย่างดีที่สุด


 


 


ของขวัญเหล่านี้เยี่ยซีคัดสรรมาเป็นอย่างดีเพื่ออวี๋กานกานโดยเฉพาะ


ตอนที่ 253 หน้าแตกไม่เหลือชิ้นดี


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์รู้สึกเบาใจลงเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ราชาปีศาจใช้คำสุภาพพูดคุยกับเขา มุมปากของเขายกยิ้มขึ้น “เหมือว่าคุณหมออวี๋จะอยู่ในห้องประชุม ยังไม่ออกมา”


 


 


รอยยิ้มมุมปากที่ยกขึ้นอย่างลำพองใจของซูจิ่วซานชะงักลงอย่างเฉียบพลัน


 


 


มอบของขวัญ?


 


 


มอบของขวัญจริงๆ หรือว่าใช้คำว่ามอบของขวัญมาอ้างเพื่อเข้าไปสั่งสอนยัยอวี๋กานกานกันแน่


 


 


ซูจิ่วซานคลี่ยิ้ม “พวกคุณมาหาคุณหมออวี๋เหรอคะ คุณหมออวี๋เป็นหมอที่อายุน้อยที่สุดในสมาคมของพวกเราแล้วล่ะค่ะ วิชาแพทย์ที่ถนัดที่สุดก็คือรักษาโรคให้เด็กหนุ่ม พวกคุณก็คงมาหาคุณหมออวี๋เพื่อให้เธอช่วยตรวจดูอาการให้สินะคะ เลือกได้ถูกคนจริงๆ ค่ะ”


 


 


เยี่ยซีหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาแหลมคมกดดันมองไปทางซูจิ่วซาน “เธอเป็นใคร”


 


 


คำพูดของผู้หญิงคนนี้ฟังผิวเผินเหมือนคำชม แต่แท้จริงเป็นคำด่า เยี่ยซีพูดอย่างรำคาญด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หน้าตาทั้งเ**่ยวทั้งอัปลักษณ์ แถมยังไม่รู้จักใช้คำพูด”


 


 


สีหน้าของซูจิ่วซานเรียกได้ว่าดูไม่ได้ อวดดีและไร้มารยาทเกินไปแล้ว มิน่าถึงไม่มีหมอคนไหนยอมไปตระกูลเยี่ย!


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์แอบบ่นพึมพำว่าแย่ล่ะ เขาเกรงว่าถ้าเยี่ยซีโมโหขึ้นมาจะกลายร่างเป็นคนไม่เห็นหัวใคร จึงรีบชิงพูดขึ้นมา “ท่านนี้คือคุณหมอซูของสมาคมพวกเราครับ เธอเป็นคนแนะนำคุณหมออวี๋ให้ผม” พลางหันไปมองซูจิ่วซานแล้วส่งยิ้มให้ “นึกดูแล้วก็ต้องขอบคุณคุณหมอซูจริงๆ ถ้าคุณหมอซูไม่ได้แนะนำคุณหมออวี๋ให้ผม อาการป่วยของแม่เฒ่าเยี่ยคงต้องลากยาวไปอีกระยะหนึ่ง”


 


 


แม้ว่าหมอไมเคิลจะแนะนำให้ผ่าตัดโดยใช้วิธีฝังเข็มเชิงวิสัญญีเช่นเดียวกัน แต่ถ้ารอให้ถึงตอนนั้นตระกูลเยี่ยคงไม่รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเขา ดีที่เขาเชิญคุณหมออวี๋มาก่อน


 


 


รูม่านตาซูจิ่วซานหดเล็กอย่างฉับพลัน นึกว่าตนเองฟังผิด อวี๋กานกานนังผู้หญิงชั้นต่ำ สร้างชื่อเสียงโดยการหลอกคนทั้งโลก หรือว่ามันใช้มารยาหญิงจับเยี่ยซีจนอยู่หมัดแล้ว ไม่เช่นนั้นทำไมถึงได้…


 


 


ในตอนที่อวี๋กานกานเดินออกมา เธอได้ยินประโยคสุดท้ายของผู้จัดการหลี่ว์พอดี ที่แท้การที่เธอได้ไปตระกูลเยี่ยเป็นเพราะซูจิ่วซานแนะนำนี่เอง ตอนไปตระกูลเยี่ยช่วงแรกเธอโดนเยี่ยซีรังควานไม่น้อยเลย บวกกับฟังจากน้ำเสียงลำบากใจของผู้จัดการหลี่ว์ในตอนนั้น ดูท่าทุกคงรู้อยู่แล้วว่าชื่อเสียงเรียงนามของเยี่ยซีเน่าเหม็นแค่ไหน


 


 


เห็นได้ชัดว่าซูจิ่วซานเองก็รู้ในข้อนี้ดี ถึงได้ออกโรงแนะนำอวี๋กานกาน ตั้งใจให้เธอโดนรังแก


 


 


เมื่อได้ยินว่าเพราะซูจิ่วซาน อวี๋กานกานถึงได้มาตรวจที่ตระกูลเยี่ย สีหน้าของเยี่ยซีดูดีขึ้นเล็กน้อย เขาเลื่อนสายตาขึ้นเห็นอวี๋กานกาน พลันฉีกยิ้มออกมาทันที “พี่”


 


 


ก่อนหน้านี้เรียกซ้อ แต่อวี๋กานกานยืนกรานขอให้แก้ให้ถูกต้อง


 


 


เยี่ยซีเชิดคางส่งสัญญาณให้เสิ่นตงชิงและเฉินมั่ว


 


 


เสิ่นตงชิงรีบยื่นธงประกาศเกียรติคุณไปตรงหน้าอวี๋กานกาน พร้อมกับคลี่ธงและชี้ไปที่ตัวอักษร “พี่อวี๋ วิชาแพทย์ปาฏิหาริย์ ฮวาถัว[1]มาจุติใหม่”


 


 


เฉินมั่วเองก็ยื่นกล่องของขวัญไปตรงหน้าอวี๋กานกาน “นี่เป็นกระเป๋าแอร์เมสคอลเลคชั่นใหม่รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่เพิ่งออกปีนี้ ผมและพี่ซีเลือกให้พี่ด้วยมือของตัวเอง ชอบไหมครับ”


 


 


อวี๋กานกานกุมขมับ รู้สึกอับอายเล็กน้อย รีบลากทั้งสามคนเข้าห้องประชุมห้องหนึ่ง


 


 


“อย่าเลย คนที่ช่วยรักษาแม่เฒ่าเยี่ยจริงๆ คือคุณหมอไมเคิล ถ้าพวกนายอยากขอบคุณก็ไปขอบคุณเขาเถอะ”


 


 


ธงประกาศเกียรติคุณเธอจะรับไว้ก็แล้วกัน ส่วนกระเป๋าเธอรับไว้ไม่ได้จริงๆ แต่ว่าพอเธอดันกลับ เยี่ยซีก็ผลักกลับมา


 


 


เสิ่นตงชิงที่ยืนอยู่ข้างๆ พูด “พี่รับไว้เถอะครับ ถ้ารู้สึกว่ามันมากเกินไป พี่ก็จ่ายยาให้พวกผมสักชุดสองชุด”


 


 


เฉินมั่วพยักหน้าหงึกงัก กล่าว “ใช่ๆ จ่ายยาสักชุดสองชุด”


 


 


อวี๋กานกานมองพวกเขา ริมฝีปากหยักโค้งขึ้น ทว่ากลับไม่มีแววของรอยยิ้มแฝงอยู่ในนั้น “ยังแข็งแรงดีจะกินยงกินยาอะไรกัน ยังวัยรุ่นอยู่ออกกำลังกายเยอะๆ”


 


 


เสิ่นตงชิงยิ้มชั่วร้าย “ตกดึกผมออกกำลังกายทุกคืนเลยครับ”


 


 


เยี่ยซีเบิ๊ดกะโหลกเสิ่นตงชิงทันทีที่พูดจบ “ใครให้นายพูดเรื่องพรรค์นี้กันหะ นี่พี่สาวฉันเลยนะ พูดจาให้มันดีๆ หน่อย”  


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ฮวาถัว ปรมาจารย์ด้านศัลยแพทย์


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 254 ต่อจากนี้ผมจะเป็นแบ็คอัพให้พี่เอง


 


 


เสิ่นตงชิงเพิ่งจะตระหนักได้ว่าตัวเองพูดผิด รีบขอโทษอย่างประจบประแจง “พี่ ผมไม่ได้หมายถึงทำกิจกรรมบนเตียงกับผู้หญิงทุกคืน ผมนานๆ ครั้งถึงจะทำกิจกรรมบนเตียงกับผู้หญิง”


 


 


อวี๋กานกานมุกปากกระตุก


 


 


เยี่ยซีและเฉินมั่วเองก็อับอายขายขี้หน้า ถีบเสิ่นตงชิงไปคนละที


 


 


เสิ่งตงชิงร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวดอยู่ข้างๆ


 


 


เยี่ยซีกระแอมออกมาเบาๆ หนึ่งครั้ง ฉีกยิ้มงดงามราวกับมวลบุปผาให้อวี๋กานกาน กล่าว “พี่ครับ เย็นนี้พวกผมอยากจะชวนพี่ไปรับประทานอาหารด้วยกันสักมื้อ”


 


 


“เย็นนี้ฉันมีนัดแล้ว” อวี๋กานกานมีนัดกับหลินจยาอวี่จริงๆ


 


 


“ถ้างั้นพี่จะว่างอีกทีเมื่อไรครับ พวกเราจะได้ไปรับประทานด้วยกันสักมื้อ” เยี่ยซีพูดพลางถูฝ่ามือไปมา น้ำเสียงประหม่าลงอย่างอัตโนมัติ พูดลิ้นพัน “ละ ละ ละ แล้วก็ ชะ ชะ ชวนเฮียฟัง ขะ ขะ ของผม มะ มะ มาด้วยได้ไหม”


 


 


“ฉันกับฟังจือหันรู้จักกันแค่ผิวเผิน” อยากเลี้ยงข้าวเธอสักมื้ออะไรกัน เธอก็แค่ของแถมติดไปด้วยเท่านั้น เยี่ยซีเจ้าเด็กบ้า อยากจะเลี้ยงฟังจือหันชัดๆ เธอไม่ยอมติดกับไปเป็นตัวแถมให้คนครบจำนวนหรอก


 


 


“พี่ไม่ใช่ภรรยาของเฮียหรอกเหรอ”


 


 


“ไม่ใช่”


 


 


“งั้นก็ขาดแค่จดทะเบียนสมรส”


 


 


“ไม่ใช่” อวี๋กานกานค่อนข้างเอือมระอา ตอนนี้เธอกลัวการต้องเผชิญหน้ากับฟังจือหัน อิหลักอิเหลื่อและเขินอายเกินไป


 


 


เยี่ยซีไม่เชื่อเด็ดขาดว่าพวกเขารู้จักกันแค่ผิวเผิน ภาพเหตุการณ์เมื่อวันนั้นยังสดใหม่เหมือนเพิ่งเกิดตรงหน้า ทั้งสองคนถ้าไม่มีหนึ่งขา[1] งั้นก็ต้องมีสองขาอย่างแน่นอน   


 


 


เยี่ยซีพูดอย่างทุกข์ระทมขมขื่น “พูดกับพี่อย่างจริงจังเลยนะครับ หลายปีมานี้คำอธิษฐานตอนเริ่มต้นปีใหม่ของผมมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นคือได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับเฮียสักมื้อ จากนั้นเล่นเคาน์เตอร์สไตร์ต[2]ด้วยกัน”


 


 


เฉินมั่วที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบพยักหน้าทันที “คำอธิษฐานวันคริสต์มาส วันเกิด วันแรงงาน วันไหว้บ๊ะจ่าง…พี่ซีอธิษฐานแบบนี้หมดเลย”


 


 


เสิ่นตงชิงลูบศีรษะตัวเองป้อยๆ “จริงครับ ยกเว้นคำอธิษฐานของวันปีใหม่ที่เพิ่งผ่านไป”


 


 


เยี่ยซีและเฉินมั่วถีบเสิ่นตงชิงคนละทีอีกครั้ง


 


 


เสิ่งตงชิ่งไม่เข้าใจว่าเขาพูดผิดตรงไหน “…”


 


 


อวี๋กานกานเนือยหน่าย “…”


 


 


คำอธิษฐานเยอะเสียจริง หนึ่งเทศกาลหนึ่งคำอธิษฐาน เกรงว่าคำอธิษฐานที่ขอให้ได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับฟังจือหันสักมื้อ คงเป็นแค่เศษเสี้ยวเดียวของคำอธิษฐานหลายพันข้อ


 


 


เยี่ยซีทอดถอนหายใจ ประหนึ่งถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง “พี่ครับ เรื่องนี้มีเพียงพี่คนเดียวที่จะช่วยผมได้”


 


 


เฉินมั่วมีสีหน้าหนักใจ ราวกับเกิดเรื่องคอขาดบาดตาย “พี่ครับ ช่วยพี่ซีเถอะนะครับ”


 


 


เสิ่งตงชิงหยิกน่องของตัวเองอย่างแรง น้ำตาคลอเบ้าพูดกับอวี๋กานกานอย่างทุกข์ทรมาน “พี่ซีทุกข์ระทมมากจริงๆ นะครับ หลายปีมานี้กินไม่ได้นอนไม่หลับ ทุกวันเอาแต่คิดอยากพบหน้าเฮีย ครั้งก่อนกว่าจะได้เจอไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ พอได้เจอแล้วอยากกินข้าวด้วยสักมื้อ ถ้าพี่ไม่ยอมช่วย กลัวว่าพี่ซีต้องล้มป่วยแน่”


 


 


เวอร์กันเกินไปแล้ว! เกิดเส้นขีดสีดำพาดทั่วบริเวณเหนือศีรษะของอวี๋กานกาน


 


 


เจ้าสามคนนี้เป็นเด็กหนุ่มที่บรรลุนิติภาวะแล้วจริงๆ หรือ


 


 


อายุก็เกินสิบเก้าปีแล้ว ทั้งยังไม่ใช่ว่าเป็นสามวีรบุรุษที่มนุษย์ เทพหรือปีศาจยังต้องเกรงขามหรอกหรือ ทำไมถึง…ที่แท้ตำนานล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง


 


 


อวี๋กานกานโดนพวกเขาตามตื้อจนอับจนหนทาง ทำได้เพียงรับปาก ต้องหาวิธีจัดงานเลี้ยงให้พวกเขาให้ได้


 


 


ดวงตาทั้งสองของเยี่ยซีทอแสงแวววาวราวกับอัญมณีทันที เขามองอวี๋กานกานด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ครับ ต่อจากนี้ผมจะเป็นแบ็คอัพให้พี่เอง ถ้าใครกล้ารังแกพี่ ผมเยี่ยซีจะไม่ปล่อยมันไว้แน่! สุดขอบฟ้าสิ้นมหาสมุทรผมก็จะไปลากตัวมันมา ทำให้มันรู้สึกเสียดายที่ยังต้องมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้!”


 


 


อวี๋กานกานมึนงงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดขำพรืดออกมา แม้ว่าจะค่อนข้างจูนิเบียว ทว่าก็รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจไม่น้อยเลยทีเดียว


 


 


เยี่ยซีก้าวเท้าออกจากสมาคม ประหนึ่งแม่ทัพกลับเมืองหลังได้รับชัยชนะจากสงคราม ดูแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไอดอลของเขาเป็นพวกภรรยาคุมเข้ม ก็ไอดอลเขาไม่ถนัดเข้าหาผู้หญิงนี่นา ถึงได้โดนชาวบ้านชาวช่องลือกันว่าเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน น่าสงสารจริงๆ !


 


 


กว่าจะหาแฟนสาวได้สักคนไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย ไอดอลเขาย่อมต้องทะนุถนอมเป็นธรรมดา ฉะนั้นหากเข้าทางอวี๋กานกานได้สำเร็จ เขาก็จะได้อยู่ใกล้ชิดกับไอดอลทุกที่ทุกเวลา


ตอนที่ 255 อมทรายพ่นเงา[1]


 


 


หลังจากที่อวี๋กานกานส่งเจ้าเด็กปีศาจทั้งสามเรียบร้อยแล้ว เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าฟังจือหันจะมีแฟนบอยด้วย นี่มันเหมือนกับเด็กสาวที่ตามกรี้ดดาราไม่มีผิด โชคดีที่เยี่ยซีไม่ใช่ผู้หญิง มิเช่นนั้นเขาต้องพลีกายถวายใจให้ฟังจือเป็นแน่แท้


 


 


เดี๋ยวนะ ทำไมเธอถึงใช้คำว่าโชคดี… อยากพลีกายก็พลีไปเถอะ เกี่ยวกับเธอตรงไหนเล่า อวี๋กานกานจะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ไม่ออก เธอหันศีรษะกลับมาเห็นซูจิ่วซานยืนอยู่ตรงหน้า สีหน้าดูไม่ได้ประหนึ่งถูกปกคลุมไว้ด้วยเมฆหมอกอึมครึม


 


 


แต่ไหนแต่ไรซูจิ่วซานไม่ชอบขี้หน้าเธออยู่แล้ว การที่ซูจิ่วซานแนะนำเธอให้ผู้จัดการหลี่ว์  ไม่ต้องคิดให้ซับซ้อนมากความ เธอก็สามารถเข้าใจได้


 


 


อวี๋กานกานมองซูจิ่วซาน คลี่ยิ้ม “ฉันก็เพิ่งรู้วันนี้นะคะเนี่ย ว่าเป็นคุณหมอซูที่แนะนำให้ฉันไปตระกูลเยี่ย ต้องขอบคุณคุณหมอซูจริงๆ”


 


 


รอยยิ้มและคำขอบคุณนี้ของอวี๋กานกาน ในสายตาของซูจิ่วซานทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องตลบตะแลง ซูจิ่วซานรับรู้เพียงแค่ว่าเพลิงพิโรธในใจกำลังลุกโชน


 


 


ภายในร่างกายลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิง ทว่าร่างกายภายนอกกลับเหมือนถูกกดอยู่ใต้ธารา รู้สึกหายใจไม่ออกเป็นระยะๆ


 


 


อายุน้อยกว่า สวยกว่า แม้ว่าวิชาแพทย์ที่เธอภูมิใจนักภูมิใจหนาก็ยังสู้อวี๋กานกานไม่ได้…นี่มันเป็นไปไม่ได้!


 


 


ซูจิ่วซานข่มกลั้นความโกรธในใจไว้ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “อวี๋กานกาน นิสัยแกเป็นยังไง พวกเราต่างรู้อยู่แก่ใจดี ต่อหน้าฉันยังจะเสแสร้งแกล้งทำไมอีก ขอบคุณฉันทำไม ที่ควรขอบคุณคือความสามารถทำให้ผู้ชายสยบใต้กระโปรงของเธอต่างหาก”


 


 


อวี๋กานกานหรี่ตา นัยน์ตาฉายประกายรังสีเย็นเยียบ แค่นหัวเราะเสียงเย็น “คุณหมอซู คุณกลับบ้านไปอย่าลืมหากระจกสักบานส่องหน้าคุณตอนนี้ดูนะคะว่าน่ากลัวแค่ไหน!”


 


 


ซูจิ่วซานนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง กว่าจะฟังเข้าใจว่าอวี๋กานกานกำลังด่าตัวเองว่าหน้าตาน่าเกลียด เธอโมโหถึงขีดสุด “แกหมายความว่าอะไร”


 


 


อวี๋กานกานคลี่ยิ้มบางๆ สีหน้านิ่งสงบ กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คำพูดของฉันน่าจะเข้าใจได้ไม่ยากนะคะ สาเหตุที่สีหน้าของคนคนนั้นน่ากลัว ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะใจของคนคนนั้นอัปลักษณ์”


 


 


อมทรายพ่นเงาด่าซูจิ่วซานหน้าตาอัปลักษณ์แต่จิตใจกลับอัปลักษณ์ยิ่งกว่า


 


 


ปกติอวี๋กานกานมีนิสัยง่ายๆ สบายๆ ไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย ไม่ชอบคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องขี้ปะติ๋ว แต่หากโดนกลั่นแกล้งรังแกจนถึงขีดจำกัดแล้ว เธอจะเอาคืนกลับเป็นสองเท่าอย่างแน่นอน


 


 


ซูจิ่วซานโกรธจนหน้าเขียว ดวงตาเบิกโพลง ตวาดลั่น “แกมันจองหองเกินไปแล้ว คิดว่าครอบครัวมีเงินหน่อยก็สามารถวางอำนาจบาตรใหญ่ ไม่เคารพผู้อื่นได้ คนอย่างแกยังมีหน้ามาที่สมาคมของพวกเราอีก ทำชื่อเสียงสมาคมของพวกเราเสื่อมเสียชัดๆ…”


 


 


“จิ่วซาน”


 


 


น้ำเสียงเย็นเยียบของชายหนุ่มแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจพูดแทรกขัดจังหวะซูจิ่วซาน


 


 


ซูจิ่วซานหันไปตามเสียง เห็นซย่าเฉิงโจว นัยน์ตาฉายประกายความน้อยเนื้อต่ำใจ สะกดกลั้นจิตใจที่เต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจ ร้องทักทายพร้อมทั้งดวงตาที่แดงก่ำ “รุ่นพี่ซย่า…”


 


 


ซูจิ่วซานนึกว่าหลังจากที่ซย่าเฉิงโจวได้เห็นอวี๋กานกานที่เย่อหยิ่งจองหองแล้ว เขาต้องมองเห็นเนื้อแท้ของอวี๋กานกานแน่ นึกไม่ถึงว่าซย่าเฉิงโจวกลับบอกกับเธอว่า “ขอโทษคุณหมออวี๋ซะ”


 


 


ประโยคนี้ราวกับสายฟ้าฟาดลงมาที่กลางใจของซูจิ่วซาน แรงสั่นสะเทือนไม่น้อยไปกว่าตอนที่รู้ว่าอวี๋กานกานรักษาแม่เฒ่าเยี่ยได้สำเร็จเลย


 


 


ซูจิ่วซานมองหน้าซย่าเฉิงโจวด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง “ทำไมฉันต้องขอโทษมันด้วย”


 


 


คนอื่นไม่รู้ แต่รุ่นพี่ซย่าน่าจะรู้ดีว่าอวี๋กานกานมันเป็นพวกครอบครัวเศรษฐีใช้วิธีติดสินบนเพื่อเข้ามาชุบตัว


 


 


“เธอไม่ควรทำแบบนี้ หมอทุกคนที่ได้มาเข้าร่วมงานสัมมนาครั้งนี้ล้วนคู่ควรกับการให้ความเคารพ”


 


 


ประโยคสนทนาเมื่อครู่ระหว่างซูจิ่วซานและอวี๋กานกาน ซย่าเฉิงโจวได้ยินทั้งหมด ซย่าเฉิงโจวรู้ว่าซูจิ่วซานเข้าใจอวี๋กานกานผิด อยากจะอธิบายให้ซูจิ่วซานเข้าใจ หวังให้ซูจิ่วซานไม่เป็นเหมือนเขาก่อนหน้านี้ที่ใช้อคติส่วนตัวมาตัดสินผู้อื่น


 


 


ทว่าประโยคที่ซย่าเฉิงโจวกล่าวมาเมื่อเข้าหูซูจิ่วซาน กลับเป็นอวี๋กานกานยั่วยวนรุ่นพี่ซย่าได้สำเร็จรุ่นพี่จึงช่วยมันแก้ตัวอย่างไม่มีเงื่อนไข


 


 


ซูจิ่วซานมองหน้าซย่าเฉิงโจวด้วยความผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง เธอกัดฟันกรอด รู้สึกเพียงแค่หัวใจแหลกสลาย!


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] อมทรายพ่นเงา มีที่มาจากปีศาจในตำนานรูปร่างคล้ายตะพาบ มีสามขา อาศัยอยู่ในน้ำ มันจะอมทรายและคอยแอบพ่นใส่เงาของผู้ที่ผ่านไปมา ซึ่งผู้ที่ถูกพ่นทรายใส่จะเจ็บไข้ล้มป่วย ในปัจจุบัน หมายถึง แอบใส่ความให้ร้ายผู้อื่นลับหลัง   


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 256 กลับบ้านเมื่อไหร่?


 


 


ซูจิ่วซานถลึงตามองอวี๋กานกานด้วยความโมโห นัยน์ตาฉายแววเกลียดชัง “อวี๋กานกาน เธอใช้วิธีน่ารังเกียจไร้ยางอายอะไรมาทำให้รุ่นพี่ซย่าหลงขนาดนั้น”


 


 


ซย่าเฉิงโจวหน้าเสียถึงขีดสุดทันที


 


 


อวี๋กานกานพูดไม่ออก


 


 


ที่ซูจิ่วซานทำให้เธอลำบากมาตลอดเป็นเพราะซย่าเฉิงโจวงั้นเหรอ?


 


 


เธอแค่นหัวเราะ “หมอซู ฉันเข้าใจที่เธอชอบหมอซย่า การที่ผู้ชายที่ตัวเองชอบไม่ชอบตอบกลับมาก็เป็นเรื่องที่น่าเสียใจจริงๆ แต่เธอเสียใจก็คือเสียใจ จะมากัดคนอื่นตามใจชอบแบบนี้ไม่ได้ เธอชอบไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะชอบด้วย”


 


 


เข้าใจว่าที่อธิบายว่าเธอไม่มีทางชอบซย่าเฉิงโจว เพราะไม่อยากให้ซูจิ่วซานมาสร้างปัญหาให้เธออีก


 


 


แต่ที่เข้าหูของซูจิ่วซานมีเพียงการยั่วโมโหเท่านั้น


 


 


การถูกซย่าเฉิงโจวปฏิเสธเป็นข้อห้ามและสิ่งที่สามารถยั่วยุเธอได้ เธอหน้าแดงด้วยความโมโหขึ้นมาทันที “อวี๋กานกาน เธอเลิกมายุแหย่ยั่วโมโหฉันได้แล้ว คนอื่นไม่รู้ แต่ฉันรู้ดีว่าเธอ…”


 


 


“มาบอกว่าฉันยุแหย่ยั่วโมโห เห็นฉันเป็นคนน่ารังเกียจ เป็นคนลวงโลก งั้นเธอเป็นอะไร ต่อต้านอาจารย์ของฉัน คิดว่าตัวเองเป็นแม่พระ หมอซู อย่าคิดว่าตัวเองดีเกินไปนักเลย ไม่ใช่ว่าคนที่ไม่เข้าตาเธอจะเป็นคนไม่ดีไปซะหมด”


 


 


อวี๋กานกานทิ้งท้ายเอาไว้เท่านั้นแล้วก็หันหลังเดินออกไปอย่างไม่อยากจะสนใจเธออีก


 


 


ซูจิ่วซานมองแผ่นหลังของอวี๋กานกานด้วยความโมโห พร้อมกับพึมพำเบาๆ “ยังจะมาแสร้งทำซื่ออยู่นี่อีก”


 


 


ซย่าเฉิงโจวพูดเสียงเย็น “พอได้แล้ว”


 


 


ซูจิ่วซานมองซย่าเฉิงโจวด้วยความผิดหวัง “ฉันรู้ว่าฉันชอบรุ่นพี่ รุ่นพี่อาจจะคิดว่าทุกอย่างที่ฉันทำเป็นเพราะฉันอิจฉาความสัมพันธ์ของรุ่นพี่กับเธอ แต่มันไม่ใช่แบบนั้น ฉันแค่ไม่อยากให้รุ่นพี่ถูกเธอหลอก…”


 


 


“เลิกพูดได้แล้ว!”


 


 


ซย่าเฉิงโจวตัดบทเธออีกครั้ง


 


 


เขาสูดหายใจลึก พยายามปรับให้คำพูดของตัวเองอ่อนที่สุด


 


 


เพื่อให้ซูจิ่วซานสามารถยอมรับได้อย่างสงบ


 


 


“จิ่วซาน เรารู้จักกันมาหลายปี ก่อนหน้านี้ฉันก็เคยพูดไปแล้วว่าเราสองคนไม่เหมาะสมกัน เธอเป็นคนดี ฉันเชื่อว่าสักวันเธอจะได้เจอกับผู้ชายที่เหมาะกับเธอ อีกอย่าง…หมออวี๋ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด หมออวี๋มาที่สมาคมเพราะอยากจะเรียนรู้จริงๆ ผมกับเธอ……เราสองคนไม่ได้มีอะไรกัน แม้แต่พูดคุยก็คุยแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น”


 


 


ซูจิ่วซานไหล่สั่น ตาก็แดงก่ำ “รุ่นพี่ซย่า…”


 


 


ซย่าเฉิงโจวพูดเสียงเรียบ “ฉันยังมีเรื่องต้องทำอีก ขอตัวก่อน”


 


 


ซูจิ่วซานกัดริมฝีปาก กําหมัดแน่น ยามที่มองตามหลังซย่าเฉิงโจว


 


 


ในใจของเธอเต็มไปด้วยความโมโห ทว่าไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ซย่าเฉิงโจว แต่เป็นอวี๋กานกาน


 


 


เธอไม่คิดว่าซย่าเฉิงโจวมีปัญหาอะไร เธอรู้สึกว่าสาเหตุจริงๆ เป็นเพราะซย่าเฉิงโจวถูกหลอกด้วยคำพูดหวานหูของอวี๋กานกาน


 


 


ในวินาทีนั้น ซูจิ่วซานตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเปิดโปง “ความเลวทราม” ของอวี๋กานกานให้ได้


 


 


ถึงแม้มันจะทำให้ซย่าเฉิงโจวเข้าใจผิด แต่เธอก็ไม่ลังเล


 


 


ไว้เมื่อซย่าเฉิงโจวเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของอวี๋กานกานแล้วก็จะรู้เองว่าเขาเข้าใจเธอผิด


 


 


เมื่ออวี๋กานกานกลับมาถึงหอพัก พอเอาโทรศัพท์ออกมาถึงได้เห็นว่าฟางจือหันส่งข้อความมาหา


 


 


[ฟางจือหัน: จะกลับบ้านเมื่อไหร่]


 


 


ข้อความถูกส่งมาตอนที่เธอเพิ่งจะสัมมนาเสร็จ และเธอกำลังวุ่นอยู่กับการทักทายทั้ง 3 คนนั้น เพิ่งจะมาเห็นข้อความเอาก็ตอนนี้


 


 


ผ่านมา 2 ชั่วโมงแล้ว ต้องตอบกลับหรือเปล่า?


 


 


อวี๋กานกานถือโทรศัพท์เอาไว้ พลางคิดในใจว่าไม่ต้องตอบกลับก็แล้วกัน แต่นิ้วก็เริ่มพิมพ์ข้อความไปแล้ว: ฉันไม่กลับบ้าน…


 


 


ทำไมต้องบอกว่าไม่กลับบ้าน ไม่กลับบ้านอะไรกัน นั่นเป็นบ้านของฟางจือหันเขา ไม่ใช่บ้านของเธออวี๋กานกาน


ตอนนี้ 257 เพียงเพราะเธอเหมาะสม


 


 


หลังจากลบข้อความที่พิมพ์เรียบร้อยแล้วออก อวี๋กานกานก็พิมพ์ใหม่อีกครั้ง: ยุ่ง


 


 


นี่เป็นคำอธิบายว่าทำไมเธอถึงไม่กลับบ้าน และไม่ใช่ยอมรับว่าบ้านของเขาคือบ้านของเธอ


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างจะคิดแบบไม่มีเหตุผล


 


 


เธอฟุบตัวลงบนโต๊ะ


 


 


ถึงแม้ว่าฟางจือหันจะเป็นสามีปลอมๆ ของเธอ บ้านของเขาก็ถือว่าเป็นบ้านของเธอได้แบบชั่วคราว ทำไมเธอต้องบอกว่าอันนั้นก็ไม่ใช่อันนี้ก็ไม่ใช่ พอได้ยินชื่อเขา พอได้ข่าวเขา เธอก็จะรู้สึกอึดอัดขึ้นมามากกว่าปกติ


 


 


มีคนเคาะประตูจากด้านนอก


 


 


อวี๋กานกานสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป แล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู


 


 


คนที่ยืนอยู่ด้านนอกคือซย่าเฉิงโจว ใบหน้าหล่อเหลาและดูเป็นผู้ใหญ่เจือไปด้วยรอยยิ้มบาง


 


 


นึกถึงเรื่องของซูจิ่วซานก่อนหน้านี้ อวี๋กานกานก็ค่อนข้างจะปฏิเสธที่จะพูดคุยกับเขา “รุ่นพี่เซี่ยมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”


 


 


ซย่าเฉิงโจวยิ้มบาง ยามที่เอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมมาหาหมออวี๋เพราะมีธุระจริงๆ คุณพอจะมีเวลาว่างไหม”


 


 


อวี๋กานกานพยักหน้า


 


 


เธอตามซย่าเฉิงโจวไปที่ห้องประชุมสมาคมแพทย์แผนจีน เจอผู้จัดการหลี่ว์กับประธานสวี ประธานของสมาคมวิจัยและพัฒนายา


 


 


พอเห็นพวกเขาเข้ามา ผู้จัดการหลี่ว์ก็แนะนำสั้นๆ “ผมขอแนะนำนะครับประธานสวี คนนี้คือเสี่ยวอวี๋ หมออวี๋ที่ผมเคยพูดถึง เรื่องคุณนายตระกูลเย่ก็โชคดีที่ได้เธอช่วย!”


 


 


อวี๋กานกานพูดพร้อมรอยยิ้ม “สวัสดีค่ะประธานสวี”


 


 


ประธานสวีจับมือกับเธอ ใบหน้าเจือรอยยิ้ม “เสี่ยวอวี๋ เสี่ยวซย่าเป็นคนแนะนำคุณมา ผู้จัดการหลี่ว์ก็บอกว่าคุณเป็นคนมีความสามารถ สมาคมของเราก็เลยอยากเชิญคุณ”


 


 


หัวข้อการแลกเปลี่ยนและการวิจัยที่สมาคมการแพทย์จัดขึ้น ปกติจะมีวัตถุประสงค์ชัดเจนมาก ต้องการวิจัยและพัฒนาวิธีการตรวจรักษาและตำรับยาผสมที่ดีขึ้นกว่าเดิม


 


 


อาร์ทีมิซินินที่เคยทำให้สั่นสะเทือนก็เป็นผลจากการศึกษาวิจัยในหัวข้อนี้


 


 


บริษัทยาไป๋ฟัง เป็นบริษัทยาที่มีประสิทธิภาพที่สุดในปัจจุบัน และทุ่มกำลังคนมหาศาลเพื่อวิจัยและคิดค้นยาใหม่ๆ ทุกปี


 


 


และพวกเขาก็ตั้งเขตฐานขึ้นเพื่อคิดค้นยาใหม่ๆ โดยเฉพาะ


 


 


ครั้งนี้บริษัทยาไป๋ฟังช่วยเหลือสมาคมแพทย์แผนจีน จัดอบรมหัวข้อการแลกเปลี่ยนและวิจัยเป็นเวลาหนึ่งเดือน หลักๆ คืออยากจะร่วมมือพัฒนายาแบบใหม่กับสมาคมแพทย์แผนจีน


 


 


มุ่งเน้นไปที่สูตรยาสำหรับผลสืบเนื่องจากโรคโปลิโอโดยเฉพาะ


 


 


แน่นอนว่าด้วยคุณสมบัติของอวี๋กานกานย่อมไม่มีโอกาสที่จะได้รับเชิญอยู่แล้ว


 


 


และนี่ก็เป็นเพราะซย่าเฉิงโจวเสนอเธอกับประธานสวี


 


 


อวี๋กานกานนึกถึงซูจิ่วซานโดยอัตโนมัติ


 


 


ทั้งๆ ที่ซย่าเฉิงโจวรู้จักซูจิ่วซานมาก่อนแท้ๆ ทำไมถึงไม่เสนอซูจิ่วซาน แต่มาเสนอเธอแทน?


 


 


อวี๋กานกานพลันใจเต้นแรงขึ้นมา


 


 


หรือช่วงนี้เธอมีดวงดอกท้อ ซย่าเฉิงโจวคงไม่ได้ชอบเธอหรอกใช่ไหม?


 


 


พูดในใจ แย่ล่ะ


 


 


แบบนี้ซูจิ่วซานก็ยิ่งไม่ยอมปล่อยผ่าน


 


 


ซย่าเฉิงโจวพอจะเดาความคิดของอวี๋กานกานออก ดังนั้นเมื่อออกจากห้องประชุมแล้ว เขาจึงอธิบายให้ฟัง “ไม่ต้องคิดมาก ที่ผมเสนอคุณกับประธานสวีน่ะแค่เพราะเห็นว่าคุณเหมาะสม”


 


 


อวี๋กานกานเงียบคิด


 


 


ผลสืบเนื่องจากโรคโปลิโอเป็นเป็นโรคพิการร้ายแรงอย่างหนึ่ง


 


 


เมื่อการรักษาพัฒนาขึ้น อัตราการเกิดโรคโปลิโอก็ลดลงอย่างมาก ผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบก็ลดลงทุกปี


 


 


ทว่าก็ยังมีปัญหาการรักษาอย่างหนึ่งที่ควรให้ความสนใจเป็นอย่างมาก


 


 


ถ้าสามารถคิดค้นยาใหม่ได้ก็จะไม่ต้องกังวลผลที่ตามมาอะไรอีก ถือเป็นการก้าวหน้าไปอีกขั้นของวงการแพทย์


 


 


“งั้นก็ขอบคุณมากนะคะหมอซย่า”


 


 


“จริงๆ คุณไม่ต้องเกรงใจผมขนาดนั้น เรียกผมว่ารุ่นพี่ซย่าก็พอ”


 


 


อวี๋กานกานยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 258 ยืมตัวฟางจือหัน


 


 


จริงๆ แล้วเรียกตามใจไปสักสองประโยคก็ไม่เป็นไร ทว่าอวี๋กานกานก็ไม่ได้พูดอะไร ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูน่าอึดอัดขึ้นมา


 


 


ซย่าเฉิงโจวเองก็ไม่ได้ใส่ใจ เขายิ้มราวกับลมฤดูใบไม้ผลิ “เธอไม่ต้องเกรงใจจริงๆ ฉันแนะนำเธอเพราะประธานสวีรีเควสแพทย์แผนจีนที่เชี่ยวชาญแพทย์แผนจีนและตะวันตก ถ้าเธอเกรงใจจริงๆ หรืออยากขอบคุณฉัน งั้นก็เลี้ยงข้าวฉันสักมื้อก็พอ”


 


 


อวี๋กานกานชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบรับพร้อมรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหาค่ะ รุ่นพี่ซย่าว่างวันไหนคะ”


 


 


“ล้อเล่นน่ะ จะให้เธอมาเลี้ยงได้ยังไง ยังไงก็ต้องเป็นฉันเป็นคนเลี้ยง เย็นนี้เธอว่างหรือเปล่า ไปกินข้าวด้วยกันเถอะ” ซย่าเฉิงโจวพูดพร้อมยิ้มบาง จริงๆ ในใจเขากำลังกลัวอวี๋กานกานจะปฏิเสธ


 


 


เขาตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนที่ออกเยี่ยมบ้านผู้ป่วยครั้งแรกเสียอีก


 


 


อวี๋กานกานไม่รู้ว่าควรจะพูดต่อยังไงดี


 


 


ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงไม่รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร เธอมีรุ่นพี่เยอะแยะ กินข้าวด้วยกันสักมื้อก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่


 


 


แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าการแสดงออกของซย่าเฉิงโจวที่มีต่อเธอนั้นมันมีอะไรมากกว่านั้น


 


 


และความมีอะไรมากกว่านั้นที่ว่ายังทำให้ฟางจือหันไม่ชอบ ไม่พอใจ ถึงขั้นโมโหเลยด้วยซ้ำ


 


 


ดังนั้นเธอจึงลังเล ไม่รู้ว่าควรจะตอบเขาว่ายังไง


 


 


“ถ้างั้น…ไว้วันหลังฉันเลี้ยงข้าวหมอซย่าดีกว่านะคะ เพราะเดี๋ยวสามีฉันจะมารับแล้ว”


 


 


อวี๋กานกานไม่สนใจว่าซย่าเฉิงโจวคิดกับเธออย่างไร คิดอย่างที่เธอคิดหรือไม่ เธอต้องการให้ต่อจากนี้ ซย่าเฉิงโจวไม่คิดอะไรกับเธออีก มองเธอเป็นแค่เพื่อนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง


 


 


สามี


 


 


ซย่าเฉิงโจวนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินสองคำนี้


 


 


เธอแต่งงานแล้ว


 


 


เป็นไปได้ยังไง เธอยังสาวขนาดนี้แท้ๆ!!


 


 


มือที่ตกอยู่ข้างตัวของเขากำหมัดแน่น ค่อนข้างยอมรับได้ยาก แต่ภายนอกของซย่าเฉิงโจวยังคงมีรอยยิ้ม “ได้ ไม่เป็นไร”


 


 


ในใจเต็มไปด้วยความผิดหวัง


 


 


เดิมทีเขาคิดว่าการเจอผู้หญิงที่ชอบสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้มีแฟนแล้วก็ไม่เป็นไร เขาจะพยายามแย่งอย่างสุดความสามารถ เขาไม่อยากให้ตัวเองต้องมานึกเสียใจทีหลัง


 


 


ไม่คิดว่าตั้งแต่ได้รู้จักกับเธอ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เขาก็แพ้แล้ว


 


 


อวี๋กานกานถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เธอคิดว่าซย่าเฉิงโจวน่าจะเข้าใจแล้ว


 


 


เธอไร้คุณธรรมมากที่ยืมตัวฟางจือหันมาใช้แบบนี้


 


 


บางครั้งฟางจือก็มีประโยชน์จริงๆ ราวกับที่หลบภัยที่ทั้งสบายและอบอุ่น


 


 


อวี๋กานกานกลับถึงหอพัก แล้วเอาโทรศัพท์ออกมา ตัดสินใจส่งข้อความหาฟางจือหัน


 


 


ขณะที่กำลังลังเลว่าจะส่งอะไรอยู่นั้น โทรศัพท์ก็พลันดังขึ้น ทำเอาเธอผงะตกใจ


 


 


เธอไม่ได้ถือโทรศัพท์เอาไว้แน่น มันขยับอยู่กลางฝ่ามือ เกือบตกลงพื้น


 


 


โชคดีที่เธอเร็วพอคว้าเอาไว้ทัน


 


 


อวี๋กานกานข่มใจสั่นๆ ของตัวเองไว้ ยามที่กดรับและยกขึ้นมาแนบหูที่แดงก่ำ


 


 


เธอยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงของฟางจือหันที่อยู่ปลายสายก็ดังขึ้นเสียก่อน “ออกมา ฉันรออยู่หน้าสมาคม”


 


 


เสียงที่มีเสน่ห์และแหบต่ำเจือไปด้วยความเผด็จการ ราวกับเหล้าที่ทำให้คนมึนเมากระตุ้นให้เกิดแรงกระเพื่อมขึ้นในใจ


 


 


อวี๋กานกานตอบรับเบาๆ “อืม”


 


 


เธอเอาเสื้อคลุมกับผ้าพันคอมาใส่ จากนั้นถึงถือกระเป๋าวิ่งออกไปข้างนอก


 


 


ลมเย็นๆ พัดต้นไม้ริมถนนจนเกิดเสียง ตอนนี้เป็นฤดูหนาวที่เย็นจนแข็ง แต่เขากลับยืนอยู่นอกรถ กลิ่นอายเย็นยะเยือกแผ่ไปทั่วทั้งตัว เขาอยู่ในเสื้อคลุมสีเบจตัวใหญ่กับผ้าพันคอสีดำ ใบหน้าราวกับหิมะ สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ


 


 


มีควันเย็นๆ ออกมาจากปาก ยามที่อวี๋กานกานหยุดลงตรงหน้าเขาและถามเสียงเบา “คุณมาได้ยังไงคะ”


ตอนที่ 259 แจกความหวานรายวัน ชอบเธอนะ


 


 


ฟางจือหันมองเธอเงียบๆ ช่วยลูบผมที่ยุ่งเหยิงจากการวิ่งเมื่อครู่ไปทางด้านหลัง และสะกิดปลายจมูกของเธอเบาๆ ยามที่ดึงมือกลับ


 


 


อวี๋กานกานก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวโดยอัตโนมัติ เพื่อหลบการกระทำของเขา


 


 


“หลบทำไม” ฟางจือหันหรี่ตาลง ยื่นแขนออกมาโอบไหล่ ดึงเธอเข้าไปในอ้อมกอด ก่อนจะเปิดประตูรถ และดันตัวเธอเข้าไป


 


 


อวี๋กานกานเอ่ยถาม ขณะที่คาดเข็มขัดนิรภัย “ไปไหนคะ”


 


 


“กินข้าว” ฟางจือหันตอบ


 


 


“แค่เราสองคนเหรอ”


 


 


“คิดว่าฉันจะเรียกใครมาอีก”


 


 


“จยาอวี่หรือไม่ก็ลู่เสวี่ยเฉิน”


 


 


“ไม่”


 


 


“คนเยอะๆ ครึกครื้นดีออก” อาหารอร่อยขึ้นด้วย


 


 


ฟางจือหันหันมองเธอ นัยน์ตาดำลึกราวกับมหาสมุทร “ฉันอยากไปด้วยกันกับเธอ”


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกร้อนวูบที่ศีรษะทันทีที่ได้ยินแบบนั้น


 


 


ดะดะด้วยกัน…กินข้าว? ก็กินข้าวด้วยกัน ทำไมต้องประหยัดคำ พูดให้ฟังดูคลุมเครือด้วย


 


 


รถจอดเทียบที่หน้าตึกสูง ชั้นบนสุดของตึกมีคลับส่วนตัวแบบ VIP และร้านอาหารแบบส่วนตัวชื่อดัง


 


 


พนักงานเดินนำพวกเขาไปยังห้อง VIP ที่เงียบสงบห้องหนึ่ง ห้องห้องนี้ตกแต่งอย่างหรูหรา สามารถมองเห็นวิวทั่วทั้งเมืองแบบ 360 องศา


 


 


หน้าต่างด้านข้างมีขนาดใหญ่มาก ทำให้เมื่อมองออกไปแล้วอวี๋กานกานรู้สึกเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ


 


 


ฟางจือหันมองเธอแบบกึ่งยิ้มกึ่งนิ่ง ยามที่ถือเมนูขึ้นและเอ่ยถาม “เธอชอบกินอะไร”


 


 


อวี๋กานกานตอบ “อะไรก็ได้ ฉันกินได้หมด”


 


 


ฟางจือหันถามเสียงเรียบ “ชอบดอกบัวเจ้าแม่กวนอิม[1]ไหม”


 


 


อวี๋กานกานมองวัตถุดิบของอาหารจานนั้น เมื่อเห็นว่าทำจากผักกาดขาวกับปลาและกุ้ง เธอจึงพยักหน้ารับ “ชอบค่ะ”


 


 


แม้จะยังไม่เคยกิน แต่ก็ทำมาจากวัตถุดิบที่เธอชอบ เพราะงั้นเธอจึงคิดว่ามันน่าจะอร่อย


 


 


“นกยูงแผ่หาง?”


 


 


“ชอบค่ะ” เอาหัวกับหางของปลาทรายแดงหวู่ชางมาแยกออกแล้ววางเป็นนกยูงแผ่หาง จากนั้นก็เอาไปนึ่ง เธอชอบกินปลามากที่สุด


 


 


“เต้าหู้ไข่มุก?”


 


 


“ชอบค่ะ” แค่มองรูปก็แทบน้ำลายไหลแล้ว


 


 


“ไห่ถังกรอบ?”


 


 


“ชอบค่ะ”


 


 


“แล้วฉันล่ะ”


 


 


“ชอบ…”


 


 


อวี๋กานกานหลุดปากตอบออกไป กระทั่งเมื่อรู้ว่าคำตอบของตัวเองมีปัญหา เธอจึงเงยหน้ามองฟางจือหันด้วยความตกใจ


 


 


แววตาของชายหนุ่มดูล้ำลึก มุมปากยกยิ้มเยาะ


 


 


ใบหน้าเล็กของอวี๋กานกานแดงก่ำ ใจก็กระสับกระส่ายเหมือนกวางน้อย เธอพูดด้วยความอายปนโมโห “คุณ…คุณเอาเปรียบฉันนี่”


 


 


ฟางจือหันมองเธออย่างใสซื่อ “นี่ก็เรียกเอาเปรียบเหรอ”


 


 


อวี๋กานกานพูดติดอ่างด้วยความโมโห “งะ…งั้นเรียกว่าอะไรล่ะ”


 


 


จู่ๆ ฟางจือหันที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามก็ลุกขึ้น เดินมานั่งข้างๆ อวี๋กานกาน


 


 


เขายื่นมือโอบเอวอวี๋กานกาน รั้งตัวเธอเข้ามากอด


 


 


อวี๋กานกานผงะตกใจ พยายามสะบัดออกโดยอัตโนมัติ แต่ก็สะบัดไม่หลุด ได้แต่วางมือลงบนไหล่ของเขาเท่านั้น “คะ คุณจะทำอะไร…”


 


 


มือของชายหนุ่มที่อยู่บริเวณเอวของเธอนั้นร้อนมาก ราวกับกำลังมีกระแสไฟฟ้าโจมตีร่างกายของเธอ


 


 


“ทำอะไร? ฉันกำลังสอนให้เธอรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าเอาเปรียบ” พูดจบฟางจือหันก็จูบเธอ


 


 


ถึงจะเป็นแก้มไม่ใช่ริมฝีปาก แต่ก็มากพอที่จะทำให้ทั้งหน้าและหูของอวี๋กานกานแดงไปหมด


 


 


ขณะที่เธอทนไม่ไหวกำลังจะด่าออกไปว่าอันธพาล ก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเสียก่อน อวี๋กานกานรีบดันตัวฟางจือหันออก และย้ายไปนั่งด้านข้างทันที


 


 


เมื่อขยับมานั่งติดหน้าต่างบานใหญ่ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตกลงไปข้างล่าง


 


 


อวี๋กานกานปรายตามอง นึกกลัวจนขาหมดแรง ฝ่ามือก็ชื้นไปด้วยเหงื่อ ยามที่ขยับกลับมานั่งใกล้ๆ ฟางจือหัน


 


 


เธอดันตัวฟางจือหันออก “ไปนั่งที่คุณได้แล้ว”


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ดอกบัวเจ้าแม่กวนอิม เป็นอาหารที่ตั้งชื่อจากรูปลักษณ์ มีผักกาดขาวเป็นวัตถุดิบหลัก ทำเป็นรูปดอกบัวและพระหัตถ์พระพุทธเจ้า


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 260 วัตถุล้ำค่า


 


 


ฟังจือหันไม่ลุกขึ้น เอนหลังพิงโซฟา สีหน้าไร้ความอึดอัดและความอักอ่วนใดๆ ยื่นมือมาโอบไหล่อวี๋กานกาน จากนั้นตะโกนด้วยน้ำเสียงสุภาพว่าเชิญเข้ามาได้


 


 


พนักงานบริการเดินเข้ามา ตลอดขั้นตอนการสั่งอาหารอวี๋กานกานไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ รอจนกระทั่งพนักงานเดินออกไปแล้ว อวี๋กานกานถึงถลึงตาใส่ฟังจือหัน กล่าวกับเขาอย่างจริงจัง “นายรู้ไหมผู้ชายต้องใจกว้าง ซื่อสัตย์จริงใจ โอบอ้อมอารีจึงจะเรียกได้ว่าล้ำค่า”


 


 


ฟังจือหันจ้องมองมาที่อวี๋กานกาน สีหน้าไม่ชอบมาพากลเจือความชั่วร้ายไว้เล็กน้อย ริมฝีปากบางของเขาเคลื่อนเข้ามาใกล้ใบหูของเธอ จากนั้นเอ่ยเสียงแผ่ว “ของผมล้ำค่ามากอยู่แล้ว”


 


 


อวี๋กานกานชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ถึงจะเข้าใจว่าประโยคที่ฟังจือหันพูดหมายถึงอะไร ใบหน้าทั้งดวงพลันขึ้นสีแดงแจ๋ “หยาบคาย!”


 


 


“ถ้าคุณไม่เชื่อจะลองทดสอบด้วยตัวเองดูก็ได้นะ”


 


 


“ใครพูดว่าอยากทดสอบกัน”


 


 



 


 


หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จแล้ว อวี๋กานกานให้ฟังจือหันไปส่งเธอที่บ้านของหลินจยาอวี่


 


 


ฟังจือหันถามอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก “เมื่อไรจะย้ายไปอยู่ที่บ้าน”


 


 


“ฉันไม่ไปอยู่บ้านนายหรอก” พักที่หอพักสมาคมจัดให้ แวะไปพักกับหลินจยาอวี่บ้าง ระยะเวลาเดือนนึงผ่านไปเร็วจะตาย เดี๋ยวเธอก็ต้องกลับไป๋หยางแล้ว


 


 


“วันมะรืนคุณมีสัมมนาตอนเช้า หลังจบผมจะไปรับคุณ” น้ำเสียงของฟังจือหันเย็นเยียบ ไม่อนุญาตให้คัดค้าน


 


 


“ฉันมาศึกษาหาความรู้นะ”


 


 


“หมอที่อยู่ปักกิ่งเขาก็กลับบ้านกันทั้งนั้น”


 


 


อวี๋กานกานกล่าว “นายต้องการจะทำอะไรกันแน่”


 


 


ฟังจือหันย้อนถาม “ถ้าผมบอกคุณว่าผมอยากทำอะไร คุณจะอนุญาตไหมละ”


 


 


แน่นอนว่าไม่อนุญาต!


 


 


หลังจากคุยกันอีกสองสามประโยค ในที่สุดอวี๋กานกานก็ยอมตอบตกลง


 


 


อย่างไรซะก็อยู่บ้านเดียวกันแต่แยกห้องนอน ที่ไป๋หยางเธอกับฟังจือหันก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยอยู่ร่วมกันแบบนี้ ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล อีกอย่างช่วงนี้เธอเองก็ไม่อยากอยู่หอพัก ต้องการเจอซูจิ่วซานให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้


 


 


หลังจากที่ฟังจือหันขับรถมาส่งอวี๋กานกานที่บ้านของหลินจยาอวี่แล้วเขาก็กลับไปทันที


 


 


หลินจยาอวี่หยิบรูปถ่ายใบหนึ่งบนโต๊ะขึ้น ชูไปตรงหน้าอวี๋กานกาน “เธอว่าคนนี้เป็นไง”


 


 


อวี๋กานกานมองดูรูป พูดด้วยความงุนงง “นี่มันลู่เสวี่ยเฉินไม่ใช่เหรอ เธอมีรูปเขาได้ไงเนี่ย คงไม่ใช่ว่าเขาเป็นคู่นัดบอดของเธอหรอกนะ”


 


 


เธอเป็นเช่นนั้นจริง คู่นี้ดวงชะตาจะสมพงษ์กันเกินไปหน่อยแล้ว


 


 


หลินจยาอวี่ส่ายศีรษะ “วันนี้ลู่เสวี่ยเฉินมาหาฉัน ต้องการจะทำข้อสัญญาแต่งงานร่วมกัน เป็นบิดาในนามให้ลูกฉัน”


 


 


อวี๋กานกานตกตะลึงจนอ้าปากหวอดวงตาเบิกโต ครึ่งค่อนวันยังพูดอะไรไม่ออก


 


 


หลินจยาอวี่กล่าว “เธอว่าฉันตกลงทำดีไหม”


 


 


หลินจยาอวี่ไม่คาดหวังอะไรในความรักระหว่างชายหญิงอีกแล้ว และยิ่งไม่เคยคาดหวังการแต่งงานในอนาคตจะมีความรักแท้จริงอะไรบังเกิดขึ้น หลังจากนี้ต่อให้เธอต้องแต่งงาน เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะลูกและเหตุผลอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเหลียนอิน[1]  ซึ่งเห็นได้ชัดว่าลู่เสวี่ยเฉินเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว เพราะชาติตระกูลของเขาและเธอเท่าเทียมกัน อีกอย่างลู่เสวี่ยเฉินก็หน้าตางดงาม แม้ว่าจะมีชื่อเสียงด้านความเจ้าชู้ แต่ผู้ชายในแวดวงของพวกเขามีใครบ้างที่ไม่เถลไถลนอกบ้าน


 


 


เธอไม่เคยตั้งความคาดหวังว่าเหลียนอินจะสามารถทำให้สามีภรรยาซื่อสัตย์จริงใจต่อกันได้ วิธีที่ดีที่สุดคือพวกเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวชีวิตของกันและกัน รักษาเพียงภาพลักษณ์ภายนอก แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือลู่เสวี่ยเฉินไม่ได้ชอบพอเธอ เขาจะไม่ล่วงเกินเธอ และยังยินดีที่จะเป็นบิดาในนามให้ลูกของเธอ ฉะนั้นเธอจึงกำลังไตร่ตรองอย่างระมัดระวังรอบคอบ


 


 


“ช่วงนี้เธอกำลังนัดบอด ลู่เสวี่ยเฉินเองก็นัดบอดอยู่บ่อยๆ ถ้าพวกเธอแต่งงานกัน แล้วเขายังยินดีที่จะเป็นบิดาในนามให้ก็ถือว่าน่าสนใจนะ…” อวี๋กานกานหัวเราะแหะๆ “แต่ว่าเป็นการแต่งงานแบบทำข้อสัญญา แบบนี้มันจะดีจริงเหรอ”


 


 


“ฉันก็ไม่รู้ว่าดีไหม เธอมีความคิดเห็นว่าไง”


 


 


“ฉันเองก็ไม่รู้”


 


 


การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ อวี๋กานกานไม่กล้าให้คำแนะนำส่งเดช หลินจยาอวี่ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] เหลียนอิน หมายถึง แต่งงานกันเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง เช่น รวมสองตระกูลเข้าด้วยกันเพื่อความเข้มแข็งทางธุรกิจ


ตอนที่ 261 หาเรื่องบาดใจ ดูชายโฉดหญิงชั่วพลอดรัก


 


 


การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่อวี๋กานกานไม่สามารถตัดสินใจแทนหลินจยาอวี่ได้ หลินจยาอวี่เองก็ยังลังเลตัดสินใจเด็ดขาดไม่ได้


 


 


สำหรับหลินจยาอวี่ข้อเสนอของลู่เสวี่ยเฉินเป็นทางเลือกที่ดีมากทางหนึ่ง ถึงเธอจะผิดหวังกับความรัก แต่ในใจก็ยังมีความหวังอยู่เล็กน้อย เพียงแค่ซื่อสัตย์จริงใจก็จะไม่สิ้นหวังทั้งหมดอย่างแน่นอน เมื่อคนสองคนมีความรักให้แก่กันคนสองคนก็จะมีแรงขับเคลื่อนความรักนั้น


 


 


หลังจากที่นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ หลินจยาอวี่ก็ลุกขึ้นยืน “กานกาน เธอไปที่ที่หนึ่งกับฉันหน่อยได้ไหม”


 


 


“ได้สิ เธอจะไปไหนล่ะ” อวี๋กานกานรู้สึกเบาใจเป็นอย่างยิ่ง หัวเราะขำขันพร้อมกับเล่นมุกตลก “ต่อให้เธออยากที่สุดขอบฟ้าสิ้นมหาสมุทรฉันก็ยินดีจะไปด้วย จะขายฉันก็ได้นะ แต่อยากหลอกให้ฉันนับเงินล่ะ”


 


 


ณ ภัตตาคารอาหารอิตาลีแสนโรแมนติกแห่งหนึ่ง มีชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่ในมุมลับตาผู้คน ทั้งสองนั่งพิงอิงแอบ คุยไปหัวเราะไป บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มและความสุขที่ไม่มีถ้อยคำใดสามารถบรรยายออกมาได้


 


 


อวี๋กานกานมองหลินจยาอวี่ที่นั่งอยู่ตรงข้าม แม้ว่าสีหน้าของเธอจะนิ่งเรียบ แต่นัยน์ตากลับซับซ้อนยากอธิบาย แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดบางเบา


 


 


อวี๋กานกานพลันนึกถึงหลีหนานเซิงแฟนเก่าของหลินจยาอวี่หลีและอดีตเพื่อนรักจางอวี้จือ อวี๋กานกานย้ายที่นั่งมานั่งข้างหลินจยาอวี่ ยื่นมือมากุมมือของหลินจยาอวี่ “จยาอวี่…” เสียงเรียกแผ่วเบาทำให้หลินจยาอวี่ดึงสายตากลับ สบเข้ากับแววตาของอวี๋กานกาน “เธอวางใจ ฉันไม่เป็นอะไร”


 


 


คำตอบของหลินจยาอวี่ทำให้อวี๋กานกานมั่นใจในการคาดคะเนของตนเอง เธอไม่เข้าใจหลินจยาอวี่ว่าทำไมต้องเดินทางมาถึงภัตตาคารแห่งนี้เพื่อดูชายโฉดหญิงชั่วคู่นั้นพลอดรักกัน นี่มันหาเรื่องบาดใจตัวเองโดยแท้


 


 


“หลังจากนี้ก็ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาอีกแล้ว คิดซะว่าเป็นแค่คนแปลกหน้าที่เดินสวนกันไปมาบนท้องถนน ชีวิตคนเราอย่าเปิดรับคนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปให้มากนักเลย มัวแต่เจ้าคิดเจ้าแค้นจะใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขนะ”


 


 


“ฉันรู้” ก็รู้อยู่หรอก แต่ในใจกลับไม่สามารถปล่อยวางได้ ถูกเพื่อนสนิทที่สุดตีท้ายครัว ต่อให้ในอนาคตเธอจะหมดรักหลีหนานเซิงแล้ว แต่ในใจกลับยังโกรธและยอมรับไม่ได้


 


 



 


 


มือทั้งสองข้างของจางอวี้จือคล้องอยู่บนแขนของหลีหนานเซิง ศีรษะซบลงบนหน้าอกราวกับนกน้อยคลอเคลียนายรอป้อนอาหาร เธอเหลือบสายตาขึ้นเห็นหลินจยาอวี่ที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง สีหน้าแสดงอาการตกตะลึงเพียงแวบเดียว พลันใช้แววตาอ่อนแอน่าสงสารมองหลีหนานเซิง กล่าว “หนานเซิง นั่นมันจยาอวี่…”


 


 


การเคลื่อนไหวของหลีหนานเซิงชะงักไปครู่หนึ่ง มองไปทางหลินจยาอวี่ตามสายตาของจางอวี้จือ แววตาของหลีหนานเซิงสลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง


 


 


จางอวี้จือมองออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยของหลีหนานเซิง แววตาลอบฉายแววความขุ่นเคืองอย่างไร้ร่องรอย หลินจยาอวี่ต้องการจะทำอะไรกันแน่ อย่าคิดว่าเธอไม่รู้ หลินจยาอวี่รู้ดีว่าเธอชอบมาภัตตาคารแห่งนี้ ดังนั้นจึงมักจะแอบนั่งอยู่ในมุมมืดคอยแอบดูเธอกับหนานเซิง วันนี้กลับเลือกนั่งโต๊ะห่างจากพวกเขาไปไม่ไกล หลินจยาอวี่คงไม่ได้คิดว่าถ้าปรากฏกายรอบๆ ตัวของเธอกับหนานเซิงบ่อยๆ หนานเซิงจะเปลี่ยนใจยอมกลับไป?


 


 


เธอจะทำให้หลินจยาอวี่หมดเยื้อใยให้จงได้!


 


 


จางอวี้จือลุกขึ้นยืน


 


 


หลีหลานเซิงคว้าแขนของเธอไว้ “คุณจะไปไหน”


 


 


จางอวี้จือขมวดคิ้ว กล่าวยอกย้อน “หนานเซิง อย่างไรเสียจยาอวี่ก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันนะคะ ฉันไม่อยากจะบาดหมางกับเธอไปชั่วชีวิต เรื่องมันก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว ความแค้นเคืองระหว่างพวกเราอาจจะมลายหายไปตามกาลเวลาเหมือนกับธารน้ำแข็งก็เป็นไปได้นะคะ”


 


 


มือของหลีหนานเซิงเริ่มผ่อนแรง ทั้งยังค่อยๆ คลายออก เขาหลุบสายตาลงต่ำ จึงมองไม่เห็นแววตาโกรธแค้นและริษยาอันคลุ้มคลั่งของจางอวี้จือ


 


 


จางอวี้จือหมุนตัว ก้าวยาวๆ มาหยุดอยู่ตรงโต๊ะของหลินจยาอวี่และอวี๋กานกาน กล่าวออกมาหนึ่งประโยคด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนประหนึ่งผิวน้ำ “จยาอวี่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” พร้อมกับนั่งลงและชวนพูดคุยประหนึ่งเพื่อนเก่าเพื่อนแก่


 


 


ร่างกายของหลินจยาอวี่ แข็งเกร็งทันที…


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 262 คิดเข้าข้างตัวเอง


 


 


“จยาอวี่? ช่วงนี้เธอเป็นไงบ้าง ตั้งแต่กลับจากขั้วโลกใต้ฉันก็รู้สึกละอายแก่ใจมาโดยตลอด มักจะนึกถึงเธออยู่ตลอด ฉันอยากไปหาเธอมากนะ แต่ฉันก็กลัวว่าเธอจะเมินฉัน” จางอวี้จือพูดพลางยื่นมือออกไปหมายจะจับมือของหลินจยาอวี่


 


 


ความรู้สึกนั่นเหมือนอสรพิษเกี่ยวรัดอยู่บนมือไม่มีผิด มืดมิดและเย็นสะท้าน หลินจยาอวี่หดมืออย่างรวดเร็ว เธอไม่ได้ออกแรงแม้แต่น้อย เพียงแค่ดึงมือของตัวเองกลับ ทว่าจางอวี้จือกลับเซหงายหลังทันที ประหนึ่งถูกหลินจยาอวี่ผลักอย่างแรง


 


 


หลีหนานเซิงที่จับตามองอยู่ตลอดรีบเดินเข้ามาด้วยความรวดเร็ว พยุงจางอวี้จือด้วยความร้อนรน “อวี้จือ คุณเป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”


 


 


จางอวี้จือน้ำตาคลอเบ้า ส่ายศีรษะให้หลีหนานเซิง จากนั้นหันไปมองหลินจยาอวี่อีกครั้ง กล่าว “จยาอวี่ พวกเราเคยเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกันและกัน ฉันไม่อยากเสียเพื่อนรักอย่างเธอไปจริงๆ นะ ถ้าการที่เธอด่าฉันตีฉันแล้วมันทำให้เธอหายโกรธ ฉันก็ยินดียอมรับมัน ขอแค่เธอให้อภัยฉัน”


 


 


เมื่อเห็นจางอวี้จือยอมถอยเพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น หลีหนานเซิงเจ็บปวดหัวใจถึงขีดสุด พูดพุ่งเป้าไปที่หลินจยาอวี่ “หลินจยาอวี่ คุณคิดจะทำอะไรกันแน่ อวี้จือก็ขอโทษคุณแล้วแท้ๆ ทำไมคุณถึงยังอาละวาดและทำตัวโหดเ**้ยมแบบนี้”


 


 


“หนานเซิง อย่าพูดแบบนี้นะ” หัวคิ้วของจางอวี้จือมุ่นเข้าหากัน สะบัดมือของหลีหนานเซิงออกอย่างไม่พอใจ พร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ เธอหันไปมองหลินจยาอวี่อีกครั้ง สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด กล่าว “จยาอวี่ เธออย่าโกรธเลยนะ ความจริงหนานเซิงยังรักเธออยู่ ถ้าเธอยอมยกโทษให้ฉัน ฉันยินดีที่จะถอยออกมาให้เธอกับเขาได้กลับมาคบกันใหม่”


 


 


หลีหนานเซิงโกรธเกรี้ยว “คุณพูดเหลวไหลอะไรน่ะ คนที่ผมรักคือคุณนะ”


 


 


“หนานเซิง” จางอวี้จือน้ำตาคลอเบ้า มองหลีหนานเซิงด้วยแววตาโศกเศร้าอาดูร ท่าทางเศร้าสลดของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มบังเกิดความรู้สึกอยากปกป้องให้ถึงที่สุด


 


 


หลีหนานเซิงเจ็บปวดหัวใจถึงขีดสุด สวมกอดเธอ มองหน้าหลินจยาอวี่พร้อมกับพูดอย่างไม่พอใจ “พอได้แล้ว หลินจยาอวี่! คุณคิดว่าเอาแต่ตามติดผมแล้วผมจะกลับไปคบกับคุณเหรอ จะบอกอะไรให้นะคนที่ผมรักคืออวี้จือ ที่ผมเลิกกับคุณไม่ได้เกี่ยวอะไรกับอวี้จือเลย มันเป็นเพราะพวกเราเข้ากันไม่ได้ ผมไม่ชอบนิสัยของคุณ ต่อให้ไม่มีอวี้จือผมก็จะไม่คบคุณต่อ ไม่ช้าหรือเร็วยังไงพวกเราก็ต้องเลิกกัน”


 


 


หลินจยาอวี่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ สีหน้าไร้คลื่นอารมณ์ เย็นชาราวกับเป็นคนนอก


 


 


ทว่าอวี๋กานกานกลับมั่นใจว่าในใจของหลินจยาอวี่ตอนนี้ต้องทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่งแน่


 


 


ผู้หญิงที่ชื่อจางอวี้จือตลบตะแลง เสแสร้งแกล้งทำ เล่นบทหญิงสาวใสซื่อบริสุทธิ์ต่อหน้าผู้ชาย หลินจยาอวี่เป็นคนหน้านิ่ง ทั้งยังมีนิสัยตรงไปตรงมา จะไปเป็นคู่ปรับของจางอวี้จือได้อย่างไร


 


 


ไม่แปลกเลยที่จะถูกจางอวี้จือแย่งแฟนหนุ่มไป แต่ว่าผู้ชายเฮงซวยที่ถูกน้ำมันหมูบังตา[1]อย่างหลีหนานเซิง โชคดีที่หมอนี่ถูกจางอวี้จือยั่วยวนสำเร็จ ไม่เช่นนั้นต้องเป็นบ่อเกิดแห่งความหายนะให้กับหลินจยาอวี่ไปตลอดชั่วชีวิตแน่


 


 


อวี๋กานกานเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ นิ้วมือลูบแก้วน้ำ น้ำเสียงเย็นเยียบ ถากถางทุกถ้อยประโยค “ฉันเคยเห็นคนหน้าหนาแต่ไม่เคยเห็นใครที่หน้าหนาขนาดนี้มาก่อน จู่ๆ ก็เดินมาถวายแฟนหนุ่มใส่พานพร้อมกับขอโทษขอโพยถึงที่ กลัวว่าคนอื่นไม่รู้เรื่องต่ำๆ พวกนั้นที่ตัวเองเคยทำไว้”


 


 


จางอวี้จือมองอวี๋กานกานด้วยความตกตะลึงเหลือเชื่อ “เธอหมายถึงใครไม่ทราบ”


 


 


อวี๋กานกานแค่นหัวเราะมองหน้าจางอวี้จือ แสดงสีหน้าดูถูกถึงขีดสุด ย้อนถาม “ฉันหมายถึงชายโฉดหญิงชั่ว คุณใช่ไหมล่ะคะ”


 


 


จางอวี้จือตะเบ่งเสียงดังไม่ยอมรับ “ฉันไม่ใช่อยู่แล้ว”


 


 


อวี๋กานกานแบมือทั้งสองออกไปด้านข้าง ย้อนถามอย่างใสซื่อ “ในเมื่อคุณไม่ใช่ แล้วคุณมาตอบฉันเพื่อ”


 


 


จางอวี้จือเถียงอะไรไม่ออก ทั้งร้อนรนและโมโหหันไปออดอ้อนหลีหนานเซิง


 


 


 


 


——


 


 


[1] น้ำมันหมูบังตา อุปมาถึง คนที่ถูกความรักบังตา ทำให้หลักเหตุและผลถดถอย หน้ามืดตามัว


ตอนที่ 263 ตัดสินใจแต่งงาน


 


 


หลีหนานเซิงมองหน้าหลินจยาอวี่ กล่าวสั่งสอนด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว “หลินจยาอวี่ นี่คุณคบหาเพื่อนประเภทไหนกัน ใฝ่ต่ำจริงๆ”


 


 


หลินจยาอวี่ที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดเลื่อนสายตาขึ้นอย่างช้าๆ จ้องตาหลีหนานเซิง พูดพลางกำหมัดแน่น “เพื่อนที่ฉันคบต้องดีแน่นอนอยู่แล้ว เทียบกับชายโฉดหญิงชั่ว ประเภทหักหลังเพื่อน ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยล่ะ”


 


 


หลีหนานเซิงตกตะลึงในท่าทีของหลินจยาอวี่


 


 


อวี๋กานกานปรายตามองหลีหนานเซิงอย่างเย็นชา จากนั้นคลี่ยิ้มให้หลินจยาอวี่กล่าว “จยาอวี่ อย่าไปสนใจพวกคนประเภทคิดเข้าข้างว่าตัวเองถูกอยู่เสมอ นึกว่าโลกหมุนรอบตัวเองเลยนะ ให้พวกเขารักกันให้พอเถอะ ขยะรีไซเคิล”


 


 


หลีหนานเซิงถลึงตาใส่อวี๋กานกานด้วยความโมโหโกรธา “ผู้หญิงคนนี้ ทำไมมาด่าทอคนอื่นแบบนี้”


 


 


อวี๋กานกานแบมือทั้งสองออกไปด้านข้างประหนึ่งผู้บริสุทธิ์ “ฉันด่าใครเหรอ” จากนั้นหันไปมองหลินจยาอวี่ กล่าวประโยคเดิมซ้ำ “ฉันด่าใครเหรอ”


 


 


หลินจยาอวี่ส่ายศีรษะ “ไม่นี่ เธอพูดเรื่องจริงทั้งนั้น”


 


 


หลีหนานเซิงและจางอวี้จือคือขยะ เธอหลินจยาอวี่ทำไมต้องคอยหลบพวกเขาด้วย พวกเขาต่างหากที่เป็นคนทรยศ เธอควรจะก้าวเดินไปข้างหน้ายิ้มให้กับแสงตะวัน


 


 


หลีหนานเซิงขึงตาใส่หลินจยาอวี่ด้วยความโกรธเกรี้ยวจนแทบจะพ่นไฟออกมาอยู่รอมร่อ ในแววตาแฝงไว้ด้วยความผิดหวัง


 


 


จางอวี้จือกัดริมฝีปาก ดวงตาแดงก่ำคลอน้ำตา ท่าทางน่าสงสาร ถาม “จยาอวี่ ฉันก็ขอโทษเธอไปแล้ว ทำไมเธอถึงยกโทษฉันไม่ได้ ฉันเองก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่ฉันรักหนานเซิงมากจริงๆ อีกอย่างฉันก็พูดไปแล้วนี่ ขอแค่เธอยอมยกโทษให้ฉัน ฉันยอม…” เหลือบมองหลีหนานเซิงด้วยความอาลัยอาวรณ์ กัดฟันกล่าวอย่างทุกข์ทรมานประหนึ่งหักใจแล้ว “ยอมคืนหนานเซิงให้เธอ”


 


 


จางอวี้จือราวกับดอกไม้ขาวดอกหนึ่งที่กำลังฟันฝ่ามรสุมของลมและสายฝน บอบบางทว่ายืนหยัด


 


 


เกิดเส้นขีดสีดำทั่วบริเวณศีรษะของอวี๋กานกาน ถามหลินจยาอวี่ที่นั่งอยู่ตรงข้าม “เสียงดังโวยวายไม่จบไม่สิ้นเหมือนกับแมลงวันบินอยู่ข้างหูไม่มีผิด จยาอวี่ เธอรู้จักไหม”


 


 


การเคลื่อนไหวของหลินจาอวี่เริ่มเป็นธรรมชาติมากขึ้น เธอส่ายศีรษะ “ไม่รู้จัก”


 


 


สายตาที่ชำเลืองมามองหลีหนานเซิงและจางอวี้จือ เย็นเยียบประหนึ่งน้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็งในทะเลลึกของขั้วโลกใต้


 


 


ท่าทีของหลินจยาอวี่สร้างความสั่นสะเทือนให้กับใจของหลีหนานเซิงอย่างรุนแรง คิ้วของเขาขมวดเน้นเป็นปม ค่อนข้างเชื่อไม่ลง


 


 


“โหวกเหวกโวยวายแบบนี้รบกวนเวลาลูกค้าจะทานอาหาร คนไม่รู้คงนึกว่าเจอพวกโปรโมทสินค้า ภัตตาคารไม่คิดจะเข้ามาจัดการหน่อยหรือยังไง” อวี๋กานกานชูมือขึ้นเรียกพนักงานบริการ “บริกร…”  


 


 


อวี๋กานกานเตรียมให้บริกรไล่พวกเขาออกไป หลีหนานเซิงและจางอวี้จือจำใจต้องล่าถอย พวกเขาไม่ได้กลับไปที่โต๊ะ เดินตรงออกจากภัตตาคารทันที


 


 



 


 


ในใจของหลินจยาอวี่รู้สึกเบาสบายเป็นอย่างยิ่ง ที่แท้การเผชิญหน้าก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น ทั้งยังไม่รู้สึกเสียใจอะไรมากมายเหมือนอย่างที่คิด ดูเหมือนว่าเธอก็ไม่ได้รักหลีหนานเซิงมากมายอะไร ความเสียใจน่าจะมาจากความจริงใจถูกเหยียบย่ำมากกว่า เธอหยิบแก้วน้ำผลไม้ขึ้นมาจิบหนึ่งคำ “จากนี้ดูท่าพวกเขาคงไม่กล้ามาภัตตาคารนี้แล้วล่ะ”


 


 


อวี๋กานกานเอ่ยปากถาม “เธอยังรู้สึกเสียใจอยู่เหรอ”


 


 


“เปล่า” มุมปากของหลินจยาอวี่ไม่ขยับเขยื้อนเช่นเคย ทว่าแววตากลับแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม “ฉันตัดสินใจแล้ว ตอบตกลงลู่เสวี่ยเฉินแต่งงานโดยมีข้อสัญญา”


 


 


“อะไรนะ” อวี๋กานกานชะงักไปแวบหนึ่ง สมองอันชาญฉลาดไม่สามารถประมวลผลตามได้ทัน ทำไมถึงตัดสินใจกะทันหันแบบนี้ หรือว่าเพราะถูกหลีหนานเซิงและจางอวี้จือยั่วโมโห


 


 


“จยาอวี่ คิดทบทวนอีกทีดีกว่าไหม” อวี๋กานกานเบรกจังหวะอย่างนิ่มนวล ไม่อยากให้หลินจยาอวี่ตัดสินใจเพราะความบุ่มบ่ามชั่วขณะ  


 


 


“เธอวางใจได้ ฉันไม่ได้ถูกพวกนั้นยั่วโมโห ที่ฉันให้เธอช่วยมาเป็นเพื่อน เพราะต้องการยืนยันว่าการที่ฉันตกลงแต่งงานกับลู่เสวี่ยเฉิน มีส่วนมาจากความน้อยใจไหม ตอนนี้แน่ใจแล้วว่าไม่มีเลย”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 264 ผมสนใจแค่คุณคนเดียวเท่านั้น


 


 


หลินจยาอวี่พูดอย่างซื่อตรงไร้สิ่งใดเปรียบ แต่พอลอยเข้าหูอวี๋กานกานแล้วเธอกลับรู้สึกเท็จที่สุด “แต่ลู่เสวี่ยเฉิน นิสัยเขาค่อนข้าง…” อวี๋กานกานไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไรดี คบในฐานะเป็นเพื่อนลู่เสวี่ยเฉินถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว แต่ถ้าในฐานะสามี รู้สึกว่าจะไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยสักเท่าไร 


 


 


พอนึกถึงเรื่องลู่เสวี่ยเฉินหลับนอนกับผู้หญิงที่เจอกันที่ผับ สวมกางเกงเสร็จก็ชิ่ง สุดท้ายยังรังเกียจที่ผู้หญิงหน้าตาไม่สวย รู้สึกว่าตนเองเสียเปรียบ พลันให้รู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนดีที่จะฝากชีวิตไว้ได้


 


 


หลินจยาอวี่รู้ว่าอวี๋กานกานกำลังคิดอะไร แต่เธอไม่ใส่ใจ “ฉันไม่เคยคิดจะสร้างความสัมพันธ์อะไรจริงจังกับลู่เสวี่ยเฉิน แค่แต่งงานโดยมีข้อสัญญาเท่านั้น”


 


 


หลินจยาอวี่หยิบแก้วน้ำขึ้นมาชนกับแก้วของอวี๋กานกานเบาๆ “ฉันจะให้ลู่เสวี่ยเฉินเป็นบิดาในนามให้ลูกของฉัน หลังจากนั้นหนึ่งปีพวกเราก็จะหย่า แก้แซ่ลูกเป็นแซ่ของฉัน จะไม่มีใครดูถูกเขาได้อีก ฉันจะให้เขาได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีที่สุดในโลกใบนี้”


 


 


น้ำเสียง มุ่งมั่นเด็ดขาด


 


 


ท่าที ยืนยันหนักแน่น


 


 


เห็นได้ชัดว่าหลินจยาอวี่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว อวี๋กานกานจึงไม่พูดอะไรต่อ สิ่งที่เธอทำได้คือช่วยหลินจยาอวี่ศึกษานิสัยใจคอของลู่เสวี่ยเฉิน


 


 


ตกดึก อวี๋กานกานนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือส่งข้อความหาฟังจือหัน


 


 


[อวี๋กานกาน : หลับแล้วยัง]


 


 


[ฟังจือหัน : ยัง จะนัด?]


 


 


[อวี๋กานกาน : …] จะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ไม่ออก ใครจะนัดหมอนั่นกัน


 


 


เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นฟังจือหันที่โทรมา


 


 


อวี๋กานกานกระแอมออกมาเบาๆ นั่งหลังตรง รับโทรศัพท์ด้วยสีหน้าปกติ ไม่รอให้ฟังจือหันได้พูดอะไรก็ชิงกล่าวก่อนด้วยความร้อนใจ “คือฉันอยากถามนายหน่อย ลู่เสวี่ยเฉินเป็นคนยังไงเหรอ”


 


 


ฟังจือหันที่อยู่ปลายสายไม่พูดอะไร เขาสวมชุดสูทสีดำทั้งตัวยืนอยู่หน้าบานกระจกขนาดใหญ่ สายตาว่างเปล่าจดจ้องไปยังแดนไกล ดั่งราชาผู้สูงส่งทะนงตน


 


 


มือข้างหนึ่งของเขาถือโทรศัพท์ นิ่งเงียบไม่พูดจา “…”


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่งไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ อวี๋กานกานนึกว่าสายตัดไปแล้ว เธอมองหน้าจอโทรศัพท์แวบหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าสายยังปกติดีอยู่จึงถามอีกครั้ง “ตกลงลู่เสวี่ยเฉินเป็นคนยังไง”


 


 


ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยปากพูด “คุณโทรมาเพื่อถามเรื่องลู่เสวี่ยเฉิน?” 


 


 


คิ้วสวยได้รูปของอวี๋กานกานขมวดเข้าหากัน “ใช่น่ะสิ”


 


 


“คุณสนใจเขา?” น้ำเสียงพลันเย็บเยียบประหนึ่งธารน้ำแข็ง ทุ้มต่ำจนน่าหวาดหวั่น


 


 


“ฉันไม่ได้สนใจลู่เสวี่ยเฉิน คือ…เรื่องนี้พูดแล้วยาว”


 


 


ฟังจือหันเอ่ยเสียงเรียบ “พูดแล้วยาว งั้นก็ต้องคุยต่อหน้า”


 


 


“ตอนนี้?” อวี๋กานกานตกใจ ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มแล้วนะ


 


 


ฟังจือหันถาม “คุณมีสัมมนาพรุ่งนี้เช้า?”


 


 


“ไม่มี”


 


 


“งั้นผมไปตอนนี้”


 


 


“แต่ฉันอยู่ที่บ้านหลินจยาอวี่” ถ้าเขามาคงรู้สึกไม่ค่อยสะดวก


 


 


“ผมรู้” เป็นเขาเองที่ส่งอวี๋กานกานถึงที่


 


 


อวี๋กานกานหมายจะพูดอย่าเลย วันนี้ดึกมากแล้ว ทว่าสายกลับถูกฟังจือหันตัดไปแล้ว


 


 


ฟังจือหันบอกว่าจะมา แน่นอนว่าอวี๋กานกานไม่สามารถกลับไปนอนอย่างสงบจิตสงบใจได้ เธอนอนแผ่อยู่บนเตียงครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นมาเปิดม่านมองออกไปนอกหน้าต่าง


 


 


เวลานี้ถนนปลอดโล่ง ยี่สิบนาทีก็ถึงแล้ว เพียงครู่เดียวอวี๋กานกานพลันเห็นรถออฟโรดสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ใต้ตึก แสงไฟบนถนนส่องกระทบรถออฟโรดเกิดเป็นประกายระยิบระยับ


 


 


อวี๋กานกานไม่ได้เปลี่ยนชุด ออกไปทั้งๆ ที่สวมชุดนอนกับรองเท้าใส่ในบ้าน คลุมทับด้วยเสื้อหนาวขนเป็ด


 


 


หลินจยาอวี่เข้านอนแล้ว อวี๋กานกานกลัวว่าจะทำเสียงดังจนทำเธอตื่น จึงกดเสียงต่ำ พูดกระซิบ “ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ยังดึงดันจะมาให้ได้ ใส่ใจลู่เสวี่ยเฉินเกินไปหน่อยมั้ง”


 


 


“ผมไม่ได้ใส่ใจเขา”


ตอนที่ 265 ภรรยาช่างรู้ใจ


 


 


ราตรีมืดมิดและเงียบสงัด


 


 


อวี๋กานกานกลัวว่าพูดคุยกันที่ห้องรับแขกจะส่งเสียงดังทำให้หลินจยาอวี่ตื่น จึงพาฟังจือหันไปที่ห้องนอนของตนเอง


 


 


ห้องนอนของอวี๋กานกานค่อนข้างกว้างขวาง หลินจยาอวี่ตกแต่งห้องให้ประหนึ่งแดนเนรมิต เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างล้วนใช้สีชมพูเป็นหลัก หัวเตียงยังมีตุ๊กตาคิตตี้ที่มีความสูงหนึ่งเมตรกว่าวางอยู่หนึ่งตัว


 


 


สาวน้อยสุดๆ


 


 


ฟังจือหันเข้าในห้องเดินตรงนั่งลงบนเตียงเอนตัวลงพิงตุ๊กตาคิตตี้


 


 


ไฟในห้องนอนถูกปรับความสว่างให้อยู่ในระดับต่ำสุด ภายใต้แสงไฟสลัวชายหนุ่มรูปงามนอนหงายอยู่บนเตียงของหญิงสาว ทำให้บรรยากาศภายในห้องนอนห้องดูกรุ้มกริ่มอย่างไรชอบกล


 


 


อวี๋กานกานประดักประเดิด พูดติดอ่าง “นะ นะ นายจะนอนลงไปทำไม ละ ลุกขึ้นมานั่งคุยกันสิ”


 


 


ฟังจือหันยังคงนอนอยู่บนเตียงไม่ขยับ ถามอวี๋กานกานอย่างเอื่อยเฉื่อย “ดึกดื่นไม่หลับไม่นอน หาเรื่องใส่ตัวทำไม”


 


 


อวี๋กานกานมองเขาด้วยความตกตะลึง “ฉันจะนอนอยู่แล้วแท้ๆ นายต่างหากที่ดึกดื่นยังดึงดันจะมาให้ได้”


 


 


ตอนนี้ยังมาโยนความผิดให้คนอื่นอีก


 


 


ฟังจือหันพูดประหนึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ “ก็คุณบอกว่าเรื่องมันยาว ผมเลยเห็นว่าต้องคุยกันนาน ในสายคุณก็อธิบายไม่ชัดเจน ผมถึงต้องรีบมานี่ไง”


 


 


ทันใดนั้นฟังจือหันก็ดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ออร่าแข็งกร้าวทำให้อวี๋กานกานนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง เธอเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าระยะห่างระหว่างพวกเขาใกล้กันมาก ท่วงท่าดูสนิมสนมแนบชิดเป็นอย่างยิ่ง


 


 


อวี๋กานกานรีบเขยิบถอยไปด้านหลัง เว้นระยะห่าง “ฉันแค่อยากถามเรื่องเกี่ยวกับลู่เสวี่ยเฉินสองสามเรื่อง นายรู้ไหมว่าลู่เสวี่ยเฉินกับหลินจยาอวี่ตกลกจะทำสัญญาแต่งงานเป็นระยะเวลาหนึ่งปี ฉันรู้สึกว่าถ้าคบเป็นเพื่อนลู่เสวี่ยเฉินถือว่าไม่เลวเลย แต่ถ้าเป็นสามี…”


 


 


ฟังจือหันพูดขัดจังหวะ สร้างความสับสนให้อวี๋กานกาน “คนอย่างหมอนั่นคบเป็นเพื่อนก็ไม่ผ่าน”


 


 


อวี๋กานกานมองเขาด้วยแววตาประหลาดใจ “แต่เขาไม่ใช่เพื่อนนายนี่…ฉันรู้สึกว่าเขาค่อนข้างมีคุณธรรมน้ำมิตร ที่แท้ก็เป็นพวกเชื่อถือไม่ได้หรอกเหรอ งั้นจยาอวี่ตกลงแต่งงานโดยมีข้อสัญญากับเขาไปจะ…”


 


 


ฟังจือหันกล่าวขึ้นมา “ไม่หรอก เขามีสัจจะ”


 


 


ถ้าเป็นแบบนี้ก็ตรงกับที่หลินจยาอวี่คิดไว้ “ดูเหมือนว่าลู่เสวี่ยเซินจะเซนซิทีฟกับการโดนตัวผู้หญิงเป็นพิเศษ ไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้ เดี๋ยวนะ…” ทันใดนั้นอวี๋กานกานก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ภัตตาคารวันนั้นขึ้นมา เพื่อขับไล่ไสส่งเหวินซินเหม่ย ลู่เสวี่ยเฉินโอบไหล่หลินจยาอวี่นี่นา แต่ไม่เห็นมีอาการผิดปกติอะไร


 


 


สรุปว่าตอนนี้เขาหายเป็นปกติแล้ว?


 


 


อวี๋กานกานเอ่ยปากถาม “ช่วงนี้ลู่เสวี่ยเฉินนอกจากนัดบอดแล้ว ได้ไปหาผู้หญิงคนอื่นหรือว่าจีบสาวที่ไหนบ้างหรือเปล่า”


 


 


ฟังจือหันเห็นสีหน้าสายเมาท์ของอวี๋กานกานแล้วรู้สึกขำขันขึ้นมา กล่าว “ในเมื่อเป็นการแต่งงานโดยมีข้อสัญญา คุณจะสนใจไปทำไมมากมาย บางที…”


 


 


“บางที?”


 


 


“ไม่มีอะไร”


 


 


อวี๋กานกานเห็นว่าฟังจือหันจะพูดอะไรบางอย่างทว่ากลับหยุดลงเสียอย่างนั้น รู้สึกเหมือนว่าเขารู้อะไรแต่ไม่ยอมบอกเธอ “ถึงยังไงการแต่งงานก็เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ เลือกคนสุ่มสี่สุ่มห้าได้ที่ไหน เหมือนคนบางคนไง แค่อ้าปากก็อ้างว่าเป็นสามีภรรยาได้”


 


 


อวี๋กานกานบ่นพึมพำ เหลือบมองฟังจือหันด้วยสายตาแฝงความนัย


 


 


“หืม~” คิ้วของฟังจือหันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มุมปากคลี่ยิ้มบาง “คุณไม่พอใจที่ผมจริงจังกับคุณไม่มากพอ ไว้ผมจะชดเชยให้” พลางยื่นมือมาบีบแก้มอวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกานผลักมือฟังจือหันออก “ใครไม่พอใจที่นายไม่จริงจังกัน” ฉันไม่พอใจที่นายเหลาะแหละต่างหาก


 


 


ฟังจือหันส่งเสียงอืมในลำคอเบาๆ “ภรรยาช่างรู้ใจ รู้จักเห็นใจผมด้วย”


 


 


อวี๋กานกานความรู้สึกสับสนปนเป ปกติฟังจือหันออกจะเงียบขรึม แต่ทำไมพออ้าปากพูดปุบทุกคำกลับสร้างความหวั่นไหวได้ คำไร้สาระปนมาสักคำยังไม่มี


 


 


อวี๋กานกานกดเสียงต่ำ “ทักษะหน้าหนาเนี่ย ไม่ทราบว่านายฝึกมายังไงเหรอ”


 


 


“ถ้าอยากรู้ ผมสอนให้ได้…”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 266 คุณกลัวอะไร


 


 


“ถ้าคุณอยากรู้ ผมสอนให้ได้…”


 


 


ฟังจือหันพูดพลางโน้มร่างสูงโปร่งเข้าใกล้ อวี๋กานกานเขยิบถอยหลังตามสัญชาตญาณ สายตาทั้งสองสอดประสาน อวี๋กานกานรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองสั่นไหวเล็กน้อย เธอฝืนบังคับสายตาตัวเองให้หันไปมองที่อื่น “ฉันกำลังด่านายอยู่นะ ยังมีหน้ามาภาคภูมิใจอีก”


 


 


สายตาของฟังจือหันราวกับสื่อนำไฟฟ้า มีทั้งกระแสไฟและแรงดึงดูด


 


 


ร่างกายของอวี๋กานกานแข็งเกร็ง ไม่กระดิกกระเดี้ย


 


 


ฟังจือหันไม่ตอบกลับประโยคของเธอก่อนหน้า


 


 


ขนตาของอวี๋กานกานสั่นไหวเล็กน้อย กำลังอ้าปากจะพูด…ทว่าริมฝีปากของฟังจือหันค่อยๆ ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ


 


 


ภาพเหตุการณ์จูบท่ามกลางหิมะวันนั้นพลันปรากฏขึ้นมาในหัว เธอผลักฟังจือหันออกทันที “ดึกมากแล้ว นายควรกลับได้แล้ว”


 


 


ฟังจือหันดึงอวี๋กานกานเข้าหาตัวเอง กอดเธอไว้ในอ้อมอก ก้มหน้าเข้าใกล้ “คุณกลัวอะไรเหรอ”


 


 


“ใครกลัว” อวี๋กานกานใช้สองแขนดันฟังจือหันออกอย่างลนลาน หมายจะลุกขึ้นยืน ทว่ากลับถูกดึงกลับไปอีกครั้ง


 


 


ครั้งนี้เธอนั้งลงบนตักของฟังจือหันอย่างจัง อวี๋กานกานตกใจ ตั้งใจจะลุกขึ้นยืนแต่กลับพบว่าเอวของตัวเองถูกกอดเอาไว้


 


 


สองแขนของฟังจือหันโอบกอดอวี๋กานกาน ใบหน้าซบลงที่หน้าอก พลันเอ่ยเสียงแผ่ว “อย่าเพิ่งขยับ ผมขอกอดหน่อย”


 


 


อวี๋กานกานชะงักไปเล็กน้อย น้ำเสียงราบเรียบเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด แต่ไม่รู้เพราะอะไรเธอกลับสัมผัสได้ถึงความอ่อนล้าจากทั้งใจและกาย


 


 


สมองพลันประมวลผลอัตโนมัติว่าเกิดอะไรขึ้นกับฟังจือหัน หรือเขาพบเจอกับเรื่องยุ่งยากอะไร


 


 


ร่างกายของอวี๋กานกานผ่อนคลายลง ฝ่ามือวางบนไหล่ของฟังจือหัน “นะ นาย มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับนายเหรอ”


 


 


ฟังจือหันไม่ตอบเธอ ทำเพียงแค่เอ่ยเสียงเรียบ “ขอผมกอดสักเดี๋ยว”


 


 


นัยน์ตาดำขลับดุจน้ำหมึกของฟังจือหันค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ


 


 


ร่างกายของอวี๋กานกานพลันสั่นเทาและเริ่มแข็งเกร็ง ไม่รู้จะพูดอะไร อวี๋กานกานนึกอยากจะผลักฟังจือหัน พร้อมกับด่าเขาว่าอันธพาล ทว่าความจริงเธอกลับไม่ทำอะไรสักอย่าง


 


 


ตกลงฟังจือหันไปเจอเรื่องอะไรที่ทำให้เขาทุกข์ใจกันแน่ การที่เขามาหาเธอกลางค่ำกลางคืน อาจจะเป็นเพราะต้องการให้เธอปลอบ


 


 


ในขณะที่เธอกำลังจมอยู่กับความคิด จู่ๆ ร่างกายก็ล้มลงไปด้านข้าง อวี๋กานกานตกใจ “ทำอะไรของนายเนี่ย”


 


 


ฟังจือหันคลี่ยิ้มมุมปากชั่วร้าย “ตอนที่คุณให้ผมเข้ามาในห้อง ไม่ได้คิดถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดเหรอ”


 


 


ที่แท้เมื่อครู่คือหลอกเธอ จู่ๆ ก็ทำตัวอ่อนแอ สภาพจิตใจไม่สู้ดี ทั้งหมดเป็นเรื่องหลอกลวง ผู้ชายแผนสูงคนนี้…อวี๋กานกานไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร จิตใจสับสนอลหม่าน


 


 


อวี๋กานกานดิ้นรนต่อต้าน ทั้งผลักทั้งตี


 


 


ฟังจือหันเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “อย่าขยับ” ทั้งยังจับอวี๋กานกานแน่นจนขยับไปไหนไม่ได้ จังหวะหายใจพลันถี่กระชั้นขึ้น “ถ้ายังขยับมั่วซั่วอีก ผมจะไม่ปล่อยคุณไปจริงๆ ด้วย”


 


 


“ใครให้นายจงใจทำให้ฉันตกใจล่ะ”


 


 


 “กลัวผมกินคุณ” ฟังจือหันเอียงศีรษะลงมาเล็กน้อย อาศัยโอกาสนี้ อวี๋กานกานกระพริบตาปริบๆ อ้าปากกัดเข้าไปที่ใบหูของฟังจือหัน


 


 


ร่างกายของฟังจือหันนิ่งค้างไปเล็กน้อย


 


 


อวี๋กานกานรีบใช้จังหวะนี้ผลักฟังจือหันออก ลุกขึ้นยืน พูดทั้งที่ใบหน้าแดงแจ๋ “ดึกแล้ว นายรีบกลับเถอะ”


 


 


ฟังจือหันลูบไปที่ใบหูของตนเอง


ตอนที่ 267 อยากกอด อยากปลอบโดยไม่มีสาเหตุ 


 


 


ใบหน้าของหญิงสาวขึ้นสีแดงจัด น้ำตาคลอเบ้า ชวนให้รู้สึกอยากรังแก  


 


 


เขาควรจะกลับได้แล้ว ไม่เช่นนั้นเขาเองก็ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองจะลงมือทำอะไรต่อ “คุณนอนเถอะ ผมกลับล่ะ”  


 


 


น้ำเสียงทุ้มต่ำ แหบพร่ามีเสน่ห์ 


 


 


อวี๋กานกาน “…” 


 


 


เอ๋ จู่ๆ ก็พูดง่ายขึ้นมา อวี๋กานกานนึกว่าฟังจือหันจะใช้แผนแสร้งทำเป็นถอยแล้วอยู่ต่ออีกหน่อย ผลปรากฏว่าเขาไม่รีรอเดินออกไปทันที  


 


 


“คุณไม่ต้องตามมา ด้านนอกหนาว” เขาปิดประตูและเดินจากไปทันทีที่พูดจบ ลมหนาวด้านนอกพัดเป่าความร้อนรุ่มในร่างกาย ทำให้ร่างกายและจิตใจสงบนิ่งลง 


 


 


แสงไฟรถยนต์สว่างวาบ หลังจากที่ผู้ช่วยของฟังจือหันมาส่งเขาแล้วก็รออยู่ในรถตลอด เมื่อเห็นฟังจือหันเดินออกมา เขาลงจากรถมาเปิดประตูรอทันที 


 


 


อวี๋กานกานยืนมองอยู่ข้างหน้าต่างผ่านบานกระจก แผ่นหลังของฟังจือหันสูงตระหง่านอยู่ท่ามกลางหิมะยามราตรี เย็นเยียบและเงียบเหงา ราวกับว่าโลกทั้งใบเหลือเขาแค่เพียงคนเดียว ไม่รู้ว่าทำไมในใจของอวี๋กานกานถึงได้รู้สึกเจ็บปวดและทุกข์ใจเล็กน้อย พลันอยากกอดเขาจากด้านหลังขึ้นมา  


 


 


เมื่อเห็นว่าฟังจือหันขึ้นรถไปแล้ว อวี๋กานกานลูบใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตัวเอง ทำไมถึงมีความคิดแบบนี้เนี่ย สมองเธอต้องลัดวงจรแน่ๆ เมื่อครู่ฟังจือหันจงใจหยอกเย้าเธอ แสร้งทำเป็นซึมเศร้าอมทุกข์เพื่อหลอกแต๊ะอั๋ง 


 


 


เชอะ 


 


 


ผู้ชายนิสัยไม่ดี 


 


 


รถยนต์เคลื่อนผ่านความมืดมิดยามราตรี ใบหน้าของฟังจือหันเรียบนิ่งราวกับผิวน้ำ เอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ  


 


 


เมื่อถึงคอนโดเขาไม่ได้ให้ผู้ช่วยขับเข้าไปจอดในลานจอดรถ แต่กลับให้จอดหน้าทางเข้า ใต้คอนโดมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ใบหน้าสะสวยตากลมหนาวจนกลายเป็นสีซีด สั่นเทาเล็กน้อย 


 


 


ฟังจือหันเปิดประตูลงจากรถ ใบหน้าเย็นชาแข็งกร้าว  


 


 


หญิงสาวฉีกยิ้มทันที ทว่าในดวงตากลับมีน้ำตาคลออยู่ ตะโกนเรียกด้วยความตื้นเต้น “พี่” 


 


 


เธอเดินสองก้าวก่อนจะออกแรงวิ่งมาทางฟังจือหัน  


 


 


มองดูด้วยสายตาอาจจะวิ่งมาชนโดน ฟังจือหันจึงถอยหลังหนึ่งก้าว รักษาระยะห่างระหว่างพวกเขา ความเย็นช้ากีดกันของเขา ทำให้หญิงสาวรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ 


 


 


หญิงสาวดึงมือทั้งสองที่หมายจะสวมกอดฟังจือหันกลับ ร่างกายสั่นไหว “พี่ ฉัน…” 


 


 


มือของฟังจือหันเสียบอยู่ในกระเป๋ากางเกง สายตาเย็นชาจ้องเขม็งไปที่หญิงสาวอย่างว่างเปล่า บรรยากาศโดยรอบหนาวเหน็บยิ่งกว่าเหมันต์ฤดู 


 


 


ในใจของหญิงสาวเกิดความกลัวขึ้นเล็กน้อย ไม่กล้าเข้าใจพี่ชายต่างมารดาคนนี้ 


 


 


ความสัมพันธ์ของพวกเขาช่างห่างเหิน 


 


 


เธอกล่าวทั้งเสียงสั่นๆ “คุณปู่ป่วย พี่เองก็ต้องไม่สบายใจแน่ ฉันเองก็ไม่สบายใจ” พลันร้องไห้โฮออกมา ราวกับว่าความน้อยใจและความทุกข์ที่อัดอั้นอยู่ในอกได้เจอกับช่องทางระบายออก 


 


 


“ปู่คิดถึงพี่ ฮื่อๆ…” 


 


 


ฟังจือหันยืนนิ่งๆ ไม่ได้เดินเข้าไปปลอบ ทำเพียงแค่กล่าวเสียงเย็น “กลับไปเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะไปหาปู่” 


 


 


หญิงสาวตกตะลึง ตอนแรกเหมือนยังไม่รู้ตัว ชะงักไปครู่หนึ่งถึงได้เข้าใจ เธอพยักหน้าด้วยความดีใจอย่างบ้าคลั่ง “ฉันจะกลับ กลับเดี๋ยวนี้ กลับ” 


 


 


เธอเช็ดคราบน้ำตาจากนั้นวิ่งออกไปได้ครึ่งหนึ่ง ก่อนจะวิ่งกลับมาราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอพูดกับฟังจือหัน “พี่ ฉันเองก็คิดถึงพี่” 


 


 


ก่อนจะวิ่งออกไปอีกครั้ง 


 


 


ฟังจือหันหันศีรษะช้าๆ มองแผ่นหลังของหญิงสาว ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสั่งผู้ช่วยที่นั่งอยู่ในรถ “คุณไปส่งเธอที”  


 


 


ผู้ช่วยพยักหน้า ขับรถตามหญิงสาวไป 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 268 หญิงสาวเพียบพร้อมแสนดีเป็นของคนอื่น 


 


 


อวี๋กานกานตื่นเช้ามาพบว่าวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส ดวงอาทิตย์ลอยเอื่อยเฉื่อย หิมะค่อยๆ ละลายลงอย่างช้าๆ  


 


 


หลินจยาอวี่นั้งอยู่ตรงโต๊ะรับประทานอาหาร เมื่อเห็นอวี๋กานกานกำลังเดินออกมา พลันลุกขึ้นไปตักโจ๊กให้อวี๋กานกานมาถ้วยหนึ่ง  


 


 


อวี๋กานกานยิ้มพร้อมกับกล่าวทักทาย “อรุณสวัสดิ์” 


 


 


“อรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนหลับสบายดีไหม” 


 


 


“ก็ดีนะ” ความจริงคือหลับไม่ค่อยสนิทสักเท่าไร   


 


 


หลังจากที่ฟังจือหันกลับไปแล้ว เธอนอนอยู่นานกว่าจะหลับลงได้ ทั้งหมอนทั้งผ้าห่มล้วนเป็นกลิ่นของเขา เธอถูกบุกรุกและก่อกวนทำให้ฝันแปลกประหลาดมากมาย ฉากจูบท่ามกลางหิมะระหว่างเธอกับฟังจือหันบ้างล่ะ ทะลุมิติไปอดีตพบกับจอมยุทธอันดับหนึ่งของบู๊ลิ้มฟังจือหันบ้างล่ะ หรือไม่ก็ทะลุอนาคตไปเจอมนุษย์ต่างดาวฟังจือหัน ไม่ใช่เรื่องข้ามเวลามาพบรัก[1] ก็เรื่องยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว[2] แถมตอนสุดท้ายพี่เจียงในความฝัน เธอยังจิตนาการเป็นหน้าฟังจือหัน กอดเขาร้องห่มร้องไห้ “ไม่เอาหนูไม่อยากจากพี่ไป ไม่เอาหนูไม่ไป…” 


 


 


ดูท่าเธอคงต้องกินยาระงับประสาทสักสองเม็ดแล้ว 


 


 


หลินจยาอวี๋เหลือบสายตาขึ้นมามองอวี๋กานกาน แววตาแฝงรอยยิ้ม “วัสดุกันเสียงบ้านฉันค่อนข้างมีคุณภาพ เธอไม่ต้องระแวงไปหรอก” 


 


 


อวี๋กานกานมองหลินจยาอวี่ด้วยสายตาตกตะลึง เธอนิ่งค้างไปครู่หนึ่งกว่าจะเข้าใจความหมายของหลินจยาอวี่ พลันเหนียมอาย “ไม่ใช่แบบที่เธอคิดนะ พวกเราไม่ได้ทำอะไรกันเลย” 


 


 


“ทำก็ไม่เป็นไร ยังไงฉันก็ไม่ได้ยิน” 


 


 


“ไม่ได้ทำอะไร…แน่นอน” 


 


 


อวี๋กานกานเอ่ยเสียงแผ่ว ใบหน้าแดงเป็นลูกเชอร์รี่ 


 


 


เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว! 


 


 


– 


 


 


ก่อนกลับสมาคมอวี๋กานกานแวะไปหาคุณอาของรุ่นพี่จังซ่า หลายวันมานี้คุณอาเริ่มมีสติตอบรับได้มากขึ้น อวี๋การการปรับเทียบยาและสอบถามเรื่องราวตอนรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลป๋อจือ 


 


 


คุณอาของจังซ่าเล่าว่าตอนนั้นแพทย์วินิจฉัยว่าเขาป่วยหนัก มีแนวโน้มเป็นมะเร็งจึงจ่ายยาต้านมะเร็งตัวหนึ่งมาให้ คุณอาหยิบประวัติการรักษาและใบเสร็จรวมใส่ซองเอกสารส่งให้อวี๋กานกาน 


 


 


อวี๋กานกานหยิบเอกสารออกมาเตรียมเทียบกับเอกสารที่ฟังจือหันสืบมาได้ 


 


 


ตกเย็นเธอโทรศัพท์หาฟังจือหัน ทว่าโทรอย่างไรก็โทรไม่ติด  


 


 


วันถัดมาหลังงานสัมมนาสิ้นสุดลง ประธานสวีสั่งให้ตอนบ่ายเธอและซย่าเฉิงโจวไปรายงานตัวที่ห้องทดลองของบริษัทยาไป๋ฟัง 


 


 


เธอนัดกับฟังจือหันไว้แล้วว่าบ่ายนี้จะย้ายที่อยู่ไปบ้านเขา ต้องโทรศัพท์ไปเปลี่ยนเวลา  


 


 


จะยังโทรไม่ติดอยู่อีกไหมนะ อวี๋กานกานกำลังจะลองโทรออก ฟังจือหันกลับโทรเข้ามาอย่างพอดิบพอดี เขารออยู่ที่ด้านนอกสมาคม   


 


 


ตอนที่อวี๋กานกานลากกระเป๋าเดินทางออกมา บังเอิญเจอกับซย่าเฉิงโจวพอดี ทันทีที่เห็นกระเป๋าเดินทาง ซย่าเฉิงโจวชะงักไปเล็กน้อย “คุณจะย้ายไปไหนเหรอ” 


 


 


อวี๋กานกานครุ่นคิด ตัดสินใจพูดโกหกออกไปอีกครั้ง “ฉันจะย้ายไปอยู่กับสามีน่ะ” 


 


 


ซย่าเฉิงโจวฝืนคลี่ยิ้ม “แล้วรายงานตัวตอนบ่ายล่ะ” 


 


 


อวี๋กานกานตอบ “ฉันไปเองได้ ไว้เจอกันที่บริษัทยาไป๋ฟังนะคะ” 


 


 


ซย่าเฉิงโจวพยักหน้า 


 


 


แม้ว่าจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่ในใจทั้งคู่ต่างเข้าใจดีว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาค่อนข้างอึดอัด 


 


 


เสียงฝีเท้าลอยเข้าโสตประสาท อวี๋กานกานหันไปเห็นฟังจือหันเดินออกมาจากมุมทางเดิน ชายหนุ่มรูปร่างสูตระหง่าน ใบหน้าหล่อเหล่า อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของผู้สูงศักดิ์หยิ่งทะนง ดวงตาคมกริบปรายมองซยาเฉิงโจวแวบหนึ่ง ฟังจือหันยื่นมือมาหยิบกระเป๋าเดินทางของอวี๋กานกานไปถือ จากนั้นโอบเธอแล้วเดินจากไปทันทีโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ 


 


 


ซย่าเฉิงโจวมองแผ่นหลังของพวกเขา มุมปากยกยิ้มขมขืน  


 


 


ชีวิตนี้สิ่งที่น่าเวทนาที่สุดไม่มีอะไรเกินกว่าการได้พบเจอหญิงสาวผู้เพียบพร้อมแสนดี แต่กลับอยู่ในภายใต้เงื่อนไขที่ไม่อาจจะสานต่อความสัมพันธ์ได้  


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ภาพยนตร์ปี 2001


 


 


[2] ซีรีย์เกาหลีชื่อดัง 


ตอนที่ 269 ไปอยู่กับสามีไม่ต้องตื่นเต้น


 


 


อวี๋กานกานนั่งอยู่ในรถ มีอาการกินปูนร้อนท้องเล็กน้อย เมื่อกี้นี้ฟังจือหันมาตั้งแต่เมื่อไร ได้ยินประโยคนั้นที่เธอพูดกับซย่าเฉิงโจวว่า ‘ฉันจะย้ายไปอยู่บ้านสามี’ หรือเปล่า


 


 


อวี๋กานกานแอบชำเลืองไปมองฟังจือหัน แต่กลับพบว่าเขาจ้องเธออยู่ก่อนแล้ว เธอชะงักไปเล็กน้อย แววตาลอกแลกประหนึ่งหัวขโมย


 


 


เมื่อเห็นท่าทางของเธอ ดวงตาล้ำลึกฟังจือหันหรี่ลง ถามด้วยความสงสัย “คุณตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น”


 


 


อวี๋กานกานมีสีหน้าตื่นตกใจ ย้อนถาม “ฉันตื่นเต้นเหรอ ฉันเปล่าตื่นเต้น” จากนั้นกระแอมออกมาเบาๆ พลันอาศัยจังหวะนี้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อ้อ ทำไมเมื่อคืนฉันโทรหานายไม่ติดเลย”


 


 


“โทรศัพท์แบตหมด”


 


 


“ฉันได้เอกสารทั้งหมดของโรงพยาบาลป๋อจือจากคุณอาของรุ่นพี่จังซ่าแล้ว ไว้ช่วงค่ำพวกเราลองมาเปรียบเทียบกันดู”


 


 


 ฟังจือหันส่งเสียงตอนรับในลำคอ จากนั้นสั่งอวี๋กานกานให้คาดเข็มขัด


 


 


หัวข้อสนทนานี้เหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี เมื่อเห็นว่ารถยนต์เริ่มเคลื่อนตัวออก อวี๋กานกานเหมือนเป็นจิ้งจอกที่แอบขโมยอาหาร ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ เธอกลับไม่รู้เลยว่าการกระทำทั้งหมดตกอยู่ภายใต้สายตาของฟังจือหัน


 


 


เพียงครู่เดียว ฟังจือหันยกยิ้มบางขึ้น “จริงๆ ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องตื่นเต้น แค่ย้ายไปอยู่กับสามีเอง”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


แหงะ! ที่แท้ก็ได้ยิน น่าขายหน้าเป็นบ้า


 


 


เดินทีอวี๋กานกานตั้งใจไว้ว่าจะไปเก็บกระเป๋าสัมภาระก่อน จากนั้นค่อยไปรายงานตัวที่บริษัทยาไป๋ฟัง ฟังจือหันกลับบอกว่าอีกเดี๋ยวจำเป็นต้องให้เธอช่วยตรวจอาการคนป่วยคนหนึ่งหน่อย


 


 


“ใครเหรอ เขาไม่ได้ไปหาหมอเหรอ”


 


 


“คนสูงวัยคนหนึ่งน่ะ มีอาการไม่อยากอาหารหลังผ่าตัด”


 


 


ถ้ามีอาการเช่นนั้นก็เหมาะสมที่จะใช้ยาจีนรักษา อวี๋กานกานพยักหน้า “ได้ ไม่มีปัญหา งั้นนายไปส่งฉันรายงานตัวที่บริษัทไป๋ฟังก่อน”


 


 


ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาตรวจดูอาการนานเท่าไร หากติดพันขึ้นมาจะทำให้ไปรายงานตัวสาย


 


 


“หืม” ฟังจือหันหันหน้ามามองเธอ แปลกใจว่าทำไมต้องไปที่บริษัทยาไป๋ฟัง


 


 


 “งานสัมมนาครั้งนี้มีการเปิดหัวข้อวิจัยหัวข้อหนึ่งเกี่ยวกับสูตรยาผสม[1]รักษาอาการข้างเคียงจากโรคโปลิโอ ห้องวิจัยอยู่ตึกหลักชั้นบนสุดของบริษัทยาไป๋ฟัง ฉันต้องไปรายงานตัวก่อน หลังจากนี้ถ้าฉันมีเวลาว่างก็ต้องไปหมกอยู่ในห้องวิจัย”


 


 


อีกอย่างห้องวิจัยนี้มีสาขาย่อยที่ไป๋หยางด้วย หัวหน้าศูนย์วิจัยคือซย่าเฉิงโจว ในอนาคตถ้าเธอกลับไป๋หยางก็ยังสามารถทำการวิจัยต่อได้


 


 


ฟังจือหันปรายตามามองเธอแวบหนึ่ง สายตาลึกซึ้ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


 


 


ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถยนต์มาถึงตึกทำการหลักของบริษัทยาไป๋ฟัง


 


 


“ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานไหม นายจะรอในรถหรือว่าจะกลับไปก่อน” พูดไปพูดมา จู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ฉันเกือบลืมไป นายเป็นตัวแทนจากบริษัทยาไป๋ฟังนี่ นายก็ต้องทำงานอยู่ที่บริษัทนี้อยู่แล้ว งั้นพวกเราเข้าไปพร้อมกันเลยเป็นไง”


 


 


ฟังจือหันยื่นมือมาลูบศีรษะของเธอ ทั้งคู่วนรอบลานจอดรถหนึ่งรอบกว่าจะเจอที่ว่างช่องหนึ่ง


 


 


ฟังจือหันขับรถเข้าไปจอด ทันทีที่ดับเครื่องยนต์ พลันได้ยินเสียงเบรกอย่างรุนแรงจากทางด้านหลัง เป็นรถเฟอร์รารี่สีแดงคันหนึ่ง


 


 


คนในรถปลดกระจกลง เผยให้เห็นใบหน้าเย่อหยิ่งจองหอง ทั้งยังตะโกนใส่อวี๋กานกานและฟังจือหันที่เพิ่งลงจากรถ “ใครให้พวกแกจอดตรงนี้ ที่ตรงนี้มีไว้ให้เฉพาะฉันเท่านั้น รีบย้ายรถออกไปเดี๋ยวนี้”     


 


 


อวี๋กานกานมองเข้าไปในรถเห็นผู้ชายสวมเสื้อคลุมลายสก๊อต หวีผมทรงเรียบแปล้ “ที่ตรงนี้ไม่ได้มีสัญลักษณ์บอกว่าเป็นที่จอดรถเฉพาะบุคคลสักหน่อย”


 


 


ผู้ชายในรถก้าวลงมา กิริยาท่าทางโอหัง ตวาดใส่อวี๋กานกาน “ลูกกะตาเธอเป็นอะไร เห็นรถฉันไหม รถฉันเนี่ยแหละสัญลักษณ์”


 


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ยาผสม หมายถึง มีตัวยาสองตัวขึ้นไปผสมอยู่ในหนึ่งเม็ด อาจเป็นยาจีนผสมยาแผนปัจจุบัน หรือยาจีนผสมยาจีน ยาแผนปัจจุบันผสมยาแผนปัจจุบันล้วนได้หมดทั้งสิ้น


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 270 ไม่สะดวก ไม่ขยับ


 


 


อวี๋กานกานมองหน้าชายคนนั้นด้วยความเอือมระอา ไม่เข้าใจในการกระทำ เธอหันไปมองฟังจือหัน เขาไม่แม้แต่ปรายตามองชายคนนั้น ทำเพียงแค่มองหน้าเธอแล้วกล่าว “ไปเถอะ ผมพาคุณเข้าไปเอง”


 


 


“เข้าประตูหลังเหรอ ลดขั้นตอนได้เยอะ”


 


 


“ใช่”


 


 


“มิน่าทุกคนถึงได้ชอบเข้าประตูหลัง[1] เพราะว่าลดขั้นตอนได้เยอะนี่เอง”


 


 


ทั้งสองเมินชายคนนั้นอย่างสิ้นเชิง เขากระทืบเท้าฟึดฟัด เตะรถของฟังจือหันอย่างแรง ทว่าท่อนขากลับกระแทกโดนท้ายรถจนต้องส่งเสียงร้องโอดครวญ


 


 


สัญญาณกันขโมยร้องดังติ๊ดๆๆ


 


 


อวี๋กานกานหันไปมองตามสัญชาตญาณ ราวกับเห็นสิงโตตัวหนึ่งที่กำลังถูกยั่วโมโห แยกเคี้ยวใส่เธอ “พวกแกหูหนวกหรือยังไง”


 


 


โอหังอวดดี กำเริบเสิบสาน


 


 


เสียงดังโวยวายดึงให้ยามของลานจอดรถต้องตามเข้ามาดู เมื่อยามเห็นชายหนุ่มที่กำลังโมโหพร้อมกับรถที่จอดอยู่ด้านนอก เขารีบวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าลนลาน “คุณชายจง ผมจะรีบจัดหาที่จอดรถให้เดี๋ยวนี้เลยครับ”


 


 


คุณชายจงหรือจงไห่ถังผู้นี้ เป็นถึงน้องชายของภรรยาประธานบริษัท เขาไม่บังอาจล่วงเกิน


 


 


ความโกรธอัดอั้นอยู่ในใจของจงไห่ถัง เขาหันไปโวยวายเสียงดังใส่ยาม “ฉันไม่ต้องการที่ว่างที่อื่น วันนี้ฉันจะเอาที่ตรงนี้!”


 


 


ยามหันไปพูดกับฟังจือหันด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม “ขอโทษนะครับ สะดวกขยับรถไหมครับ เดี๋ยวผมจะหาที่ว่างอีกที่ให้”


 


 


อวี๋กานกานครุ่นคิด ชำเลืองมองฟังจือหัน เขาไม่เหมือนกับเธอที่กำลังลังเลว่ายอมถอยสักก้าวดีกว่าไหม ฟังจือหันปฏิเสธอย่างเย็นชา “ไม่สะดวก”


 


 


พูดทิ้งท้ายด้วยคำสามพยางค์นี้จบ ฟังจือหันก้าวเดินไปด้านหน้าทันที อวี๋กานกานรีบเดินตามไป


 


 


คุณชายจงโกรธจนแทบจะดิ้นเร่าๆ ตวาดเสียงดังด้วยสีหน้าบึ้งตึง “พูดดีๆ ไม่รู้จักฟัง ต้องเป็นปรปักษ์กับฉันให้ได้ มารดาแกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”


 


 


แล้วนายเป็นใครล่ะ อวี๋กานกานหันหลังมองด้วยความสงสัย เห็นคุณชายจงถลึงตาใส่ประหนึ่งยมทูตจากนรกจะจับคนกิน ท่าทางหยิ่งทะนงเหมือนตัวเองเป็นเป็นไพ่นกกระจอกสองห้าแปด[2] “พวกแกกล้าลองดีกับฉัน แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”


 


 


อวี๋กานกานเขยิบเข้าใกล้ฟังจือหันเล็กน้อย กระซิบ “เหมือนว่าหมอนั่นจะไม่ใช่ลูกตาสีตาสา ยังไงนายก็ทำงานอยู่ที่นี่ ไปทำเขาโมโหจะเป็นเรื่องไหมเนี่ย พวกเราไปจอดที่อื่นดีกว่า”


 


 


ฟังจือหันจ้องมองสีหน้าและท่าทางที่เป็นห่วงเขาของอวี๋กานกาน พลันยื่นมือออกไปโอบไหล่อวี๋กานกาน “เป็นห่วงว่าผมจะตกงานเหรอ”


 


 


“ฉันไม่ได้เป็นห่วง” อวี๋กานกานพูดพลางผลักเขาออก “มือไม้นายอย่าปลาหมึกได้ไหม คนอื่นมาเห็นเข้ามันดูไม่ดี ปล่อย”


 


 


จงไห่ถังที่โดนเมินแล้วเมินเล่า สีหน้าอึมครึมไม่ต่างกับน้ำหมึก


 


 


ยามที่ยืนอยู่ข้างๆ จ้องมองด้วยใจหวาดหวั่น “คุณชายจง หน้าด้านมีที่จอดวีไอพีว่างอยู่ที่หนึ่ง เดี๋ยวผมไปจัดแจงให้ดีไหมครับ”


 


 


จงไห่ถังชี้หน้าตำหนิยาม “ตอนนี้เป็นเวลางาน ทำไมแกปล่อยคนเข้าตึกสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ ยังไม่รีบไปไล่พวกมันออกมาอีก”


 


 


สีหน้าของยามเต็มไปด้วยความหนักใจ เขาเป็นแค่ยามคนหนึ่ง มีหน้าที่รักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย เข้าได้หรือเข้าไม่ได้ นั่นเป็นหน้าที่ของพนักงานต้อนรับส่วนหน้า


 


 


เมื่อเห็นว่ายามยังไม่ยอมตามไป จงไห่ถังถลึงตาใส่ “ดูท่าฉันคงสั่งอะไรไม่ได้ คงต้องให้พี่เขยฉันมาสั่งแกถึงยอมทำตาม”


 


 


คนโง่ก็ยังฟังออกว่านี่เป็นประโยคข่มขู่ รอให้ประธานเรียกเขา นั่นคือโดนไล่ออก ยามรีบฉีกยิ้มพร้อมกล่าว “อย่านะครับ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เองคุณชาย ไม่เห็นจำเป็นต้องรบกวนประธานเจียงเลย ผมจะไปเดี๋ยวนี้ ไปเดี๋ยวนี้เลยครับ…”


 


 


ยามไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบวิ่งตามฟังจือหันกับอวี๋กานกานไป หมายจะขวางไม่ให้พวกเขาเข้าไปในตึก


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] เข้าประตูหลัง มีอีกความหมายหนึ่งว่าติดสินบน


 


 


[2] ไพ่นกกระจอกสองห้าแปด ไพ่สอง ห้าและแปดเป็นไพ่สำคัญในการคว้าชนะของการเล่นไพ่นกกระจอก  


ตอนที่ 271 ใครกันแน่ที่หน้าหนาไร้ยางอาย


 


 


ห้องโถงบริษัทยาไป๋ฟัง


 


 


อวี๋กานกานกำลังจะเดินไปสอบถามพนักงานต้อนรับส่วนหน้า ทว่าประตูลิฟต์เปิดออกมีคนคนหนึ่งเดินออกมาต้อนรับทักทายฟังจือหันและเธอ พร้อมกับแนะนำตัวเองว่าเป็นผู้ช่วยของฟังจือหันชื่อหลินเซิน “สวัสดีครับคุณอวี๋ เรียกผมว่าอู่มู่[1]ก็ได้ครับ”


 


 


“สวัสดีค่ะ” อวี๋กานกานคลี่ยิ้มบาง ห้าไม้จริงอย่างว่า


 


 


ทันทีที่เห็นหลินเซินฝีเท้าของยามหยุดกึก


 


 


ฟังจือหันปรายตามองยามแวบหนึ่ง แววตาเย็นเยียบ บรรยากาศกดดัน ดูผิวเผินเหมือนสงบเงียบไร้คลื่น ทว่ากลับให้ความรู้สึกเหมือนมีลมกระหน่ำฝนสาดซัด


 


 


หัวใจของยามเกร็งกระตุก ทำอะไรไม่ถูก


 


 


หลินเซินมองตามสายตาของฟังจือหันไปหยุดอยู่ตรงยาม


 


 


ยามกุลีกุจอส่งยิ้มให้หลินเซิน ทั้งยังพยักหน้าน้อยๆ ด้วยความเคารพ “สวัสดีครับผู้ช่วยหลิน”


 


 


หลินเซินยิ้มบางๆ เป็นการทักทายกลับ จากนั้นหันไปทางฟังจือหันและอวี๋กานกาน ผายมือเชื้อเชิญ “รองประธานฟัง คุณอวี๋ เชิญครับ ผมจะพาพวกคุณไปที่ห้องวิจัย”


 


 


เมื่อเห็นทั้งสามเดินเข้าลิฟต์ ยามสูดลมหายใจเข้าด้วยความหวาดหวั่น ในบริษัทมีรองประธานสองคน คนหนึ่งเป็นลูกชายของประธานใหญ่ ส่วนรองประธานอีกคนแซ่ฟัง เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน


 


 


ตัวตนของรองประธานฟังลึกลับมาก ยังไม่เคยเข้ามาที่บริษัทเลยสักครั้ง


 


 


หลินเซินเป็นผู้ช่วยของรองประธานฟัง เมื่อครู่เขาเรียกผู้ชายคนนั้นว่ารองฟัง หรือเขาจะเป็นรองประธานที่ยังไม่เคยเผยโฉมให้ใครเห็นคนนั้น?


 


 


จงไห่ถังเดินมาถึงห้องโถง เห็นเพียงแค่ยาม ตวาดเสียงดังลั่น “คนล่ะ?”


 


 


“ห้องวิจัยชั้นบนสุดครับ”


 


 


“ไม่ใช่ให้แกไล่พวกมันออกมาหรอกเหรอ”


 


 


“เขาคือรองประธานฟัง?”


 


 


รองประธานฟัง? รองประธานที่เพิ่งเข้ามาใหม่ จงไห่ถังตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะแค่นหัวเราะเสียงเย็น พูดอวดเบ่ง แล้วมันยังไง ก็แค่พนักงานกินเงินเดือนคนหนึ่ง”


 


 


“แต่ว่า…”


 


 


“แต่ว่าอะไร ไอตัวไม่มีประโยชน์เอ๊ย!” จงไห่ถังผลักยามออก กดลิฟต์ตามขึ้นไปชั้นบนสุดทันที


 


 


ชั้นบนสุด อวี๋กานกานกำลังกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียนอยู่บริเวณหน้าเคาน์เตอร์ ส่วนฟังจือหันยืนอยู่ตรงหน้ากระจกบานใหญ่ห่างจากเธอไปไม่ไกล หลินเซินกำลังสรุปรายงานให้ฟังจือหัน


 


 


จงไห่ถังออกจากลิฟต์เห็นอวี๋กานกานกำลังยืนค้ำเคาน์เตอร์กรอกแบบฟอร์ม เขามองทรวดทรงองเอวได้รูปของหญิงสาวจากด้านหลัง นัยน์ตาปรากฏความละโมบโลภมาก จงไห่ถังที่อัดอั้นไปด้วยเพลิงโกรธ หัวเราะในลำคออย่างชั่วร้าย “เธอคือผู้เชี่ยวชาญที่ห้องวิจัยเพิ่งรับเข้ามาเหรอ”


 


 


อวี๋กานกานเพิ่งยื่นแบบฟอร์มที่กรอกเสร็จให้พนักงานสองคนหน้าเคาน์เตอร์ เธอตกใจเล็กน้อยที่ได้ยินเสียงนี้ หันกลับไปเห็นคุณชายจงที่แย่งที่จอดรถกันเมื่อครู่ เธอค่อนข้างเนือยหน่าย ก็แค่ที่จอดรถที่เดียว ทำไมเขาถึงได้ระรานไม่เลิก


 


 


สายตาของจงไห่ถังจดจ้องใบหน้าของอวี๋กานกานอย่างอุกอาจ ผู้หญิงคนนี้หน้าตาไม่เลว ถึงแม้ไม่ให้ความรู้สึกสวยหยาดเยิ้ม แต่มีใบหน้ารูปไข่จิ้มลิ้ม ผิวขาวเนียน รวมทั้งหน้าม้าและผมหยักศก ทำให้เธอดูน่ารักน่าทะนุถนอมเป็นพิเศษ


 


 


เขาผ่านผู้หญิงมาเยอะ แต่สไตล์นี้ยังไม่เคยได้ลิ้มลอง เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็กระหยิ่มยิ้มย่องยิ่งกว่าเดิม “ผู้หญิงมาเป็นผู้เชี่ยวชาญอะไร อยู่บ้านคอยปรนนิบัติรับใช้ผู้ชายดีกว่า” พูดพลางเลียริมฝีปาก ท่าทางเหมือนจะกินคน


 


 


อวี๋กานกานขมวดคิ้ว พูดตอกหน้าสองพยางค์ “ประสาท!”


 


 


“นังนี่ ให้เกียรติไม่รับ ฉันสนใจเธอก็นับว่าเป็นบุญโขแล้ว” เมื่อเห็นว่าอวี๋กานกานไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เพลิงโกรธที่อยู่ในใจของจงไห่ถังพุ่งตรงขึ้นสมอง เขายื่นมือออกมาหมายจะจับใบหน้าอวี๋กานกาน ทว่ามือของเขายังไม่ทันได้สัมผัสโดนใบหน้าเธอ กลับถูกใครคนหนึ่งคว้าไว้ก่อน


 


 


ฟังจือหันออกแรงเหวี่ยง คุณชายจงลอยละล่องกระแทกกับพื้นร้องโอดครวญ  


 


 


  


 


 


 


 


——


 


 


[1] อู่มู่ (五木) แปลว่าห้าไม้ มาจากชื่อ หลินเซิน (林森) ที่ประกอบด้วยตัว มู่(木) ห้าตัว


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 272 คุณชายฟังกลับมาแล้ว


 


 


พนักงานโดยรอบต่างพากันตกตะลึง


 


 


จงไห่ถึงคนนี้เป็นถึงน้องชายภรรยาของประธานบริษัท อยู่บริษัททำตัวเผด็จการใช้อำนาจบาตรใหญ่ พูดจาแทะโลมพนักงานสาวสวยมาโดยตลอด ไม่มีใครกล้าหืออือกับเขาด้วยซ้ำ


 


 


แล้วผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน เขาทำกับจงไห่ถังแบบนี้ไม่เพียงแต่ไม่ไว้หน้าจงไห่ถัง ยังไม่ไว้หน้าประธานบริษัทอีกด้วย นี่ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรอกเหรอ!


 


 


จงไห่ถังคลานขึ้นมาจากพื้น ชี้หน้าฟังจือหันด้วยความโมโหและหวาดกลัว ขบฟันกรอด กล่าว “แกกล้าทำกับฉันแบบนี้ แกรู้ไหมฉันเป็นใคร เชื่อไหมว่าฉัน…”


 


 


ฟังจือหันก้าวเท้าไปด้านหน้า สายตาจ้องมองจงไห่ถัง เดินเข้าไปหาอย่างช้าๆ ออร่าเย็นเยียบแข็งกร้าวของฟังจือหัน ทำให้จงไห่ถังรู้สึกหวาดผวาขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ เขาขยับถอยหลังตามสัญชาตญาณหลายก้าว “แก…แกจะทำอะไรอีก”


 


 


ฟังจือหันเสียบมือไว้ในกระเป๋ากางเกง กล่าวอย่างไม่ใยดี “แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน”


 


 


จงไห่ถังตัวสั่นระริก มือชี้ไปที่จมูกของฟังจือหัน ขบฟันกรามดังกรอด “แก…แกกล้าดียังไงมาด่าฉัน แกนึกว่าตัวเองเป็นรองประธานมาใหม่ก็ยิ่งใหญ่นักหรือไง แกไม่ลองถามดูล่ะว่าบริษัทยาไป๋เป็นฟังของใคร แค่ฉันเอ่ยปากพูดคำเดียว ก็สามารถทำให้แกระเห็จออกจากที่นี่ได้ทันที รู้ไหมหา!”


 


 


 ฟังจือหันนิ่งเงียบ จ้องมองจงไห่ถังด้วยสายตาเย็นชา แววตาคู่นั้นทั้งเย็นเยียบและแหลมคม จงไห่ถังรู้สึกเพียงแค่ว่าตัวเองเหมือนกับถูกขังไว้ในอุโมงค์เก็บน้ำแข็ง หัวใจสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้


 


 


ทันใดนั้นเองประตูลิฟต์เปิดออก มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมาอย่างคล่องแคล่วว่องไว ทันทีที่เห็นชายคนนั้น จงไห่ถังพลันกลับมาอวดเบ่งอีกครั้ง กล่าวเสียงดัง “ที่ปรึกษาเฉิน คุณมาได้จังหวะพอดีเลย รีบบอกเขาไป ว่าผมเป็นใคร”


 


 


จงไห่ถังพูดพลางเชิ่ดคางขึ้น ปลายจมูกชี้ท้องฟ้า ท่าทางกำแหงถึงขีดสุด ใช้หางตามองฟังจือหัน


 


 


ที่ปรึกษาเฉินเป็นที่ปรึกษาพิเศษของประธานกรรมการ


 


 


จงไห่ถังมั่นใจมากว่าฟังจือหันต้องรู้จักที่ปรึกษาเฉินแน่ และที่ปรึกษาเฉินต้องบอกฟังจือหันว่าเขาเป็นใครอย่างแน่นอน


 


 


เขาตั้งตารอฟังจือหันคุกเข่า ขอให้ยกโทษ


 


 


ที่ปรึกษาเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่สนใจคุณชายจง แต่กลับเดินไปหยุดตรงหน้าฟังจือหัน ร่างกายสูงตรงตระหง่านพลันโค้งคำนับทำมุมเก้าสิบองศา พูดอย่างเคารพนอบน้อม “คุณชายหัน ยินดีต้อนรับครับ”


 


 


เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องอยู่ในหัวของจงไห่ถัง เขาเบิกตาโพลงมองภาพตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ “…”


 


 


ฟังจือหันมองที่ปรึกษาเฉินด้วยสายตาเรียบนิ่ง “อย่าให้ผมเห็นเขาที่บริษัทยาไป๋ฟังอีก” ก่อนจะให้สัญญาณทางสายตาไปทางจงไห่ถัง


 


 


ที่ปรึกษาเฉินพยักหน้ารับทันที “ครับ”


 


 


สีหน้าของคุณชายจงย่ำแย่ขนาดไหนไม่ต้องพูดถึง “พวกแกกล้าเหรอ”


 


 


ที่ปรึกษาเฉินเมินเขา พร้อมกวักมืออย่างไม่แยแส ยามสองคนวิ่งเข้ามาจับจงไห่ถังลากออกไปทันที


 


 


ในตอนที่ประตูลิฟต์กำลังปิดลง ยังได้ยินเสียงต่อต้านด้วยความเกรี้ยวโกรธและไม่พอใจของจงไห่ถัง “ประธานบริษัทเป็นพี่เขยฉัน พวกแกกล้าทำกับฉันแบบนี้ ล้างคอรอไว้เลย ฉันจะทำให้พวกแกได้เห็นดี”


 


 


สถานการณ์กลับตาลปัตรไปหมด ผู้คนโดยรอบเริ่มส่งเสียงซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์


 


 


“คุณชายหัน? ผู้สืบทอดที่แท้จริงของตระกูลเจียงกลับมาแล้ว! ”


 


 


“ใครนะ? ทำไมฉันไม่เคยได้ยินเลยว่าตระกูลเจียงมีคนชื่อคุณชายหันด้วย”


 


 


“ประธานกรรมการคนเก่ามีลูกชายสองคน ลูกชายคนโตชื่อเจียงปั๋วซื่อ ก่อนหน้านี้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ลูกคนเล็กเป็นประธานบริษัทยาไป๋ฟัง ชื่อเจียงซื่อเซิ่ง ทุกคนต่างนึกว่าประธานกรรมการคนเก่าจะยกตำแหน่งให้ลูกชายคนเล็กเจียงซื่อเซิ่ง ทว่ากลับไม่ใช่! ประธานกรรมการคนเก่าเลือกหลานชายของเขาเป็นผู้สืบทอด หรือก็คือลูกชายของเจียงปั๋วซื่อ เจียงหัน”


 


 


“แต่ว่าเจียงปั๋วซื่อมีลูกสาวแค่คนเดียวไม่ใช่เหรอ”


 


 


“เจียงปั๋วซื่อแต่งงานสองครั้ง ภรรยาคนก่อนให้กำเนิดลูกชายหนึ่งคน ตอนอายุสิบสามปีกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย บ้างก็บอกเรียนอยู่ต่างประเทศ บ้างก็บอกตายไปแล้ว ตอนนี้เขากลับมาแล้ว!”


 


 


“รู้สึกเหมือนจะถึงคราวเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่แล้ว!”


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม