ลิขิตฟ้าชะตารัก 239-250
ตอนที่ 239 ขอสมรสพระราชทานให้พี่สาว
ดั่งที่คิดไว้ ฮ่องเต้พลันตรัสขึ้นว่า “ซูเฟยกล่าวได้ถูกต้อง เราและนางมีนางเป็นธิดาคนเดียว องค์ชายเองไม่ช้าก็เร็วต้องรับตำแหน่งกษัตริย์แห่งเป่ยเจียง หากต้องแต่งออกไปไกลเกรงว่าจะไม่เหมาะนัก ขอองค์ชายโปรดเห็นใจ ในเมื่อเรารับปากท่านแล้ว หากเป็นสตรีอื่นเรายินดีที่จะยกให้”
“สตรีอื่น?” สายตาของฟู่เส่าชิงแฝงรอยยิ้มเอาไว้ ดวงตากวาดมองไปยังเหล่าหญิงสาวตระกูลใหญ่กลุ่มนั้น แต่สายตากลับไม่ได้หยุดลงที่ใคร
“ฝ่าบาทเพคะ พี่สาวของหม่อมฉันอวี้จื่อเยียนเองก็ถึงวัยที่จะต้องออกเรือนแล้ว หากได้เสกสมรสออกไปเป็นไท่จื่อเฟยแห่งเป่ยเจียงก็คงจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อย ในเมื่อองค์ชายยังทรงเลือกไม่ได้ เช่นนั้นก็ทรงประทานพี่เยียนเอ๋อร์ให้สมรสกับองค์ชายแห่งเป่ยเจียงเถิดเพคะ” จู่ๆ อวี้อาเหราก็พูดขึ้นมา
ทันทีที่พูดออกไปนั้น อวี้จื่อเยียนและอนุรองที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ตกใจจนใบหน้าขาวซีดทันที
กล่าวกันตามเหตุผลแล้ว การที่ลูกของอนุภรรยาได้แต่งงานขึ้นเป็นพระชายาเอกขององค์ชายเป่ยเจียงนั้นถือเป็นพระกรุณาสูงสุด แต่องค์ชายพระองค์นี้ก็ไม่เหมือนกับองค์ชายปกติทั่วไป แล้วใครเล่าจะยอมให้ลูกสาวตัวเองต้องแต่งไปกับเขา? ทว่าเมื่ออวี้อาเหราพูดออกมาเช่นนี้แล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นการจงใจที่จะบีบคั้นพวกนางสองแม่ลูก
อวี้จื่อเยียนโกรธเสียจนแทบเต้น “เหตุใดต้องให้ข้าแต่งกับเขาด้วย”
“เหตุใดน่ะหรือ” อวี้อาเหรากล่าวเสียงเย็น “ข้าก็เป็นธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋องมิใช่หรืออย่างไร”
“ก็ใช่” อวี้จื่อเยียนถามกลับ “แล้วอย่างไร”
“ที่จริงเรื่องการแต่งงานนั้นควรเป็นเรื่องที่เสด็จแม่ของข้าที่จะต้องจัดการ แต่ตอนนี้เสด็จแม่ก็ไม่อยู่แล้ว แน่นอนว่าข้าที่เป็นบุตรสาวก็ควรจะต้องจัดการเอง หรือเจ้าก็คิดว่าตำแหน่งไท่จื่อเฟยนั้นไม่คู่ควรกับเจ้า?”
“ข้า…ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่…” อวี้จื่อเยียนจะยอมแต่งกับฟู่เส่าชิงได้อย่างไรกัน หากทำเช่นนั้นก็ไม่เท่ากับว่าเป็นการกระโดดลงไปในกองไฟหรอกหรือ
“ในเมื่อไม่ใช่เช่นนั้นก็ดีแล้ว สมรสพระราชทานจากฝ่าบาทนั้นถือเป็นพระกรุณาสูงสุดของจวนหลิงอ๋องเรา”
ในยามนี้อวี้จื่อเยียนจะบอกว่าไม่ยินยอมก็ไม่กล้า อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่ใช่จวนหลิงอ๋อง ที่นางเพียงโวยวายเท่าไรก็เพียงถูกหลิงอ๋องลงโทษครั้งสองครั้ง แต่ที่นี่คือวังหลวง ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท หากนางประมาทเพียงน้อยก็อาจจะถูกตัดหัวได้ง่ายๆ ไหนเลยนางจะกล้าแผลงฤทธิ์ได้
เช่นนั้นจึงทำได้เพียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจ้องมองอวี้อาเหราอย่างคับแค้น นี่นางก็จงใจที่จะทำร้ายตนเองชัดๆ
ใบหน้าของอนุรองเผือดสี ลูกตากลอกกลิ้งไปมา ก่อนจะเหลือบมองไปยังหลิงอ๋อง “ท่านอ๋อง ท่านคงจะไม่รับปากนะเพคะ…”
ใบหน้าของหลิงอ๋องออกจะดูไม่ยินดีอยู่บ้าง ฟู่เส่าชิงเป็นคนเช่นไรไหนเลยเขาจะไม่รู้ แล้วเขาจะปล่อยให้เยียนเอ๋อร์แต่งออกไปอยู่ถึงเป่ยเจียงได้อย่างไรกัน เขามองอวี้อาเหราด้วยสายตาไม่พอใจ พยายามที่จะเอ่ยเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อาเหรา เรื่องแต่งงานของเยียนเอ๋อร์เอาไว้ให้พ่อจัดการเอง เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก”
ทว่าอวี้อาเหรากลับไม่ฟัง ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปตรงกลางของพระตำหนัก “ขอฝ่าบาทโปรดพระราชทานสมรสแก่พี่สาวของหม่อมฉันด้วยเพคะ”
“เรื่องนี้…” ฮ่องเต้รู้สึกลังเลพระทัยอยู่บ้าง อย่างไรเสียอวี้จื่อเยียนก็ไม่ได้เป็นคนที่มีความสลักสำคัญอันใด หากประทานให้กับฟู่เส่าชิงเสียก็คงจะเป็นการดียิ่ง ไม่เพียงแต่เป็นการผูกสัมพันธ์กับเป่ยเจียง อีกทั้งยังไม่ต้องปล่อยผู้อื่นต้องแต่งงานออกไปไกล ว่ากันตามเหตุผลแล้วนี่ก็เป็นความคิดที่ดีมาก แต่สำหรับหลิงอ๋องแล้ว คาดว่าเขาคงจะไม่พอใจนัก
ฟู่เส่าชิงมองไปยังอวี้จื่อเยียน จู่ๆ หัวเราะขึ้นเสียงดัง “ฝ่าบาท ในเมื่อคนนั้นก็ไม่ยอมแต่ง คนนี้ก็ไม่ยอมแต่ง เช่นนั้นก็ช่างเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็ต้องการเพียงคุณหนูรอง สำหรับคุณหนูใหญ่นั้น…”
“เจ้า!” อวี้อาเหรากล้ำกลืนความโทสะลงไป ก่อนจะค่อยๆ ควบคุมสติและอารมณ์ของตัวเองเอาไว้
ในยามนี้เองนางก็เพิ่งเข้าใจว่าฟู่เส่าชิงนั้นก็ไม่ได้ต้องการจะแต่งกับใครอยู่แล้วตั้งแต่แรก ทั้งๆ ที่เขาก็รู้อยู่แล้วว่าทั้งนางและจวินเสวียนจีนั้นต้องปฏิเสธแน่ แต่ก็กลับยังร้องขออย่างไม่ยอมแพ้ เมื่อคิดดูแล้ว เขาเองก็คงไม่ต้องการสมรสพระราชทานนัก!
หลังจากที่นางเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ก็เข้าใจถึงแผนการของฟู่เส่าชิงอย่างทะลุปรุโปร่ง เช่นนั้นจึงอยากที่จะช่วยเหลือเขาบ้าง
ในยามนี้หากเขาบอกว่าไม่ต้องการ ฝ่าบาทที่ปฏิเสธเขาถึงสองครั้งก็คงต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตามประสงค์ของเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ตอนที่ 240 ตาบอด
เช่นนั้นอวี้อาเหราจึงไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก อย่างไรเสียหากพูดไปฮ่องเต้ก็คงไม่รับปาก
ฮ่องเต้มองคนทั้งสอง ก่อนจะกล่าวด้วยพระสุรเสียงที่เคร่งขรึมว่า “ในเมื่อองค์ชายไม่โปรด เช่นนั้นก็ช่างเถิด”
เมื่อเรื่องราวสรุปลงเช่นนั้น ทั้งสองจึงเดินกลับไปยังที่นั่งประทับอีกครั้ง
อวี้จื่อเยียนกดเสียงต่ำพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า “สุดท้ายเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เจ้าปรารถนา”
อวี้อาเหราตีสีหน้านิ่งเรียบ “ครั้งนี้ไม่สำเร็จ แต่ครั้งหน้าก็ไม่แน่”
“เจ้า!” อวี้จื่อเยียนถูกนางยั่วยุเสียจนพูดไม่ออก
มุมปากของเจาเอ๋อร์ผุดขึ้นเป็นรอยยิ้ม เมื่อเห็นท่าทีของคุณหนูใหญ่ที่ถูกคุณหนูของนางทำให้โกรธจนพูดไม่ออกนั้นก็รู้สึกขบขันยิ่งนัก
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรลงไป ก่อนจะโบกพระหัตถ์ตรัสขึ้นว่า “รัชทายาทเข้าไปนั่งได้”
“ไม่จำเป็นพ่ะย่ะค่ะ” จวินฉางอวิ๋นโบกมือ “ลูกยังต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จย่า ขอทูลลา”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็หมุนกายแล้วเดินออกไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ช่างโอหังยิ่งนัก!” ดวงพระเนตรของฝ่าบาทฉายแววเกรี้ยวโกรธ ขว้างจอกสุราที่อยู่บนโต๊ะลงพื้นด้วยโทสะ จนคนที่อยู่ในที่แห่งนั้นตกใจไปตามๆ กัน ไม่กล้าที่จะส่งเสียงอะไรออกมาอีกแม้แต่น้อย นี่องค์รัชทายาทก็ไม่เห็นแก่พระพักตร์ของฝ่าบาทสักหน่อยเลยหรือ
“ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วไปเลยเพคะ องค์รัชทายาทถูกอยู่ในวังตะวันออกเป็นเวลานานถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นกังวลต่อพระพลานามัยของไทเฮาอยู่บ้าง เห็นแก่ความกตัญญูของพระองค์แล้ว ทรงละเว้นสักครั้งเถิดนะเพคะ” เริ่นกุ้ยเฟยก้าวเข้ามาอยู่ในสายพระเนตรอันแข็งกร้าว ยอมเสี่ยงภัยเพื่อทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนี่เสีย
ฮ่องเต้พ่นลมหายใจ ไม่พูดอะไรออกมาอีก ก้มหน้าลงดื่มเหล้าลงไป
รัชทายาทกับฝ่าบาทนั้นนับว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร นับตั้งแต่ครั้งที่ฮองเฮาพระองค์ก่อนยังทรงพระชนม์ชีพนั้นรัชทายาทก็เป็นผู้กตัญญูยิ่งนัก ไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน มักเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนเสมอ และฮ่องเต้ที่เห็นเขาเป็นคนกตัญญูนั้นก็ให้ความรักเป็นอย่างดี แต่ไม่คิดว่าผ่านไปไม่กี่ปี หลังจากที่ฮองเฮาพระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ไป นับตั้งแต่นั้นรัชทายาทก็ต่อต้านฮ่องเต้มาโดยตลอด
ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเข้าไปเอ่ยปลอบ เพราะไม่มีใครอยากที่จะถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
เพราะอย่างนั้นจึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับบุตรนับทียิ่งแย่ลงเรื่อยๆ
งานเลี้ยงจึงจบลงด้วยความอึมครึมเช่นนี้
จนกระทั่งเมื่องานจบลงแล้ว ก็มองไม่เห็นฉู่ป๋ายแม้แต่เงา
ในใจของอวี้อาเหราจมดิ่ง ทว่าใบหน้ากลับไม่แสดงออกแม้แต่น้อย
หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง หลิงอ๋องก็จากไปด้วยโทสะ เพราะยังคงโกรธเคืองเรื่องที่อวี้อาเหราทูลขอพระราชทานสมรสให้กับอวี้จื่อเยียน ส่วนอนุรองสองแม่ลูกกลับดีใจยิ่งนัก เพราะยากที่จะเห็นหลิงอ๋องโกรธเคืองอวี้อาเหราได้ เช่นนั้นจึงตามเขาไปติดๆ
อวี้อาเหรากำลังจะลุกยืนขึ้นจากที่ประทับ ทว่าเริ่นหว่านเอ๋อร์ก็ก้าวเข้ามา หลังจากที่พวกนางสองคนนิ่งเงียบกันไปพักหนึ่งแล้ว อวี้อาเหราจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาก่อนอย่างอดไม่ได้ “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
“ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” เริ่นหว่านเอ๋อร์หลุบหน้าลงก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ
อวี้อาเหรามองออกว่านางกำลังอยู่ในอารมณ์ผิดปกติ ก็รู้ว่าการกระทำเมื่อครู่ของฟู่เส่าชิงนั้นทำให้นางเจ็บปวดใจเพียงใด
เริ่นกุ้ยเฟยเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะเหลือบมองเริ่นหว่านเอ๋อร์คราหนึ่ง “เจ้าทำท่าทีเช่นนี้ให้ใครมองกัน เดิมทีเขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อเจ้าเลยแม้แต่น้อย เจ้าก็ตาบอดจริงๆ ที่หลงดูแลเขามานานหลายปีเช่นนี้ เจ้าก็ไม่ควรช่วยเขาไว้ตั้งแต่ทีแรก! เจ้าเป็นน้องแท้ๆ ของข้า อีกทั้งยังเป็นธิดาเอกแห่งจวนสกุลเริ่น ต้องการบุรุษใดมีหรือจะไม่ได้? เขาเสเพลถึงเพียงนี้ ก่อเรื่องไว้มากมาย หากเจ้าแต่งไปกับเขาก็มีแต่จะเสียเปรียบ เมื่อครู่ข้าเห็นท่านพ่อออกไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว คงเป็นเพราะท่านเจ็บปวดใจกับการกระทำของเจ้า เจ้าก็ตามไปดูกับพี่ประเดี๋ยวนี้”
“ท่านพ่อโกรธหรือ” เริ่นหว่านเอ๋อร์ไม่รู้เลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของนางฉายแววตกอกตกใจเป็นอันมาก
เริ่นกุ้ยเฟยพยักหน้าลง “เจ้าสนใจแต่เพียงองค์ชายแห่งเป่ยเจียง แม้แต่ท่านพ่อเจ้าก็ลืมหมดแล้วหรือ?”
“ขออภัยท่านพี่ เป็นเพราะข้าไม่ดี…”
“ช่างเถิด ไปกันเถอะ” เริ่นกุ้ยเฟยมองนางอย่างเป็นห่วงเป็นใย ทำได้แต่เพียงทอดถอนใจออกมาเท่านั้น หากเป็นคนอื่นนางก็คงไม่พูดจาดีถึงเพียงนี้
ตอนที่ 241 จู่โจม
แต่น้องสาวผู้นี้กลับอ่อนกว่านางเป็นสิบยี่สิบปี จนเกือบจะกล่าวได้ว่านางนั้นเลี้ยงดูมาเองกับมือ เรื่องความรู้สึกนั้นย่อมไม่ต้องพูดถึง ด้วยนิสัยนั้นก็ไม่เหมือนกับนางที่มักปรับตัวไปตามสถานการณ์ จิตใจนับว่ายังซื่อบริสุทธิ์ยิ่งนัก
“เจ้าค่ะ” เริ่นหว่านเอ๋อร์พยักหน้าลงน้อยๆ ก่อนจะเดินตามเริ่นกุ้ยเฟยออกไปด้านนอก
จวินไหวซ่งกล่าววาจาเย้ยหยันกับอวี้อาเหราขึ้นว่า “ไม่คิดว่าหญิงเช่นเจ้าจะมีความสามารถเช่นนี้ ผ่านไปเพียงสองเดือนไม่เพียงแต่จะทำให้เซิ่นซื่อจื่อหลงหัวปักหัวปำ แม้แต่องค์ชายเป่ยเจียงและเสด็จพี่รัชทายาทเองก็ยังถูกเสน่ห์ของเจ้าเล่นงาน ข้าก็คงเลียนแบบการหว่านเสน่ห์ของเจ้าไม่ได้จริงๆ…”
“องค์หญิงรองกล่าววาจากระทบกระทั่งกันเช่นนี้ก็สนุกมากหรือไม่” น้ำเสียงของอวี้อาเหราแฝงด้วยความเย็นชา
นางเองก็ไม่รู้ว่าตนเองไปยั่วโมโหคนผู้นี้ตั้งแต่เมื่อใด ทุกครั้งนางถึงมักจะเห็นตนเองขวางหูขวางตา จะต้องตรงเข้ามากล่าววาจาเย้ยหยันอยู่ร่ำไป ก็ช่างเป็นพวกกินอิ่มแล้วฟุ้งซ่านชอบหาเรื่องโดยแท้!
“แน่นอนว่าข้าสนุกมาก” จวินไหวซ่งจ้องมองนางด้วยใบหน้าพรายยิ้ม จวินไหวโหรวที่อยู่ด้านข้างจึงชายเสื้อของนางไว้ “พี่หญิงรอง พวกเรากลับกันเถิดเพคะ”
“รีบกลับไปทำไมกัน” จวินไหวซ่งไม่แยแส
“…” จวินไหวโหรวหมดคำที่จะกล่าว ได้แต่นำผ้าเช็ดหน้ายกขึ้นปิดปากแล้วไอออกมาแรงๆ สองสามครั้ง จนจวินไหวซ่งที่ได้ยินนั้นถึงกับรู้สึกหงุดหงิด “เอาเถิดๆ เจ้าทำท่าป่วยไข้เสียทั้งปีทั้งชาติ ข้าจะกลับไปพักผ่อนเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน เริ่นกุ้ยเฟยนี่ก็เหลือเกิน ใช้ให้ข้าดูแลเจ้าอยู่ได้”
“ขออภัยพี่หญิงรอง…” จวินไหวโหรวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ช่างเถิด ไปเสียสิ” จวินไหวซ่งปวดหัว
เมื่อเห็นว่าคนเหล่านั้นจากไปกันหมดแล้ว เจาเอ๋อร์ก็เอ่ยเตือนขึ้นว่า “คุณหนู พวกเราก็ไปกันเถิดเจ้าค่ะ”
“อืม” อวี้อาเหราพยักหน้า
หลังจากเดินออกมาจากราชอุทยานแล้ว ทั้งสองก็เตรียมจะขึ้นมาเพื่อออกจากวัง กระนั้นถึงได้พบว่าหลิงอ๋องและนุรองนั้นได้ออกจากวังเสียนานแล้ว
ดูท่าแล้ว เรื่องราวในครั้งนี้หลิงอ๋องคงไม่พอใจในสิ่งที่นางกระทำลงไปเป็นอย่างมาก แต่นี่ก็ไม่แปลกนัก หลิงอ๋องนั้นมีเมตตาอยู่เสมอ อย่างไรเสียเขาก็ไม่อาจทำใจส่งบุตรสาวไปเข้าปากเสือเช่นนี้ได้แน่
ขณะที่นางกำลังจะก้าวขึ้นรถม้านั้น กลับเห็นชายเสื้อสีดำห้อยตกอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่งไม่ไกลนัก เป็นอาภรณ์แบบที่คนธรรมดามักจะไม่สวมใส่กัน อีกทั้งคนผู้นั้นยังกล้าที่จะนอนบนต้นต้นไม้ที่ปลูกอยู่หน้าประตูวังหลวงอีกเช่นนั้น นี่ก็กำลังรนหาที่ตายอยู่หรืออย่างไร เมื่อมองนานเข้า นางก็พลันเห็นกระบี่ที่เผยออกมาให้เห็น อวี้อาเหราจ้องมองนิ่งตาค้าง
นางก็จดจำกระบี่เล่มนั้นได้ เป็นกระบี่ของผู้ที่ทำร้ายนางในเขาวั่วหลงซานวันนั้นนั่นเอง!
ในยามนั้น บุรุษชุดดำสวมใส่หน้ากากที่ดูน่าหวาดกลัว จนถึงตอนนี้นางก็ยังคงจำมันได้ดีราวกับเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน
“เจาเอ๋อร์ เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา” อวี้อาเหราเอ่ยสั่งขึ้น นางเดินตรงเข้าไปที่ต้นไม้ต้นนั้นอย่างทนไม่ได้ อยากจะรู้นักว่าคนผู้นั้นเป็นใครกัน เหตุใดถึงต้องการที่จะสังหารนางเช่นนี้!
หลังจากมาถึงที่ใต้ต้นไม้แล้ว นางถึงได้พบว่าเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังนอนหลับตาอยู่บนต้นไม้ ท่าทางราวกับกำลังจมอยู่ในห้วงหลับใหล นางก้าวเข้าไปใกล้เล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว ถึงได้เห็นว่าบนใบหน้าของเขานั้นยังคงมีหน้ากากบดบังเอาไว้ อีกทั้งยังคงดูน่าหวาดกลัวเหมือนเช่นวันนั้น นางจ้องมองนิ่งๆ ในขณะที่กำลังจะร้องเรียกองครักษ์ของตัวเองอยู่นั้น เขาก็พลันลืมตาขึ้นในทันที พลิกกายด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะใช้กระบี่วางพาดเอาไว้ที่คอของนาง
“อย่าขยับ”
น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบเป็นอย่างมาก ราวกับเสียงที่ถูกส่งมาจากนรก อาจจะเป็นเพราะเสียงถูกส่งผ่านหน้ากาก จึงทำให้เสียงนั้นฟังดูอู้อี้และแหบพร่าอยู่บ้าง
ไม่ทันที่จะให้อวี้อาเหราตอบสนอง เขาก็เอากระบี่พาดลำคอนางเสียแล้ว
การกระทำทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่เกินสามวินาที เห็นได้ว่าชัดฝีมือทางด้านการต่อสู้ของชายหนุ่มนั้นรวดเร็วเพียงใด
เจาเอ๋อร์ที่จ้องมองอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอด เมื่อเห็นดังนั้นก็ร้องขึ้นอย่างตกใจ แม้ว่าต้าเว่ยจะปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ฝีมือก็ยังไม่สู้ชายผู้นั้น กล้าที่จะจู่โจมนางซึ่งๆ หน้าเช่นนั้น ก็รู้ว่าฝีมือไม่ใช่ธรรมดาแน่ ราชองครักษ์จำนวนมากล้วนเข้ามาล้อมตัวพวกเขาทั้งสองเอาไว้
ตอนที่ 242 เจ้าสำนักมืด
ท่าทีของอวี้อาเหรายังคงเรียบนิ่ง “เจ้าต้องการอะไรกันแน่”
ชายหนุ่มไม่ตอบคำ
เจาเอ๋อร์พลันเป็นกังวลขึ้นมาแล้ว “เจ้าก็ช่างบังอาจยิ่งนัก รีบปล่อยคุณหนูของข้าเดี๋ยวนี้นะ มิเช่นนั้นหากไม่ตายเจ้าก็จะถูกแล่เนื้อออกมาเป็นชิ้นๆ!”
“ออกมา” บุรุษที่สวมหน้ากากตะคอกเสียงต่ำออกมา หญิงสาวสวมชุดดำที่ปิดบังใบหน้าจำนวนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นสู่สายตา
อวี้อาเหราเห็นดังนั้นก็รู้แล้วว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีเสียแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะมีผู้คอยช่วยเหลืออยู่ด้วย การกระทำของเขาแผ่วเบาไร้สุ้มเสียง เรื่องวรยุทธ์นั้นก็ไม่แน่ว่าจะด้อยไปกว่าพวกต้าเว่ย
“เจ้าบอกให้พวกมันถอยไปเสียดีๆ ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า ไม่อย่างนั้นก็อย่าได้โทษหากข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายเสียตรงนี้!” บุรุษสวมหน้ากากกระซิบชิดใบหูของนาง อวี้อาเหราพลันโกรธขึ้นมาในทันใด “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดโง่ๆ ของเจ้างั้นหรือ”
“เจ้าจะไม่เชื่อก็ได้ แต่หากว่าข้าจะฆ่าเจ้าขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ข้าจะให้เวลาเจ้าสามวินาที หากยังไม่ยอมตัดสินใจอีก ก็อย่าหาว่าข้าลงมือไม่ไว้ไมตรี”
น้ำเสียงของเขานั้นไพเราะเป็นอย่างมาก หากว่าตอนนี้นางไม่มีดาบพาดคออยู่แล้วล่ะก็ นางก็คงจะรู้สึกชื่นชมเสียงเขาอยู่บ้างหรอก เพียงแต่ตอนนี้หากสามารถรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ไม่มีทางเลือก อวี้อาเหราจึงทำได้แต่เพียงหันไปสั่งกับเจาเอ๋อร์ “เจ้าบอกให้พวกเขาถอยไปเสีย”
“แต่ว่าคุณหนู…” เจาเอ๋อร์ยังคงไม่วางใจ
“หรือแม้แต่คำสั่งของข้าพวกเจ้าก็ไม่คิดที่จะฟังแล้ว?!”
“เจ้าค่ะ!” เจาเอ๋อร์หันไปสั่งการคนอื่นๆ “ไม่เห็นหรือว่าคุณหนูกำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกมัน รีบถอยออกไปเร็ว!”
คนทั้งหมดต่างก้าวถอยหลังออกไปเล็กน้อย แต่กลับไม่คิดว่าบุรุษที่สวมหน้ากากนั้นจะลากนางกระโจนขึ้นไปนบต้นไม้ ร่างของเขาโผบินขึ้นไปราวกับนกนางแอ่น ไม่รู้ว่าหนีหายไปที่ใด
“เจ้าคิดจะทำอะไร” อวี้อาเหราถามด้วยความโกรธเคือง
“หากยังจะพูดมากอีก ข้าจะทิ้งเจ้าเอาไว้เสียตรงนี้”
วาจานี้ทำให้อวี้อาเหราตกใจจนหุบปากลงฉับ เมื่อมองลงไปข้างล่างก็เห็นว่านางอยู่บนความสูงอย่างน้อยหลายจั้ง หากตกลงไปแล้วไม่ตายก็คงกลายเป็นคนพิการหรือไม่แน่ก็ต้องนอนเป็นผัก เช่นนั้นในใจของนางรู้สึกกระสับกระส่ายยิ่งนัก เหตุใดนางถึงต้องซวยไปเสียทุกครั้ง หากไม่โดนทำร้ายก็ต้องโดนตามฆ่า ครั้งนี้ยังถูกเรียกค่าไถ่ไปเสียอีก
ขณะที่นางกำลังคิดไปต่างๆ นานา บุรุษที่สวมหน้ากากผู้นั้นก็ทะยานลงสู่พื้น
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!” อวี้อาเหรากวาดมองไปรอบๆ กาย พบว่าที่นี่เป็นป่ารกร้างแห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าคือที่ไหนเช่นกัน เดิมทีนางนั้นไม่คุ้นเคยกับเมืองเฟิ่งเฉิงอยู่แล้ว ตอนนี้ไหนเลยจะสามารถแบ่งแยกได้ว่าที่ไหนเป็นที่ไหน ทำได้แต่เพียงมองไปยังบุรุษที่สวมหน้ากากอย่างไม่สบอารมณ์
เขาเองก็ยอมปล่อยมือออกแต่โดยดี
อวี้อาเหรามองเล็กน้อย ก่อนจะสาวเท้าวิ่งหนีโดยพลัน
บุรุษที่สวมหน้ากากกลับไม่ได้รีบร้อน เมื่อเห็นนางวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตเช่นนี้ ก็ตะโกนขึ้นไปบนฟ้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไปจับตัวมา”
“เจ้าค่ะ” ได้ยินเสียง แต่กลับไม่เห็นตัว
เมื่ออวี้อาเหราเห็นว่าวิ่งออกมาได้ไกลพอสมควรแล้ว แต่ก็กลับไม่เห็นว่าด้านหลังจะมีผู้ใดตามมา ทันใดนั้นก็มองไปทางด้านหลังด้วยความงงงัน
ในใจของนางรู้เป็นอย่างดีว่านางที่ไม่มีวรยุทธ์นั้นทำอย่างไรก็หนีอีกฝ่ายไม่พ้น แต่ว่ายังมีพวกต้าเว่ย ขอแค่สามารถหาโอกาสได้ ไม่แน่นางก็คงจะได้รับความช่วยเหลือ
ในยามที่นางกำลังเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้านั้นเอง ที่ด้านหลังก็ปรากฏเงาของคนชุดดำหลายคน รูปร่างอรชรบอบบาง ที่แค่มองก็รู้ว่าเป็นสตรีเพศ
อวี้อาเหราหันกลับไปเห็นก็ตกใจ “พวกเจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร”
หญิงสาวในชุดดำหลายนางนั้นไม่ฟังที่นางพูดเลยแม้แต่น้อย กลับพุ่งตรงเข้ามาจับตัวนางทันที อวี้อาเหราที่มีความรู้ด้านการต่อสู้น้อยนิดก็ถูกรวบตัวภายในเวลาไม่นาน ก่อนจะถูกนำตัวมาอยู่ตรงหน้าบุรุษผู้สวมหน้ากาก หญิงสาวในชุดดำเหล่านั้นคุกเข่าลงด้วยความนอบน้อม “ท่านเจ้าสำนัก นำตัวมาแล้วเจ้าค่ะ”
ท่านเจ้าสำนักหรือ? หัวสมองของนางประมวลผลอย่างรวดเร็ว ดูท่าทางแล้วพวกเขาคงจะเป็นคนจากเจียงหู แต่ว่านางไปล่วงเกินคนพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แม้แต่นางเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
ตอนที่ 243 เหตุใดไม่หนีแล้วเล่า
บุรุษที่สวมหน้ากากเหลือบสายตามองนาง มุมปากก็ยกโค้งขึ้นเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าไม่หนีแล้วเล่า”
อวี้อาเหราถลึงตาจ้องมองเขาอย่างอารมณ์เสีย ก้มหน้าลงมองมือและเท้าของตัวเองที่ถูกหญิงชุดดำสองคนจับเอาไว้จากทางด้านหลัง พวกนางมีเรี่ยวแรงมหาศาลอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่เหมือนกับหญิงสาวทั่วไปเลยแม้แต่น้อย ทำให้นางไม่อาจขยับไปไหนได้ หากเป็นเขาที่ถูกจับเช่นนี้ นางก็อยากจะรู้นักว่าเขาจะหนีอย่างไร!
นี่เขาก็กำลังเยาะเย้ยนางอยู่ชัดๆ มิใช่หรือ
บุรุษที่สวมหน้ากากเมื่อเห็นว่านางยังคงมีอารมณ์คุกรุ่น เช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงเย็น “ข้ายังไม่เคยเจอสตรีตระกูลสูงศักดิ์นางใดที่เป็นเช่นเจ้ามาก่อน เจ้าเป็นถึงคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋อง แต่ถูกจับได้กลับไม่แสดงท่าทีตกใจออกมาเลยแม้แต่น้อย นี่ก็ช่างเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายยิ่งนัก…”
“เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่” อวี้อาเหรานิ่งงันไป พยายามวิเคราะห์ความหมายจากวาจาของเขา
รอยยิ้มของบุรุษผู้สวมหน้ากากช่างหนาวเหน็บไปจนถึงขั้วหัวใจ ทำให้นางที่มองเห็นนั้นอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเย็นเยียบ ยากที่จะจินตนาการได้ว่าจะมีผู้ใดที่มีสายตาเรียบเย็นเสียดแทงกระดูกได้ถึงเพียงนี้ ในดวงตาราวกับไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ เลยแม้แต่น้อย ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดผวา ในเบ้าตาลึกแดงก่ำนั้นมีความโดดเดี่ยวอยู่เต็มไปหมด
เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้ากลัวอะไรกัน กลัวว่าข้าจะพูดเรื่องอะไรที่ไม่ควรพูดอย่างนั้นหรือ”
ท่าทีของเขาทำให้สติของอวี้อาเหราตกตะลึง ไม่เข้าใจความหมายที่แฝงในคำพูดของเขา พยายามคิดว่าตัวนางกลัวอะไร? นางก็ไม่ได้มีความลับอะไรเสียหน่อย เถรตรงไม่มีอะไรต้องปกปิด เมื่อคิดดังนี้แล้วนางก็เงยหน้าขึ้นอย่างแน่วแน่ สายตามองตรงไปที่เขา ยิ้มเย็นแล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้าพูดเรื่องอะไรข้าฟังไม่เข้าใจ ข้าไม่ใช่คนที่ถูกล่อลวงได้ง่ายถึงเพียงนั้น!”
“ฟังไม่เข้าใจ?” ในที่สุดบุรุษที่สวมหน้ากากก็ไม่อาจระงับความโกรธเอาไว้ได้อีก “หรือเจ้าก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่รัชทายาทผลักเจ้าตกหน้าผาไปหมดแล้ว”
ตกหน้าผา? ในใจของอวี้อาเหราตกตะลึง คิดถึงวันที่นางเพิ่งจะทะลุมิติเข้ามาในช่วงเวลานี้ แต่นี่ก็เกี่ยวอะไรกับความกลัวกัน นางก็ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย
เพราะอย่างนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ “เจ้าอยากพูดอะไรก็รีบพูดมา ข้าก็ไม่มีเวลามาพูดเรื่องไร้สาระกับเจ้ามากมายนักหรอกนะ!”
ก่อนหน้านี้นางยังคิดว่าเสียงของเขาก็ฟังดูไพเราะดี ทว่ายามนี้ในใจกลับไม่หลงเหลือความรู้สึกดีใดๆ เลยแม้แต่น้อย นางคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเขาจะจับตัวนางมาด้วยเหตุผลอันใดกัน หรือว่าจะทำไปเพื่อพูดจาแปลกๆ เหล่านี้? ไม่สิ จุดประสงค์ของเขานั้นก็ไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นหรอก ไม่มีใครกล้าที่ยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อลักพาตัวคนในวังหลวงเช่นนี้ ยิ่งคนผู้นั้นยังเป็นถึงธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋อง ทั้งยังเป็นว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาทด้วยแล้ว
อวี้อาเหรานิ่งเงียบไป ในใจรู้สึกกระวนกระวาย
บุรุษที่สวมหน้ากากถอยห่างออกไปในทันที ลุกขึ้นยืนก่อนจะหันหลังให้ “เจ้าก็ไม่ใช่คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริง”
สายลมเย็นพัดผ่านร่างกาย เสื้อผ้าสีดำและเกศาสีดำปลิวไสวไปตามสายลม น้ำเสียงเอื่อยๆ ทว่าเย็นยะเยือกของเขาเหมือนกับเหล็กหนักๆ ที่ทุบลงในใจของนาง อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงค่อยกล้ำกลืนความประหลาดใจเอาไว้ในอก
“เจ้า…เจ้า…พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หากข้าไม่ใช่คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องแล้วจะเป็นใครกัน”
อวี้อาเหราบังเกิดความตื่นกลัวขึ้นภายในใจขึ้นมาฉับพลัน ไม่กล้าที่จะขยับตัวไปไหน ความแปลกใจเอ่อล้นขึ้นมาในอกราวกับพายุคลั่งในท้องทะเล นางไม่ใช่คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องจริงๆ แต่นอกจากตัวนางเองแล้วมีใครรู้เรื่องนี้บ้างเล่า? หากนางพูดออกไปก็คงไม่มีใครเชื่อถือ ทว่าชายหนุ่มผู้เผยให้เห็นถึงความดุดันเย็นชาจนทำให้สั่นเทาไปเสียทั้งร่างตรงหน้านี้กลับรู้
ภายใต้สถานการณ์อันคลุมเครือ ในใจของอวี้อาเหราบังเกิดความตื่นตระหนก จนไม่กล้าพูดอะไรออกมา
บุรุษที่สวมหน้ากากนิ่งไปนาน เช่นนั้นจึงค่อยหันหน้ามา แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า
ตอนที่ 244 ความลับ
“ข้าก็ผ่านไปเห็นเหตุการณ์ในวันนั้นเข้าพอดี หากเจ้าเป็นคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องจริง เหตุใดตอนที่พบกับสาวใช้ของตัวเองแท้ๆ กลับจำไม่ได้ แม้กระทั่งตัวเจ้าเองเจ้าก็ยังจำไม่ได้ นี่จะเป็นเพราะอะไรได้เล่า”
“ข้าก็นึกว่าเจ้าจะกล่าวอะไรที่มันสร้างสรรค์กว่านี้เสียอีก” อวี้อาเหราผ่อนลมหายใจออกมาหนักๆ “วันนั้นข้าถูกผลักตกหน้าผาจึงทำให้สมองเลอะเลือน จดจำใครไม่ได้ไปชั่วขณะ หากเพราะเหตุผลเพียงแค่นี้จะทำให้เจ้าเอาเรื่องของข้าไปพูดมั่วๆ เจ้าก็คิดหรือว่าคนอื่นจะโง่เช่นนั้น”
“แน่นอนว่าหากอาศัยเพียงคำพูดนี้ของข้าแล้วคงยากที่จะทำให้ผู้อื่นเชื่อถือได้” บุรุษผู้ที่สวมหน้ากากเอ่ยขึ้นมาในทันที “แต่หากคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริงยังมีชีวิตอยู่เล่า”
“เจ้าว่าอะไรนะ” ผ่านไปนานทีเดียวกว่าที่อวี้อาเหราจะหาเสียงของตัวเองเจอ
คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริงยังมีชีวิตอยู่? นางยังมีชีวิตอยู่หรือ
เสียงนี้ลอยวนเวียนอยู่ในหัวของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระซิบกระซาบวนไปมา จะเป็นไปได้อย่างไรกัน หากเป็นการสวมร่างทะลุมิติโดยทั่วไปนั้น หากเจ้าของร่างเดิมยังมีชีวิตอยู่ แล้วนางจะเป็นใครกัน? ไม่ใช่ว่าวิญญาณของนางจะเข้าสู่ร่างของเจ้าของร่างเดิมหรอกหรือ? ถึงแม้เจ้าของร่างเดิมจะยังอยู่ แต่ใครเล่าจะมองเห็นวิญญาณกัน นี่มันเป็นเรื่องตลกขนานใหญ่ชัดๆ!
ไม่ต้องพูดถึงว่านางที่เป็นคนยุคสมัยใหม่จะไม่เชื่อ เรื่องนี้หากพูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อแน่
แต่ว่าแท้จริงแล้วนี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ร่างกายของนางในตอนนี้ล้วนแล้วแต่มีหน้าตารูปร่างเหมือนกับตัวนางในยุคปัจจุบัน แต่กลับไม่ใช่ร่างกายในยุคปัจจุบัน เจ้าของร่างเดิมไหนเลยจะยังมีชีวิตอยู่ได้ นั่นเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในนิยายเท่านั้นกระมัง ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงแน่!
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ทว่าความตกใจของนางนั้นก็ไม่อาจถูกควบคุมให้สงบได้อีกต่อไป
สมองของนางนั้นก็ไม่อาจประมวลเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้เลย
หรืออาจจะพูดได้ว่า เดิมทีเจ้าของร่างเดิมก็ได้ตายไปแล้ว เป็นบุรุษผู้นี้ที่ตั้งใจพูดขึ้นมาเพื่อปั่นประสาทนาง เพราะฉะนั้นตอนนี้นางไม่อาจเผยให้เห็นถึงช่องโหว่ของตัวเองได้ มิเช่นนั้นหากนางบอกเรื่องราวของตัวเองทั้งหมดออกไปให้เขาฟัง นางก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ในฐานะคุณหนูรองหลิงตัวจริงได้?
บุรุษที่สวมหน้ากากมองประเมินท่าทีของนาง มองละเอียดเสียจนไม่ละเลยไปแม้เพียงจุดเล็กๆ
“อย่างไรเล่า ยังไม่ยอมพูดอีกหรือ”
“อย่างไรเล่าอะไรกัน ข้าก็เป็นคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋อง ในโลกนี้จะมีคนที่เหมือนกันไปเสียทุกอย่างเช่นนี้ได้หรือ” แม้จะตีให้ตายอวี้อาเหราก็ไม่ยอมรับ บุรุษผู้นี้ดูแล้วไม่น่าจะเป็นคนดีอะไร ใครจะรู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่
“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรับ เช่นนั้นข้าก็จะช่วยทบทวนความจำให้เจ้าเอง” น้ำเสียงของชายหนุ่มเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาและไร้ซึ่งความอดกลั้นอีกต่อไป “คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริงเคยบอกข้าว่าเสด็จแม่ของนางนั้นชอบดอกเหมยมาแต่ไหนแต่ไร มีชุดกระโปรงที่แยกกันอย่างชัดเจนระหว่างชุดขาวปักดอกเหมยสีน้ำเงิน และชุดสีแดงที่ปักดอกเหมยแดงเอาไว้”
อวี้อาเหราพยายามเก็บงำความตกใจที่เผยออกมาทางแววตาของตนเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เจาเอ๋อร์บอกกับนางด้วยตัวเอง น้อยนักที่คนทั่วไปจะทราบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้เรื่องนี้เลย…
บุรุษที่สวมหน้ากากเอ่ยต่อไปว่า “อีกเรื่องหนึ่ง กำไลหยกเลือดที่ข้อมือของเจ้านั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดมันถึงมาอยู่ที่มือของเจ้าได้”
“?” อวี้อาเหราเพียงเงยหน้าขึ้น ไม่สนใจคำพูดของเขา
ก่อนที่นางจะหลุบตาลงมองกำไลที่ข้อมือของตัวเองอีกครั้ง หรือว่านี่จะยังมีที่มาที่ไปอะไรบางอย่าง? เหตุใดนางถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน อีกทั้งกำไลวงนี้ยังเป็นฉู่ป๋ายที่บังคับใส่มือนางไว้ แล้วจะมีเรื่องอะไรได้อย่างไรกัน
บุรุษที่สวมหน้ากากกล่าวต่อไปว่า “กำไลที่ข้อมือของเจ้าเป็นหยกโลหิต เป็นกำไลที่พระชายาหลิงอ๋องและพระชายาเซิ่นอ๋องพบเข้าโดยบังเอิญ ยามนั้นมันยังเป็นหยกทั้งก้อนโดยสมบูรณ์ เดิมทีคิดที่จะนำกลับมา แต่จู่ๆ ก็มีนักพรตชราผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น กล่าวว่าให้นำหยกโลหิตนี้มองให้กับพระชายาเซิ่นอ๋องเก็บรักษาเอาไว้”
ตอนที่ 245 แผนร้าย
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดต่อไปว่า “ทั้งยังกล่าวว่าให้นางมอบให้กับบุตรชายของตนเอง กล่าวว่าจะสามารถช่วยชีวิตเขาได้ หลังจากนั้นยังกำชับอีกว่าให้บุตรชายของนางหรือในตอนนี้คือเซิ่นซื่อจื่อมอบมันให้กับเจ้า เรื่องนี้แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องกล่าวออกมาเอง เรื่องนี้นอกจากพระชายาเซิ่นอ๋องกับบุตรชาย พระชายาหลิงอ๋องกับบุตรสาวแล้ว ก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้แม้แต่ผู้เดียว”
อวี้อาเหรากัดริมฝีปาก ยามนี้นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรตอบกลับไปดี เดิมทีนางก็ไม่ใช่เจ้าของร่างตัวจริง ไหนเลยจะรู้เรื่องนี้ได้
“ชัดเจนว่าเจ้าไม่รู้เรื่องนี้แน่” ชายหนุ่มกล่าวจบ สายตาก็หันกลับมามองใบหน้าเผือดสีของนาง
“เรื่องพวกนี้ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าจริงหรือไม่ หรือเป็นเรื่องที่เจ้าปั้นน้ำเป็นตัวทั้งหมด อีกอย่างเจ้าก็รู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่รู้เรื่องนี้” ตีนางให้ตายอวี้อาเหราก็ไม่ยอมรับเด็ดขาด ทำให้ชายหนุ่มโกรธเคืองยิ่งนัก จากนั้นจึงหัวเราะออกมาด้วยเสียงเย็นเยียบ “เจ้าไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร แต่คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริงอยู่ในกำมือข้า เมื่อถึงตอนนั้นถ้าหากให้นางได้พบกับหลิงอ๋องแล้ว เจ้าคิดว่าระหว่างเจ้าทั้งสองคนใครจะน่าเชื่อถือมากกว่ากันเล่า”
“เจ้า!” อวี้อาเหราโกรธเสียจนพูดไม่ออก
“อย่าลืมเสียเล่า การกระทำของเจ้าในตอนนี้ก็ไม่เหมือนคุณหนูรองที่อ่อนแอเมื่อวันวานแม้แต่น้อย ขอเพียงคุณหนูรองตัวจริงปรากฏกาย ยามนั้นเจ้าก็คิดว่าจุดจบของเขาจะเป็นเช่นไรหรือ” ชายหนุ่มใช้เสียงทุ้มต่ำเพื่อปลุกปั่นให้เกิดความคลางแคลงใจ
อวี้อาเหรานิ่งงันไปครู่หนึ่ง ในใจไม่รู้ว่าจะต้องปล่อยวางอย่างไรถึงจะสลบลง แม้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจะไม่น่าฟัง แต่ก็พูดได้ตรงประเด็นทุกจุด หากคุณหนูรองตัวจริงยังไม่ตาย ขอเพียงนางปรากฏตัวต่อหน้าหลิงอ๋อง แล้วพูดถึงเรื่องราวในอดีตทั้งหมด เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็ย่อมจะแยกออกว่าใครเป็นตัวจริงและใครเป็นตัวปลอม และยิ่งช่วงนี้นางวางแผนร้ายต่อพวกอนุรองมาตลอด พวกนางจะต้องใช้โอกาสนี้ในการช่วยเหลือคุณหนูรองตัวจริงผู้อ่อนแอเพื่อรังแกนางแน่
เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว ก็ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจุดจบของนางนั้นก็คง…
นางไม่กล้าที่จะคิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้น ทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม “ข้าจะกลับไปถามเซิ่นซื่อจื่อและพระชายาเซิ่นอ๋องเอง อย่างไรเสียข้าก็ล้มหัวกระแทก หากจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนไม่ได้บ้างก็ไม่ถือว่าผิดปกติ แต่ว่าคุณหนูรองตัวจริงที่เจ้าว่านั้นอยู่ที่ไหนเล่า”
“อยู่…” บุรุษสวมหน้ากากเปิดปากขึ้น ก่อนจะหยุดชะงักในทันที “เจ้าคิดว่าข้าจะบอกความลับอันยิ่งใหญ่เช่นนี้กับเจ้าหรือ หากปล่อยให้เจ้าพบตัวนางแล้ว เช่นนั้นความลับนี้ก็คงไม่เป็นความลับอีกต่อไปน่ะสิ”
ในที่สุดอวี้อาเหราก็เข้าใจความหมายในคำพูดของเขา จุดประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายคงไม่ได้มุ่งมายังตัวนางเองแน่ มิเช่นนั้นเขาคงจะถือโอกาสนี้จัดการนางไปแล้ว เมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อครั้งที่เกิดขึ้นที่ภูเขาวั่วหลงซาน นางก็รีบเปลี่ยนเรื่องพูดในทันที “เช่นนั้นเหตุใดครั้งนั้นเจ้าต้องฆ่าข้าด้วย”
“ฆ่าเจ้า?” บุรุษที่สวมหน้ากากทำราวกับได้ยินเรื่องที่น่าขันมากที่สุดในโลก “ข้าจะฆ่าเจ้าไปทำไมกัน”
“ถ้าเช่นนั้นคนที่เจ้าต้องการจะฆ่า…ก็คือฉู่ป๋าย!” อวี้อาเหราพลันเข้าใจขึ้นมาในทันที
“เจ้าก็ไม่ได้โง่เท่าไรนี่” บุรุษที่สวมหน้ากากหัวเราะขึ้นราวกับจะเยาะ ก่อนจะเงยหน้ามองขึ้นไปยังท้องฟ้า “ตอนนั้นเดิมทีข้าก็ต้องการจะฆ่าเขา แต่วรยุทธ์ของเขานั้นแข็งแกร่งเกินไปนัก ข้าได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าและเขานั้นไม่เลว เช่นนั้นจึงคิดว่าหากฆ่าเจ้าเสียก็คงถือโอกาสทำร้ายเขาได้ ทว่าเขากลับเข้ามารับดาบแทนเจ้าเสียเอง!”
“เจ้ามันชั่ว!” อวี้อาเหราอดไม่ได้ที่จะสบถคำหยาบออกมา คิดดูแล้วเดิมทีตัวนางนั้นก็เป็นเพียงแพะรับปากแทนฉู่ป๋ายเท่านั้น ครั้งก่อนเดิมทีคนที่เขาตั้งใจจะสังหารก็คือฉู่ป๋าย แล้วยังทำร้ายนางเสียจนทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้ ยังกล้าที่จะคุยโวโอ้อวดต่อหน้าจวินเสวียนจี ช่างโง่เง่ายิ่งนัก!
“เจ้าว่าอะไรนะ” บุรุษที่สวมหน้ากากได้ยินคำพูดของนางแล้ว ในดวงตาก็ยิ่งฉายความเรียบเย็นมากยิ่งขึ้น มือข้างหนึ่งยื่นมาบีบคอนาง “ตอนแรกหากไม่ใช่เจ้าที่ช่วยเหลือเขา ไหนเลยจะทำให้ข้าต้องเสียแรงเปล่าเช่นนี้”
ตอนที่ 246 สังหาร
“แค่กๆ” อวี้อาเหราไอโคล่ก จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาโกรธเคือง
ความเคียดแค้นของบุรุษที่สวมหน้ากากค่อยๆ ผ่อนลง ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือออกจากลำคอของนาง
“เจ้าก็เกลียดเขามากหรือ” อวี้อาเหราสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของเขาได้ในทันที ความเคียดแค้นที่เอ่อล้นออกมาจากส่วนลึกในจิตใจเมื่อครู่นี้ก็มากพอจนราวกับจะหักคอนางให้ตายอย่างไรอย่างนั้น ความเกลียดชังเช่นนี้หากไม่ใช่เพราะว่ามีความแค้นใหญ่หลวงแล้ว เขาก็คงไม่มีทางที่จะมีสายตาเช่นนั้นได้แน่ นางเริ่มที่จะเข้าใจขึ้นมาแล้ว เขาคงต้องเป็นคนที่มีความแค้นกับฉู่ป๋ายแน่ เพราะอย่างนั้นถึงได้พยายามคิดหาวิธีการต่างๆ นานาเพื่อฆ่าเขา แต่น่าเสียดายที่รอบกายของเขามีคนมากมายคอยรายล้อมปกป้อง เพราะเช่นนั้นครั้งก่อนจึงยากนักที่จะหาโอกาสได้ และคงไม่คิดว่าจะถูกนางช่วยชีวิตเอาไว้
เพราะอย่างนั้น ครั้งนี้เขาถึงมาหาเรื่องนาง!
อวี้อาเหรารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ คนจะซวยแม้ดื่มน้ำก็ยังติดคอ นางเพียงปรารถนาดีต้องการที่จะช่วยชีวิตผู้อื่น กลับไม่คิดว่ามันจะเป็นการทำร้ายตัวเองเช่นนี้
หากตอนนั้นนางไม่ช่วยฉู่ป๋าย ก็คงจะไม่มีใครมาขุดคุ้ยเรื่องราวของนาง
ทว่าหากย้อนกลับไปอีกครั้ง นางก็คงจะช่วยเขาโดนไม่นึกเสียใจอยู่ดี
บนโลกใบนี้ แม้ว่านางจะเป็นคนที่รักชีวิตของตัวเองมากที่สุด แต่ก็มีบางเรื่องที่อยู่เหนือยิ่งกว่าชีวิต ครั้งนั้นเป็นฉู่ป๋ายที่เกือบจะต้องสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยนาง แน่นอนว่านางจะต้องช่วยเขา ไม่เช่นนั้นแล้วนางคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่
อวี้อาเหราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะค่อยๆ เริ่มเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายของอีกฝ่าย
หากไม่ใช่เพราะนางยังคงมีค่าอยู่ ชายผู้นี้คงจะไม่พานางมาถึงนี้เพื่อพูดคุยเรื่องราวเหล่านี้เป็นแน่ หากเขาโกรธแค้นที่นางช่วยชีวิตฉู่ป๋ายก็คงจะสังหารนางเสียตั้งนานแล้ว แต่กลับปล่อยนางเอาไว้เช่นนี้ แน่นอนว่าจะต้องมีจุดมุ่งหมายอื่นอยู่เบื้องหลัง!
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”
บุรุษผู้สวมหน้ากากได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้าลงมองหญ้าที่แห้งเฉาอยู่บนพื้น หัวเราะเสียงทุ้มต่ำขึ้น “ในเมื่อเจ้าทำลายแผนการของข้า แน่นอนว่าเจ้าจะต้องชดใช้”
“แต่หากข้าไม่ทำเล่า” อวี้อาเหราถามออกไปอย่างไม่ลังเล
ดวงตาที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากคู่นั้นเรียบนิ่งลง รู้สึกแปลกใจต่อความกล้าหาญของนางอยู่บ้าง เพียงแต่ชั่วขณะนั้นก็พลันเปลี่ยนแปลงไป ใบหน้าของชายหนุ่มกลับไปเป็นเย็นชาเช่นเดิม คำพูดหนึ่งประโยคถูกพ่นมาจากริมฝีปากบาง “หากเจ้าทำไม่ได้ ข้าก็จะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น”
“เจ้ากล้าหรือ!” อวี้อาเหราถลึงตาจ้องมองเขา
เขาจับดาบของตัวเองแน่นไม่ยอมปล่อย ใบหน้าเคียดแค้นไม่แปรเปลี่ยนของเขานั้นทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวอยู่เสมอ หากเขาต้องการให้นางตาย แน่นอนว่าเขาทำได้แน่! เมื่อลองชั่งน้ำหนักคำพูดของเขาแล้ว คงจะไม่ได้เพียงแค่ขู่ให้นางตกใจเล่น
บุรุษผู้สวมหน้ากากไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรมากนัก ทำเพียงกล่าวขึ้นว่า “เจ้าก็ลองไม่ทำตามที่ข้าพูดดูสิ”
อวี้อาเหราจ้องมองเขาอยู่เนิ่นนาน ทว่าอีกฝ่ายกลับไร้ซึ่งท่าทีตอบสนอง เขายังคงมีสีหน้าเย็นชาดั่งเดิม ความเยียบเย็นของเขานั้นบาดลึกเข้าไปในกระดูกราวกับลมหนาว ราวกับนอนอยู่บนก้อนน้ำแข็งอายุหมื่นปีด้วยเนื้อตัวที่เปลือยเปล่า หนาวเย็นเสียจนไร้เรี่ยวแรงจะกล่าววาจา และราวกับมีกระบี่น้ำแข็งเล่มหนึ่งพุ่งทะลวงเข้าสู่หัวใจอย่างรวดเร็วฉับไว
“ไม่ฆ่าเขาได้หรือไม่ อย่างไรเขาก็เป็นถึงซื่อจื่อแห่งจวนเซิ่นอ๋อง ข้าเป็นเพียงสตรีไร้เรี่ยวแรงแล้วจะเอาอะไรไปสู้กับเขา แม้แต่องครักษ์ข้างกายเหล่านั้นยังทำไม่ได้ แล้วอย่างข้าจะไปสังหารเขาแทนเจ้าได้อย่างไรกัน” อวี้อาเหรารู้ว่าใช้ไม้แข็งกับเขาไปก็คงไม่มีประโยชน์ น้ำเสียงของนางจึงอ่อนลงหลายส่วน
อีกอย่าง สิ่งที่นางพูดนั้นก็เป็นความจริงทุกคำ ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้นางคงไม่ถูกทำร้ายจนตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น แม้แต่ชายฉกรรจ์ที่ไร้ความสามารถสองสามคนนางยังเอาชนะไม่ได้ แล้วจะให้ไปฆ่าฉู่ป๋าย คาดว่ายังไม่ทันเข้าใกล้เขานางก็คงถูกจับเสียแล้ว นั่นก็เป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ มิใช่หรือ
ตอนที่ 247 เจ้าคู่ควรหรือ
“ข้าย่อมรู้อยู่แล้วว่าเจ้ามีความสามารถอย่างไร ขอเพียงเป็นเจ้าอย่างไรเสียก็ไม่มีปัญหา”
“แต่ว่าหากถูกจับได้ นั่นก็มีโทษถึงตายเชียวนะ!”
“นั่นก็เป็นเรื่องของเจ้า ข้าสนเพียงผลลัพธ์เท่านั้น”
“…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อวี้อาเหราก็อดไม่ได้ที่จะโกรธขึ้นมาบ้าง คิดดูแล้วเขาที่ทำเช่นนี้ก็แค่เป็นการส่งนางไปเสี่ยงอันตรายโดยที่ไม่สนว่านางจะเป็นหรือตายใช่หรือไม่ หากต่อไปนางช่วยเขาฆ่าฉู่ป๋ายได้ ก็ไม่เห็นว่าจะได้ประโยชน์อะไรตรงไหน อีกทั้งยังเท่ากับเป็นการเสี่ยงชีวิต แต่หากไม่ทำตาม ตอนนี้ก็ไม่แน่ว่านางจะรอดได้เช่นกัน
“จำไว้ ห้ามเปิดเผยในสิ่งที่เจ้าได้ยินเมื่อครู่นี้เด็ดขาด มิเช่นนั้น…”
“ข้าเข้าใจแล้ว!”
บุรุษผู้นั้นหรี่ดวงตาลงด้วยความรู้สึกที่แฝงอันตราย อวี้อาเหรารู้สึกโกรธเคืองยิ่งนัก แต่ทำได้เพียงฮึดฮัดไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา
“จริงสิ” อวี้อาเหราคิดขึ้นมาได้ จึงถามขึ้น “เจ้าชื่ออะไร”
ดวงตาของชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย
“เจ้าก็คู่ควรที่จะรู้ชื่อของท่านเจ้าสำนักของพวกเราหรืออย่างไร” หญิงสาวชุดดำที่จับตัวนางไว้เหล่านั้นร้องตะคอกออกมาในทันที ใบหน้าของพวกนางแสดงท่าทีไม่พอใจ ราวกับการพูดชื่อออกมานั้นเป็นการดูหมิ่นดูแคลนอย่างร้ายกาจ อีกทั้งพวกนางยังไม่กล้าที่จะมองชายหนุ่มตรงๆ ใช้เพียงการสังเกตอย่งฉับไวเท่านั้น สายตาเหล่านั้นก็แสดงออกให้เห็นถึงความเคารพและความหวาดกลัว
หากมองแต่เพียงท่าทีของคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาแล้ว ชายหนุ่มผู้นี้คงไม่ใช่คนที่ดีเด่อะไรนัก
อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้นมองไปยังบุรุษที่สวมหน้ากากอีกครั้ง รูปร่างของเขาสูงใหญ่ อาภรณ์สีดำที่ปกคลุมร่างเขาอยู่นั้นไม่อาจปกปิดร่างกายอันใหญ่โตเอาไว้ได้ และเมื่อมองออกไปตรงๆ ก็จะเห็นเส้นผมสีดำปลิวระใบหน้าที่เย็นชา ริมฝีปากของชายหนุ่มเม้มน้อยๆ จนกลายเป็นเส้นบาง มองไม่ออกว่าในยามนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่
“หนิงจื่อเย่” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างไม่คาดคิด
ตัวอักษรง่ายๆ ที่ไม่มีสลับซับซ้อนสามตัว น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยรื่นหูนักเท่าไรนัก ทว่ากลับให้ความรู้สึกที่หนักแน่นและเข้ากันดี ราวกับต้องใช้พละกำลังเป็นอย่างมากจึงจะพ่นคำทั้งสามคำนี้ออกมาได้ และก็ดูราวกับเป็นทารกที่เพิ่งคลอด ที่แท้จริงแล้วอยากจะพูดออกมา แต่ก็ไม่อาจสะกดคำออกมาได้ แม้พูดออกมาก็เป็นเพียงเสียงอ้อๆ แอๆ เท่านั้น
“หืม?” อวี้อาเหราตกตะลึงเล็กน้อย ทันใดนั้นก็เข้าใจขึ้นมาในทันที
“คุณหนู ท่านอยู่ที่ไหนเจ้าคะ!” ทันทีที่สิ้นสุดวาจา ที่ด้านหลังไม่ไกลนักก็มีเสียงของเจาเอ๋อร์ร้องออกมา และเหมือนว่าจะมีเสียงกลุ่มคนจำนวนมากตามมาด้วย อย่างไรเสียนางก็ถูกลักพาตัวอย่างอาจหาญหน้าประตูวังหลวง เรื่องนี้จึงสร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกคนได้ง่ายๆ
เมื่ออวี้อาเหราจะร้องตอบ ก็สัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาของหนิงจื่อเย่ นางจึงทำได้เพียงเงียบเสียงไปเท่านั้น
หนิงจื่อเย่ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ ทว่าสายตาของเขานั้นราวกับกำลังกวาดตามองร่างของนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนำเหล่าหญิงสาวในชุดดำที่จับตัวนางมาแล้วจากไปราวกับนกนางแอ่น ความหมายนั้นก็ชัดเจนเป็นอย่างมาก เป็นการบอกให้นางรู้ว่าเรื่องไหนควรพูดเรื่องไหนไม่ควรพูด
คนเหล่านั้นเพิ่งจะจากไป เจาเอ๋อร์ก็วิ่งมาพบนางเข้าพอดี ในใจของนางก็คลายความกังวลลง รับก้าวเข้ามาหา “คุณหนู ท่านไม่เป็นไรนะเจ้าคะ บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ เป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ”
เจาเอ๋อร์พูดไปพูดมา ดวงตาก็อดแดงก่ำขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ช่างอันตรายยิ่งนัก คุณหนูของนางถูกลักพาตัวไปหน้าประตูวัง เป็นเรื่องอุกอาจเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังกล้าที่จะเอากระบี่มาจ่อคอนางอีก หากไม่ระวังแม้แต่น้อยนางก็คงจะต้องตายเสียแล้ว แล้วนี่จะยังไม่น่าตกใจอีกหรือ ตอนนี้เมื่อนึกย้อนกลับไปก็อดไม่ได้ที่จะต้องถอนหายใจออกมาหนักๆ
องครักษ์วังหลวงกลุ่มใหญ่รีบวิ่งตามเข้ามาในทันที
อวี้อาเหราพยายามที่จะสงบใจเอาไว้ ก่อนจะมองไปยังเจาเอ๋อร์ “ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่ตกใจเล็กน้อยเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ หากคุณหนูเป็นอะไรไปแม้แต่น้อย ท่านอ๋องคงจะต้องถลกหนังบ่าวเป็นแน่”
ตอนที่ 248 สับเจ้าเป็นหมื่นชิ้น
“เรื่องเมื่อครู่นี้เจ้าก็ให้คนไปรายงานเสด็จพ่อแล้วหรือ” อวี้อาเหราตกใจขึ้นมา
“บ่าวไหนเลยจะมีเวลาส่งคนไปรายงานกันเจ้าคะ พอคุณหนูถูกจับตัวไปบ่าวก็รีบออกตามหาพร้อมกับองครักษ์วังหลวงทันที ท่านเป็นถึงธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋อง อีกทั้งยังถูกจับตัวไปหน้าประตูวังเช่นนี้ เรื่องนี้จะต้องกระจายไปทั่วเมืองเฟิ่งเฉิงเป็นแน่ แล้วนี่ยังจะปิดท่านอ๋องได้อีกหรือเจ้าคะ”
“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก” อวี้อาเหราพยักหน้า ความรู้สึกสับสนปนเปไปเสียทั้งหมด
เพียงไม่นานเจาเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของนาง ก่อนจะหันมองไปรอบด้านนิ่งๆ “คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ เหตุใดดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยเล่า เจ้าคนชุดดำที่จับตัวท่านไปอยู่ที่ไหนแล้ว นี่ก็ช่างร้ายกาจนัก หากจับตัวได้จะต้องสับเป็นหมื่นๆ ชิ้นเลยเชียว!”
“พวกมัน…” อวี้อาเหราพูดขึ้นด้วยท่าทีลังเล “เดิมทีพวกมันก็ต้องการที่จะสังหารข้า แต่พอเห็นพวกเจ้ารีบตามมาจึงล่าถอยไปเสียแล้ว”
“นับว่ายังดีที่พวกมันรู้ทัน!” เจาเอ๋อร์สบถออกมาด้วยความโกรธเคืองที่ยังไม่จางหาย
อวี้อาเหรามองไปยังองครักษ์ที่กำลังหาตัวคนชุดดำอยู่ “พวกเจ้าไม่ต้องหาแล้ว พวกมันคงหนีไปไกลแล้วล่ะ”
“ขอรับ” เหล่าองครักษ์ประสานสายตากัน แล้วจึงทำได้แต่เพียงรามือ
เจาเอ๋อร์ชะงักไปพร้อมกล่าวขึ้นว่า “คุณหนู เหตุใดท่านถึงไม่ให้พวกเขาค้นหาเล่าเจ้าคะ พวกเขาเหล่านี้ต่างก็เป็นองครักษ์ของวังหลวงทั้งนั้น ล้วนแต่มีฝีมือสูงส่ง ไม่แน่ว่าอาจจะค้นหาร่องรอยของคนพวกนั้นพบก็เป็นได้ ถ้าหากเรื่องนี้แพร่ออกไปว่าคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องถูกลักพาตัวไปอย่างอุกอาจเช่นนี้คงโดนหัวเราะเยาะเป็นแน่”
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากให้พวกเขาตามหา” อวี้อาเหราวิเคราะห์ขึ้นมา “เจ้าดูสิ คนชุดดำเหล่านั้น แม้จะเป็นต้าเว่ยก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา แล้วคนเหล่านี้จะสู้ได้หรือ หากแม้จะค้นหาก็คงหาไม่พบแม้แต่เงา เสียเวลาเปล่า มิสู้กลับไปแล้วค่อยหารือกันยังจะดีเสียกว่า”
แม้ว่านางจะพูดไปเพื่อล่อลวงเจาเอ๋อร์ แต่ที่นางกล่าวนั้นก็ไม่นับว่าผิดนัก หนิงจื่อเย่นั้นมีวรยุทธ์สูงส่งและแข็งแกร่ง คนธรรมดานั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา อีกทั้งเขายังมีผู้ช่วยอยู่ข้างกายไม่น้อย เมื่อถึงยามนี้เขาก็หนีอย่างไร้ร่องรอยเสียนานแล้ว ใครจะโง่ทิ้งเบาะแสเอาไว้ให้ตามหาได้เล่า
เจาเอ๋อร์พยักหน้า “ที่คุณหนูกล่าวก็มีเหตุผล ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็รีบกลับไปที่จวนเถิดเจ้าค่ะ คิดว่าท่านอ๋องคงจะทรงกังวลใจแย่แล้ว”
“ตกลง” สายตาของอวี้อาเหรามองไปข้างหน้า ในใจรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา นึกสงสัยเต็มทีว่าสิ่งที่หนิงจื่อเย่พูดก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงหรือโกหกกันแน่ หากเจ้าของร่างเดิมยังไม่ตาย ก็คงจะเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมาทีเดียว! ตอนนี้นางแทบรอที่จะไปยังจวนเซิ่นอ๋องเพื่อสอบถามให้รู้แน่ชัดไม่ไหวแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นคงจะต้องกลับไปยังจวนหลิงอ๋องเพื่อความปลอดภัยเสียก่อน
เมื่อนั่งอยู่บนรถม้า อวี้อาเหราก็จ้องมองเจาเอ๋อร์ จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาในทันทีว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าในเจียงหูนั้นมีอิทธิพลลับอยู่หรือไม่”
“คุณหนู ท่านถามเรื่องนี้ทำไมหรือเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ไม่ต้องถาม เจ้าตอบข้ามาก็พอ” อวี้อาเหราโพล่งขึ้นมาโดยไม่อ้อมค้อม
“อิทธิพลลับแห่งเจียงหูนั้นมีมากมาย และแต่ละถิ่นก็มีประวัติศาสตร์อย่างน้อยเป็นร้อยๆ ปี มีกลุ่มหนึ่งชื่อว่ากลุ่มเม่ยเก๋อ ซึ่งกำลังมีอิทธิผลกว้างขวางในช่วงนี้ เป็นกลุ่มที่ไม่มีผู้ชาย มีแต่ผู้หญิง กล่าวกันว่าตัวหัวหน้าหลุ่มเม่ยเก๋อนั้นสวมหน้ากากมาหลายปีแล้ว รวบรวมหญิงกำพร้าไร้ที่พึ่งพามาฝึกฝน ขอเพียงจ่ายเงินจนพอ ก็จะทำให้หัวหน้ากลุ่มส่งหญิงสาวในสำนักฆ่าเป้าหมายได้ พวกนางเป็นนักฆ่าฝีมือฉกาจ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธชนิดใดก็ชำนาญไปหมด ว่ากันว่าหากมีชื่ออยู่ในรายชื่อลอบสังหารของเจ้าสำนักแล้วอย่างไรก็ไม่อาจรอดชีวิตได้เจ้าค่ะ”
หลังจากฟังเจาเอ๋อร์กล่าวเสียยืดยาว อวี้อาเหราก็เลิกคิ้วขึ้น หากบอกว่าคนผู้นั้นมักจะสวมหน้ากากเอาไว้เสมอแล้ว อย่างนั้นผู้ที่สวมหน้ากากที่หญิงสาวเหล่านั้นให้ความยำเกรงก็คงจะเป็น…
ตอนที่ 249 นางเป็นใครกันแน่
คงจะเป็นหนิงจื่อเย่ไม่ต้องสงสัยเลย!
และเขายังต้องการที่จะฆ่าฉู่ป๋าย โดยยุยงให้นางเป็นผู้ลงมือ
เมื่อคิดดูแล้ว อย่างไรเสียก็คงไม่อาจจัดการได้โดยง่าย มิเช่นนั้นแล้วก็คงไม่เปลืองแรงถึงเพียงนี้
โยนเรื่องที่ไม่มีใครอยากมาให้นาง ช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก เจ้านี่มันสวะจริงๆ!
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ นางก็เดาไม่ออกจริงๆ ว่ายามที่นางย้อนเวลากลับมานั้นเกิดอะไรขึ้น ราวกับเดิมทีก็ไม่ใช่การทะลุมิติปกติ ไม่ว่าจะเป็นนางที่มีชีวิติอยู่ในยุคปัจจุบันหรือคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องที่ตกหน้าผาตายในยุคโบราณก็ล้วนแล้วแต่มีใบหน้าที่เหมือนกัน หากคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริงถูกเจ้าสำนักเม่ยเก๋อช่วยชีวิตเอาไว้ เพราะฉะนั้นในยามที่นางฟื้นขึ้นมาก็คงจะอยู่ในสายตาของหนิงจื่อเย่โดยมาตลอด นี่ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเหตุใดเขาจึงรู้และเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
แต่ในโลกนี้จะมีคนที่หน้าตาเหมือนกันถึงขนาดนี้อยู่ด้วยหรือ
นางยังคงไม่อยากเชื่อ จุดที่น่าสงสัยมากที่สุดก็คือร่างกายของนางในตอนนี้เหตุใดถึงไม่ใช่ร่างกายของนางในยุคปัจจุบันกันเล่า?
เพียงแค่ใบหน้าที่เหมือนกันราวกับฝาแฝดเท่านั้น
หากคิดเช่นนี้แล้ว ร่างกายที่นางเข้าร่างมานี้ไม่ใช่ร่างของคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋อง ถ้าเช่นนั้นเป็นของใครกัน?
เหตุใดจึงมีคนที่หน้าเหมือนกันถึงสามคนเช่นนี้? นี่ก็ไม่น่าเชื่อเอาเสียจริงๆ เลย!
หากจะบอกว่าเป็นแฝดสามก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะนางไม่ใช่คนของยุคนี้ด้วยซ้ำ
ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสนไม่เข้าใจ ทำได้เพียงปล่อยวางไม่คิดอีก เพราะไม่แน่ว่าหนิงจื่อเย่อาจจะหลอกนางก็เป็นได้
เจาเอ๋อร์เห็นท่าทีเช่นนี้ของนางแล้วก็ไม่กล้าที่จะไปรบกวนมาก เพียงแต่คิดวิเคราะห์เงียบๆ เท่านั้นว่าเหตุใดคุณหนูของนางจึงถามขึ้นมาเช่นนี้ หรือว่าเจ้าสำนักผู้นั้นจะเป็นชายชุดดำที่ลักพาตัวนางไปเมื่อครู่? เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วนางก็นึกเชื่อมโยงไปถึงผู้ที่ทำร้ายเซิ่นซื่อจื่อที่ภูเขาวั่วหลงซานนั้นว่าเป็นใคร หากเช่นนั้นแล้ว ผู้ที่ต้องการจะสังหารคุณหนูก็คงจะเป็นเจ้าสำนักเม่ยเก๋อ
ทันใดนั้นนางก็ตกใจขึ้นมา ผู้ที่โดนสำนักเม่ยเก๋อหมายตาเอาไว้นั้นไม่มีทางรอดพ้นแน่!
เมื่อรถม้าจอดลงที่หน้าจวนหลิงอ๋อง ก็เห็นหลิงอ๋อง อนุรองตลอดจนอวี้จื่อเยียนยืนรออยู่หน้าประตูอยู่แล้ว
ไม่ต้องรอให้เอ่ยปาก อวี้อาเหราก็รีบคุกเข่าลงทันที “ลูกทำให้เสด็จพ่อทรงเป็นกังวล จนเกือบจะถูกคนพวกนั้น…”
“เด็กโง่ เจ้าพูดอะไรไร้สาระ รีบลุกขึ้นเร็ว ไหนเลยพ่อจะลงโทษเจ้าได้” ดวงตาชราของหลิงอ๋องเผยให้เห็นถึงรอยแดงช้ำ ราวกับเพิ่งหลั่งน้ำตามา กล่าวเอาไว้ว่าลูกผู้ชายนั้นยากเหลือเกินที่จะหลั่งน้ำตา ไหนเลยหลิงอ๋องแห่งต้าเยี่ยนจะร้องไห้ได้เล่า
ครั้งนี้คงจะเป็นการทำให้เขาตกใจและเป็นกังวลจริงๆ ทันทีที่ได้ยินว่าอวี้อาเหราถูกชุดดำลักพาตัวไปที่ประตูหน้าราชวังเขาก็เกือบจะหลั่งน้ำตาออกมา ในใจของเขานั้นอดไม่ได้ที่จะคิดว่าหากเป็นเรื่องจริงขึ้นมาเขาจะทำเช่นไรดี หลิงอ๋องที่สงบนิ่งอยู่เสมอเมื่อได้ยินเรื่องนี้เข้าถึงกับตื่นตระหนกเป็นการใหญ่
“เสด็จพ่อ ก่อนหน้านี้ที่ลูกได้ทูลขอพระราชทานสมรสให้พี่สาวเสกสมรสกับองค์ชายเป่ยเจียงนั้น เป็นเพราะลูกเห็นแก่พี่สาวจึงได้ทำเช่นนั้น แม้ว่ายามนี้องค์ชายเป่ยเจียงจะเสเพล แต่เมื่อพี่สาวแต่งเข้าไปก็ได้เป็นพระชายาเอก ถ้าหากพลาดโอกาสครั้งนี้ไปแล้วพี่สาวได้ขึ้นเป็นพระชายาเอก และไม่ถูกคนรังแกอีกได้อย่างไรเพคะ” น้ำตาของอวี้อาเหราพร่างพรู กะพริบตาแล้วเอ่ยว่า “อีกอย่าง หากภายหลังพี่สาวแต่งไปแล้ว องค์ชายเป่ยเจียงก็จะได้ขึ้นครองราชย์บัลลังก์ เมื่อถึงตอนนั้นอาจได้เป็นฮองเฮาก็ได้นะเพคะ”
ได้เป็นฮองเฮาหรือ? แววตาของอวี้จื่อเยียนแฝงแววเย้ยหยัน ฟู่เส่าชิงไร้ความสามารถถึงเพียงนี้ หากสามารถต่อกรกับราชินีแห่งเป่ยเจียงได้ เขาจะถูกไล่มาถึงที่นี่ได้หรือ
ตอนที่ 250 เป็นธิดาอนุไปทั้งชีวิต
ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังมีหญิงสาวรายล้อมอีกมากมายนับไม่ถ้วน แค่เพียงแต่งงานจะสามารถหยุดเขาไว้ได้อย่างไรกัน ที่อวี้อาเหราทำเช่นนี้ก็คงเพราะต้องการจะทำร้ายนางสินะ!
“เอาเถิดอาเหรา พ่อรู้ว่าลูกลำบากใจ เป็นพ่อผิดเองที่โทษเจ้า เป็นเพราะพ่อไม่ดีเอง ต่อไปหากเจ้าคิดจะทำอะไรก็ทำเถิด หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกพ่อจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน!” หลิงอ๋องที่เมื่อครู่เกือบจะเสียบุตรสาวอันเป็นที่รักไป ยามนี้ไหนเลยจะสนใจเรื่องการแต่งงานของธิดาอนุกัน ตอนนี้หากนางบอกว่าอยากให้อวี้จื่อเยียนแต่งงานออกไปเขาก็คงตกปากรับคำอย่างเต็มใจแน่
“เสด็จพ่อ” อวี้อาเหราผ่อนลมหาย พุ่งเข้าไปในอกของหลิงอ๋องอย่างออดอ้อน
นางแอบปรายตามองอนุรองและอวี้จื่อเยียน ถือว่าเหตุการณ์ที่นางถูกลักพาตัวในครั้งนี้ได้ช่วยเหลือนางเอาไว้มากทีเดียว เพราะก่อนหน้าที่นางจะกลับมานั้น พวกอนุรองสองแม่ลูกก็ได้เป่าหูหลิงอ๋องด้วยคำพูดไม่ลื่นหูมากมาย แต่กลับไม่คิดว่านางจะพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ได้ แล้วไหนเลยหลิงอ๋องจะโกรธเคืองได้เล่า เมื่อเขาได้รักแล้วก็รักเสียจนหลงเช่นนี้
อนุรองและอวี้จื่อเยียนกดเก็บความไม่พอใจเอาไว้ ไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย
ยามนี้ก็เกรงว่าพวกนางคงจะแอบด่าทออวี้อาเหราอยู่ในใจใช่หรือไม่
“อาเหรามาเถิด พ่อจะส่งเจ้าไปพักผ่อน วันนี้เจ้าคงตกใจเสียยกใหญ่ใช่หรือไม่” อารมณ์ของหลิงอ๋องสงบลงแล้ว แต่ยังจับแขนของอวี้อาเหราไม่ปล่อย กลัวว่านางจะหายไปกับหมอกควัน จนทำให้เขาต้องวุ่นวายใจอีก
“ท่านอ๋อง จะไม่ไปเสวยกับหม่อมฉันหรือเพคะ” อนุรองก้าวขึ้นมาอย่างไม่ยินยอม “หม่อมฉันสั่งให้คนทำอาหารที่ทรงโปรดไว้มากมาย ลูกในท้องเองก็คาดหวังว่าจะได้ทานข้าวกับเสด็จพ่อของเขานะเพคะ”
“จะทานอะไรกันอีก” น้ำเสียงของหลิงอ๋องแสดงความไม่พอใจอยู่บ้าง หลังจากนั้นก็สงบลง เอดกลั้นอารมณ์ของตัวเอง “เจ้ากับเยียนเอ๋อร์กลับไปทานกันเถิด วันนี้อาเหราก็ตกใจมากแล้ว เราจะไปส่งนาง จริงสิ เมื่อครู่เจ้าว่าให้คนเตรียมน้ำแกงเห็ดหูหนูและลูกบัวเอาไว้ใช่หรือไม่ ประเดี๋ยวให้คนยกเข้ามาด้วย”
“ท่านอ๋อง…” สีหน้าของอนุรองแสดงถึงความกระอักกระอ่วน นางจะต้องมอบน้ำแกงลูกบัวที่เคี่ยวอย่างยากลำบากให้อวี้อาเหราดื่ม เมื่อคิดแล้วอย่างไรก็ยากที่จะยอมรับได้ ยามปกตินางเป็นคนที่มีความอดทนยิ่งนัก แต่หลังจากที่นางถูกอวี้อาเหราและเหล่าฮูหยินทั้งหลายดูถูกลบหลู่เกียรติเข้า และทำเอาลูกสาวเพียงคนเดียวของนางเกือบจะต้องแต่งงานกับองค์ชายเป่ยเจียง นางที่ปกติจะสงบนิ่งนั้นกลับโกรธแค้นจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน และยิ่งเห็นหลิงอ๋องเข้าข้างนางเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธเคือง
“เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” เมื่อหลิงอ๋องเห็นท่าทีของนางแล้วก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที
เมื่อก่อนยามที่ได้ยินว่าอวี้อาเหราถูกพวกนางสองแม่ลูกรังแกก็ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนัก แต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่ยินยอมพร้อมใจของอนุรองเข้าเต็มตาเช่นนี้ ในใจของเขาก็เข้าใจขึ้นมาในทันที น้ำเสียงที่ใช้กับนางก็ยิ่งเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ “ยืนนิ่งอยู่ทำไม รีบไปเสียสิ เราจะไปส่งอาเหรากลับเรือนพัก!”
“ท่านอ๋อง!” อนุรองร้องเรียกอย่างไรก็ไม่เป็นผล หลิงอ๋องจึงหันกลับมามองมาด้วยสายตาเย็นชาเพื่อเป็นการตักเตือนนาง เมื่อครู่นี้นางก็เกือบจะกลั้นอารมณ์เอาไว้ไม่ได้เสียแล้ว
เมื่อก่อนหลิงอ๋องเห็นว่านางนั้นไม่เพียงต้องเลี้ยงลูกทั้งสองคนด้วยความยากลำบาก แต่ยังรู้จักวางตัวน่าเคารพจึงให้ความรักใคร่กับนางอยู่บ้าง มิเช่นนั้นก็คงเป็นเหมือนอนุสามและอนุสี่ ที่เกือบจะไม่ให้ความสนใจเลย
ทันใดนั้นนางก็ไม่กล้าที่จะโกรธเคืองอะไรอีก
อวี้จื่อเยียนเห็นว่าคนเหล่านั้นไปแล้ว ก็โกรธเสียจนต้องกระทืบเท้า “ท่านแม่ ท่านดูอวี้อาเหราสิเจ้าคะ วันนี้ที่ข้าต้องโดนดูถูกจะต้องเสียเปล่าอย่างนั้นหรือ”
“ฟังนะเยียนเอ๋อร์” อนุรองลูบศีรษะนางด้วยความอ่อนโยน “เจ้าวางใจเถิด อย่างไรแม่ก็ไม่ยอมให้เจ้าต้องเป็นธิดาอนุ ให้คนดูถูกไปชั่วชีวิตแน่”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น