ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง 241-256

 ตอนที่ 241 เป็นลูกหลานมังกรอย่างแท้จริง 


 


 


 


 


 


หลี่เต๋อจิ่งตอบรับแล้วนำเฉินยางไปก่อน 


 


 


เมื่อไม่ต้องเป็นกังวล เฝิงเยี่ยไป๋ก็ค่อยๆ สงบใจลง เขาก้าวตามฮ่องเต้ค่อยๆ เดินไปข้างหน้า 


 


 


ฮ่องเต้พระหัตถ์ไพล่หลัง ด้านหลังพระองค์นั้นมีคนกลุ่มใหญ่ตามเสด็จ ความยิ่งใหญ่นี้ ใต้ฟ้าคงมีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นถึงจะมีได้ เฝิงเยี่ยไป๋แค่นเสียงหึในใจเบาๆ ไม่แสดงสีหน้าใดๆ รอให้ฮ่องเต้เอ่ยปาก 


 


 


“เราจำได้ว่า ตอนยังเด็ก ในสำนักศึกษาก็มีแต่เจ้าที่ฉลาด ไม่ใช่เพียงฉลาด แถมยังใจกล้าอีกด้วย ตอนนั้นเรายังไม่ได้เป็นรัชทายาท รัชทายาทในตอนนั้นเป็นพี่ชายแท้ๆ ของข้า เพราะความโอหังจึงถูกเจ้าสั่งสอนไปรอบหนึ่ง แต่พระบิดานอกจากจะไม่ลงโทษเจ้า แถมยังชมเจ้าอีก ตอนนั้นทำเอาพี่ชายข้าแค้นจัดจนพูดออกมาว่าจะฆ่าเจ้าอยู่เลย เพียงแต่น่าเสียดายนักที่เขากลับด่วนจากไปเสียก่อน รัชทายาทที่น่าอายเช่นนี้ นับว่าเขาเป็นคนแรกของต้าเยี่ยเรา”  


 


 


ไม่รู้นึกอย่างไรฮ่องเต้ถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมา เฝิงเยี่ยไป๋ฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาผ่อนคลาย กลับไม่เหมือนมีความหมายอะไรแฝงอยู่ในคำพูด จึงพูดตามน้ำต่อว่า “ตอนนั้นกระหม่อมไม่รู้ระเบียบ จึงได้มีเรื่องกับรัชทายาท โชคดีที่ฮ่องเต้องค์ก่อนพระทัยกว้างขวางมิได้ลงโทษ ไม่เช่นนั้น กระหม่อมคงเป็นเพียงเถ้ากระดูกไปแล้ว”  


 


 


ฮ่องเต้มองเขาแล้วหัวเราะเบาๆ “ตั้งแต่เด็กพระบิดาก็ชอบเจ้า ชมว่าเจ้าฉลาด บอกว่าเจ้ามีความสามารถ อนาคตจะต้องเป็นเสาหลักของแคว้น แถมยังบอกอีกว่าหากเจ้าเป็นรัชทายาท จะต้องยิ่งใหญ่กว่ารัชทายาทที่ดีเพียงเปลือกอย่างพวกเราแน่นอน กอปรกับเมื่อไทเฮาเข้ามาในวังตอนหลัง ความรักของพระบิดาที่มีต่อเจ้าก็มีแต่จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นมิได้ลดลงเลย แต่ตอนหลังใต้เท้าเฝิงลาราชการกลับวัง หลังจากที่พวกเจ้าพ่อลูกออกจากเมืองหลวง พระบิดาก็ยังรู้สึกเสียดายไปพักใหญ่ทีเดียว”  


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ฟังแล้วหัวเรื่องไม่ใช่ ในใจก็ตึงเครียดขึ้นมา ฮ่องเต้ตรัสจบก็หยุดเล็กน้อย แล้วถอนพระปัสสาสะตรัสอีกว่า “ตอนหลังพระบิดาได้ทิ้งราชโองการไว้ฉบับหนึ่ง คาดว่าคงรังเกียจที่เรานี้ใช้ไม่ได้ กลัวแผ่นดินต้าเยี่ยจะพังทลายอยู่ในมือเรา จึงได้เขียนราชโองการฉบับหนึ่งให้กับไทเฮา เพื่อจะให้มีคนมาสืบบัลลังก์ฮ่องเต้แทนเราได้ในทันที ข่าวลือที่ว่าเจ้าก็รู้ ล้วนบอกว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ที่แต่งตั้งในราชโองการเป็นเจ้า เราก็รู้สึกว่าเป็นเจ้า ตอนพระบิดายังมีพระชนม์ชีพอยู่ก็ให้ความสำคัญเจ้ามาก ตอนหลังพระองค์รู้สึกผิดต่อไทเฮามากมาย ตำแหน่งฮ่องเต้นี้ จึงมีโอกาสที่จะเป็นเจ้ามากที่สุด”  


 


 


พูดไปพูดมา สุดท้ายก็ไม่พ้นเรื่องราชโองการ เพียงแต่เขาก็ได้ราชโองการไปแล้ว ข้างในเขียนอะไรไว้พระองค์รู้ดีที่สุด ไฉนตอนนี้ถึงมาถามเขาอีก ล่อลวงคำพูดจากเขามิสู้ไปถามไทเฮา คนที่ได้จับราชโองการก็มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น ไฉนถึงมาถามเขาได้ 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋เหม่อเล็กน้อย ถอยหลังมาก้าวหนึ่งพูดว่า “ฝ่าบาทเป็นพระโอรสของฮ่องเต้องค์ก่อนและฮองเฮา เป็นลูกหลานมังกรที่แท้จริง ในพระวรกายมีพระโลหิตของราชวงศ์ไหลอยู่ ใต้ฟ้านี้เป็นใต้ฟ้าของตระกูลอวี่เหวิน ฮ่องเต้องค์ก่อนจะมอบแผ่นดินให้กับคนนอกได้อย่างไร” 


 


 


นี่คือเปลี่ยนวิธีลวงคำพูดจากเขา คงเป็นเพราะราชโองการมีปัญหาแน่ๆ ไม่เช่นนั้นเขาเพียงทำลายราชโองการ ก็คงไม่มีเรื่องอะไรและไม่ต้องมาถามเขาแล้วไม่ใช่หรือ คาดเดาคือคาดเดา จะใช่หรือไม่เขายังต้องลวงคำพูดจากฮ่องเต้กลับ วางแผนทำร้ายคนหรือ เจ้าวางแผนใส่ข้าข้าวางแผนใส่เจ้า ในเมื่อจะสู้กันบนเวที เช่นนั้นแล้วก็ต้องใส่ให้เต็มที่ จะให้คนอื่นจูงจมูกเดินไม่ได้ 


 


 


คำพูดของเฝิงเยี่ยไป๋ตอบกลับได้อย่างไม่มีที่ติ แม้แต่น้ำเสียงก็เรียบนิ่ง ดูอะไรไม่ออกเลย ฮ่องเต้ก็รู้สึกฉงนใจ ว่าแล้วว่าเฝิงเยี่ยไป๋มิใช่คนที่ต่อกรด้วยได้ง่ายนัก แม้แต่สีหน้าก็ซ่อนอย่างมิดชิด ทำให้หาจุดอ่อนไม่ได้เลย พระองค์เสด็จพระราชดำเนินช้าลง กดเสียงต่ำตรัสถามเขาว่า “เจ้าคิดเช่นนั้นจริงหรือ” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 242 ท่านอ๋องใจแข็งปฏิเสธ 


 


 


 


 


 


การแข่งวางแผนกับคนอื่น สิ่งสำคัญที่สุดคือความอดทน คนที่อดทนไม่ได้ก่อนก็จะเผยจุดอ่อน ฮ่องเต้มีนิสัยใจร้อน พอถามไปสองสามประโยคแล้วไม่ได้ความก็เริ่มจะร้อนรนขึ้นมา เฝิงเยี่ยไป๋กลับสงบนิ่ง พระองค์ถามมาเขาก็ตอบไป ก็เพียงแค่เอาใจไม่ใช่หรือ ก่อนหน้านั้นเขาคร้านจะสนใจฮ่องเต้ ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ในเมื่ออยู่ใต้ชายคาคนอื่ก็จำต้องก้มศีรษะให้ คล้อยตามพระองค์ไปก่อนแล้วกัน เพียงแต่น้ำเสียงของเฝิงเยี่ยไป๋ก็มิได้ต่ำต้อยแต่ก็ไม่หยิ่งยโส แม้จะโค้งตัวก็ต้องมีท่าทางที่มั่นใจแข็งกร้าว “ที่กระหม่อมทูลก็เป็นไปตามที่ใจกระหม่อมคิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ฮ่องเต้หยุดพูดไปนาน จากนั้นก็พยักพระพักตร์ ตรัสอ้อมค้อมว่า “อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง ความจริงแล้วเราก็ชื่นชมเจ้า เพียงไม่กี่ปีก็สามารถทำการค้าไปถึงนอกด่านได้ เราได้ยินว่าชนป่าเถื่อนนั่นล้วนแย่งซื้อผ้าของเจ้า ฉลองพระองค์ที่เราสวมอยู่ในงานชุมนุมใหญ่นั้นเป็นหน้าเป็นตาให้กับเราและต้าเยี่ยไม่น้อย เจ้ามีผลงาน ความสามารถก็มากกว่าเหล่าขุนนางแก่เฒ่าที่ถือว่าตัวอาวุโสกว่าแล้วดูถูกคนอื่น ดังนั้น เราจึงคิดว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ จะเชิญเจ้าเข้ามาร่วมหารือในราชสำนักด้วยกัน” 


 


 


ตอนแรกตำแหน่งนี้เป็นเพียงตำแหน่งลวง มีเพียงชื่อแต่ไร้อำนาจ ก็เพื่อจะควบคุมเขาได้ง่ายๆ ถึงได้คิดแผนนี้ออกมา ไฉนตอนนี้ถึงคิดจะให้เขามีอำนาจเข้าราชสำนักหารือราชกิจด้วยกันแล้ว พังพอนเยี่ยมไก่ตอนปีใหม่ต้องคิดไม่ดีแน่ๆ นี่ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลย 


 


 


อย่างไรเสียตนจะให้พระองค์จูงจมูกเดินไม่ได้ เฝิงเยี่ยไป๋นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง มิได้กล่าวขอบพระทัยกับพระองค์แต่กลับพูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่มีใจจะทำงานราชสำนัก ให้เป็นท่านอ๋องที่ไม่ยุ่งเรื่องใดๆ อยู่ในเมืองหลวงยังสบายกว่า อีกอย่าง กระหม่อมทำการค้ามาหลายปี เรื่องงานราชการก็ลืมจนหมดสิ้น กระหม่อมขี้เกียจนัก ฝ่าบาทให้กระหม่อมตื่นตีห้าทุกวันไปตำหนักเฉียนชิงฟังราชโองการคิดหาวิธีแก้ปัญหา กระหม่อมเกรงว่าจะไม่มีความสามารถ!” 


 


 


วันนี้อากาศร้อน แม้จะมีขันทีถือพระกลดสีเหลืองเดินตาม แต่ฮ่องเต้ก็ยังคงร้อนจนเหงื่อซึมหน้าผาก แดดที่ร้อนจัดส่องลงมา ทำเอาความอดทนของคนหมดไป รับสั่งของฮ่องเต้ที่ออกไปแล้วไม่มีเหตุผลที่จะเก็บคืนมาได้ พระองค์จึงสะบัดพระหัตถ์ด้วยความหงุดหงิด แล้วตกลงเรื่องนี้ไปเลย “เจ้ามีความสามารถเพียงใดไม่มีใครรู้ดีกว่าเราแล้ว ในเมื่อเราพูดเช่นนี้แล้ว เจ้าก็ต้องเข้าตำหนักมาแบ่งเบาภาระให้เรา ทุกอย่างล้วนทำเพื่อประชาชนที่อยู่ใต้หล้า ท่านอ๋องจะใจแข็งปฏิเสธได้หรือ” 


 


 


ว่าแล้วว่าฮ่องเต้ต้องวางแผนใส่เขาแน่ๆ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่รีบร้อนให้เขาเข้าราชสำนัก การไม่เข้าราชสำนักสำหรับเขาแล้วเป็นเพียงการกักบริเวณเท่านั้น ความผิดพลาดที่ให้ฮ่องเต้จับได้นั้นย่อมมีน้อยยิ่งนัก แต่พอเข้าราชสำนักแล้ว ทั้งคำพูดทั้งการกระทำ ไม่ว่าเรื่องใดก็สามารถเป็นเหตุให้คนอื่นนินทาได้ เช่นนั้นแล้วก็ยิ่งต้องระมัดระวัง 


 


 


ฮ่องเต้ช่างวางแผนมาดีเสียจริงๆ สามารถคิดวิธีนี้ได้ก็คงจะใช้ความคิดไม่น้อย อีกอย่าง ฟังความหมายในคำพูดของพระองค์แล้ว ไม่ได้มีช่องโหว่ให้ต่อรองได้เลย นอกจากตอบรับแล้วเขาก็ไม่สามารถทำอย่างอื่นได้อีก 


 


 


ฮ่องเต้ไม่รอเขาตอบรับก็โบกพระหัตถ์ เสด็จพระราชดำเนินต่อไปข้างหน้าอย่างยิ่งใหญ่แล้ว 


 


 


ต้องเป็นเพราะราชโองการเกิดปัญหาบางอย่างแน่ ได้ยินว่าราชโองการนี้ฮ่องเต้องค์ก่อนเขียนขึ้นตอนใกล้สิ้นพระชนม์ ในเมื่อเป็นช่วงเวลาใกล้สิ้นพระชนม์เช่นนั้นแล้วต้องมีความเร่งรีบอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าในราชโองการได้เขียนอะไรที่ทำให้ฮ่องเต้ทรงเป็นกังวล อาจไม่ใช่เป็นราชโองการที่แต่งตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่ รัชทายาทสืบทอดตำแหน่งเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล อย่างไรเสียฮ่องเต้องค์ก่อนก็ไม่อาจทำลายแผ่นดินที่ตัวเองสร้างขึ้นมาแน่ เช่นนั้นแล้วจะเป็นสิ่งใดได้อีก สิ่งที่ทำให้ฮ่องเต้ทรงกังวลได้ยังจะเป็นอะไรได้อีกหรือ 


 


 


ตั้งแต่อดีต ผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ เปลี่ยนฮ่องเต้องค์ใหม่ มักจะหลีกเลี่ยงการหลั่งเลือดไม่ได้ ต่อให้เป็นรัชทายาทสืบราชบัลลังก์ตามปกติ ในพระหัตถ์ย่อมเปื้อนเลือดพี่น้องตัวเองอยู่ไม่น้อย 


ตอนที่ 243 ความไม่ชอบมาพากลในราชโองการ


 


 


 


 


เรื่องแรกที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ก็คือกำจัดคนที่ไม่เป็นพวกเดียวกัน ฮ่องเต้องค์ก่อนมีสามตำหนักหกหมู่เรือนเจ็ดสิบสองพระสนม พี่น้องของฮ่องเต้ไม่มีสิบกว่าคนก็มียี่สิบคน องค์ชายคนอื่นไม่มีโอกาสนี้ แต่หากมีโอกาส ใครไม่อยากเป็นฮ่องเต้บ้าง ฮ่องเต้องค์ก่อนสิ้นพระชนม์แล้ว โอกาสก็มาถึง มีบางคนที่อาศัยนามกำจัดขุนนางกบฏส่งทหารเข้ามา และก็มีบ้างที่นำกองทัพต้องห้ามเข้าวังตรงๆ คนที่พอจะฉลาดเล็กน้อยก็รู้จักแอบแก้ไขราชโองการ บอกว่าฮ่องเต้องค์ก่อนมีราชโองการก่อนสิ้นพระชนม์ คนที่จะถูกแต่งตั้งเป็นฮ่องเต้ในราชโองการก่อนสิ้นพระชนม์นั้นไม่ใช่รัชทายาท เชื้อราชวงศ์ไม่มีความเคารพเช่นพี่น้อง มีเพียงรอเหยียบซ้ำเมื่อคนล้มเท่านั้น ฮ่องเต้ก็ใช่ว่าเป็นคนถูกจัดการง่ายๆ พระองค์เป็นโอรสแท้ๆ ของฮองเฮา น้าฝั่งพระมารดาเป็นแม่ทัพใหญ่ ส่วนน้าหลายคนก็ได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องนอกด่าน เก็บกวาดเหล่าพี่น้องนั้นไม่เปลืองแรงเลย แต่มีเพียงคนเดียวที่พระองค์ทำอะไรไม่ได้


 


 


น้องชายแท้ๆ ของพระองค์ ซู่อ๋องในวันนี้ พี่น้องแท้ๆ สู้รบกัน ล้วนเป็นญาติฝั่งมารดา ช่วยคนใดก็รู้สึกเจ็บปวด จึงไม่ช่วยเสียเลย ปล่อยให้พวกเขาแย่งชิงกันเอง ทั้งสองพี่น้องก็ไม่ใช่เป็นคนที่จะถูกจัดการได้ง่ายนัก อย่างไรเสียสำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ว่าใครเป็นฮ่องเต้ก็เหมือนกัน


 


 


ฮ่องเต้ไม่ใช่คนมีจิตเมตตา ตำแหน่งฮ่องเต้นั้นสำคัญยิ่งกว่าน้องชายตัวเอง ที่พระองค์เป็นกังวลคือเรื่องราชโองการ ซู่อ๋องนามเหยาจือ และเฝิงเยี่ยไป๋นามเหลียวอี้ ทั้งสองคนนี้ ตกลงคนใดถึงจะเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่หลวงที่สุดสำหรับพระองค์


 


 


กลับมาพูดถึงฝั่งเฉินยาง พั่งไห่รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ให้ส่งนางกลับจวน ระหว่างทางปากไม่เคยหยุด ถามตรงนี้นิดถามตรงนั้นหน่อย คนนี้เป็นคนฉลาด ย่อมไม่ถามตรงๆ ในทันที เขาคุยอ้อมๆ ไปก่อน แล้วค่อยล่อให้นางพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว นี่ถึงจะเป็นวิธีที่ฉลาดที่สุด


 


 


เพียงแต่เฉินยางไม่ยอมสนใจเขา ก่อนหน้านี้เขายังเตรียมส่งตัวเองไปอยู่ในพระหัตถ์ฮ่องเต้เป็นตัวประกันแล้วฆ่าอิ๋งโจว คนที่ใจดำที่สุดเช่นนี้ นางเห็นเพียงแวบเดียวก็รู้สึกรังเกียจแล้ว จะสนใจได้อย่างไร


 


 


พั่งไห่ยังคงไม่ย่อท้อ เขาเปลี่ยนคนใช้ที่ขับรถม้าแล้วขับด้วยตัวเอง ประตูรถม้าแง้มไว้ครึ่งหนึ่ง เขาคุยกับนางโดยมีม่านกั้นอยู่ “ตอนนี้ท่านได้ดิบได้ดีแล้ว เป็นพระชายาอย่างแท้จริง ชีวิตดีๆ หลังจากนี้ แม้แต่นับยังนับไม่ถ้วนเลย!”


 


 


นางไม่สนใจเขา ไม่เป็นไร เขาพูดของตัวเองก็พอ ไม่เชื่อว่านางจะฟังไม่เข้าหูบ้าง


 


 


“ท่านดูตอนนี้ดีเพียงไร ราชโองการคืนให้กับฝ่าบาท คุณชายเฝิงในอดีตตอนนี้ได้กลายเป็นท่านกู้หลุนอ๋อง ท่านก็กลายเป็นพระชายา แล้วรับเว่ยฟูจื่อมาเร็วๆ อีก ทั้งครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาที่เมืองหลวง ดีเสียนี่กระไร ข้าวของเงินทองใช้ไม่หมดสิ้น ชีวิตนี้ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าสวยงามเพียงใดแล้ว”


 


 


พั่งไห่ก็แกล้งโง่ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ คนฉลาดเช่นนี้จะดูไม่ออกว่าเฝิงเยี่ยไป๋ที่เป็นท่านอ๋องนี้คือดีหรือร้าย เฉินยางปิดประตูดังปัง ฟังเขาพูดเช่นนี้แล้ว เขาคงยังคิดว่านางเป็นเด็กโง่ในตอนนั้นอยู่ คนที่ติดตามอยู่ข้างกายฮ่องเต้จะมีสักกี่คนที่มีความคิดบริสุทธิ์ พั่งไห่นี้ไม่แน่ว่าอาจกำลังแอบวางแผนร้ายอะไรอยู่ก็เป็นได้


 


 


พั่งไห่ถูกปิดประตูใส่ สีหน้าก็เศร้าหมอง คนพอฉลาดแล้วก็หลอกไม่ง่ายเสียแล้ว เมื่อก่อนกล่อมง่ายนัก ใช้ของกินล่อเล็กน้อยก็พูดออกมาหมดแล้ว ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว พอคนหายดี นำพาความฉลาดมาด้วย ใช้วิธีกล่อมเช่นนั้นก็ไม่ได้แล้ว


 


 


หากรู้ว่าอิ๋งโจวมีความสามารถเช่นนี้ ตอนแรกรู้ว่าเว่ยเฉินยางจะไปรักษาโรคที่เขาต้าเหลียงตนก็ควรจะตามไปด้วยแล้วฆ่าอิ๋งโจวเสีย พ่อของเขาตายแล้ว ตอนแรกเขาก็ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ ใครจะนึกว่าตอนนี้จะสร้างปัญหาใหญ่หลวงเช่นนี้ คาดว่าฮ่องเต้ก็คงแค้นเขาจัด อย่างไรก็ต้องหาโอกาสฆ่าคนคนนี้เสีย


 


 


 


 


——


 


 


ตอนที่ 244 นางจะยึดเขาไว้คนเดียวไม่ได้


 


 


 


 


วังหลวงไม่ห่างจากจวนท่านอ๋องมากนัก รถม้าวิ่งไม่นานก็ถึงแล้ว พอมาถึงพั่งไห่จะประคองนางลงจากรถ แต่เฉินยางไม่ใช้เขา โดดลงจากรถม้าด้วยตัวเอง ที่นี่ไม่ได้อยู่ในวัง ไม่จำเป็นต้องทำตามระเบียบในวังเหล่านั้น นางก็ไม่ต้องขอบคุณพั่งไห่ตามมารยาทพิธี


 


 


ขันทีใหญ่ที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้เป็นฐานะที่มีหน้ามีตาเพียงใด แต่คนเขาไม่ต้อนรับ มาถึงจวน แม้แต่ประโยคเดียวก็ไม่พูด สะบัดมือแล้วก็เดินไปเลย ทิ้งให้พั่งไห่ยืนอยู่ที่นั่นคนเดียวอยู่นาน สุดท้ายก็ได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ เห็นนางทำแก้มป่องด้วยความโกรธเช่นนั้น ช่างน่าเอ็นดูเสียจริง


 


 


ผู้ดูแลออกมาต้อนรับเฉินยางพอดี เห็นนางทำแก้มป่องเดินเข้าไป จึงมองพั่งไห่อย่างมีเลศนัย ล้วนมาจากเจ้านายเดียวกัน พอได้พบเข้าจะให้ทำตัวห่างเหินก็ไม่ได้ พั่งไห่ถามไปตามปกติว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่”


 


 


ผู้ดูแลยกมือพยักหน้า “ดี…กงกงไปดีมาดี”


 


 


พูดว่าดี ก็คือไม่ได้เจออะไร คาดว่าเฝิงเยี่ยไป๋คงใกล้จะกลับมาแล้ว เขาจะอยู่ที่นี่ต่อก็ไม่ดี พอได้ความมา ก็หันหัวกลับไปแล้ว ในจวนท่านอ๋องนี้ล้วนเป็นคนของฮ่องเต้ ยังจะกลัวเฝิงเยี่ยไป๋แอบเล่นตุกติกอีกหรือ


 


 


หลังจากเฉินยางกลับมาก็คิดว่าควรจะไปเยี่ยมอิ๋งโจว ตั้งแต่ทั้งสองคนมาที่เมืองหลวงก็ยังไม่ได้เจอกันเลย และก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ดีหรือไม่ อย่างไรเสียเขาก็มาเมืองหลวงเพื่อนาง ถือว่าเป็นแขก ก็ไม่ควรปฏิบัติต่อแขกไม่ดี หลังจากถามสาวใช้ว่าอิ๋งโจวพักอยู่ที่เรือนใด นางก็ไปที่ห้องครัวเอาอาหารแล้วถึงได้เดินไป


 


 


อิ๋งโจวไม่ได้มีเพื่อนเก่าแก่ที่เมืองหลวงอีกแล้ว ถึงขั้นคนที่รู้จักก็ไม่มี บวกกับไม่มีเงินติดตัว ตั้งแต่มาถึง จึงไม่เคยได้ก้าวออกจากจวนท่านอ๋องเลย ตอนที่เฉินยางไปถึงนั้น เขากำลังมองดอกไม้ดอกหญ้าอย่างเหม่อลอย


 


 


“ท่านหมออิ๋งโจว” บนโต๊ะไม่มีที่วาง นางจึงได้แต่วางของกินไว้บนพื้นแล้วยื่นมือไปโบกตรงหน้าเขา “ท่านหมออิ๋งโจว ท่านดูอะไรอยู่หรือ”


 


 


อิ๋งโจวดึงสติกลับมา ครั้นเห็นว่าเป็นนางก็อึ้งเล็กน้อย แล้วเรียก “เฉิน…” จากนั้นก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ รีบลุกขึ้นแสดงความเคารพกับนาง “พระชายา”


 


 


เฉินยางรับคำว่าพระชายาที่เขาเรียกนี้ไม่ไหว นางลุกขึ้นยืน สีหน้าเศร้าหมองเล็กน้อย “ท่านหมออิ๋งโจวท่านทำอะไรกัน รีบลุกขึ้น ระหว่างพวกเรายังต้องมีมารยาทจอมปลอมเหล่านั้นเพื่ออะไร ท่านเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้า หากจะต้องคำนับ ก็ควรจะเป็นข้าที่คำนับท่านถึงจะถูก”


 


 


“พระชายากล่าวเกินไปแล้ว ฐานะของท่านไม่เหมือนเดิม มารยาทที่ควรจะต้องมีก็ต้องมี” ทั้งสองคนนั่งลง เขามีสีหน้าเคารพ ท่าทางนั้นกลับทำให้นางรู้สึกห่างเหินเสียแล้ว


 


 


เฉินยางถูมือ กลัวสถานการณ์จะแย่ลงจึงชี้ไปที่ ‘ดอกไม้ดอกหญ้า’ ที่กองอยู่บนโต๊ะแล้วถามเขาว่า “พวกนี้คืออะไรหรือ”


 


 


อิ๋งโจวพูดว่า “นี่ล้วนเป็นยา” เขาชี้ไปที่มุมกำแพง “ล้วนขุดจากที่นั่น คิดว่าตอนแรกมีคนเคยปลูกยาสมุนไพรอยู่ที่นี่ ตอนหลังขุดไปแล้ว แต่ยังเหลือเมล็ดไว้ให้งอกอยู่ที่นี่ ล้วนเป็นยาที่ใช้รักษาอาการอักเสบ ข้าคิดจะตากแห้งแล้วบดเป็นผง ระหว่างทางเอาไปขายก็จะแลกเป็นเงินได้”


 


 


เฉินยางได้ยินก็ตกใจ “ท่านจะไปแล้วหรือ จะกลับไปตอนนี้เลยหรือ”


 


 


อิ๋งโจวเก็บยาขึ้นมา “ที่บ้านไม่มีคนดูแลไม่ได้ หรู่ฉางไม่ใช่คนที่สามารถทำงานอย่างใจเย็นได้ ผู้ช่วยเด็กก็ยังเด็กอยู่ ให้พวกเขาสองคนดูแลกระท่อมยาข้าไม่ไว้ใจจริงๆ เหมือนจะมีคนไข้ก่อนหน้านี้บางคนที่ข้าคิดว่าป่วยหนักอยู่ ยาที่สั่งให้ก่อนหน้านี้ก็น่าจะกินหมดแล้ว ล้วนเป็นโรคที่ไม่อาจรอได้ ข้าต้องกลับไปเปิดกระท่อมยา”


 


 


เขามาที่เมืองหลวงเพื่อนางก็ได้ปล่อยวางหลายสิ่งหลายอย่างมามากแล้ว เขามีบ้านของตัวเอง มีเรื่องที่ตัวเองต้องทำ นางจะยึดเขาไว้คนเดียวไม่ได้ ไม่รู้ว่านางเกิดความรู้สึกพึ่งพิงเขาเสียตั้งแต่เมื่อไหร่ พอได้ยินว่าเขาจะไป ในใจก็เหมือนขาดอะไรบางอย่าง รู้สึกไม่สงบนัก



ตอนที่ 245 คนที่สนิทยิ่งกว่าสามีอีก 


 


 


 


 


 


คนอย่างอิ๋งโจวนี้ ก็ทำให้คนอื่นอยู่กับเขาได้อย่างไม่ระแวงจริงๆ ไม่รู้ว่าเพราะเขาเป็นหมอหรือไม่ เฉินยางอยู่ข้างๆ เขามักจะรู้สึกปลอดภัย รู้สึกปลอดภัยมากกว่าอยู่ข้างกายเฝิงเยี่ยไป๋เสียอีก อย่างไรเสียพวกเขาก็อยู่ด้วยกันมาสองเดือนแล้ว พอจู่ๆ เขาบอกจะไป ในใจเฉินยางก็รู้สึกว่างเปล่า แม้จะรู้ว่าไม่ใช่ไม่เจอกันอีก แต่ในใจก็รู้สึกเสียดายมากมาย 


 


 


เพียงแต่คนเขามีเรื่องที่ต้องทำ สำหรับนางเขาไม่ได้เป็นญาติกันทำถึงเช่นนี้ก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ตัวเองไม่มีเหตุผลที่จะขอให้เขาอยู่ต่ออีก เทียบกับนางแล้ว จี้หรู่ฉางและผู้ช่วยเด็กยิ่งต้องการอิ๋งโจวมากกว่า หากยังเอ่ยปากให้เขาอยู่ต่อก็จะเห็นแก่ตัวเกินไป นางนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ย้อนนึกถึงเมื่อครู่ที่เขาบอกจะบดยาเป็นผงแล้วแลกเป็นเงิน เขาช่วยตัวเองตั้งมากมายเช่นนี้ เรื่องเงินเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยนางก็ยังสามารถช่วยเขาได้อยู่ และก็ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่ระหว่างทางนี้เขาดูแลตัวเอง หากไม่ใช่เพื่อนาง เขาก็ไม่ถึงกับใช้เงินจนหมดถึงกับต้องขายยา ถึงจะกลับไปได้อย่างตอนนี้ 


 


 


“ในเมื่อท่านหมอจะไปแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่รั้งท่านไว้ ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ยังต้องขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือดูแล เรื่องเงินท่านก็ไม่ต้องเป็นห่วง ให้ข้าคิดหาวิธีให้” อิ๋งโจวเป็นคนซื่อตรง ก่อนหน้านี้ใช้เงินของนางซื้อม้าก็ยังจำจนถึงตอนนี้ว่าต้องคืนเงินให้นาง ให้เงินเขาตรงๆ คาดว่าเขาก็คงจะไม่เอา จึงพูดว่า “ก็ถือเสียว่าเป็นค่าตอบแทนที่ท่านช่วยดูแลข้าในช่วงนี้เถิด เงินนี้ให้สามีข้าเป็นคนให้ นี่เป็นสิ่งที่เขาควรจะให้ท่าน” 


 


 


อิ๋งโจวกำลังจะปฏิเสธ เฉินยางก็ลุกขึ้นแล้ว และวางอาหารที่นำมาไว้บนโต๊ะ ใช้น้ำเสียงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้เลย พรุ่งนี้ข้าจะเอาเงินมาส่งให้ท่าน” 


 


 


ตอนที่นางหันหลังจากไปนั้น ก็เริ่มสะอื้นขึ้นมา ไฉนถึงได้มีความรู้สึกเหมือนแยกกับญาติสนิทเช่นนี้ บอกไม่ถูกว่าความรู้สึกเสียใจนี้เป็นอย่างไร ทั้งๆ ที่ไม่ถึงสองเดือน แต่กลับมีความรู้สึกที่แน่นแฟ้นช่นนี้ 


 


 


อิ๋งโจวมองนางจากไป เขาเปิดกล่องอาหาร ข้างในใส่ขนมฝีมือประณีตเอาไว้ ว่าแล้วก็ยังคงเป็นเด็กสาวอยู่ เขามองนางที่เดินไปด้วยท่าทางใจลอยนั้น ในใจรู้สึกเศร้าสลดอยู่บ้าง นางหายดีแล้ว เพียงแต่ช่วงเวลาที่รักษานั้นเฝิงเยี่ยไป๋ไม่อยู่ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการสร้างความสัมพันธ์นั้นเขาไม่อยู่ ความรู้สึกของเฉินยางที่มีต่อเขาก็ขาดไปส่วนหนึ่ง ดังนั้นจนถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่สามารถพึ่งพิงเขาได้อย่างเต็มที่ กลับทำให้รู้สึกว่าอิ๋งโจวที่รักษานางใกล้ชิดยิ่งกว่าเฝิงเยี่ยไป๋เสียอีก 


 


 


เพียงแต่เรื่องความสัมพันธ์นั้น ต่อให้ช่วงแรกไม่มี สามีภรรยาอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ไม่ต้องกลัวจะห่างเหิน อีกอย่าง พวกเขาต้องใช้ชีวิตด้วยกันไปตลอด ชีวิตนี้ยังอีกยาวไกล มีเพียงเวลาที่เขาทนความเหงาไม่ไหวจนรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่มีเรื่องที่เขาจะอยู่ห่างไกลกับนางอย่างแน่นอน 


 


 


เมื่อก่อนนางไม่ได้มีความรู้สึกเศร้าสลดมากมายเช่นนี้ ความรู้สึกมาไวไปไว วันนี้เล่นกับคนนี้ดี ความรู้สึกก็มา ตอนจะจากก็รู้สึกเสียใจ รู้สึกว่านี่ก็คือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตนางแล้ว เพียงแต่กลางคืนกลับมาที่บ้าน ห่มผ้านอนไปคืนหนึ่ง เรื่องที่เมื่อวานยังเล่นด้วยกันอยู่ก็ลืมไปหมดสิ้น วันนี้เจอเพื่อนเล่นคนใหม่ ก็รู้สึกว่านางเป็นคนที่ไม่อาจแทนที่ได้ เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา พูดตรงๆ ก็คือหัวใจเล็ก ใส่เรื่องมากมายไม่ได้ ของใหม่เข้ามาแล้ว ของเก่าก็ต้องเทออกเพื่อให้ที่ของใหม่ เพียงแต่นั้นเป็นเมื่อก่อน ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ในใจจู่ๆ ก็เหมือนมีพื้นที่เพิ่มขึ้นมามากมาย ของเก่าเติมไม่เต็มก็ลืมไม่ได้ พอลืมไม่ได้เรื่องที่กังวลก็เพิ่มมากขึ้น ความกังวลเพิ่มมากขึ้นก็ไม่ได้มีความสุขเช่นนั้นแล้ว 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 246 กล่อมสามีให้ดีใจ 


 


 


 


 


 


บนตัวเฉินยางไม่มีเงิน นางอาศัยอยู่กับเฝิงเยี่ยไป๋ กินใช้ไม่มีสิ่งใดที่นางต้องเป็นกังวล ในมือย่อมไม่มีเงิน อยากได้เงินก็ได้แต่ไปหาเฝิงเยี่ยไป๋ ตามหลักแล้วสามีภรรยากัน ไม่ว่าอะไรล้วนเป็นส่วนรวม นางอยากได้เงินแค่บอกเขาตรงๆ ก็ได้แล้ว แต่อย่างไรเสียเงินก็ไม่ได้ใช้กับตัวเอง สำหรับนางแล้วอิ๋งโจวไม่ใช่คนนอก แต่สำหรับเฝิงเยี่ยไป๋แล้วกลับห่างเหินนัก นางรู้สึกขอดื้อๆ เลยไม่ได้ หลังจากที่คิดอยู่พักหนึ่ง ก็นึกถึงตอนอยู่ที่เขาต้าเหลียงนั้น จี้หรู่ฉางสอนนางว่า ถ้าอยากจะขอให้คนอื่นทำอะไรให้ก็ต้องรู้จักยอมคน ต่อให้เป็นพวกที่จะฆ่าลา ก่อนจะฆ่าก็ยังต้องกล่อมให้ลาขึ้นเขียงเลย ต้องหาวิธีกล่อมคนให้ดีใจแล้วถึงจะขอได้ 


 


 


ก็เพียงแค่จะกล่อมเฝิงเยี่ยไป๋ให้ดีใจไม่ใช่หรือ คิดว่าคงไม่ได้ยากเช่นนั้น นางคิดไปตามความชอบของตัวเอง อยากจะเลี้ยงอาหารดีๆ ใก้เขาหนึ่งมื้อ แล้วพูดคำพูดดีๆ อีกเล็กน้อย ก็อาจจะสำเร็จแล้ว 


 


 


นางทำอาหารไม่เป็น แต่จัดแจงยังทำได้อยู่ นางไปที่ห้องครัว มองหมูเห็ดเป็ดไก่ที่อยู่เต็มโต๊ะ ที่บินอยู่บนฟ้า ที่วิ่งอยู่บนพื้น ที่ว่ายอยู่ในน้ำ เมื่อก่อนอยากกินไม่ได้กิน ตอนนี้มีมากมายนับไม่ถ้วน ความยิ่งใหญ่ของท่านอ๋องนี้ไม่ใช่เล่นๆ จริงๆ มิน่าแต่ละคนถึงได้แย่งกันปีนให้สูงขึ้นแทบเป็นแทบตาย มีใครบ้างไม่อยากมีเงินทองที่ใช้ไม่หมดสิ้น อาหารอร่อยที่กินไม่หมดจนทำเอาอิจฉา 


 


 


เพียงแต่นางไม่รู้ว่าเฝิงเยี่ยไป๋ชอบกินอะไร ใกล้จะถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว เหล่าพ่อครัวต่างวุ่นวายกันนัก เฉินยางยังไม่ชินกับฐานะใหม่ของนางอย่างพระชายา เรียกใช้คนนางไม่ถนัด มีนางครัวออกไปเทน้ำเห็นนางยืนอยู่ตรงนั้น ก็โค้งคำนับแล้วเรียก “พระชายา” นางถึงได้ดึงสติกลับมา แล้วร้อง “อ๊ะ” ออกมาแล้วบอกว่าทำไมหรือ 


 


 


นางครัววางอ่างน้ำลงแล้วถามนาง “ไฉนท่านถึงมาที่นี่แล้ว ที่นี่ทั้งมันทั้งสกปรก ท่านอยากกินสิ่งใดสั่งสาวใช้ให้สาวใช้มาบอกก็พอแล้ว ไม่ต้องถึงกับวิ่งมาด้วยตัวท่านเองเลย” 


 


 


เฉินยางเหม่อเล็กน้อย อ้าปากด้วยความลังเลว่า “ท่านพี่ใกล้จะกลับมาแล้ว ข้าคิดจะเตรียมของกินให้เขา แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาชอบกินอะไร ของกินมากมายเช่นนี้ข้าก็ไม่รู้จะเลือกอย่างไร ดังนั้นจึง…” 


 


 


“ข้าน้อยยังนึกว่าเป็นเรื่องใดเสียอีก เรื่องนี้ง่ายนัก” นางครัวชี้ไปบนโต๊ะ “ฝั่งนี้มีแกงหนึ่งอย่าง เนื้อปลาต้มเยื่อไผ่ โจ๊กหนึ่งอย่างเป็นโจ๊กถั่วแดง ยังมีเฟิ่งเว่ยอวี๋ชื่อ หงเหมยจูเซียง ซิ่วฉิวกานเป้ย กานเหลียนฝูไห่เซิน ซานเจินชื่อหลงหยา เสร็จแล้วยังมีซุยซั่งกานกั่วมี่เจี้ยนปาผิ่นหลงเฟิ่งเหมียวจินจั่นหอหลงผันจู้ อาหารที่ของเรานี้ล้วนทำตามอาหารในวัง หากท่านอ๋องจะกินละก็ รสชาติก็จะจืดเล็กน้อย ที่กินบ่อยๆ ก็มีเยี่ยนอัวซื่อจื้อ ซานเซียนเหยาจู้ หลานฮวาโต้วกานและไป่จื่อตงกวา บวกกับปิงถางไป่เหอหม่าถีเกิงอีกถ้วยหนึ่งก็ถือว่าครบแล้ว ท่านดูว่าท่านจะสั่งอะไรบ้าง” 


 


 


เฉินยางฟังนางพูดตั้งมากมาย ที่จริงแล้วก็จำไม่ได้แม้แต่คำเดียว ต่อให้พูดซ้ำอีกครั้งนางก็จำไม่ได้ ชื่ออาหารเหล่านี้ทั้งพูดยากและจำยาก เทียบกับกุยช่ายผัดเนื้อ หมูเปรี้ยวหวานที่พวกเขากินเมื่อก่อนแล้วแทบจะเหมือนท้อเซียนที่ต้องกลายเป็นเซียนถึงจะได้กิน 


 


 


อย่างไรเสียเพียงฟังชื่อก็อลังการแล้ว รสชาติก็คงจะไม่แย่ ก็ไม่เคยได้ยินว่าเฝิงเยี่ยไป๋เลือกกิน จึงพูดว่า “เช่นนั้นแล้วก็เอามาตามที่ปกติเขาชอบกินมาเถิด” 


 


 


นางครัวตอบรับก็หันไปสั่งพ่อครัวแล้ว 


 


 


เฉินยางเห็นกำลังยุ่งอยู่ ตัวเองยืนอยู่ก็ประหลาด กำลังเตรียมจะขยับออกไป หันหลังไปก็เห็นเหล้าแต่ละไหที่วางอยู่บนชั้น นางจุ๊ปาก นึกถึงเหล้าผลไม้ที่ดื่มเมื่อคืนอีกแล้ว 



ตอนที่ 247 ท่าทางเป็นภรรยาตัวน้อย 


 


 


ระหว่างทางที่เฝิงเยี่ยไป๋กลับมาก็คิดอยู่ตลอดถึงจุดประสงค์ที่ฮ่องเต้ตรัสกับเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะให้อำนาจเขา นึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะกล้าเลี้ยงเสือให้เป็นภัย เพียงแต่ตกลงข้างในนั้นซ่อนความลับอะไรอยู่ ตอนนี้ยังไม่รู้สาเหตุ เขาเองก็คิดไม่ออกจริงๆ 


 


 


กลับมาถึงจวนอ๋อง เขาก็เหนื่อยไปทั้งตัว ไม่ใช่เหนื่อยที่ร่างกาย แต่เหนื่อยที่ใจ ฮ่องเต้ก็ไม่ใช่คนจัดการได้ง่ายๆ วันหลังก็ยังต้องระมัดระวัง ตอนนี้ทุกฝีก้าวของเขาล้วนเหยียบอยู่บนคมดาบ ตัวเขาเองไม่เป็นอะไร เพียงแค่กลัวจะทำให้เฉินยางลำบาก 


 


 


พูดถึงเฉินยาง เขาก็เรียกผู้ดูแลมาถาม “พระชายาเล่า” กลับมาถึงก็ไม่เห็นนาง คงไม่ใช่ว่าฮ่องเต้วางแผนใส่เขา เอาคนไปเสียแล้วกระมัง 


 


 


ผู้ดูแลเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไป หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “อยู่ที่โถงอาหารขอรับ หลังจากกลับมาก็ไปเยี่ยมท่านหมออิ๋งโจว จากนั้นก็ไปห้องครัวจัดเตรียมของกิน เลือกอาหารที่ปกติท่านอ๋องชอบกินที่สุด บอกว่ารอท่านกลับมาก็ให้เชิญท่านไปกินข้าว” 


 


 


ไม่มีเหตุแต่มาเอาใจ ไม่เคยได้เห็นนางใส่ใจตัวเองเช่นนี้ วันนี้รีบร้อนจัดเตรียมของกินให้เขา คงมีเรื่องจะมาขอร้องเขากระมัง 


 


 


เขาไม่ต้องรอให้นางเชิญก็เดินไปเองแล้ว ตอนที่เดินมาถึงประตูเห็นนางกำลังตักข้าวอยู่ ข้าวที่เพิ่งออกจากหม้อยังร้อนอยู่ นางไม่ทันได้ระวัง น้ำแกงกระเด็นถูกนิ้ว นางร้อย “โอ๊ย” แล้วหดมือกลับ เกือบจะโยนช้อนออกไป ตัวนางเองเป่าไปสองที ก็เริ่มตักอีกครั้ง 


 


 


นี่ถึงจะเหมือนภรรยาตัวน้อย ถึงจะเหมือนการใช้ชีวิตร่วมกัน ในใจเขารู้สึกอบอุ่น ยืนอยู่ที่ประตูเห็นนางทำจนเสร็จ เช็ดมือเตรียมจะออกไปเรียกเขา พอนางหันหลังไปก็อึ้งทันที รอยยิ้มประดับอยู่บนหน้าเขา มองไปที่นางโดยไม่กะพริบตา ก็ไม่รู้ว่ายืนอยู่ที่นั่นนานเพียงใดแล้ว และมองนานเพียงใดแล้ว หน้านางแดงขึ้นมาทันทีแล้วหันหลังกลับด้วยความเขินอาย กำลังจะบ่นเขาว่า “ไฉนมาแล้วถึงไม่เรียกนาง” ก็ถูกเขากอดจากด้านหลัง มือที่ใหญ่กว่านางครึ่งหนึ่งวางทาบอยู่บนท้องของนาง เส้นเลือดดำที่หลังมือของเขามองเห็นได้อย่างชัดเจน  


 


 


นางห่อไหล่ ที่ข้างหูก็มีสุ้มเสียงอ่อนนุ่มลอยมา ผสมกับน้ำเสียงเกียจคร้านเล็กน้อย เป่าเข้าไปในหูนางเบาๆ “ไฉนวันนี้ถึงดีเช่นนี้” 


 


 


นางหน้าแดงพูดกับเขาด้วยความเขินอายว่า “ปกติข้าไม่ดีกับท่านหรือ” 


 


 


เขาตอบอืมยาวๆ ในลำคอ “ไม่ดีเท่าวันนี้” 


 


 


เฉินยางตบหลังมือเขา “ควรกินข้าวแล้ว ล้วนของที่ท่านชอบกิน ข้าตั้งใจไปที่ห้องครัวถามนางครัวให้พวกเขาทำเสร็จแล้วยกมาให้” 


 


 


นางทำอาหารไม่เป็น ทำเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นความตั้งใจของตัวเองแล้ว มีคำโบราณที่ว่าสิ่งของไม่สำคัญเท่าความตั้งใจไม่ใช่หรือ สิ่งที่นางให้เป็นสิ่งของราคาไม่แพงนัก แต่ที่ใส่อยู่ข้างในกลับเป็นความรู้สึกที่มีอยู่เต็มเปี่ยม 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋แกล้งจูบใบหูนาง แล้วจูงนางนั่งลงด้วยกัน เขากินข้าวไม่ได้มีของที่ชอบหรือไม่ชอบกิน อาหารที่อร่อยเพียงใดมาถึงปากเขาก็ไม่ต่างกัน ที่บอกว่าชอบ ที่จริงแล้วเป็นเพียงของที่กินจนชินแล้วคร้านจะเปลี่ยนเท่านั้น เพียงแต่นางอุตส่าห์มีความตั้งใจเช่นนี้ ในใจเขาก็ย่อมดีใจแน่นอน เขาจูงมือนาง หานิ้วที่ถูกลวกเมื่อครู่ มือเรียวเล็กนั้นแดงไปแถบหนึ่ง รอยแผลเพียงเท่านี้ กลับไปทายานอนตื่นขึ้นมาก็หายแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก เฉินยางก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นนั้น เพียงแต่เขาควบคุมความเป็นห่วงไม่ไหว คนรักของเขาเมื่อก่อนเพื่อจะให้เขาสนใจ บางครั้งก็จะเอาแผลเล็กแผลน้อยมาเล่าความน้อยใจให้เขาฟัง บางคนไม่ได้เป็นแผลจริง บางคนก็แทงนิ้วจนเป็นแผล ตอนนั้นเขายังคิดว่าตัวเองใจเ**้ยม ดังนั้นดูไปแล้วก็ไม่รู้สึกสะทกสะท้าน เพียงแต่วันนี้เห็นแผลถูกลวกเล็กๆ บนมือของเฉินยาง ความรู้สึกเจ็บปวดใจนั้น ถึงได้รู้ว่าที่แท้ก็เกิดขึ้นแล้วแต่คน 


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 248 วันนี้ฮ่องเต้ก็ชมข้า 


 


 


มือนางไม่ได้เป็นอะไร เขาเอาออกมาดูเพียงนิ้วเดียว ดูแล้วก็ยังไม่พูดอีก น่าแปลกยิ่งนัก เฉินยางหดมือกลับไป ที่จริงแล้วที่ถูกลวกเมื่อครู่ก็ไม่ได้เจ็บแล้ว เพียงแต่ยังแดงอยู่เล็กน้อย นางรู้ว่าเฝิงเยี่ยไป๋ดูอะไรแล้ว จึงสะบัดมือ พูดด้วยท่าทางไม่ใส่ใจนักว่า “ไม่ได้เจ็บแล้ว เป็นเพียงรอยแดงเล็กๆ ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่นัก” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ดึงมือนางเข้าหาด้วยความดื้อดึงแล้วกำเอาไว้แน่น “เจ้าทายดูสิว่าวันนี้ฮ่องเต้หาข้าตรัสอะไรบ้าง” 


 


 


เฉินยางส่ายหน้า นางไม่ใช่หมอดูเสียหน่อย จะรู้ได้อย่างไรว่าฮ่องเต้ตรัสอะไรกับเขา เพียงแต่มองสีหน้าของเขานี้ คาดว่าก็คงไม่ใช่เรื่องดีอะไร 


 


 


“ฮ่องเต้ให้ข้าพรุ่งนี้เช้าไปฟังราชกิจ” 


 


 


ไม่ใช่ว่าไม่ให้เขามีอำนาจหรือ เฉินยางไม่เข้าใจถึงผลได้ผลเสียจึงเงยหน้าถามเขาว่า “เช่นนั้นแล้วเป็นเรื่องดีหรือร้าย หากไม่ดีต่อท่าน พวกเราก็ไปบอกฝ่าบาทว่าไม่ทำงานนี้” 


 


 


นางมีความจิตใสซื่อ จะรู้ความดีร้ายในนั้นได้อย่างไร หากเหมือนดั่งที่นางคิดก็คงจะดี เพียงแต่ฮ่องเต้ปากดั่งทองคำ คำพูดที่ออกมาก็คือราชโองการ จะปล่อยโอกาสให้เขาเถียงคืนได้อย่างไร 


 


 


“ฮ่องเต้ตั้งใจจะทำร้ายข้า เจ้าว่าการจัดเตรียมเช่นนี้จะดีหรือร้าย เพียงแต่ราชโองการก็ลงมาแล้ว พรุ่งนี้เช้าข้าก็ต้องเข้าวังไป ชีวิตสงบสุขหลังจากนี้คงน้อยลง อยู่กับข้าต้องระแวงทุกวัน ไม่แน่วันใดก็อาจไม่มีชีวิตกลับมา เจ้ากลัวหรือไม่” 


 


 


เขาถามนางว่ากลัวหรือไม่ กลัว กลัวแน่นอน ใครไม่กลัวตายบ้าง เพียงแต่เขาเป็นสามีของนาง แต่งงานแล้วก็ต้องใช้ชีวิตอยู่กับเขาไปตลอด จะเป็นก็เถอะจะตายก็เถอะ สมุดสมรสของเฒ่าจันทราได้ผูกด้ายแดงของทั้งสองคนเข้าไว้ด้วยกันแล้ว จึงได้แต่ตามมีตามเกิดกับเขา อย่างอื่นนางก็ไม่ได้เป็นห่วง มีเพียงอย่างเดียว ท่านพ่อของนางนางยังปล่อยวางไม่ลง หลังจากที่คิดอยู่นาน นางก็ถามว่า “ข้าอยู่กับท่าน จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ท่านพ่อของข้า ท่านเลี้ยงดูข้ามาโตเช่นนี้ก็ไม่ได้ง่ายนัก ข้าอยากให้ท่านพ่อมีชีวิตดีๆ ไม่กระทบถึงท่านพ่อของข้าได้หรือไม่” 


 


 


ช่างเป็นแม่นางที่ดีเหลือเกิน นางไม่มีใจคิดจะหนีก็ดีเพียงใดแล้ว ก้อนหินในใจเฝิงเยี่ยไป๋จึงวางลงพื้นได้เสียที ประโยคนี้ของนางดียิ่งกว่าคำมั่นสัญญาใดๆ ทั้งสิ้น และได้เติมเต็มหัวใจที่ไม่มั่นคงของเขาไว้ มีประโยคนี้ของนางยังจะมีสิ่งใดต้องกลัวอีก ถือว่าทำเพื่อนาง อย่างไรเสียก็จะสู้กับฮ่องเต้จนแพ้ยับเยินทั้งสองฝ่ายไม่ได้ เขาต้องชนะ และต้องชนะอย่างสิ้นเชิง จะให้รากฐานชีวิตพังไม่ได้ พวกเขายังต้องอยู่ด้วยกันอีกยาวไกล ทว่าแม้ปากของเขาพูดเช่นนี้ แต่จะให้นางไปตายด้วยกันกับเขาไม่ได้ พวกเขาต้องรอดให้ได้ 


 


 


“เจ้าวางใจเถอะ ท่านพ่อของเจ้าไม่เป็นอะไร เจ้าก็ไม่เป็นอะไร ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ฟ้าถล่มลงมาก็มีข้าแบกให้เจ้า เจ้ายิ้มให้ข้าทุกวันข้าก็พอใจแล้ว” 


 


 


นางจึงฉีกปากเผยฟันขาวเรียงตัวสวยงาม เอ่ยว่า “เช่นนี้หรือ” 


 


 


ไม่ใช่เป็นเพียงสมบัติ แถมยังเป็นสมบัติที่มีชีวิตอีกด้วย เฝิงเยี่ยไป๋หยิกแก้มนางเล็กน้อย ความเศร้าหมองก่อนหน้านั้นพลันมลายหายไปหมดสิ้น แม้แต่คิ้วก็คลายลง ในใจรู้สึกโล่ง ปากก็เย้าแหย่นางเล่น “ยิ้มได้น่าเกลียดเสียจริง” 


 


 


เฉินยางเอาหน้าเข้าไปใกล้ๆ เขา “น่าเกลียดตรงไหนหรือ ทั้งๆ ที่น่าดูออก เป็นท่านที่ตาไร้แวว ท่านพ่อข้าก็บอกว่าข้าสวย วันนี้ฮ่องเต้ก็ชมข้า มีแต่ท่านที่บอกว่าข้าน่าเกลียด” 


 


 


“จะมีพ่อที่ไหนว่าลูกสาวตัวเองว่าน่าเกลียด ต่อให้เจ้ามีตาสามดวง ในสายตาของพ่อเจ้าก็ดูดีที่สุด ที่ฮ่องเต้ชมเจ้านั่นเป็นเพียงคำชมตามมารยาท ไม่ได้เป็นจริงเสียหน่อย ส่วนที่ข้าว่าเจ้าน่าเกลียดนั่นเป็นคำตรงข้าม ในสายตาของข้า ใต้หล้านี้จะหาผู้ที่ดูดีกว่าเจ้าไม่ได้อีกแล้ว” 


ตอนที่ 249 ที่จัดเตรียมอาหารเอาใจข้าก็เพื่อเขา 


 


 


 


 


 


เฉินยางบุ้ยปากพูดจาล้อเล่นกับเขา มือที่ใหญ่ไม่ถึงครึ่งฝ่ามือของเฝิงเยี่ยไป๋หยิกแก้มเขาแล้วยิ้มพูดว่า “แต่ข้ารู้สึกว่าท่านต่างหากที่ดูดี หาผู้ที่ดูดีกว่าท่านไม่ได้อีกแล้ว ดูดีกว่าแม่นางเสียอีก” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี เป็นครั้งแรกที่มีคนชมเขาเช่นนี้ อะไรที่ว่าดูดีกว่าแม่นางอีก ตกลงนางชมเขาหรือว่าด่าเขาอ้อมๆ กันแน่ เพียงแต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องหน้าตาของตัวเองเลยจริงๆ ล้วนแต่เป็นคำพูดที่ฟังจากปากคนอื่น อะไรคือท่าทางสง่า ยิ่งใหญ่ห้าวหาญ หล่อเหลาปานเทพบุตร เขาล้วนโตมากับคำชมเหล่านี้ แม่ของเขาเป็นคนงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ส่วนพ่อของเขาแม้จะเป็นนายทหาร แต่ตอนยังหนุ่มก็เป็นชายรูปหล่อ หน้าตาของคนรุ่นก่อนก็ชวนให้ตะลึงได้แล้ว พอมาถึงเขานี้ มีแต่ยิ่งกว่า ไม่ได้ด้อยลงเลยแม้แต่น้อย 


 


 


ชายรักหญิงงาม หญิงรักชายหล่อ เขาอยู่ที่หรู่หนานได้ดีเช่นนี้ นอกจากมีเงิน เกรงว่าก็คงเป็นใบหน้าของเขานั่นแล้ว เขาก็เคยมองตัวเองในกระจก อาจเพราะมองมาหลายปีเช่นนี้จนเบื่อแล้ว เขาจึงไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองดูดีอย่างที่คนอื่นว่า วันนี้เฉินยางกลับชมเขาว่าดูดี แม้จะเอาเขาไปเทียบกับหญิงสาว แต่ก็น่าจะเพราะนางไม่ได้รู้คำมากนัก คิดคำอื่นมาชมเขาไม่ออก คนอื่นชมเขาเขาไม่รู้สึก ทว่าเฉินยางชมนั้นไม่เหมือนกัน ที่แท้หน้าตาดีก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว อย่างน้อยภรรยาก็ชอบใบหน้านี้ของเขา 


 


 


เห็นเฝิงเยี่ยไป๋แลดูดีใจมาก เฉินยางรู้สึกว่าถึงเวลาแล้ว จึงคีบอาหารให้เขา แล้วพูดอย่างระมัดระวังว่า “ท่านพี่…ข้า…ข้าอยากได้เงิน” 


 


 


นางไม่มีที่จะให้ใช้เงิน จู่ๆ ตอนนี้เอ่ยปากจะขอเงิน เฝิงเยี่ยไป๋รู้สึกงุนงง “เจ้าจะเอาเงินไปทำไมหรือ หากอยากได้อะไรเพียงแค่บอกข้า ข้าให้คนไปซื้อให้เจ้าเป็นพอ” 


 


 


นางส่ายหน้า ไม่อยากปิดบังเขา จึงพูดตามความจริงว่า “ท่านหมออิ๋งโจวจะกลับแล้ว ตอนที่เขามาก็มิได้มีเงินติดตัวมากนัก ตอนนี้ก็ไม่มีเงินติดตัวเลย อะไรก็ไม่มี ข้าคิดว่าท่านหมออิ๋งโจวดูแลข้ามานานเช่นนี้ จะไม่สนใจก็คงไม่ได้ จึงคิดจะขอเงินท่านเพื่อเป็นค่าเดินทางให้กับท่านหมออิ๋งโจว” 


 


 


เรื่องนี้ไม่นับเป็นอะไรเลย เฝิงเยี่ยไป๋พูดว่า “ควรเป็นเช่นนั้น เขาเองก็ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเจ้า ให้เขากลับไปมือเปล่าก็คงจะไม่ดี อีกครู่หนึ่งข้าจะให้ห้องบัญชีเอาเงินให้อิ๋งโจว แล้วให้คนส่งเขากลับไป ถือว่าตอบแทนบุญคุณของเขา” 


 


 


เช่นนี้ก็ดีเสียยิ่งกว่าสิ่งใดแล้ว เฉินยางจึงปล่อยวางก้อนหินในใจลงได้ เริ่มคีบอาหารให้เขาอย่างเอาใจมากขึ้นอีก 


 


 


นางดีใจเฝิงเยี่ยไป๋ก็ดีใจ เพียงแต่พอคิดไปคิดมาเชื่อมเข้าด้วยกันก็รู้สึกว่าไม่ถูกอีก ผู้ดูแลบอกว่าพอนางกลับมาก็ไปเยี่ยมอิ๋งโจว จากนั้นถึงได้ไปห้องครัวจัดเตรียมอาหารให้เขา หากเป็นเช่นนั้นแล้ว คืนนี้ก็เป็นงานเลี้ยงหงเหมิน[1]แน่ๆ คงจะไม่ใช่ตั้งใจจัดเตรียมให้เขา ส่วนตัวเองอาศัยใบบุญของอิ๋งโจวถึงทำให้นางมาเอาใจเช่นนี้ได้ พอคิดทั้งหมดแล้ว เขาก็เข้าใจทันที ในใจนางตัวเองกลับมีความสำคัญเทียบกับอิ๋งโจวไม่ได้เลย ภรรยาคนนี้ ช่างแต่งเข้ามาได้ดีเสียจริงๆ 


 


 


พอเขาคิดได้แล้ว สีหน้าดีๆ ก็หายไป เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันใด 


 


 


เฉินยางตกใจกับสีหน้าบูดบึ้งของเขา “ท่านเป็นอะไรไป ไฉนถึงไม่กินแล้ว” 


 


 


เขาแค่นหัวเราะเสียงเย็นสองที ถามนางว่า “ที่วันนี้เจ้าจัดเตรียมอาหารเอาใจข้าก็เพื่ออิ๋งโจวกระมัง” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] งานเลี้ยงหงเหมิน เป็นสำนวนจีน หมายถึง สร้างภาพบังหน้าหวังดีต่ออีกฝ่ายแต่แท้จริงแล้วกำลังวางแผนทำร้ายอีกฝ่าย 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 250 เจ้าชอบอิ๋งโจวใช่หรือไม่ 


 


 


 


 


 


คราวนี้ถึงมีปากก็อธิบายได้ไม่ชัดแล้ว ตอนแรกนางก็คิดเช่นนั้น เพียงแต่ตอนที่จัดเตรียมอาหารให้เขานางก็ทำด้วยใจจริง จุดนี้ไม่ได้เกี่ยวกับอิ๋งโจวเลย อีกอย่างเมื่อครู่ที่ทั้งสองคนพูดจาล้อเล่นกันนั้น ล้วนทำด้วยใจจริง ยิ่งไม่เกี่ยวกับอิ๋งโจวอีก ไฉนเขาถึงคิดไปถึงเรื่องนั้นได้ 


 


 


นางทั้งอยากจะร้องไห้ทั้งอยากหัวเราะ ไฉนถึงหัวเราะ ลูกผู้ชายคนหนึ่งนึกไม่ถึงว่าจะคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้ ช่วงว่างจากที่คุยกันถึงกับคิดไปมากมายเช่นนี้ นางเป็นผู้หญิงก็ยังคิดเล็กคิดน้อยไม่เท่าเขาเลย ความหึงหวงของเขานั้นช่างไร้เหตุผลเสียจริง 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ทำหน้าบึ้งมองนาง เหมือนรอให้นางอธิบาย เฉินยางก็ทำอะไรไม่ได้ เขาเข้าใจผิดไปก่อนแล้ว จะอธิบายนั้นก็ยาก ในใจนางคิดอยู่นาน จึงได้แต่พูดคำว่า “ไม่ใช่” ออกมา อย่างอื่นจะพูดอะไรได้อีกหรือ อะไรก็พูดไม่ได้ อธิบายแล้วก็ใช่ว่าเขาจะเชื่อ อีกอย่างนางเองก็พูดไม่เป็น โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ จะให้นางเหมือนเฝิงเยี่ยไป๋พูดคำพูดดีๆ ออกมา นางทำไม่ได้ 


 


 


เพียงคำว่าไม่ใช่นั้นไม่อาจทำให้เฝิงเยี่ยไป๋คลายความเข้าใจผิดก่อนหน้านี้ไปได้ เขากัดฟันพูดออกมา “เจ้าชอบหมออิ๋งโจวใช่หรือไม่” 


 


 


การตั้งความผิดให้นางนี้ออกจะเกินจริงไปสักหน่อย ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดเช่นนี้ได้อย่างไร นางกับอิ๋งโจวรึ คิดออกมาได้! อย่าว่าแต่นางไม่มีความคิดเช่นนั้นเลย ต่อให้มี ก็ไม่อาจทำเรื่องอะไรได้ นางยังจำฐานะของตัวเองได้อยู่ ผิดชอบชั่วดีนางก็ยังรู้ ในเมื่อนางแต่งงานกับเขาแล้ว แล้วจะไปนึกถึงชายอื่นได้อย่างไร ความผิดใหญ่หลวงเช่นนี้นางไม่แบก 


 


 


นางส่ายหน้าอย่างแรง สีหน้าเริ่มโกรธ น้ำเสียงก็ไม่ค่อยดีแล้ว “ท่านพูดเพ้อเจ้ออะไร ท่านหมออิ๋งโจวเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้า ข้าจะชอบเขาได้อย่างไร ข้าไม่ได้ทำอะไร ท่านอาศัยอะไรมากล่าวหาข้าเช่นนี้!” 


 


 


เมื่อผู้ชายหึงหวงขึ้นมาก็ไม่ต่างจากสตรี ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง ต่อให้นางอธิบายเช่นนี้แล้ว เฝิงเยี่ยไป๋ก็ยังไม่เชื่อ พูดตามตรง ก็ยังเป็นเพราะทั้งสองคนยังไม่ได้เป็นสามีภรรยากันอย่างแท้จริง ในใจเขาไม่มั่นคง บางครั้งการที่ยิ่งชอบคนคนหนึ่งก็ยิ่งไม่รู้สึกวางใจ มักจะรู้สึกว่านางจะจากตัวเองไป คิดเล็กคิดน้อย ตอนนี้มาคิดดูดีๆ อิ๋งโจวก็ใช่ว่าจะเชื่อได้อย่างสนิทใจ ความสัมพันธ์ของเขาและเฉินยางเป็นเพียงหมอกับคนไข้ เพียงแต่เป็นหมอเช่นไรถึงได้ยอมเสี่ยงชีวิตมาเมืองหลวงเป็นเพื่อนคนไข้ ก่อนหน้านี้อิ๋งโจวบอกว่ามีหญิงในใจอยู่แล้ว แต่แม่นางคนนั้นก็ตายจากไปแล้ว ตอนนี้เขาใส่ใจเฉินยางเช่นนี้อีก จะให้คนอื่นไม่สงสัยจุดประสงค์ของเขาก็คงไม่ได้ 


 


 


“เจ้าคิดว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต ข้าดูเขาสิ เขาอาจจะไม่ได้คิดว่าเจ้าเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตไว้ก็ได้!” เขาพูดไปก็ลุกขึ้นยืน ยิ่งพูดยิ่งเดือดดาล ท่าทางนั้นเรียกได้ว่าโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้ 


 


 


เห็นเขาจะเดินไปข้างนอก เฉินยางกลัวว่าเขาจะไปหาเรื่องอิ๋งโจว จึงเข้าไปดึงเขาเอาไว้ พูดเสียงดังว่า “ท่านจะไปไหน ข้าก็บอกแล้วว่าข้าไม่ได้ชอบเขา ไฉนท่านถึงไม่ฟังข้าเลย” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาใส่นาง “เจ้าร้อนรนอะไร ท่านหมออิ๋งโจวของเจ้าไม่ใช่ว่าจะเอาเงินค่าเดินทางกลับบ้านหรือ ข้าจะเอาเงินไปให้เขา แล้วเจ้าร้อนรนไปทำไม” 


 


 


คำพูดของเขานั้นราวกับจะยืนยันอะไรบางอย่างเช่นนั้น เฉินยางปล่อยมือออกแล้วจ้องมองเขา ผ่านไปอยู่ครู่หนึ่งถึงสะบัดมือ แล้วเดินออกไปข้างนอกด้วยความโกรธ “ช่างเถอะ หากรู้เช่นนี้ข้าไม่ควรมาหาท่านเลย ข้าไปหาเว่ยหมิ่นยืมเงินก็ยังดีกว่ามารองรับอารมณ์ของท่านอยู่ที่นี่” 



ตอนที่ 251 ฤกษ์งามยามดี 


 


 


 


 


 


ยังจะไปยืมเงินเว่ยหมิ่นอีก นี่ไม่ใช่ว่าตบหน้ากันชัดๆ หรือ เขายังไม่ถึงกับยากไร้จนถึงขั้นต้องไปยืมเงินคนอื่น เขาดึงนางกลับมา ความอ่อนโยนก่อนหน้านั้นหายไปหมดสิ้น ตอนนี้จะใช้กำลังขึ้นมา ทำเอาดูแล้วน่าตกใจ 


 


 


“ยืมเงิน? เจ้าคิดว่าข้าตายไปแล้วหรืออย่างไร ข้าทำให้เจ้าจนแล้วหรือ อยากได้เงินรึ ได้เลย!” เขาดึงนางมากอดเอาไว้ แล้วก้มศีรษะพูดอยู่ข้างหูนาง จู่ๆ น้ำเสียงก็เปลี่ยนไป กวาดผ่านเบาๆ อยู่ข้างหูนาง “เว่ยเฉินยาง เจ้าร่วมหอกับข้า ข้าก็จะเอาเงินให้เจ้า เป็นอย่างไร” 


 


 


ที่จริงแล้วเขาก็อยากจะรู้ว่านางจะทำเพื่ออิ๋งโจวได้ถึงเพียงใด เฉินยางได้ยินประโยคนี้ของเขา ก็เหมือนดั่งฟ้าผ่ากลางศีรษะ ผ่าจนไหม้ไปทั้งตัว เขาถึงกับพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาได้ เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลย เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเช่นนั้น นางตกใจจนพูดไม่ออก สองตาที่ฉายแววตกใจจ้องมองไปที่เขา ผ่านไปอยู่นานถึงได้พูดอย่างช้าๆ ว่า “ท่าน…เฝิงเยี่ยไป๋ คำพูดเยี่ยงนี้ท่านก็พูดออกมาได้ ท่าน…ต่ำช้า!” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ที่พูดเช่นนี้ออกไปก็ไม่ได้รู้สึกดีนัก เขาเพียงอยากดูการตอบสนองของนาง ไม่ทันได้ระวัง ก็พูดแรงเกินไปเสียแล้ว กลับทำให้นางเสียใจ เพียงแต่ความโกรธของเขานั้นอย่างไรก็ไม่หาย ตัดเรื่องของอิ๋งโจวไปก่อน พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน การร่วมหอก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่นางหลีกเลี่ยงทุกครั้ง เขาก็ไม่ได้อยากจะบังคับนาง แต่หากต้องทนอยู่เช่นนี้ต่อไปจะต้องทนถึงเมื่อใด เขาทนไม่ไหวแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปมีหวังเขาได้กลายเป็นเซียนแล้ว เขาดูว่าวันนี้ก็เป็นฤกษ์งามยามดี ไม่ต้องหาเวลาอื่นแล้ว นางไม่ยอมก็ไม่เป็นไร จัดการกับนางให้อยู่หมัดบนเตียง จากนั้นค่อยปลอบทีหลัง คุยกับนางอีกสองวันก็ดีกันแล้ว นางจะแค้นเขาไปทั้งชาติได้หรือ 


 


 


เขาทำใจแข็ง ลากนางออกจากโถงกินข้าวแล้วไปที่ห้องนอน ผู้ดูแลเห็นเข้าก็งง ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังหวานซึ้งกันอยู่เลย ไฉนพูดไปเพียงสองประโยคกลับทะเลาะกันขึ้นมาเสียแล้ว 


 


 


เฉินยางไม่ยอมไปกับเขา ระหว่างทางก็ดิ้นไปไม่น้อย ทั้งเตะทั้งถีบ สุดท้ายก็กัดเขาไปเต็มแรง และกัดอยู่ที่ฝ่ามือระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ เฝิงเยี่ยไป๋บีบแก้มนางเพื่อให้นางคาย นางฉวยโอกาสเหยียบเขา รอให้เขาปล่อยมือก็วิ่งไปทันที น่าเสียดายยิ่งนัก วิ่งยังไม่ทันถึงสองก้าวก็ถูกเขาไล่ทันแล้ว ในเมื่อไม่เชื่อฟัง เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องเกรงใจนางแล้ว เขารวบตรงหลังเข่านาง แล้วช้อนตัวแบกนางเหมือนดั่งแบกของเช่นนั้นไว้บนบ่า ระหว่างทางสาวใช้และขันทีเห็นเข้า ก็ไม่มีใครกล้าขวาง ล้วนถอยไปอยู่ข้างๆ อย่างรู้ตัว เฝิงเยี่ยไป๋จึงแบกนางไปถึงห้องนอนอย่างสะดวก 


 


 


พอเข้าห้องไปก็ปิดประตู ทั้งยังลงกลอนประตูอีก ก่อนจะก้าวเท้ายาวๆ ไปที่เตียง โยนนางลงบนเตียงแล้วทาบทับบนตัวนางอย่างร้อนรน 


 


 


เฉินยางตกใจมากมายกับท่าทางของเขาเช่นนี้ เมื่อครู่ถูกแกว่งไปมาสมองยังมึนๆ อยู่ ครั้นจะออกแรงก็ไม่ไหวอีก ตอนนี้พอได้แตะพื้น นางก็ชันศอกขึ้นมา กำลังจะลุกขึ้น ก็ถูกเฝิงเยี่ยไป๋กดร่างให้นอนกลับไปอีกครั้ง 


 


 


ตอนนี้นางกลัวสุดขีด ทั้งตัวอ่อนเปลี้ยไปหมด ความดื้อด้านเมื่อครู่ก็ค่อยๆ หายไป น้ำเสียงยอมอ่อนลงเล็กน้อย “ท่านไม่มีเหตุผลหรือ คนเราต่อให้เป็นโจรจะจับขังคุกก็ยังต้องให้ศาลสอบสวนเอาหลักฐาน ท่านอาศัยอะไรมาตัดสินว่าข้าผิดเพียงประโยคเดียว รีบปล่อยข้าได้แล้ว!” 


 


 


แววตาของเขาเต็มไปด้วยความคลั่งไคล้ หากแต่สีหน้ากลับมีความจริงจังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ราวกับไม่ได้ยินนางอย่างไรอย่างนั้น หลังจากที่พินิจมองนางอย่างละเอียดอยู่นาน ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นมือไปถอดชุดของนางทันที 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 252 บริสุทธิ์หรือไม่ต้องตรวจก่อนถึงจะรู้ 


 


 


 


 


 


พระจันทร์ค่อยๆ ลอยสูงขึ้น เหล่าขันทีในจวนท่านอ๋องเริ่มจุดโคมไฟ คืนนี้ไม่มีแสงดาว เสียงร้องของจักจั่นดังสลับไปมา คนที่อยู่ข้างนอกไม่รู้ความเคลื่อนไหวที่อยู่ข้างใน คนฉลาดก็แกล้งทำเป็นคนตาบอด ต่อให้อยากรู้ก็ไม่กล้าขยับเข้าใกล้ เฝิงเยี่ยไป๋เริ่มกุมอำนาจแล้ว พวกเขานั้นก็เป็นเพียงหมากที่ถูกพวกเขาใช้งาน คำสั่งลงมาเป็นทอดๆ พวกเขาได้แต่ต้องทำตาม ส่วนเหตุผลคืออะไร พวกเขาล้วนไม่มีใจจะถามทั้งนั้น 


 


 


เฉินยางเหมือนปลาที่เพิ่งถูกจับขึ้นมาจากน้ำแล้ววางอยู่บนเขียง ตอนแรกยังพอจะดิ้นไปมาได้ สุดท้ายหมดแรงแล้ว ดิ้นไม่ไหวแล้ว ถูกเขากดแขนขาเอาไว้ ราวกับเตรียมถูกตีตรวนลงโทษอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


คราวนี้นางได้รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของเฝิงเยี่ยไป๋อย่างแท้จริงแล้ว เวลาที่เขาโกรธจริงๆ ไม่ใช่ตะโกนโหวกเหวก แต่เป็นอย่างตอนนี้ ไร้สีหน้าใดๆ เม้มปากแน่น ไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว ลงมือเท่านั้น ช่างน่ากลัวยิ่งนัก 


 


 


กระดุมที่คอเสื้อถูกปลดแล้ว จากนั้นก็ปลดตามลงไปเรื่อยๆ บดบังความงามไว้ไม่มิด ในสายตาของเขามีเพียงนางเท่านั้น ใส่อย่างอื่นไม่ลงอีก ตอนนี้เขาขาดสติอย่างสิ้นเชิง เริ่มไม่สนใจสิ่งใดแล้ว 


 


 


อย่างไรเสียพละกำลังระหว่างชายหญิงก็ต่างกันมาก นางตัวเล็กเช่นนี้อีก พอถูกปกคลุมด้วยเงาของเขา ก็ยิ่งทำให้นางตัวเล็กราวกับเด็ก นางคว้าคอเสื้อไว้สุดแรงเกิด รู้สึกเพียงว่าที่เฝิงเยี่ยไป๋เป็นเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเสือที่หิวโหยมาทั้งฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิเพิ่งมาถึงจึงได้ลงจากเขา กำลังจะกลืนนางลงท้อง แต่นางดันไม่มีแรงที่จะสู้กับเขาเลยสักนิด เหลือเพียงปากที่ตะโกนได้ 


 


 


ด่าไปก็ไร้ผล เฝิงเยี่ยไป๋ไม่สนใจวิธีนี้ของนาง ทำเป็นไม่ได้ยิน ทำเพียงสิ่งที่ตัวเองจะทำ ทั้งท่อนบนท่อนล่าง สุดท้ายทนความหงุดหงิดไม่ไหว จึงกระชากตรงๆ เสื้อนอกร่วงอยู่ที่พื้นเบาๆ นางอึ้งเล็กน้อย น้ำตาไหลรินออกมา “ท่านปล่อยข้านะ! ปล่อยข้า! ปล่อยข้า! เฝิงเยี่ยไป๋ ท่านบ้าไปแล้ว!” 


 


 


เขาถึงได้หยุดลง มองนางด้วยแววตาเย้ยหยัน “ข้าบ้า? ใช่! ข้ามันบ้า อดทนจนเป็นบ้าไปแล้ว!” 


 


 


นางจ้องมองเขา สองตาแดงก่ำ “ระหว่างข้ากับท่านหมออิ๋งโจวไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นท่านที่คิดผิดเพี้ยนไปเอง ท่านหมออิ๋งโจวรักษาข้า แถมยังช่วยชีวิตข้าอีก เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้า แต่ท่านเล่า ท่านถึงกับใส่ร้ายพวกเราเช่นนี้!” 


 


 


เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป อาจจะเพราะอารมณ์ที่เก็บกดมานานล้วนกองอยู่ที่เดียว วันนี้หาข้ออ้างได้ก็จะระบายออกมาทั้งหมด เขาเองก็อยากให้ระหว่างพวกเขาไม่มีอะไร แต่กระนั้นก็ยังไม่วางใจ เขาไม่ได้โกรธนางที่เป็นห่วงอิ๋งโจว นางจะเอาเงิน สามารถขอกับเขาตรงๆ ก็ย่อมได้ แต่นางกลับจัดงานเลี้ยงหงเหมินที่ไม่จำเป็นนี้ เช่นนี้แล้วจึงทำให้เขากลายเป็นคนชั่วที่ไม่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเอาเสียเลย นางปฏิบัติกับอิ๋งโจวราวกับคนในครอบครัว แต่กับเขาแล้วกลับห่างเหินเช่นนี้ จะขอเงินยังต้องจัดโต๊ะอาหารอีก ที่เขาแค้นคือเรื่องนี้ 


 


 


ทั้งๆ ที่รู้ว่าทำร้ายจิตใจของนาง ในใจเขาก็ไม่ได้รู้สึกดี แต่เขาก็ไม่อาจหยุดในตอนนี้ แม้จะฟังนางอธิบายทว่าท่าทีก็ไม่ได้เบาลงเลย กลับยิ่งรุนแรงมากขึ้น มือหนึ่งบีบแก้มนาง อีกมือก็เช็ดน้ำตาให้นาง “จะไม่มีอะไรกันจริงหรือไม่ รอให้ข้าตรวจดูเดี๋ยวก็รู้เอง” 


 


 


นางตกใจอย่างแรง ยกมือฟาดใส่หน้าเขาทันที ที่ฟาดไปนั้นทำเอามือนางเจ็บ บนหน้าเฝิงเยี่ยไป๋เผยรอยนิ้วมือห้านิ้วทันที หน้าของเขานั้นนิ่มยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก พอฟาดลงไป หน้าก็บวมขึ้นมาทันที เฉินยางดูแล้วรู้สึกตกใจมาก จึงเอามือไปลูบด้วยความร้อนรน “ท่าน…ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจ ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” 



ตอนที่ 253 อดทนจนไม่ไหวแล้วจริงๆ


 


 


 


 


เขาปฏิบัติกับนางเช่นนี้ นางฟาดหน้าเขาก็สมควรอยู่แล้ว และก็เพราะนางฟาดจนเขาได้สติ ไม่เช่นนั้น ก็ไม่รู้จะเป็นเช่นไร เพียงแต่นางยังขอโทษเขาอยู่ มือนั้นลูบแก้มที่บวมขึ้นมาอย่างแผ่วเบา แววตาทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว แทบจะบีบให้ใจเขาแตกสลาย ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามา เขาล้มตัวลงอย่างเศร้าสร้อย ซุกหน้าไว้ที่ซอกคอของนาง พูดพึมพำว่า “ขอโทษ ข้า…ข้าหน้ามืด…ข้าไม่ควรปฏิบัติเช่นนี้ต่อเจ้า ข้าทำอย่างนี้กับเจ้าได้อย่างไร เฉินยาง…ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”


 


 


สุดท้ายนางก็โล่งใจ คิดจะผลักเขาแล้วลุกขึ้นนั่ง ผลักแล้วไม่ขยับ นางตบหลังเขาเบาๆ “ท่านลุกขึ้นก่อนค่อยพูดคุยกัน”


 


 


เขาไม่ขยับ นอนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น เฉินยางจนใจ จู่ๆ ก็รู้สึกที่ซอกคอเปียกชุ่ม หัวใจนางกระตุกวูบ ถามเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “ท่าน…ท่านร้องไห้หรือ”


 


 


ลูกผู้ชายคนหนึ่ง จิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ลำบากยากเย็นเพียงไรก็ไม่เคยร้องไห้ วันนี้กลับแพ้ให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง หากไม่ใช่น้อยใจก็คือรู้สึกผิด รู้สึกว่าเมื่อครู่ตนทำร้ายนาง ผิดต่อนาง อีกอย่างตนปฏิบัติเช่นนั้นกับนางแล้ว เห็นอยู่แล้วว่ากำลังจะทำผิดใหญ่หลวง นางกลับยังปลอบเขาได้อีก พอเทียบกันดูแล้ว ตัวเองช่างน่าอับอายยิ่งนัก


 


 


ในใจเฉินยางรู้สึกประหลาด ตัวเองน้อยใจยังไม่ทันได้เล่าเลย เขากลับชิงร้องไห้ก่อนแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน!


 


 


“พอแล้วๆ ท่านอย่าร้องเลย ท่านทับจนข้าหายใจไม่ออกแล้ว ลุกขึ้นมาพูดคุยกันก่อน”


 


 


เสียงของเขาอู้อี้ เจือแววสะอื้น ดูเหมือนเด็กเสียอย่างนั้น “ข้ามันเลอะเลือนจริงๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าที่เจ้าพูดมีเหตุผล แต่ก็…ก็ไม่อาจหยุดได้ ช่วงนี้ข้าอดทนจนเป็นบ้าไปแล้ว เจ้า…เจ้าอย่าได้โทษข้าเลยได้หรือไม่”


 


 


เพียงแต่เมื่อครู่ทำเอานางตกใจจริงๆ ไม่เคยเห็นเขามีท่าทางเช่นนั้น แค้นจนอยากจะกัดเขาให้ตาย เพียงแต่ตอนนี้ ถูกเขาก่อกวนเช่นนี้ ไฟโทสะก็ดับลงแล้ว ถึงกับสงสารเขาขึ้นมาอีก นี่นางเพี้ยนไปแล้วจริงๆ ตอนที่เขาใช้กำลังกับตัวเองได้คิดจะสงสารนางหรือไม่ หากให้สีหน้าเขาดีๆ เร็วเช่นนี้ เช่นนั้นแล้ววันหลังเขาจะไม่ยิ่งกว่านี้อีกหรือ หากเขาจะลงมือทำร้ายนาง เช่นนั้นแล้วชีวิตของนางก็คงหมดสิ้น ต้องให้เขารู้ว่า นางเว่ยเฉินยางก็ไม่ใช่คนที่จะถูกรังแกได้ง่ายนัก


 


 


“ไม่ได้” นางปฏิเสธอย่างแน่วแน่ “เพียงคำพูดขอโทษประโยคสองประโยคของท่านข้าก็ต้องอภัยให้ท่านงั้นหรือ เช่นนั้นแล้วเมื่อครู่ที่ท่านใช้กำลังกับข้าไฉนถึงไม่นึกถึงผลที่จะตามมา ข้าอธิบายแล้วท่านไม่เชื่อ ยืนกรานจะใส่ร้ายข้า แล้วข้าจะทำอะไรได้ ตอนนี้มาขออภัยกับข้า ข้าจะบอกท่านให้ ไม่มีทาง!”


 


 


ตอนนี้นางพูดอยู่นั้นไม่มีความเด็ดเดี่ยวเลย เห็นชัดว่าไม่มีความน่าเกรงขาม เพียงแต่ทุกประโยคนั้นกลับเหมือนดั่งมีดที่ปักลงในใจเฝิงเยี่ยไป๋ ก็จริง ตัวเองยังจะมีหน้าอะไรไปขอให้นางอภัยให้ ครั้งนี้เป็นเขาที่ไร้เหตุผล คิดจะเถียงก็เถียงไม่ออก


 


 


เฉินยางใช้ศอกดันอกเขาไว้ เว้นระยะห่างกับเขาหนึ่งชุ่น[1] แล้วพูดไม่ย่อท้อว่า “ข้ารู้ว่าเงินของท่านเป็นของท่าน หากท่านไม่ยอมให้ข้า ได้ ข้าจะไปหายืมกับคนอื่น ยืมแล้วข้าคืนเป็นพอ เพียงแต่ท่านอาศัยอะไรไม่ให้ข้าไป ท่านอาจเห็นท่านหมออิ๋งโจวเดินทางกลับไปมือเปล่า แต่ข้าไม่ได้ บุญคุณน้อยนิดยังต้องตอบแทนอย่างใหญ่หลวง อย่างมากข้าก็แค่เอาเครื่องประดับไปจำนำ ข้าไม่เชื่อว่าจะหาเงินค่าเดินทางให้เขาไม่ได้”


 


 


เก่งเสียจริงๆ ยังรู้จักเอาเครื่องประดับไปจำนำอีก เขากำมือนางไว้กดอยู่ที่ขอบเตียง “จำนำเครื่องประดับอะไร ข้าเคยบอกว่าจะไม่ให้เงินเจ้าตอนไหนกัน”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ชุ่น เป็นมาตรวัดความยาวจีน เท่ากับ 1 นิ้ว


 


 


 


 


ตอนที่ 254 จะนวดก็นวดเอง


 


 


 


 


นางหึเบาๆ เถียงกลับว่า “ท่านพ่อของข้าเคยกล่าวไว้ ขอคนอื่นไม่สู้พึ่งตนเอง จะขอเงินกับท่านยังต้องดูสีหน้าของท่าน ไม่สู้ใช้ของตัวเอง พรุ่งนี้ข้าจะออกไปซักผ้าให้คนอื่น เดือนหนึ่งอย่างน้อยก็ยังได้เงินบ้าง รับอารมณ์คนอื่นก็ยังดีกว่ารับอารมณ์ท่าน”


 


 


พูดเป็นเล่น ตอนนี้นางมีฐานะเป็นอะไร เป็นถึงพระชายาตราตั้งขั้นหนึ่ง มีพระชายาคนใดออกไปซักผ้าให้คนอื่นบ้าง ต่อให้นางยอมบากหน้าไปทำ คนอื่นก็ไม่กล้าสั่งให้นางทำ เมื่อใดกันที่พระชายาตกต่ำถึงขั้นต้องไปซักผ้าให้คนอื่นแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริงแคว้นก็คงใกล้จะล่มจมเต็มทีแล้ว


 


 


ตกลงนางก็ยังคงเป็นเด็ก พูดอะไรไม่เคยคิด เฝิงเยี่ยไป๋โกรธจนหัวเราะ ประคองนางลุกนั่ง แล้วเขี่ยปลายจมูกนางเบาๆ พลางพูดว่า “เมื่อครู่ข้าโกรธอยู่ ตอนนี้เจ้าเป็นพระชายา ข้ายังจะให้เจ้าขาดเงินใช้ได้เช่นนั้นหรือ เพียงแต่ที่เจ้าพูดก็ถูก ตอนนี้เจ้าก็ควรจะมีเงินติดตัวบ้าง ตัดฐานะพระชายาออกไปก่อนไม่ว่า บ้านพวกเรามีกิจการใหญ่โต ย่อมไม่ขาดเงินแน่นอน ถ้าเจ้าออกไปยืมเงินกับเว่ยหมิ่น นางคงจะคิดว่าข้าตายไปแล้ว”


 


 


เฉินยางมีนิสัยดื้อดึง ใช้ของคนอื่นก็ต้องยอมเขา นางไม่อยากได้เงินของเขา นางเบือนหน้าหนี แล้วแค่นเสียงหึเบาๆ ด้วยความดื้อดึง “ข้าไม่เอาเงินของท่านหรอก”


 


 


คนบ้านเดียวกันกลับพูดถึงบ้านคนอื่น คิ้วเฝิงเยี่ยไป๋เริ่มขมวดขึ้นมา “ของข้าก็เป็นของเจ้า เงินของตัวเองก็ไม่เอาหรือ”


 


 


นางอยากจะพูดคำว่า ‘ไม่เอา’ คำนี้ออกมาอย่างห้าวหาญ เพียงแต่เงินเป็นเจ้านาย เห็นแล้วต้องก้มศีรษะให้ ไม่มีเงินทำอะไรไม่ได้ หลังจากที่ฝืนอยู่นาน สุดท้ายก็ยังต้องก้มศีรษะแต่โดยดี พูดเสียงเบาว่า “เอา” จากนั้นก็เงียบทันที


 


 


เขาขยับเข้าไปใกล้แล้วจูบปากที่บุ้ยอยู่ของนาง หลังจากแอบจูบนางไปแล้วก็ได้ใจ แสร้งทำเป็นขึงขังจริงจังว่า “เมื่อครู่พูดอะไรหรือ ข้าไม่ได้ยิน”


 


 


เฉินยางแค้นจนแทบอยากจะกัดฟันให้แตกทั้งปาก “ท่านบอกว่าจะให้เงินข้า เอามา ข้าเอา”


 


 


เขาเกาหู ยังคงทำเป็นไม่ได้ยิน “เอาอะไร”


 


 


นางพูดซ้ำอีกครั้งด้วยท่าทางโกรธแค้น “เอาเงิน”


 


 


คราวนี้ได้ยินชัดแล้ว เขาทำหน้าผิดหวัง ถอนหายใจพูดว่า “ข้าคิดว่าเจ้าจะเอาข้าเสียอีก”


 


 


ก็มีเพียงเขาที่ชอบคิดเข้าข้างตัวเอง เพียงแต่ตอนนี้ก็ไม่สนอะไรมากมายเช่นนั้นแล้ว เอาเงินให้อิ๋งโจวเป็นเรื่องสำคัญกว่า


 


 


“โอ๊ย ข้าล่ะเจ็บหน้าจริงๆ เลย เจ้าดู หน้าอ่อนนุ่มนิ่มของข้าถูกเจ้าตบเข้าให้ พรุ่งนี้จะให้ข้าออกไปพบคนอื่นได้อย่างไร” เขาเอาหน้าที่มีรอยฝ่ามือข้างนั้นขยับไปใกล้ๆ ผิวที่อ่อนนิ่มนี้ยังสามารถเป็นรอยฝ่ามือได้ เหมือนกับคนที่อายุสามสิบเสียที่ไหน แทบจะเหมือนเด็กที่ยังไม่โตเสียมากกว่า


 


 


เนื้อเป็นเนื้อนิ่ม ผิวก็เป็นผิวดี เพียงแต่เฉินยางมองแล้วก็รู้สึกโกรธ นางยังไม่ได้บ่นที่ข้อมือตนเองถูกเขาบีบจนแดงเลย เขากลับดีนัก ถึงกับชิงฟ้องขึ้นมาก่อน เฉินยางกัดฟันด้วยความแค้น แล้วจิ้มไปที่หน้าเขาอย่างแรง “ลูกผู้ชายมีนิสัยเอาแต่ใจเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหน หลับไปคืนหนึ่งพรุ่งนี้เช้าก็ดีขึ้นแล้ว”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ร้องโอดโอย “เจ้านวดให้ข้าหน่อย”


 


 


นวด? ตบเขาอีกครั้งหนึ่งยังดีกว่านวดอีก


 


 


เฉินยางเอามือไพล่ไว้ข้างหลัง ปฏิเสธเขาอย่างเด็ดขาด “จะนวดก็นวดเอง”


 


 


“ข้าเป็นสามีของเจ้า ข้าเป็นเช่นนี้เจ้าไม่สงสารบ้างหรือ” เมื่อครู่ยามมือเล็กๆ นุ่มนิ่มนั้นลูบไล้ใบหน้าของเขาเบาๆ เหมือนดั่งลมเย็นพัดผ่าน เพียงแต่เจ้าเด็กนี่ลงมือเ**้ยมโหดเสียจริง ฟาดจนหน้าเขาชาไปครึ่งซีก เพียงแต่พอคิดว่ามือของนางก็คงเจ็บ ดังนั้นแล้วที่นางฟาดไปนั้นก็ถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย


 


 


เฉินยางหดมือถอยไปข้างหลัง “ข้าไม่สงสารท่านหรอก”



ตอนที่ 255 เนื้อที่มาถึงปาก 


 


 


 


 


 


ผู้หญิงล้วนปากไม่ตรงกับใจ ปากนางบอกไม่สงสาร แต่เมื่อครู่เป็นใครที่ลูบแก้มเขาหรือ เขาไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนาง แนบหน้าไว้กับฝ่ามือของนาง “เว่ยเฉินยาง กล้าตบสามีเจ้าเชียวหรือ ช่างดีเสียนี่กระไร” 


 


 


นางนวดคลึงใบหน้าของเขาอย่างไม่รู้ตัว กลัวจะทำเขาเจ็บ ปลายนิ้วสั่นเทาและทำด้วยความระมัดระวัง “ก็ท่านบีบคั้นข้าเอง” 


 


 


“ข้าผิดไปแล้วไม่ได้หรือ” เขานอนหนุนตักนาง กำมือของนางที่ตบเขาไปเมื่อครู่ แล้วเป่าอยู่ข้างปากเบาๆ “มือเจ็บหรือไม่” 


 


 


“ไม่เจ็บ” นางชักมือกลับ ย้ายศีรษะของเขาออกจากตักตัวเอง “ท่านนอนเถอะ ข้าจะไปนอนที่อื่นเอง” 


 


 


“เป็นเช่นนั้นไม่ได้” เฝิงเยี่ยไป๋ลุกขึ้นนั่งกะทันหัน สวมกอดนางจากด้านหลัง แล้วลากนางกลับมาที่เตียง เฉินยางเตะไป กลับถูกเขาคว้าข้อเท้าเอามาพาดไว้ที่ไหล่ “สามีภรรยาแยกห้องกันนอนใช้ได้ที่ไหนกัน เจ้าอยู่ที่นี่เสียดีๆ ไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น” 


 


 


นางหน้าแดง ดูท่าทางทั้งโกรธทั้งอาย โกรธจนทุบไปที่เตียง “เฝิงเยี่ยไป๋ ท่านปล่อยข้านะ!” 


 


 


คราวนี้กลับพูดง่ายเสียอย่างนั้น พอนางตะโกนออกมา เขาก็ปล่อยนางจริงๆ เพียงแต่เขาก็นอนลงไปตาม ใช้เท้าเขี่ยผ้าห่มขึ้นมาคลุมทั้งสองคน แล้วกอดนางจากด้านหลังไม่ให้นางขยับแขนขาแล้วหลับตาลง “เลิกวุ่นวายได้แล้ว ข้าเหนื่อยมาก พรุ่งนี้รุ่งสางข้ายังต้องไปเข้าฟังราชกิจ เจ้าก็สงสารข้าหน่อย นอนเถอะ” 


 


 


“อึดอัด” นางบิดไปมาสองทีในอ้อมกอดของเขา “ท่านกอดข้าไว้ข้าแล้วไม่สบายเลย ท่านปล่อยข้า ท่านนอนของท่านไป ข้าจะนอนของข้า” 


 


 


เขาพลิกตัวนางให้หันหน้ามาหาเขา จูบที่ปลายจมูกของนางเบาๆ แล้วปล่อยนางเล็กน้อย ทำเพียงวางมือไว้ที่เอวของนาง “เช่นนี้ได้หรือไม่ นอนเถอะ” 


 


 


เฉินยางหน้าแดงไม่หาย ตั้งแต่พวกเขาสองคนแต่งงานกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่นอนด้วยกัน หันหน้าเข้าหากันใกล้ชิดเช่นนี้ หายใจรดใส่กัน ที่จริงแล้วนางก็ไม่ได้มีความคิดเรื่องความงามหรือน่าเกลียด เพียงแต่เฝิงเยี่ยไป๋นั้นดูดีอยู่จริง เมื่อก่อนตอนอยู่ในบ้าน นางได้ยินสาวใช้ในบ้านพูดจาล้อเล่น บอกว่าเฝิงเยี่ยไป๋หล่อจนน่าประหลาดใจเพียงใด บอกว่าเขาเป็นชายที่หล่อที่สุดในต้าเยี่ยก็ไม่เกินเลย หลังจากที่ได้พบไทเฮาในวังแล้ว พระนางก็เลอโฉมยิ่งนัก แม้จะมีอายุแล้ว แต่ยังคงมองเห็นความงามในยามสาวสะพรั่ง มิน่าฮ่องเต้องค์ก่อนถึงได้ยอมเสี่ยงที่จะเสียเกียรติกับขุนนางก็จะแต่งนางเข้าวังให้ได้ 


 


 


หน้าตาดีก็เป็นข้อได้เปรียบของคนหน้าตาดี อย่างเช่นตอนนี้ นางมองใบหน้าของเฝิงเยี่ยไป๋เช่นนี้ก็ไม่โกรธแล้ว เขาเหมือนกับหลับไปแล้วจริงๆ เฉินยางยื่นมือจิ้มที่คางของเขาเบาๆ ตรงนี้มีเคราเขียวๆ ล้อมรอบ รู้สึกสากมือ เพียงแต่ลูบไปมาก็รู้สึกไม่เลว 


 


 


นางนอนไม่หลับ อีกเดี๋ยวก็จิ้มคางของเขา อีกเดี๋ยวก็หยิกแก้มเขา ความสนุกเริ่มบังเกิด ความสนุกเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำให้นางมีความสุขได้ ตอนแรกเฝิงเยี่ยไป๋หลับไปแล้ว ตอนนี้ก็ถูกนางทำวุ่นวายจนตื่นขึ้นมาอีก จึงดึงนางเข้ามา เสียงทุ้มต่ำเจือแววเกียจคร้าน เตือนด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หากยังไม่อยู่นิ่งๆ อีกข้าจะไม่เกรงใจแล้ว ตอนกลางคืนข้ายังไม่ได้กินข้าว เนื้อมาถึงปากทั้งที เพียงคิดก็หิวเสียแล้ว” 


 


 


นางกระดากใจจึงนิ่งไปไม่ขยับทันที พิงศีรษะซบในอ้อมกอดของเขาอย่างเชื่อฟัง วุ่นวายอยู่นาน ตอนนี้ถึงได้ง่วงขึ้นมา ไม่ทันไรก็หลับไปเสียแล้ว 


 


 


นานๆ ครั้งที่ทั้งสองคนจะได้อยู่ด้วยกันเช่นนี้ คืนนี้ถือว่ามีความก้าวหน้า เพียงแต่ความเข้าใจผิดก็ยังคงเป็นเรื่องไม่ดี อย่างไรเสียพออิ๋งโจวไป ปมในใจก็คลี่คลายไปเอง ค่ำคืนนี้พวกเขาจึงหลับสนิท นอนกอดกันจนถึงเช้า 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 256 ลูกผู้ชายผัดหน้าทาชาด 


 


 


 


 


 


รุ่งเช้าอีกวัน ยังไม่ถึงยามห้า[1] เฝิงเยี่ยไป๋ก็ต้องลุกขึ้นเก็บของเตรียมเข้าวัง เวลายังเช้ามากอยู่ เขาอยากให้นางหลับต่ออีกหน่อย ตอนลุกขึ้นมาจึงระมัดระวัง แม้เป็นเช่นนั้น แต่เฉินยางก็ยังคงตื่นเพราะเสียงเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาทำ นางขยี้ตาลุกขึ้นนั่งถามเขาว่า “ฟ้ายังไม่สว่างเลย ท่านจะไปไหนหรือ” 


 


 


เขาผูกสายคาดเอวชุดข้าราชการ แล้วหันไปยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน “ทำเจ้าตื่นหรือ ยังเช้าอยู่เลย เจ้าหลับต่ออีกหน่อยเถิด” 


 


 


เมื่อคืนหลับไปไว ที่หลับไปก็เพียงพอแล้ว ตอนนี้ตื่นแล้วก็ไม่อยากจะหลับต่อแล้ว นางเลิกผ้าห่มลงจากเตียง มองเขาอยู่นาน แล้วพูดออกมาว่า “เบี้ยวแล้ว” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ทำหน้าไม่เข้าใจ “อะไรเบี้ยวแล้ว” 


 


 


นางเดินเท้าเปล่าไปหาเขา ก้มหน้าจัดสายคาดเอวให้เขา “สายคาดเอวเบี้ยวแล้ว” 


 


 


เพราะเพิ่งลุกจากเตียง สีหน้านางจึงยังคงงัวเงียอยู่บ้าง นางแก้สายคาดเอวของเขาแล้วผูกใหม่ ตอนนี้พวกเขาถึงได้มีท่าทางเหมือนคนเป็นสามีภรรยากัน เขารู้สึกอบอุ่นในใจขึ้นมา มองดูนางทำอยู่นานก็ยังไม่เสร็จ จึงถามนางด้วยอารมณ์ขันว่า “ตกลงเจ้าทำเป็นหรือไม่” 


 


 


ตอนที่แก้ออกมาก็เห็นอยู่ว่าไม่ได้ซับซ้อนนัก ไฉนคราวนี้นางผูกแล้วถึงผูกไม่ได้ ไม่มีความสามารถซ้ำยังวุ่นวายอีก ด้วยความอายระคนโกรธนางจึงปล่อยมือ “ท่านผูกเองเถอะ ที่ผูกเมื่อครู่ก็พอได้อยู่” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ดึงสายคาดเอวออกแล้วรัดรอบเอวนาง ก่อนจะไปยืนอยู่ข้างหลังนาง เอามือของนางมาจับที่ปลายทั้งสองข้างของสายคาดเอวแล้วสอน “หลังจากนี้สิ่งเหล่านี้ต้องให้เจ้าช่วยข้าจัดการ จะทำไม่เป็นได้อย่างไร”  


 


 


มือใหญ่ของเขากุมมือเล็กๆ ของนาง สายคาดเอวเส้นหนึ่งร้อยไปมาอยู่ในสองมือ ก็ไม่เชิงว่าซับซ้อน แต่ก็ยังต้องรู้วิธีอยู่ เฝิงเยี่ยไป๋จับมือของนางรัดไปรอบหนึ่งแล้วถามนางว่า “ทำเป็นหรือยัง” 


 


 


นางพยักหน้าเล็กน้อย “จำได้แล้ว” นางหันไปเห็นรอยฝ่ามือบนหน้าเขาที่ยังแดงอยู่เล็กน้อย จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา จึงถามเขาด้วยท่าทีทำตัวไม่ถูกว่า “หน้าของท่านจะทำอย่างไรดี” 


 


 


“ทำอย่างไรดี” เขาแกล้งหึเบาๆ “ก็เป็นเพราะเจ้าไม่ใช่หรือ วันนี้ข้าไม่มีหน้าไปพบคนอื่นได้แล้ว” 


 


 


นางจ้องมองเขาอยู่นาน สุดท้ายก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ราวกับคิดวิธีอะไรดีๆ ออก นางเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งข้างหน้าต่างแล้วหยิบตลับแป้งฝุ่นกับชาดมา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเฝิงเยี่ยไป๋ที่ซื้อให้นาง เพียงแต่นางไม่ชอบทาสิ่งเหล่านี้ จึงวางไว้อยู่ตลอด วันนี้ก็ได้ใช้ประโยชน์พอดี 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋มองแวบเดียวรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ จึงทำหน้าบึ้งปฏิเสธ “อย่าแม้แต่จะคิดเชียว ข้าเป็นลูกผู้ชาย ผัดหน้าทาชาดใช้ได้เสียที่ไหน” 


 


 


เฉินยางหยิบแปรงมาแกล้งเขา “ทาเพียงบางๆ ชั้นหนึ่ง ปิดครึ่งหน้าที่ถูกตบก็พอแล้ว ท่านกลัวคนอื่นจะหัวเราะไม่ใช่หรือ ท่านบอกว่าเป็นเพราะข้า ตอนนี้พอข้าชดเชยให้ท่านท่านก็ไม่เอา อย่างนี้ก็ยากเสียแล้ว เช่นนั้นท่านก็คิดหาวิธีที่ดีที่สุดเอาเองแล้วกัน” 


 


 


เจ้าเด็กนี่ ตอนนี้คิดวิธีประหลาดไวดีนัก วิธีเช่นนี้ก็ยังคิดออกมาได้ ทำเอาเขาไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี เห็นนางถือแปรงเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เฝิงเยี่ยไป๋กลับคิดวิธีที่จะปฏิเสธนางดีๆ ไม่ได้ขึ้นมาในทันที 


 


 


นางถือแปรงทำท่าทางปัดแป้งบางๆ บนหน้าเขาสองที ทำหน้าจริงจังอย่างยากจะได้เห็นนัก “อย่าขยับ หากทามากไปท่านก็จะกลายเป็นเจ้าหน้าแดงที่แสดงละครแล้ว” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ไว้ใจนาง “เจ้าทาเป็นหรือ มีความสามารถเช่นนี้ ไฉนเจ้าถึงไม่ทาเองเล่า” 


 


 


เฉินยางถูกเขามองออกแล้ว สีหน้าจึงเขินอายขึ้นมา นางกระแอมสองที แล้วหยิบแปรงเติมแป้งลงบนหน้าของเขา “ท่านวางใจได้ ทาเสร็จแล้วคนอื่นดูไม่ออกแน่นอน” 


 


 


เขาพูดต่อจากนาง “ดูไม่ออกอะไร ดูไม่ออกว่าที่บ้านข้ามีภรรยาใจโหดน่ะหรือ” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] การนับเวลาของจีนในสมัยโบราณช่วงกลางคืนจะแบ่งออกเป็น 5 ยาม โดยยาม 5 คือช่วงเวลาตั้งแต่ 3.00 น. – 5.00 น. 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม