หวานรักจับหัวใจท่านประธาน 239-246

 ตอนที่ 239 คุณว่าใครเป็นปิศาจจิ้งจอก


 


 


“…” เหนียนเสี่ยวมู่มองข้อมูลตรงหน้า ไม่มีโอกาสปฏิเสธเลยด้วยซ้ำ


 


 


ตอนที่เธอออกจากห้องทำงานของผู้จัดการ เสี่ยวเสี่ยว นักศึกษาฝึกงานที่รออยู่ข้างนอกตลอดก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับดึงเธอไว้


 


 


“ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน ฉันได้ยินว่าจะเปลี่ยนผู้รับผิดชอบโครงการของบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าแล้ว จริงเหรอคะ” เมื่อเห็นเหนียนเสี่ยวมู่ไม่พูด สีหน้าของเสี่ยวเสี่ยวก็ดูโกรธเคืองขึ้นมาบ้างทันที


 


 


“คนพวกนี้จะเกินไปแล้วนะ! ตอนที่เชิญซ่างซินมาไม่ได้ ก็ผลักงานมาให้คุณ ตอนนี้งานเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น ก็จะมอบงานที่คุณลงแรงมาอย่างยากลำบากไปให้คนอื่น!”


 


 


“เสี่ยวเสี่ยว…” หางตาของเหนียนเสี่ยวมู่เหลือบเห็นเย่หมิงหมิ่นที่อยู่ข้างหลัง จึงรีบร้อนยื่นมือไปปิดปากของเธอ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว


 


 


เย่หมิงหมิ่นกำลังถือแก้วน้ำเดินออกมาจากในห้องน้ำชา


 


 


เธอเดินอย่างสบายใจ ท่าทางสง่างาม


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดเมื่อครู่ เธอไม่โกรธ แต่ยังยิ้มออกมา “นักศึกษากล้านินทาซูเปอร์ไวเซอร์ลับหลัง ดูท่าหลังจากเซี่ยจิงจิงไปแล้ว กฎของกลุ่มเอจะวุ่นวายไม่เป็นระเบียบแล้วนะ”


 


 


“…”


 


 


เย่หมิงหมิ่นมองเสี่ยวเสี่ยว ที่ถูกเธอตำหนิแต่ไม่กล้าต่อปาก แล้วหันไปมองเหนียนเสี่ยวมู่


 


 


“ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน ถ้าคุณมีอะไรจะพูดกับฉัน ก็พูดมาได้ตรงๆ เลย ฉันไม่ได้อยากทำโครงการของบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าสักเท่าไหร่หรอก แต่นี่เป็นการจัดการของผู้จัดการ ถ้าคุณมีความเห็น ก็ไปหาผู้จัดการสิ แต่ถ้าฉันเป็นคุณ ที่ฉันกังวลที่สุดในตอนนี้ น่าจะเป็นเรื่องมิสเตอร์ลอมบาร์ดีที่จะมาเยี่ยมชมบริษัทในวันพรุ่งนี้”


 


 


เย่หมิงหมิ่นยิ้มเยาะ บนใบหน้ามีความลำพองใจที่ปิดบังไว้ไม่ได้


 


 


เธอเดินพิจารณารอบตัวเหนียนเสี่ยวมู่ “ฉันได้ยินว่า มิสเตอร์ลอมบาร์ดีเกลียดผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนปิศาจจิ้งจอกที่สุด ฉันกลัวจริงๆ ว่าเขาเห็นคุณแล้ว คงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเชียวล่ะ”


 


 


“ซูเปอร์ไวเซอร์เย่ คุณหมายความว่ายังไง คุณว่าใครเป็นปิศาจจิ้งจอก!” เหนียนเสี่ยวมู่ไม่ได้ฟิวส์ขาด แต่เป็นเสี่ยวเสี่ยวที่อยู่ข้างๆ เธอถลันไปถาม


 


 


“ฉันว่าอะไรหรือยังล่ะ” เย่หมิงหมิ่นหันไปมองห้องทำงานผู้จัดการ เหมือนจะมีคนออกมาแล้ว เธอกลัวว่าตจะเป็นเรื่องใหญ่ จึงหันหลังเดินไป


 


 


แต่เพิ่งก้าวขาออกไป ก็ถูกขาข้างหนึ่งที่ยื่นออกมาขัดไว้


 


 


“อ๊ะ”


 


 


เธอโผออกไป ก่อนจะล้มหน้าทิ่มอย่างแรง!


 


 


แก้วน้ำในมือกลิ้งไปไกลว่านั้นหลายเมตร ส่วนน้ำก็หกออกมาหมด…


 


 


เธอเจ็บจนสีหน้าบิดเบี้ยว สองมือยันบนพื้น เพิ่งจะเงยหน้าขึ้น อยากดูว่าใครขัดขาเธอ


 


 


วินาทีต่อมา เหนียนเสี่ยวมู่ก็เดินมาข้างหน้าแล้ว ก่อนจะนั่งยองๆ ลงตรงหน้าเธออย่างเชื่องช้า


 


 


จากนั้นก็ปักขากางเกงของตัวเองเบาๆ แล้วพูดชัดถ้อยชัดคำ


 


 


“ซูเปอร์ไซเซอร์เย่ ทำอะไรต้องมีศีลธรรมให้มากๆ เดินก็ต้องสอดส่องสายตา ถ้าทำอะไรแล้วไม่สอดส่องดูให้ดี จะมีการเอาคืนไม่ช้าก็เร็วนะคะ”


 


 


เมื่อพูดจบ หญิงสาวก็ลากเสี่ยวเสี่ยวกลับไปที่นั่งของตัวเอง โดยไม่สนใจเย่หมิงหมิ่นที่โกรธจนกัดฟันกรอด


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ดึงเก้าอี้มานั่งลง แล้วพลิกเอกสารในมือ


 


 


ข้อมูลที่เหวินหย่าไต้ให้มาละเอียดมาก ข้างในแจกแจงความชอบของมิสเตอร์ลอมบาร์ดีออกมาทั้งหมดแล้ว


 


 


ดูท่าทางหวังเธอจะเจรจาร่วมงานครั้งนี้ได้สำเร็จจริงๆ


 


 


“ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน มิสเตอร์ลอมบาร์ดีคนนี้เป็นคนอิตาลีโดยกำเนิด พูดเป็นแค่ภาษาอิตาลี คุณพูดเป็นไหมคะ” เสี่ยวเสี่ยวเขยิบเก้าอี้ไถลมาข้างๆ เธอ ก่อนจะถามอย่างไม่สบายใจ


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ส่ายหน้าตามสัญชาตญาณ “ไม่เป็นหรอก”


 


 


ภาษาอิตาลีไม่เหมือนภาษาอังกฤษ ที่สามารถพูดได้บ่อยๆ ถ้าไม่ใช่คนที่เรียนมาโดยเฉพาะ ก็ฟังไม่รู้เรื่องแน่นอน


 


 


“แต่ไม่เป็นไรหรอก มีล่ามแล้ว” เหนียนเสี่ยวมู่นึกบางอย่างได้ ก่อนจะเงยหน้ามองห้องทำงานของผู้จัดการ เห็นหวางเมี่ยวเมี่ยวเดินออกมาจากข้างในนั้น และกำลังเดินมาหาเธอพอดี


 


 


 


 


ตอนที่ 240 ดินเนอร์ใต้แสงเทียน


 


 


“ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน ถ้ามีอะไรต้องการเป็นพิเศษ คุณบอกฉันได้เลยนะคะ” หวางเมี่ยวเมี่ยวเดินมาข้างหน้าเธอ พร้อมกับพูดอย่างนอบน้อม


 


 


“ผู้จัดการเหวินให้ความสำคัญกับงานนี้มาก ตัวเธอไปอิตาลีด้วยตัวเองตั้งหลายรอบ แค่ขอนัดมิสเตอร์ลอมบาร์ดี เห็นทีเกือบสิบครั้ง ถึงจะขอให้มิสเตอร์บอมบาร์ดีมาพิจารณาการร่วมงานกันด้วยตัวเองได้ ฉันก็หวังว่างานนี้จะดำเนินต่อไปได้เหมือนกันค่ะ”


 


 


เสียงของหวางเมี่ยวเมี่ยวไม่ได้ทุ้มต่ำ คนของรอบข้างจึงได้ยินกันเป็นจำนวนมาก


 


 


แค่พริบตาเดียว ในแผนกประชาสัมพันธ์ก็เต็มไปด้วยเสียงชื่นชมเหวินหย่าไต้


 


 


“งานของบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าครั้งก่อน ก็เป็นเพราะผู้จัดการเหวินออกหน้าด้วยตัวเอง ถึงได้คุยกับประธานเฉินได้”


 


 


“ไม่ใช่แค่ครั้งก่อนนะ แต่การร่วมมือกับซินไท่ครั้งก่อนๆ ก็เป็นเพราะเธอ…”


 


 


“แผนกของพวกเรามีผู้จัดการเหวิน ทุกคนถึงได้ทำงานอย่างง่ายดาย พูดตามตรงนะคะ ผู้นำที่มีฝีมือและเป็นมิตรอย่างผู้จัดการเหวินเนี่ย หายากมากเลยนะคะ”


 


 


“ไม่รู้ว่าผู้จัดการเหวินถูกปฏิเสธไปเท่าไหร่ถึงจะขอให้มิสเตอร์ลอมบาร์ดีพิจารณาได้ ฉันไม่อยากเห็นเธอผิดหวังจริงๆ ค่ะ ถ้าคุณมีตรงไหนต้องการความช่วยเหลือ ก็บอกมาได้เลยนะคะ ขอแค่พวกเรามีเวลา ก็ช่วยได้ทุกอย่างค่ะ”


 


 


มีเพื่อนร่วมงานพูดขึ้นมาทันที


 


 


คนอื่นๆ ก็พูดเสริม


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่นั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเอง กำลังอ่านข้อมูล อยู่ๆ ก็พบว่าทุกคนมองมาที่ตัวเอง จึงขมวดคิ้ว


 


 


โครงการที่ต้องพิจารณา จะได้ร่วมงานกันหรือเปล่า ไม่มีใครรู้ได้เลย


 


 


เดิมทีถึงแม้เจรจาไม่ได้ ก็พูดได้แค่ว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีวาสนาที่จะได้ร่วมงานกัน แต่บรรยากาศที่หวางเมี่ยวเมี่ยวสร้างขึ้นจากคำพูดในวันนี้กลับเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าเจรจาไม่สำเร็จ ก็เท่ากับทำลายความตั้งใจของเหวินหย่าไต้


 


 


ในเมื่อเหวินหย่าไต้ให้ความสำคัญกับงานนี้จริงๆ ทำไมต้องเปลี่ยนคนกะทันหัน ไม่ต้อนรับมิสเตอร์ลอมบาร์ดีด้วยตัวเองล่ะ?


 


 


ความสงสัยนี้ปรากฏอยู่ในหัวของเหนียนเสี่ยวมู่


 


 


“ฉันจะทำความคุ้นเคยกับข้อมูลทั้งหมดของมิสเตอร์ลอมบาร์ดีให้เร็วที่สุดค่ะ จะได้ทำงานต้อนรับได้อย่างดี แต่ฉันอยากให้คุณช่วยยืนยันตารางงานกับอีกฝ่ายหน่อยค่ะ” สายตาของเหนียนเสี่ยวมู่มองไปทางหวางเมี่ยวเมี่ยว


 


 


อีกฝ่ายพยักหน้า “ฉันติดต่อผู้ช่วยของมิสเตอร์ลอมบาร์ดีไว้แล้วค่ะ กำลังรออีกฝ่ายตอบกลับมา”


 


 


เพื่อนร่วมงานโดยรอบเริ่มก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเอง เหนียนเสี่ยวมู่อ่านข้อมูลในมือทั้งหมดรอบหนึ่งแล้ว แต่รู้สึกว่ามีตรงไหนแปลกๆ ไป จึงขมวดคิ้ว นั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้


 


 


ขณะกำลังคิดดูว่าตรงไหนแปลกไปบ้าง หวางเมี่ยวเมี่ยวก็เดินมาข้างๆ เธอ “ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน ยืนยันมาแล้วค่ะ เครื่องบินของมิสเตอร์ลิมบาร์ดีและทีมจะมาถึงเมืองเอชเวลาสิบเอ็ดโมงเช้าในวันพรุ่งนี้ และต้องการให้คุณไปรับด้วยตัวเองที่สนามบินด้วยค่ะ”


 


 


สิบเอ็ดโมงเช้า เวลาถมเถมาก


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ถอนหายใจ เตรียมอ่านข้อมูลต่อ แต่โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมา…


 


 


 


 


อีกด้านหนึ่ง


 


 


ห้องทำงานประธานบริษัท


 


 


ในห้องที่กว้างขวาง หลังจากอวี๋เยว่หานกลับมา ทั้งห้องก็อยู่ในสภาพความกดอากาศต่ำโดยตลอด


 


 


เขาพิงบนพนักพิง แต่อ่านเอกสารตรงหน้าไม่เข้าหัวแม้แต่ตัวอักษรเดียว ข้างหูมีคำพูดของเหวินหย่าไต้วนเวียนย้ำไม่หยุดว่า “คุณชายหาน คุณดูสิคะ ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนไปด้วยดีกับรองประธานเฉิน…”


 


 


แถมตรงหน้าเหมือนจะมีท่าทางยิ้มแย้มต่อหน้าเฉินจื่อซินของเหนียนเสี่ยวมู่ผุดขึ้นมาด้วย


 


 


ท่าทางเบิกบานใจอย่างนั้น หายไปต่อหน้าเขาแล้ว


 


 


อย่างกับว่าเขาจะกินเธออย่างนั้น…


 


 


อวี๋เยว่หานยื่นมือไปดึงเนคไทอย่างหัวเสีย วินาทีต่อมาก็เห็นผู้ช่วยเดินเข้ามาจากข้างนอก “คุณชายหาน ได้ยินว่าผู้จัดการเหวินมอบโครงการของบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นแล้ว และให้ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนไปรับงานเจรจากับมิสเตอร์ลอมบาร์ดีแทน”


 


 


“…”


 


 


“แล้วก็ รองประธานเฉินมาแล้วครับ รออยู่ที่ประตูแผนกประชาสัมพันธ์ อยากจะนัดซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนครับ”


ตอนที่ 241 เจ้าเด็กน้อยของคุณกำลังตามหาคุณอยู่


 


 


คำว่า ‘ดินเนอร์ใต้แสงเทียน’ ทำให้สีหน้าของอวี๋เยว่หานดำคล้ำลงได้สำเร็จ


 


 


ในเมื่อมอบหมายโครงการให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นแล้ว เธอก็เลยถือโอกาสงานหลวง ไปนัดกินข้าวกับเฉินจื่อซินเหรอ


 


 


“เหมือนรองประธานเฉินจะชอบซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนจริงๆ นะครับ ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน ก็มารอที่บริษัทของพวกเราแล้ว ได้ยินว่าถือดอกกุหลาบช่อใหญ่อยู่ในมือด้วย ท่าทางเหมือนจะอยากสารภาพรัก…” ผู้ช่วยยังไม่ทันพูดจบ ก็รู้สึกหนาวสันหลังวาบขึ้นมา


 


 


เขาเงยหน้าสบดวงตาสีดำขลับของอวี๋เยว่หาน แล้วเงียบเสียงไปในทันที


 


 


ผ่านไปเนิ่นนาน เขาถึงจะถามเสียงอ่อน “คุณชาย อีกเดี๋ยวจะกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลอวี๋เลยไหมครับ”


 


 


อวี๋เยว่หานหลุบตาสีดำลง กลิ่นอายเยือกเย็นทั่วตัวราวกับล็อกตัวเขาเอาไว้


 


 


ชายหนุ่มปิดเอกสารตรงหน้า ก่อนจะยื่นขึ้นจากเก้าอี้พร้อมเงาร่างสูงส่ง “ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน”


 


 


“ผะ แผนกประชาสัมพันธ์…” ผู้ช่วยพูดจบ ก็มองเจ้านายของตัวเองจัดเนคไทด้วยท่วงท่าสง่างาม จากนั้นถึงจะสวมเสื้อนอก แล้วสาวเท้าออกไปข้างนอก


 


 


 


 


หน้าประตูแผนกประชาสัมพันธ์


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่รับโทรศัพท์ ก่อนจะรีบร้อนออกไปข้างนอก


 


 


เมื่อเห็นเฉินจื่อซินยืนอยู่ข้างนอก เธอก็ยิ้มขึ้นมาทันที “ รองประธานเฉิน มาได้ยังไงคะเนี่ย”


 


 


จากนั้นเธอก็เห็นดอกกุหลาบในมือของเขา จึงอึ้งไปเล็กน้อย


 


 


มีเสียงร้องอิจฉาจากเพื่อนร่วมงานดังขึ้นอยู่รอบๆ ไม่น้อยเลย


 


 


“โอ้โห! ดอกกุหลายสวยมากเลย ดูไม่ออกเลยนะ ว่ารองประธานเฉินจะเป็นคนโรแมนติกขนาดนี้”


 


 


“ถ้ารู้ก่อนตั้งแต่แรกนะ ฉันน่าจะสมัครเข้าทีมของซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน รับผิดชอบโครงการของบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้า จะได้มองหนุ่มสูง รวย หล่อ…”


 


 


“เธอโง่หรือเปล่า โครงการถูกเปลี่ยนไปทีมบีแล้ว เธอไปอยู่ทีมเอก็ไม่ได้เห็นหรอก”


 


 


“เธอสิโง่ ดูไม่ออกเหรอ รองประธานเฉินมาหาซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน ไม่ใช่เพราะโครงการเลยย่ะ สายตาแบบนั้นอยากจะจีบซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนมากกว่า!”


 


 


“พวกเธอว่าซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนจะตอบตกลงไหม”


 


 


“…”


 


 


รอบข้างส่งเสียงดังอึกทึก เหนียนเสี่ยวมู่ยังไม่ทันดึงสติกลับมา เฉินจื่อซินก็กอดดอกไม้เดินมาข้างหน้า พร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน ผมจองร้านอาหารไว้แล้ว อยากจะเชิญคุณไปกินข้าวครับ ผม…”


 


 


“เจ้าตัวเล็กของคุณกำลังตามหาคุณอยู่…เจ้าตัวเล็กของคุณกำลังตามหาคุณอยู่…” เสียงริงโทนแอ๊บแบ๊วดังขึ้นมาทันใด


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ได้ยินเสียงริงโทนของตัวเองแล้ว ก็รีบมองเฉินจื่อซินเป็นการขอโทษครั้งหนึ่ง แล้วรับโทรศัพท์


 


 


เสียงร้อนใจของพ่อบ้านดังมาจากปลายสาย “เหนียนเสี่ยวมู่ คุณหนูตกลงจากโซฟาโดยไม่ระวัง เหมือนจะได้รับบาดเจ็บที่แขน…”


 


 


พ่อบ้านยังพูดไม่จบ แต่สีหน้าของเหนียนเสี่ยวมู่เปลี่ยนไปแล้ว


 


 


“รองประธานเฉิน ขอโทษนะคะ ฉันมีธุระด่วน คงจะไม่ว่างแล้ว ไว้นัดกันวันหลังนะคะ!”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่หมุนตัวเดินเข้าไปในลิฟต์ โดยไม่สนใจเฉินจื่อซินพูดอีก


 


 


“ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน…” เสียงของเฉินจื่อซินถูกประตูลิฟต์กั้นไว้ข้างนอก


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กลับที่ไปคฤหาสน์ตระกูลอวี๋โยไม่แวะที่ไหน


 


 


ระหว่างทางก็โทรศัพท์หาพ่อบ้านไม่ยอมหยุด


 


 


“ตกลงมาแรงไหมคะ บอกหมอหรือยัง ถ้าได้รับบาดเจ็บซ้ำช่วงแผลสมานตัว ต่อไปอาจจะส่งผลกระทบถึงการเคลื่อนไหวแขนของเสี่ยวลิ่วลิ่วได้ง่ายมาก ประมาทไม่ได้เลย…” เหนียนเสี่ยวเสี่ยวมู่กำชับมาตลอดทาง พูดทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดได้ให้พ่อบ้านฟัง


 


 


พร้อมกับเร่งคนขับรถให้เร็วหน่อย


 


 


พอคิดถึงเสียงร้องเจ็บปวดของเสี่ยวลิ่วลิ่ว หัวใจของเธอก็เหมือนตกวูบลงไป


 


 


เธออยากจะให้ตัวเองมีปีกงอกออกมา แล้วบินไปหาเด็กหญิงทันที


 


 


หลังจากรถจอดลงที่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลอวี๋ หญิงสาวก็รีบเปิดประตูรถวิ่งเข้าไปข้างใน


 


 


“เสี่ยวลิ่วลิ่ว…”


 


 


 


 


ตอนที่ 242 นี่มัน…เรื่องอะไรกัน


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ถือกระเป๋าอยู่ พร้อมกับพุ่งเข้าไปโดยไม่หยุดหอบหายใจเลยด้วยซ้ำ


 


 


พอเธอวิ่งไปถึงหน้าประตูห้องรับแขกของคฤหาสน์ตระกูลอวี๋ และเห็นภาพข้างในนั้นชัดเจน ร่างกายของเธอก็หยุดกึก


 


 


ในห้องรับแขกกว้างขวาง ร่างกายสูงชะลูกของอวี๋เยว่หานนั่งอยู่บนโซฟาหรูหรา


 


 


เขานั่งซ้อนขาวางไว้บนโต๊ะน้ำชา


 


 


มือข้างหนึ่งของเขารองหัวอยู่ กำลังเอนกายอยู่บนพนักพิง


 


 


ดวงตาสีดำลุ่มลึก มองเสี่ยวลิ่วๆ ที่วนไปเวียนมา ปีนป่ายอยู่บนขาของเขา


 


 


ผมยาวนุ่มสลวยของเสี่ยวลิ่วลิ่วถูกมัดเป็นมวยไว้ ใบหน้าเล็กสะสวยเจือสีแดงระเรื่อ ดูน่ารักมาก


 


 


ไม่ได้เจอเด็กหญิงสองวัน เหนียนเสี่ยวมู่คิดถึงเธอแทบแย่แล้ว


 


 


เมื่อได้เห็นเจ้าตัวเล็กที่ทำให้ตนเองคิดถึง เดิมทีเธอควรจะเดินเข้าไปหาด้วยความดีใจ แล้วกอดเด็กหญิงเอาไว้แนบอก ทั้งกอด ทั้งหอม ทั้งอุ้มขึ้นสูงๆ


 


 


แต่ตอนนี้ต้องมีใครอธิบายให้เธอฟังก่อน


 


 


เรื่องตกลงมาบาดเจ็บนี่มันยังไง


 


 


ทำไมสิ่งที่เธอเห็น ถึงเป็นภาพสองพ่อลูกอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขล่ะ


 


 


“พี่สาวคนสวย!” เสี่ยวลิ่วลิ่วเงยหน้าเล็กๆ ขึ้น มองเหนียนเสี่ยวมู่ที่กำลังอึ้งงันอยู่ที่หน้าประตู ร่างกายนุ่มนิ่มไถลลงมาจากในอกของอวี๋เยว่หานทันที


 


 


จากนั้นก็สาวเท้าวิ่งเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว


 


 


เด็กหญิงโผเข้ามาในอกของเธอดังปั้ก


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กำลังอึ้งงัน เมื่อถูกพุ่งเข้าชนอย่างแรง เธอจึงกอดเจ้าตัวเล็กไว้โดยสัญชาตญาณ


 


 


 “พี่สาวคนสวย หนูคิดถึงพี่จังเลย”


 


 


เสียงออดอ้อนเจื้อยแจ้วทำให้เหนียนเสี่ยวมู่ใจอ่อนทันที


 


 


หญิงสาวก้มหน้าลงหอมแก้มเด็กหญิงครั้งหนึ่ง “พี่ก็คิดถึงหนูมากเหมือนกัน มาให้พี่ดูหน่อยสิ แขนของหนูเป็นยังไงบ้าง”


 


 


เมื่อได้ยินเหนียนเสี่ยวมู่พูด พ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ ก็อยากจะหันหน้าเดินดีไปอย่างหมดความมั่นใจทันที


 


 


แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกไป เหนียนเสี่ยวมู่ก็มองมาทางเขาแล้ว


 


 


“พ่อบ้านคะ เมื่อกี้คุณบอกฉันว่าเสี่ยวลิ่วลิ่วตกลงจากโซฟา เธอตกลงมาได้ยังไงคะ”


 


 


พ่อบ้าน “…”


 


 


สายตาของพ่อบ้านเหลือบมองอวี๋เยว่หานที่นั่งอยู่บนโซฟโดยสัญชาตญาณ แต่ก็เห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่ง เขาจึงมีสีหน้า ‘คุณชายให้ผมพูดโกหก ทำไมตอนนี้เห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยล่ะครับ’


 


 


“ตกลงมา…เอ่อ ลื่นตกมาจากโซฟา ฉันเห็นเหมือนมือบิดไป…ความจริงอาจจะไม่ใช่อย่างนั้น ไม่น่าร้ายแรง พักผ่อนสักพักก็น่าจะหายแล้ว…”


 


 


พ่อบ้านไม่ใช่คนที่พูดโกหกเก่งสักเท่าไหร่นัก จึงพูดอ้ำอึ้งอยู่นาน ถึงจะเค้นออกมาจากปากได้


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…”


 


 


แค่ไถลลงจากโซฟา พ่อบ้านก็ตกใจจนขวัญกระเจิง จนถึงขั้นต้องรีบร้อนเรียกเธอกลับมาเลยเหรอ


 


 


พ่อบ้านอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลอวี๋มานานแล้ว น่าจะเป็นคนที่สุขุมลุ่มลึกสิ


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่หลุบตาลงมองเสี่ยวลิ่วลิ่วที่คลอเคลียอยู่ในอ้อมกอด รู้สึกว่ามีตรงไหนผิดปกติไป


 


 


“เสี่ยวลิ่วลิ่ว หนูรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”


 


 


“ปาปาอารมณ์ไม่ดี เลยให้คนตัดดอกกุหลาบในสวนทิ้งหมดเลย!” เสี่ยวลิ่วลิ่วเงยหน้าเล็กๆ ขึ้นมา ก่อนจะเขามาใกล้หูของเธอ กระซิบบอกความลับเสียงเบา


 


 


 จากนั้นเด็กหญิงก็ลอดออกจากในอกของเหนียนเสี่ยวมู่ แล้วดึงมือของเธอเดินเข้าไปหาอวี๋เยว่หาน ที่นั่งอยู่บนโซฟา


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…”


 


 


ตัดดอกกุหลาบในสวนทิ้งทั้งหมด ดอกกุหลาบทำผิดต่อเขาเหรอ ถึงได้โมโหขนาดนี้


 


 


แต่ดูจากสีหน้าของเขาแล้ว ไม่เหมือนกำลังโกรธเลยสักนิด


 


 


อย่างน้อยเขาก็ไม่ถลึงตาใส่เธอ เหมือนจะยิ้มให้เธออีกต่างหาก…


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่แน่ใจแล้วว่าเสี่ยวลิ่วลิ่วไม่เป็นไร ขณะกำลังเลว่าต้องถามว่าเขาอารมณ์ไม่ดีหรือเปล่านั้น โทรศัพท์มือถือของตนเองก็ดังขึ้น โดยที่เธอยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย


 


 


หญิงสาวควักโทรศัพท์มือถือออกมาดู เห็นชื่อของ ‘รองประธานเฉิน’ กะพริบอยู่บนหน้าจอ


 


 


เธอเพิ่งจะรับกดรับสาย แต่ตรงหน้าพลันมาเงาร่างสูงชะโปร่งบดบังเธอไว้โดยพลัน…


ตอนที่ 243 นี่คือคุณชายตัวปลอม 


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาของเขาก้มลงต่ำเล็กน้อย ก่อนจะเข้ามาใกล้เธอ ล้มหายใจร้อนพุ่งใส่หน้าของเธอจางๆ 


 


 


ริมฝีปากบางหยุดอยู่ตรงปลายจมูกของเธอ ดูเหมือนอยากจะจูบเธอ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ตัวแข็งทื่อไปในทันใด 


 


 


เธอเบิกตาโพลง ไม่สนใจเฉินจื่อซินแล้ว เพราะเอาแต่จ้องมองอวี๋เยว่หาน ที่ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไร 


 


 


“คุณชาย คุณออกห่างฉันหน่อย ทำแบบนี้ฉันหายใจไม่ออก…” เหนียนเสี่ยวมู่อยากจะถอยหลังตามสัญชาตญาณ แต่เสี่ยวลิ่วลิ่วยืนอยู่ข้างหลังเธอ ถ้าเธอถอยหลังไป ก็ต้องชนเสี่ยวลิ่วลิ่วแน่ 


 


 


“หายใจไม่ออก? ไหนผมดูหน่อย” อวี๋เยว่หานยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเดินมาข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว 


 


 


ทั้งสองคนแทบจะแนบชิดอยู่ด้วยกัน แรงกดขี่จากตัวเขาถาโถมเข้ามา พร้อมกับความรู้สึกที่คาดเดาไม่ได้ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่รีบยื่นมือไปดันหน้าอกของเขาเอาไว้ ก่อนจะตะโกนอย่างร้อนใจ “คุณอย่าเข้ามาอีกเลย ฉันจะเหยียบเสี่ยวลิ่วลิ่วเอานะ!” 


 


 


“…” 


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋เยว่หานไม่ได้ก้าวมาอีก แต่ก็ไม่ได้ถอยหลังกลับไป เขายืนอยู่ที่เดิม อยู่ตรงที่ที่ทั้งสองคนแทบจะแนบสนิทอยู่ด้วยกัน 


 


 


เสียงน่าดึงดูดของเขาแหบพร่าเล็กน้อย “ยังหายใจไม่ออกอีกไหม ต้องการให้ช่วยหรือเปล่า” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” 


 


 


ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าคำพูดนี้มีความหมายอื่นแอบแฝง 


 


 


ถ้าเธอบอกว่าหายใจไม่ออก เขาจะมาช่วยเธอผายปอดเหรอ 


 


 


หลังจากคิดถึงตรงนี้ เหนียนเสี่ยวมู่ก็กลืนน้ำลายในทันใด ไม่กล้ามองไปที่ริมฝีปากบางของเขาตรงๆ… 


 


 


เธอรู้สึกว่าตัวเองถูกแกล้ง จะหนีไปอย่างไรดี 


 


 


หรือว่าควรแกล้งกลับ? 


 


 


“อันธพาล!” เขาพูดอะไรน่าอายต่อหน้าเสี่ยวลิ่วลิ่วได้อย่างไร 


 


 


อวี๋เยว่หานถูกว่า แต่ก็ไม่ได้โกรธ เขาชำเลืองมองเธอครั้งหนึ่ง และเห็นสายโทรศัพท์ในมือของเธอวางไปแล้ว ดวงตาพลันปรากฏแววยิ้มแย้ม “ผมแค่อยากช่วยคุณเรียกหมอ คุณคิดไปถึงไหนเนี่ย” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” 


 


 


“เหนียนเสี่ยวมู่ คิดให้ดีสิ อย่าคิดลามก” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !! 


 


 


เสียงริงโทนดังขึ้นอีกครั้ง ทำลายบทสนทนาของคนทั้งคู่ 


 


 


หญิงสาวก้มหน้ามอง พบว่าเป็นสายของเฉินจื่อซินอีกแล้ว จึงรีบรับสาย 


 


 


“รองประธานเฉิน ฉันถึงบ้านแล้วค่ะ…” เหนียนเสี่ยวมู่เพิ่งเอ่ยปาก สีหน้าของอวี๋เยว่หานที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอก็ดำคล้ำลงแล้ว 


 


 


บรรยากาศอบอุ่นเปลี่ยนกลับมาถึงจุดเยือกแข็งในพริบตา 


 


 


เต็มไปด้วยความรู้สึกน่าอึดอัด 


 


 


ดวงตาสีดำเฉยชาจ้องเขม็งไปที่เหนียนเสี่ยวมู่ ผู้กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ 


 


 


“ใช่ค่ะ ไม่เป็นไรแล้ว…” เหนียนเสี่ยวมู่พูดโทรศัพท์ไปพลาง เดินไปข้างๆ ไปพลาง 


 


 


ขณะกำลังจะขอโทษเฉินจื่อซินอยู่นั้น เธอก็ได้ยินเขาถามอีกครั้ง ว่าไปกินข้าวด้วยกันได้ไหม 


 


 


“ไปตอนนี้เหรอคะ แต่ตอนนี้เริ่มดึกแล้วนะคะ แถมฉัน…” เหนียนเสี่ยวมู่ยังพูดไม่จบ ก็ได้ยินเสียงดังสนั่นมาจากข้างหลัง 


 


 


เธอหันกลับไปมอง เห็นเสี่ยวลิ่วลิ่วเหมือนจะตกลงจากโซฟา ทั้งๆ ที่เพิ่งจะปีนขึ้นไป ทำเอาเธอกำโทรศัพท์มือถือแน่น 


 


 


จากนั้นเธอก็เอ่ยปากโดยไม่คิดอะไรอีก “ขอโทษค่ะ วันนี้คงไม่ได้แล้ว ฉันมีธุระจริงๆ ค่ะ” 


 


 


สุดท้ายแล้วก็วางสายไป ก่อนจะวิ่งไปตรงหน้าโซฟาอย่างรวดเร็ว เธอยื่นมือไปอุ้มร่างกายนุ่มนิ่มของเสี่ยวลิ่วลิ่วขึ้นมา “ตกลงมาหรือเปล่า เจ็บตรงไหนไหม” 


 


 


“…” 


 


 


เสี่ยวลิ่วลิ่วเงยหน้าน่ารักขึ้นมา พร้อมกับสีหน้างงงัน 


 


 


บนใบหน้าเหมือนกับเขียนเอาไว้ว่า “หนูเป็นใคร หนูอยู่ที่ไหน เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น” 


 


 


พ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นอวี๋เยว่หานอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วทำเป็นตกจากโซฟากับตาตัวเอง 


 


 


เขาทำได้แค่หันหลังให้เงียบๆ แสร้งทำเป็นว่าตนเองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น… 


 


 


นี่ต้องไม่ใช่เรื่องจริงแน่ 


 


 


นี่คือคุณชายตัวปลอม 


 


 


เขาตาบอดไปแล้ว เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น เขามองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น!  


 


 


 


 


 


ตอนที่ 244 นี่นับเป็นการเดทหรือเปล่า 


 


 


“เสี่ยวลิ่วลิ่ว หนูอย่าทำให้พี่ตกใจสิ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เหนียนเสี่ยวมู่กอดเด็กหญิงเอาไว้ในอก ก่อนจะตรวจสอบตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อพบว่าเจ้าตัวเล็กไม่ได้มีอะไรผิดปกติ เธอถึงจะถอนหายใจด้วยความโล่งใจ 


 


 


ขณะที่กำลังอยากถามอวี๋เยว่หานว่าต้องส่งไปตรวจที่โรงพยาบาลสักหน่อยไหม เธอก็เห็นเขาเดินมาข้างหลัง แล้วพูดเสียงเรียบเฉิย 


 


 


“เสี่ยวลิ่วลิ่วได้ยินว่าคุณจะออกไปข้างนอก ถึงได้ตกลงมา” 


 


 


“…” เป็นความรับผิดชอบของเธออย่างนั้นเหรอ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่หลุบตาลงมองเสี่ยวลิ่วลิ่วที่อยู่ในอก พลางใช้สายตาสอบถามอีกฝ่าย 


 


 


ดวงตากลมโตสีดำขลับของเด็กน้อยกะพริบปริบๆ แล้วทำปากจู๋มองอวี๋เยว่หานด้วยความน้อยใจ ทันใดนั้นก็โผเข้าไปในอกของเหนียนเสี่ยวมู่ โอบคอพี่สาวคนสวยไว้ไม่ยอมปล่อย 


 


 


ดูท่าทางเหมือนจะไม่อยากให้เธอไปจริงๆ… 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ใจอ่อนในทันที 


 


 


เธอกอดเด็กหญิงเอาไว้ พลางลูบหลังปลอบใจ “เสี่ยวลิ่วลิ่วไม่ต้องกลัวนะ พี่ไม่ไปหรอก คืนนี้พี่จะอยู่เป็นเพื่อนหนูตลอดเลย ไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ” 


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้นในดวงตาสีดำของอวี๋เยว่หานก็ฉายแววเจ้าเล่ห์ 


 


 


ริมฝีปากยกยิ้มด้วยความพึงพอใจ 


 


 


ก่อนจะหันหน้าไปสั่งให้พ่อบ้านยกอาหารมา 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่อุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วเดินตามเขาเข้าไปในห้องอาหาร พร้อมกับเห็นดอกกุหลาบสีแดงวางอยู่บนโต๊ะ จึงอึ้งไปเล็กน้อย 


 


 


ในหัวมีคำพูดของเสี่ยวลิ่วลิ่วแวบเข้ามา 


 


 


เขาตัดดอกกุหลาบในสวนไป เพื่อใช้ตกแต่งห้องอาหารอย่างนั้นเหรอ 


 


 


ไม่ใช่ๆ เธอเคยเห็นสวนดอกกุหลาบในคฤหาสน์ตระกูลอวี๋ สวนใหญ่ขนาดนั้น อย่าว่าแต่ตกแต่งห้องอาหารเลย ตกแต่งทั้งห้องโถงได้เหลือเฟือเลยต่างหาก 


 


 


แล้วจะตัดทั้งหมดภายในครั้งเดียวเพื่อตกแต่งห้องอาหารได้อย่างไร 


 


 


อย่างนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ 


 


 


“เป็นอะไรไป” อวี๋เยว่หานเห็นเธอตะลึงไม่ยอมเดิน จึงใช้ดวงตาสีดำชำเลืองมองเธออย่างเย็นชา เขาพบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองดอกกุหลาบบนโต๊ะอาหาร แววตาของเขาวูบไหวเล็กน้อย “ไม่ชอบดอกกุหลาบเหรอ” 


 


 


ตอนที่เฉินจื่อซินหอบดอกกุหลาบมาหา เธอไม่ได้ยิ้มดีใจเหรอ 


 


 


“เปล่า แต่เสี่ยวลิ่วลิ่วบอกว่า คุณตัดดอกกุหลาบในสวนไปหมดแล้ว” เหนียนเสี่ยวมู่สบตาเขา ก่อนจะพูดออกมา 


 


 


หลังจากพูดจบ ถึงจะรู้ตัวว่าตนเองปากพล่อยไปแล้ว 


 


 


เธอรีบอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วไปหน้าโต๊ะอาหาร จากนั้นก็วางเจ้าตัวเล็กลงบนเก้าอี้เด็ก เตรียมจะเปลี่ยนเรื่องพูด 


 


 


แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก อวี๋เยว่หานก็เดินมาข้างๆ เธอแล้ว 


 


 


เงาร่างสูงโปร่งกอดอก เขายืนย้อนแสง จึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา ได้ยินเพียงเขาเอ่ยปากอย่างเฉยชา “ดอกกุหลาบมีหนาม จะทิ่มเสี่ยวลิ่วลิ่วเอา ก็เลยตัดทิ้ง” 


 


 


เขาพูดพลางมองไปที่พ่อบ้าน 


 


 


ทันใดนั้นพ่อบ้านก็หอบดอกกุหลาบช่อใหญ่เดินมาข้างๆ เขา แล้วส่งให้เขา 


 


 


ดอกกุหลาบที่เพิ่งตัดยังสดมาก สวยมากด้วย เหล่าดอกไม้เบ่งบานเป็นสีแดงเต็มที่ ราวกับสีของความรักอันร้อนแรง 


 


 


หยดน้ำบนกลีบดอกไม้ส่องประกายเหมือนคริสตัลภายใต้แสงไฟ 


 


 


อวี๋เยว่หานรับช่อดอกไม้มาจากมือของพ่อบ้าน แล้วยัดใส่มือของเหนียนเสี่ยวมู่ 


 


 


“ถ้าคุณชอบ งั้นก็ให้คุณ” 


 


 


“…” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่อุ้มดอกกุหลาบช่อใหญ่พร้อมความความงุนงง ลืมไปว่าตัวเองควรจะมีปฏิกิริยาอะไร 


 


 


ตอนเฉินจื่อซินหอบดอกกุหลายมาขอนัดเธอไปกินข้าว เธอไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด 


 


 


ขนาดได้ยินเสียงพูดคุยของเหล่าเพื่อนร่วมงาน เธอก็เห็นว่าทุกคนกำลังล้อเล่นมากกว่า 


 


 


แต่ทำไม ภาพที่อวี๋เยว่หานยกดอกกุหลาบขึ้นมาเมื่อครู่ ถึงทำให้เธอตื่นเต้นได้ขนาดนี้ล่ะ 


 


 


หัวใจเต้นเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว ราวกับจะหลุดออกมาอย่างไรอย่างนั้น… 


 


 


โดยเฉพาะตอนที่เห็นสาวใช้ยกเนื้อสันออกมาจากในครัว เธอก็เกร็งตัวขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ 


 


 


ดอกกุหลาบ เนื้อสัน ไวน์แดง… 


 


 


ถ้าเพิ่มเทียนอีกสักสองเล่ม นี่ก็เป็นการดินเนอร์ใต้แสงเทียนจริงๆ 


 


 


สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่ง… 


 


 


ที่ทั้งคู่กำลังทำอยู่ตอนนี้ เหมือนการเดทหรือเปล่า 


ตอนที่ 245 ฉันชอบ ฉันชอบมาก! 


 


 


อวี๋เยว่หานยืนอยู่ข้างหน้าเธอ ดวงตาสีดำหยั่งลึก เขามองเห็นสีหน้าของเธอชัดเจนทั้งหมด ในใจรู้สึกวูบไหวเล็กน้อย 


 


 


เขามอบดอกกุหลาบให้ผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นครั้งแรก 


 


 


ทั้งคาดหวังปฏิกิริยาของเธอ ทั้งตื่นเต้นอยู่บ้าง และกังวลว่าเธอจะมองอะไรออกหรือเปล่า 


 


 


เมื่อเห็นเธอไม่มีทีท่าอะไรอยู่เนิ่นนาน เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “ถ้าคุณไม่ชอบ ผมจะให้คนเอาไปทิ้งแล้ว” 


 


 


อวี๋เยว่หานพูดพลางยื่นมือไปหยิบกอดกุหลาบในอกของเธอ 


 


 


แต่เพิ่งยื่นมือออกไป เหนียนเสี่ยวมู่ก็ถอยหลังหลบ แล้วรีบร้อนเด้งตัวขึ้นมา “อย่าทิ้งนะ! ฉันชอบ! ฉันชอบมาก!” 


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากมอบของให้เธอ 


 


 


แม้วิธีการให้ดอกกุหลาบจะแปลกๆ อยู่บ้าง แต่อย่างน้อยเขาก็โรแมนติกขึ้นมาแล้ว 


 


 


แถมดอกกุหลาบสวยขนาดนี้ ทิ้งไปน่าเสียดายแย่ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กอดดอกกุหลาบไว้ในอกจนแน่น ก่อนจะวางช่อดอกไม่ลงบนเก้าอี้ตัวที่ใกล้กับตัวเองที่สุด โดยไม่รอให้อวี๋เยว่หานพูดอะไร 


 


 


หลังจากเห็นเขาเอื้อมมาไม่ถึงแล้ว เธอถึงจะหมุนตัวไปอย่างสบายใจ และผูกผ้ากันเปื้อนให้เสี่ยวลิ่วลิ่ว 


 


 


เนื้อสันที่ห้องครัวเตรียมให้เสี่ยวลิ่วลิ่ว เป็นชุดอาหารสำหรับเด็ก กินคู่กับมันฝรั่งทอดที่เธอชอบ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่หั่นเนื้อสันเป็นชิ้นเล็กๆ ให้เธอ ก่อนจะยื่นส้อมให้ และบอกให้เธอค่อยๆ กิน 


 


 


จากนั้นหญิงสาวก็ลากเก้าอี้นั่งลงตรงข้ามกับอวี๋เยว่หาน 


 


 


แต่เพิ่งนั่งลง พ่อบ้านก็วางเนื้อสันจานหนึ่งลงตรงหน้าเธอ พร้อมกับรินไวน์แดงให้เธอด้วยแก้วหนึ่ง 


 


 


ไวน์สีแดงเข้มอยู่ในแก้วฐานสูง สะท้อนแสงแวววาวภายใต้แสงไฟ 


 


 


หรูหรา ลึกลับ 


 


 


อวี๋เยว่หานนั่งอยู่ตรงข้ามเธอเช่นกัน 


 


 


อาหารของพวกเขาทั้งสองคนคือเนื้อสันกับไวน์แดง เหนียนเสี่ยวมู่เพิ่งนั่งลงได้ไม่นาน แสงไฟก็มืดลง 


 


 


ขณะที่พ่อบ้านยกเชิงเทียนมาวางลงบนโต๊ะอาหาร เธอยังจ้องมองอวี๋เยว่หานที่อยู่ฝั่งตรงข้าม 


 


 


ครั้นพบว่าตรงกลางโต๊ะอาหารมีแสงเทียนเพิ่มขึ้นมา เธอก็ตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย 


 


 


ในหัวมีคำว่า ‘ดินเนอร์ใต้แสงเทียน’ แวบเข้ามาโดยไม่รู้ตัว 


 


 


เมื่อรู้สึกว่าความคิดของตัวเองผิดปกติไป เธอก็ยื่นมือไปยกไวน์แดงขึ้นมาดื่มอย่างรวดเร็วอึกหนึ่ง 


 


 


แต่รีบร้อนดื่มเกินไป จึงสะอึกเล็กน้อย 


 


 


ตนเองยังไม่ทันดึงสติกลับมา อวี๋เยว่หานที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอพลันลุกขึ้นยืน ร่างสูงโปร่งเดินอ้อมโต๊ะมา ก่อนจะดึงกระดาษทิชชู่มาเช็ดคราบไวน์ที่เลอะอยู่ข้างปากให้เธอ 


 


 


“กินช้าๆ หน่อย ไม่มีใครแย่งคุณหรอก” 


 


 


เสียงทุ้มต่ำของเขาไม่ได้ดูเย็นชาเหมือนปกติ แต่แสดงความเอ็นดูออกมาเล็กน้อย 


 


 


จบสิ้นแล้ว 


 


 


เธอคออ่อนถึงขนาดนี้เลยเหรอ ดื่มไปแค่อึกเดียวก็เริ่มเห็นภาพหลอนแล้ว 


 


 


ทำไมเจ้าก้อนน้ำแข็งถึงอ่อนโยนขึ้นมาได้… 


 


 


“ทำไมไม่กินเนื้อสันล่ะ คุณไม่ชอบเหรอ” อวี๋เยว่หานขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


“…ชอบ” เหนียนเสี่ยวมู่ดึงสติกลับมาได้แล้ว จึงรีบหยิบมีดกับส้อมขึ้นมา แล้วก้มหน้าก้มหน้ากินเนื้อสัน 


 


 


เนื้อสันรสเลิศกระตุ้นปุ่มรับรสได้ดีมาก 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่สนอกสนใจอาหารอย่างรวดเร็ว เธอค่อยๆ กินทีละคำอย่างเบิกบานใจ 


 


 


เขาประสานสองมือรองใต้คาง พลางมองเธอด้วยความเอ็นดู… 


 


 


เมื่อเห็นไวน์แดงในแก้วของเธอหมดแล้ว เขาก็สั่งให้พ่อบ้านเข้ามาเทให้เธออีกแก้วทันที 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ก็ไม่ได้เกรงใจ เธอคอแข็งไม่เลว อย่างน้อยดื่มไวน์ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร 


 


 


แต่ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นอะไรไป หลังจากไวน์แดงหลายแก้วลงท้องไป อยู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าทั้งปากและคอแห้งผากไปหมด 


 


 


หญิงสาววางแก้วไวน์ลง แล้วยื่นมือไปตบหน้าของตนเองเบาๆ อย่างอดไม่อยู่ 


 


 


“ฉันเหมือนจะเมาแล้ว…” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 246 ฉันไม่ได้โกหก! 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่พูดพลางยัดเนื้อสันชิ้นสุดท้ายในจานเข้าปาก เคี้ยวๆ แล้วกลืนลงไป 


 


 


เธอกินดื่มจนอิ่มแล้ว แต่ยังไม่ลืมอุ้มดอกกุหลาบที่ตนเองวางไว้บนเก้าอี้ขึ้นมา จากนั้นก็หันไปมองอวี๋เยว่หาน “คุณชาย ฉันกลับห้องก่อนนะ จะเก็บดอกไม้ไว้อย่างดี” 


 


 


เธอเพิ่งจะก้าวขาออกไปหลังพูดจบ ทว่ารู้สึกตนเองโซเซอยู่บ้าง 


 


 


โซเซจนเกือบจะล้มลง 


 


 


หญิงสาวกอดดอกกุหลาบช่อใหญ่ไว้ในอก จึงไม่ทันได้จับสิ่งใดเอาไว้เพื่อประคองตัวโดยสิ้นเชิง 


 


 


ขณะที่เธอคิดว่าตนเองต้องล้มลงบนพื้นแน่ๆ แขนแข็งแรงคู่หนึ่งก็ประคองเธอเอาไว้อย่างมั่นคงแล้ว 


 


 


เขาออกแรงที่แขนข้างหนึ่ง ดึงเธอเข้ามาในอก 


 


 


“คุณเมาแล้ว” เขาพูดถูกต้อง 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ก็ไม่ขัดขืน ได้แต่พยักหน้าโดยดี และยิ้มซื่อให้เขา “คุณชาย ไวน์แดงที่บ้านคุณอร่อยมากเลย!” 


 


 


อวี๋เยว่หาน “…” 


 


 


เขาใจดีมาก และไม่ได้บอกเธอว่า นั่นเป็นไวน์แดงที่เขาเก็บมาหลายปีแล้ว 


 


 


รสชาติเข้มข้น ออกฤทธิ์แรงทีหลัง 


 


 


ตอนที่เพิ่งเริ่มดื่ม จะรู้สึกว่าอร่อยมาก แต่พอดื่มจนหมดแล้ว จะต้องเมาอย่างแน่นอน 


 


 


เขาจึงดื่มไปแก้วเล็กๆ และไม่ได้ดื่มอีก 


 


 


เธอต่างหาก ดื่มไวน์ชั้นยอดที่เขาเก็บไว้เหมือนน้ำเปล่า ไม่เมาก็แปลกแล้ว! 


 


 


“ผมจะประคองคุณกลับไป” นัยน์ตาสีดำของอวี๋เยว่หานสั่นไหวเล็กน้อย ไม่ต้องสืบสาวเลย ว่าทำไมพ่อบ้านถึงเปิดไวน์แดงที่เขาเก็บไว้ได้ 


 


 


แขนข้างที่กอดเธอเกร็งตัวอย่างเงียบๆ จับเธอไว้ใต้แขนของตนเอง และประคองเธอเดินไปที่ห้อง 


 


 


แต่เพิ่งเปิดประตูห้อง อยากจะประคองเธอนอนลงบนเตียง แต่เหนียนเสี่ยวมู่ก็สะบัดตัวออกจากใต้แขนของเขา 


 


 


เธอนวดคอไปด้วย แขวะไปด้วย “คุณชาย ถ้าต่อไปคุณจะส่งผู้หญิงกลับห้องแบบนี้ ชาตินี้คงไม่ได้แต่งงานแล้ว!” 


 


 


เขาเกือบรัดคอเธอขาดแล้ว! 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ดื่มไวน์เข้าไป จึงหาญกล้าด้วยฤทธิ์ไวน์ สติกำลังเลอะเลือน แต่กลับมีความกล้าเต็มเปี่ยม 


 


 


หลังจากเห็นเขายืนอึ้งอยู่ที่หน้าประตู เธอก็เดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย ก่อนจะยื่นมือไปดึงเนกไทของเขา เพื่อดึงเขาเข้ามาใกล้ตนเอง 


 


 


จากนั้นก็ยิ้มไร้เดียงสา คว้าแขนของเขาวางไว้บนไหล่ของตนเอง 


 


 


ร่างบางเบียดเข้ามาในอกของเขาด้วยตนเอง ในปากยังพร่ำว่า “ต้องอุ้มอย่างนี้ ถึงจะสบาย…เอิ้ก!” 


 


 


เธอเรอเอากลิ่นไวน์ออกมา ดวงหน้าเล็กปรากฏสีแดงขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


พูดจาก็เริ่มให้ความรู้สึกเหมือนลิ้นคับปากอยู่บ้างแล้ว แต่ตัวเธอเองไม่รู้ตัวเลยสักนิด 


 


 


“ต้องอุ้มแบบนี้ ต้องให้สอนคุณอีกรอบไหม” เธอพูดพร้อมเรอไม่หยุด 


 


 


“…” 


 


 


“ต้องอ่อนโยนกับผู้หญิง คุณหน้าตาดีขนาดนี้ แต่ทำหน้าเคร่งอยู่ทุกวัน ใครเห็นแล้วจะไม่กลัวบ้าง ถ้าฉันไม่เห็นคุณเป็นคนของฉัน ฉันก็ไม่บอกคุณเยอะแบบนี้หรอก” 


 


 


“…” 


 


 


“แต่ก็คุณหล่อจริงๆ นั่นแหละ ฉันไม่เคย…ไม่เคยเห็นใครหล่อกว่าคุณเลย ถ้าคุณยิ้มล่ะก็ ฉันรับประกันเลย ว่าผู้หญิงทั่วโลกต้องคุมเข่าอยู่ใต้กางเกงชุดสูทของคุณแน่ ฉันไม่ได้โกหก!” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่พูดมาถึงตรงนี้ เธอสติไม่อยู่กับตัวแล้ว 


 


 


หัวเล็กๆ ซบลงบนหน้าอกของอวี๋เยว่หาน ก่อนจะเริ่มกระแทกเบาๆ 


 


 


ตอนที่อวี๋เยว่หานคิดว่าเธอจะหลับไปทั้งอย่างนั้น เธอพลันเงยหน้าขึ้นมา แล้วออกแรงปิดประตู 


 


 


เธอหมุนตัวกดเขาไว้บนบานประตู พร้อมกับเข้ามาตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าลึกลับ 


 


 


“คุณชาย อยู่ๆ ฉันก็นึกขึ้นได้ ว่าครั้งก่อนเหมือนฉันจูบคุณไปโดยไม่ทันระวัง แต่ยังไม่ได้ให้คุณจูบคืนเลยใช่ไหม” 


 


 


อวี๋เยว่หาน “…” 


 


 


กลิ่นไวน์อ่อนๆ เจือกลิ่นหอมบนตัวเธอโชยเข้ามาในโพรงจมูกของเขา 


 


 


มือนุ่มเหมือนไม่มีกระดูกของเธอยันอยู่บนหน้าอกของเขา พลางพยายามเขย่งปลายเท้า อยากจะอยู่ในระดับสายตาเดียวกับเขา แต่ยังเตี้ยกว่าเขาตั้งหนึ่งช่วงหัวเต็มๆ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม