ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง 240-249

ตอนที่ 240 ส่งเขาไปลงนรก

 

นักข่าวเล็งกล้องไปที่เฉียวเหลียงหลังจากถามคำถามนี้ เฉียวเหลียงหัวเราะเยาะหยัน คำรามเบาๆ แล้วกล่าวอย่างเหยียดหยามว่า “เขากล้าใส่ร้ายผมด้วยหรือ”


 


 


อาห้าซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเฉียวเหลียงตกตะลึง และเซียวจิ่งที่เพิ่งออกมาจากลิฟต์เกือบเป็นลม “เวรกรรม! ฉันพยายามอย่างหนักที่จะปิดบังเรื่องนี้ให้นาย นี่นายจะทำอะไร ทำไมนายถึงยอมรับอย่างนั้น นรกจริงๆ”


 


 


ในนาทีนั้นเขาอยากรีบเข้าไปถามเฉียวเหลียงว่า ‘นี่นายคิดบ้าอะไรของนาย’


 


 


นักข่าวตกอยู่ในความโกลาหล ทุกคนจ่อไมโครโฟนไปที่เฉียวเหลียง และถามเฉียวเหลียงว่า “ท่านประธานเฉียว ถ้าอย่างนั้นคุณก็ยอมรับน่ะสิ ว่าคุณทำร้ายประธานลู่”


 


 


“ท่านประธานเฉียว การกระทำของคุณจะส่งผลเสียต่อบริษัทอย่างไม่น่าเชื่อ คุณได้คำนึงถึงภาพลักษณ์ของบริษัทไหม เมื่อคุณทำอย่างนั้น”


 


 


“ท่านประธานเฉียว คุณจะอธิบายให้ผู้ถือหุ้นบริษัทคุณฟังอย่างไร”


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว “ทำไมผมต้องอธิบายให้พวกเขาฟัง”


 


 


ถังซีซึ่งกำลังดูข่าวอยู่บนทางเดินหลังหมดชั่วโมงเรียน อยากเข้าไปในวิดีโอเดี๋ยวนั้นแล้วตบหน้าเฉียวเหลียง “ให้ตายเถอะ คุณพูดแบบนี้ต่อหน้านักข่าวพวกนั้น พวกที่ต้องการแค่สร้างประเด็นได้ยังไง คุณอยากทำลายภาพพจน์ของตัวเองหรือ”


 


 


เพื่อนร่วมชั้นของถังซีก็ตกอยู่ในความโกลาหลเช่นกัน รวมทั้งนักเรียนในชั้นอื่นๆ ด้วย เด็กผู้หญิงต่างกรีดร้องเสียงดัง “โอ ท่านประธานเฉียวหล่อมาก! เขาหล่อมากในทีวี! เขาคือไอดอลของฉัน! ฉันอยากเป็นแฟนเขาจังเลย!”


 


 


เด็กผู้หญิงอีกคนกล่าวด้วยท่าทางรังเกียจว่า “ทำไมเธอถึงชอบผู้ชายที่มีแนวโน้มจะใช้ความรุนแรงล่ะ เธออยากถูกเขาทำร้ายเหรอ”


 


 


“ใช่ เขาพูดออกมาโดยไม่รู้สึกผิดเลยได้ยังไง หลังจากที่ซ้อมคนอื่น ใช่สิ เขาหล่อและรวย แล้วไงล่ะ เขามีบุคลิกที่แย่มาก ลู่หงคุนทำอะไรให้เขาขุ่นเคืองหรือ ฉันคิดว่าเขาเป็นคนไม่ดี”


 


 


ถังซีขมวดคิ้วมองกลับไปที่เด็กผู้หญิงคนนั้น และในไม่ช้าก็นึกออกว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ถังซีเป็นห่วงเฉียวเหลียง เธอจึงสืบหาข้อมูลของตระกูลเฉียว และเด็กผู้หญิงคนนี้คือลู่เสี่ยวจิง ลูกสาวของพ่อเฉียวเหลียงกับภรรยาลับ


 


 


ถังซีเลิกคิ้ว ปิดวิดีโอและโทรหาอาห้า เมื่อเห็นชื่อผู้โทร อาห้าซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเฉียวเหลียงก็รีบเดินออกไปรับโทรศัพท์ทางด้านข้าง เขาเล่าให้ถังซีฟังว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ขณะคิดอยู่คนเดียวด้วยความอึดอัดใจ เขารู้ว่าต้องไม่ให้นายน้อยรู้ว่าคุณหนูเซียวมีหมายเลขโทรศัพท์เขา และเคยพูดโทรศัพท์กับเขาด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องถึงวาระสุดท้ายแน่


 


 


เมื่อได้ยินสิ่งที่อาห้าเล่าให้ฟังถังซีก็เลิกคิ้ว เธอบอกว่าเธอรู้เรื่องแล้ว และบอกอาห้าให้ปล่อยนายน้อยของเขาอย่าเข้าไปยุ่ง ปล่อยให้เฉียวเหลียงทำในสิ่งที่เขาอยากทำ จากนั้นเธอก็วางสายโทรศัพท์ แล้วเดินไปหาลู่เสี่ยวจิงพร้อมกับโทรศัพท์ในมือ


 


 


ลู่เสี่ยวจิงกำลังพูดใส่ร้ายเฉียวเหลียง เมื่อจู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีใครบางคนเดินเข้ามาใกล้ เธอจึงหันไปมองคนๆ นั้น และพบว่าเป็นถังซี เธอรู้สึกประหลาดใจ แน่นอนว่าเธอรู้จักเซียวโหรวซึ่งเป็นดาวของโรงเรียนมัธยมตี้อี เซียวโหรวไม่เพียงแต่สวยน่ารักเท่านั้น แต่ยังเรียนเก่งได้เกรดดีอีกด้วย เธอดังมากในหมู่นักเรียน แม้กระทั่งบรรดานักเรียนเกรดเอก็ยังชื่นชอบเธอมาก


 


 


น้ำเสียงลู่เสี่ยวจิงอ่อนลง เมื่อเธอเห็นว่าคนๆ นั้นคือเซียวโหรว เธอเม้มริมฝีปากแล้วถามว่า “มีอะไรหรือ”


 


 


ถังซียิ้มเยาะ “ฉันคิดว่าเธอรู้ดี”


 


 


ลู่เสี่ยวจิงขมวดคิ้ว และน้ำเสียงเธอเปลี่ยนเป็นศัตรู “ฉันจะรู้ได้ยังไง! ถ้าเธอไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ ก็ออกไปให้พ้นทาง ฉันต้องไปเข้าห้องเรียน”


 


 


“เธอมีความสัมพันธ์ยังไงกับผู้ชายที่ถูกซ้อมเหรอ ทำไมถึงเอาแต่ใส่ร้ายเฉียวเหลียง เฉียวเหลียงติดหนี้เธอหรือ” ถังซียกแขนขึ้นกอดอก ท่าทางเหมือนนักเลง และจะดูเหมือนนักเลงยิ่งขึ้น ถ้าเธอมีอมยิ้มอยู่ในปาก…


 


 


เมื่อลู่เสี่ยวจิงได้ยินอย่างนี้ ใบหน้าเธอก็แดงก่ำและเต็มไปด้วยความสับสน เธอกล่าวด้วยความโกรธว่า “เธอพูดถึงเรื่องอะไร ฉันไม่ได้พูดอะไรผิดเลย เราถูกห้ามไม่ให้พูดถึงคนที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงด้วยหรือ” จากนั้นเธอก็ตะคอก “เธอมีความสัมพันธ์ยังไงกับเฉียวเหลียง ทำไมถึงพยายามปกป้องเขามากมาย!”


 


 


“ฉันคิดว่าฉันถามเธอก่อนไม่ใช่หรือ เธอตอบคำถามของฉันมาก่อนสิ แล้วฉันจะตอบเธอ ลู่เสี่ยวจิง” ถังซียิ้มน้อยๆ มองหน้าลู่เสี่ยวจิง ซึ่งตอนนี้ใบหน้าเปลี่ยนเป็นดุดันในทันที แล้วเธอก็กล่าวว่า “พี่ชายฉันเป็นรองประธานเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป เขารู้ดีแน่นอนว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น ฉันเพิ่งโทรหาพี่ชาย แต่สิ่งที่เขาบอกแตกต่างจากที่เธอพูดโดยสิ้นเชิง”


 


 


มีบางคนอุทาน “ฮึ?” และทันใดนั้นใครอีกคนก็บอกว่า “อ๋อ ใช่สิ ลู่เสี่ยวจิง ผู้ชายที่ถูกซ้อมคือพี่ชายเธอนี่ ใช่ไหม เธอบอกไม่ใช่หรือว่าเธอคือคุณหนูของหงคุนกรุป พ่อเธอเป็นประธานไง และพี่ชายเธอเป็นกรรมการผู้จัดการใช่ไหม”


 


 


“เขาว่ากันว่า หงคุนกรุปล้มละลายแล้ว จริงหรือเปล่า”


 


 


“โกหก!” ลู่เสี่ยวจิงหน้าบูดบึ้ง “ไร้สาระ! ครอบครัวฉันไม่มีวันล้มละลาย!”


 


 


ถังซีหัวเราะคิกคัก ลู่เสี่ยวจิงหันมามองถังซีทันที และถามอย่างขุ่นเคือง “เธอหัวเราะอะไร”


 


 


ถังซียิ้มเยาะ “ปรากฏว่าเธอเป็นน้องสาวลู่หงคุนนี่เอง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ต้องรู้สิใช่ไหม ว่าทำไมเฉียวเหลียงถึงซ้อมพี่ชายเธอ” ใบหน้าถังซีดุดัน เธอกล่าวอย่างเย็นชาขณะชายตามองลู่เสี่ยวจิงซึ่งหน้าซีดเผือด “เธอไม่รู้หรือว่าแม่ของเธอทำอะไรไว้กับแม่เฉียวเหลียง เธอไม่รู้หรือว่าพ่อกับแม่ของเธอทำอะไรไว้กับเฉียวเหลียงและเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปบ้าง และเธอไม่รู้หรือว่าทำไมลู่หงคุนถึงโดนเฉียวเหลียงซ้อม!”


 


 


“โกหก!” ลู่เสี่ยวจิงตะโกนใส่ถังซี “พ่อกับแม่ฉันรักกัน! แม่ฉันไม่ได้แย่งสามีใคร! และแม่ฉัน… ไม่เคยเป็นเมียเก็บของใคร!”


 


 


ถังซีเลิกคิ้วแล้วยิ้มอย่างเยือกเย็น “ฉันบอกเหรอว่าแม่เธอเป็นเมียเก็บ ถ้าอย่างนั้นแม่เธอก็เป็นเมียเก็บในสายตาเธอน่ะสิ”


 


 


“ไร้สาระ! แม่ฉันไม่ได้เป็น!”


 


 


ทันใดนั้นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็กรีดร้องเสียงดัง “โอ พระเจ้า! ไอดอลของฉันช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน! ฉันจะรักเขาตลอดไป!”


 


 


“เกิดอะไรขึ้น”


 


 


“ดูนี่สิ ไม่อยากจะเชื่อเลย ผู้ใช้ไมโครบล็อกทุกคนที่ด่าว่าเจ้าชายเฉียวเจ้าเสน่ห์ และบอกให้เขา ‘ไปลงนรก’ เมื่อกี้ ตอนนี้ทุกคนกลายเป็นแฟนคลับเขาไปแล้ว และก็ขอโทษเขาด้วย!”


 


 


ถังซีเลิกคิ้ว หยิบโทรศัพท์ออกมาดูข่าวต่อ เด็กคนอื่นๆ ก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา ไม่มีใครได้ยินเสียงกริ่งโรงเรียนเลย


 


 


ลู่เสี่ยวจิงก็เปิดโทรศัพท์ของเธออย่างลังเล…


 


 


ถังซีมองดูหน้าจอโทรศัพท์ และสิ่งที่เห็นคือใบหน้าอันหล่อเหลาของเฉียวเหลียง เขามองมาที่กล้องอย่างเย็นชา และกล่าวอย่างเยือกเย็น “ผมไม่สนใจหรอกว่าเขาจะใส่ร้ายผมยังไง แต่ถ้าเขากล้าใส่ร้ายแม่ผม ผมจะส่งเขาไปลงนรก ลู่หงคุนแกว่งเท้าหาความตายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่รังเกียจที่จะช่วยสงเคราะห์เขา”

 

 

 


ตอนที่ 241 กลายเป็นบุคคลที่ถูกค้นหามา...

 

เมื่อถังซีเห็นข่าวนี้ เธอรู้สึกว่าเฉียวเหลียงคนนี้ไม่ใช่เฉียวเหลียงที่เธอรู้จัก แต่ก็ยังมีเสน่ห์มาก ใครต่อใครหลงเสน่ห์บุคลิกทรงอำนาจของเขา


 


 


ขณะนั้นนั่นเองเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็ร้องออกมาว่า “โอ พระเจ้า! เขาเตะผู้ชายคนนั้น! เขาเท่ห์จังเลย!”


 


 


ถังซีมองดูโทรศัพท์มือถือของเด็กคนนั้นอย่างงุนงง และเห็นว่าเธอกำลังดูไมโครบล็อก ถังซีรีบเปิดไมโครบล็อกและตรวจสอบหัวข้อแฮชแท็กที่มีผู้ค้นหามากที่สุด ในจำนวนประเด็นยอดนิยมมี ‘#การเตะของเฉียวเหลียง’ และ ‘#ลู่หงคุนโดนเตะ’ ถังซีคลิกที่หัวข้อเหล่านี้ แล้วก็ได้เห็นคลิปวิดีโอยาวสองนาที เผยแพร่โดยผู้ใช้ชื่อว่า ‘เจสคือซาตาน’ มีคำอธิบายว่า ‘ฉันตั้งใจจะดูว่าท่านประธานเฉียวผู้โด่งดังถูกใส่ความอย่างไรบ้าง แต่ฉันไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะหน้าด้านแบล็กเมล์เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป ตอนนี้ฉันอยากให้ทุกคนได้เห็นว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น’


 


 


ถังซีเปิดคลิปวิดีโอดูด้วยความสงสัย


 


 


เป็นคลิปเสียงและได้ยินเสียงลู่หงคุน ‘แกคิดว่าฉันอยากเรียกแกว่าพี่อย่างนั้นหรือ แกมันก็แค่ลูกผู้หญิงที่โดนทิ้ง! แกคิดว่าแกดีกว่าฉัน…’


 


 


นักเรียนทั้งหลายต่างเดาว่าเฉียวเหลียงต้องเกลียดที่แม่ลู่หงคุนแย่งพ่อเขาไป เขาจึงไม่อนุญาตให้ลู่หงคุนเรียกเขาว่าพี่ แล้วด้วยความอับอายทำให้ลู่หงคุนโกรธ และเริ่มด่าเฉียวเหลียงก่อน ถึงขนาดเรียกแม่เฉียวเหลียงว่า ‘แม่หม้ายผัวทิ้ง’ !


 


 


เมื่อถึงตอนนี้การบันทึกเสียงถูกเปลี่ยนเป็นคลิปวิดีโอ ซึ่งเป็นภาพลู่หงคุนถูกเตะออกจากห้องทำงาน นอนกลิ้งอยู่บนพื้น จากนั้นลู่กวงสยงก็วิ่งออกมา ตามมาด้วยเฉียวเหลียง ใบหน้าเฉียวเหลียงดุดันและเกรี้ยวกราดมาก


 


 


ลู่กวงสยงตะโกนใส่เฉียวเหลียง ‘เฉียวเหลียง! นี่แกจะทำอะไร!’ ดูราวกับเขาจะกินเลือดกินเนื้อเฉียวเหลียงทั้งเป็น จากนั้นเขาก็หันไปมองลู่หงคุนด้วยความรัก เห็นได้ชัดว่าในสายตาเขาลู่หงคุนเท่านั้นที่เป็นลูกชายเขา


 


 


เฉียวเหลียงซึ่งยืนอยู่ที่ประตู ทันใดนั้นก็ก้าวพรวดพราดออกมา พร้อมกับกล่าวอย่างเย็นชาว่า ‘ในเมื่อคุณไม่รู้จักสั่งสอนลูกชายคุณอย่างถูกต้อง ผมก็ไม่รังเกียจที่จะสั่งสอนให้เอง!’ เขาลากลู่กวงสยงออกไป และเตะลู่หงคุนอย่างหนักที่ซี่โครง ลู่หงคุนกลิ้งไปบนพื้น ครวญครางและร้องไห้ขอความเมตตา อย่างไรก็ตามเฉียวเหลียงไม่ยอมหยุด เขาเตะกระหน่ำไม่ยั้งเลย จนกระทั่งรองเท้าหนังสีดำเป็นมันเปื้อนเลือดเต็มไปหมด จากนั้นเขาก็เช็ดรองเท้าจนสะอาดกับร่างลู่หงคุน


 


 


นักเรียนต่างตื่นตกใจ แต่ก็ตื่นเต้นเมื่อเห็นฉากนี้ ไม่มีใครคาดคิดว่าเฉียวเหลียงจะปกป้องแม่เขาขนาดนี้ ทันใดนั้นก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งร้องออกมาว่า “แฟนเฉียวเหลียงต้องเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก!”


 


 


เด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งบอกว่า “เงียบๆ ดูวิดีโอกันต่อ!”


 


 


เด็กผู้หญิงคนนั้นกล่าวว่า “ฉันเดาได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไป เจ้าชายเฉียวเจ้าเสน่ห์โกรธมาก เพราะเดนมนุษย์นั่นสบประมาทแม่เขา เขากตัญญูต่อแม่มาก เขายอมให้ใครมาดูถูกแม่เขาอย่างนั้นไม่ได้ เขาสมควรอัดไอ้บ้านั่นให้น่วม!”


 


 


เด็กผู้ชายคนหนึ่งส่ายศีรษะ “เธอนี่รุนแรงเหลือเกิน ทำไมไม่เรียนรู้จากเซียวโหรวบ้าง เซียวโหรวมีเหตุผลมากจนทนทุกอย่างได้ แม้ว่าเซียวจิ้นหนิงจะใส่ร้ายเธออย่างเลวร้ายมากก็ตาม เซียวโหรวช่างน่าชื่นชมจริงๆ”


 


 


ถังซีรีบส่ายศีรษะ “ถ้าใครกล้าสบประมาทแม่ฉันอย่างนั้น ฉันต้องฉีกปากเขาอย่างแน่นอน”


 


 


“เธอกับเฉียวเหลียงนี่น่าจะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันสุดๆ!” ใครคนหนึ่งพูดขึ้น


 


 


ถังซีหน้าแดง ทันใดนั้นเด็กหญิงคนนั้นก็บอกว่า “นี่พวกเรา ดูวิดีโอกันต่อดีกว่า เดี๋ยวคุณครูก็มาแล้ว!”


 


 


ทั้งหมดดูคลิปวิดีโอต่อไป ในคลิปวิดีโอลู่กวงสยงจ้องมองเฉียวเหลียงอย่างดุร้าย และกล่าวอย่างเยือกเย็น ‘แกไม่กลัวหรือว่าเราจะถูกพวกนักข่าวถ่ายรูป ถ้าปล่อยให้ฉันเดินออกไปแบบนี้ ตอนนี้แกก็ซ้อมหงคุนขนาดนี้แล้ว เอามาให้ฉันสองพันล้านหยวน แล้วฉันจะเสแสร้งว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ฉันจะไม่ให้แกต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ จะไม่แจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยเจตนา ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่มีวันปล่อยแก! ตายก็ต้องตายด้วยกัน!’


 


 


นักเรียนต่างร้องอุทาน “นั่นไง เขาเรียกร้องให้เฉียวเหลียงจ่ายให้เขาสองพันล้านหยวน!”


 


 


บางคนส่งสายตามีความหมายมองไปที่ลู่เสี่ยวจิงซึ่งหน้าซีดเผือด และพูดจาเสียดสีเธอ “สมาชิกครอบครัวเธอนี่หน้าด้านจริงๆ พวกเธอทำสิ่งที่เลวร้ายมากกับเฉียวเหลียง… แล้วยังมีหน้ามาขอเงินเขาอีกได้ยังไง เขาปฏิเสธ และพี่ชายเธอดูหมิ่นแม่เขา พอถูกเฉียวเหลียงซ้อมครอบครัวเธอก็ยังพยายามแบล็กเมล์เขาตั้งสองพันล้านหยวน! บาดแผลพี่ชายเธอนี่มันราคาแพงมากจริงๆ!”


 


 


เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปเมื่อห้าปีที่แล้ว ถูกนำมาเปิดเผยบนอินเทอร์เน็ต เช่นเดียวกับอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกิดขึ้นกับมารดาเฉียวเหลียง จนทำให้ท่านเป็นอัมพาตเมื่อห้าปีที่แล้ว ทุกคนกำลังพูดถึงเรื่องนี้ และถึงกับมีคนกล่าวว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกิดกับมารดาเฉียวเหลียง เป็นการวางแผนโดยเจตนา


 


 


เด็กผู้ชายคนหนึ่งกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “ฉันคิดว่าเฉียวเหลียงไม่ได้ทำอะไรผิดเลย นี่ถ้าฉันเป็นเฉียวเหลียง เมื่อพวกเขาเรียกร้องจากฉันสองพันล้านหยวน ฉันจะเอาให้ลู่หงคุนให้ตายคาเท้าไปเลย แล้วโยนสองพันล้านหยวนให้พวกเขา! อย่างที่เฉียวเหลียงพูดไง ในเมื่อพวกเขาอยากลงนรก เขาก็จะสงเคราะห์ส่งพวกเขาไป! ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว!”


 


 


“ไม่จริง นี่มันเรื่องโกหก!” ลู่เสี่ยวจิงสติแตกและกรีดร้อง


 


 


ถังซียิ้มเยาะ “มีข้อเท็จจริงเปิดเผยออกมาให้พวกเราได้เห็นมากมายขนาดนี้ ใครกันแน่ที่โกหก”


 


 


‘#เฉียวเหลียงลูกชายสุดประเสริฐ’ กลายเป็นแฮชแท็กที่ถูกค้นหามากที่สุด หางตาถังซีหรี่ลงเมื่อเธอเห็นแฮชแท็กที่ถูกสืบค้นมากที่สุดสามอันดับแรก ซึ่งก็คือ ‘#เฉียวเหลียงสุดยอดสามี’ ‘#เฉียวเหลียงลูกชายสุดประเสริฐ’ และ ‘#การเตะของเฉียวเหลียง’ แฮชแท็กที่ถูกค้นหามากที่สุดทั้งหมดในวันนี้ ล้วนเกี่ยวข้องกับเฉียวเหลียง!


 


 


ถังซีไม่คาดคิดเลยว่า วันหนึ่งเฉียวเหลียงจะได้ครอบครองอันดับแฮชแท็กที่ถูกสืบค้นมากที่สุด…


 


 


ลู่เสี่ยวจิงมองหน้าถังซีและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เธอมีความสัมพันธ์อะไรกับเฉียวเหลียง ทำไมถึงพยายามปกป้องเขานัก! เธอคิดว่าเธอเป็นใครหรือ!”


 


 


“ไม่ใช่ธุระของเธอ ฉันไม่ได้พูดอะไรเพื่อเขา ฉันแค่บอกความจริง ถ้าผู้ชายไม่กล้าปกป้องแม่ของตัวเอง เขาก็ไม่สมควรจะเป็นผู้ชาย! นอกจากนี้เฉียวเหลียงยังรับผิดชอบต่อการกระทำของเขา ในขณะที่คนบางคนปฏิเสธที่จะเผชิญหน้ากับความผิด ทำได้แค่ใส่ร้ายคนอื่นในที่มืด แล้วสองพันล้านหยวนนั่นล่ะ คือการแบล็กเมล์ชัดๆ!”


 


 


“โอ พระเจ้า! ดูข่าวสิ!” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งร้องโวยวาย


 


 


เด็กผู้ชายถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”


 


 


“เฉียวเหลียงยอมมอบตัวกับตำรวจ! พระเจ้า! ทำไมเขาถึงทำอย่างนี้”


 


 


ถังซีตกตะลึง ทำไมเขาถึงทำแบบนี้


 


 


โทรศัพท์ถังซีดังขึ้น เธอมองดูชื่อผู้โทรแล้วรีบเดินหลบไปด้านข้าง รับโทรศัพท์และถามอย่างร้อนใจ “พี่จิ่งเกิดอะไรขึ้น เขาเป็นบ้าไปแล้วเหรอ”


 


 


น้ำเสียงเซียวจิ่งฟังดูหมดหนทาง “ใครจะไปรู้ล่ะ เราห้ามเขาก็ไม่ฟัง ยืนยันจะเข้ามอบตัวกับตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีทางเลือกนอกจากควบคุมตัวเขา พี่จะไปรับเธอเดี๋ยวนี้ ขอลาครูไว้เลย เธอต้องมาคุยกับเขา ตอนนี้เขาเป็นบ้าไปแล้ว!”


 


 


ถังซีตอบว่า “ตกลง มาถึงเมื่อไรพี่โทรหาฉัน แล้วเจอกันค่ะ”

 

 

 


ตอนที่ 242 เจ้าหญิงน้อยผู้ภาคภูมิ

 

ถังซีวางสายโทรศัพท์และหันไปหาเฉินจื้อเยี่ยนอย่างรีบเร่ง เธอกำลังจะขอให้เฉินจื้อเยี่ยนช่วยขอลาหยุดเรียนกับคุณครูให้เธอ เมื่อเธอเห็นคุณครูเหอกับครูประจำชั้นรีบเดินเข้ามา ถังซีเดินไปหาพวกเขา คุณครูเหอกล่าวว่า “เซียวโหรว เธออยากจะขอลาหรือเปล่า ไม่เป็นไรนะ ไปทำธุระของเธอเถอะ ครูอนุญาต” 


 


 


ถังซีอึ้ง “…” คุณครูเหอ คุณช่างเป็นคนมีน้ำใจจริงๆ!  


 


 


คุณครูประจำชั้นมองหน้าถังซี เม้มปากแล้วกล่าวว่า “บ้านครูอยู่ใกล้โรงเรียนมาก เธออยากให้ครูไปส่งไหม” 


 


 


ถังซีส่ายศีรษะ มองไปที่ลู่เสี่ยวจิงซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเธอ แล้วกล่าวว่า “พี่ชายหนูจะมารับค่ะ หนูต้องไปแล้ว ลาก่อนนะคะ” 


 


 


เมื่อเห็นถังซีจากไปอย่างเร่งรีบ ลู่เสี่ยวจิงก็ตะโกนว่า “ใช่ เขาคือเจ้าชายเฉียวเจ้าเสน่ห์ แล้วไงล่ะ ถ้าเขาซ้อมคนอื่น เขาก็ทำผิดกฎหมาย!” 


 


 


เมื่อเห็นลู่เสี่ยวจิงเริ่มส่งเสียงดังทันทีที่ถังซีจากไป เฉินจื้อเยี่ยนก็ยิ้มเยาะ “ชิ เฉียวเหลียงทำถูกต้องและยุติธรรมดีแล้วที่ซ้อมพี่ชายเลวๆ ของเธอ ที่ฆ่าคนบริสุทธิ์มามากมาย! ฉันคิดว่าตำรวจควรมอบรางวัลให้เจ้าชายเฉียวเจ้าเสน่ห์สำหรับการกระทำของเขา!” 


 


 


พ่อของเฉินจื้อเยี่ยนเป็นหนึ่งในบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกใต้ดิน เขามักเล่าความลับบางอย่างให้แม่เธอฟังที่บ้าน บางครั้งเธอก็แอบได้ยิน และเธอได้ยินมามากมายเกี่ยวกับความเลวทรามที่ลู่หงคุนเคยกระทำ! 


 


 


ขณะนั้นนั่นเองก็มีบางอย่างเกิดขึ้นในความคิดของเฉินจื้อเยี่ยน เธอจึงโทรหาพ่อเดี๋ยวนั้น ทันทีที่โทรศัพท์เชื่อมต่อ น้ำเสียงรักใคร่เอ็นดูของพ่อเธอก็ดังขึ้น “เอ ทำไมหนอสาวน้อยถึงโทรหาพ่อได้ ให้พ่อเดานะว่าหนูมีเรื่องไม่สบายใจที่โรงเรียน และอยากกลับบ้าน แต่ไม่กล้าบอกแม่ ใช่ไหม” 


 


 


เฉินจื้อเยี่ยนทำตาหยีเมื่อได้ยินเสียงหวานของพ่อ “พ่อคะ หนูจริงจังค่ะ” 


 


 


“ว่าไงจ๊ะ เจ้าหญิงของพ่อ!” เสียงหวานๆ ดังขึ้นอีกทันที 


 


 


เฉินจื้อเยี่ยนยิ้มและกล่าวว่า “พ่อคะ ช่วยส่งรายละเอียดเรื่องการกระทำชั่วๆ ของลู่หงคุนมาให้หนูได้ไหมคะ หนูอยากเอามาเปิดเผยกับสื่อ!” 


 


 


นักเรียนที่รายล้อมเฉินจื้อเยี่ยนหันมามองเธอด้วยดวงตาเป็นประกายแวววาว มีเพียงลู่เสี่ยวจิงที่ตะโกนใส่เฉินจื้อเยี่ยน “เฉินจื้อเยี่ยน เธอบ้าไปแล้วเหรอ เธอรู้ไหมว่าจุดจบของเธอจะเป็นยังไง ถ้ามายุ่งกับครอบครัวฉัน” 


 


 


เฉินจื้อเยี่ยนขมวดคิ้วมองลู่เสี่ยวจิงอย่างเย็นชา และถามว่า “แล้วเธอรู้ไหมว่าจุดจบของเธอจะเป็นยังไง ถ้าเธอมายุ่งกับฉัน ถ้าเธอทำให้ฉันขุ่นเคือง ฉันไม่มีวันปล่อยเธอ” 


 


 


เฉินจื้อเยี่ยนไปกับพ่อเสมอในการเจรจาธุรกิจตั้งแต่ยังเด็ก เธอมีประสบการณ์มากมายที่คนรอบข้างไม่สามารถจินตนาการได้ จริงๆ แล้วเธอเป็นผู้หญิงแกร่ง แต่เธอแกล้งทำเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไร้พิษสงเวลาอยู่ในโรงเรียน สำหรับเซียวโหรว… เธอคิดว่าเซียวโหรวเหมือนราชินีมากกว่าเธอ เธอจึงควรจะเป็นเจ้าหญิงน้อยมากกว่า เมื่ออยู่กับเซียวโหรว 


 


 


แต่นั่นไม่ใช่กรณีความสัมพันธ์กับลู่เสี่ยวจิง ลู่เสี่ยวจิงไม่อยู่ในสายตาเธอ แล้วยังจะกล้าพูดกับเธอแบบนี้ได้อย่างไร ครอบครัวหล่อนมีแค่กิจการเล็กๆ กล้าขู่เธอแบบนี้ได้อย่างไร 


 


 


เมื่อพ่อเฉินจื้อเยี่ยนได้ยินการสนทนาดังเข้ามาในโทรศัพท์ เขาก็เอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็นทันที “หนูน้อยของพ่อ รอพ่อนะ พ่อจะไปที่โรงเรียนหนูเดี๋ยวนี้ จะได้สั่งสอนเด็กผู้หญิงโง่ๆ คนนั้น!” 


 


 


เฉินจื้อเยี่ยนรีบห้ามพ่อทันที ถ้าพ่อเธอมาที่โรงเรียน จะเกิดเหตุโกลาหลขึ้นที่โรงเรียนอย่างแน่นอน … “พ่อคะ พ่อแค่ส่งข้อมูลที่หนูต้องการมาก็พอค่ะ หรือพ่อจะลงเผยแพร่โดยตรงบนอินเทอร์เน็ตเองก็ได้ เพราะว่าจริงๆ แล้ว…” เฉินจื้อเยี่ยนเหลือบมองลู่เสี่ยวจิงแล้วยิ้มเยาะ “เพราะว่าจริงๆ แล้วหนูไม่ได้อยากอ่านเลย! เสียเวลาของหนูค่ะ!” 


 


 


เฉินจื้อเยี่ยนวางสายโทรศัพท์ หัวเราะเย้ยหยัน แล้วหันหลังเดินไปทางห้องเรียน “พวกเรา ถึงเวลาเข้าชั้นเรียนแล้ว!” 


 


 


ลู่เสี่ยวจิงยืนอยู่บนทางเดิน แทบกระโจนใส่เฉินจื้อเยี่ยนด้วยความโกรธ เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาพ่อกับแม่ แต่สัญญาณไม่สามารถเชื่อมต่อได้เลย ลู่เสี่ยวจิงจึงเดินไปทางด้านนอกโรงเรียน 


 


 


… 


 


 


ทางด้านถังซี เธอไม่รู้ว่าเฉินจื้อเยี่ยนทำอะไร เมื่อเธอมาถึงประตูโรงเรียนเซียวจิ่งก็รออยู่ที่นั่นแล้ว แม้เซียวจิ่งจะไม่ได้เจอน้องสาวมาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ แต่เขาก็ไม่มีเวลาได้กอดเธอ เขารีบเปิดประตูรถให้ถังซีพร้อมกับกล่าวว่า “เขาต้องบ้าแน่ๆ! พี่อุตส่าห์แก้ข่าวกับนักข่าวพวกนั้นแล้ว แต่เขากลับยอมรับว่าเขาซ้อมลู่หงคุน! ถ้าไม่ใช่เพราะคลิปวิดีโอนั้น เขาต้องถูกสาธารณชนประณามแน่ คลิปนั้นช่วยกู้ชื่อเสียงเขาคืนมา แต่เขาก็ยังจะไปมอบตัวกับตำรวจอีก! เขาจะทำอะไรของเขา!” 


 


 


เมื่อเห็นท่าทางวิตกกังวลของเซียวจิ่ง ถังซีก็รู้สึกทันทีว่าเธอไม่ห่วงเฉียวเหลียง เธอยิ้ม “พี่จิ่ง ทำไมพี่วิตกจริตจัง ในเมื่อเขาตัดสินใจยอมมอบตัวกับตำรวจ ก็แสดงว่าเขามีทางออก พี่ไม่ต้องกังวลกับเขาเลย” 


 


 


เซียวจิ่งโกรธเมื่อเห็นถังซีหัวเราะ “นี่เธอยังจะมีอารมณ์หัวเราะอยู่ได้ยังไง! เธอไม่รู้หรือว่าเขาอยู่ที่สถานีตำรวจ! เขาถูกขังอยู่ในห้องขัง!” 


 


 


“ไม่ใช่พี่ซักหน่อยที่ถูกขังอยู่ในห้องขัง ทำไมพี่ถึงวิตกกังวลมากขนาดนี้” ถังซีล้อเล่นอย่างใจเย็น เธอรู้ดีว่าเฉียวเหลียงรู้แน่นอนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ เพราะเขาเลือกที่จะทำแบบนี้ เขาต้องมีจุดประสงค์ เมื่อคิดเช่นนี้ถังซีก็ถามเซียวจิ่งว่า “ว่าแต่เฉียวเหลียงสั่งว่ายังไงคะ ก่อนที่เขาจะไปหาตำรวจ” 


 


 


“เขาแค่บอกว่าพี่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบงานที่บริษัท ก่อนที่เขาจะไปสถานีตำรวจ แต่พี่รับผิดชอบบริษัทในตำแหน่งเขาไม่ไหวหรอก!” เซียวจิ่งกล่าวอย่างโมโห “พี่เพิ่งได้กลับไปนอนพักที่บ้านวันนี้ แต่เขาก็ฟาดสายฟ้ามาใส่พี่ จะไม่ให้พี่หยุดพักบ้างเลยหรือไง” 


 


 


ถังซีมองหน้าเซียวจิ่งผู้เกือบจะสิ้นหวัง แล้วยิ้ม “พี่จิ่ง ฉันรู้ว่าไม่ง่ายสำหรับพี่” 


 


 


เซียวจิ่งจ้องหน้าเธอ และถามอย่างเกรี้ยวกราด “แล้วเธอล่ะ ทำไมถึง…” 


 


 


ถังซีขัดจังหวะเซียวจิ่ง เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม” ฉันแค่ไปอยู่ที่นั่นชั่วคราวค่ะ ฉันรู้วิธีฝังเข็ม ฉันเลยจะไปรักษาให้…แม่ ด้วยการฝังเข็ม ฉันจะกลับบ้านเมื่อเธอหายดี ครอบครัวของฉันคือครอบครัวพี่เท่านั้น พี่ก็รู้” 


 


 


เซียวจิ่งมองถังซีด้วยสายตาลึกซึ้งอยู่ค่อนข้างนาน ก่อนจะกล่าวว่า “เธอเป็นผู้หญิงที่จิตใจดีจริงๆ” 


 


 


ถังซียิ้ม “ใจจริงฉันก็อยากเป็นตัวเองที่แท้จริงเท่านั้น แต่ถ้าฉันไม่สนใจเธอ ฉันคงไม่สามารถอธิบายกับเซียวโหรวได้” 


 


 


เซียวจิ่งถอนหายใจ “ถ้าพี่เหยารู้ว่าเธอไม่อยู่เมื่อเขากลับมา เขาคงจะเศร้ามาก!” 


 


 


“พี่เหยาเหรอคะ” ถังซียิ้ม “เขากลับมาแล้ว เขามาส่งฉันไปโรงเรียนวันนี้ แต่ตอนนี้เขาไปทำงานที่ต่างประเทศแล้ว” 


 


 


“ไปทำงานที่ต่างประเทศ” เซียวจิ่งตกใจนิดหน่อยเมื่อได้ยินข่าวพี่ชาย “ไปทำอะไร” 

 

 

 


ตอนที่ 243 หายนะครั้งแล้วครั้งเล่า

 

“ฉันไม่แน่ใจค่ะ บางทีเขาอาจต้องการไปสืบหาอะไรบางอย่าง ฉันไม่ได้ถามเขา” ขณะคุยกันไปตลอดทาง ในไม่ช้าทั้งสองก็ไปถึงสถานีตำรวจ ถังซีมองไปยังอาคารสูงแล้วเม้มริมฝีปาก “เขาอยู่ที่นี่เหรอ” เธอถามขณะมองหน้าเซียวจิ่ง


 


 


เซียวจิ่งยักไหล่ ถังซีเดินเข้าไปในสถานีตำรวจ และขณะเดินไปก็ถามว่า “พี่จิ่ง พี่ไม่ได้กลับบ้านเลยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข่าวการเงินวันสองวันนี้หรือเปล่า”


 


 


เซียวจิ่งเลิกคิ้วมองถังซี เขากล่าวออกมาเมื่อเห็นว่าสีหน้าถังซีดูปกติ “ลูกผู้ชายอย่างพี่ คงอับอายเกินกว่าจะบอกใครว่าทำงานล่วงเวลา ถ้าไม่ได้ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ จริงไหม” เขาดูภาคภูมิใจมาก


 


 


ถังซียิ้มมุมปาก และเดินต่อไป


 


 



 


 


ในห้องพักคนไข้วีไอพีของโรงพยาบาลประจำเมือง A


 


 


ลู่กวงสยงยืนอยู่หน้าเตียงผู้ป่วยของลู่หงคุน กำลังมองไปที่ลั่วเสี่ยวลี่ซึ่งกอดลู่หงคุนไว้ในอ้อมแขนและร้องไห้ราวกับจะขาดใจ เขากล่าวอย่างเย็นชา “หยุดร้องไห้! ดูสภาพตัวเองซิ!”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ลั่วเสี่ยวลี่ก็เงยหน้าขึ้นมองและตะโกนใส่เขาทันที “ลูกชายฉันเกือบต้องตาย! ทำไมฉันถึงจะร้องไห้ไม่ได้ เขาเป็นลูกชายของคุณด้วยไม่ใช่หรือ คุณไร้หัวใจพอที่จะเห็นเขาเป็นแบบนี้ได้ยังไง ดูสิ เขาบาดเจ็บสาหัสเพราะไอ้ลูกไม่มีพ่อนั่น!”


 


 


ลู่กวงสยงขมวดคิ้ว ลั่วเสี่ยวลี่สบประมาททันทีเมื่อเห็นสีหน้าลู่กวงสยงเข้มขึ้น “ทำไม ทนฟังฉันด่าลูกชายคนโปรดไม่ได้หรือ แล้วไง มันก็ยังเห็นคุณเป็นศัตรูตลอดเวลา และพยายามจะฆ่าคุณ! ดูบริษัทของคุณสิ! ถ้าไม่มีสองพันล้านหยวน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพยายามกันมาตลอดหลายปี ต้องถูกทิ้งลงท่อระบายน้ำ!”


 


 


ลู่กวงสยงนิ่งเงียบลงด้วยสีหน้าเครียดจัด ลู่หงคุนร้องเสียงดังทันทีเมื่อเห็นลู่กวงสยงไม่ยอมพูดอะไร เขาตะโกนใส่ลั่วเสี่ยวลี่ “แม่ผมปวด! ผมปวดไปหมดทั้งตัว!”


 


 


สีหน้าลั่วเสี่ยวลี่เปลี่ยนเป็นดุดันและโหดเ**้ยม เธอตะโกนใส่ลู่กวงสยง “ไปบอกไอ้เด็กสารเลวนะ! ถ้ามันไม่จ่ายเงินให้เราสองพันล้านหยวน เราจะฟ้องเอามันเข้าคุก! ถึงยังไงคนทั่วไปก็เข้าข้างเราอยู่แล้ว!”


 


 


ลู่กวงสยงหรี่ตาลง “ตกลง ฉันจะไปคุยกับเขา…”


 


 


ทันใดนั้นประตูห้องคนไข้ก็เปิดออก ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับโทรศัพท์ในมือ เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ท่านประธานครับ มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นแล้ว… ดูนี่สิครับ…”


 


 


หลังจากลู่กวงสยงดูคลิปวิดีโอเขาก็เบิกตากว้าง หน้าแดงก่ำ เขานิ่งอึ้งอยู่นานกว่าจะตะโกนออกมาอย่างโกรธแค้น “มันตัดต่อชัดๆ! มันตัดต่อชัดๆ!”


 


 


คลิปวิดีโอนี้ได้รับการตัดต่ออย่างเชี่ยวชาญ คำด่าและเย้ยหยันของเฉียวเหลียงถูกตัดออก ถ้อยคำที่พวกเขาพูดถูกตัดต่อด้วยความชำนาญ หากเขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เขาก็คงเชื่อทุกอย่างตามคลิปวิดีโอนี้…


 


 


ชายหนุ่มกล่าวอย่างเคร่งเครียด “ตอนนี้คนทั่วไปไม่ได้เข้าข้างเรานะครับ ชาวเน็ตบางคนถึงกับ…” เขาให้ลู่กวงสยงดูหัวข้อแฮชแท็กที่ถูกสืบค้นมากที่สุดของไมโครบล็อก ลู่กวงสยงหน้าแดงก่ำ พูดไม่ออก ขณะอ่านข้อความเหล่านั้น และลั่วเสี่ยวลี่กรีดร้องเสียงดัง “หน้าด้าน! พวกมันหน้าด้าน! หน้าด้านที่สุด!”


 


 


“เร็วสิ ไปบอกทุกคนว่าทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริง! เรื่องเกิดขึ้นในบริษัทพวกมัน พวกมันต้องตัดต่อคลิปวิดีโออย่างแน่นอน!” ลั่วเสี่ยวลี่ขว้างโทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มลงกับพื้น


 


 


โชคดีที่ชายหนุ่มคว้าโทรศัพท์เขาไว้ทัน


 


 


ลู่กวงสยงสงบนิ่งกว่าลั่วเสี่ยวลี่ เขากล่าวอย่างใจเย็น “แล้วไงล่ะ! ถ้ามันไม่อยากเข้าคุก มันก็ต้องให้เงินเรา และช่วยพวกเราให้พ้นคดี!”


 


 


พูดจบเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา และกำลังจะโทรออก เมื่อชายหนุ่มได้รับโทรศัพท์และ ใบหน้าสลดลงอย่างฉับพลัน เขาเงยหน้าขึ้นมองลู่กวงสยงด้วยความตกใจ เมื่อสังเกตเห็นว่าเขามีท่าทางแปลกไป ลู่กวงสยงก็เก็บโทรศัพท์ของตัวเองและจ้องมองชายหนุ่ม หลังจากชายหนุ่มวางสาย ลู่กวงสยงก็ ถามเขาว่า “เกิดอะไรขึ้น”


 


 


ชายหนุ่มค่อยๆ หันไปมองลู่กวงสยง จะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ก็ลังเล


 


 


ลู่กวงสยงตะคอกด้วยความโกรธ “พูดออกมา!”


 


 


“ท่านประธานครับ คนของเราบอกว่าเฉียวเหลียงยอมมอบตัวกับตำรวจครับ… และหลักฐานการเลี่ยงภาษีของบริษัทลูกของเราถูกส่งฟ้องศาลแล้ว และ…เอ่อ…”


 


 


ลั่วเสี่ยวลี่กรีดร้องเสียงดัง “พูดออกมาทั้งหมดทีเดียวไม่ได้หรือไง!”


 


 


“และมีเรื่องราวที่กำลังเผยแพร่ทางออนไลน์ว่า ผู้จัดการเป็นพวกฟิโดฟีเลีย ชอบมีสัมพันธ์กับเด็กครับ และได้ข่มขืนเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งจนตาย…”


 


 


“อะไรนะ!” ลู่กวงสยงเบิกตากว้าง ใบหน้าแดงก่ำ จ้องมองลู่หงคุนเขม็ง เขายกมือทาบอก อ้าปากค้าง “ข่มขืนเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ จนตาย อย่างนั้นหรือ”


 


 


ลู่หงคุนไม่กล้าสบตาพ่อ ชายหนุ่มกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พวกเขาบอกว่าตำรวจกำลังจะมาจับกุมตัวผู้จัดการครับ…”


 


 


ลู่หงคุนตกใจแทบช็อคเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขาไม่สนใจความเจ็บปวดทางร่างกาย กระโดดลงจากเตียงเข้าไปกอดขาลู่กวงสยง และร้องไห้อย่างสิ้นหวัง “พ่อครับ… พ่อช่วยผมด้วย! ช่วยผมด้วย! ผมไม่อยากเข้าคุก!”


 


 


ไม่มีเวลาถามลูกชายว่าจริงหรือไม่จริง ลั่วเสี่ยวลี่คว้าแขนลู่กวงสยง “เร็วเข้าสิ ทำอะไรสักอย่าง!”


 


 


ลู่กวงสยงสะบัดมือลั่วเสี่ยวลี่ เตะลู่หงคุนออกไป แล้วกล่าวอย่างเย็นชา “ไอ้เด็กเลว! แกกล้าฆ่าคนตายได้ยังไง! แล้วเมื่อแกฆ่าคนตายแล้วทำไมถึงให้คนอื่นจับได้”


 


 


ลู่หงคุนร้องไห้ “ผมไม่รู้ ผมกับเพื่อนๆ แค่เล่นสนุกกับเด็กคนนั้น ผมไม่รู้ว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงได้อ่อนแอ…”


 


 


พลั่ก…


 


 


ก่อนที่ลู่หงคุนจะพูดจบ ลู่กวงสยงก็เตะเขาซ้ำอีกครั้ง เขาถูกเตะกระเด็น ใบหน้ากระแทกขาเตียงเสียงดังลั่น ลั่วเสี่ยวลี่โกรธมากที่เห็นลูกชายโดนเตะ เธอตะโกนใส่ลู่กวงสยง “ทำไมเอาแต่โกรธหงคุน! ทำไมไม่ทำอะไรสักอย่าง…”


 


 


ปัง…


 


 


ก่อนที่เธอจะได้พูดจบ ประตูห้องก็เปิดออกอย่างแรง ตำรวจสวมเครื่องแบบสองนายเดินเข้ามา แล้วกล่าวเสียงเรียบ “เราพบหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่า ลู่หงคุนฆ่าเด็กผู้ชายตายในอ้ายฉางคาราโอเกะ นี่คือหมายจับ กรุณาไปกับพวกเราด้วย”


 


 


ลั่วเสี่ยวลี่รีบลุกขึ้นปกป้องลู่หงคุนไว้ข้างหลัง เธอตะโกนใส่ตำรวจ “ไร้สาระ! ออกไป! ออกไปให้พ้น!”


 


 


ลู่กวงสยงลากลั่วเสี่ยวลี่ออกมา มองหน้าตำรวจด้วยสีหน้าเฉยชา และกล่าวว่า “ท่านครับ ได้โปรดเอาตัวฆาตกรคนนี้ไปด้วย!”


 


 


ลั่วเสี่ยวลี่และลู่หงคุนมองหน้าเขาด้วยความตกใจ ลู่กวงสยงเหลือบสายตาดุดันไปที่ลั่วเสี่ยวลี่อย่างรวดเร็วและกล่าวอย่างเยือกเย็น “หุบปาก!”


 


 


“พ่อ…” ลู่หงคุนถูกตำรวจนำตัวไป ก่อนที่เขาจะพูดอะไรได้มากกว่านี้


 


 


ลั่วเสี่ยวลี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจนกระทั่งลู่หงคุนถูกนำตัวไป เธอกระโจนเข้าไปข่วนหน้าลู่กวงสยง “คุณนั่งเฉยๆ มองดูหงคุนถูกจับไปอย่างนี้ได้ยังไง! คุณยอมให้คนพวกนั้นเอาตัวลูกชายเราไปได้ยังไง!”


 


 


ลู่กวงสยงโกรธมาก ตบหน้าลั่วเสี่ยวลี่และกล่าวอย่างเยือกเย็น “ไอ้เด็กสารเลว! สร้างความเดือดร้อนให้บริษัทยังไม่พอ ตอนนี้มันถึงกับฆ่าเด็กผู้ชายด้วยวิธีที่น่าขยะแขยง ฉันหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว ยังจะเอาอะไรไปช่วยมันให้พ้นผิดได้อีกหรือ!”


 


 


ลั่วเสี่ยวลี่ไม่เคยโดนลู่กวงสยงตบหน้ามาก่อน เมื่อถูกตบเธอตกตะลึง จ้องมองลู่กวงสยงอย่างตื่นตระหนก และตะโกนด้วยเสียงแหบห้าว “คุณตบหน้าฉัน!”


 


 


ลู่กวงสยงไม่สนใจเธอ ลั่วเสี่ยวลี่เสียสติไปแล้ว เธอม้วนแขนเสื้อขึ้น กระโจนเข้าไปข่วนลู่กวงสยง “ฉันจะฆ่าแก!”

 

 

 


ตอนที่ 244 ทำลายให้สิ้นซาก

 

ลู่กวงสยงเหวี่ยงแขน สะบัดลั่วเสี่ยวลี่ลงไปกองกับพื้น เขามองลงไปที่เธอแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น “ถ้ายังไม่เลิกเป็นแบบนี้ ก็ไปให้พ้นหน้าฉัน!”


 


 


“ลู่กวงสยง คุณหมายความว่ายังไง ตอนนี้คุณไม่มีเงินแล้ว ก็เลยจะกลับไปหาเฉียวอวี่ซินอย่างนั้นหรือ” ลั่วเสี่ยวลี่นั่งอยู่บนพื้น เงยหน้าขึ้นจ้องมองลู่กวงสยงและหัวเราะเยาะ “ตอนนี้คุณจะกลับไปหานังง่อยนั่นเหรอ คุณจะทิ้งฉันแล้วกลับไปหานังง่อย เพราะมันรวยใช่ไหม”


 


 


“หุบปาก!” ลู่กวงสยงหรี่ตามองลั่วเสี่ยวลี่ที่ทำตัวเหมือนผู้หญิงปากตลาด และกล่าวอย่างเยือกเย็น “หัดอ่านหนังสือซะบ้างนะ อย่ามัวแต่ไร้สาระไปวันๆ ดูเธอสิ เหมือนผู้หญิงชาวบ้านปากตลาดไม่มีผิด! ไม่ใช่สิ ผู้หญิงชาวบ้านปากตลาดยังดีกว่าเธอ!”


 


 


“แต่คุณก็ทิ้งเฉียวอวี่ซินมาหาผู้หญิงปากตลาดคนนี้ไม่ใช่หรือ!” ลั่วเสี่ยวลี่หัวเราะเสียงดัง “คุณใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิงปากตลาดแบบนี้มานานหลายปีแล้ว และผู้หญิงปากตลาดคนนี้ก็เป็นแม่ของลูกทั้งสองของคุณ! ทำไม จะมาเสียใจตอนนี้หรือไง อยากกลับไปหานังง่อยนั่นหรือ นังง่อยที่แม้แต่จะลุกขึ้นยืนยังทำไม่ได้เลยตอนนี้!”


 


 


ลู่กวงสยงจ้องหน้าลั่วเสี่ยวลี่ที่นั่งอยู่บนพื้น แล้วเดินออกไปด้วยความเดือดดาล “เธอนี่มันเพ้อเจ้อ จริงๆ!”


 


 


“ใช่! ฉันเพ้อเจ้อ! แล้วไงล่ะ!” ลั่วเสี่ยวลี่ร้องไห้อย่างขมขื่น “คุณมันคนเนรคุณ!”


 


 



 


 


ในเวลาเดียวกัน ถังซีกำลังมองดูเฉียวเหลียง ซึ่งนั่งจิบชาสนทนากับผู้กำกับการตำรวจสันติบาลอย่างมีความสุข ในห้องรับรองของสถานีตำรวจ หางตาเธอหรี่ลง เธอหันไปถามเซียวจิ่งซึ่งกำลังตกตะลึง “แบบนี้เหรอคะ ที่พี่เรียกว่า ‘ถูกขังอยู่ในห้องขัง’ ”


 


 


เซียวจิ่งหัวเราะอย่างมึนงง “พี่ก็สงสัยว่าทำไมเขาถึงมานั่งดื่มน้ำชากับท่านผู้กำกับการตำรวจสันติบาลได้! เขาบอกพี่ว่าเขาจะมามอบตัวกับตำรวจ!”


 


 


ดวงตาเฉียวเหลียงเป็นประกายขึ้นทันทีที่เห็นถังซี เขาลุกขึ้นเดินเข้ามาหา และพาถังซีเข้าไปในห้อง เขาเหลือบมองเซียวจิ่ง ส่งสัญญาณว่าให้ไปได้แล้ว เซียวจิ่งไม่สนใจเขา เดินเข้าไปพร้อมกับรอยยิ้มและทักทายท่านผู้กำกับ “ผู้กำกับมู่ ไม่ได้เจอกันนาน เป็นอย่างไรบ้างครับ”


 


 


เซียวจิ่งคุ้นเคยกับผู้กำกับมู่ดีเพราะพ่อของเขา ผู้กำกับมู่ยิ้มให้เซียวจิ่ง กล่าวว่า “คุณเซียวจิ่ง เชิญนั่งครับ คุณพ่อคุณเป็นยังไงบ้างช่วงนี้”


 


 


“ท่านสบายดีครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดี” เซียวจิ่งเดินมานั่งลงที่โซฟา แล้วรับถ้วยน้ำชาที่ผู้กำกับมู่ส่งให้ “ผู้กำกับมู่ ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง ผมจะนำความปรารถนาดีไปบอกคุณพ่อให้”


 


 


ผู้กำกับมู่ยิ้ม “ขอบคุณครับ คุณเซียวจิ่ง” จากนั้นเขาก็หันไปหาถังซี “สุภาพสตรีสาวน้อยคนนี้ดูคุ้นๆ”


 


 


ถังซียิ้ม แต่อุทานในใจว่า ‘ตายแล้ว ฉันลืมใส่หน้ากากกับหมวก…’


 


 


เซียวจิ่งกล่าวว่า “ผู้กำกับมู่ ผมคิดว่าคุณเคยเจอน้องสาวผมมาแล้วนะครับก่อนหน้านี้ ตอนที่น้องสาวผมกลับมาพร้อมกับคุณปู่ผม เมื่อคราวนั้น…”


 


 


ดวงตาผู้กำกับมู่เป็นประกายขึ้นทันที เขาพยักหน้า แล้วทันใดนั้นก็หยุดชะงักเพราะเห็นเฉียวเหลียงจับมือถังซี “แล้ว… นั่น…”


 


 


เซียวจิ่งถอนหายใจ “ได้โปรดอย่าบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ผมนะครับ ผู้กำกับมู่ คุณรู้ไหมว่ากรณีของน้องสาวผมเป็นเรื่องไม่ปกติ เธอยังเรียนอยู่โรงเรียนมัธยม เพราะฉะนั้นพ่อแม่ผมไม่ยอมให้เธอมีความรักกับใครแน่ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงต้องเก็บความสัมพันธ์นี้ไว้เป็นความลับ…” เขามองหน้าผู้กำกับมู่อย่างมีความหมาย


 


 


เฉียวเหลียงหรี่ตามองเซียวจิ่ง และกล่าวอย่างเยือกเย็น “เราไม่ได้มีอะไรต้องหลบซ่อน เข้าใจไหม”


 


 


เซียวจิ่งจ้องเฉียวเหลียงเขม็ง “นายมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”


 


 


ถังซีรีบห้ามเฉียวเหลียง เธอยิ้มให้เขาและถามว่า “คุณหิวน้ำไหม…”


 


 


เฉียวเหลียงที่กำลังจะทะเลาะกับเซียวจิ่งพยักหน้าทันที “หิวสิ ผมหิว…”


 


 


ถังซีรีบส่งถ้วยชาให้เขาทันที แล้วหัวเราะเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นก็เงียบซะ แล้วดื่มน้ำชา”


 


 


เฉียวเหลียงรับถ้วยชามาจิบ แล้วเงียบเสียงลง


 


 


ผู้กำกับมู่รู้สึกประหลาดใจที่เห็นเฉียวเหลียงผู้ทรงอำนาจอยู่เมื่อกี้ กลายเป็นชายหนุ่มที่ว่านอนสอนง่ายกับผู้หญิงคนหนึ่งไปได้ ทันใดนั้นเขาก็คิดออกว่า ทำไมเฉียวเหลียงถึงคิดจะเก็บความสัมพันธ์ของพวกเขาไว้เป็นความลับ… เพราะผู้หญิงที่เฉียวเหลียงชอบนั้นสวยมาก…


 


 


อย่างไรก็ตาม เขาได้ยินมาว่าหญิงสาวคนนี้เติบโตขึ้นมาในชนบท… ครอบครัวเฉียวเหลียงจะยอมรับเธอได้หรือ


 


 


ขณะนั้นนั่นเองผู้กำกับมู่ก็กล่าวว่า “ท่านประธานเฉียว ผู้บังคับบัญชาของผมบอกว่า คุณสามารถอยู่ที่นี่ได้นานเท่าที่คุณต้องการ คุณวางใจได้ว่าเราจะจัดแถลงข่าวในวันที่คุณออกจากที่นี่ เพื่อชี้แจงว่าคุณไม่ได้ก่ออาชญากรรม…”


 


 


เฉียวเหลียงยกมือขึ้นห้าม “ไม่ต้องกังวลครับ ผมไม่ได้สนใจ เพราะเมื่อผมเลือกที่จะมาที่นี่ ก็แสดงว่าผมไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเสียง”


 


 


“แต่ว่าเฉียวกรุป…”


 


 


“เฉียวกรุปกติดีครับ ราคาหุ้นของเรากลับมาพุ่งขึ้นอีกครั้ง…” เซียวจิ่งซึ่งกำลังดูโทรศัพท์มือถืออยู่เงยหน้าขึ้นมองและตอบทันที


 


 


ถังซียิ้มให้เซียวจิ่ง และเซียวจิ่งเลิกคิ้วใส่เธอ ถังซีขมวดคิ้วใส่เขา…


 


 


ในเวลานั้นโทรศัพท์ของผู้กำกับมู่ก็ดังขึ้น หลังจากรับสายเขาก็หยิบรีโมทมาเปิดโทรทัศน์ ซึ่งกำลังเสนอข่าวว่า ลู่หงคุนได้ข่มขืนเด็กผู้ชายคนหนึ่งจนเสียชีวิต และถูกจับกุม…


 


 


ผู้กำกับมู่หรี่ตาลง “พวกลูกเศรษฐีพวกนี้…” ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่ามี ‘พวกลูกเศรษฐี’ นั่งอยู่ข้างๆ เขาสองคน และรีบแก้ไขคำพูด “ลู่หงคุนนี่เดนมนุษน์จริงๆ!”


 


 


ถังซีเองก็ตกใจกับการกระทำของลู่หงคุนเช่นกัน เธอขมวดคิ้ว แต่ตอนนี้เธอไม่มีเวลาประณามเขา ได้แต่ถามว่า “ใครเป็นคนเปิดเผยเรื่องนี้”


 


 


ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์ออกมารับสาย “จื้อเยี่ยนมีอะไรเหรอ”


 


 


น้ำเสียงตื่นเต้นของเฉินจื้อเยี่ยนดังขึ้น “โหรวโหรว โหรวโหรว เธอดูข่าวอยู่หรือเปล่า ดูหรือเปล่า ชอบของขวัญที่ฉันมอบให้เธอไหม ลู่เสี่ยวจิงบังอาจด่าเธอ! ฉันเลยให้พ่อฉันเปิดเผยการกระทำชั่วของพี่ชายลู่เสี่ยวจิง ถึงแม้พ่อฉันจะเอามาเปิดเผยแค่เรื่องเดียว แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาเข้าไปเน่าตายอยู่ในคุก!”


 


 


ถังซีจ้องมองจอทีวี กะพริบตาปริบๆ ใช้เวลานานพอสมควรกว่าเธอจะพูดออกมาได้ “โอเค” แล้ววางสายไป จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมองเฉียวเหลียง ซึ่งไม่แสดงอารมณ์ใด แต่คำรามเบาๆ ว่า “ไม่คิดเลยว่าจะมีใครเคลื่อนไหวเร็วกว่าผม”


 


 


ถังซีมองเขาด้วยความสับสน “ตกลงว่าคุณจะยังไม่ไปจากที่นี่เหรอ”


 


 


“ไม่ต้องรีบร้อน” เฉียวเหลียงยิ้มให้เธอ จากนั้นก็หันไปหาเซียวจิ่งและกล่าวว่า “ฉันให้อาห้าไปซุ่มอยู่ใกล้ๆ บ้านเพื่อคอยปกป้องดูแลแม่ฉัน แล้วสั่งผู้จัดการบริษัทไว้แล้วว่าไม่ต้องตัดสินใจใดๆ การตัดสินใจเรื่องเงินทั้งหมดจะระงับไว้ก่อนเดือนหนึ่ง และฉันจะกลับไปอีกครั้งในอีกหนึ่งเดือน”


 


 


เซียวจิ่งมองหน้าเฉียวเหลียง “นายจะทำอะไร”


 


 


เฉียวเหลียงหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ที่ดินที่บริษัทพวกเขาครอบครองอยู่ไม่เลว ฉันอาจจะสร้างสวนสนุกหรือสวนน้ำที่นั่น หรือ…” เฉียวเหลียงหันไปหาถังซีแล้วกล่าว่า “ผมสามารถปรับระดับ สร้างเป็นบ่อเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามให้คุณได้นะ ดีไหม”


 


 


เซียวจิ่งรู้สึกรำคาญการแสดงความรักต่อหน้าสาธารณะอย่างพร่ำเพรื่อนี้จริงๆ จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ขอเพียงบอกเรา ว่านายตัดสินใจยังไง!”


 


 


เฉียวเหลียงมองหน้าเขา ยิ้มและเค้นคำพูดออกมาเพียงไม่กี่คำ “ทำลายให้สิ้นซาก”

 

 

 


ตอนที่ 245 สุนัขจนตรอกพยายามกระเสือกก...

 

“นายแน่ใจแล้วเหรอ” เซียวจิ่งตกตะลึงมองหน้าเฉียวเหลียง เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเฉียวเหลียงจะตัดสินใจทำลายหงคุนกรุป “นายแน่ใจแล้วนะว่าต้องการทำลายหงคุนกรุป”


 


 


เฉียวเหลียงมองตอบเซียวจิ่งด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น “แล้วนายคิดว่าฉันจะทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร” เขากล่าว ขณะที่มือก็ยังลูบไล้นิ้วมือถังซีเล่น “ไม่ใช่แค่หงคุนกรุป แต่รวมถึงธุรกิจทุกอย่างที่เป็นของตระกูลลู่ ทุกบริษัทที่ให้เงินทุนสนับสนุนหงคุนกรุป หรือร่วมมือกับหงคุนกรุป เพื่อจุดประสงค์จะแบ่งแยกเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป ก็จะถูกทำลายล้างทั้งหมด ฉันจะทำให้พวกมันเห็นว่า มันจะมาฮุบธุรกิจของตระกูลเฉียว หรือจะมาโดนตระกูลเฉียวฮุบกันแน่!”


 


 


เซียวจิ่งกลืนน้ำลาย “แต่คงต้องใช้เวลานานพอดูนะที่จะยุบบริษัทพวกนี้ทั้งหมด และเราอาจมีเงินทุนไม่พอ”


 


 


ผู้กำกับมู่นั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ในใจคิดแต่ว่า “นายไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น! นายเป็นต้นไม้ ไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้ยิน! นายไม่ได้ยินว่าท่านประธานทั้งสองของเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป กำลังวางแผนทำลายล้างบริษัทเกินกว่าครึ่งของบริษัททั้งหมดในเมือง A…”


 


 


ถังซีหันไปมองผู้กำกับมู่ ซึ่งเอาแต่ปาดเหงื่อที่หน้าผาก เธอเม้มริมฝีปากน้อยอย่างเห็นอกเห็นใจ พลางสะกิดมือเฉียวเหลียง ชายหนุ่มหันมามองเธอ เธอจึงส่งสัญญาณให้เขามองดูผู้กำกับมู่ เฉียวเหลียงหันไปทางผู้กำกับมู่ เลิกคิ้วแล้วกล่าวขึ้นด้วยท่าทีสบายๆ ราวไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ปัญหาครอบครัวน่ะครับ ผมต้องขอโทษด้วยครับ ผู้กำกับมู่”


 


 


“ฮ่า ฮ่า…” ผู้กำกับมู่หัวเราะเฝื่อนๆ “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้ยินอะไรเลย” พระเจ้าช่วย การทำลายล้างบริษัทเกือบทั้งหมดในเมือง A เป็นแค่ปัญหาครอบครัวสำหรับเฉียวเหลียงเท่านั้นเองหรือ


 


 


เมื่อเห็นผู้กำกับมู่ทำท่าราวกับนั่งทับเข็มอยู่ทั้งกอง เซียวจิ่งจึงหยุดคุยกับเฉียวเหลียง กล่าวอำลาก่อนจะออกจากห้องไป ถังซีเห็นดังนั้น จึงหันมาถามเฉียวเหลียง “แล้วคุณจะอยู่ที่นี่ต่อจริงๆ เหรอ”


 


 


เฉียวเหลียงยิ้ม ลูบผมเธอ และตอบว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงผม คุณกลับไปโรงเรียนเถอะ”


 


 


ถังซีขมวดคิ้ว ฎฉันไม่รู้นะว่าคุณกำลังคิดจะทำอะไร แต่ยังไงก็เถอะ ฉันลาโรงเรียนมาแล้ว ให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนคุณที่นี่ก็แล้วกัน ตอนเย็นจะได้แวะไปบ้านคุณ ไปเยี่ยมคุณป้าเฉียว แต่ยังไงคุณก็น่าจะเล่าให้คุณป้าฟังด้วยนะ ไม่อย่างนั้นท่านต้องเป็นกังวลมากแน่เลย ถ้าได้เห็นจากในข่าว!”


 


 


เฉียวเหลียงมองเธออย่างรักใคร่ กุมมือเธอไว้โดยไม่สนใจสายตาคนอื่น บอกด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อันที่จริงแม่ผมไม่ได้เปราะบางอย่างที่คุณคิด ถ้าบอบบางขนาดนั้นท่านก็คงไม่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้”


 


 


ถังซีอึ้งไป


 


 


เธอยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อโน้มน้าวใจเฉียวเหลียง ขณะนั้นนั่นเองผู้กำกับมู่ก็ถือโอกาสออกจากห้องไป ถังซีนั่งมองเฉียวเหลียง ซึ่งเอาแต่ง่วนกับการพิมพ์บนคีย์บอร์ด เธอนิ่วหน้า “นี่คุณจะมาอาศัยอยู่ในสถานีตำรวจอย่างนี้น่ะเหรอ ตอนนี้คุณกลายเป็นวีรบุรุษในสายตาประชาชนไปแล้ว จะยังมาอยู่ที่นี่อีกทำไม”


 


 


“ผมมาที่นี่เพราะมีเรื่องจำเป็นต้องคุยกับผู้กำกับมู่ และอีกสักครู่ก็กำลังจะต้องพบกับใครอีกคนหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นผมก็ต้องเดินทางไปทำธุระที่ต่างประเทศ” เฉียวเหลียงเงยหน้าขึ้นมองถังซี “ถังซี แวดวงธุรกิจน่ะซับซ้อนยุ่งเหยิงมาก ผมมีเรื่องต้องจัดการกวาดล้างให้เรียบร้อย และตอนนี้ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้ทำอย่างนั้น”


 


 


“คุณจะไปต่างประเทศ” ถังซียังคงขมวดคิ้ว “จะไปต่างประเทศตอนนี้เนี่ยนะ คุณไม่ห่วงอะไรทางนี้บ้างเลยหรือไง”


 


 


เฉียวเหลียงยิ้ม “เซียวจิ่งจะดูแลบริษัทแทนผม ผมไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง”


 


 


ถังซีนิ่งเงียบไป เพราะไม่รู้จะเถียงเขาอย่างไรดี เธอมองเขาอยู่เงียบๆ ขณะที่โทรศัพท์มือถือเขาดังขึ้น เฉียวเหลียงมองดูชื่อผู้โทรแล้วกดสายทิ้งไป ถังซีเห็นว่าเป็นลู่กวงสยงโทรเข้ามา เธอทำปากยื่นเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นคุณทำงานไปเถอะ ฉันจะไปเยี่ยมคุณป้าเฉียว ฉันไม่อยากให้ท่านเห็นข่าว”


 


 


เฉียวเหลียงยิ้มน้อยๆ ขณะเฝ้ามองร่างเธอเดินจากไป เธอไม่มีความจำเป็นต้องเป็นห่วงมารดาเขาเลย ท่านไม่ใช่คนที่ตื่นตระหนกกับอะไรง่ายๆ และไม่ใช่ผู้หญิงที่เปราะบางเลยสักนิด


 


 


และก็เป็นดังที่เฉียวเหลียงคาดไว้ เมื่อเฉียวอวี่ซินเห็นข่าว นางไม่ได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย พ่อบ้านเก่าแก่รู้สึกเป็นห่วงเฉียวเหลียง ว่าจะลำบากขณะอยู่ที่สถานีตำรวจ นางยังกล่าวปลอบใจเขาด้วยรอยยิ้มด้วยซ้ำว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก ทันทีที่เขาไปถึงสถานีตำรวจลู่หงคุนก็จะถูกจับกุม ด้วยข้อหากระทำการฆาตกรรมโดยเจตนา นี่เธอคิดจริงๆ หรือว่าอาเหลียงจะลำบากหรือเดือดร้อน”


 


 


นางรู้จักลูกชายนางดี เขาให้ความสำคัญกับความรักความผูกพันมาก แต่ไม่มีวันให้อภัยศัตรูง่ายๆ ครั้งนี้เขาอาจไม่ไว้ชีวิตบิดาตัวเองเสียด้วยซ้ำ


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้เฉียวอวี่ซินก็ถอนหายใจ นางกดปุ่มเลื่อนรถเข็นไปที่หน้าต่างแบบฝรั่งเศส มองออกไปยังสนามหญ้ากว้างสุดสายตา แล้วเอ่ยถามเสียงเบาว่า “พ่อบ้าน เธอเคยคิดบ้างไหมว่าฉันกับอาเหลียงจะเป็นยังไง ถ้าหากฉันไม่ได้แต่งงานกับลู่กวงสยง อาเหลียงก็คงจะไม่กลายเป็นคนที่สุดโต่งแบบนี้ และฉันก็คงไม่ต้องมาใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนรถเข็นแบบนี้”


 


 


พ่อบ้านชรารู้สึกสงสารนาง เขาก้าวมายืนข้างหลังแล้วกล่าวว่า “คุณผู้หญิง ท่านพูดอะไรอย่างนั้นครับ ท่านไม่ได้ทำอะไรผิด ลู่กวงสยงต่างหากที่ทำผิด เขาเป็นคนไม่รู้คุณคน ตอบแทนความเมตตาด้วยความอกตัญญู ไม่ใช่ความผิดของท่านเลย โปรดอย่าโทษตัวเองเลยครับ และอีกอย่าง…” พ่อบ้านมองไปขาของเฉียวอวี่ซิน ยิ้มและกล่าวว่า “ส่วนขาของท่าน คุณหนูเซียวบอกแล้วไม่ใช่หรือครับ ว่าเธอสามารถทำให้ท่านกลับมายืนได้อีกครั้ง ผมคิดว่าที่เธอพูดน่ะเป็นความจริง”


 


 


เฉียวอวี่ซินยิ้ม แล้วพยักหน้า “เอาเถอะ พ่อบ้านพูดถูก ฉันจะลืมอดีตไปให้หมด และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่กับลูกชาย หลังจากที่ขาฉันหายดีแล้ว ฉันจะขอให้ลูกชายแต่งงานกับเซียวโหรว แล้วก็รอให้พวกเขามีหลานเล็กๆ ที่น่ารักให้สักคน”


 


 


พ่อบ้านชรายิ้มโล่งอก “ต้องอย่างนี้สิครับ ค่อยดูเหมือนคุณผู้หญิงที่ผมรู้จัก”


 


 


เฉียวอวี่ซินหันมายิ้ม เมื่อสาวใช้คนหนึ่งตรงเข้ามาแจ้งกับพ่อบ้านชราว่า “คุณพ่อบ้านคะ มีผู้ชายคนหนึ่งมาที่นี่ ยืนยันว่าจะขอพบคุณท่านค่ะ”


 


 


รอยยิ้มของเฉียวอวี่ซินเปลี่ยนไป กลับกลายเป็นเย็นชา นางมองหน้าพ่อบ้านชรา แล้วกล่าวกับเขาว่า “คงจะเป็นลู่กวงสยง เราไปดูกันซิว่า เจ้าสุนัขจนตรอกมันจะกระเสือกกระสนได้ขนาดไหน”


 


 


พ่อบ้านชราดูเป็นกังวล เมื่อกล่าวขึ้นว่า “แต่คุณผู้หญิง ท่านจะ…”


 


 


เฉียวอวี่ซินยังคงยิ้ม “เขาทำให้ฉันเป็นแบบนี้ ฉันรู้ดี และเขาก็รู้ดี ฉันจะไม่มีวันรู้สึกด้อยค่าเมื่อไปปรากฏตัวต่อหน้าเขาในสภาพนี้ ในทางกลับกัน เขาสิ ควรรู้สึกละอายใจ” นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อไป “ฉันจะแสดงให้เขาเห็นว่า หลังจากที่ไปจากเขาแล้ว ฉันกลับมีพลังมากขึ้น ไม่ได้สิ้นหวังหมดอาลัย ในขณะที่เขาเองกลับกลายเป็นคนไร้ค่า เมื่อไม่มีตระกูลเฉียวคอยสนับสนุน!”


 


 


พ่อบ้านชราเข็นรถเข็นออกไปตามที่นางยืนยัน เพียงแค่พ้นประตู เฉียวอวี่ซินก็ได้เห็นลู่กวงสยงและกลุ่มคนรับใช้กำลังต่อสู้ผลักไสกัน ลู่กวงสยงหยุดชะงักทันทีที่เห็นเฉียวอวี่ซิน


 


 


อาห้ารีบวิ่งเข้ามาขวาง เอาตัวบังเฉียวอวี่ซินไว้ เขาถลึงตาจ้องลู่กวงสยง “คุณลู่ นายน้อยสั่งไว้ว่าที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ กรุณาออกไป!”

 

 

 


ตอนที่ 246 เคยเห็นคนไร้ยางอายขนาดนี้ม...

 

ลู่กวงสยงไม่เคยรู้จักอาห้ามาก่อน เมื่อครั้งที่เขาพยายามแย่งเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปมาจากเฉียวเหลียง จู่ๆ เฉียวเหลียงก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับอาห้า ทำให้เขาต้องพบกับความสูญเสียอย่างประเมินค่าไม่ได้ เขาจึงเริ่มสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับอาห้า แต่ไม่พบข้อมูลอะไรเลย ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม


 


 


ลู่กวงสยงหรี่ตามองอาห้าอย่างประสงค์ร้าย แล้วละสายตาไปที่เฉียวอวี่ซิน กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อวี่ซิน เธอต้องห้ามเฉียวเหลียงให้เลิกทำทุกอย่างที่กำลังทำอยู่ เธออยากเห็นเขาฆ่าพ่อของตัวเองงั้นเหรอ”


 


 


เฉียวอวี่ซินตบแขนอาห้าเบาๆ อาห้าขยับออกไปยืนด้านข้าง เฉียวอวี่ซินเงยหน้าขึ้นมองลู่กวงสยง ซึ่งยืนค้ำหัวนางและพูดจาโอหัง นางเลิกคิ้วถามเสียงเรียบ “ถ้าคุณไม่เริ่มก่อสงครามก่อนอาเหลียงจะทำแบบนี้กับคุณหรือ ลู่กวงสยง คุณโลภเกินไป เพราะฉะนั้นอย่าโทษอาเหลียงที่ทำกับคุณแบบนี้” เฉียวอวี่ซินยิ้มก่อนจะกล่าวต่อไป “แล้วอีกอย่าง ลู่หงคุนก็สบประมาทฉัน ลูกชายฉันแค่ทวงความยุติธรรมให้ฉัน ฉันคงได้แต่ชื่นชมเขา จะไปห้ามเขาได้ยังไง”


 


 


ลู่กวงสยงหน้าแดงก่ำ พยายามกล้ำกลืนคำพูดลงไปในลำคอ แต่ในที่สุดก็ตวาดออกมา “เธอสั่งสอนลูกแบบนี้ได้ยังไง สอนให้ฆ่าพ่อของตัวเองงั้นเหรอ!”


 


 


อาห้านิ่งฟังเฉียวอวี่ซินกล่าวถ้อยคำเหยียดหยามลู่กวงสยงแล้วแทบจะปรบมือให้ แต่พอได้ยินสิ่งที่ลู่กวงสยงกล่าวออกมาเขาก็รู้สึกขัดเคือง ขยับปากจะโต้กลับ แต่เฉียวอวี่ซินเพียงแค่ยิ้ม มองหน้าลู่กวงสยงแล้วเลิกคิ้วขึ้น “ลูกชายฉันเติบโตในต่างประเทศ ไม่ได้กลับมาเมืองจีนเลยจนอายุสักสิบห้าสิบหกปี แล้วเขาก็เรียนมัธยมปลายและมหาวิทยาลัยอยู่ในเมืองหลวง เราก็เลยไม่ค่อยได้เจอกัน คุณจะมาโทษฉันไม่ได้หรอกที่ไม่ได้สอนเขาให้ดีกว่านี้ ระวังคำพูดด้วย…”


 


 


นางยังคงยิ้ม “แต่เขาคือลูกชายที่มีค่าของฉัน เขาเป็นลูกชายที่ประเสริฐ ฉลาดเฉลียว และไม่เกรงกลัวความชั่วร้าย แม้เขาจะไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากฉันก็ตาม” เมื่อจบประโยคนางก็เอนพิงพนักรถเข็น หากขยับขาได้นางคงจะยกขาขึ้นไขว่ห้าง แต่น่าเสียดายที่ทำไม่ได้ นางจึงได้แต่มองหน้าลู่กวงสยงและหัวเราะเบาๆ “ฉันภาคภูมิใจในตัวเขามาก มีเพียงอย่างเดียวที่ฉันรู้สึกเสียใจก็คือ ไม่ใช่เพราะการอบรมสั่งสอนของฉัน ที่ทำให้เขาเติบโตมาเป็นผู้ชายที่ดีพร้อมขนาดนี้”


 


 


“เฉียวอวี่ซิน!” ลู่กวงสยงตวาดเสียงก้อง แต่แล้วกลับค่อยๆ พยายามสงบลง เขารู้ดีว่าเฉียวอวี่ซินกำลังยั่วโมโหเขา หากเขาบันดาลโทสะก็คงจะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการในวันนี้ เมื่อคิดเช่นนั้นเขาจึงค่อยๆ กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ผมรู้ว่าผมทำผิดต่อคุณ แต่นั่นก็เป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้ผมต้องการเงินทุนสักก้อนหนึ่งเพื่อช่วยให้บริษัทของผมอยู่รอดได้ หงคุนก็ถูกตำรวจจับไปแล้ว และเขาได้รับโทษที่สมควรได้รับ คุณจะไม่ยอมช่วยผมรักษาบริษัทไว้ เพื่อเห็นแก่ความรักของเราในอดีตเลยเชียวหรือ”


 


 


“ฮ่าๆ …” เฉียวอวี่ซินยิ้มเยือกเย็นราวกับเพิ่งได้ฟังเรื่องตลกที่ตลกมาก “เพื่อเห็นแก่ความรักของเราในอดีตอย่างนั้นหรือ ลู่กวงสยง ระหว่างเราเคยมีความรักต่อกันด้วยหรือ”


 


 


เธอชี้ไปที่ขาทั้งสองข้างของตนเอง กล่าวเสียงเย็นเยียบว่า “ไม่เคยมีความรัก ระหว่างเรามีแต่ความเกลียด นับตั้งแต่วันที่ขาฉันหัก ฉันก็ประนีประนอมให้แล้วไงล่ะ ด้วยการไม่ขอให้อาเหลียงทำลายบริษัทคุณ และไม่ได้ขอให้เขาหักขาลัวเสี่ยวลี่ คุณอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ไม่อย่างนั้นฉันไม่รับรองว่าจะยอมทนคุยกับคุณดีๆ อย่างวันนี้”


 


 


เมื่อจบประโยคนางก็หันไปหาอาห้า “ส่งแขก!”


 


 


“เฉียวอวี่ซิน!” ลู่กวงสยงร้องเรียกด้วยน้ำเสียงคุกคาม เมื่อเห็นนางกำลังจะกลับเข้าไปในบ้าน “เฉียวเหลียงยังอยู่ในคุกนะ!”


 


 


เฉียวอวี่ซินชะงัก หันกลับมามองลู่กวงสยง ซึ่งมีท่าทางจนตรอกอย่างเห็นได้ชัด “คุณหมายความว่ายังไง”


 


 


ลู่กวงสยงกล่าวอย่างเยือกเย็น “ถ้าเราฟ้องร้อง เขาก็ต้องติดคุก เธอก็รู้ว่านั่นหมายความว่ายังไงสำหรับตระกูลเฉียว!”


 


 


อาห้าหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ กำลังจะกล่าวปลอบใจเฉียวอวี่ซินไม่ให้กังวลในเรื่องนี้ แต่นางเพียงแค่ยิ้ม เลิกคิ้วขึ้นมองหน้าลู่กวงสยง “ในเมื่ออาเหลียงตัดสินใจไปมอบตัวกับตำรวจด้วยตัวเอง แล้วฉันจะต้องกลัวทำไม แล้วอีกอย่าง การรับโทษเพราะซ้อมคนบางคนไม่น่าจะเสียหายร้ายแรงสักเท่าไร ฉันดีใจเสียอีกที่เขากล้ายอมเผชิญกับความผิดของตัวเอง ไม่เหมือนบางคนที่ฆ่าคนตายแล้วพยายามปกปิดความผิด แต่สุดท้ายก็ถูกตำรวจจับจนได้”


 


 


อาห้าหัวเราะอีก ลู่กวงสยงจ้องหน้าเขาอย่างอาฆาต แม้แต่เฉียวอวี่ซินก็ยังหันมามองเขา อาห้ากระแอมอย่างเคอะเขิน แล้วยิ้มให้เฉียวอวี่ซิน “คุณท่านครับ อย่ากังวลไปเลยครับ นายน้อยเพียงแค่แวะไปดื่มกาแฟที่สถานีตำรวจ อย่าไปเชื่อที่เขาพูดครับ ตอนนี้ ใครๆ ก็พูดกันทั้งนั้นว่านายน้อยเป็นวีรบุรุษ ช่วยชีวิตเด็กผู้ชายที่น่าสงสารไว้มากมาย”


 


 


เฉียวอวี่ซินเลิกคิ้วทั้งสองข้าง “โอ… อาเหลียงกลายเป็นวีรบุรุษไปแล้วอย่างนั้นหรือ”


 


 


ลู่กวงสยงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก้าวออกมาหนึ่งก้าว อาห้ารีบเข้ามาขวาง “คุณลู่ อย่าให้ผมต้องใช้กำลัง คุณก็ทราบดีว่าผมทำอะไรได้บ้าง ใช่ไหมครับ”


 


 


เฉียวอวี่ซินกล่าวขึ้นว่า “ลู่กวงสยง ตอนนี้คุณก็รู้แล้วว่าเวรกรรมมีจริง คุณต้องรับผลกรรมจากสิ่งที่คุณทำลงไป ขอให้สนุกกับการชดใช้กรรมนะ”


 


 


“อวี่ซิน! เธอต้องช่วยฉัน! อายุปูนนี้แล้วฉันจะสูญเสียบริษัทนี้ไปไม่ได้… เมตตาฉันด้วยเถอะนะ ให้ฉันยืมเงินสักสองพันล้านหยวน ช่วยให้บริษัทของฉันอยู่รอดด้วย ได้โปรดเถอะ!” ลู่กวงสยงอ้อนวอนด้วยคำพูด และสายตาที่มองเฉียวอวี่ซินอย่างน่าเวทนา


 


 


เฉียวอวี่ซินมองลู่กวงสยงแล้วยิ้มอย่างสมเพช “ลู่กวงสยง ฉันประทับใจมาก คุณนี่ไร้ขีดจำกัดเลยจริงๆ ต้องขอบอกว่าฉันชื่นชมคุณจริงๆ”


 


 


“คุณป้าคะ” จังหวะนั้นนั่นเองถังซีก็เดินเข้ามา เธอเลิกคิ้วเมื่อเห็นลู่กวงสยง พลางคิดในใจว่า ‘เฉียวเหลียงดูไม่เหมือนลู่กวงสยงเลยแม้แต่นิดเดียว เขาหล่อมากๆ เพราะเขาเหมือนคุณป้าเฉียวนี่เอง’


 


 


เฉียวอวี่ซินรู้สึกประหลาดใจที่เห็นถังซี แต่เธอยิ้มกว้าง ยื่นมือออกไปหา “หนูมาทำอะไรที่นี่”


 


 


ถังซีตอบว่า “มาหาคุณป้าค่ะ”


 


 


อาห้าทักทายเธอด้วยความเคารพ ถังซีพยักหน้ารับอย่างสุภาพ ก่อนจะหันไปมองลู่กวงสยง แล้วหันกลับมาถามว่า “คุณป้ายุ่งอยู่หรือเปล่าคะ ให้หนูไปรอที่ห้องนั่งเล่นก่อนดีไหมคะ”


 


 


เฉียวอวี่ซินส่ายศีรษะ กล่าวกับถังซีว่า “อ้อ… ป้าลืมแนะนำให้หนูรู้จัก นี่คือพ่อที่หน้าด้านไร้ยางอายของเฉียวเหลียง สามีเก่าแสนอกตัญญูของป้า ตอนนี้เขามาขอยืมเงินจากป้าสองพันล้านหยวน เพื่อเอาไปกอบกู้บริษัทของเขา” แล้วนางก็ยิ้มขำ คล้ายสมเพชตัวเอง ก่อนจะถามถังซีว่า “โหรวโหรว หนูเคยเห็นคนที่ไร้ยางอายขนาดนี้มาก่อนบ้างไหม”


 


 


ถังซีตะลึงงันมองเฉียวอวี่ซิน “…” คุณป้าคะ ทำไมถึงได้พูดอะไรแบบนี้กับหนู

 

 

 


ตอนที่ 247 ถังซีฝีปากกล้า

 

เมื่อเห็นถังซีตกตะลึงอย่างนั้นเฉียวอวี่ซินก็ยิ้ม เงยหน้าขึ้นมองลู่กวงสยง ก่อนกล่าวกับเขาเสียงเย็นชา “ถ้าอยากให้อาเหลียงปล่อยหงคุนกรุป คุณก็ควรไปขอร้องอาเหลียง ฉันตัดสินใจแทนเขาไม่ได้หรอก”


 


 


ลู่กวงสยงหันไปมองถังซี หญิงสาวถอยไปยืนด้านข้างอย่างสุภาพ ไม่ให้รบกวนการสนทนา ลู่กวงสยงมองเฉียวอวี่ซินแล้วกล่าวว่า “เธอก็รู้ว่ามันเกลียดฉันขนาดไหน! แล้วจะให้ฉันไปขอร้องมันเนี่ยนะ อยากเห็นฉันตายไปตรงหน้าเลยใช่ไหม!”


 


 


เมื่อได้ยินเขาพูดจบถังซีก็อมยิ้ม เดินอ้อมไปด้านหลังเฉียวอวี่ซิน วางมือลงบนที่จับรถเข็น แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “คุณป้าคะ เมื่อวานนี้หนูไม่ได้นวดให้คุณป้าเลย วันนี้ให้หนูนวดให้ก่อน แล้วเราค่อย…”


 


 


“นี่หนู เธอเป็นใคร” ลู่กวงสยงหรี่ตามองถังซี “ฉันเคยเจอเธอมาก่อนหรือเปล่า”


 


 


ถังซีเลิกคิ้วมองลู่กวงสยง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านประธานลู่ต้องล้อฉันเล่นแน่ๆ เราจะเคยเจอกันมาก่อนได้ยังไงคะ คุณเป็นคนใหญ่คนโต คนตัวเล็กๆ อย่างฉันไม่น่าจะมีโอกาสพบคุณหรอกค่ะ คุณคงจำฉันสับสนกับคนอื่นแล้วล่ะ บังเอิญฉันหน้าโหลน่ะค่ะ”


 


 


หางตาอาห้ากระตุก เขาแอบบ่นในใจ ‘คุณหนูเซียวครับ ถ้าใบหน้าอย่างคุณหนูเรียกว่าหน้าโหล หน้าอย่างผมคงต้องเป็นอมนุษย์ที่น่าเกลียดที่สุด คุณเรียกใบหน้าที่สวยสมบูรณ์แบบของตัวเองว่าหน้าโหลได้ยังไง!’


 


 


เมื่อเห็นลู่กวงสยงนิ่งอึ้งไป เขาก็แอบยกนิ้วโป้งให้ถังซี


 


 


ลู่กวงสยงเลิกใส่ใจถังซี หันไปหาเฉียวอวี่ซินแล้วพูดเสียงอ่อนว่า “ให้เงินฉันมาก่อนสักสามร้อยล้านหยวน เพื่อให้ดำเนินงานต่อไปได้ แล้วฉันจะคืนเงินให้เธอทันทีที่บริษัทของฉันมีสภาพคล่อง”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดกลิ้งกลอกหลอกล่อของลู่กวงสยง ถังซีก็นึกขึ้นได้ทันทีถึงความผิดที่เขาก่อไว้กับเฉียวอวี่ซินและเฉียวเหลียง ทันใดนั้นปีศาจน้อยในตัวเธอก็โผล่ขึ้นมา เธอหัวเราะเสียงดัง ลู่กวงสยงขมวดคิ้วหันมาจ้องมองเธออย่างไม่พอใจ ถังซีมองตอบพร้อมกับยิ้มหยัน


 


 


อาห้าถอยหลังไปเงียบๆ หนึ่งก้าว ขณะที่ลู่กวงสยงหรี่ตาจ้องหน้าถังซีซึ่งยังหัวเราะไม่หยุด แม้เธอจะสวยจนต้องตะลึง แต่เขารู้สึกเกลียดใบหน้าสวยๆ ที่มีรอยยิ้มหยันอยู่ขณะนี้จริงๆ ลู่กวงสยงตะคอกถามว่า “นี่หนู เธอหัวเราะขำอะไร”


 


 


ถังซียังคงหัวเราะต่อไปขณะตอบว่า “ท่านประธานลู่ไม่ทราบหรือคะว่าฉันหัวเราะอะไร ฉันก็หัวเราะขำความหน้าด้านไร้ยางอายของคุณไงล่ะ ฉันเป็นคนนอกก็จริง ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างคุณกับคุณป้าเฉียว และไม่ควรตัดสินในตัวคุณ แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าคุณไปไกลกู่ไม่กลับจริงๆ! ยังจะมาวางแผนหลอกล่อขอเงินจากคุณป้าเฉียวอีกได้ยังไงกัน”


 


 


ก่อนที่ลู่กวงสยงจะทันได้โต้ตอบ ถังซีก็กล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “คุณทำร้ายเฉียวเหลียงกับคุณป้าเฉียวเพื่อผู้หญิงอื่น แล้วยังพยายามแย่งเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปไปจากพวกเขาเมื่อห้าปีก่อน แต่เฉียวเหลียงแข็งแกร่งเกินกว่าที่คุณคาดคิด คุณก็เลยทำไม่สำเร็จ ตลอดห้าปีที่ผ่านมาคุณก็แอบส่งสายเข้าไปสืบในบริษัทเขาตลอดเวลา คุณตั้งใจอยู่อย่างเดียวคือกำจัดลูกชายของคุณออกจากเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป เพราะเขาเคยขับไล่คุณมาก่อน แล้วคุณจะได้ฮุบเอาเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปไว้เองทั้งหมด น่าเสียดายที่คุณพลาดอีก แล้วนี่ยังจะกลับมาขอร้องให้เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปให้เงินคุณไปกอบกู้บริษัทที่กำลังจะล่มจมของคุณอีกงั้นเหรอ คิดได้ยังไง คิดว่าทุกคนบนโลกใบนี้โง่เขลาเบาปัญญา มีคุณฉลาดอยู่คนเดียวหรือไง”


 


 


ลู่กวงสยงกำหมัดแน่น ถังซียิ้ม ถามต่อเสียงเย็นเยือกว่า “ทำไมคะ แทงใจดำเหรอ ไม่มีอะไรจะพูดต่อแล้วใช่ไหม แน่ละ คุณไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เพราะทุกอย่างที่ฉันพูดมามีหลักฐาน คุณต้องติดคุกตลอดชีวิตแน่!”


 


 


ลู่กวงสยงพุ่งเข้ามาจะคว้าตัวถังซี เธอจ้องหน้าเขานิ่ง ทว่าอาห้ารีบเข้าไปขวาง กั้นเขาไว้พร้อมกับขู่ว่า “คุณลู่ ผมขอเตือน ถ้าคุณไม่ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ บริษัทของคุณต้องพังพินาศยับเยินไม่มีวันฟื้นตัวได้อีกแน่นอน”


 


 


ถังซียิ้ม เสริมว่า “จริงค่ะ ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันคงไม่หน้าด้านมาที่นี่ มาขอร้องคนที่ฉันเคยทำร้ายให้ช่วยเหลือฉันหรอก ฉันคงไปหาหุ้นส่วนธุรกิจเก่าๆ ซึ่งก็อาจพอมีใครยอมช่วยเหลืออยู่บ้าง…” ถังซีนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อไป “แต่คนสมัยนี้ ส่วนใหญ่ก็เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวก่อนทั้งนั้น พวกเขายินดีจะร่วมธุรกิจกับคุณแน่ ถ้าคุณร่ำรวย แต่ตอนนี้คุณไม่มีเงินแล้วนี่ ฉันเกรงว่าคงมีไม่กี่คนหรอกจะที่ยินดีช่วยเหลือคุณ


 


 


“แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว… ถ้าฉันเป็นหุ้นส่วนธุรกิจของคุณ ฉันก็คงกลัวว่าคุณจะมาแว้งกัดฉันทีหลังอีก หลังจากที่ช่วยคุณไปแล้ว แบบชาวนากับงูเห่าไง…” ถังซียิ้มหวานก่อนจะกล่าวต่อไป “เพราะคุณเคยทำแบบนั้นมาก่อน ใครๆ เขาก็รู้กันทั่วทั้งวงการ จริงไหมคะ”


 


 


“แก!” ลู่กวงสยงโกรธจัดจนมือไม้สั่น เขาได้แต่ชี้หน้าถังซี แต่พูดอะไรไม่ออก


 


 


ถังซียิ้มอีก แล้วเข็นรถเข็นของเฉียวอวี่ซินกลับเข้าไปในบ้าน พร้อมกล่าวว่า “คุณป้าเฉียวคะ ให้หนูนวดให้คุณป้าก่อนนะคะ แล้วค่อยฝังเข็ม วันนี้หนูต้องกลับบ้านเร็วนิดหนึ่งค่ะ”


 


 


เฉียวอวี่ซินพยักหน้าและยิ้มให้ “หนูช่างมีน้ำใจมาก มานวดให้ป้าทุกวันเลย โหรวโหรว แต่ก่อนอื่นนะ หนูเลิกเรียกป้าว่าป้าเถอะจ้ะ เรียกว่าแม่สิจ๊ะ ป้าอยากให้หนูเรียกป้าว่าแม่”


 


 


ถังซีพยักหน้ารับคำ “ค่ะ คุณแม่” แล้วเข็นรถเข็นกลับเข้าไปในบ้าน


 


 


อาห้าแทบก้มกราบด้วยความชื่นชม เขามองตามหลังถังซีที่เดินจากไป แล้วหันกลับมาที่ลู่กวงสยง ซึ่งหน้าดำคล้ำด้วยโทสะ อาห้าแอบยกนิ้วชื่นชมถังซีอยู่ในใจ เขายังไม่เคยเจอใครที่ฝีปากกล้าเช่นเธอมาก่อน! แถมยังไม่มีคำหยาบคายเลยแม้แต่คำเดียว! เธอนี่ช่างสุดยอดจริงๆ!


 


 


หลังจากลู่กวงสยงต้องกลับไปด้วยอาการผิดหวังอย่างแรง อาห้าก็รีบโทรศัพท์รายงานเฉียวเหลียงถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น เฉียวเหลียงกำลังประชุมวิดีโอคอลอยู่กับเจสซ์และวิลสัน เมื่อได้รับรายงานจากอาห้า เขาก็ยิ้มกว้าง แล้วทันใดก็นึกขึ้นได้ว่ายังอยู่ในระหว่างการประชุม จึงรีบหุบยิ้ม แสร้งทำเป็นยกกำปั้นขึ้นป้องปากกระแอม แล้วบอกกับอาห้าแบบไม่ค่อยใส่ใจว่า “โอเค ฉันรู้แล้ว” ก่อนจะวางสายไป


 


 


เมื่อหันมาทางอีกสายหนึ่งก็พบเจสซ์กำลังยิ้มเจ้าเล่ห์ “วู้ ไม่ต้องเขินหรอกน่า บอกมาดีกว่า อะไรยังไงถึงได้มีความสุขนัก”


 


 


พวกเขากำลังประชุมกันต่อจากที่ประชุมค้างไว้ยังไม่ได้ข้อสรุป ที่ห้องทำงานเฉียวเหลียง


 


 


เฉียวเหลียงเมินใส่เจสซ์ แล้วหันไปทาง วิลสัน “ทางโน้นเป็นยังไงบ้าง ผมต้องไปที่โน่นไหม”


 


 


วิลสันนิ่วหน้า “ผมส่งหมาป่าเดียวดายไปแล้ว เขาน่าจะจัดการได้ แต่ถ้าคุณไปได้ก็น่าจะดีกว่า ผมจะได้มั่นใจยิ่งขึ้น”


 


 


เฉียวเหลียงพยักหน้ากล่าวกับวิลสัน “ลู่หลี ถ้าคุณว่างผมอยากให้คุณมาที่เมือง A”


 


 


เจสซ์เบิกตาโพลง “คุณต้องการให้คุณเจ็ดไปที่นั่นแทนผม อย่างนั้นหรือ”

 

 

 


ตอนที่ 248 โน้มน้าวใจพวกเขาให้ได้

 

วิลสันยิ้ม มองหน้าเจสซ์ “คุณเก้า คุณถูกอาเหลียงลอยแพแล้วล่ะ”


 


 


เจสซ์มองเฉียวเหลียงอย่างไม่เชื่อสายตา พลางตะเบ็งเสียงใส่ “เราสนุกกันมากตอนไปทำงานด้วยกันที่สวีเดน! นี่คุณกำลังจะทิ้งผมไปหาคุณเจ็ดอย่างนั้นหรือ”


 


 


เฉียวเหลียงนิ่งมองเจสซ์ แล้วขมวดคิ้ว “คุณดูแลธุรกิจในประเทศ M ให้ดี ผมต้องวางสายแล้ว”


 


 


“เดี๋ยวก่อน” วิลสันกล่าวกับเฉียวเหลียง “ผมควรเตรียมตัวยังไงบ้าง สำหรับการเดินทางไปเมือง A”


 


 


เฉียวเหลียงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ต้องเตรียมตัวอะไร แค่เดินทางมาให้ถึง รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศต้องการพบคุณ”


 


 


วิลสันขมวดคิ้ว “ธุรกิจทั้งหมดในประเทศจีนคุณเป็นคนดูแลไม่ใช่หรือ แล้วทำไมรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศถึงต้องการพบผม”


 


 


“คุณอาจช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้เขารู้สึกมั่นคงปลอดภัยมากขึ้น” เฉียวเหลียงกล่าวก่อนจะตัดสายวิดีโอคอล ทางปลายสายอีกด้านหนึ่ง วิลสันและเจสซ์นั่งนิ่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มองหน้ากันอย่างมึนงง หางตาเจสซ์หรี่ลง “คนอย่างคุณเนี่ยนะ จะเสริมสร้างความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยให้ใครได้ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศตาบอดหรือเปล่า”


 


 


วิลสันลุกขึ้นยืนช้าๆ ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยท่าทางสง่างาม หันไปมองเจสซ์ ยิ้ม แล้วกล่าวว่า “คุณเก้า ยังไงซะถ้าเปรียบเทียบกับคุณ ผมน่าจะช่วยเสริมสร้างความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยให้กับผู้อื่นได้มากกว่าคุณอย่างแน่นอน”


 


 


เจสซ์จ้องเขม็งพร้อมกับตะโกนไล่หลังวิลสัน “ถ้าเป็นเรื่องการสร้างความมั่นคงปลอดภัย ทั้งคุณทั้งเฉียวเหลียง ไม่มีใครเทียบผมได้หรอก!”


 


 


วิลสันยังคงเดินจากไปไม่เหลียวหลัง เจสซ์ส่งเสียงในลำคอ ถลึงตามองผู้ช่วยเขาที่ยืนอยู่หน้าประตู ซึ่งกำลังพยายามกลั้นหัวเราะ “มองอะไร ถ้ายังไม่เลิกมอง ฉันจะควักลูกตานาย!”


 


 


 


 


เหลยหลินอมยิ้ม ยื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้เจสซ์ “คุณเก้า นี่คือภาพร่างงานออกแบบอาวุธรุ่นล่าสุด โปรดพิจารณาด้วย หากคุณคิดว่าใช้ได้แล้ว จะได้ส่งให้ฝ่ายผลิตดำเนินการผลิต ปืนไรเฟิลซุ่มยิงรุ่นนี้มีระยะกระสุนไกลถึงสองกิโลเมตร ส่วนลูกกระสุน…” เหลยหลินเดินตามเจสซ์พลางอธิบาย จากนั้นก็ส่งเอกสารอีกชุดหนึ่งให้ กล่าวต่อไปว่า “คนของเราพบแล้วว่าฉูหลิงอยู่ที่ไหน นี่คือภาพถ่ายจากดาวเทียม คุณต้องการให้ติดต่อเขาเลยไหม”


 


 


เจสซ์เลิกคิ้ว พลิกดูภาพถ่ายก่อนจะยิ้ม “เขาไปทำอะไรกลางทะเลทราย ไปจับงูกิน หรืออยากไปตาย”


 


 


“ทราบมาว่าเขาไปลงทุนในบ่อน้ำมันแห่งหนึ่งที่ซาอุดีอาระเบีย เขาอาจจะไปสำรวจหาบ่อน้ำมันที่นั่น” เหลยหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม เจสซ์โยนภาพทั้งหมดกลับไปให้เหลยหลิน “ไม่ว่าเขาจะไปขุดเพชรหรือขุดน้ำมัน ติดต่อเขาไป บอกว่าอาเหลียงมีงานจะให้ทำ ขอให้เขาไปหาอาเหลียงที่เมือง A”


 


 


แล้วเขาก็พึมพำอยู่คนเดียวว่า “นี่เฉียวเหลียงกล้าไปเอาฉูหลิงมาทำงานด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”


 


 



 


 


ทางอีกด้านหนึ่ง เฉียวเหลียงกำลังนั่งอยู่ในห้องรับรองของสถานีตำรวจ ขณะกำลังจัดการกับเอกสาร โทรศัพท์เขาก็ดังขึ้น เขารับสาย เมื่อฟังทางปลายสายอีกด้านพูดจบเขาก็ขมวดคิ้ว “นี่ต้องให้ผมจัดการกับเรื่องไร้สาระแบบนี้ด้วยเหรอ แล้วผมจะมีพวกคุณไว้ทำอะไร”


 


 


เสียงจากทางปลายสายรีบลุกลนกล่าวขอโทษ อีกครู่ต่อมาโทรศัพท์เขาก็ดังขึ้นอีก เขาเหลือบมองชื่อผู้โทรแล้วกดสายทิ้ง


 


 


โทรศัพท์สายนี้มาจากเซียวจิ่ง ซึ่งควรจะได้นอนหลับพักผ่อนอยู่ที่บ้าน แต่กลับต้องมาเข้าประชุมด่วนที่บริษัทด้วยสีหน้าบึ้งตึง หลังจากอธิบายหัวข้อหลักในการประชุมแล้ว เขาก็มองไปยังผู้บริหารที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมดแล้วถามว่า “ทุกคนเข้าใจที่ผมพูดแล้วใช่ไหม”


 


 


ผู้บริหารที่นั่งติดกับเขาขมวดคิ้ว กล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านประธานเซียว นี่จะไม่เป็นการเสี่ยงเกินไปหรือ”


 


 


เซียวจิ่งหันมามองผู้บริหารคนนั้น ซึ่งยังคงพูดต่อไปว่า “เราไม่ได้กำลังต่อกรกับแค่บริษัทเดียว แต่เป็นแวดวงธุรกิจทั้งวงการของเมือง A ผมนับดูแล้ว บริษัทที่เคยร่วมมือกับหงคุนกรุปหรือลู่กวงสยง มีทั้งหมดไม่น้อยกว่าสามสิบบริษัท ถ้าเราแค่ปะทะกับหงคุนกรุปกับบริษัทเล็กบริษัทน้อยในเครือก็ไม่เป็นไรหรอก แต่นี่เรากำลังจะต้องปะทะกับบริษัทต่างๆ มากกว่าสามสิบบริษัท เป็นการเสี่ยงมากเกินไป ถ้าเงินทุนเราหมดขึ้นมา หรือถ้าเราไม่รอบคอบพอ เราพังพินาศแน่”


 


 


เซียวจิ่งพยักหน้ารับรู้ แล้วมองไปยังผู้บริหารคนอื่นๆ ถามว่า “คนอื่นๆ ล่ะครับ มีความเห็นยังไงบ้าง”


 


 


“พวกเราเห็นด้วยกับคุณเกา แม้ว่าเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปจะแข็งแกร่งมาก แต่เราคงไม่สามารถปะทะกับบริษัทต่างๆ ถึงสามสิบบริษัทได้ในเวลาเดียวกัน แล้วถ้าเกิดบริษัทอื่นๆ จากเมืองอื่น มาเข้าร่วมสงครามธุรกิจนี้โดยอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเรา เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปคงถึงคราวต้องล่มสลายไปในชั่วข้ามคืน” ผู้บริหารอีกคนสนับสนุน


 


 


เซียวจิ่งพยักหน้ารับอีกครั้ง คนอื่นๆ มองมาที่เซียวจิ่งแล้วถามว่า “ประธานเซียว คุณเห็นด้วยกับพวกเราไหม”


 


 


เซียวจิ่งเอนตัวไปด้านหลัง ยิ้มอย่างเยือกเย็น “ทุกท่านคงทราบแล้ว ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้กำจัดสายสืบที่แอบแฝงอยู่ในบริษัทออกไปเป็นจำนวนไม่น้อย หนอนบ่อนไส้พวกนี้เกือบจะขายบริษัทของเราให้กับหงคุนกรุปได้สำเร็จ ผมต้องทำงานล่วงเวลาอยู่ในห้องทำงานท่านประธานเฉียวตลอดทั้งสัปดาห์ เพื่อรักษาบริษัทเราเอาไว้ ขณะที่พวกคุณมาทำงานและเลิกงานตรงเวลา พวกคุณได้กลับบ้านไปใช้เวลาอยู่กับครอบครัว หรือไปสุขสำราญอยู่ตามผับบาร์ ราวกับว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับบริษัทไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกคุณเลย”


 


 


คนอื่นๆ ก้มหน้า ไม่กล้าสบตาเซียวจิ่ง เซียวจิ่งยังคงยิ้ม “ใช่ คงยากลำบากมากที่จะต้องปะทะกับสามสิบบริษัทในเวลาเดียวกัน แต่พวกคุณเคยคิดบ้างไหมว่า บริษัทเหล่านี้ก็ถูกหงคุนกรุปทำให้ขาดทุนมาเป็นเวลานาน ถ้าเราหาทางยุบบริษัทเหล่านี้ได้ ธุรกิจของเราจะไม่ยิ่งขยายวงกว้างขึ้นหรอกหรือ ธุรกิจของเราจะไม่ยิ่งเจริญเติบโตขึ้นหรอกหรือ เงินปันผลที่พวกคุณจะได้รับจะไม่ยิ่งทวีจำนวนขึ้นหรือ ลองคิดดูนะ มีบริษัทระดับนานาชาติที่ไหนบ้าง ที่ไม่เคยพัฒนาธุรกิจบนความเสี่ยง ถ้าไม่ยอมเสี่ยง เราจะเติบโตแข็งแกร่งขึ้นได้ยังไง”


 


 


บรรดาผู้บริหารมองหน้ากันไปมาอยู่ในความเงียบ ขณะที่เซียวจิ่งกล่าวต่อไปว่า “ดูหลงเซี่ยวกรุปเป็นตัวอย่างสิ ก่อนจะมาเป็นกลุ่มบริษัทอันดับหนึ่งของโลกที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องในหลากหลายวงการได้ คิดว่าหลงเซี่ยวไม่เคยอยู่ในภาวะเสี่ยงมาก่อนเลยหรือ ผมจำได้ดีว่าเริ่มแรกหลงเซี่ยวเป็นเพียงโรงงานผลิตอาวุธปืนขนาดเล็ก แต่ปัจจุบันนี้เขาเป็นบริษัทที่กุมอำนาจทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของโลก ควบคุมแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของธุรกิจค้าอาวุธของโลก การซื้อขายอาวุธเกือบทั้งหมดล้วนต้องผ่านหลงเซี่ยว พวกเขาไม่ได้ยอมเสี่ยงโดยการพัฒนาโรงงานผลิตอาวุธเล็กๆ แห่งหนึ่ง ให้ก้าวไปสู่ธุรกิจค้าอาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกหรอกหรือ”


 


 


“ประธานเซียว เราเปรียบเทียบกับหลงเซี่ยวไม่ได้หรอก” ผู้บริหารคนหนึ่งกล่าวขึ้น “หลงเซี่ยวกรุปแข็งแกร่งมากเพราะมีโลกทั้งโลกเป็นฐานสนับสนุน แต่พวกเราล่ะ เราไม่มีอะไรเลย… นอกจากคุณกับท่านประธานเฉียว ตัวอย่างนี้ห่างชั้นเกินกว่าที่เราจะเอามาเปรียบเทียบกันได้ เราไม่มีทางเห็นด้วยกับความคิดของคุณหรอก”

 

 

 


ตอนที่ 249 โยนหล่อนออกไป

 

เซียวจิ่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หนังสีดำ หลับตาฟังผู้บริหารคนนั้น หลังจากที่ผู้บริหารกล่าวจบเขาก็ถามว่า “แล้ว?”


 


 


ผู้บริหารมองหน้ากันและกันอย่างงุนงง เซียวจิ่งยิ้ม “ไม่มีประโยชน์ที่คุณจะมาโน้มน้าวผม คุณต้องไปคุยกับท่านประธานเฉียว ผมถือหุ้นเฉียวแค่สิบเปอร์เซ็นต์ ประธานเฉียวมีอำนาจสูงสุดในการสั่งการ”


 


 


ผู้บริหารต่างพากันมองเซียวจิ่งอย่างหงุดหงิด “ท่านประธานเซียว ได้โปรดห้ามท่านประธานเฉียวอย่าให้เขาทำแบบนี้ เรารู้ว่าเขาฟังคุณ”


 


 


เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปเป็นบริษัทร่วมทุนก็จริง แต่ผู้ร่วมหุ้นมีเสียงน้อยมาก เพราะพวกเขาถือหุ้นคนละไม่มาก เฉียวเหลียงถือครองหุ้นเฉียวฯ เกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ เซียวจิ่งถืออีกสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นคนอื่นๆ ในฐานะผู้ถือหุ้นรายเล็ก ไม่สามารถคัดค้านอะไรเขาทั้งสองได้


 


 


ตามหลักแล้วเฉียวเหลียงกับเซียวจิ่งคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่สองราย สามารถทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ แม้จะมีใครสักคนถือครองหุ้นเฉียวฯ คนเดียวสิบเปอร์เซ็นต์ ก็คงไม่อาจต้านทานคนทั้งสอง


 


 


เซียวจิ่งยิ้มเมื่อสังเกตเห็นว่ากรรมการและผู้บริหารต่างยอมแพ้ เขาลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “การประชุมครั้งนี้ถือเป็นความลับ ผมไม่ต้องการเห็นใครทำข้อมูลการประชุมรั่วไหล เอาละ ในเมื่อเราได้มติเป็นเอกฉันท์แล้ว วันนี้ก็พอแค่นี้”


 


 



 


 


ขณะเซียวจิ่งเดินออกมา ผู้ช่วยคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามากระซิบกับเขา “ท่านประธานเซียวครับ มีผู้หญิงคนหนึ่งมาก่อกวนที่ห้องโถงชั้นหนึ่ง และด่าว่าท่านประธานเฉียวตลอดเวลา เราโทรหาท่านประธานเฉียว แต่เขาไม่สนใจ เราจะจัดการยังไงดีครับ ท่านประธานเซียว”


 


 


เซียวจิ่งลูบหัวคิ้วอย่างอ่อนล้า ขณะเดินเข้าไปในลิฟต์และถามว่า “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”


 


 


ผู้ช่วยลังเล เซียวจิ่งมองสีหน้าลังเลนั้นในกระจกแล้วขมวดคิ้ว “เอ้า เร็วสิ บอกผมมาว่าเธอเป็นใคร”


 


 


“ดูเหมือนว่าเธอคือคุณนายลู่ครับ”


 


 


“คุณนายลู่คนไหน” เซียวจิ่งเอนหลังพิงผนังลิฟต์แล้วหลับตาลงเพื่อพักสายตา


 


 


ผู้ช่วยเอ่ยเสียงต่ำ “มีคุณนายลู่คนอื่นอีกหรือครับในเมือง A”


 


 


เซียวจิ่งลืมตาขึ้นมองผู้ช่วย แล้วเลิกคิ้ว “ลัวเสี่ยวลี่หรือ”


 


 


ผู้ช่วยพยักหน้า เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นหนึ่งเซียวจิ่งก็เดินออกไป ผู้ช่วยรีบตามเขาไปติดๆ “ท่านประธานเซียว คุณจะไปจัดการเรื่องนี้ไหมครับ”


 


 


เซียวจิ่งขมวดคิ้วและกล่าวอย่างหมดความอดทน “อยากจะด่าก็ปล่อยให้ด่าไป โทรหานักข่าวแล้วก็ปล่อยให้คนภายนอกทั่วไปได้ยินว่าหล่อนด่าเฉียวเหลียง ฉันคิดว่าชาวเน็ตจำนวนมากจะสนุกกับการแสดงสดรายการนี้”


 


 


“เอ้อ!” ผู้ช่วยตกตะลึง ทำไมท่านประธานเซียวถึงเป็นคนชอบแหกกฎอย่างนี้


 


 


เซียวจิ่งหันกลับไปมองผู้ช่วยซึ่งกำลังตะลึง แล้วโวยวายเสียงดัง “เอ้า! ไปเตรียมรถไปส่งผมกลับบ้านสิ ผมอยากนอนจะตายอยู่แล้ว บ้าบอที่สุด!”


 


 


“คุณจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยใช่ไหมครับ…” เมื่อเห็นสีหน้าขุ่นเคืองของเซียวจิ่ง ผู้ช่วยก็รีบพยักหน้าแล้วรีบไปนำรถมา เขาโทรเรียกนักข่าวไปพลางขณะเดินไป “สวัสดีครับ นักข่าวของ XX เอ็นเตอร์เทนเมนต์ใช่ไหมครับ ผมอยู่ที่เฉียวอินเตอร์แนชันนัล เห็นผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาคล้ายภรรยาประธานหงคุนกรุป เธอกำลังด่าทอประธานเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปใหญ่เลยครับ ใช่ครับ เธอแช่งด่าเหมือนคนบ้าเลย ต้องเป็นพาดหัวข่าวที่ใครๆ ก็สนใจอย่างแน่นอน ทำไมคุณไม่มาดูที่นี่ล่ะครับ”


 


 


“ได้สิ ผมจะส่งคลิปวิดีโอไปให้ ได้ ได้…” ผู้ช่วยวางสายโทรศัพท์ หันไปถ่ายวิดีโอและส่งให้นักข่าวคนนั้น จากนั้นก็วิ่งไปที่ลานจอดรถใต้ดินเพื่อขับรถขึ้นมา


 


 


เซียวจิ่งมองดูลัวเสี่ยวลี่ ซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับพนักงานรักษาความปลอดภัย ร่องรอยความรังเกียจพาดผ่านสายตาเขา เขาเดินล้วงกระเป๋าเข้าไปในบริเวณพื้นที่พักผ่อนและนอนลงบนโซฟา ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็ปลุกเขาขึ้นมา พอเขาลืมตาขึ้นก็ได้ยินลัวเสี่ยวลี่กรีดร้อง “พวกแกมาห้ามฉันทำไม! ฉันจะทำให้ทุกคนรู้ว่าเฉียวเหลียงคนนี้ชั่วร้ายแค่ไหน เขาต้องการจะฆ่าพ่อของเขาเอง! ยังจะมีใครกล้าทำงานกับเขาอีกเหรอ!”


 


 


“พอได้แล้ว! ดูตัวเองสิ! เธอเหมือนผู้หญิงข้างถนนไม่มีผิด!” ลู่กวงสยงหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาขึ้นรถและสั่งให้คนขับรถมาลากลัวเสี่ยวลี่ไปขึ้นรถ ทว่าลัวเสี่ยวลี่เป็นบ้าไปแล้วโดยสิ้นเชิง เธอข่วนหน้าคนขับรถเหมือนคนบ้า ใบหน้าคนขับรถที่น่าสงสารมีรอยข่วนเป็นทางมีเลือดออกซิบๆ ลู่กวงสยงนั่งอยู่ในรถมองลัวเสี่ยวลี่ที่กำลังบ้าคลั่ง เขาหรี่ตาและลดกระจกรถลง มองหน้าคนขับรถและกล่าวอย่างเย็นชา “ไปกันเถอะ ปล่อยเธอไว้ที่นี่คนเดียว! เธอนี่มันอัปยศแท้ๆ!”


 


 


“ฉันอัปยศอย่างนั้นหรือ! แล้วคุณล่ะ!” ลัวเสี่ยวลี่กรีดร้องเสียงดัง “ลูกชายฉันถูกตำรวจคุมตัวไป บัตรเครดิตฉันถูกธนาคารอายัด บ้านฉันถูกศาลยึด ฉันสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ทำไมฉันต้องกลัวที่จะสร้างความอัปยศ! เฉียวเหลียงซ้อมลูกชายฉัน ถ้ามันไม่ให้เงินฉันเป็นค่าชดเชย ฉันจะไม่ไปไหน จะอยู่ที่นี่ด่ามันอยู่อย่างนี้แหละ!”


 


 


เซียวจิ่งได้ยินเธอพูดอย่างนั้นก็หัวเราะเยาะ ลุกขึ้นเดินไปที่ประตูทางออก ทันใดนั้นพนักงานคนหนึ่งก็เห็นเซียวจิ่งและรีบเข้ามาทักทายเขา พนักงานคนอื่นๆ รีบหลีกทางให้เขา เซียวจิ่งมองคนเหล่านั้นและถามว่า “มัวมาดูกันอยู่ทำไม พวกคุณทำงานของตัวเองเสร็จแล้วเหรอ”


 


 


พนักงานทุกคนจึงแยกย้ายกันออกไป เซียวจิ่งเดินช้าๆ เข้าไปหาลัวเสี่ยวลี่ อีกฝ่ายก็พุ่งเข้ามาทันทีที่เห็นเขา “แกน่ะเอง! สุนัขปากเปราะของเฉียวเหลียง! แกทำลายบริษัทของเรา!”


 


 


พนักงานรักษาความปลอดภัยรีบเข้ามาห้ามเมื่อเธอจะเข้าไปคว้าตัวเซียวจิ่ง ลัวเสี่ยวลี่ดิ้นรน พยายามกระโจนเข้าไปเตะเซียวจิ่ง พนักงานรักษาความปลอดภัยสองคนลากเธอออกมา ให้แน่ใจว่าเธอไม่สามารถเข้าถึงตัวเซียวจิ่ง


 


 


เซียวจิ่งมองไปยังลู่กวงสยงซึ่งหลบอยู่ในรถ แล้วหันมามองลั่วเซียวลี่ที่ดูเหมือนผู้หญิงปากตลาด เขามองหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยด้วยสายตาเยือกเย็น ขณะกล่าวว่า “พวกคุณแก้ปัญหาน่ารำคาญเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ไม่ได้หรือไง ได้แต่มองดูหล่อนตะโกนด่าทออยู่หน้าประตูบริษัทอย่างนี้หรือ นี่หรือคือวิธีปกป้องภาพลักษณ์บริษัทของพวกคุณ”


 


 


พนักงานรักษาความปลอดภัยไม่คาดคิดว่าจะโดนเซียวจิ่งดุ และมองเซียวจิ่งอย่างจนปัญญา ตัวตนของผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ธรรมดา พวกเขาไม่กล้าหยาบคายกับเธอมากเกินไป


 


 


พนักงานรักษาความปลอดภัยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ท่านประธานเซียว เราจะทำยังไงกับเธอดีครับ”


 


 


“ฮึ!” เซียวจิ่งหัวเราะเยาะ แล้วกล่าวอย่างเย็นชา “ทำยังไงดีน่ะเหรอ โยนหล่อนออกไป โทรแจ้งตำรวจให้มาเอาตัวไป”


 


 


“ฮะ?” เห็นได้ชัดว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคิดไม่ถึงว่าเซียวจิ่งจะพูดแบบนี้


 


 


“แกไม่กล้าหรอก!” ดวงตาลัวเสี่ยวลี่แดงก่ำ เธอตะโกนใส่เซียวจิ่งเมื่อได้ยินอย่างนั้น “ก็ลองดูสิ!”


 


 


“ฮ่าๆ …” เซียวจิ่งหัวเราะเยือกเย็น “หล่อนนี่โง่จริงๆ หรือ ทำไมถึงแน่ใจว่าเราจะไม่กล้าไล่หล่อน” เขาหันไปหาพนักงานรักษาความปลอดภัยและสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “โยนหล่อนออกไป!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม