หมอยาหวานใจท่านประธาน 241-267
241 ที่แท้นี่ก็คือปมในใจเขา
ตอนนี้เธอรู้สาเหตุที่ทำให้รอยยิ้มของเฉวียนหมิงหายไปในชั่วข้ามคืน จนป่วยเป็นโรคเส้นประสาทบนใบหน้าหมดความรู้สึกแล้ว จากเดิมที่คาดหวังว่าครอบครัวจะได้อยู่กันพร้อมหน้า แต่กลับหายสาบสูญไปอย่างอยู่ไม่รู้ตายไม่เห็น
ประกอบกับที่พ่อแม่รีบกลับมาก็เพื่อให้ทันวันเกิดเขา เป็นใครก็คงทำใจไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กวัยแปดเก้าขวบอย่างเฉวียนหมิง ชั่วพริบตาก็เสียคนที่รักที่สุดไปสองคน
คนที่ไม่เคยมีก็คงไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนี้ อย่างเช่นตัวเธอเอง ตอนเด็กๆ ไม่เคยได้รับการดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่ เธอจึงไม่รู้จักความทุกข์ทรมานจากการสูญเสีย แต่ก็คงจะรู้สึกหัวใจแหลกสลายล่ะมั้ง
เฉวียนหมิงพยายามควบคุมอารมณ์ เม้มริมฝีปากแน่น เขาจะยกโทษให้ตัวเองได้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นคนที่ทำร้ายพ่อแม่ด้วยมือตัวเอง เขาทำร้ายคนสองคนที่เขารักที่สุด
“ไม่ใช่ความผิดของคุณ พวกเขาไม่โทษคุณหรอกค่ะ ต่อให้คุณไม่ได้โทร.ไป พ่อกับแม่ของคุณก็ต้องกลับมาฉลองวันเกิดคุณอยู่ดี คุณคือคนที่พวกเขารักที่สุด” อีลั่วเสวี่ยเห็นแบบนี้จึงมาอยู่ตรงหน้าเขา กอดเขาไว้เบาๆ
เดิมคิดว่าพ่อแม่เขาแค่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเท่านั้น มีคนมากมายที่ผ่านประสบการณ์แบบนี้ แต่คิดไม่ถึงว่ากรณีของเฉวียนหมิงจะมีสาเหตุที่ลึกลงไปกว่านั้น เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมหลายปีมานี้เฉวียนหมิงจึงไม่สามารถคลายปมในใจได้
ถ้าเปลี่ยนเป็นฉัน บางทีอาจจะไม่กล้าหาญเท่าเขาด้วยซ้ำ
ความอบอุ่นจากอ้อมกอดและการตบหลังเบาๆ ทำให้เฉวียนหมิงผ่อนคลายลง เขากอดตอบเธอ แล้วหลับตาลง ซบศีรษะบนไหล่เธอ
ผ่านไปครู่ใหญ่ อีลั่วเสวี่ยจึงคลายมือออกเล็กน้อย
“เดี๋ยวก่อน ขอผมกอดอีกหน่อย” ความอบอุ่นแบบนี้ทำให้เขารู้สึกลุ่มหลง ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยโทร.ไปหาพ่อแม่ จึงไม่เคยมีใครบอกว่านี่ไม่ใช่ความผิดของเขา
ผ่านไปสามนาที เฉวียนหมิงจึงคลายมือออกจากอีลั่วเสวี่ย แต่ยังคงกุมมือเธอไว้
“เฉวียนหมิง ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ แต่เรื่องก็ผ่านไปแล้ว คุณต้องปล่อยวางถึงจะถูก อีกอย่างคุณก็อย่ามองในแง่ร้าย ในเมื่อขาดการติดต่อ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้ก็ได้”
ต่อให้ไม่ใช่โลกนี้ ก็อาจเป็นโลกอื่น พายุอวกาศเกิดขึ้นได้ทุกเวลา เมื่อเกิดขึ้นก็จะดูดกลืนทุกอย่างรอบๆ ไป บางทีอาจเผอิญข้ามไปอีกมิติ ก็เหมือนอย่างเธอ
“คุณปลอบผม แต่ก็อย่างที่คุณว่า เมื่อไม่เจอตัว บางทีอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ เพียงแต่ไม่สามารถมาปรากฏตัวเท่านั้น เหมือนการทะลุมิติในนิยาย บางทีพวกเขาอาจไปอีกโลกหนึ่งก็ได้”
อีลั่วเสวี่ยรู้สึกแปลกใจ เขาไม่โต้แย้ง หรือเขาจะรู้อะไร ยังบอกว่าเชื่อว่าโลกนี้มีมิติคู่ขนานด้วย
“ถ้าโลกนี้มีการทะลุมิติจริง คุณจะเชื่อไหม” เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงถามคำถามนี้
เฉวียนหมิงมองอีลั่วเสวี่ยด้วยความสงสัย “คงพูดไม่ได้ว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ ผมรู้แค่ว่าโลกนี้กว้างใหญ่มาก มีเรื่องที่เราอธิบายไม่ได้มากมาย ดังนั้นเรื่องทะลุมิติก็น่าจะมีอยู่”
เพียงแต่ไม่ว่าจะทะลุมิติมาโลกนี้หรือจากโลกนี้ทะลุไปมิติอื่น ไม่ว่าจะเป็นใคร หรือทะลุมิติไปได้อย่างไร พวกเขาไม่รู้ อีกฝ่ายก็ไม่บอกเท่านั้นเอง มีโลกที่เราไม่เคยเห็น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอยู่จริง
“ยังคิดว่าผู้ชายทั่วไปอย่างพวกคุณจะไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้ซะอีก ดูไปแล้ว คุณนี่มีวิธีคิดที่พิเศษมาก” อีลั่วเสวี่ยยิ้ม เขาเป็นผู้ชายที่แปลกจริงๆ คนที่มองว่าผู้ชายเป็นใหญ่มักจะเยาะเย้ยว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเพ้อฝันของผู้หญิง ที่ไม่มีจริง
เฉวียนหมิงเริ่มจูงเธอเดินต่อจนถึงข้างเนินสูงนั้น “ตัวผมก็พิเศษ คุณไม่รู้สึกเหรอ”
“คุณนี่มั่นใจในตัวเองจริงนะ” พิเศษ พิเศษจริงๆ ป่วยตั้งหลายโรค ก็ยังรอดมาได้ถึงตอนนี้ ต้องยอมรับว่านี่เป็นปาฏิหาริย์จริงๆ
242 กลางคืนดูดาว
“มั่นใจในตัวเองเป็นข้อดีไม่ใช่เหรอ” เฉวียนหมิงหันมา แววตาอ่อนโยนราวกับสายน้ำ
“ใช่ๆๆ นายน้อยเฉวียนพูดอะไรก็ถูกทั้งนั้น” อีลั่วเสวี่ยหัวเราะ เธอส่ายหน้าพลางตอบ ไม่รู้ว่าเพราะจนใจหรือเพราะอะไร
เฉวียนหมิงมีคุณสมบัติที่จะมั่นใจในตัวเอง อายุยังน้อยก็สืบทอดเฉวียนกรุ๊ป และบริหารได้อย่างดี แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าเขามีความสามารถไม่ธรรมดาเลย คนมากมายในวัยเท่าเขายังทำได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบของเขาด้วยซ้ำ
แม้จะบอกว่าเขายืนบนบ่าของปู่กับพ่อ แต่แบรนด์เคเอ็มคิว รวมทั้งร้านสาขาต่างๆ ก็มีอิทธิพลไม่น้อยกว่าเฉวียนกรุ๊ปเลย เห็นได้ว่า ต่อให้ไม่พูดถึงเฉวียนกรุ๊ป ตัวเขาเองก็เป็นคนที่มีฝีมือมาก
“อาเสวี่ย คุณเองก็พิเศษมาก” เฉวียนหมิงไม่ได้เก็บสายตากลับไป ยังเอ่ยต่อด้วยสีหน้าจริงจัง
อีลั่วเสวี่ยเลิกคิ้ว “พิเศษ? อย่างเช่น…” คนอย่างเฉวียนหมิงที่ไม่เคยเข้าใกล้ผู้หญิง น่ากลัวว่าถ้าตอนนี้คนที่ยืนอยู่ที่นี่ไม่ใช่ฉัน เขาก็คงรู้สึกว่าพิเศษเหมือนกัน
“อย่างเช่นนิสัยใจคอของคุณ อย่างเช่นคุณเป็นคนมีหลักการมาก เท่าที่ผมรู้เกี่ยวกับผู้หญิง ไม่มีหรอกที่จะไม่ไล่ตามชื่อเสียงเงินทอง นอกจากนี้ยังหลงตัวเองเย่อหยิ่ง แต่คุณไม่ใช่แบบนั้น”
เธอเหมือนดอกบัวเพียงดอกเดียวในเวลานี้ แม้จะอยู่ในโคลนตมแต่ก็ใสบริสุทธิ์ไม่เปื้อนมลทินแม้แต่น้อย ทั้งเธอยังมีสายตาที่มองโลกนี้อย่างถ่องแท้มาตลอด
ข้อนี้เหมือนกับเขามาก เพราะเขาผ่านประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดาในวัยเด็กทำให้เป็นแบบนี้ แต่ประสบการณ์ของอีลั่วเสวี่ยไม่น่าจะทำให้เธอเป็นแบบนี้ได้
อีลั่วเสวี่ยยิ้ม “เรื่องหลงตัวเอง ใครๆ ก็เป็นทั้งนั้น คุณแค่มองไม่เห็นเอง” ที่เธอต้องการเข้มแข็งและไม่หวาดกลัวอะไร ความจริงแล้วก็เป็นการหลงตัวเองแบบหนึ่ง เธอต้องการให้คนอื่นไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์เธอในแง่ลบเธอ เวลามีใครพยายามข่มเหงรังแก ก็สามารถตอบโต้ได้อย่างง่ายดาย นี่ก็น่าจะเป็นการหลงตัวเองเหมือนกัน
เพียงแต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความเห็นแก่เรื่องเงินทองเป็นตัวตั้ง ทุกคนในโลกก็มีความหลงตัวเองกันทั้งนั้น
“ดูสิ ที่คุณมองเนื้อแท้ของสิ่งต่างๆ ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่ใช่ข้อดีเหรอ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ จะเข้าใจได้” บางคนกระหายอยากทำแบบนี้ทั้งชีวิต
“คุณอย่าเอาแต่อวยฉันเลย เดี๋ยวฉันจะได้ใจ” อีลั่วเสวี่ยถอนหายใจอย่างจนปัญญา ใครๆ ก็ชอบฟังคำพูดดีๆ ยกเว้นเธอ เฉวียนหมิงพูดชมเธออย่างนี้ เธอกลัวว่าจะทำให้ตัวเองลืมตัว
เฉวียนหมิงยิ้มมุมปาก สีหน้าอ่อนโยน แววตาอบอุ่น “มีผมคอยปกป้อง อย่าว่าแต่ได้ใจเลย ต่อให้คุณวางโตเย่อหยิ่ง ผมก็จะไม่ยอมให้ใครพูดมาก!” ผู้หญิงของผม ผมต้องเอาใจ
เอาใจเธออย่างไม่ต้องมีหลักเกณฑ์อะไรทั้งสิ้นยิ่งดี พอทำให้เธอเคยชินกับความอบอุ่นของเขาแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวว่าเธอจะถูกความเอาใจใส่ของคนอื่นจูงใจไป ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เขารู้ว่าเธอไม่ใช่คนที่ลืมตัว กลายเป็นผู้หญิงไม่ดีได้ง่ายๆ
พอมองเข้าไปในดวงตาล้ำลึกคู่นี้แล้ว อีลั่วเสวี่ยก็ใจเต้นรัวอีกครั้ง ดวงตาของผู้ชายคนนี้ช่างทำให้คนหลงใหลได้จริง
“แค่กๆ นี่คุณพูดเองนะ ถ้าต่อไปฉันกลายเป็นคนอย่างนั้น ต้องโทษคุณ!”
“ได้” เฉวียนหมิงยอมรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
อีลั่วเสวี่ยเหลือบมองดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ คล้อยไปทางทิศตะวันตก จึงเดินย้อนกลับมาที่เดิมกับเฉวียนหมิง จากนั้นก็อุ้มกู่เจิงกลับคฤหาสน์
“ค่ำนี้กินอะไรดี” อาจเพราะเมื่อตอนเที่ยงวุ่นวายกับการเก็บข้าวของ ตอนบ่ายยังเดินเยอะ ทั้งสองจึงรู้สึกหิวเร็วมาก
เฉวียนหมิงชะงักเล็กน้อย “มีอะไรกินบ้างล่ะ” เมื่อคืนกินสเต็ก ตอนเที่ยงก็กินพวกกับข้าวผัดไปแล้ว ก็น่าจะทำแบบอื่นกินบ้าง
“เยอะแยะ คุณอยากกินอะไรล่ะ” เหล่าเกาทำงานละเอียดรอบคอบ เขาเตรียมวัตถุดิบทำอาหารไว้ที่นี่หลายอย่าง ถึงที่นี่จะใช้น้ำมันผลิตไฟฟ้า แต่ก็มีน้ำมันตุนไว้มาก ตู้เย็นใช้งานได้ตลอด จึงเก็บอาหารไว้ได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะเน่าเสีย
243 ต่อไปผมทำให้คุณเอง
“คุณล่ะ อยากกินอะไร” เฉวียนหมิงถามอีลั่วเสวี่ยกลับ มาถึงที่นี่ ทุกอย่างตามใจเธอ ขอให้เธอชอบก็พอ
อีลั่วเสวี่ยยิ้มอย่างหยอกเย้า “คุณถามฉัน คุณจะเข้าครัวทำให้ฉันกินเหรอ” โจ๊กข้าวฟ่างเมื่อเช้าไม่เลวเลย ไม่รู้ว่าถ้าเขาทำอย่างอื่นจะเป็นยังไง อยากรู้จริงๆ
“ให้ผมทำมื้อเย็น?” เฉวียนหมิงชี้ที่ตัวเอง ใบหน้าเรียบเฉย แววตาอึ้งงัน
“หรือที่ฉันเข้าใจไม่ใช่ว่าคุณจะทำมื้อเย็น”
ดวงตาดำขลับราวกับหินออบซิเดียนของเฉวียนหมิงฉายแววหม่นวูบหนึ่ง เขาเผยอริมฝีปากเล็กน้อย “งั้นผมจะลองดู คุณรอก็แล้วกัน” มีคำพูดว่าถ้าอยากกุมหัวใจใครสักคน ก่อนอื่นต้องกุมกระเพาะอาหารของคนนั้นก่อน
ถ้าเขาทำอาหารเก่ง ถึงตอนนั้นพวกเขาสองคนก็จะได้เข้าครัวทำอาหารอร่อยๆ ด้วยกัน แค่คิดถึงภาพนั้น มุมปากของเฉวียนหมิงก็ยกขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งน่ามองขึ้นทุกที
“งั้นคุณจะทำอะไร ต้องให้ฉันช่วยไหม” อีลั่วเสวี่ยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ มีคนทำอาหารก็ดีเลย งั้นฉันจะดูว่าฝีมือเขาเป็นยังไง บอสใหญ่แห่งเฉวียนกรุ๊ปทำอาหารเก่ง คงตื่นเต้นน่าดู
“ไม่ต้องหรอก คุณรอผมที่นี่ก็พอ กินมื้อเย็นเสร็จแล้ว ผมไปดูดาวเป็นเพื่อนคุณ” ดูดาวชายทะเลไม่เหมือนที่เห็นตามที่ทั่วๆ ไป เขาพูดพลางกดอีลั่วเสวี่ยนั่งลงบนโซฟา ส่วนตัวเองไปเข้าครัว
แต่พอเข้าไป เฉวียนหมิงก็ชักทำอะไรไม่ถูก เมื่อตอนกลางวันถึงจะทำอาหารด้วยกัน แต่เขาเป็นแค่ลูกมือ อีลั่วเสวี่ยสั่งอะไรเขาก็ทำตามนั้น ตอนนี้ก็เกิดไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากอะไรดี
‘แม่คุณ คุณเชื่อว่าเขาจะทำอาหารได้เหรอ สู้เชื่อว่าผมทำได้ยังจะดีกว่า’ ลูกบอลเงินซุกอยู่ที่มุมโซฟา ขดตัวเหมือนกับเป็นแมว
อีลั่วเสวี่ยชำเลืองมองลูกบอลเงิน ‘นายทำเป็น? นายมีมือ มีประสาทรับรสหรือไง พอเถอะ เป็นร้านค้าอัจฉริยะของนายให้ดีก็พอแล้ว’
‘ชิ อย่าดูถูกเทคโนโลยีขั้นสูงจากต่างดาวอย่างเราเชียว เราไม่ต้องกินอาหาร ไม่เหมือนมนุษย์อย่างพวกคุณที่ต้องการอาหาร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม แถมยังเกิดแก่เจ็บตายด้วย’
‘หึ พูดอย่างกับเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างพวกนายมีอายุยืนยาวชั่วนิรันดร์ ยังไงสุดท้ายก็ต้องถูกโละทิ้งตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี’ เห็นลูกบอลเงินทำท่าดูถูกดูแคลนแบบนี้ อีลั่วเสวี่ยก็อดตอบโต้ไม่ได้
เฉวียนหมิงไม่รู้เรื่องที่สองคนนี้ปะทะคารมกันอยู่ข้างนอก ยังดีที่เขาเคยเห็นอีลั่วเสวี่ยจุดเตา จึงลองทำตาม ตอนที่เขาหมุนลูกบิดปิดเปิดเตาแก๊ส เพราะหมุนแรงเกินไป เปลวไฟจึงพุ่งขึ้นสูง
เขาตกใจจนรีบวางหม้อลงบนเตา มีควันขาวลอยขึ้นจากในหม้ออย่างรวดเร็ว เขาเติมน้ำลงไปทันที จากนั้นจึงค่อยๆ ปรับกำลังไฟ แค่เรื่องพวกนี้ก็ทำให้เขาเหงื่อแตกแล้ว
เฉวียนหมิงเอ๊ย นายกลัวเสียหน้าจนต้องลำบากแบบนี้ ทำเป็นแต่โจ๊กก็ยอมรับเถอะ ทำไมต้องอวดเก่งด้วย!
จริงสิ งั้นทำสปาเกตตีดีกว่า ไม่ยากเกินไป วัตถุดิบก็มี
พอคิดจะทำก็ลงมือเลย เขาพยายามทบทวนว่าสปาเกตตีที่เคยกินใส่อะไรบ้าง จากนั้นจึงค้นตู้เย็น
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง หลังจากที่อีลั่วเสวี่ยเถียงจนเหนื่อยก็เริ่มนั่งสัปหงก อยู่ๆ ก็ได้กลิ่นหอมฉุยโชยมาจากในครัว จึงรู้สึกหิวขึ้นมา
“รอนานไหม ผมทำสปาเกตตี มื้อเย็นไม่กินของมันๆ มาก ถึงจะดีต่อสุขภาพ ผมเลยเพิ่มผักกาดขาวลงไปนิดหน่อย ลองชิมดูสิ”
เฉวียนหมิงวางจานลงตรงหน้าเธอ เฝ้ามองอย่างคาดหวัง
อีลั่วเสวี่ยถูกสายตาแบบนี้จ้องจนใบหูร้อนผ่าว เธอกลืนน้ำลายแล้วเหลือบตาขึ้นมองเขา “แล้วของคุณล่ะ นั่งลงกินด้วยกันสิ”
“อ้อ อยู่ในครัว” เฉวียนหมิงพูดแล้ววิ่งไปที่ห้องครัว ถอดผ้ากันเปื้อนออก แล้วยกสปาเกตตีมานั่งลงตรงข้ามอีลั่วเสวี่ย
244 เฉวียนหมิงตกทะเล
“บอกว่ากินเสร็จจะออกไปดูดาวไม่ใช่เหรอ งั้นก็กินเลยเถอะ” เห็นเฉวียนหมิงมองเธออย่างทึ่มๆ อีลั่วเสวี่ยจึงเอ่ยปาก เธอไม่ชินกับการที่มีคนคอยจ้องขณะกินอาหาร แถมแววตานี้ยังร้อนแรงเป็นพิเศษด้วย
“อืมๆ” เฉวียนหมิงหยิบตะเกียบ แต่ก็ยังอดเหลือบมองอีลั่วเสวี่ยไม่ได้ เดิมตั้งใจจะใช้ส้อม แต่รู้สึกว่าตะเกียบจะสะดวกกว่า
อีลั่วเสวี่ยคีบสปาเกตตีที่ดูไม่น่ากินนักขึ้นมาชิมคำหนึ่ง เคี้ยวเล็กน้อยแล้วกลืนลงไป แม้จะไม่อร่อยเท่าที่เชฟมีชื่อทำ แต่รสชาติก็นับว่าใช้ได้ เพียงแต่รสชาติของเครื่องปรุงต่างๆ อ่อนไปหน่อย
“เป็นไงบ้าง” เฉวียนหมิงมองดูด้วยความกระวนกระวาย เขายังไม่ได้ขยับตะเกียบของตัวเอง ตอนที่ทำเสร็จเขาชิมแล้ว ไม่ถึงกับกลืนไม่ลง และไม่ได้เข้าใจผิด ใส่น้ำตาลเพราะคิดว่าเป็นเกลือ
“อร่อยมาก ไม่เชื่อคุณลองกินดูสิ” อีลั่วเสวี่ยว่าพลางคีบกินต่อ ในที่สุดก็ค่อยวางใจลงได้ เฉวียนหมิงจึงเริ่มลงมือกิน
สุดท้ายบนโต๊ะก็เหลือแต่จานเปล่า ถือว่ามื้อนี้ของทั้งสองลงเอยด้วยดี
“คุณพักเถอะ ผมเก็บเอง” เฉวียนหมิงพูดหลังจากเช็ดมุมปากที่เผอิญเลอะคราบน้ำมัน เขาเก็บจานไปวางไว้ในครัว
“เป็นไงบ้าง” เฉวียนหมิงเดินออกจากครัวมานั่งบนโซฟากับอีลั่วเสวี่ย เขาอดถามเรื่องที่ค้างคาใจไม่ได้
ดูเหมือนจะต้องให้คะแนนฝีมือทำอาหารของเขาด้วย
หมอนี่ไม่เห็นเหรอว่าฉันกินจนเกลี้ยง “อร่อยดีค่ะ แต่ต้มเส้นสุกไปหน่อย คุณคงไม่ได้เข้าครัวบ่อย”
ไม่ได้เข้าครัวบ่อย? วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเข้าครัวทำอาหารต่างหาก สามารถทำออกมาเป็นรูปเป็นร่างไม่ดูน่าเกลียด ก็นับว่ามีพรสวรรค์แล้ว
“อาเสวี่ย ถ้าคุณชอบ ต่อไปผมจะทำให้กินเอง” นี่เป็นคำมั่นสัญญาของเฉวียนหมิง นับจากนี้ท่านประธานผู้สูงส่งก็ได้เรียนรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นอีกอย่าง นั่นคือการทำอาหารอร่อย
ดวงตาอีลั่วเสวี่ยเป็นประกาย จากนั้นก็ตอบไปส่งเดช “เราออกไปเดินข้างนอกกันเถอะ” กินข้าวแล้วก็ต้องออกไปเดินย่อยสักหน่อย พูดพลางเดินตรงไปข้างนอก เธอก็ไม่รู้หรอกว่าเวลาเดตกันต้องทำอะไรบ้าง
สถานการณ์ระหว่างเธอกับเฉวียนหมิงไม่เหมือนกับที่เห็นในละครโทรทัศน์ ดังนั้นก็ต้องค่อยๆ คลำทางไป การเดตกันเริ่มต้นจากการพูดคุย เดินเล่น และกินข้าวด้วยกัน
“รอผมเดี๋ยว” เฉวียนหมิงตะโกนเรียกให้อีลั่วเสวี่ยหยุดรอ แล้วไปหยิบเสื้อโค้ตของเธอและของเขาในห้อง
“ชายทะเลลมแรง ระวังเป็นหวัด” จากนั้นก็คลุมเสื้อโค้ตให้อีลั่วเสวี่ยอย่างระมัดระวัง นี่ไม่ใช่แค่เอาใจใส่เธอ ตัวเขาเองก็ต้องคอยระวังเช่นกัน
จากนั้นทั้งคู่ก็เดินออกจากคฤหาสน์ มาถึงบริเวณโขดหินสูงที่เห็นวันนี้ บริเวณนี้โล่งกว้าง เป็นทำเลที่เหมาะสำหรับดูทะเล และดูดาว
“มา ดื่มหน่อยไหม” เฉวียนหมิงหยิบแชมเปญขวดเล็กออกมาสองขวดราวกับเล่นกล เปิดขวดหนึ่งยื่นให้อีลั่วเสวี่ย กลางคืนยังมีไอเย็น ดื่มเหล้าสักหน่อยจะทำให้รู้สึกอุ่นขึ้น
อีลั่วเสวี่ยเลิกคิ้ว รับแชมเปญไปดื่มอึกใหญ่ทันที “ชมวิวจะขาดเหล้าได้ยังไง”
“คุณพูดถูก” เฉวียนหมิงยกขวดแชมเปญชนกับเธอ แล้วนั่งลงข้างๆ สองคนแหงนมองดวงดาว
ตอนนี้ทั้งคู่นั่งอยู่ริมโขดหิน ไม่ต้องแหงนหน้ามากเกินไปก็มองเห็นดาวเต็มฟ้า วันนี้แม้จะไม่ใช่คืนวันเพ็ญแต่ก็สว่างมาก ถึงไฟถนนจะอยู่ห่างจากพวกเขามาก แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการมองเห็น
แชมเปญสองขวดหมดไปอย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปไม่น้อยแล้ว ขณะที่เฉวียนหมิงกำลังจะชวนเธอกลับไปพักผ่อน ก็เหลือบเห็นหัวสีดำมะเมื่อมโผล่ขึ้นมา ว่ายอย่างรวดเร็วตรงเข้ามาหาอีลั่วเสวี่ย
“งู อาเสวี่ยระวัง!” เฉวียนหมิงลุกขึ้นทันที ยืนขวางข้างหน้าอีลั่วเสวี่ยเตรียมไล่งูตัวนั้น แม้แสงทางด้านนี้จะพอมองเห็น แต่ก็ไม่ได้สว่างมากนัก ไม่รู้ว่างูมีพิษหรือเปล่า
245 จำเพาะต้องเป็นเวลานี้
เวลานี้เองก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น อยู่ๆ ใบหน้าเฉวียนหมิงก็แข็งทื่อ เริ่มรู้สึกวิงเวียน ส่วนงูตัวนั้นไม่รู้ว่าตกใจเพราะเสียงร้องหรือเปล่า มันชะงักไปชั่วขณะแล้วดำหายลงทะเลไป
เฉวียนหมิงโงนเงนล้มไปข้างหน้า เดิมอีลั่วเสวี่ยตกใจเพราะเสียงร้องของเขา ขณะกำลังจะลุกขึ้นก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เธอยื่นมือออกไปตามสัญชาตญาณ แต่สัมผัสได้แค่ชายเสื้อเขาเท่านั้น
“เฉวียนหมิง!” เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกับเสียงเฉวียนหมิงตกลงไปในทะเลดังตูม อีลั่วเสวี่ยลุกพรวดขึ้นทันที
“แย่แล้ว!”
อีลั่วเสวี่ยสีหน้าเครียด รีบถอดเสื้อโค้ตออกแล้วกระโจนตามลงไป แต่ในทะเลไม่เห็นร่างของเขาตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำเลย
เขาคงไม่…อีลั่วเสวี่ยฉุกคิดอะไรขึ้นได้ สูดหายใจลึกๆ แล้วดำดิ่งลงไปในน้ำ
หลังจากลืมตาจนเริ่มปรับกับสภาพในน้ำได้แล้ว ก็มองเห็นเฉวียนหมิงหันหลังให้ ร่างเขาแข็งทื่อ จมลงไปช้าๆ ราวกับหุ่นไม้
ตอนนี้ลูกบอลเงินบินวนอยู่เหนือผิวน้ำ ปากพูดพล่ามไม่หยุด ‘ให้ตาย กลัวน้ำอะ ไม่ลงไปดีกว่า’ แม้จะมีคุณสมบัติป้องกันน้ำ แต่พวกมันก็กลัวน้ำเข้าเครื่องเป็นที่สุด รวมทั้งพวกมันก็ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นสำหรับทำงานด้านนี้
‘แม่คนหัวช้าน่าจะช่วยเขาขึ้นมาได้หรอก!’ ลูกบอลเงินพึมพำกับตัวเอง แล้วเริ่มสแกนหาตำแหน่งของทั้งสองคน
อีลั่วเสวี่ยรีบว่ายเข้าไปคว้าข้อมือเฉวียนหมิง ดึงเขาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว น่าเสียดายที่อยู่ในน้ำ เธอไม่อาจเปิดเผยพลังทิพย์ของตัวเองออกมา ทำได้เพียงดึงเขาขึ้นไปอย่างทุลักทุเล
อีกอย่าง เห็นผิวน้ำดูสงบราบเรียบอย่างนี้ ที่จริงกระแสน้ำแรงมาก เนื่องจากเฉวียนหมิงตกน้ำกะทันหัน ไม่ทันกลั้นลมหายใจ ตอนนี้จึงใกล้จะขาดออกซิเจนแล้ว เขายื่นมือออกไป จะสลัดมืออีลั่วเสวี่ยออก การพาชายร่างใหญ่สูงกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตรขึ้นไปไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทั้งก้นทะเลตรงนี้ยังลึก และน้ำก็ไหลแรง
ฟองอากาศผุดออกมาจากจมูกของเฉวียนหมิง ดวงตาเขาเริ่มพร่ามัว
หมอนี่ นี่ไม่ใช่การตกน้ำที่อันตรายอะไร ยังกลัวว่าฉันจะขึ้นไปไม่ได้เหรอ
แม้ในใจจะไม่พอใจ แต่เธอกลับสัมผัสถึงความสุขอย่างประหลาด ต่อหน้าอันตรายถึงชีวิต สิ่งที่เขาคิดคือต้องการให้เธอมีชีวิตอยู่ ผู้ชายแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ปล่อยมือไปไม่ได้!
อีลั่วเสวี่ยว่ายไปหาเฉวียนหมิงโดยไม่มัวเสียเวลา ยื่นมือไปตรึงท้ายทอยเขาไว้ แนบริมฝีปากกับเขา แล้วถ่ายลมหายใจเข้าไปในปากเขา สายตาจ้องมองเขาอย่างจริงจัง
ฉันไม่ยอมให้คุณตายเด็ดขาด!
ดูเหมือนเฉวียนหมิงจะรับรู้ พยายามขยับแขนขาที่แข็งทื่อ เริ่มให้ความร่วมมือกับเธอ ถีบตัวขึ้นไปอย่างยากลำบาก
‘ขึ้นมาแล้ว ขึ้นมาแล้ว แม่คุณ มาทางนี้ น้ำไม่ค่อยเชี่ยว ไปทางนี้ดีที่สุด’ ลูกบอลเงินเห็นทั้งคู่โผล่ขึ้นมา ก็รีบบอกเส้นทางดีที่วิเคราะห์ไว้แล้ว
สองสามนาทีต่อมา อีลั่วเสวี่ยก็ลากเฉวียนหมิงขึ้นมา วางเขาพิงกับโขดหิน เธอหายใจหอบ จากนั้นก็ดึงร่างเขามาพิงตัวเธอ สกัดจุดเขาเบาๆ ดวงตาเขาปิดลงทันที
อีลั่วเสวี่ยพลิกตัว แล้วอุ้มร่างเฉวียนหมิงขึ้นในท่าอุ้มเจ้าหญิง เพียงชั่วพริบตาก็มายืนบนพื้น แล้วรีบกลับไปที่คฤหาสน์
พอเข้ามาในห้อง เธอก็ไม่สนใจสภาพตัวเอง ถอดเสื้อผ้าเฉวียนหมิงออกผึ่ง วางเขาลงบนเตียง เอาผ้านวมมาห่มให้ แล้วเริ่มตรวจชีพจร
‘แปลกจัง อยู่ดีๆ ทำไมกระโดดลงทะเล หรือจะให้โอกาสคุณเป็นวีรบุรุษช่วยโฉมงาม’ ดวงตาลูกบอลเงินกลอกไปมา พลางพูดล้อเล่น
อีลั่วเสวี่ยถลึงตาใส่ ‘ดูละครกับนิยายให้มันน้อยๆ หน่อย เขาไม่ได้กระโดดลงทะเล แต่ตอนนั้นอาการป่วยกำเริบ กล้ามเนื้อแข็ง ประกอบกับอาการวิงเวียน เลยทำให้ตกลงไป’
หมอหมิงก็ไม่อยู่ที่นี่ซะด้วย สภาพเขาตอนนี้จำเป็นต้องได้รับการตรวจและดูแลอย่างดี
ตอนที่ 246-247
ตอนที่ 246 ไม่กลัวเปิดเผยตัวตน
‘อาการป่วยกำเริบ? ผมก็ลืมเรื่องอาการป่วยของเขาไป งั้นตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง’ กลางคืนน้ำทะเลเย็นจัด แถมยังเลยช่วงเดือนตุลาคมไปแล้วด้วย ตกน้ำแล้วยังทุลักทุเลอยู่ตั้งนาน ดูแล้วอาการไม่ค่อยดีแน่
ลูกบอลเงินไม่ได้สังเกตว่าอีลั่วเสวี่ยสกัดจุดบนตัวเฉวียนหมิงเพื่อให้เขาหลับ ไม่อย่างนั้นเฉวียนหมิงคงคลานออกจากบริเวณโขดหินเองไม่ได้แน่ เมื่อครู่กล้ามเนื้อเขาแข็งทื่อ
อีลั่วเสวี่ยส่ายหน้า ท่าทางหนักใจ ‘ไม่ค่อยดี อาจเพราะเมื่อกี้เรานั่งนานเกินไป แถมเขายังลุกขึ้นในสภาพตึงเครียด คนทั่วไปถ้านั่งนานๆ แล้วลุกขึ้นปุบปับก็ยังหน้ามืด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขา’
สภาพร่างกายของเฉวียนหมิงไม่อนุญาตให้เขาออกกำลังกายรุนแรงหรือยกของหนัก แต่เมื่อครู่เขาลุกขึ้นกะทันหันเพื่อมาขวางอยู่ข้างหน้าเธอ พยายามฝืนความรู้สึกวิงเวียน ทั้งร่างกายยังตื่นตัวสุดขีด ทำให้กล้ามเนื้อทั้งตัวแข็งทื่อจึงตกลงไปในทะเล
‘งั้นก็หมายความว่าเพราะเขานั่งนานแล้วลุกขึ้นทันที ทำให้อาการกำเริบ ตอนนี้หมอประจำตัวเขาก็ไม่อยู่ที่นี่ซะด้วย คงลำบากแล้วสิ’ ลูกบอลเงินหมุนไปมา
อีลัวเสวี่นยื่นมือไปปัดลูกบอลเงินที่ลอยไปมาตรงหน้าเฉวียนหมิง ‘ลืมแล้วเหรอว่าฉันเป็นใคร นายอย่าบัง ฉันจะฝังเข็มให้เขา’
เธอยื่นมือไปลูบแหวนที่ห้อยคอ ทันใดนั้นห่อใส่เข็มเงินก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ตั้งแต่ได้แหวนหยกมา และเปิดมิติข้างในแล้ว เธอก็เอาของต่างๆ ของตัวเองใส่ไว้ในนั้น รวมทั้งยาและอาหารด้วย
ยังดีที่ก่อนหน้านี้เธอคิดรอบคอบ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงจนปัญญาแน่
‘เดี๋ยวก่อน คุณไม่กลัวเปิดเผยตัวตนเหรอ’ ตอนนี้หมิงเยี่ยไม่อยู่ที่นี่ ถ้ารักษาเฉวียนหมิงจนฟื้น ถึงตอนนั้นจะอธิบายเรื่องที่เขาฟื้นจากอาการบาดเจ็บยังไง
แววตาอีลั่วเสวี่ยเคร่งขรึม ‘เวลานี้จะมามัวใส่ใจอะไรมากมาย พูดไปแล้วเรื่องนี้ฉันเองก็มีส่วนรับผิดชอบ’ เขากลัวว่าฉันจะถูกงูกัด ก็เลยลุกขึ้นมาไล่งู ทั้งตอนที่เขากำลังจะตกน้ำ ฉันคว้าตัวเขาไว้ไม่ได้ ทั้งหมดนี้เป็นต้นเหตุ
‘ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ แต่สภาพคุณเองก็ไม่ดี คุณต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน’ พอลูกบอลเงินพูด อีลั่วเสวี่ยจึงเพิ่งนึกได้ว่าตัวเธอเปียกชุ่มโชก มัวแต่จัดการกับเสื้อผ้าของเฉวียนหมิง จนลืมตัวเอง
พลังไร้รูปแผ่ออกมาจากร่างเธอ ไม่ถึงสามนาที เสื้อผ้าเธอก็แห้งสนิท เพียงแต่ยังมีกลิ่นของน้ำทะเลติดอยู่
‘นับจากตอนนี้ อย่ารบกวนฉัน’ เมื่อครู่เฉวียนหมิงมีอาการแขนขาแข็งทื่อ สภาพแบบนี้น่าวิตกมาก ต้องจัดการอย่างรอบคอบ
อีลั่วเสวี่ยค่อยๆ หยิบเข็มเงินออกมา หลังจากใช้พลังทิพย์ฆ่าเชื้อแล้วก็เริ่มฝังเข็ม ก่อนหน้านี้เธอใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อเพียงเพื่อแสดงให้คนอื่นเห็นเท่านั้น สำหรับพวกเขาที่มีพลังทิพย์แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อเลย
เฉวียนหมิงถูกจัดให้นอนแผ่บนเตียง สวมเพียงกางเกงบ๊อกเซอร์ จุดฝังเข็มทั่วร่างถูกอีลั่วเสวี่ยฝังเข็มเงินลงไป จากนั้นเธอก็ถ่ายพลังทิพย์เข้าสู่ร่างกายเขาผ่านทางรูเข็มเงินที่เล็กละเอียด
กล้ามเนื้อซึ่งเดิมแข็งเกร็งค่อยๆ คลายออก ยังไม่ทันถอนเข็ม เธอก็หายใจหอบเล็กน้อยพลางนั่งลง ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก
สภาพกล้ามเนื้อแข็งเกร็งของเฉวียนหมิงดูเหมือนจะรุนแรงกว่าเมื่อก่อน แต่เป็นเพราะกินลูกกลอนทิพย์ที่เฟิงฉี่ส่งมาให้ กล้ามเนื้อที่เดิมแข็งเกร็งเริ่มคลายตัวลง ประกอบกับการฝังเข็มของเธอ ร่างกายจึงฟื้นฟูขึ้นอีกครั้ง
แต่ทำแบบนี้ก็ไม่ต่างจากเติมน้ำลงไปในพิษ แม้จะทำให้เจือจางลง แต่ก็ยังคงเป็นยาพิษ
‘ทำไมเขาจึงกล้าเอาชีวิตมาเสี่ยง’ ไม่แปลกใจเลยที่นายผู้เฒ่าจะโกรธ หลังจากเฉวียนหมิงกินยาแล้วต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษจึงจะได้ ก่อนหน้านี้เวลาที่อาการกำเริบจะเจ็บปวดทรมาน แต่ตอนนี้พออาการกำเริบ เขาก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
ตอนที่ 247 มือถือตกน้ำใช้ไม่ได้
ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นตอนที่เขาขับรถหรือทำอะไรอย่างอื่น ผลที่ตามมาคงไม่อาจคาดเดา โดยเฉพาะสภาพอย่างวันนี้ ถ้าไม่มีใครอยู่ หรือช่วยไม่ทัน เขาต้องตายแน่นอน
ที่เขาทำไปมันเอาชีวิตมาเสี่ยงชัดๆ! อีลั่วเสวี่ยคิด นัยน์ตาฉายแววสับสนระคนตำหนิ
‘คุณก็พักสักหน่อยเถอะ’ ลูกบอลเงินเอ่ยด้วยความเป็นห่วง การฝังเข็มต้องใช้สมาธิสูง ยิ่งกว่านั้นเธอแทบจะฝังเข็มตามจุดต่างๆ ทั้งร่างและตามแขนขาของเฉวียนหมิง สูญเสียพละกำลังไปไม่น้อย
‘ฉันไม่เป็นไร’ อีลั่วเสวี่ยนั่งพิงเก้าอี้ พลางเหลือบมองมือที่สั่นเทาของตัวเอง เธอรู้สึกเหนื่อยล้า เหนื่อยล้าเป็นพิเศษ
แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่เสร็จ เมื่อฝังเข็มแล้ว ต้องใช้โอกาสนี้ตรวจรักษาอาการเฉวียนหมิงสักหน่อย
อีลั่วเสวี่ยนั่งพักเกือบหนึ่งชั่วโมงจึงรู้สึกว่าพละกำลังฟื้นฟูขึ้นบ้าง
‘ฉิวฉิว ช่วยดูเขาสักพัก ถ้าเกิดอะไรขึ้นให้บอกฉัน ถ้าเขาฟื้นขึ้นมา หาวิธีทำให้เขานอนต่อ ไม่สิ จะให้เขาฟื้นไม่ได้ เข้าใจไหม’
ลูกบอลเงินฟังจบ ก็ลอยเข้ามาอยู่ข้างแก้มเฉวียนหมิงทันที เตรียมเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเขา ‘วางใจเถอะ ผมจัดการเอง คุณไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วพักผ่อนเถอะ’
อีลั่วเสวี่ยพยักหน้า เอาเสื้อและกางเกงเฉวียนหมิงออกไปด้วย เปิดน้ำทำให้เปียก แล้วเอาใส่เครื่องซักผ้า จากนั้นจึงอาบน้ำร้อน ชำระเหงื่อไคลและกลิ่นคาวของน้ำทะเลออกจนหมด แล้วจึงกลับมาที่ห้องเฉวียนหมิงอีกครั้ง
เขาเป็นคนละเอียดรอบคอบ ถ้าฟื้นแล้วพบว่าเสื้อกับกางเกงแห้ง ต้องสงสัยแน่ๆ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะให้เขารู้เรื่องนี้
‘แม่คุณ มาแล้ว เขายังไม่ฟื้น จะตรวจดูไหมว่าเป็นยังไงบ้าง’ การสกัดจุดน่าจะมีเวลาจำกัด ทำไมเขายังไม่ฟื้นนะ
พออีลั่วเสวี่ยได้ยินแววตาก็ฉายความกังวลขึ้นมา รีบเดินเข้าไป ยื่นมืออังหน้าผากเขา ‘ไม่มีไข้’ จากนั้นก็ตรวจชีพจร
‘ไม่เป็นไร เขาถูกฉันสกัดจุด ยังไม่รู้สึกตัวทันทีหรอก อีกอย่างร่างกายเขายังอ่อนแอมาก ต้องอีกสักพักจึงจะฟื้น’ อีลั่วเสวี่ยดึงมือกลับ นั่งบนเก้าอี้แล้วเริ่มบำเพ็ญเพียร
ผ่านไปราวสองสามชั่วโมงเธอจึงหยุด ลืมตาขึ้นช้าๆ สภาพจิตใจดีมาก การบำเพ็ญเพียรเป็นวิธีที่ทำให้จิตใจดีขึ้นจริงๆ
จากนั้นเธอก็มาที่ข้างเตียงเฉวียนหมิง เริ่มถอนเข็มเงินออกจากตัวเขาช้าๆ พร้อมกับเช็ดเลือดที่ซึมออกมาขณะที่ถอนเข็มเงินออกจนสะอาด
ขณะที่ลูกบอลเงินคิดว่าคงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอกลับพลิกตัวเฉวียนหมิง ฆ่าเชื้อเข็มเงิน แล้วเริ่มฝังเข็มอีก เพียงแต่คราวนี้จุดที่ฝังเข็มน้อยลง และใช้เวลาน้อยลงครึ่งหนึ่ง
พอเสร็จเรียบร้อย เธอก็หยิบมือถือออกมาเตรียมจะโทร.หาเหล่าเกา เพื่อให้เขาเชิญหมอหมิงเยี่ยให้รีบเดินทางมาคืนนี้ แต่กลับพบว่ามือถืออยู่ในกระเป๋า และเปียกน้ำตอนที่กระโดดลงทะเล ต่อมายังถูกแช่น้ำและใส่เข้าไปในเครื่องซักผ้าอีก
‘แย่จริง’ เธอรีบวิ่งไปเอามือถือออกมา น้ำหยดลงมาจากมือถือ แม้จะเอาไปทำให้แห้งแล้ว แต่ก็เปิดเครื่องไม่ได้ สุดท้ายได้แต่ตบหน้าผากตัวเองด้วยความหงุดหงิด แล้วกลับเข้ามา
‘มือถือเสียแล้ว โธ่…’ ลูกบอลเงินเข้าใจทันทีที่เห็นหน้าจอมือถือทั้งสองเครื่องมืดสนิท ไม่มีสัญญาณใดๆ
อีลั่วเสวี่ยพยักหน้าอย่างโมโห ‘ช่างเถอะ ฉันช่วยให้อาการเขาคงที่แล้ว น่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว’
พอได้เวลาเธอก็ถอนเข็มเงินออก เก็บเข้าไปในแหวนมิติ จากนั้นจึงสวมเสื้อผ้าให้เฉวียนหมิง แล้วห่มผ้าให้
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก อีลั่วเสวี่ยจึงลากโซฟาเข้ามาในห้อง วางไว้ข้างเตียงเขา หยิบผ้าห่มมานอนเฝ้า เธอวุ่นวายมาไม่น้อย ตอนนี้รู้สึกเพลียมาก จึงค่อยๆ ผล็อยหลับไป
ตอนที่ 248-249
ตอนที่ 248 เป็นคุณที่คอยดูแลผมตลอด
ลูกตาสองข้างของลูกบอลเงินกวาดไปรอบๆ สุดท้ายจึงหาตำแหน่งที่จะอยู่ได้โดยไม่ทำเสียงดัง วุ่นวายกันจนกลางดึก ทั้งสองต่างก็เหนื่อยล้า
ผ่านไปไม่นาน ขอบฟ้าเริ่มมีแสงรำไร แต่อีลั่วเสวี่ยซึ่งสูญเสียพละกำลังไปไม่น้อย พอถูกแสงสว่างแยงตา เธอก็มุ่นคิ้วโดยไม่รู้ตัว หดคอลง แล้วซุกศีรษะเข้ากับไหล่ หลับต่อ
แต่การเคลื่อนไหวของเธอกลับทำให้ใครอีกคนตื่น
เฉวียนหมิงพบว่าร่างกายถูกกระตุ้น แม้จะเมื่อยล้าเหมือนกับออกกำลังกายมาอย่างหนัก แต่ก็รู้สึกได้ว่าสามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้แล้ว
เขายกแขนขึ้น ลากม่านหน้าต่างข้างเตียงทีละน้อย โดยไม่ให้เกิดเสียงใดๆ จึงไม่ทำให้อีลั่วเสวี่ยตื่น
จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง สายตาจับจ้องไปยังร่างที่หลับสนิทบนโซฟาตัวเล็ก
‘หมอนี่เอาใจใส่เธอมาก มิน่าผู้ชายตั้งมากมายถึงไม่อยู่ในสายตาของหญิงคนนี้’ ตั้งแต่วันแรกที่เธอมาถึงโลกนี้ เฉวียนหมิงที่เธอเห็นก็ทุ่มเทให้เธออย่างสุดหัวใจ
คงเพราะแบบนี้ เขาจึงสามารถทำให้เธอรู้สึกประทับใจอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันการเสียสละของเขาก็มาจากใจจริง ไม่ได้แสดงละคร
เฉวียนหมิงพยายามทบทวนความจำหลังจากที่ตนตกลงไปในทะเล แต่กลับนึกอะไรไม่ออก เขาเลิกผ้าห่มขึ้นเล็กน้อย ก็พบว่าเสื้อผ้าถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว ใบหูร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เธอเป็นคนทำทั้งหมดนี้เหรอ ชั่วขณะนั้น เขารู้สึกทั้งตื้นตันและกระดากอาย รอยยิ้มอบอุ่นผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหล่าที่ซีดเผือดเล็กน้อย ไม่ว่าใครมาเห็นเขาในเวลานี้ จะต้องหลงใหลแน่นอน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด อีลั่วเสวี่ยรู้สึกถึงสายตาร้อนแรงและท้องที่เริ่มส่งเสียงโครกคราก จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น สายตามองไปที่เฉวียนหมิงโดยไม่รู้ตัว
เมื่อปรับสายตาให้ชัดเจนได้ ก็ตกเข้าไปสู่ดวงตาที่น่าลุ่มหลงนั้นทันที เธอเริ่มรู้สึกเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย
“คุณตื่นแล้ว รู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้าง” ไม่รอให้เฉวียนหมิงเอ่ยปาก อีลั่วเสวี่ยรีบลุกขึ้น พุ่งมาที่ข้างเตียง คว้าข้อมือเขาไปตรวจชีพจรทันที
เธอคิดอะไรขึ้นได้ จึงยิ้มบอกว่า “อุณหภูมิไม่สูง ไม่มีไข้”
เมื่อคืนผมเป็นไข้เหรอ ก็จริงนะ น้ำทะเลเย็นเฉียบขนาดนั้น มีไข้ก็ไม่แปลก
“คุณดูแลผมทั้งคืนเลยเหรอ” เฉวียนหมิงคว้ามืออีลั่วเสวี่ยไว้ ดวงตาฉายแววซาบซึ้งและห่วงใย
เขามองเห็นเส้นฝอยในตาเธอ คิดว่าเหตุการณ์เมื่อคืนคงทำให้เธอตกใจมาก การลากผู้ชายตัวโตอย่างเขาขึ้นมาจากทะเล พากลับมาดูแลเป็นอย่างดี ต้องเหนื่อยแรงไม่น้อยเลย
เขาย่อมไม่รู้ว่าอีลั่วเสวี่ยสามารถจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ถ้าเป็นคนธรรมดาคงลำบากแน่นอน แต่ไม่ใช่สำหรับเธอ
“ถามอะไรไร้สาระ ไม่ใช่ฉันแล้วจะเป็นใคร แต่คุณพูดผิด ไม่ถึงกับทั้งคืนหรอกค่ะ อย่างมากก็แค่ครึ่งคืนเท่านั้น” เธอพูดตามความจริง ครึ่งคืนหลัง อาการของเฉวียนหมิงคงที่แล้ว เธอมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงพักผ่อนอย่างวางใจ
มุมปากเฉวียนหมิงยกขึ้น แววตาลึกล้ำ “จริงสิ คุณไม่ได้บอกเหล่าเกาใช่ไหม เขาอายุมากแล้ว ออกทะเลตอนกลางคืนทั้งอันตราย ไหนจะทำให้ตกอกตกใจ” ที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าปู่รู้เรื่องนี้เข้า เราคงถูกบังคับให้กลับไปแน่
“ฉันเองก็อยากโทร.บอกเขา แต่มือถือของเราสองคนตกน้ำ เปิดไม่ได้แล้ว เฮ้อ” อีลั่วเสวี่ยเบ้ปาก หันไปมองมือถือสองเครื่องบนโต๊ะ
ที่จริงเธอสามารถจัดการกับอาการป่วยของเฉวียนหมิงได้ แต่ปัญหาคือหลังจากที่เขาฟื้นแล้วอาจจะนึกสงสัย เสียดายที่เธอใช้มือถือติดต่อใครไม่ได้
“ไม่เป็นไร ตอนนี้ผมไม่เป็นไรแล้ว พอถึงเวลา เหล่าเกาจะมารับเรา” เดิมเขาปิดมือถือไว้ เพราะไม่อยากให้ใครรบกวน
ตอนที่ 249 คุณต้องรับผิดชอบผม
“อาเสวี่ย ขอบคุณมาก ลำบากคุณแย่เลย” เฉวียนหมิงเม้มปาก น้ำเสียงอ่อนละมุนราวกับลมเย็นในฤดูใบไม้ผลิที่พัดเข้ามาในหัวใจ จนอีลั่วเสวี่ยซึ่งนิ่งสงบเสมอมารู้สึกหวั่นไหว
เธอถูกเฉวียนหมิงมองด้วยแววตารักใคร่จนรู้สึกอึดอัด “ไม่ลำบากหรอกค่ะ เรื่องแบบนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นฉัน คุณก็ต้องคอยดูแล จริงไหม”
ว่ากันอย่างยุติธรรมแล้ว เฉวียนหมิงดีต่อเธอมาก ในเมื่อเธอทำได้ จะมองเขาตายโดยไม่ช่วยได้หรือ
“แน่นอนอยู่แล้ว อาเสวี่ย ผมจะไม่ให้คุณได้รับอันตราย” สีหน้าเฉวียนหมิงจริงจัง ทันใดนั้นก็กางแขนโอบกอดเธอไว้
ตอนนั้นเขาเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ก็รู้สึกร้อนใจ ไม่ง่ายเลยกว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์กับเธอมากขึ้นอีกก้าว เขาไม่อยากจากไป เขาดิ้นรนสุดชีวิต แต่ไร้กำลัง
ตอนที่กำลังคิดว่าตัวเองคงไม่รอดแล้ว สิ่งที่เขาหวังคือ ขออย่าให้อีลั่วเสวี่ยกระโดดลงมา อย่าเสี่ยงอันตรายเพื่อเขา
แต่สุดท้ายเธอก็มา ช่วยชีวิตเขาโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น เหมือนครั้งก่อน
“คุณแช่งฉันเหรอ อันตรายอะไร ฉันจะโง่จนทำให้ตัวเองตกลงไปในทะเลเหรอ” อีลั่วเสวี่ยดิ้นรนเล็กน้อย แต่ดิ้นไม่หลุด ก็เลยพูดแหย่เขา ฉันเป็นใคร คนอื่นตายแต่ฉันไม่ตายง่ายๆ อย่างนั้นหรอก
เฉวียนหมิงอึ้งไป โง่? งั้นก็หมายถึงผมโง่เหรอ แต่นั่นเป็นเหตุสุดวิสัย ผมก็ไม่ได้อยากให้เกิดขึ้นนะ
“จริงสิ คุณไม่ได้ถูกงูกัดใช่ไหม” พอนึกขึ้นได้ ก็ปล่อยเธอด้วยสีหน้าลนลาน อยากตรวจดูว่าเธอได้รับบาดเจ็บหรือไม่
อีลั่วเสวี่ยทั้งจนใจทั้งซาบซึ้ง เธอคว้ามือเขาไว้ “ไม่เป็นไร ตอนนั้นงูอยู่ไกลจากฉัน คุณลืมไปแล้วเหรอ”
ไม่ใช่ว่าลืม แต่เพราะเป็นห่วงจนสับสน ถ้าไม่ดูให้แน่ใจเขาย่อมไม่วางใจ
เฉวียนหมิงถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “งั้นก็ดีแล้ว”
ถึงตอนนี้ทั้งคู่เหมือนฉุกใจขึ้นได้ มองมือที่กุมกันอยู่ อีลั่วเสวี่ยอยากดึงมือกลับ แต่พบว่าเฉวียนหมิงกระชับมือแน่นขึ้น
“แค่กๆ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว คุณหิวหรือยัง อยากกินอะไร ฉันจะไปทำให้” สองวันนี้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่รุดหน้าเร็วเกินไป ชั่วขณะหนึ่งอีลั่วเสวี่ยรู้สึกไม่คุ้นเคยนิดๆ
“ไม่ต้องรีบหรอก ผมอยากรู้ว่าคุณเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผมเหรอ” เฉวียนหมิงจงใจถามทั้งๆ ที่รู้ดี แววตาเรียบเฉยจนไม่อาจเรียบเฉยกว่านี้แล้ว
พอพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าอีลั่วเสวี่ยก็แดงขึ้นมาทันที “ไม่ใช่ฉันแล้วจะเป็นคนอื่นหรือไง หรือคุณอยากนอนทั้งเสื้อผ้าเปียกๆ” ถึงตอนนั้นไม่ป่วยก็ต้องป่วยแหละ
ดวงตาเฉวียนหมิงฉายแววสับสนและเก้อเขิน แต่เขาไม่ลืมสิ่งที่อยากพูด “งั้นคุณก็เห็นผมแก้ผ้าล่อนจ้อนนะสิ?” แม้แต่กางเกงก็ถูกเปลี่ยน ต้องถูกเธอเห็นหมดแน่
อีลั่วเสวี่ยก้มหน้า ดวงตากลอกไปมา เรื่องที่เห็นเขาเปลือยไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาอาบน้ำแล้วล้มลงหมดสติ รวมทั้งตอนที่ฝังเข็มให้เขา อย่างน้อยก็สองครั้งที่เห็นเขาเปลือยเปล่า
อย่าว่าไป คนอย่างเฉวียนหมิงถึงจะป่วยกระเสาะกระแสะ แต่ร่างกายมีเนื้อมีหนัง เพียงแต่อาจจะอ่อนแอและกล้ามเนื้อหย่อนไปบ้าง
“คุณเป็นผู้ชายยังกลัวฉันจะเห็นคุณแก้ผ้าเหรอ ฉันเป็นคนดูแลคุณ ฉันต่างหากที่เสียเปรียบ” สีหน้าเธอขึงขัง พูดอย่างมีเหตุผล คิดจะคิดบัญชีย้อนหลัง รู้อย่างนี้น่าจะปล่อยให้แช่ในน้ำทะเลนานหน่อย
เฉวียนหมิงเอียงคอ ตีหน้าซื่อ “ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเห็นผมเปลือยมาก่อน คุณเป็นคนแรก เพราะฉะนั้นคุณต้องรับผิดชอบผม!”
“รับผิดชอบ?” อีลั่วเสวี่ยขึ้นหางเสียงสูง พูดออกมาได้ พวกดาราในทีวีก็เลี่ยงไม่ได้เวลาที่ต้องเจอบทโป๊บ้าง แบบนี้ผู้ชมหน้าจอไม่ต้องรับผิดชอบกันหมดเหรอ
นี่มันความคิดอะไรกัน วางอำนาจเกินไปแล้ว เป็นผู้ชายแท้ๆ ยังมาพูดแบบนี้ ยอมใจเลยจริงๆ
ตอนที่ 250-251
ตอนที่ 250 ฉันไม่ยอมให้ทรยศ!
“หรือคุณจะไม่ยอมรับผิดชอบ” เฉวียนหมิงหลุบตาลง สีหน้าหดหู่ ทำราวกับถูกอีลั่วเสวี่ยข่มเหงอย่างรุนแรง ดูน่าสงสารมาก
อีลั่วเสวี่ยกระอักกระอ่วน “พี่ชาย บัญชีนี้ไม่ต้องคิดก็ได้ไหม แล้วที่ฉันเหนื่อยยากดูแลคุณมาครึ่งค่อนคืน คุณจะชดใช้ฉันยังไง”
พอเฉวียนหมิงได้ยิน แววตาก็เป็นประกายทันที “เรื่องนี้ง่ายมาก ผมรับผิดชอบคุณเอง ยังไงคุณก็เห็นผมแก้ผ้าหมดแล้ว ต่อไปผมก็คือคนของคุณ คุณจะมาบ่ายเบี่ยงไม่ได้หรอก”
ให้ตาย มีวิธีบีบให้คนรู้สึกอึดอัดแบบนี้ด้วย ฉันช่วยคนเหนื่อยแทบตาย กลับมาถูกเล่นงานเข้าแล้ว
“อยากเป็นคนของฉัน ไม่ใช่เรื่องที่พูดพล่อยๆ ได้ คุณว่ามา คุณมีข้อดีอะไร มีคุณสมบัติอะไร ที่ทำให้ฉันต้องรับผิดชอบคุณ” ล้อเล่นนักใช่ไหม งั้นฉันจะเล่นด้วยถึงที่สุด ดูสิว่าเขาจะพูดกลับดำให้เป็นขาวยังไง
พอเธอพูดแบบนี้ เฉวียนหมิงก็คิดอย่างจริงจัง “ข้อดี? ข้อดีของผมก็คือไม่มีข้อเสียสักอย่างเดียว!”
‘โอ้โห ช่างมั่นใจ มั่นใจถึงขั้นหน้าไม่อาย’ ลูกบอลเงินฟังอยู่ข้างๆ อดพูดออกมาไม่ได้
ข้อดีของเขาก็คือไม่มีข้อด้อย คำพูดอย่างนี้ไม่ใช่ใครก็มั่นใจขนาดนั้นได้ แต่มองดูเฉวียนหมิง เขาพูดได้อย่างหน้าตาเฉย โดยไม่รู้สึกว่าร่างกายตัวเองมีข้อบกพร่อง
อีลั่วเสวี่ยถึงกับอึ้งกับคำพูดนี้ ไม่รู้ว่าจะโต้ตอบอย่างไร
“คุณช่างมั่นใจในตัวเองจริงนะ แต่ฉันไม่อยากฟังคำตอบกำกวม” อีลั่วเสวี่ยเลิกคิ้ว หดมือกลับ แล้วหยิบเสื้อโค้ตข้างตัวมาห่มให้เฉวียนหมิง ท่าทางของเธอเป็นธรรมชาติมาก เอาใจใส่ราวกับเธอเป็นแฟนเขา
เฉวียนหมิงดึงมือเธอกลับมาอีก “สิ่งที่ผมให้คำมั่นกับคุณได้ก็คือ ผมจะทุ่มเทเต็มที่เพื่อทำให้คุณมีความสุข ให้อิสระแก่คุณอย่างเพียงพอ ความสุขของคุณก็คือความสุขของผม”
คำพูดที่น่าฟังที่สุดในโลกไม่ใช่คำพูดที่ฟังแล้วทำให้ใจเคลิบเคลิ้ม แต่เป็นคำพูดเรียบง่ายเปี่ยมด้วยความจริงใจแบบนี้
อีลั่วเสวี่ยหลุบตาลง พลิกมือมากุมมือเฉวียนหมิงไว้ โน้มตัวไปข้างหน้า แล้วหยุดห่างจากเขาราวหนึ่งกำปั้น ระยะห่างเท่านี้ เธอสามารถมองเห็นเส้นขนและผิวหน้าเนียนละเอียดของเขาได้ชัดเจน
“คุณพูดเองนะว่าอยากเป็นคนของฉัน” ใช่ ก็คือราชินีอย่างฉันนี่แหละ
เฉวียนหมิงไม่ตอบ แต่พยักหน้า ไม่อาจละสายตาไปจากใบหน้าสวยที่อยู่ใกล้แค่คืบได้
“งั้นก็ดี ข้อเรียกร้องของฉันก็คือ ถ้าอยากอยู่กับฉัน ต้องซื่อสัตย์อย่างที่สุด ไม่ทรยศ ไม่ว่าจะทำอะไรต้องเชื่อใจกัน” เธอต้องการคู่ครองที่อยู่ด้วยกันชั่วชีวิต ต้องเชื่อมั่นในกันและกัน
ไม่ใช่แบบที่พอเขาเห็นผู้ชายห้อมล้อมตัวเธอก็นึกระแวงไปต่างๆ นานา จากนั้นก็แสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอย่างขาดสติ ไม่ยอมให้เธอคบเพื่อนต่างเพศ ข้อนี้เธอกลัวว่าเขาจะทำไม่ได้ ขณะเดียวกัน ถ้าเธอเจอเพื่อนผู้หญิงของเฉวียนหมิง เธอก็จะปฏิบัติต่อพวกเธออย่างมีเหตุผลเช่นกัน
ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความสัมพันธ์แบบเพื่อน ถ้าอีกฝ่ายทรยศความรู้สึกของเธอ ขอโทษด้วย สิ่งที่รออยู่คือการแก้แค้นอย่างสาสม
“ที่คุณพูดก็คือสิ่งที่ผมอยากพูด” เขาต้องการคนเพียงคนเดียว หัวใจนั้นเล็กมาก คนเดียวก็กำลังพอดี เรื่องที่อีลั่วเสวี่ยพูดนั้น ไม่ต้องให้เธอเตือน เขาก็เข้าใจดี
อีลั่วเสวี่ยจ้องมองริมฝีปากบางและดวงตาที่เปี่ยมด้วยความเอาอกเอาใจของเขา ในใจเริ่มคล้อยตามทีละนิด
ศีรษะเธอขยับเข้าหาเขาโดยไม่รู้ตัว ใครบางคนรอไม่ไหว รีบส่งตัวเองเข้ามาหา
ครั้งนี้เฉวียนหมิงไม่ให้อีลั่วเสวี่ยเป็นฝ่ายนำ เขากอดเธออย่างรักใคร่ นำเธอเข้าสู่ความหวานละมุนสวยงามอย่างอ่อนโยน
ม่านหน้าต่างถูกลมพัดไหวจนแสงส่องเข้ามาเล็กน้อย ทาบทอลงบนร่างของทั้งสอง ชั่วขณะนั้น ราวกับรอบตัวทั้งคู่มีมีแสงเป็นประกายเจิดเจ้าอย่างประหลาด ดูกลมกลืนกันเหลือเกิน
ตอนที่ 251 ต่อไปไม่อีกทำแล้ว
ทั้งสองจูบกันอย่างดูดดื่ม ครึ่งตัวอีลั่วเสวี่ยทาบทับบนตัวเฉวียนหมิง ทั้งคู่กล้าทำตามใจปรารถนามากขึ้น ลูกบอลเงินอยู่ข้างๆ มองจนตาค้าง
นี่แสดงสดให้ดูเลยเหรอ ซี้ด…คิดดูก็ชักตื่นเต้นแฮะ
ลูกบอลเงินไม่กล้าส่งเสียงเพราะกลัวอีลั่วเสวี่ยเห็นเข้า ดวงตากลของมันจ้องเป๋ง ไม่กะพริบแม้แต่น้อย
เฉวียนหมิงลูบศีรษะเธออย่างอ่อนโยน และกำลังจะเลื่อนมือต่ำลงไป อยู่ๆ ก็มีเสียงแผ่วเบาดังขึ้น ทั้งสองลืมตาทันที แล้วคลายมือออกจากกัน
‘ไม่เกี่ยวกับฉันนะ’ ลูกบอลเงินรีบหนีไปไกล เสียงนั่นฉันไม่ได้ทำนะ คงไม่โทษฉันหรอกนะ?
มุมปากอีลั่วเสวี่ยกระตุก เจ้าหมอนี่ เห็นทีคราวหน้าต้องให้มันระวังหน่อย ทุกครั้งที่เราสองคนทำอะไรแล้วถูกมองนี่มันรู้สึกแปลกชะมัด เวลาอยู่กันสองต่อสองไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้มีคนที่เป็นส่วนเกินโผล่มา อ้อ ไม่สิ มีเครื่องจักรกลที่มีความนึกคิดโผล่มา
“แค่กๆ อาเสวี่ย คุณคงหิวแล้ว ผมจะไปต้มโจ๊กให้” แววตาเฉวียนหมิงอ่อนโยน ยื่นมือมาช่วยปัดผมอีลั่วเสวี่ยให้เรียบร้อย จากนั้นก็เตรียมจะลุกจากเตียงไปต้มโจ๊ก
เธอดูแลเขามาตั้งนาน นี่ก็สายแล้ว ควรจะต้องกินอะไรบ้าง
“คุณนอนต่อดีๆ เถอะ ฉันไปทำเอง ไม่ต้องลุกขึ้นมาหรอก” อีลั่วเสวี่ยกดเฉวียนหมิงให้นอนลงตามเดิม แล้วลุกออกไป
เฉวียนหมิงเห็นประตูห้องปิดลงก็อยากลุกตามออกไป แต่คิดอะไรขึ้นมาได้ จึงนอนต่อด้วยสีหน้ามีความสุข ความรู้สึกที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ช่างเยี่ยมจริงๆ
ถ้าเหล่าเการู้ความคิดนี้เข้าคงอึ้งไปเลย ที่เขาเคยดูแลนายน้อยมา ไม่มีความหมายใช่ไหม
ทั้งสองอยู่บนเกาะอีกหนึ่งวัน ย่างเนื้อ ตกปลากัน ดูแล้วไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่สำหรับสองคนที่ชอบความเงียบสงบนับว่าเป็นการฟื้นฟูร่างกายที่ดีทีเดียว
พอถึงเที่ยงวันที่สอง เหล่าเกาก็ขับเรือมารับพวกเขา
“นายน้อย ก่อนหน้านี้หนังตาผมกระตุกไม่หยุด ยังกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น โทร.หาพวกคุณ ก็ไม่ติด ร้อนใจแทบแย่แน่ะครับ” แต่คิดว่าสองคนนี้คงไม่อยากให้ใครรบกวน เขาจึงไม่รีบร้อนมา
เห็นเหล่าเกามีท่าทีกังวล อีลั่วเสวี่ยก็นึกในใจ ก็เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ น่ะแหละ ดีที่ฉันแก้ปัญหาได้
เฉวียนหมิงเม้มปาก “เราไม่เป็นไรหรอก ก็แค่ตอนที่สนุกกันเผลอทำมือถือตกน้ำจนใช้ไม่ได้ เก็บของเถอะ เตรียมกลับกันได้แล้ว”
ประตูคฤหาสน์ถูกปิดอีกครั้ง อีลั่วเสวี่ยและเฉวียนหมิงนั่งเรือกลับไป ครั้งนี้เธอตามเฉวียนหมิงไปที่คฤหาสน์ของเขา
รอบๆ ยังคงมีทิวทัศน์และการตกแต่งที่คุ้นเคยเหมือนเดิม อีลั่วเสวี่ยรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย เดินเข้าไปในบ้านเหมือนไม่มีอะไร
ไม่นาน เหล่าเกาก็จัดหามือถือเครื่องใหม่ให้ทั้งสองคน เพิ่งใส่ซิมโทรศัพท์แล้วเปิดเครื่อง เสียงข้อความแจ้งเตือนก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“แย่แล้ว” อีลั่วเสวี่ยหยิบมือถือขึ้นมา เปิดดูข้อความ คนที่โทร.มามากที่สุดคืออวิ๋นเว่ยกับอาเหมา รองลงมาเป็นหลิ่วเฟยซวง
“ยายหนู ไปไหนมา โทร.ก็โทร.ไม่ติด อาเหมาบอกว่าลูกไปกับไอ้เด็กหน้าเหม็นนั่น ไปที่ไหนก็ไม่รู้ รู้ไหมว่าพ่อเป็นห่วงแทบแย่”
เสียงพูดด้วยความโมโหดังมาจากในมือถือ อีลั่วเสวี่ยรีบเอามือถือออกห่างเล็กน้อย พอฟังเสียงอวิ๋นเว่ยคำรามจบ จึงเอามือถือมาแนบหูอีกครั้ง “พ่อคะ หนูผิดไปแล้ว พอดีช่วงนั้นมือถือตกน้ำ เครื่องเสียค่ะ แล้วก็ยังไม่ทันได้เปลี่ยนใหม่”
“หึ! คราวนี้ยกโทษให้ลูก วันหลังค่อยคิดบัญชีกับไอ้หนุ่มนั่น ไม่พูดแล้ว พ่อกำลังประชุม”
“อืม แล้วเจอกันค่ะพ่อ” อีลั่วเสวี่ยวางสาย ถอนหายใจอย่างจนใจ ทั้งรู้สึกมีความสุข ที่แท้การมีคนคอยเป็นห่วงเป็นใยเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ
เมื่อก่อนอาจารย์คอยสืบหาว่าเธออยู่ที่ไหน จนกระทั่งเจอตัวเธอ เธอยังคิดว่าอาจารย์เห็นเธอไม่เป็นผู้ใหญ่สักที ที่จริงทั้งหมดนี้เป็นเพราะความห่วงใย
ตอนที่ 252-253
ตอนที่ 252 ไม่กลัวตายก็ไปถามเองสิ
พอวางสาย เธอก็โทร.หาอาเหมา บอกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง เธอกลับมาแล้ว จึงนับว่าได้พูดปลอบคนทั้งสองเรียบร้อย
“เสวียเสวี่ย เธออยู่ไหน ทำไมโทร.หาก็ปิดเครื่องตลอด หึ ยังคิดว่าเธอถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไปวิจัยแล้วซะอีก” อีลั่วเสวี่ยโทร.หาหลิ่วเฟยซวง ยังไม่ทันพูดอะไร ก็ถูกอีกฝ่ายรัวใส่เป็นชุด
อีลั่วเสวี่ยยิ้มอย่างจนปัญญา “ห่วงอะไรนักหนา แค่เกิดเรื่องนิดหน่อย มือถือเสียเท่านั้นเอง อีกอย่าง มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือเปล่าก็ยังถกกันอยู่เลย จะจับฉันไปวิจัยอะไร”
มีมนุษย์ต่างดาวจริงหรือเปล่า คำตอบของเธอคือมีแน่นอน เพราะลูกบอลเงินคือตัวอย่างที่ดีที่สุด
“นี่ๆๆ ฉันเป็นห่วงเธอหรอกนะ จะมาถกเรื่องมนุษย์ต่างดาวกับฉันทำไมยะ” หลิ่วเฟยซวงไม่พอใจ ยายนี่เปลี่ยนเรื่องเก่งจริงๆ
“ไม่ใช่ว่าเธอพูดขึ้นมาก่อนเองเหรอ ฉันคุยกับเธออยู่นะ เข้าใจไหม”
“เข้าใจๆๆ ทำไมฉันจะไม่เข้าใจ จริงสิ เสวียเสวี่ย เธอกลับมาหรือยัง ฉันยังคิดว่าเธอมัวแต่หลงเสน่ห์จนลืมกลับแล้ว”
อีลั่วเสวี่ยหน้าแดงเล็กน้อย “พูดบ้าอะไร พรุ่งนี้มีเรียน ฉันจะไม่กลับได้เหรอ”
“งั้นก็หมายความว่า ถ้าไม่มีเรียนเธอก็คงไม่กลับสินะ หึ คิดจะเบี้ยวนัดฉันอีกใช่ไหม” น้ำเสียงหลิ่วเฟยซวงน้อยใจ
“ไม่หรอกน่า ฉันรับปากเธอแล้วจะเบี้ยวได้ยังไง เอาละไม่คุยแล้ว ฉันจะพักสักหน่อย พรุ่งนี้เจอกันที่มหาวิทยาลัย บ๊ายบาย” จากนั้นก็วางสาย ขืนยังคุยกับหลิ่วเฟยซวงต่อคงลากยาวไปจนดึกแน่ ยายนี่ช่างพูดจริงๆ
อีกด้านหนึ่ง ในห้องประชุมใหญ่ คนในห้องสวมเครื่องแบบทหาร ด้านหน้าสุดมีเครื่องฉายภาพ มีคนกำลังถือไม้ชี้พลางอธิบาย แต่เขากลับหยุดพูด สายตาจับอยู่ที่อวิ๋นเว่ยเช่นเดียวกับทุกคนในห้องประชุม
“มองอะไร โทรศัพท์เร่งด่วน ผมจำเป็นต้องรับสาย พูดไปสิ”
ชายคนนั้นจึงได้แต่กระแอมเล็กน้อย เรียบเรียงความคิดใหม่ แล้ววิเคราะห์ต่อ “รวมกับการสู้รบครั้งก่อน และข้อมูลที่เรารวบรวมได้ในภายหลัง ทำให้รู้ว่า…”
ตลอดเวลานี้ อวิ๋นเว่ยยิ้มหน้าบาน ตามองที่จอภาพ แต่ไม่รู้ว่าฟังเข้าหัวหรือเปล่า
หลังจากการประชุมสิ้นสุดลง หลายคนค่อยๆ เก็บของเดินออกไป มีเพียงอวิ๋นเว่ยคนเดียวที่ยังนั่งยิ้มใจลอย
“พี่จ้าว ท่านแม่ทัพเป็นอะไร ทำไมพอรับโทรศัพท์ นอกจากจะไม่ทำหน้าเย็นชาแล้วยังยิ้มแปลกๆ เมื่อกี้เขาบอกว่ายายหนู หมายถึงคุณหนูใหญ่ใช่ไหม” ชายใบหน้ากลมกะพริบตาปริบๆ พลางซุบซิบ
พอเขาถาม คนที่อยู่รอบๆ กลุ่มหนึ่งก็ขยับเข้ามาใกล้ แววตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ได้ยินแม่ทัพพูดถึงลูกสาวมาตลอด ตกลงมันยังไงกันแน่ ทุกคนต่างอยากรู้
จ้าวจวินเลิกคิ้ว กวาดตามองเอกสารบนโต๊ะ พอคนพวกนั้นเห็น ก็รีบเก็บให้เรียบร้อยทันที
“พี่จ้าว รีบบอกมาเร็วเข้า เป็นคุณหนูใหญ่ใช่ไหม พี่มีรูปเธอหรือเปล่า ให้พวกเราดูหน่อยสิ กลับไปจะได้ให้ไอ้หนูที่บ้านทำความรู้จักไว้” คนที่สามารถทำให้ท่านแม่ทัพพูดชมไม่ขาดปากต้องไม่ธรรมดาแน่
“รูป? คิดมากไปแล้ว ฉันไม่มีหรอก อยากดูใช่ไหม ไปถามท่านแม่ทัพเองสิ” ขืนแอบเก็บรูปถ่ายคุณหนูใหญ่ไว้ หึ…ถ้าพี่อวิ๋นรู้เข้า ฉันไม่โดนเชือดก็แปลกละ
“อย่ากั๊กสิพี่จ้าว คราวก่อนพี่ต้องได้เจอคุณหนูใหญ่แน่ๆ เธอสวยหรือเปล่า พี่ว่าไอ้หนูบ้านพวกเรามีโอกาสไหม” คนพวกนี้เป็นพ่อคนแล้ว เรื่องที่ชอบที่สุดคือหาคู่ครองให้ลูกชายตัวเองไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
จ้าวจวินพยักหน้า “บอกว่าสวยยังธรรมดาไป คุณหนูใหญ่ทั้งสวยทั้งเก่ง ไม่งั้นจะคู่ควรเป็นลูกสาวท่านแม่ทัพของเราเหรอ พวกนายว่าจริงไหมล่ะ”
อีลั่วเสวี่ยนอกจากจะมีใบหน้าที่ทำให้อวิ๋นเว่ยคิดถึงลูกสาวของตัวเองแล้ว เธอยังเก่งด้านการแพทย์ ไม่อย่างนั้นอวิ๋นเว่ยคงไม่ชื่นชมเธอขนาดนี้
ตอนที่ 253 วิ่งหนึ่งร้อยรอบ
“ส่วนที่ว่าพวกนายมีโอกาสหรือเปล่า ฉันเดาว่าคงไม่ เมื่อกี้ไม่ได้ยินที่พี่อวิ๋นโกรธขนาดนั้นเหรอ” จ้าวจวินยิ้ม สีหน้าเจ้าเล่ห์
ทุกคนย้อนคิดดู เหมือนจะด่าว่าไอ้เด็กหน้าเหม็น แถมยังจะคิดบัญชีด้วย หรือว่าคุณหนูใหญ่เดตกับใคร คนเป็นพ่ออย่างท่านแม่ทัพรู้เข้าเลยโกรธมาก เพราะเขาเป็นพ่อที่ขึ้นชื่อว่าหวงลูกสาว
“งั้นก็น่าเสียดาย แต่เราก็ยังอยากรู้เรื่องคุณหนูใหญ่อยู่ดี ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอหรือเปล่า พี่จ้าว พี่มีรูปหรือไม่มีกันแน่ ขอดูหน่อยสิ”
ในกลุ่มคนเหล่านี้มีทั้งคนที่มีครอบครัวแล้ว และก็ยังมีพวกคนหนุ่มด้วย อายุมากกว่าอีลั่วเสวี่ยไม่กี่ปี คนพวกนี้เข้าฝึกทหารหลังจากจบมัธยมปลายหรือตั้งแต่อยู่มัธยมปลาย ดังนั้นที่พวกเขาก้าวมาถึงขั้นนี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
หรือบางคนรุ่นพ่อเป็นทหารอยู่แล้ว พวกเขาก็เข้าเป็นทหารเร็วกว่าปกติ
“อยากดูเหรอ ฉันมี ดูไหม” เสียงหนึ่งดังขึ้น ทุกคนพยักหน้าโดยไม่ต้องคิด พลางหันไปมอง
จ้าวจวินอึ้งไป ฉันยังไม่มี แล้วใครมี พอนึกขึ้นได้ก็แทบจะมุดลงใต้โต๊ะ ซวยแล้ว!
“นายมีรูปถ่ายคุณหนูใหญ่ มาๆ ขอฉันดูหน่อย”
พอเห็นว่าเป็นอวิ๋นเว่ย คนกลุ่มนี้ก็ถอยกรูดทันทีจนชนถูกโต๊ะ เจ็บจนหน้าซีด
“ท่านแม่ทัพ พวกเรา…”
“พวกเราผิดไปแล้ว ไม่ควรสอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวของท่านแม่ทัพ” คนเหล่านี้แสดงท่าทียอมรับผิดแต่โดยดี รีบยืนตัวตรง แม้จะเอ่ยขอโทษ แต่ความเข้มแข็งก็ไม่ได้ลดน้อยลง
อวิ๋นเว่ยเลิกคิ้วพลางยิ้ม “เรื่องอยากรู้อยากเห็น ฉันเข้าใจดี วางใจเถอะ”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพที่เมตตาครับ!” ทุกคนถอนหายใจโล่งอก ดูแล้วพอพูดถึงคุณหนูใหญ่ ท่านแม่ทัพจะอารมณ์ดีจริงๆ
“อย่าเพิ่งรีบขอบคุณ ไปวิ่งรอบสนามร้อยรอบก่อน วันหลังมีโอกาสจะให้พวกนายได้เจอเสวี่ยเอ๋อร์” ออกคำสั่งเสร็จ อวิ๋นเว่ยก็เหลือบมองจ้าวจวิน “นายด้วย ไปคุม”
จ้าวจวินทำวันทยาหัตถ์ทันที “ครับ ท่านแม่ทัพ งั้นผมต้องวิ่งด้วยไหมครับ”
อวิ๋นเว่ยยกมุมปาก แววตาลึกล้ำ “คิดว่าไงล่ะ” จากนั้นก็ผละไป
บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาที่เงี่ยหูฟังอยู่ข้างๆ รีบเผ่นไวยิ่งกว่ากระต่าย ยังดีที่พวกเขาไม่ได้ร่วมวงด้วยจึงไม่ถูกลงโทษ
คนที่ซุบซิบกันกลุ่มนี้ มองหน้ากันไปมา อยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก “รูปก็ไม่ได้ดู ยังถูกลงโทษอีก เศร้าจริงๆ”
“เศร้าบ้าอะไร นี่แค่ร้อยรอบ ปกติท่านแม่ทัพลงโทษพวกเราเคยมีน้อยกว่าสองร้อยรอบที่ไหน พอใจเถอะ” จ้าวจวินทำสีหน้าทอดถอนใจ เฮ้อ ร้อยรอบเชียว คงต้องวิ่งทั้งบ่าย อุตส่าห์มีเวลาว่างตอนบ่ายหลังประชุมทั้งที หมดกัน
จ้าวจวินเพิ่งพูดจบ คนอื่นๆ ก็จ้องเขาด้วยสายตากล่าวโทษ ต้องโทษที่เขาอยู่ดีไม่ว่าดีก็พูดถึงคุณหนูใหญ่ ทำให้พวกเขาเกิดอยากรู้ขึ้นมา
“ไม่ต้องมาจ้องเลย ฉันก็โดนเหมือนกันนะ ฉันก็ไปกับพี่น้องทุกคนแหละน่า ไม่ต้องมองฉันแบบนี้ได้ไหม” จ้าวจวินรู้สึกผิด เขาคิดว่าอวิ๋นเว่ยคงจะรีบออกไป ทั้งพวกเขาก็คุยกันเสียงเบามาก
“หึ พี่จ้าว เมื่อกี้พี่คิดจะทิ้งพวกเรา อย่าคิดว่าเราไม่รู้นะ เฮอะ” คนกลุ่มนี้เบ้ปาก แสร้งทำเป็นเดินออกไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ
สุดท้ายพวกเขาก็ได้แต่ต้องวิ่งรอบสนามไปเงียบๆ
“ฮ่าๆ เป็นทหารสังกัดแม่ทัพอวิ๋นนี่ลำบากชะมัด อยู่ดีๆ ก็ถูกลงโทษให้วิ่งรอบสนาม” ทหารในสังกัดของแม่ทัพคนอื่นเห็นแล้วก็อดซ้ำเติมไม่ได้ จำนวนรอบที่วิ่งไม่น้อยเลย
เพื่อนอีกคนในกลุ่มนั้นดวงตาเป็นประกาย พูดว่า “นายจะรู้อะไร นี่เรียกว่าวินัย อีกอย่างที่พวกเขาวิ่งดูเหมือนเป็นการลงโทษ แต่ที่จริงกำลังฝึกฝนร่างกายต่างหาก” ระเบียบวินัยเคร่งครัด ชมเชยและลงโทษชัดเจน จุดนี้อวิ๋นเว่ยทำได้ดีกว่าคนอื่น
อีกอย่างคนเหล่านี้ก็เต็มใจวิ่งกันทั้งนั้น ดูเหมือนเป็นการทำงานล่วงเวลา ถึงจะไม่ได้เงิน แต่ก็เพิ่มพูนประสบการณ์
ตอนที่ 254-255
ตอนที่ 254 เธอหนีไม่พ้นหรอก!
“ที่พูดก็มีเหตุผล” พวกเขาที่นี่ที่ถูกลงโทษ โดยทั่วไปเป็นการลงโทษทางร่างกาย วิ่งรอบสนามหรือไม่ก็ฝึกซ้อมภาคสนาม
ชายผิวคล้ำคนหนึ่งบังเอิญเดินผ่านมาได้ยินเข้า ก็ยิ้มหยัน “ในเมื่อหน่วยเขาดีขนาดนั้น พวกนายก็ไปสิ” สองคนที่กำลังคุยกันได้ยินก็ผงะ
“หัวหน้า เราแค่พูดเล่นน่ะครับ”
“พูดเล่น? เป็นทหาร พูดคำไหนคำนั้น จะพูดเล่นก็ต้องดูกาลเทศะ เข้าใจไหม” ชายผิวคล้ำแววตาขรึมลง สีหน้าไม่พอใจ
สองคนที่คุยกันรีบยืนตรง ตามองไปข้างหน้า “เข้าใจครับ”
“ในเมื่อเข้าใจก็ไปวิ่งซะ ฝึกฝนร่างกายตามที่พวกนายต้องการ” พูดจบ เขาก็นอนลงหลับตาพัก ทุกการกระทำดูมีแบบแผน
ทั้งสองมองหัวหน้าของตัวเอง แล้วสบตากัน ทำได้เพียงออกไปวิ่งเงียบๆ ในสนามข้างๆ จ้าวจวิน
อีลั่วเสวี่ยไม่รู้ว่าด้านนี้มีคนถูกลงโทษให้วิ่งเพราะความอยากรู้อยากเห็น หลังจากเธอพักที่บ้านเฉวียนหมิงหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นก็ตรงไปมหาวิทยาลัย
“เสวียเสวี่ย ในที่สุดเธอก็มา เรารอตั้งนานแน่ะ” เฉวียนหมิงเพิ่งส่งอีลั่วเสวี่ยที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย หลิ่วเฟยซวงกับเหอเย่ว์ก็เดินเข้ามาทัก
เฉวียนหมิงยิ้ม พยักหน้าให้อีลั่วเสวี่ย แล้วขับรถจากไป
“จุ๊ๆ เหมือนที่เฟยเฟยพูดไว้ไม่ผิด เธอกำลังหลงเสน่ห์จนถอนตัวไม่ขึ้น เราพูดอะไร เธอก็ฟังไม่เข้าหูแล้ว เฮ้อ…”
อีลั่วเสวี่ยได้แต่ส่ายหน้า ไม่พูดอะไร “เลิกเล่นซะทีเถอะน่า ฉันเหมือนคนประเภทนั้นหรือไง” สองคนนี้ชอบแหย่เธอเล่นอยู่เรื่อย แต่น่าเสียดายที่เธอไม่รู้สึกรู้สากับการถูกชมหรือติแล้ว
“เหมือน!” หลิ่วเฟยซวงกับเหอเย่ว์พยักหน้าพร้อมกันโดยไม่ต้องคิด
“อย่างนี้สินะ งั้นถ้าฉันทำอะไรที่ไม่สอดคล้องขึ้นมา ก็คงไม่ตรงกับที่พวกเธอนึกฝัน” อีลั่วเสวี่ยพูดจบก็หิ้วกระเป๋าเดินตรงไปข้างหน้า
หลิ่วเฟยซวงกับเหอเย่ว์ค่อยๆ คุ้นกับปฏิกิริยาที่ไม่ธรรมดาของอีลั่วเสวี่ยแล้ว ทั้งคู่หัวเราะร่าแล้วตามไปคล้องแขนเธอคนละข้าง เข้าห้องเรียนอย่างมีความสุข
วิชาเรียนในมหาวิทยาลัยเป็นอิสระ โดยทั่วไปพอจบเรียนจบในแต่ละวัน ถ้าชั่วโมงเรียนไม่ต่อเนื่องกัน ก็จะไม่รู้สึกเหนื่อยมากนัก อีกอย่างคาบเรียนของพวกอีลั่วเสวี่ยเรียนถึงแค่บ่ายสี่โมงก็หมดแล้ว
“วันนี้วันศุกร์ เสวียเสวี่ยเธอไม่ลืมที่รับปากฉันไว้ใช่ไหม” หลิ่วเฟยซวงกะพริบตาปริบๆ สีหน้าคาดหวัง
อีลั่วเสวี่ยยกมุมปาก “ไม่ลืมอยู่แล้ว สุดสัปดาห์นี้ของฉันเป็นของเธอ เธอจะเอายังไงก็เอา อยากไปไหนฉันไปด้วย”
หลิ่วเฟยซวงได้ยินก็ตื่นเต้นจนน้ำตาแทบไหล ในที่สุดก็รอจนถึงวันที่เมฆสลาย เห็นแสงเดือนแสงตะวันซะที ไม่มีใครมาแย่งฉันแล้ว เจ๋งเลย!
“เรื่องนี้ ขอฉันคิดก่อนนะ จะไปไหนดีน้า ช่างเหอะ ระหว่างทางค่อยคิด ไปกันเถอะ” มือข้างหนึ่งดึงอีลั่วเสวี่ย อีกข้างดึงเหอเย่ว์ หลิ่วเฟยซวงยิ้มจนตาหยี
“เฮ้ ถูกล็อตเตอรี่หรือไง ต้องดีอกดีใจขนาดนี้” มีเสียงดังขึ้นด้วยความสงสัย ขณะเดียวกันก็มีคนมาขวางทางหลิ่วเฟยซวงไว้ ไม่ใช่ใครอื่น หลานเยี่ยหมิงนั่นเอง
แววตาหลิ่วเฟยซวงวูบไหวเล็กน้อย “ทำไมฉันต้องบอกนาย เสวียเสวี่ย เราไปกันเถอะ” จากนั้นก็เร่งฝีเท้าเดินหายไปจากสายตาหลานเยี่ยหมิงในเวลาอันรวดเร็ว
เธอไม่ได้เห็นความอ่อนโยนและจนใจในดวงตาหลานเยี่ยหมิง “ยายนี่ เธอหนีไม่พ้นหรอก” ก่อนหน้านี้เพราะกลัวว่าถ้ามาให้เธอเห็นหน้าบ่อยๆ จะรบกวนการเรียนของเธอ ตอนนี้เป็นปลายภาคแล้ว จึงไม่ต้องกังวลมากขนาดนั้น
“เฟยเฟย หลานเยี่ยหมิงทำอะไรให้เธอไม่พอใจเหรอ ทำไมไม่เคยเห็นเธอทำหน้าดีๆ กับเขาเลย” เหอเย่ว์สงสัยไม่หาย เท่าที่เห็น หลานเยี่ยหมิงเอาใจใส่หลิ่วเฟยซวงมาก ขอเพียงมีหลิ่วเฟยซวงอยู่ สายตาเขาไม่เคยผละจากตัวเธอเลย
อีกอย่างถึงต่อหน้าหลิ่วเฟยซวงจะชอบตีหน้ายักษ์ใส่เขา แต่สายตาก็ชอบมอบหาเขาโดยไม่รู้ตัว
ตอนที่ 255 แหวนวงนั้นสวยจัง
สองคนนี้อยากใกล้ชิดกัน แต่พอเข้าใกล้กันทีไรก็ผลักออกจากกัน และส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายหลิ่วเฟยซวงที่ปฏิเสธและต่อต้าน เรื่องนี้ทำให้เหอเย่ว์ไม่เข้าใจ
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าในใจมีเขา แต่ทำไมทุกครั้งต้องทำเหมือนไม่สนใจด้วย
หลิ่วเฟยซวงชะงักเล็กน้อย แล้วเดินต่อ “เสี่ยวเย่ว์ เธอดูผิดแล้ว ฉันกับเขาไม่มีอะไรกันสักหน่อย ทำไมฉันต้องดีกับเขาด้วย” ฉันไม่มีวันยกโทษให้เขาเด็ดขาด!
ล้มแล้วครั้งหนึ่ง จะไม่วันล้มอีกเป็นครั้งที่สอง ไม่เด็ดขาด!
อีลั่วเสวี่ยสบตากับเหอเย่ว์ ทั้งสองต่างเข้าใจจึงไม่ถามอะไรอีก เพราะรู้ว่าระหว่างสองคนนี้คงมีเรื่องบางอย่าง แต่เห็นชัดว่าหลิ่วเฟยซวงไม่อยากพูดถึง
ในเมื่อไม่รู้ที่มาที่ไปของเรื่อง ไม่ไปวิจารณ์สุ่มสี่สุ่มห้าดีกว่า ดีไม่ดีอาจทำให้สถานการณ์แย่ลง
“ทะเลาะกับยายจอมหยิ่งนั่นอีกแล้วเหรอ” เว่ยเหลียนเฉิงเห็นหลานเยี่ยหมิงยืนอยู่ที่เดิมจึงเดินมาข้างๆ พลางยื่นหมากฝรั่งให้
หลานเยี่ยหมิงเทออกมาสองเม็ดใส่ปากเคี้ยว หมากฝรั่งรสส้ม เปรี้ยวๆ หวานๆ เหมือนความรู้สึกในใจเขาตอนนี้
“เธองอนฉัน แสดงว่ายังแคร์ฉัน” ไม่งั้นจะทำไม่ใส่ใจ พูดคุยกันเหมือนเพื่อนทั่วไปก็ได้
เว่ยเหลียนเฉิงเลิกคิ้ว “อ้อ งั้นเหรอ”
“ไปละ สุดสัปดาห์นี้ดูแล้วคงมีแต่เราสองคน” หนานหลิวเฟิงไม่รู้เป็นอะไร ระยะนี้ไม่ค่อยคลุกคลีกับพวกเขา มีข้ออ้างว่ายุ่งอยู่เรื่อย
“ต่างกันตรงไหน เราเจอกันทุกวันที่หออยู่แล้ว ว่าไปก็ดูเหมือนจะไม่มีเวลาไหนที่ไม่เจอกันด้วยซ้ำ”
หลานเยี่ยหมิงฟังจบก็รีบถอยหลังก้าวหนึ่ง ตั้งการ์ดป้องกันตัวทันที สีหน้าหวาดระแวง “นาย วันนี้นายพูดจาแปลกๆ บอกก่อนนะ ฉันไม่ใช่เกย์ หัวใจฉันเป็นของเฟยเฟย”
เว่ยเหลียนเฉิงมีท่าทีกระอักกระอ่วน สีหน้าหม่นคล้ำด้วยความเคือง “ฉันเป็นผู้ชายโว้ย เวรเอ๊ย ไปให้พ้นๆ เลยไป สุดสัปดาห์นี้ฉันอยู่ของฉันคนเดียวก็ได้ จะได้ไม่ถูกเข้าใจผิด”
หลานเยี่ยหมิงได้ยินก็ลดมือลง เดินมาอยู่ข้างตัวเว่ยเหลียนเฉิง พลางยื่นมือไปวางบนไหล่เพื่อน “พรรคพวก ฉันแค่ล้อเล่นน่า แต่จะว่าไปพวกเราแต่ละคนก็มีความรักกันแล้ว ทำไมนายยังไม่มีวี่แววเลย ในฐานะเพื่อน ฉันชักเป็นห่วง”
“ฮ่องเต้ไม่ร้อนใจ ขันทีร้อนใจแทน”
“นายว่าอะไรนะ” หลานเยี่ยหมิงโวยด้วยความโมโห แต่เว่ยเหลียนเฉิงเร่งฝีเท้าเดินไปแล้ว
อีกด้านหนึ่งพวกอีลั่วเสวี่ยนั่งรถมาถึงร้านเครื่องหยกของหลิ่วเฟยอวิ๋น
“พี่ชายฉันบอกว่า ถ้ากลับให้บอกเขาด้วย ไปๆๆ พอเสร็จเรื่องเราก็กลับไปด้วยกันเลย” หลิ่วเฟยซวงวิ่งเข้าไปในร้านอย่างเริงร่า อีลั่วเสวี่ยกับเหอเย่ว์ตามหลังไป
พนักงานที่นี่รู้จักอีลั่วเสวี่ย เหอเย่ว์เองก็มาหลายครั้งแล้ว จึงไม่มีใครขวางพวกเธอ สองสาวเข้ามาในห้องโถงแล้วก็ขึ้นไปที่ชั้นสองทันที
“พี่ ดูซิว่าฉันพาใครมา” พอขึ้นไปชั้นบน หลิ่วเฟยซวงก็ทำท่าราวกับเอาของล้ำค่ามาให้ ร้องเรียกพลางเดินเข้าไป
หลิ่วเฟยอวิ๋นหันหน้าให้ประตู ตรงหน้าเป็นคอมพิวเตอร์และเอกสาร ยังมีกล่องสามใบ พอได้ยินเสียงน้องสาว ดวงตาเขาทอประกายทันที สายตามองหาอีลั่วเสวี่ย
อีลั่วเสวี่ยหลบตาเขา ไม่ยอมสบตาด้วย
“พี่ เห็นสาวๆ เป็นไม่ได้เลยนะ ไม่หือไม่อือ เอาแต่มองคนสวย หึ!” หลิ่วเฟยซวงเบ้ปาก สองแขนกอดอก ทำท่าเหมือนโมโห
แต่ที่จริงแววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เอาเถอะ ตราบใดที่เสวียเสวี่ยยังไม่ได้แต่งงานกับเฉวียนหมิง พี่ชายฉันก็ยังมีโอกาส แน่ละ ที่เธอบอกว่าแต่งงานหมายถึงการจัดพิธีแต่งงาน
หลิ่วเฟยอวิ๋นทำท่าจนใจ “เฟยเฟย ว่าพี่แบบนี้ต่อหน้าเพื่อนๆ สนุกนักหรือไง”
“พวกเธอพี่น้องสนิทกันดีจัง!” เหอเย่ว์รู้สึกอิจฉา ไม่เหมือนที่บ้านเธอ มีเธอคนเดียว ตั้งแต่เล็กพ่อเลี้ยงเธอเหมือนเด็กผู้ชาย ยังดีที่แม่เป็นคนฉลาด ไม่อย่างนั้นเธอคงกลายเป็นผู้ชายไปแล้ว
ตอนที่ 256-257
ตอนที่ 256 ใส่แหวนอย่างเปิดเผย
“แหงสิ ก็เราสองคนเป็นฝาแฝดกัน เขาเกิดก่อนฉันแค่แป๊บเดียว สมมติว่าฉันเป็นพี่สาว ฉันก็ต้องคอยดูแลเขา” หลิ่วเฟยซวงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“เธอเลิกเอาแต่พูดแบบนี้สักทีได้ไหม นี่มันความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จะสมมติอะไรเยอะแยะ” หลิ่วเฟยอวิ๋นพูดพลางลุกขึ้น
หลิ่วเฟยซวงยิ้ม เลิกป่วนต่อ สายตาเธอเลื่อนไปจับที่กล่องสามใบบนโต๊ะ จากนั้นก็เปิดดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ว้าว แหวนหยกสวยจัง” เธอคิดว่าของพวกหยก ก็แค่ใช้ทำจี้หยก ป้ายหยก หรือกำไลหยกเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าทำเป็นแหวนจะออกมาสวยขนาดนี้
ดวงตาอีลั่วเสวี่ยเป็นประกาย มองแวบเดียวก็ดูออกว่าแหวนหยกนั่นเหมือนแหวนหยกที่เธอได้จากโรงประมูลใต้ดินไม่ผิดเพี้ยน เห็นทีแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้ของเธอจะกลายเป็นจริงแล้ว
ที่แท้เธอเอาภาพแหวนต้นแบบและสีให้บริษัทเครื่องหมายการค้าแห่งหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าร้านเครื่องหยกของหลิ่วเฟยอวิ๋นจะซื้อไป
แม้การทำแบบนี้จะค่อนข้างเข้าข่ายการนำไปใช้อย่างผิดกฎหมาย แต่แหวนวงนี้เดิมก็เป็นของเธออยู่แล้ว ส่วนที่ประเทศซีกั๋ว แหวนหยกนี้อยู่ในฐานะของโบราณ น่าจะไม่มีแหวนวงที่สองที่เหมือนกัน
อีกอย่างถ้าเธอจะสวมแหวนโดยไม่ให้มีใครจับได้ ก็ต้องมีการทำแหวนเลียนแบบออกมาขาย ทั้งตัวแหวนเองก็สวยงาม ถ้าผลิตออกมาต้องได้รับความนิยมแน่นอน
“นี่เป็นแหวนตัวอย่างที่ฝ่ายผลิตส่งมาให้วันนี้ ผมเลือกที่ดีที่สุดสามวงให้พวกคุณ อีกอย่างแหวนหยกนี้จะเป็นสินค้าใหม่ที่เราวางจำหน่ายสุดสัปดาห์นี้ เป็นไง”
“ให้พวกเรา ขอบคุณนะพี่” หลิ่วเฟยซวงตื่นเต้นมาก รีบเอาอีกสองกล่องยื่นให้อีลั่วเสวี่ยกับเหอเย่ว์ ส่วนตัวเองสวมแหวนใส่นิ้วทันที
“ขอบคุณค่ะ” อีลั่วเสวี่ยยิ้ม เธอยังคิดว่ารอให้แหวนออกวางขายแล้ว ก็จะซื้อไว้สักวง คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีโอกาสแล้ว
เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างกัน เหอเย่ว์จึงไม่ลำบากใจที่จะรับของจากอีกฝ่าย จึงเอ่ยขอบคุณ แล้วสวมแหวนไว้ที่นิ้วนางซ้าย ถ้าสวมไว้ที่มือซ้ายแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลว่าสวมแหวนที่นิ้วอื่นจะมีความหมายอะไร
อีลั่วเสวี่ยลังเลเล็กน้อย แล้วสวมแหวนที่นิ้วชี้ขวา สวมแหวนที่นิ้วชี้มีความหมายว่ามีคู่รักแล้ว ไม่ว่าจะแต่งงานแล้วหรือยังไม่แต่งงานก็ตาม อีกอย่างเธอกับเฉวียนหมิงก็ถือว่าเป็นคู่รักได้
‘ดีใจด้วย คราวนี้คุณก็สวมแหวนได้อย่างเปิดเผยซะที’ ลูกบอลเงินเห็นแล้วก็แสดงความยินดีกับเธอ นี่นับว่าเร็วกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้มาก จะว่าไปหลิ่วเฟยอวิ๋นเป็นคนที่เหมาะกับการทำธุรกิจจริงๆ
ขณะที่อีลั่วเสวี่ยเปิดกล่องแหวนหยกก็แอบสับเปลี่ยนเป็นแหวนวงจริงแล้วใส่ไว้ที่นิ้วแทน ตอนนี้ก็ไม่กังวลแล้วว่าจะอธิบายที่มาของแหวนอย่างไร
“ดูสิ นี่เป็นสัญลักษณ์ว่าเราเป็นเพื่อนซี้กัน ห้ามทำหายนะ” หลิ่วเฟยซวงยื่นมือตัวเองออกมาด้วยความชื่นชม สามมือขาวผ่องเรียงเทียบอยู่ด้วยกัน มือต่างกัน แต่แหวนหยกแทบจะเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
“เธอพูดถูก นี่เป็นสัญลักษณ์ของเราสามคน แต่ว่าพอฉันกลับไปก็ใส่แหวนไม่ได้…แต่ฉันจะห้อยไว้ที่คอแทน” เหอเย่ว์รีบเปลี่ยนคำพูดทันที จะว่าไปนี่ถือเป็นของที่เขามอบให้เธอ
อีลั่วเสวี่ยยิ้ม “หยกเป็นสิ่งที่มีไอทิพย์ ทั้งหยกนี่ยังสวยเป็นพิเศษ ฉันว่าต้องทำจากหยกชั้นเยี่ยมแน่ๆ ใส่ติดตัวไว้ตลอดย่อมดีต่อเรา”
หลิ่วเฟยอวิ๋นพยักหน้า พูดเสริมว่า “เสวียเสวี่ยพูดถูก แหวนสามวงนี้ทำจากหยกก้อนเดียวกัน แตกต่างกันไม่มาก แหวนหยกที่ทำขายทีหลังก็ดีไม่เท่า”
หินหยกมีใหญ่เล็ก แต่ไม่สามารถรับประกันได้ว่าหยกแต่ละก้อนจะมีส่วนประกอบเหมือนกันอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเมื่อทำเป็นแหวนหยกออกมาย่อมมีความแตกต่างกัน เท่าที่หลิ่วเฟยอวิ๋นเห็น แหวนสามวงนี้ ทำได้ใกล้เคียงต้นแบบมากที่สุด
ตอนที่ 257 ลูกค้าที่รับมือยาก
หลิ่วเฟยซวงช่วยพี่ชายดูแลร้านหยกมานานขนาดนี้ ย่อมมีความเข้าใจบ้าง ขณะที่พยักหน้า สายตาเธอก็มองมาที่แหวนบนมืออีลั่วเสวี่ย
“พี่พูดถูก แต่แหวนของเสวียเสวี่ยต่างจากของพวกเรา” พูดจบก็ชี้ไปที่ริ้วสีแดงเล็กๆ บนเรือนแหวน เส้นสีแดงเล็กมาก ละเอียดเท่าเส้นผม ถ้าไม่ได้ดูใกล้ๆ ก็มองไม่เห็น
แววตาอีลั่วเสวี่ยเป็นประกายวูบ แสร้งทำเป็นแปลกใจ “เธอไม่พูด ฉันก็ไม่สังเกตนะเนี่ย ไหนดูหน่อย ของพวกเธอมีเหมือนกันไหม”
ทั้งสองคนตรวจดูอย่างละเอียด ยังสามารถหาจุดที่แตกต่างกันของแหวนสามวงนี้ได้
“ริ้วสีแดง แหวนที่พวกเขาส่งมามีตำหนิเหรอ” ตอนที่ตัดแต่งหยกก้อนนี้ ก็ไม่เห็นมีรอยริ้วสีแดง หรือว่าจะถูกสับเปลี่ยน แต่คนงานไม่น่าจะกล้าขนาดนี้
“พี่ไม่ได้ตรวจดูให้หมดเหรอ” หลิ่วเฟยซวงหันมา สะเพร่าจริงๆ
หลิ่วเฟยอวิ๋นลูบหัวตัวเอง “ก็ต้องตรวจแล้วสิ แต่อาจไม่ทันสังเกต ขอโทษด้วยลั่วเสวี่ย ถ้าคุณไม่ชอบ ผมค่อยให้พวกเขาหาหยกที่เหมาะ แล้วทำให้คุณใหม่”
แบบนี้จะได้ยังไง แหวนวงนี้ต่างหากที่ฉันต้องการสวม “ไม่ต้องหรอกค่ะ พิเศษกว่าวงอื่นถึงจะดี เฟยเฟยเธอว่าไง”
หลิ่วเฟยซวงกับเหอเย่ว์ก็คิดเหมือนกัน ข้อห้ามสำคัญที่สุดสำหรับเด็กสาวก็คือ ห้ามใส่ของซ้ำกัน ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทจริงๆ ย่อมไม่ใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน แหวนหยกนี้มีความหมายพิเศษ แต่ถ้าแต่ละวงมีลักษณะพิเศษก็จะจดจำได้ ไม่ดีหรอกหรือ
ต่อให้เป็นฝาแฝด นิสัยก็ยังต่างกัน ถึงแยกออกได้ง่าย
“ฉันเห็นด้วยกับเสวียเสวี่ย ไม่ต้องเปลี่ยนแหวนหรอก”
หลิ่วเฟยอวิ๋นเห็นว่าพวกเธอชอบ จึงไม่ถามอะไรอีก
ตอนนี้เอง มือถือของหลิ่วเฟยอวิ๋นก็ดังขึ้น “อะไรนะ ได้ ผมรู้แล้ว จะไปเดี๋ยวนี้” จากนั้นก็วางสาย
“ลั่วเสวี่ย เฟยเฟย ที่โกดังมีหยกดิบล็อตใหม่เข้ามา ผมต้องไปตรวจด้วยตัวเอง พวกคุณกลับก่อนได้เลย ไม่ต้องรอ”
“แต่พี่ วันนี้เรานัดไปกินข้าวกันที่บ้านกันนะ กลับเร็วหน่อยได้ไหม” หลิ่วเฟยซวงเบ้ปาก ลำบากแทบแย่กว่าจะชวนมาได้ จะให้เสียเปล่าไม่ได้
“วางใจเถอะ ไม่นานหรอก” เขาจะไม่ไปก็ได้ แต่ต่อให้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ อีลั่วเสวี่ยกับเพื่อนก็ต้องรู้สึกผิด เมื่อเป็นแบบนี้ย่อมไม่ดี อีกอย่างถ้าเขาไม่พยายามให้มากเพื่อจะเติบโตขึ้น แล้วจะแข่งกับเฉวียนหมิงเพื่อช่วงชิงเธอได้อย่างไร
หลังจากหลิ่วเฟยอวิ๋นไปแล้ว มือถือบนโต๊ะก็ดังขึ้น ทั้งสามหันไปมอง จึงพบว่าหลิ่วเฟยอวิ๋นรีบร้อนจนลืมมือถือไว้ พอเดินมาดูที่หน้าต่าง ก็เห็นเขาขับรถออกไปแล้ว
“ฮัลโหล ฉันหลิ่วเฟยซวง พี่ชายฉันวางมือถือไว้ในห้องทำงาน มีเรื่องอะไรบอกฉันไว้ได้” หลิ่วเฟยซวงไม่ใช่ไร้ความสามารถ บางครั้งพี่ชายเธอต้องไปติดต่องานที่ต่างเมือง เธอก็เป็นคนตัดสินใจแทนในเรื่องจำเป็น จึงรู้วิธีรับมือ
“รองประธานครับ มีลูกค้าสองคนเข้ามาในร้าน ท่าทางรับมือยาก ติโน่นตินี่ไปทั้งร้าน ทำให้ภาพลักษณ์ร้านเราเสียหาย คุณช่วยมารับมือได้ไหมครับ” เสียงร้อนรนของผู้จัดการดังมาจากปลายสาย
หลิ่วเฟยซวงนิ่วหน้า “พวกเธอรออยู่นี่ ฉันไปเดี๋ยวเดียว”
“ไปด้วยกันเลยเถอะ เผื่อมีอะไรที่เราสองคนช่วยได้” เหอเย่ว์ว่าพลางสบตากับอีลั่วเสวี่ย
ทั้งสามลงมาชั้นล่างก็เห็นชายสองคนหันหลังให้พวกเธอ เดินผ่านกระจกหน้าต่างไป ขณะที่พนักงานที่รับหน้าอยู่หยิบหยกให้เลือกดู แต่อีกฝ่ายยังคงส่ายหน้า ชี้จุดตำหนิของหยก แล้วเลือกต่อ
มิน่าผู้จัดการถึงบอกว่าลูกค้าสองคนนี้รับมือยาก ไม่ใช่แค่รับมือยาก แต่เห็นชัดว่าฝ่ายนั้นตั้งใจมาก่อกวน มาอย่างมีจุดมุ่งหมาย
ตอนที่ 258 เขารู้จักแหวนหยก
“แบบนี้ก็ยังเอามาให้นายน้อยของเราดู ไม่มีที่ดีกว่านี้หรือไง” ชายคนที่ท่าทางเหมือนบอดี้การ์ดมุ่นคิ้ว แววตายั่วโมโห
พนักงานคนนั้นไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ส่วนผู้จัดการร้านกัดฟันแน่น เตรียมรับมือเอง ต่อให้คิดจนหัวระเบิดก็ต้องสยบลูกค้าที่รับมือยากสองคนนี้ให้ได้
ที่จริงตามหลักแล้ว ถ้าอีกฝ่ายมายั่วยุแบบนี้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องยอมอดทนทุกกรณีก็ได้ แต่กฎที่หลิ่วเฟยอวิ๋นวางไว้ มีข้อหนึ่งคือถ้าเลี่ยงไม่ทำให้ลูกค้าไม่พอใจได้ก็ให้เลี่ยง ว่าไปแล้วก็ยังไม่รู้ว่าคนที่มาเก่งกาจมาจากไหน รอให้รู้ชัดก่อนแล้วค่อยดูว่าจะจัดการอย่างไร
ในสังคมชั้นสูงมีคนบางประเภทที่ชอบอวดเบ่ง เวลาซื้อของก็อยากดึงดูดสายตาของคนอื่นๆ เลยทำเรื่องเรียกร้องความสนใจผู้คน ขณะที่พวกเขาเปิดร้านทำการค้า ย่อมไม่อยากให้เกิดเรื่องเกิดราว ถ้าไม่หมดหนทางจริงๆ ย่อมเลือกวิธีที่สันติ
“อาเซิง อย่าใจร้อน ยังมีอีกมากที่ไม่ได้ดู เราค่อยๆ ดู” เสียงสุภาพน่าฟังดังขึ้นราวกับหิมะที่ละลายบนเขาเทียนซานไหลลงสู่ผืนน้ำ ฟังแล้วน่าหลงใหล
ชายในชุดสูทสีดำถอยหลังหนึ่งก้าวทันที ค้อมกายอย่างนอบน้อม “ครับ นายน้อย ค่อยๆ ดูครับ”
“สวัสดีค่ะ ฉันหลิ่วเฟยซวง เป็นรองประธานร้านเครื่องหยก คุณต้องการดูหยกชนิดไหนคะ เป็นจี้หยกหรือกำไลหยกคะ” หลิ่วเฟยซวงซ่อนความไม่พอใจในแววตา แล้วยิ้มให้อย่างมืออาชีพ พลางเดินช้าๆ เข้าไปหา
พอเห็นหลิ่วเฟยซวงเดินมา ผู้จัดการก็ถอนหายใจอย่างแรง รีบเดินตามหลังเธอ แล้วอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเบาๆ
พอได้ยินเสียง ชายสองคนที่ดูหยกอยู่ก็หันมา
บอดี้การ์ดสวมสูทสีดำดูวางอำนาจ เย็นชา ท่าทางเหมือนจะตะเพิดให้คนอื่นๆ ถอยออกไปไกลๆ สมกับเป็นบอดี้การ์ด แต่คนข้างๆ เขาต่างออกไป
ผู้ชายคนนี้ดูแล้วอายุไม่น่าเกินสามสิบปี สวมเสื้อเชิ้ตลายการ์ตูนน่ารักสีเทาดำกับกางเกงขายาวสีแทบจะเหมือนกัน เป็นชุดเข้ากันที่เสื้อผ้าแบรนด์เนมยี่ห้อหนึ่งเพิ่งออกจำหน่ายเมื่ออาทิตย์ก่อน สวมรองเท้าหนัง ขัดจนขึ้นเงา
ใบหน้าหล่อเหลาขาวใสราวกับหินอ่อนปรากฏต่อสายตา ทำให้ทุกคนในที่นั้นไม่อยากละสายตาไป ดวงตาแวววาววูบไหวเล็กน้อย จมูกโด่งเป็นสันเข้ากับริมฝีปากบางสีแดงอ่อนๆ เป็นใบหน้าที่สวยงามจนแทบไม่มีที่ติ
เครื่องหน้าประกอบกันเป็นใบหน้าหล่อเหลางดงามราวกับเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ กลิ่นอายเหมือนคนธรรมดา แต่เปี่ยมด้วยความสูงส่ง
“ผมอยากดูแหวน…แหวนหยก แบบที่คุณหลิ่วสวมที่นิ้ว” รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากเขา แต่แผ่ไปไม่ถึงส่วนลึกในดวงตา เมื่อเขาเห็นแหวนหยกบนนิ้วมือหลิ่วเฟยซวง ดวงตาก็เปล่งประกายทันที
อีลั่วเสวี่ยซึ่งยืนอยู่ด้านหลังมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เธอเดินมาพร้อมกับเหอเย่ว์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วหยุดเดินไม่ใกล้ไม่ไกลจากหลิ่วเฟยซวง เรื่องแบบนี้ให้หลิ่วเฟยซวงซึ่งเป็นเจ้านายจัดการจะเหมาะกว่า
หลิ่วเฟยซวงแปลกใจ ยกมือตัวเองขึ้น เธอไม่เห็นว่าบอดี้การ์ดซึ่งอยู่ข้างหลังชายคนนั้นเดินมาข้างหน้าเล็กน้อย แต่ถูกชายคนนั้นห้ามไว้
“ที่แท้ก็แหวนหยก เชิญตามฉันมาทางนี้ค่ะ นี่เป็นแหวนหยกเนื้อดีที่สุดของร้านเรา” หลิ่วเฟยซวงยิ้ม ผายมือเชื้อเชิญไปยังอีกเคาน์เตอร์หนึ่งซึ่งราคาสูงกว่า
ชายคนนี้พยักหน้าให้อย่างสุภาพ แล้วเดินตามเธอไป พอคนอื่นเห็นเช่นนี้ก็หมดความสนใจจะดูต่อ
ในสถานการณ์ปกติ เมื่อเจ้านายออกโรงเอง เรื่องที่เหลือย่อมจัดการได้อย่างรวดเร็ว
‘แม่คุณ เขารู้จักแหวนหยกนี่ คงไม่ใช่มาเพราะแหวนหยกวงนี้นะ จุ๊ๆๆ มีคนไม่น้อยเลยที่อยากได้แหวนหยกวงนี้ วิธีของคุณเป็นวิธีที่มองการณ์ไกลทีเดียว’
ตอนที่ 259 ถือโอกาสโฆษณาเลย
ขืนบุ่มบ่ามสวมแหวนออกมา ใครจะรู้ว่าจะไปเจอคนที่เข้าออกโรงประมูลใต้ดินเมื่อไร ถึงตอนนั้นฐานะเธอก็จะถูกเปิดเผยได้ง่าย ยังไม่พูดที่ก่อนหน้ามีคนคิดจะชิงแหวนหยกวงนี้ไปด้วย
ดังนั้นสิ่งที่อีลั่วเสวี่ยตัดสินใจเอาไว้ก่อนหน้าจึงมีเหตุผล เห็นได้จากเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็เหมือนจะเป็นกรณีเดียวกัน
‘ดูกันไปก่อน’ สีหน้าอีลั่วเสวี่ยไม่เปลี่ยน ที่จริงเมื่อครู่เธอเองก็ตกใจ อีกฝ่ายถึงกับตามมาถึงที่นี่ ไม่แน่อาจมาเพราะแหวนหยกวงนี้ การที่ร้านเครื่องหยกของหลิ่วเฟยอวิ๋นผลิตแหวนหยกแบบนี้ ย่อมทำให้เกิดความสงสัย
เชื่อกันว่าแหวนหยกวงนี้เคยเป็นของราชครูประเทศซีกั๋ว จึงถือเป็นวัตถุทางประวัติศาสตร์ที่หลงเหลือมาของประเทศ แน่นอนว่าต้องมีคนรักชาติหรือพวกนักสะสมบางคนที่อยากได้แหวนวงนี้กลับคืนไป
เป็นไปได้ว่าการประมูลแหวนหยกที่เมืองเอฟครั้งก่อน มีคนมาไม่ทันร่วมประมูล หรืออาจมีเงินไม่พอ ตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าแหวนหยกเล็กๆ วงเดียวจะประมูลขายได้ในราคาสูงถึงห้าแสนล้าน
“ของพวกนี้ไม่ใช่ที่ผมต้องการ คุณหลิ่วขายแหวนของคุณให้ผมได้ไหม ผมยินดีจ่ายในราคาสูง” ชายคนนี้มองหลิ่วเฟยซวง นัยน์ตาจริงจังแฝงแววค้นหาและประเมิน
เธอคือหมอปีศาจเหรอ เธอเปิดร้านหยก แล้วใช้แหวนหยกเป็นต้นแบบผลิตแหวนแบบเดียวกันออกมาเป็นจำนวนมาก
หลิ่วเฟยซวงได้ยินก็ส่ายหน้าทันที “แหวนหยกวงนี้ขายให้คุณไม่ได้ค่ะ ต้องขออภัยด้วย ถ้าคุณต้องการ ต้องรออีกสักระยะนะคะ”
เขาคิดว่าหลิ่วเฟยซวงต้องการเวลาใคร่ครวญ จึงมุ่นคิ้วทันที “คุณหลิ่วยอมตัดใจเถอะครับ แหวนหยกวงนี้สวยมาก ผมไม่อยากพลาดเลย จริงสิ เรื่องราคาไม่ใช่ปัญหานะครับ เราคุยกันได้ คุณเสนอราคามาได้เลย”
“เอ่อ…คงไม่ได้หรอกค่ะ ฉันดีใจมากที่คุณชอบ แต่ขายให้คุณไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
“ก็บอกแล้วไงว่าเรื่องเงินไม่มีปัญหา” บอดี้การ์ดคนนั้นพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
หลิ่วเฟยซวงยิ้มอย่างเย็นชา “คุณมีเงิน แต่ฉันไม่ขาย ฉันว่าพวกคุณไม่ได้มาซื้อหยกหรอก ถ้าอย่างนั้นก็ขอเชิญ” พูดจบก็ผายมือเชิญออกจากร้าน
“เฟยเฟย” เหอเย่ว์เห็นสถานการณ์ก็รีบเดินมา เธอเม้มปาก แย่แล้วสิ ทำไมเขามาอยู่ที่นี่ได้
สายตาเขาจับอยู่ที่แหวนบนมือเหอเย่ว์ พลันชะงัก หรือว่านั่นเป็นแหวนจริง
“เฟยเฟย ในเมื่อลูกค้าชอบสินค้าใหม่ที่กำลังจะออก งั้นก็แจ้งให้ลูกค้าทราบวันที่กำหนดออกจำหน่ายสิ เขาจะได้รีบมาซื้อ” อีลั่วเสวี่ยเก็บแววตาขี้เล่น พลางแนะนำอย่างจริงจัง เธอเก็บกลิ่นอายรอบตัวจนหมดสิ้น ไม่ให้หลงเหลือกลิ่นอายตอนที่อยู่โรงประมูลใต้ดินแม้แต่น้อย
“นายน้อย ทำยังไงดีครับ…” หญิงสาวสามคนนี้มีแหวนหยก ดูแล้วพวกเธอไม่น่าใช่หมอปีศาจ แหวนหยกก็ไม่น่าจะใช่ของจริง
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “ที่แท้ก็เป็นสินค้าใหม่ของร้าน มิน่าถึงสวยขนาดนี้ รบกวนถามหน่อยครับ แหวนของพวกคุณสองคนได้มายังไง ผมอยากซื้อสักวง”
“เกรงว่าคงไม่ได้หรอกค่ะ แหวนสามวงนี้เป็นของตัวอย่างที่พี่ชายฉันมอบให้เรา ตอนนี้ไม่มีเหลือแล้ว อีกอย่างก็ยังไม่ได้กำหนดราคา ก็เลยยังขายไม่ได้ ถ้าคุณชอบ รอวันมะรืนนะคะ เราจะเริ่มวางจำหน่ายค่ะ” นับว่าหลิ่วเฟยซวงมีฝีมือ พูดจาได้ไหลลื่น
ถึงตอนนี้อีลั่วเสวี่ยจึงเอ่ยขึ้นว่า “ใช่ค่ะ เราดีใจมากที่คุณชอบแหวนหยกนี้ แต่บังเอิญตอนนี้ยังไม่ออกวางจำหน่าย อีกอย่างไม่ว่าคุณหรือใคร ถ้าเห็นว่าแหวนหยกสวย ก็สามารถมาซื้อตามวันที่กำหนดได้ ถึงตอนนั้นเราจะลดราคาให้”
พูดจบ เธอและเหอเย่ว์รวมทั้งหลิ่วเฟยซวงต่างชูมือของตัวเองขึ้นมาพร้อมกัน วางมือไว้ในจุดที่มองเห็นได้เด่นชัด รอบๆ มีคนขยับเข้ามา จ้องไปยังแหวนหยก
‘แม่คุณ เจ้าเล่ห์จริงนะ ถือโอกาสโฆษณาเลย ถึงตอนนั้นจะมีแหวนหยกแบบนี้ทั่วไปหมด คิดจะแยกของจริงของปลอมก็ยากแล้ว’
ตอนที่ 260 ซีเหมินหลงเซี่ยว
เมื่อมีแหวนที่เหมือนกันทุกอย่างปรากฏขึ้นหลายวง ถึงจะมีแหวนจริงวางอยู่ในกองแหวนปลอม ต่อให้เป็นคนตาแหลมก็จำแนกไม่ได้ง่ายๆ
ต้องยอมรับว่าวิธีที่ผิดกฎหมายของอีลั่วเสวี่ยนี้ทำได้ฉลาดล้ำ เหนือชั้นมาก
‘เวลานี้โหมไฟให้วุ่นวายอีกครั้ง ไม่งั้นจะคุ้มกับแหวนของฉันได้ยังไง’ แหวนแห่งความโกลาหลของเธอเดิมก็เป็นหนึ่งไม่มีสอง เวลานี้มีแหวนแบบเดียวกันมากมายขนาดนี้ ก็ต้องทำให้สิ่งที่เธอลงแรงไปได้แสดงบทบาทเต็มที่จึงจะถูก
ลูกบอลเงินหมุนตัวรอบหนึ่งแล้วลอยมาหยุดบนไหล่อีลั่วเสวี่ย ‘คุณพูดถูก แต่คุณแน่ใจเหรอว่าเขาจะยอมรามือ’
ไม่ยอมรามือแล้วเขาจะทำอะไรได้ ตอนนี้เขาก็ถึงขั้นไม่แน่ใจแล้วว่าผู้หญิงสามคนตรงหน้าใครคือหมอปีศาจกันแน่ อีกอย่างเขาคงไม่เที่ยวถอดแหวนของคนอื่นออกมาตรวจสอบหรอก
“ลดราคา?” พวกเราเหมือนคนประเภทที่ขาดเงินเหรอ
หลิ่วเฟยซวงพยักหน้า “ใช่ค่ะ ลดราคา แต่จะลดเท่าไหร่ เวลานี้ยังเป็นความลับทางการค้า ไม่สามารถเปิดเผยได้ ขอให้คุณลูกค้าโปรดเข้าใจด้วย ถึงวันนั้นค่อยมาใหม่นะคะ”
ถึงตอนนั้นเราจะตอบแทนลูกค้าทั้งใหม่และเก่าแน่นอนค่ะ” ตอนท้ายหลิ่วเฟยซวงยังพูดเสริมอีก
“นายน้อย” บอดี้การ์ดได้ยินก็ก้มหน้าเล็กน้อย ท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ถูกชายคนนั้นยกมือห้ามไว้
เขายิ้มพลางมองหลิ่วเฟยซวงและเพื่อน “ผมเข้าใจครับ งั้นวันที่วางจำหน่ายแหวนวงนี้ ผมจะมาใหม่ จริงสิ ทำไมไม่เห็นเจ้านายของพวกคุณ ผมมีธุรกิจที่จะคุยกับเขา นี่ครับ นามบัตรผม”
ชายคนนี้ว่าพลางหยิบนามบัตรจากบอดี้การ์ดมายื่นให้หลิ่วเฟยซวง
อีลั่วเสวี่ยชำเลืองมอง เห็นชื่อบนนามบัตร ซีเหมินหลงเซี่ยว แซ่สองอักษร ‘ซีเหมิน’ แซ่นี้เห็นน้อยมาก
ซีเหมินหลงเซี่ยว ซีอีโอไหลย่ากรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทเครื่องสำอาง แบรนด์ที่อยู่ภายใต้การบริหารเป็นเวชสำอาง ประกอบด้วยลิปสติก มาส์กหน้า ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเครื่องสำอางทั้งหลาย
เวชสำอางที่ค้นคว้าและผลิตออกมาได้รับความนิยมทั้งในและต่างประเทศ มีศักยภาพมาก แต่เวลานี้ซีอีโอของแบรนด์กลับมาที่เมืองเล็กๆ อย่างเมืองเอฟ นับว่าน่าแปลกทีเดียว
“ซีเหมินหลงเซี่ยว?” หลิ่วเฟยซวงพึมพำเบาๆ รูม่านตาเบิกกว้าง รับนามบัตรไว้ แทบไม่อยากเชื่อว่าลูกค้าที่รับมือยากคนนี้มีความเป็นมาใหญ่โตขนาดนี้!
“ครับ ผมเอง หวังว่าต่อไปเราจะมีโอกาสได้ร่วมมือกันนะครับ”
หลิ่วเฟยซวงพยายามควบคุมลมหายใจของตัวเอง ยิ้มให้อย่างสุภาพ “ฉันก็หวังเช่นเดียวกันค่ะ ถ้าคุณซีเหมินมีเวลา ขอเชิญไปพักดื่มชาก่อน พี่ชายฉันน่าจะใกล้มาถึงแล้ว”
“ไม่ละครับ คืนนี้ยังมีงานเลี้ยง เอาไว้คราวหน้าต้องมีโอกาสอีกแน่นอน” ซีเหมินหลงเซี่ยวยิ้ม สีหน้าเรียบเฉย เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพาบอดี้การ์ดออกไป
ลูกค้าคนอื่นในร้านไม่ได้สังเกตนามบัตรเขารวมทั้งการพูดคุยที่ตามมา ไม่เช่นนั้นหากรู้ว่าซีอีโอของไหลย่ากรุ๊ปมาที่นี่ คงกลายเป็นข่าวครึกโครมแน่นอน
ถึงตอนนั้นต่อให้ร้านหยกของหลิ่วเฟยอวิ๋นไม่อยากดังก็คงยากแล้ว
หลังจากหลิ่วเฟยซวงมองส่งซีเหมินหลงเซี่ยวออกไปแล้ว ก็แข้งขาอ่อนยวบ ตัวเซไปข้างหลัง “ให้ตาย หมอนี่น่ากลัวชะมัด สมแล้วที่เป็นคนมีประสบการณ์ด้านธุรกิจมานาน เป็นถึงซีอีโอได้ ฝีมือคงไม่เบาแน่”
แม้จะเป็นเพียงการพูดคุยกันง่ายๆ แต่ก็แผ่พลังข่มขวัญออกมาจากตัวจนทำให้คนครั่นคร้าม
อีลั่วเสวี่ยและเหอเย่ว์พยุงเธอขึ้นไปชั้นบน เห็นท่าทางหลิ่วเฟยซวงแบบนี้ คงต้องให้นั่งพักสักหน่อย ยังกลับตอนนี้ไม่ได้
หลิ่วเฟยซวงไม่รู้ว่าพลังกดดันไร้รูปบนตัวซีเหมินหลงเซี่ยวเมื่อครู่ ที่จริงถูกอีลั่วเสวี่ยสลายลงไประดับหนึ่งแล้ว ไม่เช่นนั้นเธอคงแย่กว่านี้แน่
ตอนที่ 261 เขามีจุดประสงค์อะไร
“ซีเหมินหลงเซี่ยว ในรูปดูหล่อกว่าตัวจริงนะ ต่างจากที่เห็นในนิตยสารนิดหน่อย ฉันก็เลยจำเขาไม่ได้ทันที” หลิ่วเฟยซวงขึ้นมาดื่มชาที่ชั้นสอง ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง
“แต่ก็น่าแปลก ไหลย่ากรุ๊ปเน้นเรื่องผลิตภัณฑ์ดูแลผิวนี่นา หรือว่าตอนนี้อยากเข้าวงการหยกด้วย” พูดถึงเรื่องเครื่องหยกแล้ว ไม่ใช่แค่มีน้อย แต่ยังไม่ใช่ว่าทุกคนจะชอบด้วย
ไม่เหมือนเพชร ซึ่งแทบจะกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการแต่งงาน ยังมีพวกหินอัญมณีอื่นๆ ที่เอามาใช้ประดับเสื้อผ้า ล้วนมีช่องทางการตลาดที่ดี แต่หยกนั้นไม่เหมือนกัน คิดแล้วยังเหมือนเป็นเรื่องฝันเฟื่องด้วยซ้ำ
หรือว่าต่อไปหยกจะกลายเป็นที่นิยมแพร่หลาย
ดวงตาอีลั่วเสวี่ยเป็นประกาย “คิดไม่ถึงว่าซีเหมินหลงเซี่ยวจะมีความเป็นมาแบบนี้ แต่เมืองเอฟมีร้านหยกที่ใหญ่กว่านี้ตั้งหลายร้าน ทำไมเขาถึงมาที่นี่”
“ที่เธอพูดมา ฉันก็แปลกใจเหมือนกัน เสียดายพี่ไม่อยู่ ไม่งั้นจะได้ฟังความเห็นของเขา” เธอไม่ใช่คนที่เห็นเงินแล้วตาลุกวาวจนไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา โลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าลาภลอย
บอกได้เพียงว่าฝ่ายนั้นมาที่นี่จะต้องวางแผนอะไรสักอย่างแน่ แต่เธอคิดไม่ออกว่ามีจุดประสงค์อะไร หรือจะเป็นแหวนหยกวงนี้ แต่ไม่ว่ารูปทรงและขนาดของแหวนก็ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับไหลย่ากรุ๊ป
“อยู่ๆ ก็โชคดีเหมือนถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่โดยไม่คาดฝัน ระวังตัวไว้หน่อยดีกว่า ทางที่ดีที่สุดควรสืบให้รู้จุดประสงค์ของพวกเขา” อีลั่วเสวี่ยพูดเสริม
เห็นได้ชัดว่าซีเหมินหลงเซี่ยวมาเพราะแหวนหยกวงนี้ ท่าทีหมายมั่นปั้นมือต้องเอาให้ได้เสียขนาดนั้น นึกถึงครั้งก่อนที่เธอออกจากโรงประมูลใต้ดินแล้วถูกคนกลุ่มหนึ่งขวางไว้ เป็นไปได้มากว่าคนคนนี้ก็คือเจ้านายของคนพวกนั้น
เธอรู้ดีว่าคนพวกนั้นร้ายกาจโหดเ**้ยมแค่ไหน พวกนั้นเคยบอกว่ายอมบาดเจ็บล้มตายแต่จะพลาดไม่ได้ เธอไม่ต้องการให้การผลิตแหวนหยกทำให้สองพี่น้องสกุลหลิ่วตกอยู่ในอันตราย
“จริงสิเสี่ยวเย่ว์ ทำไมเธอไม่พูดอะไรบ้าง หรือว่าตะลึงความหล่อของซีเหมินหลงเซี่ยวไปซะแล้ว” หลิ่วเฟยซวงยิ้ม สีหน้าแปลกใจ เธอยอมรับว่าเขาหล่อมาก แต่พอเผชิญหน้ากัน เธอก็สัมผัสได้แต่ความน่าหวาดหวั่นอยู่ลึกๆ
เหอเย่ว์ตั้งสติได้ เธอกัดฟันแน่น “พูดบ้าๆ ฉันไม่ใช่คนที่จะว้าวุ่นเพราะเรื่องแบบนี้”
“ไม่ใช่เรื่องนี้? เสี่ยวเย่ว์ งั้นเธอมีเรื่องอะไรในใจ” หลิ่วเฟยซวงและอีลั่วเสวี่ยไม่สบายใจขึ้นมาทันที นั่งขนาบข้างตัวเธอ ท่าทางเป็นกังวล
“เปล่าๆ พวกเธอคิดมากไปแล้ว ฉันแค่กำลังคิดเรื่องที่พวกเธอพูดกันเมื่อกี้ ซีเหมินหลงเซี่ยวนั่นต้องมีจุดประสงค์อะไรแน่ๆ ฉันกำลังคาดเดาสาเหตุที่เขาทำอย่างนี้”
หลิ่วเฟยซวงยิ้มร่า พลางตบไหล่เหอเย่ว์ “คิดมากไปทำไม เราเพิ่งเจอเขาวันนี้ครั้งแรก ปกติก็ไม่เคยสนใจเรื่องของเขา จะไปเดาอะไรได้ แต่ว่าเสี่ยวเย่ว์ ที่เธอสนใจเรื่องนี้ หรือเพราะเธอกลัวว่าพี่ชายฉันจะเดือดร้อนหรือถูกทำร้ายใช่ไหม”
“พูดบ้าๆ ฉันก็แค่เป็นห่วง ใครใช้ให้เธอเป็นเพื่อนซี้ของฉันยะ” เหอเย่ว์หลบเลี่ยงสายตาเล็กน้อย แต่เพราะยิ้มอยู่จึงเห็นไม่ชัด แต่อีลั่วเสวี่ยสังเกตเห็นทั้งหมด
ดูท่าว่าถึงเวลาที่ต้องทำให้เฟยเฟยเบนความสนใจจากฉันซะแล้ว จะได้ไม่คอยเอาแต่จะยกตำแหน่งพี่สะใภ้ให้ฉัน ไม่ดีเลย
“กลัวแต่ปากจะไม่ตรงกับใจนะสิ…ฉันกลับเห็นด้วยกับที่เฟยเฟยเดา”
ดวงตาหลิ่วเฟยซวงเป็นประกายทันที “เสี่ยวเย่ว์ ว้าว ที่เสวียเสวี่ยพูดเป็นความจริงเหรอ”
“พูดอะไรก็ไม่รู้ จะไม่ออกไปซื้อของแล้วใช่ไหม จะให้พ่อแม่เธอเตรียมมื้อเย็นให้พวกเราหรือไง” เหอเย่ว์เปลี่ยนเรื่องพูดทันที
ยิ่งทำแบบนี้ ก็ยิ่งแสดงว่าในใจเธอคิดอะไรอยู่ จึงรีบเลี่ยงคำถามของหลิ่วเฟยซวง
ตอนที่ 262 เขาเป็นเจ้าชาย
“เอาละๆ เสี่ยวเย่ว์หน้าบาง เฟยเฟย เธอก็พูดน้อยหน่อยเถอะ” อีลั่วเสวี่ยเม้มปาก หยุดไม่ให้หลิ่วเฟยซวงพูดต่อ
ไม่ง่ายเลยที่เสี่ยวเย่ว์จะแสดงออกชัดเจนแบบนี้ ต้องไม่ทำให้เธอรู้สึกต่อต้าน เด็กสาวคนนี้จบมัธยมปลายก็ไปเป็นทหารเลย เรื่องความรักแทบจะเป็นกระดาษสีขาว ไม่ควรทำให้เธอตกใจกลัว
มีหรือที่หลิ่วเฟยซวงจะไม่เข้าใจ เรื่องอีลั่วเสวี่ย เธอรู้สึกว่าคงเพราะตัวเองพูดมากเกินไปเลยทำให้อีกฝ่ายต่อต้าน ไม่อย่างนั้นทำไมเพิ่งแต่งงานกับเฉวียนหมิงไม่ทันไร ใจก็เทไปทางเขาเสียแล้ว
การพูดกรอกหูใครเกี่ยวกับคนคนหนึ่งนานๆ เข้า ถ้าสามารถทำให้มองเห็นข้อดีของอีกฝ่ายได้ก็ดีไป แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะทำให้รู้สึกไม่ชอบ
แม้ท่าทีของอีลั่วเสวี่ยที่มีต่อหลิ่วเฟยอวิ๋นจะไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่สำหรับหลิ่วเฟยซวงแล้วถือว่าเป็นบทเรียนที่ต้องจำไว้ให้ดี
“พวกเธอจะจบไม่จบ รู้จักแต่ล้อฉัน เห็นแบบนี้ฉันโทร.เรียกหลานเยี่ยหมิงมาก็ดี” ล้อฉันเล่นดีนักใช่ไหม งั้นฉันก็มีไม้ตายเหมือนกัน
พอพูดแบบนี้ หลิ่วเฟยซวงก็ทำเป็นกลอกตาอย่างไม่รู้เรื่องทันที “ฉันพูดอะไรเหรอ เสี่ยวเย่ว์ ทำไมต้องออกตัวขนาดนั้นล่ะ ฉันจำได้ในวิชาเลือกจิตวิทยาบอกว่า คนที่ยิ่งพูดเสียงดัง แสดงว่ายิ่งต้องการกลบเกลื่อนความตึงเครียดในใจ หรือไม่จริง”
“ก็ได้ ฉันยอมแพ้” จิตวิทยา ไปตายซะจิตวิทยา จงใจหาข้ออ้างมาทำให้ฉันพูดแก้ตัวไม่ได้
อีลั่วเสวี่ยส่ายหน้าอย่างจนใจ เด็กสาวสองคนนี้ ไมว่าอย่างไรก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะพูดเรื่องหนุ่มหล่อ เรื่องความรัก ทำให้คนสองภพอย่างเธอที่รวมอายุแล้วเกินสี่สิบไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
“เลิกพูดได้แล้ว เฟยเฟย เธอรีบดูว่ามีอะไรต้องจัดการบ้าง ทำเสร็จแล้วเราจะได้กลับกัน ระหว่างทางจะได้แวะซื้อของกินด้วย”
พอพูดถึงเรื่องกิน สองสาวก็หยุดพูด กลับมาอยู่ฝ่ายเดียวกันทันที
“ฉันจะเก็บชุดชาพวกนี้เอง” เหอเย่ว์ยกถ้วยชาที่ยังดื่มไม่หมดกับป้านชาไปที่อ่างล้างจานด้านข้าง
หลิ่วเฟยซวงชี้ที่กองเอกสารที่กระจัดกระจายบนโต๊ะ “ฉันจัดการพวกนี้เอง” สองคนลงมือทำจนเสร็จอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก แล้วคว้ามืออีลั่วเสวี่ยคนละข้างออกไปจากที่นี่
ในซูเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง หลิ่วเฟยซวงเข็นรถเข็นวิ่งไปอย่างอารมณ์ดี ทิ้งอีลั่วเสวี่ยกับเหอเย่ว์ซึ่งเข็นรถเข็นเหมือนกันไว้ข้างหลัง
“เสี่ยวเย่ว์เธอมีอะไรอยากจะพูดใช่ไหม” อีลั่วเสวี่ยเหลือบมองหลิ่วเฟยซวงซึ่งกำลังจับจ่ายอย่างสนุกห่างออกไป พลางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เหอเย่ว์พยักหน้า “เธอรู้ไหม ซีเหมินหลงเซี่ยวคนนั้น นอกจากเป็นซีอีโอของไหลย่ากรุ๊ปแล้วยังมีสถานะอะไร”
“ไม่รู้สิ แต่ความน่าเกรงขามในตัวเขา รวมทั้งคนที่อยู่รอบๆ ก็มีไม่น้อยที่เป็นลูกน้องที่ปลอมเป็นลูกค้า เฉพาะในรถที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามก็มีคนถืออาวุธคอยสังเกตพวกเรา” อาวุธที่ว่าก็คือปืน
“เธอสังเกตเห็นหมดเลย สมกับที่เป็นคุณหนูใหญ่ ร้ายกาจจริงๆ”
“เธออยากพูดอะไรก็พูดเถอะ ก่อนที่เฟยเฟยจะมาทางนี้” หลิ่วเฟยซวงกำลังหยิบเครื่องดื่มหลายกระป๋องใส่รถเข็น เผอิญหันมามองทั้งสองคน ก็คิดว่าพวกเธอทำอะไรชักช้า ไม่ได้คิดอะไรมาก
สองคนเดินไปยังบริเวณที่มีคนน้อย เหมือนไม่อยากให้ใครได้ยินที่คุยกัน
“ซีเหมินหลงเซี่ยวเป็นเจ้าชายประเทศซีกั๋วเพื่อนบ้านเรา ตอนที่ฉันเรียนอยู่เคยอ่านข้อมูลเกี่ยวกับเขา” สำหรับคนที่ศึกษาถึงแก่นอย่างพวกเธอ ย่อมถือว่าเป็นคนของครึ่งประเทศ ต้องจดจำบรรดาผู้นำของประเทศต่างๆ ให้แม่นยำ
ทีแรกเธอคิดว่าตัวเองดูผิด แต่พอเขายื่นนามบัตรให้ เธอจึงแน่ใจว่าคนคนนี้คือเจ้าชายประเทศซีกั๋ว
อีลั่วเสวี่ยเลิกคิ้ว “เขาเป็นถึงเจ้าชาย แต่ทำไมไม่เปิดเผยตัวล่ะ” มีสถานะนี้ ก็เหมือนพระชายาของประเทศเอ็ม ที่สร้างแบรนด์ขึ้นมา มีอิทธิพลไปทั่วประเทศ
ตอนที่ 263 หมอปีศาจไม่โง่อย่างนั้น
“เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับระบอบการปกครองของประเทศซีกั๋วก็ได้ การสืบทอดตำแหน่งผู้นำประเทศใช้วิธีกำหนดแบบผสมผสาน ไม่ว่าด้านไหนก็ส่งผลต่อการลงคะแนนเสียงของพวกเขา”
เมื่อถึงเวลาคัดเลือกผู้ที่จะสืบทอดบัลลังก์กษัตริย์ ก็จะมีการลงคะแนนเสียง ผู้ที่ได้คะแนนเสียงสูงสุดและผ่านการทดสอบต่างๆ ได้คะแนนสูงสุดก็จะได้เป็นรัชทายาท ไม่ใช่เป็นเพียงเจ้าชายแล้ว
“น่าสนใจ” ประเทศซีกั๋ว ถ้าอย่างนั้นก็ถูก ตามตำนานบอกว่าแหวนหยกวงนี้เคยเป็นของราชครูประเทศซีกั๋ว เป็นมรดกตกทอดของพวกเขา ซีเหมินหลงเซี่ยวย่อมต้องการเอากลับคืนไป เพื่อเสริมบารมีให้ตัวเอง
ถ้าสามารถซื้อกลับในราคาสูง โดยเฉพาะยิ่งเป็นการมาตามหาสมบัติของชาติกลับคืนด้วยตัวเองแล้ว เมื่อข่าวแพร่ออกไปหลังจากทำสำเร็จ จะต้องมีคนรักชาติจำนวนมากสนับสนุนเขา นี่ก็เท่ากับอธิบายเรื่องทั้งหมดอย่างชัดเจน
“คนคนนี้ไม่มีข้อมูลให้สืบค้นมากนัก ลั่วเสวี่ย ฉันว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา” สีหน้าเหอเย่ว์หนักใจ ซีเหมินหลงเซี่ยวมาปรากฏตัวที่นี่ แต่ไม่มีรายงานข่าวอะไรเลย การเดินทางมาของเขาครั้งนี้ไม่คาดฝันจริงๆ
เธอกำลังชั่งใจว่าจะบอกเรื่องนี้กับพ่อดีหรือไม่ ไม่ได้ ยังไงก็ต้องบอกให้รู้ ถ้าเกิดพ่อไม่ได้รับรายงานแล้วจะทำยังไง ถ้าซีเหมินหลงเซี่ยวเกิดเป็นอะไรขึ้นมาแม้เพียงเส้นผมตอนอยู่ที่นี่ ต้องส่งผลถึงพ่อแน่ๆ
“มองออกตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขาเป็นถึงเจ้าชายสูงศักดิ์ คงไม่มาข้องแวะอะไรกับพวกเรานักหรอก มีก็แต่เรื่องทางเฟยเฟยเท่านั้น” เธอมั่นใจว่าที่ซีเหมินหลงเซี่ยวเลือกมาที่ร้านหยกของหลิ่วเฟยอวิ๋นไม่ใช่เพื่อเครื่องหยกแน่นอน
“ทางเฟยเฟยฉันมีวิธี” เหอเย่ว์ไม่คุ้นเคยกับหลิ่วเฟยอวิ๋น แต่รุ่นพ่อต่างก็เป็นข้าราชการ มากน้อยก็ต้องรู้จักกันบ้าง คืนนี้ต้องถือโอกาสเตือนให้รู้
“เสวียเสวี่ย เธอสองคนชักช้าจริง ยังเลือกซื้ออะไรไม่ได้อีกเหรอ” หลิ่วเฟยซวงเข็นรถเดินมาหาแต่ไกล พอเห็นในรถเข็นมีของเพียงเล็กน้อยก็เบ้ปาก
เหอเย่ว์กลอกตา “เมื่อกี้พ่อโทร.มาตามให้ฉันกลับไปกินมื้อเย็น เลยคุยนานไปหน่อย”
มุมปากอีลั่วเสวี่ยกระตุก เหอเย่ว์พูดในสิ่งที่เธอคิดจะพูดไปแล้ว “แค่กๆ เฉวียนหมิงโทร.หา ฉันปฏิเสธไปแล้ว” เธอนึกหาข้อแก้ตัวไม่ได้ จึงยกเขาขึ้นมาอ้าง
หลิ่วเฟยซวงฟังจบ ดวงตาก็ลุกวาว “ว้าว อย่างนี้สิถึงจะเป็นเพื่อนซี้ของฉัน ไปเถอะ ฉันยังมีของต้องซื้ออีกเยอะเลย…”
ที่จริงตอนที่พวกอีลั่วเสวี่ยขับรถออกไป ซีเหมินหลงเซี่ยวกับบรรดาผู้ติดตามอยู่ในรถคันหนึ่งที่สี่แยกไม่ไกลออกไป
“นายน้อย จะตามไหมครับ”
“ไม่ต้อง ถ้าเป็นหมอปีศาจ แบบนี้มีแต่จะทำให้พวกเธอระแวง อีกอย่างหมอปีศาจไม่โง่อย่างนั้นหรอก จะยอมให้เราตามหาเบาะแสได้ง่ายๆ ได้ยังไง”
อีกอย่างถ้าตัวเขาเป็นหมอปีศาจย่อมไม่มีทางทำแหวนหยกออกมามากมายเองแน่ แบบนั้นจะยิ่งเป็นการเผยพิรุธออกมาได้ง่ายๆ คนที่ชื่อหลิ่วเฟยซวงก็บอกแล้ว แหวนที่พวกเธอสวมเป็นของตัวอย่างที่หลิ่วเฟยอวิ๋นเจ้าของร้านให้มา แหวนหยกสามวง ตรงตามข้อมูลที่เขาได้รับ
หมอปีศาจคงไม่โง่ถึงขั้นเอาแหวนหยกของจริงให้คนอื่น เรื่องนี้ต้องไตร่ตรองให้ดี
“แต่ที่นี่เป็นบริษัทผลิตแหวนหยก ถ้าไม่มีแหวนหยกเป็นต้นแบบ พวกเขาจะเลือกทำออกมาได้ยังไง แถมยังบังเอิญมาก หมอปีศาจน่าจะจงใจทำให้เราสืบหาแหวนหยกไม่ได้”
ร้ายกาจจริงๆ แหวนหยกถูกประมูลออกไปจากโรงประมูลไม่ถึงครึ่งเดือน หมอปีศาจก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย พวกเขาไม่เพียงไม่พบร่องรอย เวลานี้แหวนหยกยังปรากฏขึ้นอีกหลายวง ทำให้การตามหาแหวนจริงเป็นเรื่องยากขึ้น
ตอนที่ 264 ตรวจสอบพวกเธอทั้งสามคน
โดยเฉพาะเมื่อถึงตอนที่คนส่วนหนึ่งในแวดวงสังคมชั้นสูงมีแหวนแบบนี้ เรื่องก็จะยิ่งยุ่งยากขึ้น และถ้าเกิดหมอปีศาจไม่สวมออกมาอย่างเปิดเผย ก็จะยิ่งไม่มีเบาะแส
เรื่องตามหาแหวนหยกกลับไป เขารู้สึกว่าไม่ค่อยมีแววเป็นไปได้เลย
“เป็นฝีมือของหมอปีศาจแน่ๆ แต่จะทำยังไง” พวกเขาสืบหาแหวนหยกจากหลายทางมาตลอด ต่อมาก็มีแบบร่างของแหวนหยกวงนี้ปรากฏขึ้น แล้วก็มีคนซื้อแบบร่างไปทำ ขณะที่พวกเขาเตรียมจะไปเอามาให้ได้ กลับถูกหลิ่วเฟยอวิ๋นตัดหน้าแล้ว
การที่พวกเขามาตามหาหลิ่วเฟยอวิ๋นนั้น ข้อแรกเพื่อดูว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับหมอปีศาจหรือไม่ ข้อสองคือต้องการข้อมูลติดต่อกับคนออกแบบจากหลิ่วเฟยอวิ๋น เขามั่นใจว่าคนคนนั้นจะต้องเป็นหมอปีศาจ
ถ้าหาตัวเจอก็เท่ากับเจอหมอปีศาจ
“แต่เราจะอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรไม่ได้นะครับ” บอดี้การ์ดร้อนใจ ดูแล้วเขาน่าจะเป็นบอดี้การ์ดฝีมือดีที่สุดที่ซีเหมินหลงเซี่ยวไว้วางใจ จึงพูดคุยกับเขาอย่างสนิมสนมเช่นนี้
ซีเหมินหลงเซี่ยวยิ้มอย่างเย็นชา แววอำมหิตวาบขึ้นในดวงตา “ไม่อยู่แล้ว หมอปีศาจเป็นผู้หญิง สามคนที่สวมแหวนนั่นน่าสงสัยทุกคน ส่งคนไปตรวจสอบให้ชัดเจน โดยเฉพาะคนที่ผิวคล้ำนั่น”
ตอนที่เขายืนกรานขอซื้อแหวนของหลิ่วเฟยซวง แววตาเธอดูผิดปกติอย่างชัดเจน พูดอีกอย่างคือ ฝ่ายนั้นดูเหมือนจะจำเขาได้ หรือไม่ก็รู้ว่าจุดประสงค์ของเขาคือแหวนหยก
ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากว่าเธอจะเป็นหมอปีศาจ อีกอย่าง กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวเธอยังต่างจากผู้หญิงทั่วไป สงบนิ่งเกินไปจนยากที่จะมองข้ามได้
“ครับ นายน้อย ผมจะสั่งให้ลูกน้องตรวจสอบข้อมูลผู้หญิงสามคนนั้นอย่างละเอียด” ในเมื่อหลิ่วเฟยซวงเป็นรองประธานของร้านหยกนั้น ถ้าอย่างนั้นก็แค่ตรวจสอบเบาะแสจากทางเธอก่อน เดี๋ยวก็รู้ฐานะของอีกสองคน
ต้องหาวิธีตามหาแหวนหยกคืนมาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นหมอปีศาจหรือหมอเทวดา สมบัติของประเทศซีกั๋ว จะให้ตกไปอยู่ในมือคนอื่นไม่ได้เด็ดขาด
“อ๊ะ!” ทันใดนั้นสายตาคมกริบของซีเหมินหลงเซี่ยวก็จ้องออกไปนอกหน้าต่างรถ
คนอื่นๆ ในรถเตรียมพร้อมทันที ป้องกันเขาอย่างเต็มที่
“นายน้อย เกิดอะไรขึ้นครับ”
“ไม่มีอะไร ไปเถอะ ไหนๆ วันนี้ก็ออกมาแล้ว พรรคพวกในเมืองเอฟต้องรู้ข่าวแน่นอน งั้นคืนนี้ก็ไปเยี่ยมพวกเขาหน่อย บัตรเชิญที่ให้ส่ง ส่งไปหรือยัง”
อาเซิงพยักหน้า “ส่งไปหมดแล้วครับ ผมไปส่งเองถึงบริษัทเลย”
“งั้นก็ดีแล้ว” ขณะที่ซีเหมินหลงเซี่ยวพูด สายตายังคงจ้องไปยังทิศทางหนึ่ง ประสาทสัมผัสอันเฉียบคมทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกใครบางคนเฝ้ามองอยู่ แต่เดี๋ยวเดียวก็หายไป และตอนนี้ก็มาอีก
แต่ข้างนอกมีผู้คนและรถราพลุกพล่าน ถ้ามีคนจงใจมองมาทางนี้ ลูกน้องเขาจะต้องรู้แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเขาตาฝาด ก็น่าจะเป็นยอดฝีมือ
‘ประสาทรับรู้ของหมอนี่ไวมาก เสียดายที่ฉันเป็นร้านค้าอัจฉริยะขั้นสูง อยากมองเห็นฉันเหรอ เว้นแต่นายจะเปลี่ยนไปมีดวงตาอิเล็กทรอนิกส์ที่ตรวจจับได้ แต่โลกนี้ดูเหมือนจะยังไม่มีเครื่องมือที่สแกนฉันได้เลย ฮ่าๆๆ’
ลูกบอลเงินพึมพำกับตัวเอง ทันใดนั้นมันก็พุ่งโฉบออกไปเป็นแนวโค้งสวยด้วยความเร็วสูงกว่ารถยนต์ที่แล่นอยู่ มุ่งตรงไปหาอีลั่วเสวี่ย
ตอนนี้ อีลั่วเสวี่ย หลิ่วเฟยซวง และเหอเย่ว์ซื้อของเต็มรถเข็นสามคันออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต มีทั้งขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มชนิดต่างๆ และของสด กำลังให้พนักงานเข็นมาส่งที่รถพอดี
อีลั่วเสวี่ยเห็นลูกบอลเงินจึงแกล้งทำเป็นยุ่งอยู่กับมือถือ เดินเลี่ยงไปข้างๆ
‘ว่าไง หมอนั่นเป็นใคร’
‘เป็นอย่างที่คุณคาดไว้จริงๆ พวกนั้นมาเพราะแหวนหยก ผมสงสัยว่าก่อนหน้านี้พวกที่ถูกคุณจัดการก็น่าจะเป็นคนของซีเหมินหลงเซี่ยว แม่คุณ จะทำยังไงดี เขาบอกว่าจะตรวจสอบพวกคุณสามคน ต้องให้ผมจัดการไหม’
ตอนที่ 265 เว้นแต่เขาจะไม่กลัว
การเจาะเข้าไปในระบบไม่ใช่เรื่องที่นับเวลาเป็นนาที วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของโลกนี้จะเอามาเทียบได้อย่างไร อย่างมากก็เป็นได้แค่เทคโนโลยีดึกดำบรรพ์สำหรับพวกมันเท่านั้น แสนจะอ่อนแอ โจมตีแค่เสี้ยวนาทีก็ไม่เหลือซากแล้ว
‘อย่าดีกว่า นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าต้องใช้ความสามารถของตัวเองให้น้อยหน่อย ไม่อย่างนั้นอาจส่งผลต่อกฎหมายระหว่างดาว’ อีลั่วเสวี่ยรู้สึกอุ่นใจ เจ้าลูกบอลเงินนี่ ถึงจะชอบพูดจาอวดดีไม่เกรงใจ บางครั้งยังชอบพูดจาดับฝันคนอื่น แต่ความจริงพอเกิดเรื่องอะไรกับเธอ มันก็ยังเป็นคนแรกที่คิดหาทางช่วยเธอ
ลูกบอลเงินกะพริบตา ‘ผมหมายถึงว่าถ้าออกตัวมากไปอาจถูกตรวจพบได้หรอก ขอแค่ไม่ถูกตรวจพบเท่านั้น หรือคุณไม่เชื่อฝีมือผม’ จากปลาหลุดแห[1]เปลี่ยนไปเป็นร้านค้าตลาดมืดได้นานขนาดนี้ มันเชื่อมั่นในไพ่ตายในมือตัวเอง
‘ไม่ใช่ไม่เชื่อฝีมือนาย แต่ถ้านายสร้างความเปลี่ยนแปลงจนเป็นที่สะดุดตามากเกินไป จะทำให้พวกนั้นสงสัยได้ ปล่อยให้พวกเขาตรวจสอบไปเถอะ’ หลิ่วเฟยซวงกับเหอเย่ว์ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ส่วนตัวเธอก็ไม่เคยวางตัวโดดเด่น จะมีอะไรให้ตรวจสอบกัน
ต่อให้ตรวจเจอ เขาก็ต้องพิสูจน์ความถูกต้อง เธอย่อมมีวีธีรับมืออยู่แล้ว ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับรถเธอ สำหรับคนอย่างพญายมแห่งเมืองเอฟแล้ว เธอก็นับเป็นชาวเมือง ย่อมได้รับการปกป้องจากเขา เขาไม่มีทางเผยข้อมูลออกไปง่ายๆ หรอก
อีกอย่าง ถึงแม้ว่าตอนที่ขับเข้าออกโรงประมูลใต้ดิน ป้ายทะเบียนรถอาจถูกถ่ายเอาไว้ แต่ก่อนหน้านี้ตอนออกจากที่นั่น เธอก็ให้ลูกบอลเงินไปจัดการแล้ว ย่อมไม่มีทางตรวจสอบทะเบียนรถได้
ส่วนคนที่เคยเห็นทะเบียนรถเธอหลังจากนั้น ก็ตายในอุบัติเหตุรถยนต์กันหมด ไม่จำเป็นต้องกังวล คนพวกนั้นมัวแต่ไล่ตามเธอ ไม่มีเวลามาถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานแน่
ต้องยอมรับสิ่งที่อีลั่วเสวี่ยวิเคราะห์นี้มีเหตุผลมาก เพราะไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้ตรวจพบได้เลย ผ่านมานานขนาดนี้ พวกซีเหมินหลงเซี่ยวก็ยังตรวจไม่พบเบาะแสที่สำคัญ
‘คุณพูดมีเหตุผล แต่ว่าหมอนั่นไม่ได้สงสัยคุณ กลับสงสัยเหอเย่ว์ เขาเห็นว่าเธอสงบนิ่งเกินไป คุณว่าเราควรเตือนเธอให้ระวังหน่อยไหม’
เธอให้ความสำคัญกับเพื่อนคนนี้ ในฐานะเพื่อน นี่เป็นความรับผิดชอบที่ต้องเตือนและปกป้องอีกฝ่าย
อีลั่วเสวี่ยยกมุมปาก ‘ไม่ต้อง เหอเย่ว์ไม่ใช่คนโง่’ ตั้งแต่เหอเย่ว์เตือนเธอให้ระวังซีเหมินหลงเซี่ยว ก็รู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับเขาแล้ว ไม่มีทางที่เหอเย่ว์จะคิดไม่ได้
อีกอย่างต่อให้เขาตรวจสอบเหอเย่ว์แล้วจะทำอะไรได้ เธอมีสถานะเป็นคนของกองทัพภาคสิบสอง ถึงซีเหมินหลงเซี่ยวจะฝีมือเก่งกาจ ก็ต้องเกรงคนของที่นั่น อีลั่วเสวี่ยไม่เชื่อว่าเขาจะไม่กลัว เพราะถึงอย่างไรเขายังมีประเทศของเขาทั้งประเทศพ่วงอยู่ข้างหลัง
แม้การนิ่งเฉยแบบนี้จะดูเหมือนปล่อยให้เหอเย่ว์เป็นแพะรับบาปที่ถูกสงสัย แต่วันนั้นเหอเย่ว์ไม่ได้ไปโรงประมูลใต้ดิน คาดว่าซีเหมินหลงเซี่ยวก็ตรวจสอบอะไรไม่ได้อยู่ดี และถ้าเขาตรวจสอบเหอเย่ว์มากเกินไป ก็เกรงว่าจะไปเป็นศัตรูกับอิทธิพลที่เขาไม่อยากล่วงเกินด้วย
ไม่ว่าอย่างไรกองทัพภาคสิบสองก็อยู่ในสถานะพิเศษ คนที่สามารถเข้าไปที่นั่นย่อมได้รับการคุ้มครอง ไม่ใช่จะข่มเหงรังแกได้ง่ายๆ
อีลั่วเสวี่ยเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของเหอเย่ว์ พลางเอ่ยขอโทษในใจ ถึงมันจะไม่ดีที่ปล่อยให้เหอเย่ว์ตกเป็นเป้าสนใจของซีเหมินหลงเซี่ยวในตอนนี้ และทำให้เพื่อนต้องถูกสงสัย แต่เธอจะไม่ปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับเหอเย่ว์แน่นอน
“ลั่วเสวี่ย เสร็จหรือยัง ขนของใส่รถเรียบร้อยแล้วนะ เราไปกันเถอะ” เหอเย่ว์ปิดกระโปรงท้ายรถ แล้วร้องเรียกอีลั่วเสวี่ย
“มาแล้ว” อีลั่วเสวี่ยยิ้มร่า ทั้งสามคนนั่งรถออกไป ขับไปที่บ้านของหลิ่วเฟยซวง
เพิ่งนั่งรถไม่นานมือถืออีลั่วเสวี่ยก็ดังขึ้น เฉวียนหมิงโทร.มา
“อาเสวี่ย” เธอเพิ่งพูดฮัลโหล เสียงเปี่ยมเสน่ห์ของเฉวียนหมิงก็ดังมาจากปลายสาย ราวกับกระซิบอยู่ข้างหู
เหอเย่ว์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ หูผึ่งทันที แต่ไม่กล้าชะโงกหน้ามา
“มีอะไรคะ ตอนนี้ฉันกำลังไปบ้านเฟยเฟยค่ะ” อีลั่วเสวี่ยยกมุมปากเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
[1] ปลาหลุดแห เป็นสำนวน หมายถึง นักโทษหรือผู้กระทำผิดที่หลบหนีไปได้
ตอนที่ 266 นายน้อยเฉวียน สบายดีนะครับ
“อืม…งานเลี้ยงเหรอ ฉันไม่ไปดีกว่าค่ะ อีกอย่างฉันไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร” งานเลี้ยงเหรอ ฉันไม่ชอบเรื่องแบบนี้ที่สุด
ถ้าไปงานเลี้ยงกับเฉวียนหมิง ดีไม่ดีอาจเจอคนพวกนั้นคอยจ้องก่อกวนอีก ไม่สนุกสักนิด
สู้อยู่กับหลิ่วเฟยซวงและเหอเย่ว์ไม่ได้ วางตัวได้ตามสบาย อีกอย่างเธอรับปากหลิ่วเฟยซวงแล้ว ขืนเบี้ยวอีก ก็คงผิดต่อความเป็นเพื่อน
“อืมๆ งั้นก็ตามนั้นค่ะ คุณไปทำธุระเถอะ แค่นี้นะคะ” อีลั่วเสวี่ยวางสาย พอเหลือบตาขึ้นก็เห็นหลิ่วเฟยซวงกำลังมองมาที่เธอผ่านกระจกมองหลังตาแป๋ว แววตาส่อนัยล้ำลึก
มุมปากอีลั่วเสวี่ยกระตุก “อย่ามองฉันอย่างนี้สิ ฉันขึ้นรถโจรของเธอแล้ว จะหนีไปไหนพ้น”
“รถโจร? ฟังสิเสี่ยวเย่ว์ เสวียเสวี่ยบอกว่ารถฉันเป็นรถโจร ฉันเสียใจนะ”
เหอเย่ว์ยกมือขึ้นกุมหน้าผาก “สองคนนี้เลิกแสดงละครชิงรักหักสวาทในวังหลวงได้ไหม ฉันเห็นแล้วปวดหัว!” เฟยเฟยนี่ก็เหลือเกิน อยู่ดีๆ จะแย่งคนกับเฉวียนหมิง สนุกนักหรือไง
“ดูยังไงถึงบอกว่าเป็นละครชิงรักหักสวาทในวังหลวง” อีลั่วเสวี่ยแปลกใจ
เหอเย่ว์ย้อน “เดาสิ”
สามคนพูดคุยหัวเราะกันไประหว่างนั่งรถไปที่บ้านของหลิ่วเฟยซวง
ทางด้านเฉวียนหมิง
“นายน้อย นายหญิงว่ายังไงบ้างครับ จะมาไหม” เหล่าเกามองเฉวียนหมิง คล้ายจะเดาได้ ดูเหมือนนายหญิงจะไม่ค่อยชอบงานประเภทนี้ แต่ถึงไม่มาก็ไม่เป็นไร วันนี้ไม่จำเป็นต้องพาสุภาพสตรีไปด้วย
เฉวียนหมิงพยักหน้า “เธอไม่ชอบ ไม่มาก็ดีเหมือนกัน” สำหรับเธอ เรื่องที่ทำแล้วไม่สบายใจ ก็ไม่ต้องทำ
งานเลี้ยงและการพบปะสังสรรค์ในวงสังคมชั้นสูง เขาเองก็รู้สึกว่าน่าเบื่อ แต่ด้วยฐานะของเขา จะไม่ไปก็ไม่ได้
“ถ้างั้นเราเข้าไปรอข้างในดีไหมครับ นายน้อย” ยืนเป็นเป้าสายตาอยู่ข้างนอกไม่ค่อยดีเท่าใดนัก
เฉวียนหมิงไม่พูดอะไร แต่ก้าวเข้าไป เดินไปไม่กี่ก้าวก็มีเสียงดังขึ้นข้างๆ
“ผมคิดว่าตาฝาดซะอีก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณ บังเอิญจริงๆ”
ดวงตาเฉวียนหมิงเป็นประกายวาบทันทีที่ได้ยินเสียง จึงหันไป
“ผมก็คิดไม่ถึงว่าจะได้พบคุณที่นี่ นายน้อยซีเหมิน” คนที่มาไม่ใช่ใคร เป็นคนที่เพิ่งเจอกับพวกอีลั่วเสวี่ยเมื่อครู่ ซีเหมินหลงเซี่ยว
ซีเหมินหลงเซี่ยวยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก สายตาจับจ้องเฉวียนหมิง โดยเฉพาะที่ขาสองข้างของเขา
ถ้าจำไม่ผิด หลังจากอุบัติเหตุเมื่อห้าปีก่อน เขาก็ยืนไม่ได้แล้วไม่ใช่เหรอ
จากข้อมูลที่ได้มา เขานั่งเก้าอี้รถเข็นหลายปีแล้ว ทำไมตอนนี้ดูแล้วไม่ต่างจากคนปกติ หรือข้อมูลที่ได้จะผิดพลาด
เป็นไปได้ไหมว่าข้อมูลล่าสุดจะบอกว่าเขาแกล้งทำ นี่มันไม่มีเค้าเลย
“คำพูดนี้ ผมพูดน่าจะเป็นฝ่ายพูดมากกว่า นายน้อยเฉวียน สบายดีนะครับ”
เฉวียนหมิงยกมุมปาก “ก็ดีครับ นายน้อยซีเหมิน”
“เราอย่ายืนที่นี่เลย ไม่เจอกันนาน ดื่มด้วยกันสักแก้วไหมครับ”
เฉวียนหมิงพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เชิญครับ นายน้อยซีเหมิน”
“นายน้อยเฉวียน เกรงใจไปแล้ว” ทั้งสองพูดคุยกันเรียบๆ เหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ความจริงฟาดฟันกันทางคำพูดมาสักครู่แล้ว
ต่างฝ่ายต่างเหลือบมองกันเงียบๆ แล้วเดินเข้าไปในงานด้วยกัน
การปรากฏตัวของทั้งคู่ดึงดูดความสนใจของทุกคน คนหนึ่งหล่อเหลาสูงศักดิ์ อีกคนเย็นชา ราวกับราชามาปรากฏตัว มองผู้คนอย่างดูแคลน
“คุณพระช่วย นั่นเฉวียนหมิงเหรอ ผมไม่ได้ตาฝาดนะ? ขาเขาไม่มีปัญหา!”
ตอนที่ 267 รู้แต่แรกแล้วว่าเป็นเขา
ที่แท้ข่าวลือก็เป็นความจริง ขาสองข้างของเฉวียนหมิงรักษาหายดีจนเป็นปกติ เมื่อก่อนตอนนั่งเก้าอี้รถเข็นก็หล่อมากแล้ว เวลานี้ยิ่งหล่อเข้าไปอีก ทำให้ผู้คนแทบหายใจไม่ออก
“เดี๋ยวก่อน หนุ่มหล่อข้างๆ เขาเป็นใคร เหมือนจะไม่เคยเห็นนะ” บรรดาสาวๆ ในงานทยอยเบนสายตามาทางนี้ แม้แต่ผู้หญิงที่มีครอบครัวแล้วก็ยังมองสองหนุ่มด้วยแววตาเคลิบเคลิ้ม
“ใช่แล้ว เขาน่าจะเป็นใครสักคนจากบริษัทนอกเมืองเอฟ ว้าว หล่อชะมัด สง่างามอย่างกับเจ้าชายแน่ะ” ดูเหมือนเธอจะเคยเห็นหน้าหล่อๆ แบบนี้ที่ไหนมาก่อน แต่คิดแทบตายก็คิดไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน แต่เธอแน่ใจว่าเคยเห็นเขามาก่อนแน่ๆ แต่เป็นที่ไหนล่ะ
เฉวียนหมิงยืนห่างออกไป มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง มืออีกข้างถือมือถือ ท่าทางเกียจคร้านแฝงด้วยความพึงพอใจ สายตาไม่ได้จับจ้องใครในงาน แต่กลิ่นอายเย่อหยิ่งในตัวเขาไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย ขนาดซีเหมินหลงเซี่ยวซึ่งเดินอยู่ข้างๆ ยังถูกเขากลบรัศมีไปด้วย
เจ้าชายย่อมมีความสูงศักดิ์ แต่เมื่อเผชิญกับคนที่มีรัศมีเหนือกว่า ย่อมถูกบดบัง
“หล่อจัง ฉันแทบจะขาดใจแล้ว ฉันตัดสินใจแล้ว จะตามจีบเฉวียนหมิง!” ในงานมีหญิงสาวที่จ้องเขาอย่างไม่กลัวเกรง
ก่อนหน้านี้ลือกันว่าเขาขาพิการสองข้าง ไร้สมรรถภาพทางเพศ แถมยังอายุสั้น ทุกคนจึงคอยเลี่ยงเขาอยู่ห่างๆ ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาคงรักษาตัวจนหายดี ถ้าได้เป็นนายหญิงน้อยแห่งเฉวียนกรุ๊ปละก็ สถานะนั้นคงมีอิทธิพลไม่เบา
ยิ่งกว่านั้น เฉวียนหมิงที่สามารถลุกขึ้นยืนได้แบบนี้ยิ่งหล่อกว่าตอนนั่งเก้าอี้รถเข็นเสียอีก ทำเอาบรรดาสาวโสดถึงกับจ้องเขาไม่วางตา
“ตามจีบ? คนอย่างเฉวียนหมิงขึ้นชื่อว่าไม่ยุ่งกับผู้หญิง ได้ยินว่าเขารอผู้หญิงคนหนึ่งมาตลอด เธอไม่มีโอกาสหรอก”
หญิงสาวคนหนึ่งแม้จะมองเฉวียนหมิงด้วยสายตาร้อนแรง แต่ก็พยายามข่มใจตัวเอง ซ้ำยังเตือนคนอื่นที่มีความคิดแบบนี้ด้วย เธอก็คือฟังฟังนั่นเอง
“ไม่มีโอกาส เธอว่าใครไม่มีโอกาสเหรอ” อ้ายเวยเวยยกชายกระโปรงที่ยาวลากพื้นเดินมาแต่ไกล ดูเหมือนเพิ่งไปห้องน้ำมา
ฟังฟังยกมุมปาก ชูแก้วไวน์ไปทางเฉวียนหมิง อ้ายเวยเวยมองตามสายตาเธอไป แล้วก็ชะงักเท้าทันที
หล่อ…หล่อจัง พอสองคนนี้ปรากฏตัว ก็ดึงดูดสายตาทุกคู่ในงาน
เขาคือเฉวียนหมิง แล้วอีกคนล่ะ จริงสิ เขาดูเหมือน…อ้ายเวยเวยเบิกตากว้างยิ่งขึ้น ยกมือขึ้นปิดปากโดยไม่รู้ตัว
หรือเขาจะเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงนี้ บุคคลลึกลับคือเขานี่เอง
ซีเหมินหลงเซี่ยวเดินมาช้าๆ ท่ามกลางสายตาทุกคู่ สุดท้ายก็ขึ้นมาบนเวทีกลางงานมา ยืนอยู่หน้าไมโครโฟน
“ขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานเลี้ยงที่ผมจัดขึ้น ผมยินดีมาก คืนนี้ขอให้ทุกท่านสนุกกันให้เต็มที่ ผมขอเป็นตัวแทนไหลย่ากรุ๊ป ขอบคุณทุกท่านที่สนับสนุน ขอบคุณครับ!”
เหล่าเกายืนอยู่ข้างๆ เฉวียนหมิง เขาเหลือบมองซีเหมินหลงเซี่ยว “นายน้อย คุณรู้แต่แรกแล้วว่าบุคคลลึกลับคนนี้ก็คือเขาใช่ไหมครับ”
คนที่แจกการ์ดเชิญผู้นำกลุ่มธุรกิจใหญ่ๆ มาที่นี่ได้ ต้องมีฝีมือแน่นอน อย่างน้อยก็ต้องสามารถเช่าสถานที่จัดเลี้ยงนี้ได้ จึงจะมีคุณสมบัติที่จะส่งบัตรเชิญได้
เฉวียนหมิงเลิกคิ้ว “นอกจากเขาแล้ว ช่วงนี้ในเมืองเอฟก็มีไม่กี่คนที่จะส่งบัตรเชิญ” ถ้าไม่มีการค้าใหญ่ที่ต้องเจรจากัน ไม่มีใครจัดงานเลี้ยงแบบนี้หรอก
จากข้อมูลที่เขาได้มา ซีเหมินหลงเซี่ยวมาถึงที่นี่แล้ว ในเมื่อมาแล้วก็ต้องหาเหตุผลที่เหมาะสมมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน จึงไม่แปลกที่เขาจะเป็นคนจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น