เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย 240-246

ตอนที่ 240 ลองยาพิษด้วยตัวเอง

 

นอร์แมนเบิกตาโต “คุณพูดจริงเหรอ? ตัวยาในนี้สลับซับซ้อนมาก ผมไม่กล้ารับประกันหรอกนะว่ามันจะส่งผลร้ายต่อร่างกายคุณมากขนาดไหน” 


 


 


จิ้นหยวนตอบหน้านิ่ง “ร่างกายผมแข็งแรงกว่า” เอ่ยพลางปรายตามองผู้ช่วยนอร์แมนแวบหนึ่งด้วยความขัดหูขัดตา “ไม่ต้องให้เขาลองหรอก เจาะเลือดไม่กี่หลอดได้เป็นลมล้มพับแน่” 


 


 


กล้ามเนื้อบนใบหน้าของผู้ช่วยผู้มีหุ่นเพรียวลมกระตุก เขาเบนสายตาหนีเงียบๆ สาวๆ ชอบหุ่นแบบนี้จะตาย แต่เขากลับรังเกียจอย่างนั้นหรือ? 


 


 


จิ้นหยวนเป็นคนพูดจริงทำจริง เขาจัดการงานทุกอย่างเรียบร้อย จากนั้นเข้าสู่กระบวนการทดลองของมอร์แมนอย่างเต็มตัว 


 


 


เขาออกจากบ้านเพื่อมาที่ห้องทดลองทุกวัน โดยให้คนที่เขาไว้ใจที่สุดเป็นคนเฝ้าเฉียวซือมู่เอาไว้ เขาใช้ยาพิษวันละนิดภายใต้การดูแลอย่างเข้มงวดของนอร์แมน เพราะไม่แน่ใจว่าต้องใช้จำนวนมากน้อยแค่ไหน นอร์แมนจึงให้เขาใช้ยาในปริมาณไมโครกรัมเท่านั้น 


 


 


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะร่างกายของจิ้นหยวนแข็งแรงเกินไป หรือเป็นเพราะยาผงนี้ไม่ได้ออกฤทธิ์รุนแรงมากนัก เพราะอย่างมากเขาก็แค่เวียนศีรษะเล็กน้อยเท่านั้น และไม่มีอาการอื่นอีก 


 


 


นอร์แมนโล่งอก เจาะเลือดเขาไปเป็นตัวอย่างหนึ่งหลอดด้วยความพึงพอใจ จากนั้นทิ้งเขาเอาไว้โดยไม่สนใจไยดีเขาอีก 


 


 


เขาลุกขึ้นยืนอย่างไม่ใส่ใจนัก ขณะที่เตรียมตัวจะกลับนั้นกลับถูกผู้ช่วยนอร์แมนเรียกเอาไว้เสียก่อน “คุณจิ้น กรุณารอสักครู่ คุณกลับไปทั้งๆ แบบนี้ไม่ได้นะครับ ถ้าเกิด…” 


 


 


เขาส่ายศีรษะเล็กน้อย ในใจเป็นห่วงเฉียวซือมู่ที่ยังหลับไม่ได้สติอยู่ที่บ้าน เขาหมุนตัวแล้วเดินหายเข้าไปในความมืด 


 


 


ผู้ช่วยเลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าเขาไม่ใส่ใจชีวิตของตัวเองเลย ถ้าเกิดยาออกฤทธิ์กลางทางจะทำอย่างไร? 


 


 


นอร์แมนส่ายศีรษะพลางเอ่ยประชด “ความรักนี่มันดีจริงๆ ดีจริงๆ…” 


 


 


เขารู้แล้วว่าจิ้นหยวนเห็นหญิงสาวคนนั้นสำคัญกว่าชีวิตตัวเอง ความจริงใช้ตัวอย่างเลือดของเธอโดยตรงในการทดลองก็ได้ แต่จิ้นหยวนกลับไม่ยอม จะใช้ตัวเองเป็นหนูทดลองท่าเดียว เฮ้อ… ความรักหนอความรัก… 


 


 


จิ้นหยวนก้าวลงจากรถพลันร่างกายซวนเซเล็กน้อย แต่เขาประคองตัวให้ยืนตัวตรงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก้าวยาวๆ เดินเข้าไปในคฤหาสน์ 


 


 


เขาเปิดประตูออก เห็นเฉียวซือมู่ยังคงหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง สายยางยาวๆ ฝังอยู่บนหลังมือ ของเหลวสีใสหยดลงทีละหยดๆ ผ่านสายยางเส้นนั้นเข้าสู่ร่างกายเธอ 


 


 


ของเหลวนั่นคืออาหารเหลว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเธอต้องอาศัยสารอาหารจากอาหารเหลวพวกนี้ในการหล่อเลี้ยงร่างกาย อย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่อาหารปกติอยู่ดี แม้เธอจะได้รับยารักษาที่ดีที่สุด แต่ร่างกายเธอก็ผ่ายผอมลงทุกวันๆ ใบหน้าที่เคยมีน้ำมีนวลตอบลงอย่างเห็นได้ชัดเจน สีหน้าขาวซีด 


 


 


จิ้นหยวนเห็นแล้วรู้สึกสงสารเธอจับใจ เพราะแบบนี้เขาถึงยอมเสียสละใช้ร่างกายตัวเองทดลองยาพิษเพื่อวิจัยยาถอนพิษให้ได้ 


 


 


ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมถึงไม่ใช้ตัวอย่างเลือดของเธอโดยตรงนั้น เรื่องนี้ยังจะต้องให้พูดอีกหรือ? ก็เพราะตอนนี้ร่างกายเธอแย่มากนะสิ เขาจะไม่ยอมทำอะไรก็ตามที่เป็นการทำร้ายร่างกายเธอให้แย่มากไปกว่านี้ 


 


 


สาวใช้ที่กำลังใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำแตะลงบนริมฝีปากเธอเบาๆ ลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยอย่างกระวนกระวาย “คุณชาย” 


 


 


เขาส่ายศีรษะเป็นการบอกให้เธอออกไป จากนั้นหยิบไม้พันสำลีมาจากมือเธอ 


 


 


สาวใช้เดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ เขาลากเก้าอี้มาตัวหนึ่งแล้วนั่งลงข้างเตียง จากนั้นเริ่มใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำแตะริมฝีปากเธออย่างตั้งใจ 


 


 


เธอนอนไม่ได้สติแบบนี้ อาหารเหลวแค่ช่วยหล่อเลี้ยงร่างกายเอาไว้เท่านั้น ภาวะร่างกายขาดน้ำจึงถือเป็นเรื่องปกติ จึงจำเป็นต้องมีคนคอยดูแลเธอย่างใส่ใจและใกล้ชิดตลอดเวลา รวมทั้งการทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้น เช็ดตัว พลิกตัว และอื่นๆ อีกหลายอย่างที่จำเป็น หาไม่แล้ว การนอนติดเตียงเป็นเวลานานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อลีบเล็ก เมื่อถึงเวลาที่เธอฟื้นขึ้นมา แม้แต่การยืนก็จะกลายเป็นเรื่องยากลำบากมากสำหรับเธอ 


 


 


จิ้นหยวนไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด เขาจัดคนผลัดกันดูแลเธออย่างใกล้ชิดในระหว่างที่เขาไม่มีเวลาดูแลเธอ เมื่อไหร่ก็ตามที่เขามีเวลาว่าง เขาจะมาดูแลเธอด้วยตัวเอง 


 


 


ดั่งเช่นเวลานี้ เขาชุบผ้าขนหนูลงในอ่างน้ำใบเล็กอย่างใจเย็น หยิบผ้าขนหนูขึ้นบิดจนหมาด จากนั้นเลิกผ้าห่มบนตัวเธอออก แววตาเขาเศร้าลงทันทีที่เห็นร่างกายผ่ายผอมจนเหลือแต่กระดูกของเธอ เขารู้สึกเจ็บปวดราวมีดกรีด 


 


 


คนตระกูลหร่วนสมควรตาย! 


 


 


เขาคิดอย่างโกรธแค้น แต่มือกลับเช็ดตัวให้เธออย่างอ่อนโยน หลังจากเช็ดตัวให้เธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาลุกขึ้นยืนพลางปาดเหงื่อบนหน้าผากออก ยกอ่างน้ำใบเล็กที่มีผ้าขนหนูอยู่ในนั้นไปวางไว้อีกทาง เพราะเดี๋ยวก็มีสาวใช้เข้ามาเก็บเอง 


 


 


เขาจ้องมองใบหน้าไม่รู้สึกรู้สาของเธออย่างเงียบๆ แววตาหมองเศร้าระคนสงสาร เขายืนมองเธออยู่อย่างนั้นพักใหญ่ จากนัน้ปีนขึ้นเตียง มุดเข้าไปในผ้าห่มแล้วกอดเธอเอาไว้แน่น 


 


 


กลิ่นหอมสดชื่นอ่อนๆ กำจายจากร่างกายที่เพิ่งถูกเช็ดจนสะอาดของเธอดุจกลิ่นไอดินหลังฝนตก เขาก้มศีรษะลงสูดดมกลิ่นหอมสดชื่นจากกายเธอ หรือว่าคราวหน้าเขาควรจะทาโลชั่นบำรุงผิวหลังเช็ดตัวให้เธอ? ตอนนี้ผิวพรรณเธอไม่นุ่มนวลชุ่มชื้นเหมือนแต่ก่อน ถ้าเธอตื่นมาแล้วจะต้องเสียใจมากแน่… 


 


 


นอกจากนี้ พรุ่งนี้จะต้องนวดตัวให้เธอนานขึ้น เพราะขาเธอนิ่มมากขึ้นอีกแล้ว… 


 


 


เขานอนกอดเธอจนเข้าสู่ห้วงนิทรา หากมีใครมาเห็นภาพตรงหน้า คงคิดว่าเขาสองคนเป็นคู่รักที่สวรรค์บรรจงสร้างขึ้น คงไม่มีใครรู้หรอกว่าหนึ่งในนั้นเป็นคนที่หลับไม่ได้สติ 


 


 


เช้าวันรุ่งขึ้น จิ้นหยวนเก็บซ่อนความอ่อนแอให้มิดชิด ดูแลเฉียวซือมู่เสร็จแล้วค่อยออกไปทำงาน เขายังมีภาระหนักอึ้งที่ยังวางลงไม่ได้ ในเมื่อตัดสินใจจะเล่นงานตระกูลหร่วน เขาก็จะเล่นงานให้ถึงที่สุด 


 


 


หลินจื้อเฉิงเป็นห่วงจิ้นหยวนมากที่เขาใช้ตัวเองเป็นหนูทดลองยาพิษ หลังจากจิ้นหยวนไปถึงบริษัท เขาก็กวาดสายตาสำรวจจิ้นหยวนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จิ้นหยวนมุ่นหัวคิ้วพลางโบกมือเล็กน้อย “ไม่ต้องมองแล้ว” 


 


 


เขาเอ่ยพลางเดินเข้าห้องทำงานของตัวเอง หลินจื้อเฉิงรีบเดินตามเขาเข้าไปในห้องทันที “พี่ใหญ่ พี่ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?” 


 


 


“แล้วนายเห็นว่าไงล่ะ?” จิ้นหยวนปรายตามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแวบหนึ่ง จากนั้นก้มหน้าก้มตาจัดการเอกสารบนโต๊ะ ตอนนี้เวลาของเขามีค่ามาก เขาต้องแบ่งเวลาออกเป็นหลายส่วน วันๆ ยุ่งจนตัวเป็นเกลียว 


 


 


หลินจื้อเฉิงมองเขาด้วยความเป็นห่วง พยายามเกลี้ยกล่อมเขา “พี่ใหญ่อย่าทำแบบนี้สิครับ เหลือเวลาให้ตัวเองได้พักหายใจบ้าง ขืนยังเป็นอย่างนี้ต่อไป คุณเฉียวยังไม่ทันฟื้นพี่ต้องล้มก่อนแน่”  

 

 


ตอนที่ 241 ยาถอนพิษ

 

หลินจื้อเฉิงเอ่ยจบแล้วจ้องจิ้นหยวนนิ่ง แต่เขากลับไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น หากแต่โยนคำถามกลับไปให้เขาแทน “นายว่างมากนักหรือไง? เรื่องรายงานที่ฉันสั่งเมื่อวานไปถึงไหนแล้ว? แล้ว…” 


 


 


หลินจื้อเฉิงตัวเย็นวาบ รีบเอ่ยแทรกโดยไม่รอให้เขาเอ่ยจบ “ฮาๆๆ พี่ใหญ่ ผมยุ่งมากๆ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ เชิญพี่ตามสบาย ตามสบายเลยนะครับ…” 


 


 


เขาหัวเราะฮาๆ พลางเดินหนีพลาง พยายามปั้นยิ้มเต็มที่ จังหวะที่เขากำลังจะเดินไปถึงหน้าประตู เสียงจิ้นหยวนก็ดังขึ้น “เดี๋ยว” 


 


 


เขาชะงักฝีเท้า หันไปเอ่ยหน้าเหยเก “พี่ใหญ่ เรื่องรายงานยังไม่เร็วขนาดนั้น…” 


 


 


จิ้นหยวนเอ่ยแทรก “นายกำลังจะแต่งงานไม่ใช่เหรอ?” 


 


 


เขาตะลึงนิ่งอึ้ง “คุณ… คุณพี่รู้ได้ยังไงครับ?” 


 


 


เขาตกใจจนขานจิ้นหยวนอย่างสุภาพ จิ้นหยวนมุ่นหัวคิ้ว “ฉันดูน่ากลัวมากขนาดนั้นเลยหรือไง? จะตกใจอะไรขนาดนั้น” 


 


 


หลินจื้อเฉิงยิ้มแหยๆ “ไหนๆ พี่ใหญ่ก็ถามแล้ว ถ้างั้นผมขอพูดตรงๆ เลยก็แล้วกัน หลังๆ มานี้ ยิ่งอยู่พี่ใหญ่ก็ยิ่งน่ากลัว จริงนะครับ แค่เห็นพี่ผมก็เสียวสันหลังวาบจนตัวสั่นแล้ว” 


 


 


จิ้นหยวนมองเขาแล้วส่ายศีรษะเบาๆ “ฉันว่านะ เป็นเพราะยิ่งอยู่นายก็ยิ่งขี้ขลาดต่างหาก คิดว่าฉันจะจับนายไปต้มยำทำแกงหรือไง?” 


 


 


เอ่ยพลางยื่นเอกสารอีกฉบับให้เขา “นี่ให้นาย” 


 


 


“อะไรเหรอครับ?” เขารับมันมาเปิดดู ในนั้นเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายคฤหาสน์หลังหนึ่ง “นี่มันอะไรกันครับ?” 


 


 


เขาตกตะลึงจนอ้าปากค้างตั้งนานสองนาน 


 


 


จิ้นหยวนมองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างระอาใจ “ดูเหมือนไอคิวนายยิ่งอยู่ยิ่งต่ำนะ หุบปากก่อนแล้วค่อยพูดได้ไหม?” 


 


 


เขารีบหุบปากทันทีแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเก้อๆ “ก็ผมตกใจมากนี่ครับ” เอ่ยจบพลางเปิดหนังสือสัญญาในมือออก เขาเห็นชื่อตัวเองอยู่ในนั้นจริงๆ จึงเอ่ยขึ้นใหม่ “พี่หมายความว่ายังไงครับ?” 


 


 


จิ้นหยวนมองเขาอีกแวบหนึ่ง “เป็นของขวัญที่ฉันให้นายไง” 


 


 


ช่วงที่หลินจื้อเฉิงเล่นงานตระกูลจ้าน เขาได้รู้จักกับลูกสาวอีกคนของตระกูลจ้าน จิ้นหยวนเคยเห็นเด็กสาวคนนั้นแล้ว ตอนนี้งานแต่งงานของทั้งคู่ก็ใกล้เข้ามาเต็มที เพียงแต่เขาไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับพี่ใหญ่ และไม่รู้ว่าจิ้นหยวนรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร 


 


 


เขาซาบซึ้งใจมาก อ้าปากจะพูดแต่กลับถูกจิ้นหยวนเอ่ยขัดขึ้น “หยุด ฉันรู้ว่านายจะพูดอะไร เป็นพี่น้องกันมานานขนาดนี้ นายไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้น ฉันไม่ต้องการให้นายตอบแทนอะไรฉัน รีบไปทำงานได้แล้ว!” 


 


 


จิ้นหยวนเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ เมื่อเห็นว่าหลินจื้อเฉิงยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง จึงหรี่ตาแคบจ้องเขาเขม็ง “ทำไมยังไม่ไปอีก? หรือว่ามีอะไรจะรายงานฉัน? รายงานมา ฉันรอฟังอยู่” 


 


 


หลินจื้อเฉิงหน้าเปลี่ยนสีทันที “ครับ ผมไปเดี๋ยวนี้แหละครับ” เอ่ยจบแล้วหมุนตัวเดินไปยังประตูห้อง เขาชะงักฝีเท้าเมื่อเดินไปถึงหน้าประตูห้อง จากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณครับ” 


 


 


เอ่ยจบแล้วรีบปิดประตูลงทันที 


 


 


จิ้นหยวนยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบาหวิวว่าไอ้ตัวแสบ 


 


 


หลินจื้อเฉิงเป็นพี่น้องที่ติดตามเขานานที่สุด ทำอะไรๆ ให้เขามาไม่น้อย ตอนนี้ใกล้ถึงวันแต่งงานของน้องคนนี้แล้ว เขาให้คฤหาสน์เป็นของขวัญกับเขาถือว่าเล็กน้อยมาก 


 


 


หลินจื้อเฉิงที่ยืนอยู่นอกประตูห้องรู้สึกสับสนปนเป เขายืนมองหนังสือสัญญาในมือ สีหน้าดีใจสลับเศร้าหมอง ราวกับกำลังคิดถึงเรื่องที่หนักหนาสาหัสมาก สุดท้าย เขาได้แต่มองประตูบานนั้น ถอนหายใจหนักๆ แล้วเดินจากไป 


 


 


พี่ใหญ่ดีกับเขามากขนาดนี้ เขาไม่ควรปิดบังเรื่องนั้นกับพี่ใหญ่เลย 


 


 


รีบไปปรึกษามู่หรงอวิ่นเจ๋อดีกว่า 


 


 


หลังเลิกงานจิ้นหยวนตรงไปยังห้องทดลองทันที นอร์แมนกำลังก้มหน้าก้มตาขมักเขม้นกับงานตรงหน้า จิ้นหยวนเอ่ยถาม “เป็นไงบ้าง?” 


 


 


นอร์แมนยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานเหมือนเดิม “ใช้ไม่ได้ ผมต้องการตัวอย่างเลือดมากกว่านี้” 


 


 


จิ้นหยวนพับแขนเสื้อขึ้น “เชิญ” 


 


 


นอร์แมนได้แต่ส่ายศีรษะ “คุณนี่นะ ผมว่าผมไปเจาะเลือดของสาวน้อยคนนั้นดีกว่า สบายใจได้ ฝีมือผมดีมาก ไม่ทำเธอเจ็บหรอก” 


 


 


“ไม่ได้ ห้ามคุณแตะต้องเธอเด็ดขาด” จิ้นหยวนปฏิเสธเสียงเข้มทันที  


 


 


นอร์แมนลังเลชั่วครู่ “ถ้าอย่างนั้นวันนี้คุณต้องกินยานั่นอีก และต้องเพิ่มปริมาณให้มากขึ้นด้วย คุณจะไหวเหรอ?” 


 


 


แววตาจิ้นหยวนแน่วแน่ “ไม่เป็นไร คุณลงมือเถอะ” 


 


 


ร่างกายเขาแข็งแรงกว่าเฉียวซือมู่เป็นไหนๆ จะต้องไม่เป็นไรแน่ 


 


 


นอร์แมนถอนหายใจ ถือยาในมือแล้วเดินเข้าไปหาเขา “นี่เป็นยานอนหลับที่ผมปรับปรุงใหม่ ผมสกัดส่วนผสมที่เป็นอันตรายต่อร่างกายออก คงส่วนผสมอื่นๆ เอาไว้เหมือนเดิม คุณแน่ใจแล้วใช่ไหม? ผมขอเตือนเอาไว้ก่อนเลยนะ คราวนี้คุณอาจจะหลับไม่ตื่นเหมือนเธอก็ได้” 


 


 


“พูดมากน่า” จิ้นหยวนมองเขาอย่างเฉยชา 


 


 


“โอเค” นอร์แมนจนปัญญา เขาหยิบแก้วน้ำขึ้นมา จากนั้นหยดน้ำยาลงในแก้ว “อะ ดื่มซะ ผมจะเจาะเลือดคุณหลังจากคุณหลับไปแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็ …” ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยจบ จิ้นหยวนก็กระดกแก้วน้ำขึ้นดื่มจนหมด 


 


 


เขาเอ่ยด้วยความตกใจ “คุณจะรีบไปไหน? ผมยังพูดไม่จบเลยนะ” 


 


 


“ตอนนี้คุณพูดต่อได้แล้ว” หลังจากดื่มน้ำในแก้วจนหมด แววตาจิ้นหยวนยังคงมั่นคงไม่เปลี่ยน 


 


 


นอร์แมนกระแทกเท้าเบาๆ พลางถอนหายใจ “คราวนี้ผมมั่นใจห้าสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ผลจะเป็นยังไงก็ต้องรอดูกันต่อไป” เอ่ยจบพลันเห็นจิ้นหยวนยืนโงนเงน ร่างสูงใหญ่ของเขาล้มพับไปทางนอร์แมนทันที 


 


 


นอร์แมนรีบเข้าไปรับตัวจิ้นหยวนเอาไว้ เขาคงประเมินแรงของตัวเองสูงเกินไป จนเกือบถูกร่างแข็งแกร่งของจิ้นหยวนล้มทับ 


 


 


เขาตะโกนเสียงดัง “เดวิด เดวิด มานี่เร็ว” 


 


 


ผู้ช่วยของเขาที่ชื่อเดวิดกลั้นหัวเราะ รีบวิ่งเข้าไปประคองผู้ชายตัวโตสองคนเอาไว้ไม่ให้ล้ม นอร์แมนปัดมือตัวเองเบาๆ มองจิ้นหยวนแล้วส่ายศีรษะ “ยาออกฤทธิ์เร็วกว่าที่คิด ไหนๆ ก็เป็นแบบนี้แล้ว…” เขามองจิ้นหยวนพลางครุ่นคิดเล็กน้อย หมุนตัวไปหยิบอุปกรณ์มาเจาะเลือดเขา จากนั้นเดินโงนเงนไปทำงานของตัวเองต่อ ถูกจิ้นหยวนทวงถามความคืบหน้าทุกวัน เขาเองก็รู้สึกกดดันมากเหมือนกัน 


 


 


เดวิดทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ประคองจิ้นหยวนเอาไว้ไม่ให้ล้ม แต่จิ้นหยวนตัวหนักมาก คนคนเดียวที่ช่วยเขาได้อย่างนอร์แมนก็ออกไปแล้ว เขาจึงจำต้องกัดฟันประคองจิ้นหยวนไปวางลงบนเตียงสนาม 


 


 


นี่เป็นเตียงสนามที่เขาและนอร์แมนใช้เป็นที่พักผ่อนหลังจากทำงานหามรุ่งหามค่ำจนร่างกายเหนื่อยล้าจนทนไม่ไหว บนเตียงมีทั้งหมอนทั้งผ้าห่มครบครัน  


 


 


เขาเองก็เป็นนักวิจัยสติเฟื่องเหมือนนอร์แมน หลังจากโยนจิ้นหยวนลงบนเตียงสนามถือว่าหมดธุระของเขาแล้ว เขาปัดมือตัวเองเบาๆ แล้วตามนอร์แมนออกไปทำงานทดลองต่อ 


 


 


จิ้นหยวนตื่นขึ้นมาเห็นตัวเองยังอยู่ในเสื้อผ้าครบชุด เขานอนอยู่บนเตียงแคบๆ ตรงหน้าเป็นแสงไฟสีขาวเจิดจ้าแยงตา เขาลุกขึ้นนั่งด้วยความงงงวย พอเรียกสติกลับมาได้ถึงได้รู้ว่าตัวเองยังอยู่ในห้องทดลองของนอร์แมน 


 


 


นอร์แมนกำลังหันหลังให้เขา ยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานทดลองของตัวเองอย่างขมักเขม้น เขาค่อยๆ ลุกออกจากเตียงสนามแล้วเดินไปหยุดยืนอยู่ทางด้านหลังนอร์แมน เห็นเขากำลังถือหลอดทดลองสีแปลกๆ เอาไว้มืออย่างระมัดระวัง จิ้นหยวนเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “นั่นคุณกำลังทำอะไรน่ะ?” 


 


 


นอร์แมนสะดุ้งตกใจจนมือสั่นจนเกือบทำหลอดทดลองในมือหล่น 


 


 


นอร์แมนหันไปด่าเขา “คุณไม่อยากได้ยาถอนพิษใช่ไหม? คุณรู้หรือเปล่าว่ามันยากมากขนาดไหนกว่าจะได้ของที่อยู่ในผมน่ะ?” 


 


 


จิ้นหยวนเอ่ยขอโทษอย่างขอไปที “ขอโทษ ผมไม่รู้นี่ว่าคุณขี้ตกใจขนาดนี้” เอ่ยจบแล้วมองของที่อยู่ในมือเขา “นั่นยาถอนพิษเหรอ?” 


 


 


นอร์แมนหมุนตัวไปหาเขา หยดของเหลวจากหลอดทดลองที่อยู่ในมือลงในแก้วที่ใส่ของเหลวสีใสเอาไว้ “ก็ประมาณนั้น”  

 

 


ตอนที่ 242 ฟื้นคืนสติ

 

นอร์แมนชูของเหลวในแก้วให้จิ้นหยวนดู “ถ้าผมบอกว่านี่คือยาถอนพิษ คุณกล้าดื่มหรือเปล่า?” 


 


 


จิ้นหยวนรับมันมาดู “จริงเหรอ?” ทำท่าเหมือนจะดื่มทันทีที่ได้ยินคำว่าใช่ 


 


 


นอร์แมนกลัวเขาจะดื่มจริง รีบแย่งแก้วคืนมา “คุณใจกล้ามากเกินไปแล้ว ไม่กลัวผมทำคุณตายหรือไง” 


 


 


จิ้นหยวนยิ้มบางๆ “จะใช้คนก็อย่าระแวง หากระแวงก็อย่าใช้” 


 


 


นอร์แมนสะอึก โบกมือไปมาราวกำลังไล่คนน่ารำคาญ “คุณรีบกลับไปเลย กลับไปได้แล้ว เอาแต่พูดเหลวอยู่ได้ รบกวนผมทำงาน” 


 


 


จิ้นหยวนไม่ขยับ จ้องของเหลวในมือเขานิ่ง “ใกล้จะได้ยาถอนพิษแล้วใช่ไหม?” 


 


 


นอร์แมนถอนหายใจ “ถึงคุณจะรีบมากแต่ใช่ว่าจะได้เร็วขนาดนั้น ตอนนี้ใกล้แล้ว แต่ยังต้องวิจัยต่ออีก ถ้าเกิดมีผลข้างเคียงขึ้นมาเดี๋ยวจะยุ่ง” 


 


 


“แล้วจะรู้ผลเมื่อไหร่?” จิ้นหยวนเอ่ยถามโดยไม่สนใจคำแก้ตัวของเขา  


 


 


“สามวัน ผมขอเวลาสามวันได้ไหม” นอร์แมนจนคำพูด จำใจระบุเวลาให้เขาสบายใจ จากนั้นทั้งผลักทั้งดันเขาออกจากห้อง “คุณกลับไปได้แล้ว ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว รีบกลับไปอยู่เป็นเพื่อนแฟนตัวเองได้แล้ว ผมรับรองว่าอีกสามวันคุณจะได้สาวน้อยที่มีชีวิตชีวาของคุณคืนมาแน่ โอเคไหม?” 


 


 


จิ้นหยวนยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง จ้องเขานิ่ง “จำคำพูดของคุณเอาไว้ด้วย” 


 


 


นอร์แมนหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องทดลองแล้วปิดประตูดังปังใหญ่เป็นคำตอบ 


 


 


จิ้นหยวนกลับถึงบ้านเมื่อดึกมากแล้ว เขาดูนาฬิกา คำนวณแล้วตัวเองน่าจะหลับไปประมาณสามชั่วโมง ดูเหมือนนอร์แมนจะกะปริมาณยาได้ดี 


 


 


เขาสั่งให้สาวใช้ออกจากห้อง เขาใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำแตะริมฝีปากเธอเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น เช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เธอ จากนั้นค่อยลงมือจัดการงานของตัวเอง หลังเสร็จงานแล้วจึงปีนขึ้นเตียงนอนกอดเธอเหมือนเช่นทุกคืน 


 


 


แต่เมื่อเขาตื่นจากฝัน ใบหน้าเธอยังคงขาวซีดเหมือนเดิม ร่างกายยังคงผอมแห้งเหมือนเดิม ข้อมือลีบเล็กจนเขาสามารถกำมันจนรอบด้วยนิ้วเพียงสองนิ้วเท่านั้น มันทำให้เขาตระหนกจนต้องโยนความฝันแสนหวานไปไกลๆ 


 


 


นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดเขาจึงบีบนอร์แมนให้รีบวิจัยยาถอนพิษให้ได้โดยเร็วที่สุดโดยไม่สนใจว่านอร์แมนจะไม่พอใจ เขาเป็นกังวลมากและกลัวว่าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ร่างกายเธอจะต้องรับไม่ไหวแน่ 


 


 


โชคดีที่แรงกดดันของเขาได้ผล เพราะวันที่สามนอร์แมนเป็นคนโทรศัพท์หาจิ้นหยวนก่อนเป็นประวัติการณ์ เขาพูดแค่ประโยคเดียว “ได้ยาถอนพิษแล้ว” จิ้นหยวนได้ยินแล้วโยนโทรศัพท์ทิ้งแล้ววิ่งออกไปทันที ทิ้งให้คนทั้งห้องประชุมงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ข้างหลัง   


 


 


หลินจื้อเฉิงได้แต่ลอบถอนหายใจ พี่ใหญ่หนอพี่ใหญ่ ใจร้อนก็ไม่เห็นต้องรีบร้อนขนาดนั้นเลยนี่ นี่มันกลางที่ประชุมเลยนะ 


 


 


ช่วยไม่ได้ เรียกกลับมาตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว เพราะจิ้นหยวนวิ่งหายไปแล้ว รองประธานอย่างเขาคงต้องทำหน้าที่แทนเสียแล้ว เขาเอ่ยเพื่อแก้ไขสถานการณ์อย่างช่วยไม่ได้ “ขออภัยนะครับ การประชุมต่อจากนี้ผมจะเป็นคนทำหน้าที่แทนเอง…” 


 


 


จิ้นหยวนขับรถห้อตะบึงไม่หยุดยั้ง ฝ่าไฟแดงไม่รู้กี่ไฟแดง ระยะทางที่ต้องใช้เวลาขับรถประมาณหนึ่งชั่วโมงย่นย่อเหลือเพียงแค่ยี่สิบกว่านาทีเท่านั้น เขาวิ่งพุ่งเข้าไปในห้องทดลอง ยังไม่ทันที่เขาจะได้อ้าปากนอร์แมนก็ยื่นหลอดใส่ของเหลวไปตรงหน้าเขา “ของที่คุณต้องการ เอาไปสิ” 


 


 


“นี่เป็นยาถอนพิษเหรอ?” อาจเป็นเพราะรอนานเกินไป ทำให้ตอนนี้เขาชักไม่มั่นใจขึ้นมาเสียดื้อๆ เขาถือหลอดของเหลวสีใสแจ๋วพลางมองหน้านอร์แมนอย่างขอความมั่นใจ 


 


 


นอร์แมนกรอกตามองบน ยื่นมือออกไปแย่งหลอดยา “ถ้าไม่เชื่อก็เอาคืนมา” 


 


 


จิ้นหยวนเบี่ยงตัวหลบเขาได้อย่างง่ายดาย หลังแน่ใจแล้วจึงหมุนตัวเดินออกไป “ขอบคุณมาก ผมจะทำตามสัญญา ต่อไปตระกูลจิ้นจะเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนต่างๆ ให้กับงานวิจัยของคุณเอง” 


 


 


นอร์แมนพยักหน้าพลางเอ่ยเรียบเฉย “ขอบคุณ” 


 


 


นอร์แมนเอ่ยจบพลันจิ้นหยวนเดินหายไปแล้ว 


 


 


ก่อนหน้านี้จิ้นหยวนตกลงกับนอร์แมนเอาไว้ หากนอร์แมนสามารถทำยาถอนพิษได้สำเร็จ ชีวิตที่เหลือของนอร์แมนก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทุนอีกต่อไป 


 


 


บางครั้งนอร์แมนอดกลัวไม่ได้ว่าจิ้นหยวนแค่พูดไปอย่างนั้น ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะพูดจริงทำจริง 


 


 


“แย่แล้ว!” เขาเขกกบาลตัวเองเบาๆ เพราะเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ “ลืมบอกเขาว่ายานั่นจะออกฤทธิ์หลังใช้ยาสองชั่วโมง” 


 


 


“รีบโทรบอกเขาดีไหมครับ?” เดวิดเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก 


 


 


“ไม่ต้องหรอก” เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วตัดสินใจเด็ดขาด “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น วันๆ เอาแต่โหวกเหวกโวยวายใส่คนแก่อย่างฉัน ไม่มีมารยาทสักนิด ครั้งนี้ถือว่าเป็นการสั่งสอนเล็กๆ น้อยๆ ก็แล้วกัน ไหนๆ ก็แค่สองชั่วโมงเอง ไม่นานหรอก” 


 


 


ชั่ววินาทีที่จิ้นหยวนหยดน้ำยาลงในปากที่ปิดแน่นของเฉียวซือมู่ หัวใจเขาเต้นแรงราวกับเด็กหนุ่มอายุสิบแปดที่ได้เจอเทพธิดาในดวงใจเป็นครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


เขาพยายามสะกดกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้ ค่อยๆ หยดน้ำยาลงในปากเธอทีละหยดๆ เนื่องจากเธอหลับไม่ได้สติ ทำให้น้ำยาไหลออกจากปากเธอไม่น้อย เขาเช็ดมันออกอย่างอดทน จากนั้นหยดน้ำยาต่อ 


 


 


ในที่สุด น้ำยาในหลอดก็ถูกเขาใช้จนหมด เขากลั้นหายใจ รอเสี้ยววินาทีที่เธอจะลืมตาขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ 


 


 


แต่ว่า หนึ่งนาทีผ่านไป ห้านาทีผ่านไป หนึ่งชั่วโมงผ่านไป สองมือที่วางอยู่บนหัวเข่ากำจนแน่นแล้วคลายออก คลายออกแล้วกำกันแน่น จนฝ่ามือเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเปียกชื้น แต่เธอยังคงหลับตาแน่นเหมือนเดิม 


 


 


จากตื่นเต้นจนถึงคาดหวัง จากคาดหวังแปรเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง จนกระทั่งแปรเปลี่ยนเป็นผิดหวัง ในใจเต็มไปด้วยความอัดอั้น เขาจับจ้องใบหน้าที่ยังคงไร้สีเลือดของเธอ จากนั้นลุกขึ้นเดินไปมาด้วยความกระวนกระวายใจ ทำไมเธอถึงยังไม่ตื่น? หรือว่าเขากดดันนอร์แมนมากเกินไป จนนอร์แมนเอาน้ำเปล่ามาหลอกเขา? 


 


 


ไม่ เขาไม่กล้าทำแบบนั้นหรอก ถ้าเช่นนั้น… 


 


 


สีหน้าเขาเคร่งเครียด ฝีเท้าเร็วยิ่งขึ้น ในที่สุด เขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาชะงักฝีเท้า หมุนตัวหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา 


 


 


ทันใดนั้น เสียงไอแค่กๆ ที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงดังขึ้นจากทางด้านหลัง แม้เสียงไอนั้นจะเบามากเสียจนคนที่หูไม่ดีอาจจะไม่ได้ยิน แต่สำหรับเขาแล้ว มันกลับเหมือนเสียงฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ที่ดังกัมปนาทอยู่เหนือศีรษะเขา 


 


 


ร่างกายเขาสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่ ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมอง เพราะกลัวว่าตัวเองจะหูฝาดไปเอง แต่ดูเหมือนว่าคนที่อยู่ด้านหลังจะรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้น เสียงไอดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงดังขึ้นมากกว่าเดิม 


 


 


เขาหมุนตัวกลับ มองไปยังเธอด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ พลันเห็นเฉียวซือมู่ที่เคยหลับตาแน่นลืมตาขึ้นแล้ว แม้เธอจะนอนหลับไม่ได้สติเป็นเวลานาน แต่ดวงตาเธอยังคงสุกใสราวหยกสีดำ 


 


 


“คุณ…” เธอเอ่ยได้เพียงคำเดียวแล้วต้องชะงัก สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “เสียง… เสียงฉัน…” 


 


 


เสียงเธอแหบแห้งเหมือนยายแก่ๆ ฟังดูน่าเกลียดจนตัวเองรับไม่ได้  

 

 


ตอนที่ 243 ดูแลเอาใจใส่

 

จิ้นหยวนเดินก้าวยาวเข้าไปหาเธอ จับมือเธอเอาไว้ มุมปากยกยิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นไร คุณหลับไปนานถึงเป็นแบบนี้ อีกไม่กี่วันก็หายดีเหมือนเดิมแล้ว” 


 


 


คำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น ทันใดนั้น เธอมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ “ทำ… ทำไมคุณ…คุณ… ถึง…” 


 


 


เขาใช้นิ้วแตะปากเธอไม่ให้พูดอีกเพราะไม่อยากเห็นเธอทำร้ายกล่องเสียงตัวเอง เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ผมรับตัวคุณกลับมาจากมิลาน ต่อไปคุณต้องอยู่รักษาตัวที่นี่ คุณสบายใจได้ ตอนนี้เรากำจัดพิษออกจากตัวคุณหมดแล้ว” 


 


 


สายตาเธอไม่เข้าใจมากยิ่งขึ้น พยายามเปล่งเสียงพูด “ถูก… ถูกพิษ? ทำ… ทำไม?” 


 


 


เขากลุ้มใจที่เธอไม่ยอมเชื่อฟังเขา แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาก็รู้สึกสงสารเธอขึ้นมาอีก เขาห่มผ้าห่มให้เธออย่างเบามือ เอ่ยอ่อนโยน “ใช่ คุณถูกวางยาพิษในแก้วไวน์ ทำให้คุณหลับไม่ได้สติเป็นเวลานานมาก” 


 


 


เมื่อเห็นสายตาไม่อยากจะเชื่อของเธอ เขาจึงยกโทรศัพท์มือถือขึ้น ในนั้นปรากฎวันที่ชัดเจน ซึ่งเป็นวันที่ที่ห่างจากความทรงจำครั้งสุดท้ายของเธอสองเดือนเต็ม เธอเบิกตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ 


 


 


เขาจุมพิตลงบนหน้าผากเธอด้วยความสงสาร “คุณถูกวางยาพิษ ฉีหย่วนเหิงดูแลคุณไม่ดี ผมลงโทษเขาแล้ว เพราะฉะนั้น ต่อไปเขาจะไม่มาให้คุณเห็นหน้าอีก” 


 


 


เธออ้าปากค้างด้วยความตกใจ แต่กลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว 


 


 


เขาเข้าใจความรู้สึกเธอดี ในความทรงจำของเธอ เธอแค่หลับไปเท่านั้น แต่พอตื่นขึ้นมากลับพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปหมด คนตรงหน้าเปลี่ยนไปแล้ว แม้แต่ตัวเธอเองก็กลับจากต่างประเทศแล้ว และที่สำคัญ เธอหลับไปนานถึงสองเดือนเต็ม! 


 


 


เขารู้ดีว่าเธอตกใจมากแค่ไหน แต่จิ้นหยวนพูดกับเธอเพียงแค่นั้นแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้อง เธอจึงได้แต่นอนมองเพดานโดยพูดอะไรไม่ออก 


 


 


เธอลองขยับแขนขาถึงได้รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง เพราะแขนขาเธอไม่ฟังคำสั่งเลยสักนิด เธอต้องออกแรงอย่างหนักกว่าจะพยุงตัวให้ลุกขึ้นนั่งได้ เรื่องที่เคยเป็นเรื่องง่ายๆ กลับกลายเป็นเรื่องที่ยากมาก มันทำให้เธอเหนื่อยจนหายใจหอบ 


 


 


เธอคงไม่ได้กลายเป็นคนพิการไปแล้วใช่ไหม? เธอคิดแล้วกลัวจนอกสั่นขวัญแขวน เธอไม่กล้าคิดถึงสภาพที่ตัวเองต้องนอนเป็นผักอยู่บนเตียงตลอดชีวิต ถ้าเป็นแบบนั้น เธอขอตายเสียยังดีกว่า 


 


 


เธอคิดถึงเรื่องราวโศกนาฏกรรมต่างๆ จนเกือบจะร้องไห้ออกมา จิ้นหยวนเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งพร้อมสาวใช้คนหนึ่ง ในมือสาวใช้ถือถาดเอาไว้ บนถาดมีถ้วยปิดฝาเอาไว้ กลิ่นหอมคุ้นเคยลอยมาเตะจมูกเธอ 


 


 


ตอนแรกเธอไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด แต่ตอนนี้พอได้กลิ่นหอมที่เมื่อก่อนเธอไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ น้ำลายกลับเอ่อเต็มปาก หากเธอไม่พยายามควบคุมอาการเอาไว้ ป่านนี้คงน้ำลายหกไปแล้ว 


 


 


ถึงเธอจะพยายามควบคุมอาการมากแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็เผยพิรุธออกมาจนได้ ดวงตาเป็นประกายจับจ้องไปที่ถาดอาหารตาไม่กะพริบ ดุจเจ้าแมวเหมียวจอมตะกละไม่มีผิด จิ้นหยวนอดขำไม่ได้ เขาโบกมือเบาๆ ให้สาวใช้ออกไป จากนั้นนั่งลงข้างๆ เธอ เปิดฝาครอบถ้วยออก กลิ่นหอมฉุยลอยเตะจมูกทันที 


 


 


เธอกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อกอย่างห้ามใจไม่ไหว ดวงตากลมโตจับจ้องอยู่ที่อาหารในมือเขาไม่วางตา  


 


 


ขืนเขายังไม่รีบป้อนเธออีก เธอคงถลาเข้าไปกินเองแล้ว 


 


 


จิ้นหยวนค่อยๆ ตักน้ำข้าวต้มสีขาวน่ากินขึ้นมา 


 


 


ใช่แล้ว อาหารที่ทำให้เธอน้ำลายหกก็คือน้ำข้าวต้มแสนธรรมดาที่ปกติไม่มีใครอยากกินนั่นเอง 


 


 


แต่ในสายตาเธอตอนนี้ น้ำข้าวต้มถ้วยนี้ดึงดูดใจเธอมากกว่าอาหารเลิศรสเป็นไหนๆ 


 


 


ตอนที่จิ้นหยวนป้อนน้ำข้าวต้มให้เธอ เธอจึงงับเต็มคำอย่างไม่ลังเลยสักนิด ความหวานละมุนจากน้ำผึ้งไหลลงสู่กระเพาะ เธอรู้สึกว่าทุกรูขุมขนในร่างกายเปิดออก รู้สึกสบายตัวจนตัวลอย 


 


 


จิ้นหยวนป้อนน้ำข้าวต้มเธอทีละคำๆ จนหมดถ้วย เธอมองถ้วยเปล่าตาละห้อย แลบลิ้นเลียมุมปากเล็กน้อย จิ้นหยวนมองจนแทบหยุดหายใจ 


 


 


เขาสงบจิตสงบใจพลางวางถ้วยลง เธอเอ่ยถามอย่างอดใจไม่ไหว “ยังมีอีกไหมคะ?” 


 


 


เขามองเธอแวบหนึ่งแล้วส่ายศีรษะเล็กน้อย “ไม่ได้ คุณเพิ่งฟื้น กินได้แค่นี้” 


 


 


คำตอบของเขาทำให้เธอผิดหวังมาก 


 


 


เธอใจเย็นขึ้นหลังมีของตกถึงท้องเสียที เธอชายตามองเขาแล้วชะงักเล็กน้อย “ทำไมดูคุณผอมแบบนี้ล่ะคะ?” 


 


 


เขาลูบใบหน้าตัวเองเล็กน้อยพลางเอ่ยราบเรียบ “เปล่านี่” 


 


 


เธอพูดไม่ออกบอกไม่ถูก อยากจะแย้งแต่กลับไร้เรี่ยวแรง แค่อ้าปากจะพูดพลันรู้สึกแสบคอไปหมด เมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งฟื้นใหม่ๆ เธอรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นเล็กน้อย ดีขึ้นเล็กน้อยจริงๆ 


 


 


เธอถอนหายใจพลางนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง เห็นท่าทางซีดเซียวของจิ้นหยวนแล้ว ช่วงที่ผ่านมาเขาคงทำเพื่อเธอไม่น้อย แล้วต่อจากนี้ล่ะ เธอสามารถอยู่กับเขาโดยไม่สนใจภรรยาของเขาได้หรือ? 


 


 


เธอครุ่นคิดไปมาแต่ก็ไม่ได้คำตอบเสียที จึงได้แต่นั่งเงียบต่อไป 


 


 


ทันใดนั้น เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านมาจากศีรษะ ที่แท้จิ้นหยวนลูบศีรษะเธอเบาๆ นั่นเอง “คนดี เสียใจมากเลยเหรอ เดี๋ยวค่ำๆ คุณกินได้อีกหนึ่งถ้วย”  


 


 


เธอทั้งโมโหทั้งขำ นี่เขาคิดว่าเธออารมณ์ไม่ดีเพราะน้ำข้าวต้มอย่างนั้นเหรอ? เธอไม่ได้ตะกละขนาดนั้นเสียหน่อย 


 


 


ที่ท่าทางเธอเหมือนผีตายอดตายอยากนั่นเป็นเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งสองเดือนต่างหาก แต่ตอนนี้ไม่แล้ว 


 


 


เธอไม่มีแรงโต้แย้ง ได้แต่จ้องเขาตาเขม็ง จากนั้นขยับตัวจะลงจากเตียง แต่กลับถูกเขาจับตัวเอาไว้ “คุณจะทำอะไร?” 


 


 


เธอมองเขาแล้วมองร่างกายตัวเอง รู้สึกกระวนกระวายใจมาก เธออยากจะเข้าห้องน้ำ ทำอย่างไรดี? 


 


 


เธออยากจะลงจากเตียงแต่ให้ตายจิ้นหยวนก็ไม่ยอม เธอร้อนใจมาก พยายามเปล่งเสียงอย่างยากลำบาก “ถอยไป ฉัน… ฉันจะไป…” 


 


 


เอ่ยพลางมองไปยังห้องน้ำ 


 


 


เธอเพิ่งจะเข้าใจความเจ็บปวดของคนพิการเดี๋ยวนี้เองว่ามันทรมานมากขนาดไหน 


 


 


จิ้นหยวนเข้าใจทันที ก้มกายลงช้อนตัวเธอขึ้นอุ้ม “จะไปห้องน้ำเหรอ? บอกตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว” 


 


 


เอ่ยจบแล้วอุ้มเธอเดินเข้าไปในห้องน้ำ เขาวางเธอลงแล้วเอ่ยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ “ให้ผมช่วยไหม?” 


 


 


“… ไปให้พ้น!” เธอเค้นเสียงจนหน้าแดงกว่าจะเปล่งคำพูดออกมาได้ จิ้นหยวนหัวเราะร่าแล้วหมุนตัวเดินออกไป 


 


 


เธอค่อยๆ จัดการธุระส่วนตัวอย่างเชื่องช้า หลังเสร็จธุระแล้วหันไปเห็นอ่างอาบน้ำที่อยู่ข้างตัว ทันใดนั้น เธอรู้สึกคันคะเยอะไม่ทั้งตัว นอนหลับไปนานขนาดนั้น เธอต้องไม่เคยได้อาบน้ำแน่… 


 


 


เธอค่อยๆ ลุกขึ้น เดินงกๆ เงิ่นๆ ไปเปิดก๊อกน้ำ…  

 

 


ตอนที่ 244 หึง

 

 


 


 


จิ้นหยวนได้ยินเสียงแล้ววิ่งพุ่งเข้าไปในห้องน้ำทันที และสิ่งที่เขาเห็นคือ… เธอล้มอยู่ที่พื้น ทั้งๆ ที่เคลื่อนไหวลำบากแต่ยังพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่ก็ไร้เรี่ยวแรงเต็มทน ท่าทางเธอเหมือนแมลงที่กำลังดิ้นขยุกขยิกไม่มีผิด เห็นแล้วน่าขำมาก 


 


 


ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่สมควร แต่จิ้นหยวนก็อดยกยิ้มมุมปากไม่ได้ เขาเข้าไปประคองให้เธอลุกขึ้น “ไหนดูซิว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” 


 


 


เธอโมโห “หัว… หัวเราะทำไม…” 


 


 


พูดแทบจะพูดไม่ไหว แต่เวลาด่าคนกลับลื่นไหล จิ้นหยวนกวาดสายตาสำรวจเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า นอกจากหัวเข่าแดงๆ แล้วก็ไม่เห็นบาดแผลตรงไหนอีก จิ้นหยวนโล่งอก “คุณอยากอาบน้ำเหรอ?” 


 


 


เธอพยักหน้า “คัน… คันตัว” 


 


 


“ผมช่วยนะ” 


 


 


“ไม่… ไม่ต้อง ฉันอาบเองได้” เธอกระวนกระวาย 


 


 


“คุณไหวเหรอ? เมื่อกี้ดูเหมือนว่าคุณจะหกล้มไม่ใช่เหรอ? เขามองเธอขำๆ 


 


 


เธอหน้าแดงก่ำ มองเขาตาเขม็ง “นั่น… นั่นมัน… อุบัติเหตุ….” 


 


 


“ขืนให้คุณอาบเองคนเดียว ต้องเกิดอุบัติเหตุแน่” จิ้นหยวนไม่ฟังคำแก้ตัวของเธอ เขายื่นมือเปิดก๊อกน้ำร้อน ไอความร้อนค่อยๆ กระจายไปทั่วห้อง ใบหน้างดงามของจิ้นหยวนค่อยๆ ดูเลือนราง 


 


 


เธอยังไม่ทันตั้งสติก็ถูกจิ้นหยวนอุ้มขึ้นจนตัวลอยโดยไม่สนใจการดิ้นรนของเธอ เขาถอดเสื้อผ้าเธอออกทีละชิ้นๆ เธอได้แต่มองดูตัวเองถูกเปลื้องผ้าออกจนหมดด้วยสองมือของเขา โดยที่เขาหน้าไม่เปลี่ยนสีเลยสักนิด 


 


 


สีหน้าเขานิ่งมาก ราวกับว่าคนตรงหน้าไม่ใช่หญิงสาว หากแต่เป็นเด็กทารกตัวน้อยเท่านั้น เขาเปลื้องผ้าเธอจนเกลี้ยง จากนั้นวางเธอลงในอ่างอาบน้ำที่รองน้ำร้อนจนเต็มอ่างแล้ว 


 


 


ใบหน้าเธอแดงก่ำ แม้เธอจะใช้ชีวิตร่วมกับเขามานาน เธอก็อดรู้สึกอายไม่ได้ แต่เขาไม่ให้โอกาสเธอได้ประท้วง หมุนตัวแล้ววางเธอลงในอ่างอาบน้ำทันที ชั่ววินาทีที่ร่างกายเธอสัมผัสน้ำร้อน ความรู้สึกผ่อนคลายแผ่ไปทั่วกายจนเธอตัวสั่นเล็กน้อย 


 


 


เธอลืมตาขึ้น ไล่เขาทางสายตาอย่างไม่ปิดบัง ตอนนี้เธอแค่อยากจะนอนแช่น้ำร้อนให้สบาย และไม่อยากให้ผู้ชายหน้าไม่อายมาอยู่ข้างๆ แบบนี้ 


 


 


แต่จิ้นหยวนก็หน้าด้านเหลือเกิน เขาไม่เพียงทำเป็นไม่เข้าใจสายตาเธอ แต่ยังยื่นมือออกไปแล้วเริ่มสระผมให้เธอ สายตาเขาแรงกล้าจนเธอไม่อาจปฏิเสธเขา ได้แต่มองดูเขาช่วยเธอสระผมโดยที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ 


 


 


เขาลงน้ำหนักมือได้พอดิบพอดี สระผมพลางนวดหนังศีรษะให้เธอพลาง เธอรู้สึกผ่อนคลายและสบาย เคลิบเคลิ้มจนเริ่มสัปหงก 


 


 


จิ้นหยวนเห็นเธอเริ่มสัปหงกแล้วแววตาหมองลง เขาอาบน้ำให้เธออย่างอ่อนโยนจนเสร็จสิ้นกระบวนการ จากนั้นก้มกายลงช้อนกายเธออุ้มขึ้น 


 


 


เธอตกใจจนสะดุ้งตื่น พยายามดิ้นรนเต็มที่ “คุณ… คุณปล่อยฉันนะ…” 


 


 


ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในสภาพเปลือยล่อนจ้อน จิ้นหยวนอย่าทำอะไรแบบนี้ไห้ไหม? 


 


 


แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้คิดแบบเดียวกับเธอ เขาดึงผ้าขนหนูผืนใหญ่ห่อตัวเธอเอาไว้ เธอยังคงพยายามดิ้นรนไม่หยุด “คุณปล่อยฉันนะ ฉัน… ฉันทำเองได้…” 


 


 


เสียงแหบแห้งเหมือนฆ้องแตกของเธอไม่สามารถหยุดเขาได้แม้แต่นิดเดียว เขายกมือขึ้นตีบั้นท้ายเธอเสียงดังเพียะ พลางเอ่ยเสียงดุ “อย่าขยับ!” 


 


 


สั่งสอนเธอเสร็จแล้วจึงอุ้มเธอเดินออกจากห้องน้ำ 


 


 


เสียงตีบั้นท้ายดังกังวานจนเธอตะลึงค้าง กว่าจะเรียกสติกลับคืนมาได้ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงแล้ว เธอจ้องดวงตาดำเป็นประกายของเขาเขม็ง สายตาเต็มไปด้วยความประท้วง “คุณ… คุณตี… ตี…” 


 


 


“คนดี หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว กล่องเสียงคุณยังไม่ดี ต่อไปถ้าอยากพูดอะไรก็ใช้วิธีพิมพ์เอาดีกว่า” จิ้นหยวนเมินเฉยต่อคำประท้วงของเธอ หมุนตัวหยิบโทรศัพท์มือถือให้เธอ “ต่อไปถ้าคุณอยากพูดอะไรก็พิมพ์ลงในนี้” 


 


 


เอ่ยจบแล้วหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมา เขาขยับศีรษะเธอให้เข้าที่ จากนั้นเริ่มไดร์ผมให้เธอ ท่าทางช่ำชอง น้ำเสียงเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าเขาเคยทำเรื่องนี้เป็นพันเป็นหมื่นครั้งแล้ว 


 


 


เธอกำโทรศัพท์มือถือแน่น รู้สึกตีบตันใจ ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหว พิมพ์บางอย่างลงในโทรศัพท์มือถือ “คุณดูแลคนเก่งมาก” 


 


 


เขาไดร์ผมให้เธอพลางชำเลืองดูข้อความพลาง จากนั้นยอมรับคำชมของเธอนิ่งๆ “ขอบคุณ” 


 


 


เธอเม้มริมฝีปากเล็กน้อย คิดๆ แล้วพิมพ์ข้อความใหม่ “ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนคุณไม่ใช่คนแบบนี้” 


 


 


เธอจำได้ว่าเมื่อก่อนเขาเป็นคนประเภทที่ไม่ทำอะไรแบบนี้เด็ดขาด อย่าว่าแต่ดูแลคนอื่นเลย เขาไม่ร้องขอให้คนอื่นดูแลเขาก็ดีหนักหนาแล้ว ทำไมตอนนี้เขาถึง… 


 


 


จิ้นหยวนเห็นข้อความแล้วยกยิ้มมุมปาก “เพิ่งเรียนรู้ไม่นานนี้เอง เพื่อดูแลใครบางคนน่ะ” 


 


 


หัวใจเธอตีบตันมากยิ่งขึ้น เธออดคิดไม่ได้ หรือว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและหร่วนเซียงเซียงจะดีมาก? ที่แท้คำพูดของเขาก่อนหน้านั้นมีแต่คำหลอกลวงทั้งนั้น!” 


 


 


เธอรู้สึกเจ็บปวดมาก ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ทันใดนั้น เธอพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง “ไม่… ไม่ต้อง…” เอ่ยพลางแย่งไดร์เป่าผมมาจากมือเขา 


 


 


เธอรีบร้อนจนลืมพิมพ์ข้อความ 


 


 


จิ้นหยวนยกมือขึ้นสูง ทำให้เธอเอื้อมไม่ถึง “คุณเป็นอะไรไป? โกรธเหรอ?” เขาเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ ในสายตากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม 


 


 


เธอไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าเขา ยังคงประชดประชัน “ไม่… ไม่เกี่ยวกับคุณ…” 


 


 


เอ่ยพลางพยายามโถมกายเข้าไปแย่งไดร์เป่าผมจากเขา แต่กลับถูกเขากอดเอาไว้แน่นแทน 


 


 


เขากอดเธอแน่นจนเธอขยับเขยื้อนไม่ได้ ปกติเธอก็แรงน้อยสู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งไม่มีแรงแม้แต่จะขยับเขยื้อนตัว เธอโกรธจนหน้าแดง “ปล่อย… ปล่อยนะ” 


 


 


จิ้นหยวนกอดเธอแน่น “ไม่ปล่อย ถ้าคุณไม่บอกว่าโกรธเรื่องอะไรผมก็ไม่ปล่อย” 


 


 


เขากลัวว่าเธอจะทำร้ายตัวเองอีก จึงส่งโทรศัพท์ให้เธอ “พิมพ์บอกผมสิ” 


 


 


เธอเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่คอ จึงต้องพิมพ์ข้อความอย่างช่วยไม่ได้ “คุณไปดูแลเธอเถอะ ไม่ต้องมาสนใจฉัน แล้วก็รบกวนช่วยจัดการให้ด้วย ฉันจะกลับแล้ว” 


 


 


เธอพิมพ์ข้อความทีละตัวๆ แล้วยกโทรศัพท์มือถือขึ้นให้เขาดู จิ้นหยวนเห็นแล้วหน้าเข้มขึ้นทันที “คุณจะกลับ? กลับไปไหน?” 


 


 


เธอจ้องเขาตาเขม็งแล้วหันไปพิมพ์ข้อความใหม่ “ไม่เกี่ยบกับคุณ คุณเองก็มีภรรยาแล้วไม่ใช่เหรอ? คุณก็ไปอยู่กับเธอสิ” 


 


 


เขายิ้มน้อยๆ “คุณหึงผมเหรอ?” 


 


 


เธอได้ยินแล้วกระวนกระวายขึ้นมาทันที พยายามพิมพ์ข้อความใหม่ “คุณสิที่หึง ฉันไม่ได้หึงซะหน่อย!”  


 


 


“ผมว่าคุณกำลังหึง” จิ้นหยวนไม่กล้าล้อเธออีก กลัวว่าเธอโกรธขึ้นมาแล้วจะหนีเขาไปอีก  

 

 


ตอนที่ 245 ค่ำคืนแสนสับสน

 

เธอจ้องเขาตาเขม็ง หยาดน้ำใสค่อยๆ เอ่อคลอเต็มเบ้า 


 


 


เขาเห็นน้ำตาเธอแล้วลนลานขึ้นมาทันที “โธ่ อย่าร้องเลยนะ คุณจะร้องไห้ทำไม…” 


 


 


ตอนแรกเธอพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่พอเขาพูดเท่านั้นแหละ น้ำตาเธอก็ไหลเปาะแปะทันทีเหมือนสร้อยไข่มุกที่ขาดผึง “คุณ… คุณรังแก…” 


 


 


เธอเอ่ยกระท่อนกระแท่น เขาต้องพยายามเงี่ยหูฟังถึงฟังรู้เรื่อง คราวนี้เรื่องใหญ่แล้ว “ผมไปรังแกคุณตอนไหน? คุณอย่าใส่ร้ายผมอย่างนี้สิ”  


 


 


“ก็… ก็…” ไหนๆ ก็หนีไม่พ้นแล้ว เธอจึงเช็ดน้ำตากับอกเขาเสียเลย ทำเอาเสื้อราคาสี่หลักของเขาเสียหายหมด 


 


 


เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่ตบแผ่นหลังเธอเบาๆ โอ๋เธอเสียงเบาราวกำลังโอ๋เด็กๆ “คุณนี่นะ คิดมากไปได้ ผมพูดเมื่อไหร่ว่าผมมีผู้หญิงคนอื่น” 


 


 


“คุณ… คุณ…” เธอยังคงพูดไม่เป็นประโยคเหมือนเดิม จิ้นหยวนเข้าใจความหมายของเธอ เขาหัวเราะเบาๆ อยู่เหนือศีรษะเธอ “คุณหมายถึงคนที่ผมบอกว่าเพิ่งเรียนรู้เพื่อดูแลคนนั้นนะเหรอ? ก็คุณไง คุณคิดว่าตัวเองนอนหลับไปนานขนาดนั้น ใครเป็นคนอาบน้ำเช็ดตัวให้คุณกัน?” 


 


 


เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดน้ำใส “ก็… ก็คุณ…” 


 


 


“ก็ผมนะสิ ผมไม่ยอมให้สาวใช้หยาบกระด้างพวกนั้นดูแลคุณหรอก” เขาใช้นิ้วจิ้มจมูกเธอเบาๆ อย่างเอ็นดู “ตอนแรกผมแค่คิดจะหยอกคุณเล่นเฉยๆ ใครจะไปรู้ว่าคุณจะไม่รับมุกแบบนี้ ขี้น้อยใจจริงๆ…” 


 


 


ใบหน้าเธอแดงก่ำ นึกไม่ถึงว่าคนที่เธอหึงจะกลายเป็นตัวเองไปเสียนี่ ในใจเต็มไปด้วยความอับอาย เลือดสูบฉีดจนใบหน้าแดงก่ำ 


 


 


เขามองใบหน้าขัดเขินของเธอแล้วหอมแก้มเธอเบาๆ จนเธอตกใจ เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นเขาพยายามกระถดตัวให้ห่างจากตัวเธอ เขาหายใจแรง “คุณรีบรักษาตัวให้หายเร็วๆ …” 


 


 


น้ำเสียงแหบพร่าสื่อความหมายของเขา ทำให้เธอหน้าแดงเป็นลูกตำลึง 


 


 


เขาชื่นชมจนพอใจแล้วจึงเผยยิ้มบางๆ แล้ววางเธอลงบนเตียงอีกครั้ง จากนั้นเอ่ยกับเธอ “ก่อนหน้านี้ผมอาจจะทำเรื่องผิดพลาดมาไม่น้อย แต่ขอให้คุณเชื่อผม ต่อจากนี้ไป ผมจะไม่ทำให้คุณเสียใจอีก” 


 


 


เธอจับมือเขาเอาไว้ ขยับริมฝีปากเล็กน้อย อยากจะถามเรื่องระหว่างเขากับหร่วนเซียงเซียง แต่เธอกลับพูดอะไรไม่ออก 


 


 


เธออยากได้ยินเขาบอกเธอด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้เธอเป็นคนเอ่ยปากถามเขาเอง 


 


 


แต่เธอรอแล้วรอแล้วเขาก็ไม่พูดอะไรสักอย่าง มีเพียงรอยจุมพิตที่ฝากไว้บนหน้าผากเท่านั้น เขาห่มผ้าห่มให้เธอแล้วตบเบาๆ “พรุ่งนี้ผมจะพาคุณไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล คุณพักผ่อนเถอะ” 


 


 


เธอรู้สึกผิดหวังมาก ดวงตาคู่โตจ้องเขาตาไม่กะพริบ เขาคิดว่าเธอไม่อยากให้เขาไป จึงยิ้มบางๆ “ไม่อยากให้ผมไปเหรอ? คนดี ผมจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าคุณหลับ รีบนอนเถอะ” 


 


 


เอ่ยจบแล้วนั่งลงข้างๆ เธอ มองดูเธอค่อยๆ หลับตาลง 


 


 


เขานั่งรออยู่สักพัก รอจนกระทั่งลมหายใจเธอค่อยๆ สม่ำเสมอ เขาจึงค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้อง 


 


 


เธอลืมตาพรึบทันทีที่ได้ยินเสียงปิดประตูเบาๆ อาจเป็นเพราะเธอนอนเยอะมากพอแล้ว เธอจึงไม่รู้สึกเหนื่อยสักเท่าไหร่ 


 


 


เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากใต้หมอน ปลดล็อกหน้าจอ กดเข้าไปอ่านข่าวอย่างรวดเร็ว 


 


 


ข่าวของตระกูลจิ้นหาง่ายมาก กดเข้าไปเว็บไซต์ไหนก็มีข่าวของพวกเขา 


 


 


เธอกดหาข่าวอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็เห็นข่าวจากเว็บไซต์หนึ่งเขียนว่า หร่วนเซียงเซียงและพ่อแม่ของจิ้นหยวนเพิ่งไปออกงานการกุศลเมื่อคืนนี้ 


 


 


แววตาเธอหมองลง โยนโทรศัพท์มือถือทิ้ง 


 


 


เธอยังแอบหวังเล็กๆ ว่าบางทีเขากับหร่วนเซียงเซียงยังไม่ได้แต่งงานกัน หร่วนเซียงเซียงไม่ใช่ภรรยาของเขา แต่ดูจากข่าวแล้ว ความหวังสุดท้ายของเธอแตกสลายในฉับพลัน 


 


 


ชายที่เธอรักเป็นสามีของหญิงอื่น และตอนนี้เธอก็ไม่แตกต่างอะไรกับเมียน้อยของเขา 


 


 


ความจริงนี้ทำให้เธอใจคอหดหู่มาก ให้เธอรวบรวมความกล้าไปจากเขาเธอก็ทำไม่ได้ ความรักความทะนุถนอม ความดูแลเอาใจใส่แสนอ่อนโยนของเขา ฝังแน่นในใจเธอแล้ว 


 


 


ตอนนี้เทวากับซาตานกำลังต่อสู้กันอยู่ในใจเธอ มันทรมานมากจนเธอนอนไม่หลับ กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงจนกระทั่งตีสองถึงค่อยๆ หลับไป 


 


 


กลางดึก จิ้นหยวนเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบๆ เขามองใบหน้าหลับสนิทของเธอแล้วหัวใจกระตุกวูบ นึกกลัวว่าเธอจะหลับไม่ตื่นอีก เขาส่ายศีรษะสลัดความคิดนั้นทิ้ง ปีนขึ้นเตียงนอนกอดเธอเอาไว้ 


 


 


วันถัดมา เขาพาเฉียวซือมู่ไปที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกาย แม้เธอจะฟื้นแล้วแต่เขายังไม่วางใจ ต้องเห็นผลตรวจสุขภาพกับตาถึงจะวางใจ 


 


 


และผลการตรวจสุขภาพโดยรวมของเธอคือถือว่าไม่เลวนัก แม้ตัวเลขบางรายการจะแย่ไปหน่อย แต่ก็สามารถฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาดีเหมือนเดิม สิ่งที่เธอต้องการก็คือเวลาเท่านั้น 


 


 


เฉียวซือมู่ฟังแล้วดีใจมาก ไม่มีใครชอบที่ตัวเองต้องนอนป่วยอยู่บนเตียงตลอดเวลาหรอก หมอพูดแบบนี้ทำให้เธอดีใจมาก 


 


 


จิ้นหยวนที่ถือผลการตรวจเอาไว้รู้สึกดีใจมากเช่นเดียวกัน เขาเอียงศีรษะมองใบหน้ายิ้มแย้มของเธอ จู่ๆ เขาก็หอมแก้มเธอเบาๆ “ดีใจไหม?” ร่างกายแข็งแรงเร็วๆ จะได้มีลูกให้เขาเร็วๆ 


 


 


เธอพยักหน้า สีหน้าตื่นเต้น แต่สิ่งที่เธอให้ความสำคัญกลับกลายเป็น “หายดีแล้วจะได้กลับไปทำงานเสียที ดีจัง” 


 


 


จิ้นหยวนยิ้มค้าง รู้สึกไม่พอใจที่ผู้หญิงของตัวเองเป็นหญิงแกร่งแบบนี้ 


 


 


เฉียวซือมู่เห็นสีหน้าเขาแล้วรีบพิมพ์ข้อความทันที “ดูเหมือนคุณจะไม่ดีใจเลยนะ?” 


 


 


จิ้นหยวนลูบแก้มที่เริ่มมีเลือดฝาดของเธอเบาๆ “เปล่า ผมดีใจมาก” 


 


 


เอ่ยพลางดึงตัวเธอให้ลุกขึ้น “ไป กลับบ้านกันเถอะ” 


 


 


เธอมองใบหน้าด้านข้างของเขาด้วยความไม่เข้าใจ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าเขากำลังไม่พอใจ แต่ดูเหมือนเขาไม่อยากจะพูดความจริงออกมา 


 


 


เธอทำปากจู๋โดยไม่พูดอะไรอีก และยอมให้เขาเดินจูงมือเธออย่างว่าง่าย 


 


 


สองหนุ่มสาวเดินจูงมือกันออกไปโดยที่ไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีใครคนหนึ่งกำลังจับจ้องทั้งสองนิ่งอยู่ทางด้านหลัง 


 


 


หร่วนเซียงเซียงมองภาพบาดตาบาดใจตรงหน้าด้วยความกลัดกลุ้ม ไม่คิดเลยว่าเฉียวซือมู่จะดวงแข็งขนาดนี้ แม้แต่ยาพิษก็เอาชีวิตเธอไม่ได้ เธอมันขวางหูขวางตาที่สุด 


 


 


แต่ตอนนี้หร่วนเซียงเซียงถูกจิ้นหยวนเมินเฉยจนไม่มีความกล้ามากพอที่จะเล่นงานเฉียวซือมู่แล้ว เธอได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นด้วยความเจ็บใจ หมุนตัวกลับไปเจอฉินเพ่ยหรงพอดี “คุณแม่ หนูได้ผลตรวจมาแล้วค่ะ” 


 


 


ฉินเพ่ยหรงพยักหน้าเล็กน้อย ยื่นมือออกไปรับผลตรวจสุขภาพของจิ้นเฮ่า เธอมองไปทางด้านหลังหร่วนเซียงเซียง “เมื่อกี้มองอะไรอยู่เหรอ?” 


 


 


หร่วนเซียงเซียงเกือบจะหลุดปากพูดออกไปว่าเธอเห็นจิ้นหยวนอยู่กับผู้หญิงอื่น แต่สุดท้ายเธอกลับตอบว่า “เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร เมื่อกี้เหมือนเห็นคนรู้จัก แต่เขาไปแล้วล่ะค่ะ”  

 

 


ตอนที่ 246 เสียเวลาเปล่า

 

ฉินเพ่ยหรงฟังแล้วไม่ได้เอามาใส่ใจ ก้มหน้าก้มตาดูผลการตรวจสุขภาพของจิ้นเฮ่า ผลการตรวจดีขึ้นกว่าครั้งที่แล้วเยอะมาก จึงเอ่ยอย่างดีใจ “ลำบากเธอแล้วนะ เธอเองก็รีบกลับไปหาจิ้นหยวนเถอะ เป็นผัวเมียกันแท้ๆ อย่ามัวแต่มาเสียเวลาอยู่เป็นเพื่อนคนแก่อย่างพวกเราเลย เข้าใจหรือยัง?” 


 


 


หร่วนเซียงเซียงพยักหน้าหงึกๆ พยายามฝืนยิ้ม “ค่ะ คุณแม่ หนูรู้แล้วค่ะ” 


 


 


ในสายตาคนเป็นแม่ ถึงลูกชายตัวเองจะไม่ดีแต่แม่ก็คิดว่าลูกตัวเองดี ส่วนคนนอก ต่อให้ทำดีมากแค่ไหนก็เห็นว่าเขาไม่ดี หร่วนเซียงเซียงฉลาดมากที่ไม่บอกว่าจิ้นหยวนอยู่กับหญิงอื่น แบบนี้ภาพลักษณ์เธอจะได้ดูดีในสายตาพ่อแม่จิ้นหยวน 


 


 


สำหรับเธอ ในเมื่อเธอไม่ได้รับความรักจากจิ้นหยวน ถ้าเช่นนั้น สิ่งเดียวที่เธอทำได้ก็คือ พยายามทำตัวให้พ่อแม่ของจิ้นหยวนรู้สึกดีกับเธอ ตราบใดที่พวกท่านยังเอ็นดูเธอ จิ้นหยวนก็จะไม่มีวันทิ้งเธอ 


 


 


เธอครุ่นคิดเล็กน้อย พลันแววตาเปล่งประกาย… 


 


 


จิ้นหยวนไม่รู้ว่าพ่อแม่ตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกัน เขากับเฉียวซือมู่เดินออกจากโรงพยาบาล ตอนแรกเขาอยากจะพาเธอออกไปเที่ยวเล่น แต่พอเห็นสีหน้าซีดเซียวของเธอแล้วก็เลิกล้มความคิดทันที 


 


 


สุขภาพของเธอในตอนนี้ควรกลับไปรักษาตัวอยู่ที่บ้านดีกว่า รอให้หายดีแล้วค่อยออกไปข้างนอกก็ยังไม่สาย 


 


 


วันเวลาหลังจากนั้น เฉียวซือมู่ใช้ชีวิตไม่แตกต่างจากสัตว์บางประเภทที่เอาแต่กินกับนอน ทุกเช้าที่เธอลืมตาตื่นขึ้นก็จะมีน้ำซุปบำรุงร่างกายรอเธออยู่แล้ว จากนั้นก็ถึงเวลาอาหารเช้า จิ้นหยวนจะเป็นคนคอยกำกับให้เธอรับประทานอาหารเช้าทุกวัน อย่างน้อยเธอต้องดื่มนมห้าร้อยซี.ซี.หนึ่งแก้วและไข่ดาวอีกสองฟอง เขาถึงจะยอมปล่อยเธอไป 


 


 


ถึงเวลาอาหารเที่ยง ส่วนใหญ่จิ้นหยวนมักจะกลับบ้านไม่ทัน ดังนั้น พ่อบ้านจึงต้องเป็นคนคอยกำกับดูแลแทนเขา พ่อบ้านคนนี้เป็นคนพูดน้อยมาก เขาทำงานตามคำสั่งของจิ้นหยวนได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เธอต้องกินข้าวให้หมดถ้วย และต้องดื่มน้ำซุปบำรุงอีกถ้วยใหญ่ภายใต้การกำกับดูแลของพ่อบ้าน เธออิ่มจนท้องจะแตก แต่ก็ไม่กล้าประท้วงใดๆ 


 


 


เพราะจิ้นหยวนรับปากเธอว่า ถ้าเธอยอมกินข้าวดีๆ และร่างกายหายดีแล้ว เขาจะพาเธอไปเยี่ยมคุณแม่ของเธอ ตอนนี้สุขภาพของท่านดีขึ้นเยอะมาก สามารถเดินเหินเองได้อย่างอิสระแล้ว จิ้นหยวนให้สัญญากับเธอ สุขภาพเธอแข็งแรงเมื่อไหร่เขาจะพาเธอไปพบคุณแม่ทันที 


 


 


เพื่อจะได้พบคุณแม่โดยเร็ว เฉียวซือมู่ยอมทนลำบากทุกอย่าง และแน่นอนว่าความลำบากของเธอในสายตาของคนอื่นนั้นเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อมาก 


 


 


เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น สิ่งที่รอเธออยู่ยังคงเป็นน้ำซุปบำรุงร่างกายถ้วยใหญ่เหมือนเดิม หลังจากดื่มน้ำซุปหมดถ้วยแล้วถึงจะเป็นเวลาอาหารหลัก ซึ่งทำให้เธออิ่มจนพุงกาง และที่สำคัญ จิ้นหยวนเป็นคนคอยกำกับการกินของเธอด้วย 


 


 


อ้อ ยังมีอีกเรื่อง ยังมีขนมกินเล่นต่างๆ วางไว้ข้างๆ เธอ เธอจะได้หยิบกินได้ตลอดเวลา 


 


 


เป้าหมายของจิ้นหยวนก็เพื่อให้เธอกินเยอะๆ ร่างกายจะได้ฟื้นฟูเร็วๆ ส่วนเฉียวซือมู่ทำเพื่อจะได้พบคุณแม่เร็วๆ จึงให้ความร่วมมือเต็มที่ 


 


 


และความสุขมักมาพร้อมความทุกข์เสมอ 


 


 


เช้าวันหนึ่ง เธอตื่นขึ้นพร้อมความรู้สึกผิดปกติ เธอยกหลังมือขึ้นปาด ปรากฎว่าหลังมือมีแต่เลือด เธอตกใจจนตะลึงค้าง 


 


 


จิ้นหยวนที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำก็ตกใจมากเช่นเดียวกัน เขาไม่สนใจเรื่องทำงานแล้ว รีบอุ้มเธอวิ่งไปขึ้นรถ และขับรถพาเธอไปโรงพยาบาลด้วยความเร็วสูงสุด 


 


 


และผลการตรวจทำให้ทั้งสองกลืนไม่เข้าคายไม่ออก 


 


 


ทั้งสองเดินออกมาจากโรงพยาบาลด้วยสีหน้าเก้อๆ เธอตวัดสายตามองเขาแวบหนึ่งพลางทำเสียงฮึดฮัด เขาทำหน้าแหยพลางเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “เป็นความผิดของผมเอง…” 


 


 


เธอหันหน้าหนี ไม่อยากจะสนใจเขาแล้ว ครั้งนี้เขาทำเธอขายหน้ามาก มีคนเยอะแยะมากมายที่เห็นทั้งสองคนวิ่งพุ่งเข้าไปหาหมอด้วยความร้อนใจมาก จนคนพวกนั้นคิดว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นหรือเปล่า และดูซิว่าเกิดอะไรขึ้น? 


 


 


ยามเมื่อคุณหมออธิบายพร้อมดวงตายิ้มๆ ว่าเป็นเพราะเธอกินยาบำรุงมากเกินไปในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จนทำให้ธาตุไฟเข้าแทรก และทำให้เลือดกำเดาไหล พอเธอฟังเข้าใจเท่านั้นแหละ เธออับอายจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี 


 


 


ที่แท้เป็นเพราะน้ำซุปบำรุงร่างกายพวกนั้นนั่นเอง เธอหวนนึกถึงกิจวัตรประจำวันของตัวเองที่ต้องดื่มน้ำซุปบำรุงร่างกายวันละสามมื้อแล้วพาลโกรธจิ้นหยวนขึ้นมาทันที จิ้นหยวนเองพอได้ยินสิ่งที่หมอบอกแล้วถึงกับตะลึงนิ่งอึ้งไปเหมือนกัน 


 


 


ที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องนี้เองหรือ? 


 


 


นี่เขาคิดไปต่างๆ นานาจนเกือบคิดว่าเธอเป็นโรคที่รักษาไม่หายเสียอีก แต่สุดท้ายกลับเป็นเพราะเรื่องนี้เองหรอกหรือ 


 


 


เห็นสายตาไม่เป็นมิตรของเธอแล้วเขารู้สึกผิดขึ้นมาทันที 


 


 


สุดท้ายคุณหมอยังกำชับด้วยว่าแม้น้ำซุปบำรุงร่างกายจะดี แต่ก็ควรรับประทานแต่พอประมาณ ดื่มเพียงวันละครั้งก็เพียงพอแล้ว หลังร่างกายหายดีแล้วก็ให้ดื่มสามวันต่อครั้ง หรืออาทิตย์ละครั้งก็พอ ห้ามดื่มวันละสามมื้อเด็ดขาด มิเช่นนั้นร่างกายจะรับไม่ไหว 


 


 


นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมสีหน้าของพวกเขาถึงได้ดูแย่มากขนาดนั้น เฉียวซือมู่โกรธที่เขาเอาแต่บังคับให้เธอดื่มน้ำซุปบำรุงเยอะเกินไปจนทำให้เธอต้องอับอายขายหน้า ส่วนจิ้นหยวนเพียงแค่รู้สึกผิดเท่านั้นจนไม่กล้าสบตาเธอตรงๆ 


 


 


ระหว่างทางกลับบ้าน ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอจ้องเขาตาเขม็ง “ครั้งนี้คุณทำฉันอับอายขายหน้ามาก เป็นเพราะคุณคนเดียวเลย” 


 


 


เขาหน้าแดงเล็กน้อยอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก “ผมก็แค่อยากให้คุณหายเร็วๆ คุณดูสิ ตอนนี้คุณก็พูดได้เหมือนเดิมแล้ว สีหน้าก็ดีขึ้นตั้งเยอะ…” 


 


 


เฉียวซือมู่ที่กำลังโกรธกระฟัดกระเฟียดเห็นสีหน้าสำนึกผิดของเขาแล้วความโกรธหายไปเป็นปลิดทิ้งอย่างแปลกประหลาด เธอเม้มริมฝีปากเล็กน้อย “ครั้งนี้ฉันยกโทษให้คุณก็ได้ แต่คราวหน้าคุณต้องฟังฉัน และห้ามบังคับฉันอีก” 


 


 


“ผมต้องเชื่อฟังเมียจ๋าอยู่แล้ว” เขารีบรับคำทันที 


 


 


ใครจะไปรู้ว่าคำพูดของเขาจะทำให้เธอหน้าเปลี่ยนสีทันที “ใครเป็นเมียคุณ เมียคุณอยู่ที่บ้านคุณโน่น” 


 


 


เอ่ยจบแล้วเบือนหน้าหนีทันทีโดยไม่สนใจเขาอีก 


 


 


หากเรื่องน้ำซุปบำรุงเป็นความประสงค์ดีแต่กลับเป็นร้ายแล้วล่ะก็ คำว่าเมียจ๋ากลายเป็นลูกระเบิดดีๆ นี่เอง หลังจากนั้น ไม่ว่าจิ้นหยวนจะปลอบจะโอ๋เธออย่างไร เธอก็ไม่ยอมพูดกับเขาอีก และไม่ยอมชายตาแลเขาแม้แต่หางตา 


 


 


เรื่องที่เขาแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียงกลายเป็นหนามยอกอกในใจเธอ เวลาที่ไม่ได้พาดพิงถึงหร่วนเซียงเซียงยังพอว่า แต่พอเอ่ยถึงเมื่อไหร่เธอก็จะรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว ทรมานกว่าตอนเธอป่วยเสียอีก 


 


 


จิ้นหยวนเห็นเธอเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงไม่พูดไม่จาแล้วได้แต่ถอนหายใจ เขารู้ดีว่าเรื่องที่เขาแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียงทำให้เธอไม่พอใจมาก แต่ไม่คิดว่าอาการจะหนักขนาดนี้ เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วตัดสินใจจอดรถกะทันหัน ยื่นมือไปจับมือเธอเอาไว้ “เรื่องที่ผมแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียงทำให้คุณไม่พอใจมากใช่ไหม?” 


 


 


ครั้งนี้เธอยอมหันมามองเขา “แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะคะ?” 


 


 


เขายิ้มขื่น “ผมเข้าใจแล้ว แล้วถ้าผมบอกว่าผมกับเขาแต่งงานกันแต่งในนาม เราไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเลย แบบนี้คุณรู้สึกยังไงบ้าง? รู้สึกดีขึ้นเยอะเลยใช่ไหม?”  


 


 


เธอมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ทำไมล่ะคะ?” 


 


 


ที่เขาแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียงไม่ใช่เพราะเขาชอบพอเธอหรอกหรือ? ทำไมแต่งงานกับเธอแล้วถึงไม่แตะต้องเธอล่ะ? หรือว่าหร่วนเซียงเซียงไม่ยินยอม? 


 


 


เธอรู้จักนิสัยของผู้หญิงคนนั้นดี เธอไม่ใช่คนที่ยอมกินน้ำใต้ศอกใครเด็ดขาด 


 


 


จิ้นหยวนยิ้มบางๆ “มู่มู่ คุณเชื่อผมนะ ผมจะต้องแต่งงานกับคุณให้ได้” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม