พันธกานต์ปราณอัคคี 237-243
ตอนที่ 237 ภัยอัคคีแอบฝังราก
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำหน้าดำทันที พูดชัดถ้อยชัดคำว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?”
มั่วชิงเฉินเหลือบมองสีหน้าเมฆดำปกคลุมของเขา เอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “ข้าบอกให้เจ้าหลบไป ข้าเอง”
ในใจแอบว่า เมื่อครู่ยังพูดว่าลืมไปว่าข้าเป็นสตรี บัดนี้มารู้สึกเสียศักดิ์ศรีเสียแล้ว หากไม่เพราะกลัวอาศัยเพียงคำพูดของเขาฝ่ายเดียวตนก็ทะเล่อทะล่ากินมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปแล้วมีปัญหาหรือเมื่อยามที่กินมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์แล้วนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรอีกฝ่ายเล่นลูกไม้อะไร ใครจะไปสนใจความเป็นตายของเขา!
เห็นความโกรธผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำได้รางๆ จากดวงตา สุดท้ายกลับฟื้นคืนสีหน้าสงบ แล้วถอยไปข้างๆ อย่างเงียบๆ
มั่วชิงเฉินมองดูมดแดงไฟในมือ แล้วยื่นให้ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำว่า “ช่วยข้าถือไว้”
พูดจบก็ยัดใส่มือเขา ไม่รอเขาพูดอะไรก็สองมือกอดหินยักษ์ไว้ ออกแรงยกขึ้นข้างบน
น้ำหนักของหินยักษ์ไม่เบาจริงๆ ไม่มีพลังวิญญาณสนับสนุนอาศัยเพียงเรี่ยวแรงตนเอง มั่วชิงเฉินแม้ยกหินยักษ์ขึ้นแล้วกลับเปลืองแรงมาก
นางวางหินยักษ์ลงใหม่ ปรับลมหายใจครู่หนึ่ง สองมือถึงกอดส่วนกลางค่อนไปทางล่างของหินยักษ์ไว้แน่น ควบคุมจังหวะพลางขนขึ้นบนทีละนิดๆ
ในที่สุดหินยักษ์ก็ถูกยกขึ้นช้าๆ มั่วชิงเฉินออกแรงโดยพลัน ก็ได้ยินเพียงเสียงโครมเสียงหนึ่ง หินยักษ์ถูกโยนไปบนทางดินโคลนข้างๆ โคลนตมกระเด็นขึ้นเป็นปื้น
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำเหลือบมองจุดโคลนบนตัว แล้วขมวดคิ้ว สายตากลับจ้องปากถ้ำที่โผล่ออกมาตาไม่กะพริบ
มั่วชิงเฉินมองปากถ้ำที่มีขนาดเพียงเท่านิ้วมือแล้วเหลอหลาเล็กน้อย เอ่ยอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่า “นี่ นี่เป็นถ้ำของมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์จริงหรือ? พวกมันใช้ก้อนหินก้อนใหญ่ปานนั้น ก็เพื่อปิดถ้ำเล็กๆ เช่นนี้?”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำอธิบายนิ่งเรียบว่า “ถูกต้อง มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ไม่มีพลังโจมตีอะไร นิสัยรอบคอบ หากไม่เพราะเจ้านั่งอยู่บนก้อนหินยักษ์นี่พอดีพวกมันส่งทหารมดตัวหนึ่งออกมาตรวจสอบสถานการณ์ เกรงว่าพวกเราก็ยากจะพบถ้ำของพวกมันได้”
พูดถึงตรงนี้ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำในใจสะดุดทีหนึ่ง มองดูมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ที่ถูกมั่วชิงเฉินบีบจนจะตายมิตายแหล่แล้วแอบสงสัยขึ้นมา
แปลก มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์นิสัยรอบคอบ ต่อให้ตรวจพบว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นเข้าใกล้ สิ่งมีชีวิตนั้นไม่ได้นำอันตรายมาให้มันละก็ ไม่มีทางทะเล่อทะล่าเคลื่อนไหว หากแต่ต้องหลบซ่อนขึ้นมาให้มิดชิด ไยมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ตัวนี้กลับกัดข้อเท้านางล่ะ?
นึกถึงตรงนี้ในตาของผู้บำเพ็ญเพียรประกายตาวาบผ่าน มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่อสูรวิญญาณตะกละ กลับนิสัยชอบไฟ ยิ่งกว่านั้นไฟที่พวกมันชอบไม่ใช่ไฟธรรมดา หากแต่เป็นไฟอัศจรรย์ต่างๆ ที่ถือกำเนิดขึ้นตามธรรมชาติในฟ้าดิน
เช่นถ้ำมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ที่ปรากฏในแดนไร้วิญญาณเช่นนี้ ก็หมายความว่าใกล้ๆ นี้ต้องมีไฟหน่อไม้หินแน่นอน!
ไฟหน่อไม้หินเป็นหนึ่งในไฟอัศจรรย์ที่ถือกำเนิดขึ้นตามธรรมชาติ มีอยู่เพียงในหินย้อยรูปร่างเหมือนหน่อไม้หินเท่านั้น สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้วล้ำค่ายิ่งนัก ทว่าคิดจะหาไฟหน่อไม้หินให้พบอีกทั้งเอาออกมาจากแกนหินกลับไม่ใช่เรื่องง่าย
พูดได้ว่า สถานที่ที่มีไฟหน่อไม้หินในแดนไร้วิญญาณก็ต้องมีถ้ำของมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์แน่นอน!
ส่วนมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ในมือตัวนี้ออกมาตรวจสอบสถานการณ์กลับขัดต่อนิสัยตามธรรมชาติดูดข้อเท้าของหญิงตรงหน้า เช่นนั้นก็อธิบายได้เพียงปัญหาเดียว ไฟจริงในกายของหญิงคนนี้มีแรงดึงดูดมหาศาลต่อมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์!
ไฟจริงของผู้บำเพ็ญเพียรก็เพียงแค่แข็งแกร่งกว่าไฟธรรมดาไม่กี่ส่วนเท่านั้น ไยจึงทำให้มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์แห่กันเข้ามาได้?
สายตาของผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำตกลงบนตัวมั่วชิงเฉินที่กำลังพิจารณารังมดอย่างไม่รู้ตัว ตาหรี่ขึ้นแผ่วเบา
มั่วชิงเฉินยื่นนิ้วมือลูบรอบๆ ถ้ำมดดู พบว่าดินใกล้ๆ นี้ไม่รู้ผสมอะไรเข้าไป แข็งเป๊กอย่างไม่คาดคิด
“เจ้านี่ดูเหมือนแข็งมาก เกรงว่าจะขุดออกไม่ได้ง่ายๆ” มั่วชิงเฉินใช้นิ้วมือเคาะพื้นผิวรอบๆ ถ้ำมดว่า
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำเดินเข้ามานั่งยองๆ ลงแล้วดูอย่างละเอียดว่า “มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์นิสัยรอบคอบ หากเจ้าจะขุดถ้ำละก็ พวกมันจะหนีจากทางใต้ดินที่ตัดกันทั่วทุกสารทิศไปโดยตรง”
“เจ้าหมายความว่า ได้แต่คิดวิธีล่อมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ออกมา?” มั่วชิงเฉินเงยหน้าถาม
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำพยักหน้า “ถูกต้อง” พูดพลางมองหน้ามั่วชิงเฉินด้วยสายตาบอกไม่ถูก
มั่วชิงเฉินถูกเขามองจนงงงวย ขมวดคิ้วแผ่วเบาว่า “ถุงเก็บวัตถุของเราล้วนเปิดไม่ออก ในตัวก็ไม่มีของดีอย่างอื่น ยกเว้นเจ้ามีวิธีล่อมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ออกมา?”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำแบบมือว่า “หญิงฉลาดไม่สามารถทำอาหารโดยไม่มีข้าว ข้าไม่มีวิธีหรอกนะ ไม่รู้สหายเต๋าเจ้าล่ะ?”
มั่วชิงเฉินกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ว่า “สหายเต๋าพูดได้น่าขันนัก บัดนี้พวกเราอยู่ในสภาพเดียวกันนะ”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งอย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า “นั่นก็ไม่แน่ ไม่แน่เมื่อครู่มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ตัวนี้ก็อาจถูกสหายเต๋าล่อออกมาก็ได้นะ”
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าคำพูดของคนคนนี้ดูเหมือนมีความหมายอื่นแฝงอยู่ คิดอย่างละเอียดอีกทีกลับคิดอะไรไม่ออก จึงได้แต่แอบคิดว่าตนคิดมากไปแล้ว สายตาตกลงบนถ้ำมดเล็กกระจิริดเนิ่นนาน จู่ๆ ตาก็เป็นประกายขึ้นมา “ข้ามีวิธีแล้ว”
“สหายเต๋านึกวิธีอันใดได้แล้ว?” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำรีบถามขึ้น
มั่วชิงเฉินตบถุงอสูรวิญญาณที่เอว ผึ้งที่กระจ่างใสดั่งมรกตตัวหนึ่งบินออกมา บินวนนิ้วมือนางดังหึ่งๆ
“ผึ้งวิญญาณเลือดมรกต?” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำหลุดปากออกมา
“สหายเต๋าหลัวความรู้กว้างไกลนัก” มั่วชิงเฉินชื่นชมว่า ในใจกลับยิ่งหวาดหวั่นต่อคนคนนี้มากขึ้น
นางใช้ท้องนิ้วกดกระเป๋าหน้าท้องของผึ้งวิญญาณเลือดมรกต ก็เห็นบริเวณกระเป๋าหน้าท้องมีน้ำผึ้งดอกท้อสีชมพูอ่อนไหลออกมา
มั่วชิงเฉินแอบรู้สึกโชคดี ยังดีที่ที่นี่แม้ไม่อาจใช้พลังวิญญาณได้ อสูรวิญญาณที่ทำพันธสัญญากับตนกลับสามารถใช้จิตตระหนักเรียกออกมาได้
ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตไม่กี่ตัวนี้นับแต่ตามตนเองออกจากสำนัก เพราะไม่อาจเข้าสวนสมุนไพรพกพาได้จึงว่างลงมา ยังดีที่ถุงหน้าท้องที่ปกติพวกมันใช้ใส่น้ำผึ้งยังเหลือน้ำผึ้งอยู่เล็กน้อย บัดนี้ได้ใช้ประโยชน์พอดี
มั่วชิงเฉินใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งดอกท้อเล็กน้อย ทาไว้รอบๆ ถ้ำมด
ผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ ก็เห็นมดแดงไฟตัวอ้วนพีตัวหนึ่งยื่นหน้าออกมา
มั่วชิงเฉินตาไวมือเร็วจับมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ที่ติดเบ็ดขึ้นมา ไม่นานนักก็เห็นมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์โผล่ออกมาอีกตัวหนึ่ง
นางรีบใช้มืออีกข้างหนึ่งจับไว้ ทว่ารอถึงยามที่มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ตัวที่สาม ตัวที่สี่โผล่มา ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
“ใช้สิ่งนี้” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำยื่นผ้าดำมาผืนหนึ่ง
มั่วชิงเฉินยื่นมือรับมาแล้วกวาดสายตามองตามสบายปราดหนึ่ง ผ้าดำเนื้อแน่นหนาและแข็งแรง ริมขอบขาดวิ่นไม่เรียบ เห็นชัดว่าฉีกออกจากเสื้อผ้าโดยตรง
นางวางมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ในมือลงไปอย่างไม่ลังเล จากนั้นห่อผ้าดำขึ้นยื่นให้ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำว่า “ถือไว้ให้ดี”
พูดจบนิ้วมือพลิ้วไหว จับมดแดงไฟตัวแล้วตัวเล่าไว้อย่างมั่นคงแล้วโยนลงในถุงผ้าดำ
ในตาผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำประกายวาบผ่าน หญิงคนนี้ไม่สามารถใช้พลังวิญญาณได้ไม่คิดว่าการใช้มือยังเร็วปานนี้ ช่างประหลาดดีแท้…
ยามนี้มั่วชิงเฉินรู้สึกโชคดีมากที่ยามเด็กตั้งใจฝึกฝนเข็มกล้วยไม้ปัดจุด ไม่ว่าการใช้มือหรือพลังสายตาล้วนแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปมากนัก โดยเฉพาะยามที่สูญเสียการสนับสนุนของพลังวิญญาณไป ความเก่งกาจเช่นนี้ก็ยิ่งเด่นออกมา
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม มั่วชิงเฉินจ้องถ้ำมดตาไม่กะพริบ ในที่สุดตรงนั้นก็ไม่มีมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์โผล่ออกมาอีก
“ไม่ต้องดูแล้ว ราชินีมดก็อยู่นี่แล้ว” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำทนไม่ไหวต้องออกเสียงเตือน
มั่วชิงเฉินถึงยืดตัวตรงมองไปที่ถุงผ้าดำ เห็นเพียงมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์อย่างน้อยนับร้อยตัวเบียดกันแน่นขนัดอยู่ข้างใน ในนั้นมีตัวหนึ่งขนาดใหญ่เท่าตั๊กแตน คือราชินีมดอย่างไม่ต้องสงสัย
“เราก็กินกันที่นี่เถอะ” ผู้บำเพ็ญเพียรพูดจบยื่นมดแดงไฟข้ามมาตัวหนึ่ง ตนหยิบออกมาตัวหนึ่งเช่นกัน มดแดงไฟที่เหลือใช้ถุงผ้าดำห่อไว้ผูกให้เรียบร้อยแล้ววางไว้ข้างๆ
“ไม่วิ่งหนีหรือ?” มั่วชิงเฉินมองถุงผ้าดำที่หยาบง่ายปราดหนึ่งอย่างไม่วางใจ
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำส่ายศีรษะว่า “ไม่เป็นไร นอกจากมีสิ่งมีชีวิตอื่นมา มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ไม่มีพลังโจมตี และก็ไม่มีวิธีหลบหนีอะไร”
มั่วชิงเฉินเข้าใจแล้ว อย่าบอกนะว่ามดแดงไฟนี่ก็คือเนื้อพระถังซัมจั๋งในตำนานน่ะ จัดการง่าย แล้วยังอร่อยด้วย
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำไม่พูดมากอีก หลังจากนั่งขัดสมาธิเสร็จก็โยนมดในมือเข้าปากกลืนลงไป ต่อจากนั้นก็เห็นบนใบหน้าเขาแสงสีแดงผุดขึ้น ในชั่วพริบตาแสงวิญญาณสีแดงท่วมขึ้นทั่วร่างรางๆ
มั่วชิงเฉินไม่เสียเวลาอีก เหลือบมองมดอ้วนที่กระโดดโลดเต้นอยู่ในมือ หลับตากัดฟันกลืนลงไป
ความรู้สึกยามมันลื่นลงไปตามคอหอยเข้าท้องช่างไม่ดีเท่าไรจริงๆ นางกลับไม่ทันได้สนใจสิ่งเหล่านี้แล้ว รีบตั้งสมาธิทั้งหมดเพื่อรับมือพลังวิญญาณในกายที่ขยายขึ้นอย่างรุนแรงเหมือนน้ำขึ้น
ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น สัมผัสพลังวิญญาณในกายที่เคลื่อนไหวอย่างรื่นรมย์แล้วยืนขึ้นอย่างควบคุมตัวไม่ได้
ผ่านไปนานปานนี้ในร่างกายมีพลังวิญญาณขึ้นมาใหม่ นางกระทั่งรู้สึกเหมือนจะบินขึ้นมา
กินมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์หนึ่งตัว ไม่คิดว่าการเพิ่มขึ้นของตบะจะเท่ากับการนั่งสมาธิถึงสามเดือน!
มั่วชิงเฉินกดความตะลึงในใจลงไปสายตากวาดไปด้านข้าง พบว่าผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำตื่นนานแล้ว กำลังมองตนอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วว่า “สหายเต๋าหลัวในเมื่อตื่นแล้วไยไม่ทักทายสักคำ?”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำกระดกมุมปากแผ่วเบาว่า “เช่นนั้นมิเป็นการรบกวนอารมณ์ดีของสหายเต๋าหรือ”
มั่วชิงเฉินแบะปาก
“สหายเต๋า เจ้าดูนะ” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำพูดพลางจู่ๆ ลุกขึ้น สองมือข้างหนึ่งยกขึ้นข้างหนึ่งกดลงโคจรพลังวิญญาณขึ้นมา
มั่วชิงเฉินหรี่ตา ดูทีท่าของคนคนนี้ไม่คิดว่าจะโคจรพลังวิญญาณทั้งร่างขึ้นมา นี่เขาจะทำอะไร?
เพียงชั่วครู่นางก็รู้คำตอบแล้ว เห็นเพียงขวดนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นรอบๆ ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำในชั่วอึดใจ หลังจากนั้นก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำทรุดนั่งลงมา สีหน้าซีดเหมือนกระดาษ
“สหายเต๋า เจ้า…เข้าใจหรือยัง?” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำอากาศไม่พอ ถามอย่างติดๆ ขัดๆ
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถามว่า “สหายเต๋าหลัว ในแดนไร้วิญญาณนี้ยามที่พลังวิญญาณในกายผู้บำเพ็ญเพียรขึ้นถึงขีดสุด การเคลื่อนพลังวิญญาณทั้งตัวสามารถฝืนเปิดถุงเก็บวัตถุได้ใช่หรือไม่?”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำพยักหน้าเนิบนาบว่า “สหายเต๋าเดาได้ถูกต้อง เมื่อยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรอยู่ในสภาพพลังวิญญาณเปี่ยมล้น ในชั่วพริบตาที่พลังวิญญาณทั้งตัวกระจายออกข้างนอกนั้นเพียงพอที่จะเปิดถุงเก็บวัตถุแล้ว” พูดถึงตรงนี้ก็หัวเราะขึ้นอีกว่า “ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่ตกลงมาในแดนไร้วิญญาณ จะมีกี่คนที่สามารถรักษาพลังวิญญาณให้เพียงพอได้ นอกจาก…จะโชคดีเหมือนอย่างเรา หามดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์เจอ”
มั่วชิงเฉินฟังจบจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ต่อให้หามดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์เจอฟื้นฟูพลังวิญญาณแล้ว เกรงว่าคนที่รู้ว่าต้องทำเช่นนี้ในหมื่นคนก็หาไม่ได้สักคนหรอกกระมัง”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำไม่พูดอะไร
มั่วชิงเฉินใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว นึกถึงของที่จำเป็นที่สุดในสภาพแวดล้อมเช่นนี้รอบหนึ่ง ถึงทำตามพฤติกรรมของผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำรอบหนึ่ง เพียงชั่วครู่รอบตัวก็มีของร่วงลงพื้นเต็มไปหมด
ตอนที่ 238 มีใจคิดสังหาร
สายตาของมั่วชิงเฉินตกไปบนตะกร้าไม้ไผ่เล็กๆ ใบหนึ่ง
สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาป่าไผ่ก็คือทะเลไผ่ผืนนั้น ยามว่าง กู้หลีจะใช้ไม้ไผ่สานของเล่นประณีตแบบต่างๆ ประเภทเก้าอี้ไม้ไผ่ม้านั่งไม้ไผ่ที่พวกเขาใช้ในชีวิตประจำวันเขาล้วนเป็นคนสานขึ้น
มั่วชิงเฉินชอบนั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ ดูตอกไม้ไผ่เส้นเล็กๆ โบยบินทะลุไปมาระหว่างนิ้วที่เรียวยาวของกู้หลี ไม่นานนักก็ปรากฏของประณีตขึ้นชิ้นหนึ่ง
เจอของที่ถูกใจ นางจะเก็บเข้ากำไลเก็บวัตถุของตนโดยตรงอย่างไม่เกรงใจ ทุกครั้งที่เป็นเช่นนั้น กู้หลีเพียงแต่ส่ายหน้าหัวเราะ แล้วสานใหม่อีกชิ้นหนึ่ง
ตะกร้าเล็กตรงหน้าใบนี้ ก็คือหนึ่งในของที่นางปล้นมาได้ ยามนี้ได้ใช้ประโยชน์อย่างใหญ่หลวงจริงๆ แล้ว
มั่วชิงเฉินเปิดฝาของตะกร้าไม้ไผ่ออก เก็บขวดที่กระจัดกระจายตามพื้นลงในตะกร้าทั้งหมด จากนั้นปิดฝาลงแล้วแบกไว้ข้างหลัง
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำมองมั่วชิงเฉินเก็บของอย่างคล่องแคล่วเสร็จ แล้วก้มหน้าดูของที่กองเต็มพื้นของตน อดเหลอหลาเล็กน้อยไม่ได้ ถามว่า “ยังมีตะกร้าเช่นนี้อีกหรือไม่?”
“ไม่มี” มั่วชิงเฉินหน้าก็ไม่เงย ตอบอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำเม้มปาก แคว่กเสียงหนึ่งฉีกผ้าออกจากตัวมาชิ้นหนึ่ง ห่อของตนไว้
“มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์พวกนี้จัดการเช่นไร?” มั่วชิงเฉินชี้ถุงที่ทำขึ้นง่ายๆ หยาบๆ ที่วางอยู่ข้างๆ
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์มีแต่กลืนลงไปทั้งเป็นถึงได้ผล หากตายเมื่อไรก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงแล้ว ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุด ก็คือกินพวกมันให้หมด”
“กินให้หมด?” มั่วชิงเฉินตกใจ มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์นับร้อยตัว หากกินลงไปตัวหนึ่งสามารถเพิ่มตบะได้สามเดือนละก็ ต่อให้สองคนแบ่งเท่าๆ กัน หลังจากกินเข้าไปหมดอย่างน้อยก็ต้องเท่ากับการบำเพ็ญเพียรสิบปี!
นึกถึงตรงนี้นางแอบพิจารณาผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำ คนตรงหน้านี้มีตบะระดับสร้างรากฐานระยะปลายแล้ว หากกินมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์พวกนี้ลงไปอีก นั่นไม่เท่ากับสามารถไปถึงระดับสร้างรากฐานขั้นสมบูรณ์ทันที สามารถทะลวงระดับก่อแก่นปราณได้ทุกเมื่อหรือ?
ผู้บำเพ็ญเพียรรากวิญญาณลมระดับก่อแก่นปราณระยะต้นคนหนึ่ง ต่อให้นางสำแดงอานุภาพครึ่งหนึ่งของไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมาก็ยากจะหนีรอด
เพียงสิ่งเดียวที่คุ้มแก่การรู้สึกโชคดีก็คือในแดนไร้วิญญาณนี้พวกเขาสองคนไม่ว่าใครก็ไม่อาจเลื่อนขั้นได้ ยามนี้กลับไม่ถึงกับต้องหวาดหวั่น
ทว่าหากออกจากที่นี่เมื่อไร ยืนยันว่าไม่มีอันตรายแล้ว คนคนนี้ต้องลงมือต่อตนเองแน่นอน หากเป็นเช่นนี้ละก็ต่อให้ยามนั้นตนโชคดีสามารถหนีรอดไปได้ วันหลังกลับต้องกลายเป็นดั่งหอกข้างแคร่
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ยามที่อยู่ในแดนไร้วิญญาณนี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการกำจัดเขา?
ชั่วเวลาหนึ่งมั่วชิงเฉินเกิดลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
โดยปกติแล้ว ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่เป็นศัตรูกันตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังเช่นนี้ ที่ต้องทำเป็นสิ่งแรกก็คือการวางบุญคุณความแค้นลงแล้วร่วมกันหาโอกาสรอดทั้งนั้น หาน้อยที่จะเข่นฆ่ากันเองอีก นี่ก็เป็นสาเหตุที่มาถึงแดนไร้วิญญาณได้ครึ่งปีกว่าแล้ว สองคนยังอยู่โดยสวัสดิภาพ
นึกถึงสุดท้าย มั่วชิงเฉินแอบกัดริมฝีปาก ก็เอาเช่นนี้แล้วกัน ฉวยโอกาสยามนี้ที่เขาไม่มีกระทั่งแรงมัดไก่ชิงลงมือก่อนได้เปรียบ ต่อให้ในสภาพสิ้นหวังนี้ไม่รู้อนาคตคาดเดาความเป็นตายไม่ได้ อย่างไรก็ดีกว่าวิกฤติในวันหลัง ใครใช้ให้ตบะของตนต่ำกว่าคนเขาล่ะ
เมื่อมั่วชิงเฉินตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ก็กลับรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา
“เจ้าคิดจะฆ่าขา?” จู่ๆ เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
มั่วชิงเฉินตกใจทันที นางคิดว่าหลายปีมานี้ฝีมือการไม่แสดงความรู้สึกบนใบหน้าของตนถือว่าดีมาก ไยกลับถูกคนคนนี้มองทะลุในปราดเดียวนะ?
หากนางรู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำคนนี้ถูกประเมินค่าในบรรดาคนคุ้นเคยกันว่า ‘มากปัญญาเกือบจะเป็นปีศาจ’ ก็จะไม่ตกใจแล้ว
ในโลกนี้มีคนบางคนโดยกำเนิด อาศัยเห็นสิ่งที่ต่างออกไปเพียงเล็กน้อยก็สามารถสันนิษฐานความจริงโดยประมาณของเรื่องหนึ่งได้ บางทีพวกเขากระทั่งไม่ต้องการคำพูด ใช้เพียงสัญชาตญาณก็พอแล้ว!
ก็เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำเพียงแค่เห็นมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์กัดมั่วชิงเฉินทีหนึ่ง ก็สรุปได้ทันทีว่านางมีไฟอัศจรรย์ กระทั่งสามารถตัดสินว่าที่นางมีต้องเป็นเพลิงแก้วใจกระจ่างอย่างไม่ต้องสงสัย
ก็เหมือนดังที่เขาอาศัย ‘กินให้หมด’ เพียงคำถามเดียว ก็เดาได้ทันทีถึงความกังวลของมั่วชิงเฉิน และรู้อย่างถ่องแท้ว่านางเกิดความคิดจะฆ่าตนเองด้วยการนี้
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าใจหาย แอบคิดในใจว่าคนนี้เก็บไว้ไม่ได้แล้วจริงๆ เรื่องมาถึงขั้นนี้จึงแบไต๋ให้รู้แล้วรู้รอดไปว่า “ถูกต้อง”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำหัวเราะนิ่งเรียบขึ้นมาว่า “ใครๆ ก็ว่าที่อำมหิตที่สุดก็คือใจสตรี บัดนี้ข้าได้รับการสอนสั่งแล้วจริงๆ อย่างไรเสียพวกเราก็อยู่ด้วยกันมาครึ่งปีกว่า ต่อให้เจ้ามีความคิดเช่นนี้ จะรอให้ออกไปก่อนค่อยว่ากันไม่ได้หรือ?”
มั่วชิงเฉินหัวเราะเย้ยหยันว่า “ออกไป? รอออกไปเช่นนั้นก็มีเพียงเจ้าฆ่าข้าแล้ว”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำถอนใจว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก่อนหน้านี้ไยเจ้าถึงไม่ลงมือ?”
มั่วชิงเฉินกวาดสายตามองมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ปราดหนึ่ง เอ่ยเบาๆ ว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าฉลาด เช่นนั้นก็พูดให้ชัดเจนไปเลย เดิมทีอยู่ที่นี่จะเป็นหรือตายยากจะคาดได้ ข้ากะว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็รอให้ออกไปก่อนค่อยว่ากัน ก็เหมือนอย่างที่เจ้าคิดไว้ แม้นว่าขอเพียงออกไปได้เจ้าต้องลงมือต่อข้าแน่นอน แต่ข้าก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีกำลังต่อกรเอาเสียเลย ใช้กำลังแลกด้วยไม่ได้ทว่าวิ่งหนีอย่างไรก็ไม่เป็นปัญหาหรอก ทว่าใครจะรู้ว่าดันให้พวกเราได้มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์มามากปานนี้ เมื่อไรที่เจ้ากินมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์พวกนี้ลงไป คิดว่าหลังจากออกไปก็ต้องกักตนก่อแก่นปราณ หึๆ เมื่อนึกถึงว่าวันหลังจะมีผู้บำเพ็ญเพียรรากวิญญาณลมระดับก่อแก่นปราณคนหนึ่งเตรียมพร้อมลงมือฆ่าข้าได้ทุกเมื่อ ข้าก็เหมือนมีหนามยอกอกน่ะ”
สายตาของผู้บำเพ็ญเพียรมองมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วถอนใจยาวเสียงหนึ่งว่า “นี่ก็คือสุขเอยซุกซ่อนโศก โศกเอยพึ่งพิงสุขกระมัง? บอกเจ้าตรงๆ ในยามที่ได้มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์พวกนี้ ข้าก็คาดการณ์ได้แล้ว”
เห็นมั่วชิงเฉินมองมา ผู้บำเพ็ญเพียรหัวเราะนิ่งเรียบว่า “เจ้ากำลังคิดว่าข้ายังเก็บลูกไม้อะไรไว้ใช่หรือไม่?”
มั่วชิงเฉินนิ่งเงียบชั่วครู่ ยิ้มระทมว่า “ต่อหน้าเจ้า ข้าไม่ยอมรับไม่ได้ว่าตนก็เหมือนคนโง่คนหนึ่ง”
ผู้บำเพ็ญเพียรในสายตามีแววเย้ยหยันวาบผ่าน “แล้วอย่างไรล่ะ ต่อหน้าพลังความสามารถเบ็ดเสร็จ สติปัญญาใดๆ ล้วนไร้ค่า”
แม้พลังความสามารถเบ็ดเสร็จนี้เป็นเพราะในแดนไร้วิญญาณนางแข็งแกร่งกว่าตน…เมื่อนึกถึงข้อนี้ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำก็อึดอัดจนจะกระอักเลือด นี่ช่างเป็นมังกรว่ายน้ำตื่นเจอกุ้งเกี้ยวจริงๆ เลย
“ว่ามาเถอะ เจ้าคิดเช่นไรไว้? ข้าไม่เชื่อว่าคนเช่นเจ้าจะนั่งงอมืองอเท้ารอวันตาย” มั่วชิงเฉินถอนใจว่า
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำมองมั่วชิงเฉินตาไม่กะพริบ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นหยิบถุงที่ทำขึ้นอย่างง่ายๆ หยาบๆ ที่ใส่มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์โยนไปที่นาง ปากก็พูดว่า “พวกนี้ล้วนเป็นของเจ้า”
มั่วชิงเฉินจะยิ้มก็ไม่ยิ้มว่า “ฆ่าเจ้าแล้ว พวกนี้ก็เป็นของข้าเช่นกัน”
“ข้ายอมสาบานต่อจิตมาร นับแต่นี้ไปจะไม่ลงมือต่อเจ้าอย่างเด็ดขาด เจ้าว่าเป็นเช่นไร?” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำเอ่ยอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
มั่วชิงเฉินมองใบหน้าซีดเผือดของเขา นัยน์ตาฉายแววชื่นชม ช่างฉลาดจริงๆ มีเพียงคนฉลาดที่แท้จริงถึงเสนอเงื่อนไขที่ทำให้คนไม่อาจปฏิเสธได้ออกมาโดยตรงในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่พยายามต่อรอง
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำสายตายิ่งเย็นชาลงว่า “มีมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์พวกนี้แล้ว ข้ารู้ว่าจะหาสมบัติฟ้าดินอีกชิ้นหนึ่งที่ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็อดทำใจไม่หวั่นไหวไม่ได้ หากยังมีเงื่อนไขอะไรอีกเจ้าเสนอมาได้”
มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง นางยอมรับ ตนใจหวั่นไหวแล้ว
สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าเช่นนาง หากไม่เพราะความจำเป็นไม่มีทางลงมือฆ่าคนหรอก เพื่อหลีกเลี่ยงจิตมารที่ติดมายามเลื่อนขั้นในอนาคต
พวกเขาสองคนที่กลายมาอยู่ในสถานการณ์ไม่เจ้าตายก็ข้าม้วยเช่นนี้ เพียงเพราะนางได้ยินบทสนทนาของพวกเขา อีกฝ่ายคิดปิดปากตนส่วนตนป้องกันตัวโจมตีกลับเท่านั้น หากเขาสามารถสาบานต่อจิตมารว่าจะไม่ทำร้ายตนเองอย่างเด็ดขาดได้จริง อีกทั้งมีผลประโยชน์มากมายเช่นนี้ เช่นนั้นจะฆ่าเขาไปไยล่ะ
อย่างไรเสียในสภาพสิ้นหวังเช่นนี้ ความเป็นไปได้ที่จะอาศัยกำลังคนเพียงคนเดียวรอดออกไปยิ่งเลือนรางใหญ่ และที่ตนต้องการ ก็คือการมีชีวิตอยู่ต่อไปแสวงหาทางเซียนมิใช่หรือ
มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้ว เอ่ยเสียงกังวานว่า “เจ้าสาบานต่อจิตมาร ข้อหนึ่ง ชีวิตนี้ห้ามเป็นฝ่ายลงมือทำร้ายข้าก่อน ข้อสอง หากเราสองคนเดินออกจากที่นี่ สิ่งที่ประสบครั้งนี้ก็ห้ามเล่าให้ไม่ว่าใครก็ตามฟัง นอกจากนี้ เจ้ายังต้องรับปากเงื่อนไขข้าข้อหนึ่ง”
“เงื่อนไขอันใด?” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำถามอย่างเย็นชา
มั่วชิงเฉินยิ้มนิ่งเรียบว่า “บัดนี้ข้ายังไม่มีเงื่อนไขใดๆ รอต่อไปมีแล้วค่อยไปหาเจ้า”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำสีหน้าเย็นเยียบ พูดชัดถ้อยชัดคำว่า “เจ้าไม่รู้สึกว่าเช่นนี้เกินไปหน่อยหรือ?”
มั่วชิงเฉินเม้มปากมองดูท่าทางแอบแฝงความโกรธของเขา จู่ๆ ก็ยิ้มหวานว่า “เงื่อนไขพวกนี้ เทียบกับชีวิตของผู้บำเพ็ญเพียรรากวิญญาณลมอัจฉริยะที่ประมาณอนาคตไม่ได้ เกินไปจริงๆ หรือ?” พูดจบมองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำเม้มปากแน่น ในใจแอบว่า เงื่อนไขสองข้อแรกก็ช่างเถอะ อย่างไรเสียตนก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องฆ่านางให้ได้ ต่อให้หลังจากออกจากที่นี่นางแพร่งพรายเรื่องที่ได้ยินออกไป อย่างมากก็ทำเรื่องนั้นไม่สำเร็จ อย่างไรนั่นก็ดีกว่าต้องสูญเสียชีวิต พูดถึงที่สุด ไม่ว่าอะไรก็ไม่สำคัญเท่าการมีชีวิตอยู่ ทว่าเงื่อนไขสุดท้ายกลับยากจะให้คนยอมรับได้จริงๆ หากนางเสนอเงื่อนไขอะไรที่เกินเลยออกมา เช่นนั้นชีวิตนี้ของตนมิต้องถูกนางควบคุมหรอกหรือ
“วางใจ เงื่อนไขข้อนั้นต้องอยู่ในขอบเขตที่เจ้าสามารถทำได้แน่นอน” เสียงนิ่งเรียบของมั่วชิงเฉินลอยมา
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำหลับตาลงแล้วลืมขึ้นอีก มองไปที่มั่วชิงเฉินว่า “สหายเต๋าให้เรียกเช่นไร?”
“มั่วชิงเฉิน” มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงกังวาน
ในเมื่อจะสาบานต่อจิตมาร นางจำเป็นต้องบอกชื่อจริงออกมา
มั่วชิงเฉินแจ้งชื่อออกมาปุ๊บ ประกายในตาผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำวาบผ่านทันที เอ่ยทันทีว่า “สหายเต๋ามั่ว คิดว่าเจ้าเยือนจวนหลัวกลางดึก คงไม่ใช่เพราะอยากรู้อยากเห็นอย่างเดียวกระมัง?”
มั่วชิงเฉินแบบมือ “จู่ๆ ข้าก็เสียใจที่ถูกข้อเสนอที่เจ้าเสนอมาดึงดูดเสียแล้ว”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำโมโหจนนิ่งงัน
มั่วชิงเฉินยิ้มหวาน มองเขาอย่างใจเย็น
“ข้าชื่อหลัวอวี้เฉิง” เสียงเย็นชาของผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำลอยมา จากนั้นสาบานต่อจิตมารว่า “ข้าหลัวอวี้เฉิงยินดีสาบานต่อจิตมาร ชีวิตนี้จะไม่เป็นฝ่ายทำร้ายมั่วชิงเฉินก่อนเป็นอันขาด หลังจากออกจากที่นี่สิ่งที่ประสบในครั้งนี้จะไม่พูดถึงกับผู้อื่นเด็ดขาด และรับปากเงื่อนไขข้อหนึ่งของมั่วชิงเฉินภายในขอบเขตความสามารถของตน” พูดถึงตรงนี้เสียงยิ่งเย็นลงอีกว่า “เช่นนี้แล้วเจ้าพอใจหรือยัง?”
มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็กินมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์พวกนี้ลงไปก่อนเถอะ”
หลัวอวี้เฉิงชะงัก
มั่วชิงเฉินแสยะมุมปากว่า “เจ้าพูดเองนะ มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ต้องกินยามมีชีวิตอยู่ถึงได้ผล มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์มากมายปานนี้ข้าเอาไปก็ไร้ประโยชน์”
ภายใต้สถานการณ์โอสถเพียงพอ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางธรรมดาคิดจะบำเพ็ญเพียรให้ถึงสุดยอดและสามารถทะลวงระยะปลายได้ อย่างน้อยต้องใช้เวลาประมาณยี่สิบปี นี่ก็เป็นสาเหตุที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ล้วนหยุดอยู่ที่ระยะต้น และกลาง
มั่วชิงเฉินอายุสามสิบสามปีเข้าสู่ระยะกลาง บัดนี้ยังไม่ถึงสามสิบหกปี นับเช่นนี้แล้วกินมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ลงไปเจ็ดแปดสิบตัวต้องสามารถถึงสุดยอดระยะกลางแน่นอน ถึงเวลานั้นหากไม่เลื่อนขั้นละก็พลังวิญญาณก็จะไม่เพิ่มขึ้นอีก มีมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์มากเพียงใดก็ไร้ความหมาย
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองคนต่างคนต่างนั่งขัดสมาธิลง แล้วกินมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปอีกตัวหนึ่ง
ตอนที่ 239 เก็บไฟหน่อไม้หิน
พริบตาเดียวก็ผ่านไปเดือนกว่า มั่วชิงเฉินที่กินมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปและนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรไม่หยุดในที่สุดตบะก็ถึงสุดยอดระดับสร้างรากฐานระยะกลางแล้ว ตันเถียนในกายก็เหมือนโอ่งน้ำใบใหญ่ที่ใส่น้ำจนเต็ม น้ำมากขึ้นอีกเพียงเล็กน้อยก็ใส่ไม่ลงแล้ว
นางลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นก็คือหลัวอวี้เฉิงก้มหน้าแผ่วเบา ใช้นิ้วมือเขี่ยราชินีมดตัวนั้นเล่นอยู่
มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์พวกนี้ถึงตอนหลังก็ตายไปติดๆ กัน สิ้นเปลืองไปไม่ใช่น้อยจริงๆ เหลือเพียงราชินีมดตัวนี้กระโดดโลดเต้นอยู่ตลอดเวลา มั่วชิงเฉินยังนึกว่าหลัวอวี้เฉิงจะฉวยโอกาสที่นางนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรกินเข้าไป ไม่คิดว่าช่วงหลังนี่เขาไม่มีมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ให้กิน กลับไม่คิดจะกินราชินีมดตัวนี้
หลัวอวี้เฉิงดูเหมือนเดาความคิดมั่วชิงเฉินได้ เงยหน้ายิ้มนิ่งเรียบให้นาง ในรอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยันที่มีเป็นประจำว่า “ยินดีด้วย เราไปได้แล้ว ไปตามหาสมบัติฟ้าดินชิ้นนั้นจะห่างราชินีมดตัวนี้ไม่ได้หรอกนะ”
“เช่นนั้นไปเถอะ” มั่วชิงเฉินไม่รู้สึกสำนึกผิดเลยสักนิด ไม่ใช่นางเอาความนึกคิดของคนถ่อยวัดใจของสุภาพบุรุษ อยู่ด้วยกันกับคนเช่นนี้ จะไม่ให้นางไม่คิดมากไม่ได้
มั่วชิงเฉินคิดไม่ถึงเลยว่า ยามนั้นนางนั่งลงตรงนี้ส่งเดช นั่งทีหนึ่งก็อยู่มาหนึ่งเดือนกว่า บัดนี้ในที่สุดก็ต้องเร่งเดินทางอีกแล้ว
ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ต่างจากแต่ก่อนคือ ยามนี้พลังวิญญาณของทั้งสองคนเต็มเปี่ยม ดีกว่าความทุลักทุเลก่อนหน้านี้ไม่รู้ตั้งเท่าไร โดยเฉพาะนาง ในเวลาสั้นๆ หนึ่งเดือน ตบะก็ขึ้นจากขั้นแรกของระดับสร้างรากฐานระยะกลางไปถึงสุดยอดระยะกลางแล้ว ประหยัดเวลาในการบำเพ็ญเพียรถึงสิบกว่าปี ที่ยิ่งสำคัญกว่าคือตบะเพิ่มขึ้นรวดเร็วปานนี้กลับไม่มีผลข้างเคียงรากฐานไม่มั่นคงอันเกิดจากการกินโอสถ
มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ ช่างเป็นของที่ผู้บำเพ็ญเพียรละเมอเพ้อหาจริงๆ!
พื้นยังคงเป็นดินโคลนสุดจะทน ทว่าทั้งสองคนที่ฟื้นฟูพลังวิญญาณแล้วกลับก้าวเดินดุจบิน
หลัวอวี้เฉิงไม่รู้ใช้วิธีอะไร ก็เห็นราชินีมดตัวนั้นอยู่ในฝ่ามือเขาอย่างว่าง่ายอย่างคาดไม่ถึง สายตาเขาไม่ออกห่างจากราชินีมดเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาในสถานที่ดุจเขาวงกตที่มืดไม่เห็นเดือนเห็นตะวันนี้ ราวกับมีคนคอยนำทางก็ไม่ปาน
มั่วชิงเฉินถอยไปสองก้าวอย่างแผ่วเบา จ้องแผ่นหลังผอมบางของหลัวอวี้เฉิงแล้วเกิดทอดถอนใจขึ้นอีกครั้ง คนเช่นนี้ ช่างทำให้คนอื่นรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยแต่กำเนิดจริงๆ ยังดีที่ในวัยเยาว์นางถูกดูถูกรังเกียจมามาก ต่อให้บัดนี้ประสบความสำเร็จเจริญรุ่งเรืองอยู่ในเหยากวงและก็ไม่เคยคิดว่าตนเป็นบุตรที่ได้รับความโปรดปรานจากฟ้า ก็ไม่ได้รับผลกระทบสักเท่าไร เพียงแต่รู้สึกว่าเหนือคนมีคนเหนือฟ้ามีฟ้า สิ่งที่นางขาดยังห่างจากที่คิดไว้อีกมาก
“ที่นี่แหละ” ไม่รู้เดินนานเท่าไรแล้ว ในที่สุดหลัวอวี้เฉิงก็หยุดฝีเท้าลง
“หา พวกนี้ พวกนี้เป็นหินย้อยหมดเลยหรือ?” มั่วชิงเฉินเบิกตาโพลง รู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดมาก
แสงที่นี่สว่างกว่าที่ที่เดินผ่านมามากอย่างเห็นได้ชัด สามารถเห็นหินย้อยรูปร่างต่างๆ ห้อยกลับหัวลง มีทั้งที่เหมือนเสาหยกค้ำฟ้า มีทั้งที่เหมือนเมฆสายรุ้งซ้อนๆ กัน มีทั้งที่เหมือนบุปผาบานสะพรั่ง มีทั้งที่เหมือนเห็ดที่กางร่มอยู่เบียดๆ กัน
เท่าที่มองไปแสงสีมากมายหลายหลาก และพิลึกกึกกือ อัศจรรย์จนทำให้คนรู้สึกเลื่อมใสการรังสรรค์ของธรรมชาติ
มั่วชิงเฉินก็เป็นเช่นนี้ นางมองทัศนียภาพอันงดงามเบื้องหน้าอย่างเคลิบเคลิ้มและชื่นชม อีกทั้งยังทนไม่ไหวยื่นมือออกไปลูบหินย้อยที่อยู่ใกล้ตนที่สุดทีหนึ่ง
จนถึงยามนี้ หลัวอวี้เฉิงถึงรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่าคนที่อยู่เป็นเพื่อนกันมาตลอดในที่สุดก็มีลักษณะของอิสตรีบ้างแล้ว
“เจ้าไม่รู้สึกว่าในนี้สว่างกว่ามากหรือ?” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยนิ่งเรียบ
มั่วชิงเฉินมองไปทางเขาว่า “มีอะไรพูดมาตรงๆ…”
เสียงหลัวอวี้เฉิงดูเหมือนสบายใจขึ้นหลายส่วน “ไม่รู้ว่าสหายเต๋ามั่วคิดอย่างไรต่อไฟอัศจรรย์?”
ใจของมั่วชิงเฉินตึกตักทีหนึ่งแล้วดิ่งลงไปโดยพลัน บนใบหน้ากลับดูอะไรไม่ออก เพียงแต่ต่อหน้าคนคนนี้นางไม่มั่นใจจริงๆ ว่าตกลงถูกเห็นพิรุธอะไรออกหรือไม่ ได้แต่แอบสูดหายใจเข้าอึดหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างสงบว่า “ไฟอัศจรรย์? ไม่รู้ว่าที่สหายเต๋าหลัวพูดหมายถึงไฟคนหรือไฟตามธรรมชาติในฟ้าดิน?”
หลัวอวี้เฉิงหัวเราะ “ย่อมหมายถึงไฟในฟ้าดิน ในไฟคนแม้มีไฟอัศจรรย์ก็จริง กลับเป็นของส่วนตัวของผู้บำเพ็ญเพียร ประโยชน์ต่อคนอื่นอย่างไรเสียก็มีจำกัด”
มั่วชิงเฉินโล่งอก ยิ้มนิ่งเรียบว่า “ข้าได้ยินมาเพียงว่าในฟ้าดินให้กำเนิดไฟอัศจรรย์มากมาย ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือไฟศักดิ์สิทธิ์โกลาหล ไฟกรรมบัวแดง ไฟแจ้งกาทอง เปลวน้ำแข็งเหมันต์…”
พูดถึงตรงนี้ชะงักทีหนึ่ง หลุดปากออกมาว่า “ในนี้ล้วนเป็นหินย้อย หรือว่า หรือว่ามีไฟหน่อไม้หินอยู่?”
หลัวอวี้เฉิงพยักหน้าว่า “ท่าทางสหายเต๋ารู้จักไฟอัศจรรย์ในฟ้าดินดีทีเดียว”
มั่วชิงเฉินเม้มปากไม่ได้พูดอะไร เนื่องจากมีเพลิงแก้วใจกระจ่าง ปกติยามอ่านคัมภีร์หยกก็จะใส่ใจข้อมูลเกี่ยวกับไฟอัศจรรย์โดยไม่รู้ตัว นานวันเข้า ย่อมรู้มากขึ้นเป็นธรรมดา
ไฟอัศจรรย์ในฟ้าดินต่างมีประโยชน์ใช้สอย สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้วไม่มีสักอันที่ไม่ใช่ของล้ำค่าอย่างล้นเหลือ
ยกตัวอย่างเช่นไฟแจ้งกาทอง มาจากพลังงานพระอาทิตย์ในฟ้าดิน สามารถเผาสรรพสิ่งให้เป็นจุณ เสียดายเพียงไฟอัศจรรย์นี้ทั้งสว่างทั้งแรงกล้า ผู้บำเพ็ญเพียรแทบไม่อาจสยบได้ หากโชคดีได้ไฟแจ้งกาทองสายเล็กๆ ผสานเข้าในสมบัติวิเศษธาตุไฟ เช่นนั้นก็อาจหลอมสมบัติวิเศษที่คุณภาพสูงสุดออกมาได้…สมบัติวิญญาณ
ยกตัวอย่างอีกเช่นไฟไร้รูปสี่อย่าง เป็นเปลวเพลิงที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หากผู้บำเพ็ญเพียรสยบมันได้ก็สามารถซ่อนไว้ในฟ้าดิน มีเพียงตาหยินหยางสามารถเห็นร่องรอยของมันได้ ส่วนตาหยินหยางนอกจากผู้ที่มีมาตั้งแต่กำเนิด ก็มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรที่สยบไฟหยินหยางย้อนใจที่สามารถหลอมออกมาได้
เปรียบเทียบบรรดาไฟอัศจรรย์พวกนี้แล้วที่สยบง่ายที่สุดก็คือไฟหน่อไม้หิน เพราะธาตุของมันอ่อนโยน ร่างกายอันอ่อนแอของผู้บำเพ็ญเพียรพอกล้อมแกล้มรับไหว
เมื่อคิดว่าอาจหาไฟหน่อไม้หินพบ มั่วชิงเฉินก็อดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ ต้องรู้ว่าประโยชน์ที่ขึ้นชื่อที่สุดของไฟหน่อไม้หิน ก็คือสามารถเพิ่งความเร็วในการฟื้นฟูพลังวิญญาณส่วนตัวของผู้บำเพ็ญเพียร!
“สหายเต๋ามั่ว คิดว่าคงไม่ได้ทำให้เจ้าผิดหวังนะ?” เสียงหลัวอวี้เฉิงดังขึ้นมาเย็นๆ
มั่วชิงเฉินเหล่สายตาไปนิ่งเรียบว่า “สหายเต๋าหลัว รอหาไฟหน่อไม้หินให้พบก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
ไฟหน่อไม้หินแม้กำเนิดในแกนหินย้อย กลับไม่ใช่ว่าจะหาไฟนี้พบได้ตามหินย้อยที่ไหนก็ได้ ก็ไม่รู้ว่าหลัวอวี้เฉิงอาศัยอะไร สามารถแน่ใจถึงเพียงนี้ว่าที่นี่มีไฟหน่อไม้หิน
หรือว่า…เป็นเพราะมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์? สายตามั่วชิงเฉินอดกวาดไปที่ราชินีมดในมือหลัววอวี้เฉิงปราดหนึ่งไม่ได้
“สหายเต๋าคิดได้ไม่ผิด ก็เพราะมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์นี่ ข้าถึงแน่ใจว่าที่นี่ต้องมีไฟหน่อไม้หยกแน่นอน เพียงเพราะสิ่งที่มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์รักที่สุดก็คือไฟหน่อไม้หิน ถ้ำของพวกมันต้องตั้งอยู่ไม่ไกลจากไฟหน่อไม้หินแน่” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยเสียงเบา
ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็อดเหลือกตาไม่ได้ “สหายเต๋าหลัว หากครั้งไหนเจ้าไม่เดาใจของคนอื่น จะนอนไม่หลับใช่หรือไม่?”
หลัวอวี้เฉิงชะงัก
มั่วชิงเฉินแอบส่ายศีรษะ มิน่าคนคนนี้รูปร่างบอบบาง สีหน้าซีดเซียว ดูท่าคงเพราะใช้ความคิดมากใช้สมองหนักเกินไปทำให้ร่างกายเสียหายไปด้วย
นี่ก็ช่างเถอะ ไม่พูดถึงที่เขามีรากวิญญาณแปรผันเป็นไปได้มากที่จะก่อเป็นแก่นทอง ต่อให้ตบะระดับสร้างรากฐานระยะปลายใกล้สมบูรณ์ มีอายุสองสามร้อยปีก็ไม่มีปัญหา สงสารเพียงคู่บำเพ็ญเพียรที่ต้องบำเพ็ญเพียรคู่กับเขาในวันหลัง ความคิดทุกอย่างเมื่ออยู่ต่อให้คนคนนี้ก็เหมือนโปร่งใส ช่างน่ากลัวจริงๆ เลย!
นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินรีบหยุดทันที เหงื่อเย็นโทรมกาย หากคนคนนี้เดาสิ่งที่นางคิดอยู่ในใจได้อีกนั่นมิกระอักกระอ่วนแย่หรอกหรือ
ยังดีที่ครั้งนี้หลัวอวี้เฉิงไม่ได้พูด หากแต่เดินไปมาท่ามกลางหินย้อยมหัศจรรย์ที่งดงามมีสีสัน เพียงครู่เดียวก็หยุดลง ณ ที่ที่หนึ่ง ออกเสียงเรียกว่า “สหายเต๋ามั่ว เจ้ามาดูนี่”
มั่วชิงเฉินรีบก้าวเท้าเดินไป เห็นตรงที่สายตาเขามองไปคือหินย้อยที่เหมือนหน่อไม้หินผืนหนึ่ง
“เจ้าดูนี่ ฟันของมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์กัดกร่อนหินย้อยชนิดนี้ได้แต่กำเนิด รูเล็กๆ พวกนี้ก็เกิดจากพวกมัน” หลัวอวี้เฉิงยื่นนิ้วมือออกชี้ไปที่ฐานของหินย้อยที่หนึ่ง
ตามั่วชิงเฉินมองขึ้นไป เห็นรูเล็กๆ ตรงนั้นรูหนึ่งจริงๆ ในรูแม้เห็นไม่ชัด กลับมีแสงรางๆ ส่องมา
“ไฟหน่อไม้หินก็อยู่นี่สินะ? ไม่รู้สหายเต๋าหลัวมีวิธีเอาออกมาหรือไม่?” มั่วชิงเฉินถาม
หลัวอวี้เฉิงใช้นิ้วมือเรียวยาวเขี่ยราชินีมดในมือทีหนึ่งว่า “เราปล่อยพลังวิญญาณออกมาก็จะสลายหายไปในพริบตา คิดจะเอาไฟหน่อไม้หินออกมามีเพียงต้องพึ่งมันแล้ว”
เพิ่งสิ้นเสียง หลัวอวี้เฉิงก็วางราชินีมดไว้ข้างรูเล็กของหินย้อย
คิดว่าราชินีมดปกติคงมีคนปรนนิบัติจนชินแล้ว ไฟหน่อไม้หินที่กินเป็นอาหารล้วนมีเหล่าบริวารคอยประเคนให้ ไม่เคยมาเอาด้วยตัวเองเลย ดังนั้นปากรูนี้ด้วยรูปร่างของมันไม่ว่าอย่างไรก็เข้าไปไม่ได้
ราชินีมดยอมแพ้อย่างรวดเร็ว แล้วเปล่งเสียงเบาออกมาเสียงหนึ่ง จากนั้นก็เห็นมันอ้าปากกัดไปที่ขอบรู
ไม่นานนัก ก็เห็นปากรูยิ่งกัดยิ่งใหญ่ จากรูเล็กๆ กลายเป็นรูใหญ่อย่างรวดเร็ว ไฟหน่อไม้หินที่อยู่ข้างในปรากฏขึ้นต่อหน้าทั้งสองคนอย่างชัดเจน
ราชินีมดร้องเบาๆ อย่างดีใจเสียงหนึ่ง แล้วกระโดดตัวโถมเข้าไป
“สหายเต๋ามั่ว คิดว่าเจ้าก็เข้าใจดี ไฟอัศจรรย์พวกนี้เดิมทีก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรอย่างเราสามารถครอบครองได้ ไฟหน่อไม้หินกองนี้เราสามารถได้มาสายหนึ่งก็ถือว่ามีวาสนาแล้ว เก็บมากเกินไปกลับจะเป็นผลร้ายต่อร่างกาย” หลัวอวี้เฉิงพูดพลางยื่นมือไปที่ไฟหน่อไม้หินที่เต้นระริกอยู่
ไม่ต้องให้เขาเตือน มั่วชิงเฉินย่อมรู้เหตุผลที่ว่าทำเลยเถิดไปย่อมไม่เป็นผล ปากเอ่ยขอบคุณแล้วยื่นมือเข้าไปเช่นกัน
ดีที่การเก็บไฟหน่อไม้หินไม่จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณฝืนเก็บ หากแต่ต้องการให้ผู้บำเพ็ญเพียรใช้ไฟจริงของตนดูดเอา มิเช่นนั้นทั้งสองคนในแดนไร้วิญญาณนี่ยังทำอะไรไม่ได้จริงๆ
มั่วชิงเฉินหันฝ่ามือเข้าข้างใน ไฟจริงสีฟ้าคลุมอยู่ข้างบนเงียบๆ เพียงเพราะกลัวถูกหลัวอวี้เฉิงพบพิรุธไม่กล้าโลดแล่นออกมา
ไฟหน่อไม้หินที่เต้นระริกถูกดึงดูดเข้ามาทันที เพียงแต่เพราะเพลิงแก้วใจกระจ่างซ่อนอยู่ในฝ่ามือจะออกก็ไม่ออก แรงดึงดูดที่มีต่อมันจึงลดลงมากมาย ไฟหน่อไม้หินกระโดดโลดเต้นอยู่ในฝ่ามือมั่วชิงเฉิน ไม่มุดเข้าในฝ่ามือนางเสียที
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความเร็วในการเก็บไฟหน่อไม้หินของมั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงกลับไม่ต่างกันเท่าไรแล้ว
หนึ่งชั่วยามเต็มๆ ให้หลัง ทั้งสองคนแทบจะหดมือกลับมาพร้อมกัน มองหน้ากันแล้วพยักหน้า ต่างไม่พูดสักคำแล้วนั่งขัดสมาธิลงเริ่มหลอมไฟหน่อไม้หินที่เก็บมาสายนั้น
เดิมทีมั่วชิงเฉินนึกว่าเมื่อไฟหน่อไม้หินเข้าไปในร่างแล้วจะหลอมรวมกับเพลิงแก้วใจกระจ่างของตน กลับไม่คิดว่าไฟหน่อไม้หินกองนั้นกลับตามการโคจรของพลังวิญญาณว่ายไปที่ตันเถียน
มาถึงตันเถียน ไฟหน่อไม้หินลอยอยู่เหนือนั้น จากนั้นยิ่งเปลี่ยนยิ่งใหญ่ยิ่งเปลี่ยนยิ่งบาง ถึงตอนหลังแทบจะกลายเป็นตาข่ายไฟโปร่งใสปากหนึ่ง คลุมทั้งตันเถียนขึ้นมา
ในขณะที่ตาข่ายไฟคลุมตันเถียนไว้ มั่วชิงเฉินรู้สึกทันทีว่ามีกระแสความร้อนที่อุ่นแต่ไม่แห้งสายหนึ่งส่งมาจากตันเถียน จากนั้นตาข่ายไฟที่เกิดจากไฟหน่อไม้หินก็สลายหายไป ทั้งตันเถียนดูเหมือนใสสว่างกว่าปกติมากมาย
สำเร็จแล้ว! มั่วชิงเฉินดีใจ แล้วลืมตาขึ้น
“ไปกันเถอะ” หลัวอวี้เฉิงที่แทบจะลืมตาขึ้นพร้อมกันเอ่ยนิ่งเรียบ แล้วยืนขึ้นเดินออกไปข้างนอกทันที
มั่วชิงเฉินตามอยู่ข้างหลังติดๆ เหลือบมองราชินีมดที่อยู่ในหินย้อยกินไฟหน่อไม้หินอยู่อย่างบ้าคลั่งโดยไม่รู้สึกตัวปราดหนึ่ง
“มันช่วยเราหาไฟอัศจรรย์ที่ล้ำค่าเช่นนี้เจอแล้ว ก็ทิ้งว่าที่นี่แล้วกัน แน่นอนหากสหายเต๋ามั่วอยากเอาไปด้วย ข้าก็ไม่มีความเห็น” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างสงบ
มั่วชิงเฉินยิ้มละไมว่า “คิดไม่ถึงว่าสหายเต๋าหลัวใจเ**้ยมอำมหิตต่อประเภทเดียวกัน ต่อสิ่งมีชีวิตอื่นกลับใจดี”
วันนั้นนางได้มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์พวกนี้ นั่นคือโอกาสวาสนาของนาง ย่อมกินเข้าไปอย่างไม่ลังเล ทว่าราชินีมดนี่ช่วยพวกเขาหาไฟหน่อไม้หินจนพบ มองจากบางด้านแล้วความสัมพันธ์ก็กลายเป็นสหายร่วมทางชนิดหนึ่งแล้ว หากนางยังจะกินมันเพื่อเพิ่มตบะ นั่นก็คือโลภมากไม่รู้จักพอแล้ว พฤติกรรมเช่นนี้ของหลัวอวี้เฉิง กลับถูกใจนางอย่างหายาก
“ไปเถอะ” ฟังคำพูดที่แยกไม่ออกว่าชมหรือเยาะเย้ยของมั่วชิงเฉินพลาง หลัวอวี้เฉิงเดินตรงออกไปด้วยสีหน้าเย็นชา
ตอนที่ 240 บัณฑิตเจอทหาร
มั่วชิงเฉินยกตาขึ้นมองข้างหน้าแล้ว อดขมวดคิ้วไม่ได้
ตั้งแต่ที่ออกจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยหินย้อยนั้น พริบตาเดียวทั้งสองคนก็เดินมาเกือบสามเดือนแล้ว
แดนไร้วิญญาณช่างสมชื่อยิ่งนัก นอกจากยามแรกที่พบมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์แล้วไม่คิดว่าจะไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นที่นี่อีกเลย
โดยเฉพาะครึ่งเดือนมานี้ ทั้งสองคนค่อยๆ เดินไปถึงสถานที่คับแคบแห่งหนึ่ง ทางที่เดินพอแค่ให้สองคนเดินเรียงหน้ากระดานเท่านั้น สองด้านเป็นกำแพงดินที่สูงไม่เห็นยอด
กำแพงดินอยู่ชิดติดตัวมั่วชิงเฉิน อยู่ใกล้ปานนี้นางกระทั่งได้กลิ่นดินอับชื้นขึ้นรา ยิ่งทำให้คนเกิดแรงกดดันขึ้นมาเสียเฉยๆ
จำได้ว่ายามที่เพิ่งมาถึงแดนไร้วิญญาณนี่ ขาดคาถาอาวุธเวทให้พึ่งพา มั่วชิงเฉินยังกังวลว่าจะพบสิ่งมีชีวิตอื่น ทว่าเดินมาตลอดทางนี้ ทางที่น่าอึดอัดหดหู่มองไม่เห็นสุดทางกลับทำให้นางอยากเจอสิ่งมีชีวิตอะไรสักอย่างแทบทนไม่ไหว ต่อให้ต้องสู้กันสักยกก็ยังดีกว่าการเป็นเช่นนี้
บัดนี้พวกเขาอยู่เพียงระดับสร้างรากฐาน ยังไม่สามารถหมุนเวียนพลังวิญญาณภายในกายได้ การเติมพลังวิญญาณยังคงต้องอาศัยการดูดจากภายนอก และที่นี่ดันไม่มีปราณวิญญาณใดๆ ดังนั้นเมื่อเวลานานเข้าต่อให้พวกเขาไม่ได้โคจรพลังวิญญาณร่ายคาถา เพียงการเร่งเดินทางปกติยังคงทำให้พลังวิญญาณในการสูญเสียไปทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งแห้งเหือด
โชคดีที่ยามนั้นพวกเขาได้เอาขวดออกมาจำนวนไม่น้อย ได้เตรียมโอสถประเภทโอสถเติมวิญญาณไว้หมดแล้ว ยามที่พลังวิญญาณใช้หมดก็กินเข้าไปเม็ดหนึ่งก็จะกลับมากระชุ่มกระชวยได้อีก
เสียดายเพียงโอสถเติมวิญญาณของหลัวอวี้เฉิงกินหมดไปตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว
“ขอโอสถเติมวิญญาณให้ข้าอีกเม็ด” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างซังกะตาย
มั่วชิงเฉินยื่นโอสถเติมวิญญาณให้เม็ดหนึ่งอย่างใจกว้าง ที่ยื่นตามไปยังมีม้วนคัมภีร์หยกเล็กๆ ม้วนหนึ่ง แล้วยิ้มระรื่นว่า “อ้าว กรุณาจดไว้ด้วย”
หลัวอวี้เฉิงถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินอย่างแค้นเคืองปราดหนึ่ง กลืนโอสถเติมวิญญาณเข้าไปในคำเดียวจนกระทั่งพลังวิญญาณฟื้นฟูถึงแย่งม้วนคัมภีร์หยกในมือนางไป ยื่นจิตตระหนักออกมาสลักตัวอักษรเข้าไปไม่กี่ตัว “ซื้อโอสถเติมวิญญาณหนึ่งเม็ด ติดหินวิญญาณระดับต่ำมั่วชิงเฉินหนึ่งร้อยก้อน” ทันทีที่เขียนเสร็จก็โยนกลับไป
มั่วชิงเฉินรับไว้อย่างคล่องแคล่ว ยิ้มหวานพลางเก็บม้วนคัมภีร์หยกเข้าในตะกร้าไม้ไผ่ใบเล็ก ในใจคำนวณอยู่ว่าหากสามารถออกจากที่นี่ได้ หลัวอวี้เฉิงคงต้องทำงานใช้หนี้ตนไปตลอดชีวิตใช่หรือไม่
หลัวอวี้เฉิงมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของมั่วชิงเฉินแล้วแอบกัดฟัน เขาช่างโชคร้ายจริงๆ ถึงมาเจอหญิงที่ฉวยโอกาสเช่นนี้ โอสถเติมวิญญาณเม็ดหนึ่งราคาตลาดไม่เกินหินวิญญาณสามสิบก้อน ไม่คิดว่านางกล้าเอาถึงหนึ่งร้อยก้อน นี่ นี่มันปล้นกันชัดๆ!
ไม่ ยังเร็วกว่าการปล้นเสียอีก การปล้นอย่างไรเสียก็ต้องออกแรงเสียหน่อย แต่นี่กลับเขียนขึ้นไปด้วยตนเอง ต่อไปจะเบี้ยก็เบี้ยไม่ได้
มั่วชิงเฉินเหลือบเห็นท่าทางโมโหโทโสของหลัวอวี้เฉิงแล้วแอบหัวเราะ นางก็ไม่ได้ใส่ใจหินวิญญาณพวกนี้หรอกนะ ที่สำคัญคือไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อเห็นท่าทางกลั้นความโกรธของอีกฝ่ายแล้วก็แอบรู้สึกสะใจ
ฮึ ให้เจ้ายึดจวนของตระกูลมั่วเรา อย่างไรก็ควรจ่ายค่าเช่าจวนในหลายปีนี้เสียหน่อยใช่หรือไม่ล่ะ
หลัวอวี้เฉิงไม่รู้ความคิดในใจของมั่วชิงเฉิน เขาที่ฟื้นฟูพลังวิญญาณแล้วรู้สึกเพียงว่าเพียงมองหญิงผู้นี้มากขึ้นปราดหนึ่งก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ จึงก้าวสวบๆ เดินไปข้างหน้า เดินอย่างรวดเร็วยิ่งเดินยิ่งไกล
มั่วชิงเฉินแอบยิ้มเยาะ ไร้สาระ อีกสักครู่พลังวิญญาณหมดแล้วก็ต้องกลับมาซื้อแต่โดยดีอีกอยู่ดี
ทั้งสองคนเดินเช่นนี้ไปอีกหกเจ็ดวัน ทางแคบลงจนพอให้เพียงคนเดียวเดินตัวเอียงได้เท่านั้นแล้ว โคลนตมบนทางที่เดินก็มากขึ้นเรื่อยๆ ขากางเกงของทั้งสองคนเปียกไปหมดแล้ว เวลาเดินยิ่งรู้สึกหนัก
มั่วชิงเฉินสะบัดรองเท้าทิ้งไปนานแล้ว บัดนี้เดินเท้าเปล่ามาตลอดทาง พบว่าไม่มีพลังวิญญาณคุ้มกาย เท้าแช่อยู่ในโคลนทั้งวันจนบวมขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
“สหายเต๋าหลัว ขืนเดินหน้าอีก จะไม่มีทางให้เดินแล้วกระมัง?” มั่วชิงเฉินโน้มตัวไปข้างหน้าพยายามเบียดข้ามไปจนได้ แล้วถามอย่างกังวล
เสียงเย็นชาของหลัวอวี้เฉิงลอยมา “ไม่รู้”
มั่วชิงเฉินหยุดเดินโดยพลัน เอ่ยเสียงหลงว่า “ไม่รู้?”
รอยยิ้มในตาหลัวอวี้เฉิงวาบผ่านไป “สหายเต๋ามั่วพูดจาชอบกลนัก ข้าไม่สามารถทำนายล่วงหน้าเสียหน่อย จะรู้ไปเสียทุกเรื่องได้เช่นไรกัน?”
มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง ถึงเอ่ยอย่างสงบว่า “สหายเต๋าหลัว เจ้าเป็นคนนำทางตลอดนี่นา”
หลัวอวี้เฉิงกระดกมุมปากขึ้น เอ่ยอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้มว่า “ข้าพูดเมื่อไรว่าจะนำทาง ตลอดมาได้แต่เดินส่งเดชทั้งนั้น” เพิ่งสิ้นเสียงก็เห็นมั่วชิงเฉินหน้าถอดสี ทำให้รู้สึกสบายอุราขึ้นมาทันที
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นว่า “นี่ก็ไม่มีอะไร หากอีกสักครู่ข้างหน้าไม่มีทางเดินแล้ว เราค่อยย้อนกลับทางเดิมแล้วกัน ไหนๆ พวกเราก็เลี่ยงธัญพืชหมดแล้วอย่างไรเสียก็อดไม่ตายหรอก แดนไร้วิญญาณนี่ก็เพียงแค่น่าเบื่อไปสักหน่อย แต่ก็ไม่มีอันตรายอะไร ไอยา เพียงแค่โอสถเติมวิญญาณเหลือไม่มากแล้วนี่สิ…”
หลัวอวี้เฉิงมือสั่นทีหนึ่ง สูดหายใจเข้าอึดหนึ่งถึงเอ่ยว่า “เดินไปข้างหน้าอีก พวกเราก็น่าจะออกไปได้แล้ว”
“จริงหรือ?” มั่วชิงเฉินตาเป็นประกาย พูดตามตรง อยู่ในสถานที่ที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตมาเกือบหนึ่งปี มันช่างเหลือทนจริงๆ
“เจ้าตามข้ามาก็แล้วกัน” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างเย็นชา จากนั้นก็เดินหน้าไปอย่างไม่สนใจใคร
มั่วชิงเฉินหัวเราะ จู่ๆ นางก็พบว่าตามคนเช่นนี้ก็มีข้อดีเช่นกัน เจอเรื่องอะไรเข้ายังไม่รอให้เจ้าใช้สมองเขาก็พุ่งเข้าไปแก้ปัญหาแล้ว รั้งก็รั้งไม่อยู่
เดินต่ออีกหนึ่งวันเล็กน้อย ทางโคลนตมใต้เท้ากลายเป็นแม่น้ำแล้ว ทางเดินยังคงคับแคบดังเดิม
มองดูกระโปรงที่เปียกชุ่มไปหมดมั่วชิงเฉินแอบตัดสินใจแน่วแน่ รอออกจากที่นี่ไปต้องไปซื้อเสื้อผ้าที่กันน้ำกันไฟสักสิบชุดแปดชุดให้ได้ จะไม่ทนทรมานเช่นนี้อีกแล้ว!
แม้น้ำใต้เท้ายิ่งเดินยิ่งลึก ค่อยๆ ท่วมมาถึงเอว กระแสน้ำเชี่ยวกราก สองคนจึงได้แต่จูงมือกันคนหนึ่งหน้าคนหนึ่งหลังเดินหน้าไปอย่างช้าๆ
จู่ๆ มั่วชิงเฉินรู้สึกว่ามีของอะไรแตะถูกขาอ่อนตนเอง จึงล้วงมือไปในน้ำทันทีอย่างหน้าถอดสี ไม่คิดว่าในมือจะจับได้ปลาตัวเล็กตัวหนึ่ง สะบัดหางจนน้ำกระเซ็นไปทั่ว
หลัวอวี้เฉิงสีหน้าปีติ “ดูท่าทางทางออกก็อยู่ตรงหน้าแล้ว”
มั่วชิงเฉินฟังแล้วก็ดีใจมากเช่นกัน มองดูปลาในมือแล้วรู้สึกเจริญหูเจริญตาขึ้นมา แล้วปล่อยมันกลับลงน้ำทันที
เดินเช่นนี้อยู่หลายชั่วยาม เริ่มมีแสงคลุมเครือส่องเข้ามา ปากถ้ำแคบๆ ยาวๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งสองคน
ทั้งสองคนสีหน้าตื่นเต้น รู้สึกเหมือนมีลมเกิดขึ้นใต้เท้าทันที ไม่นานก็มาถึงทางออก
มองดูทางออกที่คับแคบ มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วว่า “แคบเกินไป เราข้ามไปไม่ได้”
หลัวอวี้เฉิงยื่นมือลองลูบขอบปากถ้ำดู แล้วออกเสียงว่า “ในฟ้าดินที่นี่ยังไม่มีปราณวิญญาณดังเดิม ดูท่านอกปากถ้ำยังคงอยู่ในเขตแดนของแดนไร้วิญญาณ”
มั่วชิงเฉินก็สัมผัสได้แล้ว พยักหน้าว่า “ถูกต้อง ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ในเมื่อเรามาถึงนี่แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะหันกลับ อย่างไรก็ต้องออกไปดูว่าข้างนอกมีโอกาสรอดอะไรหรือไม่”
หลัวอวี้เฉิงมองมือของตนเอง จากนั้นมองไปที่มั่วชิงเฉินว่า “สหายเต๋ามั่ว หากเป็นเช่นนี้ละก็พวกเราก็ต้องทำเหมือนยามที่ฝืนเปิดถุงเก็บวัตถุออก โคจรพลังวิญญาณทั่วร่างปล่อยออกในอึดใจเดียวซัดไปที่กำแพงหินผาเพื่อขยายทางออก”
“ได้ เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน” มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
ทั้งสองคนสบตากันปราดหนึ่ง แล้วโคจรพลังวิญญาณทั่วร่างซัดไปที่กำแพงหินผาข้างปากถ้ำในตำแหน่งเดียวกันพร้อมกัน
แล้วก็ได้ยินเสียง ‘โครม’ เสียงหนึ่ง เศษหินบินว่อน ปากถ้ำขยายออกมากมายในอึดใจเดียว ทว่าทั้งสองคนกลับถูกแรงเหวี่ยงมหาศาลดันออกไปพร้อมกัน
มั่วชิงเฉินรู้สึกใต้เท้าว่างเปล่า ร่างกายตกลงไปโดยพลัน
ในขณะที่ตกใจร้องเสียงหลงหลัวอวี้เฉิงจับมือของนางไว้ทันที ทว่านี่ยังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ร่างของทั้งสองคนตกลงไปอย่างเร็วพร้อมกันและได้ยินเพียงเสียงลมหวีดหวิวผ่านเต็มหู
การร่วงหล่นที่เร็วเกินไปทำให้มั่วชิงเฉินรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย ในใจอดยิ้มระทมไม่ได้ อย่าบอกนะว่าอยู่ในสถานที่ที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันมาเกือบหนึ่งปี เพิ่งออกมาได้ก็ต้องมาเจอจุดจบตกลงไปตายเช่นนี้?
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตกลงมาตาย ลือออกไปก็นับว่าเป็นข่าวประหลาดในใต้หล้าแล้ว
“ข้างล่าง…น่าจะมีทะเลสาบ…” หลัวอวี้เฉิงที่จับข้อมือของมั่วชิงเฉินไว้แน่นจู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า
มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าที่ที่พวกเขาตกลงมาสูงจากก้นเท่าไร ผ่านไปนานถึงเพียงนี้ก็ยังอยู่กลางอากาศอยู่ ได้ยินคำพูดของหลัวอวี้เฉิงแล้วแสยะปากว่า “เจ้าแน่ใจ?”
อาจผ่านไปเพียงชั่วครู่ หรืออาจนานมากนานมาก ในสถานการณ์เช่นนี้การรับรู้เวลาของมั่วชิงเฉินเฉื่อยชาลงมาก ได้ยินเพียงหลัวอวี้เฉิงพูดออกมาสามคำว่า “ข้าเดาเอา…”
ยังไม่รอมั่วชิงเฉินพูดอะไรอีก ทั้งสองคนก็ตกลงไปในน้ำดังจ๋อมแล้ว
น้ำท่วมสองคนจนมิดทันที มุกกันน้ำที่ผูกอยู่ที่ข้อมือมั่วชิงเฉินส่องประกายขึ้น ผ่าน้ำออกให้ทั้งสองคนเป็นที่ผืนใหญ่
“ไม่คิดว่าเจ้ายังมีมุกกันน้ำด้วย” หลัวอวี้เฉิงเลิกคิ้ว
เมืองลั่วหยางตั้งอยู่ภาคตะวันตกของดินแดนเทียนหยวน ใกล้กับดินแดนไท่ไป๋มาก ด้านนี้จัดเป็นแหล่งภูเขาน้อยน้ำน้อย ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรที่พกมุกกันน้ำติดตัวนั้นพูดได้ว่าน้อยยิ่งกว่าน้อย
“ไม่ต้องคิดเหลวไหลแล้ว ขึ้นไปก่อนค่อยว่ากัน” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
อยู่กับคนคนนี้มานาน นางเข้าใจแล้วว่าบางทีคำพูดตามอารมณ์เพียงประโยคเดียวเขาก็สามารถคิดอะไรออกมาได้ร้อยแปด
ทั้งสองคนลอยขึ้นด้านบน เพิ่งมุดออกจากผิวน้ำก็งงเป็นไก่ตาแตกทันที
เห็นชายกำยำรูปร่างสูงใหญ่หลายสิบคน ที่เอวผูกเพียงหนังสัตว์ผืนเดียวมือถืออาวุธหน้าตาเหมือนง่ามปลา จ้องพวกเขาตาขวาง ปากก็โหวกเหวกโวยวาย อีกทั้งยังโบกง่ามปลาในมือเป็นระยะ
ทั้งสองคนมองหน้ากัน
คำพูดที่ชายกำยำพวกนี้พูดแม้ไม่ใช่ภาษาที่ใช้กันทั่วไปในดินแดนเทียนหยวน ทว่าพวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียร ย่อมสามารถเข้าใจความหมายในคำพูดพวกเขาโดยอาศัยความผันผวนของพลังจิตของอีกฝ่าย ทว่าทุกอย่างตรงหน้ายังคงทำให้คนรู้สึกคาดไม่ถึงเกินไป
“คนพวกนี้บอกว่า…จะเผาพวกเรา?” มั่วชิงเฉินสื่อสารกับหลัวอวี้เฉิงด้วยจิตตระหนัก
คนพวกนั้นโหวกเหวกโวยวายพูดยาวเป็นพรวน โดยสังเขปก็คือพวกเขาบังอาจบุกเข้ามาในทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา ไม่อาจอภัยให้จริงๆ จะใช้โทษเผาไฟเผาพวกเขาสังเวยสวรรค์ เพื่อดับไฟพิโรธของโอรสศักดิ์สิทธิ์
“กับคนพวกนี้ เกรงว่าจะคุยเหตุผลกันไม่รู้เรื่อง…” เพิ่งสิ้นเสียงหลัวอวี้เฉิง ก็เห็นชายกำยำพวกนั้นแทงง่ามปลาในมือไปในทะเลสาบพร้อมกัน
มั่วชิงเฉินลากหลัวอวี้เฉิงจมลงก้นทะเลสาบทันที แล้วยิ้มระทมว่า “เจ้าพูดถูกอีกแล้ว”
“ต่อไปทำเช่นไรดี?” หลัวอวี้เฉิงขมวดคิ้วถาม
พวกเขาอยู่ที่นี่นานเกินไปจริงๆ ระยะเวลาหนึ่งปี ไม่รู้ข้างนอกเปลี่ยนไปถึงไหนแล้ว
มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วว่า “เจ้าถามข้า?”
“ก็ใช่น่ะสิ ในเมื่อพูดกันด้วยเหตุผลไม่รู้เรื่อง ข้าจะมีวิธีอันใด อย่างไรเสียเจ้าก็แรงเยอะกว่าข้า” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย
มั่วชิงเฉินหน้าดำ ได้ นางจะถือเสียว่านี่เป็นการชมก็แล้วกัน จึงเอ่ยทันทีว่า “ไม่สู้ลองรอสักพักค่อยว่ากัน คนพวกนั้นคงไม่เฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดไปหรอก”
บัดนี้ดูแล้วมีเพียงวิธีโง่ๆ นี้เท่านั้น ทั้งสองคนเพื่อไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น จึงอยู่ใต้ทะเลสาบสามวันติดต่อกันถึงลอยขึ้นมาเงียบๆ
ใครจะรู้ว่าเพิ่งโผล่ศีรษะมา สายตาก็ประสานเข้ากับสายตาของหนึ่งในชายกำยำที่เฝ้าอยู่ข้างทะเลสาบเข้าทันที
ชายกำยำคนนั้นมองพวกเขาเพียงปราดเดียวก็เหมือนถูกสายฟ้าฟาดกระโดดขึ้นมา ปากตะโกนโหวกเหวกโวยวายขึ้นมา
เพียงครู่เดียว ริมทะเลสาบก็ยืนเต็มไปด้วยชายกำยำถือง่ามปลา ดูจำนวนคนแล้วดูเหมือนยังมากกว่าสามวันก่อนเสียอีก
พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง แล้วจมลงไปอย่างไม่ลังเล
——
[1] บัณฑิตเจอทหาร (เป็นสำนวนละท้าย หรือคำพังเพยเปรียบเทียบชนิดหนึ่ง ซึ่ง แบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยกันคือ ส่วนแรกและส่วนหลัง ส่วนแรกเป็นส่วนเปรียบเทียบ ส่วนหลังทำหน้าที่อธิบาย) ส่วนหลังคือ มีเหตุผลก็ใช้ไม่ได้ หมายถึง บัณฑิตใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา ทหารใช้กำลังในการแก้ปัญหา ว่ากันด้วยกำลังบัณฑิตย่อมสู้ทหารไม่ได้ อธิบายเหตุผลไปก็ไม่ฟังและไม่ได้ผล
ตอนที่ 241 เหลือโอกาสรอดสายหนึ่ง
“สหายเต๋ามั่ว มุกกันน้ำของเจ้านี่คุณภาพไม่เลวนี่นา คิดว่าอย่างน้อยต้องได้มาจากร่างอสูรทะเลขั้นห้ากระมัง?” หลัวอวี้เฉิงถาม สีหน้ากลับมองไม่เห็นความปีติเลยจริงๆ
มั่วชิงเฉินมองเขาตาไม่กะพริบปราดหนึ่ง ถึงถอนใจเบาๆ ว่า “สหายเต๋าหลัวเดาได้ไม่ผิด มุกกันน้ำนี้ได้มาจากอสูรทะเลขั้นห้านั่นเอง”
ทั้งสองคนพูดจบ กลับต่างนิ่งเงียบขึ้นมา
สาเหตุมิใช่อื่นใด พวกเขาหลบอยู่ใต้ทะเลสาบได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว ส่วนมุกกันน้ำในร่างของอสูรทะเลขั้นห้าสามารถสร้างเขตอาคมติดต่อกันได้นานที่สุดก็คือหนึ่งเดือน
“ไม่สู้เราขึ้นไปดูสักหน่อยเถอะ” นิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ทนไม่ไหวเสนอขึ้น
หลัวอวี้เฉิงขมวดคิ้ว จู่ๆ ก็ถามว่า “เจ้าว่า โอรสศักดิ์สิทธิ์ที่คนป่าเถื่อนพวกนั้นพูดถึงคือใคร?”
มั่วชิงเฉินเม้มปาก นางก็ไม่ใช่คนโง่ หลัวอวี้เฉิงเจาะจงถามเช่นนี้ จึงคิดอะไรขึ้นได้ทันที “เจ้าหมายความว่า โอรสศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาพูดถึง…เป็นไปได้มากที่จะเป็นคนที่มาจากข้างนอกเช่นพวกเรา?”
หลัวอวี้เฉิงพยักหน้าด้วยความชื่นชม “หากพูดให้ถูกต้อง คือผู้บำเพ็ญเพียร” จู่ๆ เขาก็รู้สึกโชคดีที่สตรีที่มาพร้อมตนไม่โง่เลยสักนิด มิเช่นนั้น เกรงว่าเขาคงไม่มีแม้กระทั่งความปรารถนาที่จะพูด
จุดนี้มั่วชิงเฉินไม่คัดค้านแม้แต่น้อย หากมีมนุษย์คนอื่นมาถึงแดนไร้วิญญาณนี้ เช่นนั้นก็มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรถึงอาจมีชีวิตรอดมาได้ สำหรับคนธรรมดาแล้ว ก่อนอื่นปัญหาด้านอาหารการกินก็พอที่จะเอาชีวิตพวกเขาแล้ว
“ข้าเพียงแต่แปลกใจเล็กน้อย โอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นหากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากข้างนอกเช่นพวกเรา ในแดนไร้วิญญาณนี้เขาทำเช่นไรถึงทำให้คนป่าเถื่อนพวกนั้นเคารพดุจเทพยดาได้?” นิ้วหลัวอวี้เฉิงเคาะหน้าขาอย่างไม่รู้ตัว
มั่วชิงเฉินเข้าใจว่าโอกาสรอดของพวกเขาอาจขึ้นอยู่กับโอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น จึงครุ่นคิดอย่างหนักขึ้นมาทันทีเช่นกัน
ทันใดนั้นก็มีอะไรดลใจให้ตาสว่างขึ้น ตามองหลัวอวี้เฉิงไม่กะพริบว่า “เจ้าว่า จะใช่จิตตระหนักหรือไม่?”
“จิตตระหนัก?” หลัวอวี้เฉิงบ่นพึมพำ
มั่วชิงเฉินกลับยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ พยักหน้าว่า “เจ้าดูสิ ที่นี่คือแดนไร้วิญญาณ สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนแล้วน่าจะเหมือนกันหมด ไม่อาจใช้พลังวิญญาณได้ทุกคน หากเป็นเช่นนี้ละก็ โอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นหากอยากมีชีวิตรอด กระทั่งมีชีวิตอยู่อย่างดี ข้าคิดว่าเขาน่าจะจิตตระหนักโดดเด่น กระทั่งอาจฝึกฝนวิชายุทธ์ที่จู่โจมดวงจิตโดยเฉพาะมาก่อน ต้องรู้ว่าสิ่งมีชีวิตล้วนมีจิต เพียงแต่สิ่งมีชีวิตธรรมดาที่ไม่เคยบำเพ็ญเพียรมาก่อน ดวงจิตจะหลับใหลอยู่ในส่วนลึกของสมองตลอดชีวิต อ่อนแอจนสามารถละเลยไปเท่านั้นเอง ต่อให้เป็นเช่นนี้ การจู่โจมดวงจิตพวกเขาก็ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน”
มั่วชิงเฉินพูดจาฉะฉาน หลัวอวี้เฉิงกลับนิ่งเงียบตลอดเวลา
เห็นอีกฝ่ายไม่พูดไม่จา มั่วชิงเฉินอดแขวะไม่ได้ว่า “สหายเต๋าหลัว เจ้าคงไม่คิดว่าที่คนป่าพวกนั้นเคารพโอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นดุจเทพยดา เป็นเพราะเขาช่ำชองการพูดเหตุผลหรอกกระมัง?”
หลัวอวี้เฉิงหน้าดำทันที ถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินอย่างดุดันปราดหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้ มีความสุขกับการงัดข้อกับเขาไปเสียทุกเรื่องใช่หรือไม่?
“สหายเต๋ามั่ว ข้าดูเจ้าดูเหมือนมีพรสวรรค์ในด้านการควบคุมจิตตระหนักยิ่งนัก” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างตรึกตรอง
มั่วชิงเฉินก็ไม่ปิดบังเขา เวลาเดือนกว่าที่ทั้งสองคนอยู่ใต้น้ำ ยามที่ไม่มีอะไรทำยังคงฝึกจิตตระหนักเพื่อฆ่าเวลา และในด้านนี้ของนางเห็นชัดว่าแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายไม่น้อย
“อาจเพราะเป็นมาแต่กำเนิดกระมัง” มั่วชิงเฉินให้เหตุผลที่คลุมเครือ เชื่อหรือไม่ ก็อยู่ที่เขาแล้ว
“เช่นนั้นยามที่สหายเต๋ามั่วอยู่ข้างนอก รู้สึกว่าสามารถฝึกจิตตระหนักเช่นนี้ได้หรือไม่?” จู่ๆ หลัวอวี้เฉิงก็ถามขึ้น
มั่วชิงเฉินไม่ขยับเขยื้อน สีหน้าหนักหน่วงขึ้น ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดก็เอ่ยว่า “ดูเหมือนไม่ได้…ไม่ พูดให้ถูกต้องผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดต่างรู้ว่าการฝึกจิตตระหนักเช่นนี้เป็นการเสียแรงเปล่า หากปกติไม่มีอะไรทำยื่นจิตตระหนักลองดันก้อนหินดูก็สามารถดันก้อนหินให้ขยับได้ ทำให้จิตตระหนักมีพลังจู่โจม เช่นนั้นทุกคนก็ไม่ต้องเห็นสมบัติวิเศษที่สามารถจู่โจมดวงจิตแล้วกลัวจนหน้าถอดสีหรอก”
เมื่อเป็นเช่นนี้ละก็ ก็แปลกแล้ว เหตุใดที่นี่ จิตตระหนักกลับสามารถฝึกเช่นนี้ได้ล่ะ อย่าพูดถึงนางเลย ต่อให้เป็นหลัวอวี้เฉิงก็ทำได้!
หรือว่า…เพราะที่นี่คือแดนไร้วิญญาณ?
“ทางแห่งสวรรค์ หักส่วนเกินชดเชยส่วนที่ไม่พอ ในฟ้าดินที่ปกคลุมไปด้วยปราณวิญญาณ แต่ละที่ต่างกันเพียงแค่ความหนาแน่น มีเพียงแดนไร้วิญญาณนี่เท่านั้นที่ไร้ปราณวิญญาณ นี่เดิมทีก็ขัดต่อกฎสวรรค์อยู่แล้ว เอ่อ หรืออาจพูดว่าก็เพราะเช่นนี้ กฎสวรรค์ถึงชักนำที่นี่ไปในทิศทางอื่น ให้คนที่นี่มีโอกาสรอด” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยเนิบนาบ
มั่วชิงเฉินเห็นด้วยกับคำพูดนี้ยิ่งนัก รีบเอ่ยต่อว่า “ดังนั้น สภาพแวดล้อมที่นี่ถึงเป็นใจในการฝึกจิตตระหนัก โอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น เกรงว่าก็อาศัยข้อนี้ ถึงทำให้คนป่าพวกนั้นยอมก้มหน้าศิโรราบกระมัง”
พูดถึงตรงนี้ทั้งสองคนเงียบลง หลังจากผ่านไปหลายอึดใจถึงเอ่ยพร้อมกันว่า “ไปดูกัน?” พูดขึ้นพร้อมกันเสร็จ แล้วสบตากันยิ้ม
“ไม่รู้คนป่าพวกนั้น จะช่วยเราส่งข่าวนี้หรือไม่?” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว
หลายวันมานี้พวกเขาก็ลองโผล่ศีรษะขึ้นไป ทว่าทุกครั้งที่เพิ่งโผล่หน้า ก็จะถูกคนป่าพวกนั้นใช้ง่ามปลาแทงลงไป ไม่มีแม้โอกาสพูด
หลัวอวี้เฉิงกลับสีหน้าสบายใจขึ้นว่า “สหายเต๋ามั่วกังวลอันใด จิตตระหนักของเจ้าในยามนี้รับมือพวกเขาน่าจะไม่มีปัญหา รอออกไปหากไม่ให้โอกาสเราพูด เจ้าก็จัดการสักคนสองคนก่อน ขู่พวกเขาสักทีก่อนค่อยว่ากัน ไม่แน่ไม่ต้องให้เราพูดอะไร พวกเขาก็ไปหาโอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นมาออกหน้าแล้ว สันนิษฐานตามเหตุผลทั่วไป เมื่อโอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นเห็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากข้างนอกเหมือนกันก็ไม่มีเหตุผลที่จะเลี่ยงโดยไม่พบ”
มั่วชิงเฉินกลับลังเลเล็กน้อยว่า “สหายเต๋าหลัว เจ้ารู้ว่าเรามาถึงนี่แล้วถึงฝึกจิตตระหนักส่งเดช พลังจู่โจมของจิตตระหนักข้าในยามนี้อยู่ระดับใดกันแน่ในใจข้าไม่มั่นใจเลยสักนิด รอหลังจากออกไปสั่งสอนคนป่าพวกนั้นเสียหน่อยก็ไม่เป็นไร ทว่าดวงจิตของพวกเขาอ่อนแอผิดปกติ หากควบคุมไม่ดีเกิดวิญญาณแตกดับเสียโอกาสกลับเข้าวัฏสงสาร มันจะโหดร้ายเกินไปหน่อย”
ไม่ว่าสำหรับคนธรรมดาหรือว่าผู้บำเพ็ญเพียร ว่ากันโดยทั่วไปแล้วนอกจากผู้ที่มีความแค้นฝังลึกหรือผู้บำเพ็ญเพียรมารที่โหดเ**้ยมอำมหิตทำสิ่งใดไม่ยั้งคิดแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรปกติอย่างมากก็ฆ่าอีกฝ่ายตายให้หมดเรื่อง หาน้อยที่จะทำให้อีกฝ่ายวิญญาณแตกดับ
เพราะอย่างไรเสียวิญญาณที่สมบูรณ์มีโอกาสนับไม่ถ้วนในการกลับเข้าวัฏสงสาร ในความหมายบางแง่แล้วตายก็คือเกิด เกิดมาย่อมต้องตาย เวียนว่ายตายเกิดคือลิขิตสวรรค์ ไม่แน่ชาติไหนก็มีโอกาสได้เป็นเซียนแล้ว ถึงเวลาโดดออกจากวัฏสงสารมองดูชาติภพที่ผ่านมา ก็นับว่าเป็นนิรันดร์แล้ว
“สหายเต๋ามั่วช่างมีเมตตา” หลัวอวี้เฉิงสายตาตกลงบนใบหน้ามั่วชิงเฉิน น้ำเสียงเหมือนเสียดสีแต่ก็ไม่ใช่
มั่วชิงเฉินมองเขา แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะ ลักยิ้มตื้นๆ คู่หนึ่งโผล่ออกมาข้างริมฝีปาก “หรือไม่ ข้าเอาเจ้ามาฝึกมือก่อน?”
หลัวอวี้เฉิงนิ่งงัน แล้วหน้าดำเบือนหน้าไปทันที
“สหายเต๋าหลัว…” มั่วชิงเฉินเรียกอย่างไม่ตายใจ
หลัวอวี้เฉิงหันหน้ามาโดยพลัน เอ่ยด้วยความโมโหว่า “มั่วชิงเฉิน เจ้าอย่าให้เกินไปนัก!”
มั่วชิงเฉินขยิบตา ปากแม้ไม่พูดในสายตากลับแสดงออกชัดเจนว่า “ให้ข้าลองเถอะ ให้ข้าลองเถอะ”
หลัวอวี้เฉิงโกรธจนแน่นหน้าอก “มั่วชิงเฉิน เจ้ารู้ถึงความสำคัญของดวงจิตที่มีต่อผู้บำเพ็ญเพียรหรือไม่ นอกจากยามสู้กันถึงชีวิตหรือบำเพ็ญเพียรคู่ของคู่ผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว ดวงจิตจะถูกคนอื่นแตะต้องได้เช่นไรกัน?”
มั่วชิงเฉินชะงัก จากนั้นหน้ากลับแดงเรื่อยขึ้นมาทันที นางย่อมรู้ว่ามีเพียงยามสู้กันถึงชีวิตเท่านั้นดวงจิตถึงจะถูกคู่ต่อสู้จงใจจู่โจม แต่กลับไม่รู้จริงๆว่าสภาพยามที่คู่ผู้บำเพ็ญเพียรบำเพ็ญเพียรคู่นั้นเป็นเช่นไร
บำเพ็ญเพียรคู่บำเพ็ญเพียรคู่ ในความคิดของนาง ก็คือสองคนกลายเป็นสามีภรรยา บำเพ็ญเพียรพร้อมกันเท่านั้น ส่วนต้องบำเพ็ญเพียรเช่นไร นางกลับสองตามืดบอด
มองดูมั่วชิงเฉินสีหน้าแดงเรื่อยไม่มีคำพูด สีหน้าหลัวอวี้เฉิงดำแล้วดำอีก สุดท้ายถลึงตาใส่นางอย่างดุดันปราดหนึ่งว่า “อย่าให้มีครั้งหน้าอีก!”
มั่วชิงเฉินนิ่งงัน จากนั้นกลับยิ้มระรื่นขึ้นมาว่า “สหายเต๋าหลัว เช่นนั้นข้าเริ่มแล้วนะ”
ได้การทดลองในครั้งนี้ ไม่ต้องพูดถึงการออกไปเจอคนป่าพวกนั้นในอีกสักครู่ ต่อให้วันหลังเจอผู้บำเพ็ญเพียร การจู่โจมดวงจิตของตนตกลงมีอานุภาพเพียงใดก็จะได้รู้ไว้ หลัวอวี้เฉิงผู้นี้ บางทีก็นับว่าเป็นคนดีทีเดียว
หลัวอวี้เฉิงเห็นท่าทางยิ้มหวานของมั่วชิงเฉินแล้วกลับรู้สึกขวางหูขวางตาผิดปกติ ค้อนตาคว่ำใส่นางแล้วเบือนหน้าไป
มั่วชิงเฉินดึงจิตตระหนักออกมาจู่โจมใส่หลัวอวี้เฉิง กลัวพลาดท่าทำร้ายเขาจึงใช้กำลังเพียงส่วนเดียว
“เป็นเช่นไร?” รู้สึกว่าจิตตระหนักตนกระแทกถูกอีกฝ่าย มั่วชิงเฉินถามหยั่งเชิงว่า
หลัวอวี้เฉิงเม้มปาก เอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้าเกาคันอยู่หรือไร?”
มั่วชิงเฉินกัดฟัน ได้ ดูแล้วก็ไม่ควรใจดีกับคนอย่างเจ้าเกินไป จึงออกแรงห้าส่วนกระแทกไปที่อีกฝ่ายทันที
“อืม” หลัวอวี้เฉิงครางเสียงต่ำทีหนึ่ง
มั่วชิงเฉินกลับตกใจ รีบถามว่า “เป็นอันใด?”
หลัวอวี้เฉิงรู้สึกหน้ามืด แน่นหน้าอกเกือบหายใจไม่ออก ยัยผู้หญิงบ้านี่ ยังมีหน้ามาถามว่าเป็นอันใดอีก!
“เจ้าใช้กำลังกี่มากน้อย?” หลัวอวี้เฉิงเสียงเย็นเป็นน้ำแข็ง
มั่วชิงเฉินลังเลครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงเบาว่า “แปดส่วน”
หลัวอวี้เฉิงเลิกคิ้ว เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้าว่าอย่างมากก็ใช้แค่ห้าส่วนกระมัง”
มั่วชิงเฉินหน้าแดง คนคนนี้โง่ลงสักหน่อยจะตายหรืออย่างไรนะ!
“เช่นนั้นเจ้ารู้สึกเช่นไร?” เงียบไปชั่วครู่ มั่วชิงเฉินทำหน้าหนาถามว่า
หลัวอวี้เฉิงจะยิ้มก็ไม่ยิ้มว่า “เจ็บเล็กน้อย กลับยังรับไหว ทว่าข้าจะเตือนเจ้า หากสู้กับผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นขึ้นมาจริงๆ อีกฝ่ายไม่มีทางเปิดดวงจิตไว้อ้าซ่าปล่อยให้เจ้าจู่โจมหรอกนะ ดังนั้นการจู่โจมของเจ้าต่อผู้อื่นก็จะด้อยลงอีกหลายส่วน”
มั่วชิงเฉินฟังแล้ว ถอนใจแผ่วเบา กลับได้ยินหลัวอวี้เฉิงน้ำเสียงเปลี่ยนว่า “ทว่าจิตตระหนักของผู้อื่นคงสู้ข้าไม่ได้กระมัง”
มั่วชิงเฉินสนุกขึ้นมาแล้ว “ใช่ อย่างไรเสียเจ้าก็เคยฝึกมาก่อน”
หลัวอวี้เฉิงเหล่นางอย่างนิ่งเรียบปราดหนึ่งว่า “อย่าพูดมาก รีบขึ้นไปเถอะ”
มั่วชิงเฉินผ่านการทดลองครั้งนี้ ในที่สุดในใจก็มั่นใจขึ้นมา ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า สองคนสบตากันปราดหนึ่งแล้วลอยขึ้นไป
เพิ่งโผล่พ้นน้ำ คนป่ากำยำกลุ่มนั้นก็โบกสะบัดง่ามปลาแทงไปที่พวกเขาอย่างช่ำชอง ปากร้องโวยวายเสียงดัง
มั่วชิงเฉินกึ่งหรี่ตา มองไปอย่างเย็นชา
ชายกำยำสองสามคนจู่ๆ ก็กรีดร้องขึ้น แล้วระทวยล้มลงไป
ชายกำยำที่เหลือตกใจเหลือคณา จ้องคนบนพื้นเขม็งเหมือนเห็นผีก็ไม่ปาน ผ่านไปพักใหญ่ถึงหันหน้ามา แล้วคู่เข่าลงตรงๆ ตามทิศทางที่มั่วชิงเฉินอยู่ทันที ปากยังโวยวายอยู่
พวกมั่วชิงเฉินสองคนสีหน้าปีติ ท่าทางที่เดาไว้ไม่ผิด พวกเขาเห็นฝีมือของมั่วชิงเฉินแล้วเข้าใจผิดนึกว่าพวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกับโอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นแล้ว
ในยามนี้เอง จู่ๆ ก็มีชายกำยำรูปร่างเหมือนภูเขาลูกย่อมๆ วิ่งมาจากที่ไกลออกไป หอบหายใจพลางว่า “ท่านโอรสศักดิ์สิทธิ์ ท่านโอรสศักดิ์สิทธิ์จะพบพวกเขา!”
ตอนที่ 242 คนงามยวนใจ
“โอรสศักดิ์สิทธิ์รอพวกท่านอยู่ข้างใน” ชายสูงใหญ่กำยำที่นำพวกมั่วชิงเฉินสองคนมาพูดจบ ก็ก้มโค้งถอยออกไป ท่าทีนอบน้อมเป็นพิเศษ
พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง ก้าวเท้าเดินเข้าไป
คนที่อยู่ข้างในหันหลังให้ทั้งสองคน ได้ยินเสียงจึงหันหน้ามา ไม่คิดว่าคนที่ทั้งสองคนเห็นจะเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดคนหนึ่ง
“พวกท่าน…มาจากข้างนอกเช่นนั้นหรือ?” เสียงของเด็กหนุ่มดูเหมือนยังละอ่อนอยู่
“เขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียร!” เสียงของหลัวอวี้เฉิงดังขึ้นในสมองมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินตอบกลับว่า “เจ้าตัดสินจากอะไร? ต้องรู้ว่าพลังวิญญาณในกายของผู้บำเพ็ญเพียรที่นี่อาจเหือดแห้งแล้วก็ได้ ไม่มีคลื่นพลังวิญญาณใดๆ จากภายนอกเพียงอย่างเดียวดูไม่ออกหรอกนะ”
“เจ้ามองไม่ออกจริงหรือ? หากเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากข้างนอกจริง น้ำเสียงในการพูดไม่ควรเป็นเช่นนี้ เจ้าไม่สังเกตยามที่เขาถามว่า ‘ข้างนอก’ กลับแสดงให้เห็นถึงท่าทางที่ไม่รู้เลยสักนิดว่าข้างนอกเป็นเช่นไร กระทั่งข้างนอกคืออะไรเช่นนั้นหรือ?” หลัวอวี้เฉิงตอบ กลับไม่เชื่อว่ามั่วชิงเฉินจะมองปัญหาไม่ออกแม้แต่น้อย
น้ำเสียงมั่วชิงเฉินแฝงด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ากลับดูออกจากที่อื่น เด็กหนุ่มคนนี้อ้าปากพูดประโยคแรก คือภาษาถิ่นของที่นี่”
หลัวอวี้เฉิงแอบพยักหน้า ถูกต้อง ในสถานการณ์ปกติผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกกักไว้ที่นี่มาแสนนาน เมื่อได้พบคนที่มาจากข้างนอกย่อมต้องหลุดภาษาที่พูดเมื่อก่อนออกมา
“พวกท่าน มาจากข้างนอกใช่หรือไม่!” เห็นทั้งสองคนไม่ตอบเสียที เสียงของชายหนุ่มแฝงด้วยความโกรธสายหนึ่ง
ต่อหน้าเด็กหนุ่มละอ่อนเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็แสดงนิสัยแสบสันไม่ออก จึงยิ้มอย่างอ่อนโยนว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์เดาได้ไม่ผิด เราสองคนมาจากข้างนอกจริงๆ”
เด็กหนุ่มเพ่งพิศพวกเขาอย่างสงสัย สีหน้าเช่นนั้นไม่เพียงแต่ไม่เห็นความเจ้าเล่ห์ ดูแล้วกลับซื่อบื้อเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินเหล่หลัวอวี้เฉิงปราดหนึ่ง แอบถอนใจว่า ในโลกนี้มีคนบางคน อยากพยายามแสดงออกให้ดูหัวไวเจ้าเล่ห์เสียหน่อยกลับไม่อาจปิดบังนิสัยไร้เดียงสาไร้พิษสงตามธรรมชาติได้ ไม่เหมือนใครบางคน ต่อให้ยืนเฉยๆ ไม่ขยับเขยื้อนก็รู้สึกว่าเต็มไปด้วยแผนเจ้าเล่ห์
“พวกท่านรู้หรือไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรคืออะไร?” เด็กหนุ่มเพ่งพิศสองคนอยู่ครึ่งค่อนวัน จู่ๆ ก็ถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า
ต่อหน้าเด็กหนุ่มคนนี้ หลัวอวี้เฉิงดูเหมือนไม่มีแม้แต่อารมณ์ที่จะพูด หันหน้าไปพิจารณาข้างๆ ตามอารมณ์
ด้วยความจำใจ มั่วชิงเฉินจึงได้แต่ออกหน้าว่า “พวกเราต้องรู้แน่นอน เพราะเราก็คือผู้บำเพ็ญเพียร”
“จริงหรือ? พวกท่านจะพิสูจน์เช่นไร?” สีหน้าเด็กหนุ่มดูเหมือนตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้ว กลับยังคงถามอย่างไม่วางใจดังเดิม
มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยนว่า “จริงๆ อยู่ที่นี่เราไม่มีวิธีพิสูจน์ ทว่า เราสามารถไม่กินข้าวได้”
เด็กหนุ่มถึงนับว่าเชื่อแล้ว มองทั้งสองคนพลางสีหน้าจริงจังขึ้นมา “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกท่านก็ตามข้าไปถ้ำของท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์เถอะ”
มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉินสบตากันปราดหนึ่ง เดินตามหลังเด็กหนุ่มออกไปข้างนอก
เด็กหนุ่มเดินเร็วดุจบินได้บนทางขรุขระ เดินอยู่ครึ่งชั่วยามเต็มๆ ถึงหยุดลง แล้วมองทั้งสองคนที่ล่าช้าอยู่ข้างหลังด้วยความรังเกียจเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินเบิกตาใส่หลัวอวี้เฉิงปราดหนึ่งเงียบๆ แล้วยื่นมือลากแขนเขาไว้ ฉุดกระชากลากถูเขารุดตามไป
เด็กหนุ่มไม่พูดสักคำแล้วหันไปเดินทางต่อ
เดินอีกหนึ่งชั่วยามกว่า ในที่สุดเด็กหนุ่มก็หยุดฝีเท้า คุกเข่ากราบไหว้ปากถ้ำที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งสามคนอย่างนอบน้อม ปากท่องพึมพำ เนิ่นนานถึงลุกขึ้นยืนว่า “ที่นี่ก็คือถ้ำของท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์”
“เช่นนั้นรบกวนโอรสศักดิ์สิทธิ์แจ้งสักหน่อย” มั่วชิงเฉินยิ้มเอ่ย
สีหน้าของเด็กหนุ่มเห็นชัดว่าสลดเล็กน้อยว่า “ถ้ำของท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ โอรสศักดิ์สิทธิ์ไม่มีคุณสมบัติเข้าไป พวกท่านสองคนหากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากข้างนอกจริง เช่นนั้นก็เข้าไปเถอะ”
เห็นหลัวอวี้เฉิงยังหอบอยู่ ชั่วขณะหนึ่งเกรงว่าจะพูดไม่ได้แล้ว มั่วชิงเฉินถามว่า “ในเมื่อโอรสศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจเข้าถ้ำท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ได้ เหตุใดจึงรู้ว่าท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์อยากพบพวกเรา?”
เด็กหนุ่มสีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย “ท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์กำชับไว้นานแล้ว หากมีผู้บำเพ็ญเพียรมาจากข้างนอก ก็ให้พวกเขาเข้าไปในถ้ำ”
“น้องชายอย่าโกรธ พวกเราเพียงแต่ไม่รู้อะไรเลยเกรงว่าจะล่วงเกินท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็เข้าไปแล้ว” มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน
เด็กหนุ่มถึงสีหน้าดีขึ้นมาหน่อย ฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่งแล้วเบือนหน้าไป สองสามก้าวเดินไปนั่งที่ก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลออกไป
เมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ข้างในคือทางเดินยาวๆ สายหนึ่ง ทางเดินแม้แคบยาวกลับแห้งและสว่าง ไม่มีความรู้สึกมืดชื้นตามสถานที่ที่ทั้งสองคนเดินผ่านยามที่มาแม้แต่น้อย ยกตามองไปก็จะเห็นก้อนหินไม่รู้ชื่อขนาดต่างๆ กันนับไม่ถ้วนส่องแสงจางๆ เมื่อร้อยพันก้อนรวมอยู่ด้วยกัน ในถ้ำก็สว่างเหมือนกลางวัน
“ที่นี่สวยทีเดียว” เงยหน้ามองปราดหนึ่ง จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็สังเกตเห็นก้อนหินหลากสีที่ฝังอยู่บนเพดานถ้ำ แวววาวโปร่งใสไร้เทียมทาน แสงจางๆ ที่สาดส่องออกมาดุจดั่งดาราเต็มท้องฟ้า
ระหว่างที่พูดคุยกันทั้งสองคนก็เดินมาถึงสุดทางเดิน เมื่อเลี้ยวที่หัวมุมสิ่งที่เห็นคือโถงใหญ่ที่กว้างขวางยิ่งที่หนึ่ง กลิ่นหอมอ่อนๆ วนเวียนที่ปลายจมูก
“ดูสิ!” มั่วชิงเฉินชี้ที่พื้นโถงใหญ่พลางร้องอย่างตกใจ
“หยกหอม!” หลัวอวี้เฉิงกวาดมองพื้นโถงปราดหนึ่ง พูดออกมาอย่างประหลาดใจเช่นกัน
มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างแรง
ที่นางจำหยกหอมได้ลึกซึ้งเช่นนี้ สาเหตุมาจากเฉินเจียวซิ่ง นึกถึงปีนั้นพวกนางยังเป็นวัยรุ่นสิบสามสิบสี่ปี ก็เพราะหยกหอมนี้ถึงตีกันจนรู้จักกัน
ท่านลุงใหญ่ของเฉินเจียวซิ่งคือท่านผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณแห่งพรรคเหยากวง ฐานะของบิดาในตระกูลก็ไม่ต่ำ ก็ด้วยฐานะสูงส่งเช่นนี้ปีนั้นทำหยกหอมชิ้นเล็กๆ หายก็ยังทำเรื่องเสียครึกโครม มาหาเรื่องตนอย่างเกรี้ยวกราด คิดดูก็รู้แล้วว่าหยกหอมนี้ล้ำค่าเพียงใดแล้ว
ส่วนที่นี่ทั่วทั้งพื้นโถงกลับปูด้วยหยกหอมทั้งหมด นี่ไม่ใช่หรูหราสองคำจะบรรยายได้แล้ว!
ทั้งสองคนพิจารณาอีกที ยิ่งดูยิ่งตกตะลึง
โต๊ะเก้าอี้ม้ายาวที่วางอยู่ในโถงใหญ่ดูเหมือนทำจากหยกขาวธรรมดา พิจารณาอย่างละเอียดกลับสามารถดูออกว่าด้านบนเต็มไปด้วยลวดลายละเอียดสีเหลืองอ่อน นี่ก็คือหยกขาวเลี่ยมทองอ่อนอันเลื่องชื่อของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร
ที่จริงวัสดุของหยกขาวเลี่ยมทองอ่อนยังคงเป็นหินหยกชนิดหนึ่ง หินหยกชนิดนี้มีจุดแข็งที่หยกหินชนิดอื่นไม่อาจเทียบได้ นั่นก็คือสามารถแกะสลักยันต์หรือค่ายกลเวทด้านบนโดยตรงโดยไม่กระทบกระเทือนถึงประสิทธิภาพของมัน หรือก็หมายความว่าเป็นหยกขาวเลี่ยมทองอ่อนเหมือนกัน พวกมันกลับอาจมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ที่ยิ่งทำให้คนหวั่นไหวคือ หยกขาวเลี่ยมทองอ่อนยังสามารถทำให้อานุภาพของยันต์หรือค่ายกลเวทแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมระดับหนึ่ง
ว่ากันตามปกติแล้ว ศิษย์ตามสำนักเลื่องชื่อหรือลูกหลานของตระกูลบำเพ็ญเพียรบางคน มีป้ายหยกที่แกะสลักจากหยกขาวเลี่ยมทองอ่อนสักชิ้นหนึ่งก็พอให้กระหยิ่มยิ้มย่องแล้ว แม้แต่มั่วชิงเฉินที่ไม่เคยขาดหินวิญญาณ ก็ไม่เคยคิดจะใช้หินวิญญาณจำนวนมากซื้อของฟุ่มเฟือยเช่นนี้
หากให้คนรู้ว่าที่นี่กลับใช้หยกขาวเลี่ยมทองอ่อนทำโต๊ะเก้าอี้ นั่นไม่ใช่ทึ่งหรอกนะ หากแต่รู้สึกฟุ่มเฟือยจนจะถูกฟ้าผ่าแล้ว
กาสุราจอกสุราที่วางอยู่บนโต๊ะไม่น้อยหน้าโต๊ะนี้แม้แต่น้อย ไม่คิดว่าจะทำจากหัวใจผลึกแก้ว!
ส่วนที่ล้ำค่าของหัวใจผลึกแก้ว มั่วชิงเฉินกลับไม่ได้รู้จากกู้หลี วันนั้นเสื้อวิเศษแนบกาย (เรียกกันว่า ตู้โตว) ที่นางใส่ ก็เพราะหลอมหัวใจผลึกแก้วไว้ ภายใต้การโจมตีอันบ้าคลั่งของหลัวอวี้เฉิงถึงต้านปราณกระบี่ไว้กว่าครึ่ง มิเช่นนั้นอาการบาดเจ็บของนางไม่ใช่จะหายได้ในเวลาสั้นๆ ครึ่งปีทั้งที่ยังอยู่ในสถานการณ์ขาดโอสถอีก
“ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว ทนดูไม่ไหวแล้ว” กวาดตามองไป พบว่าของที่วางอยู่ในโถงใหญ่ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ใช่ของล้ำค่าวิเศษ มั่วชิงเฉินแข็งใจดึงสายตากลับมาแล้วกุมขมับถอนใจ
หลัวอวี้เฉิงอมยิ้มที่มุมปากว่า “เช่นนั้นก็ไม่ต้องดูแล้ว”
มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “อืม”
ทั้งสองคนพูดจบ สบตากันปราดหนึ่ง ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
ทั้งสองคนเพิ่งขยับตัว ฉากตรงหน้าก็เปลี่ยนทันที สตรีในชุดเซินอีแขนกว้างยืนต้องลมอยู่บนระเบียงในถ้ำ ท่วงท่าดุจเซียน
มั่วชิงเฉินมองเงาอันงดงามนั้นอย่างเหม่อลอย นางมีชีวิตอยู่มาหลายปีเพียงนี้ยังเป็นครั้งแรกที่พบว่าสตรีคนหนึ่งอาศัยเพียงเงาหลังก็สามารถทำให้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหลได้
เมื่อมีความรู้สึกเช่นนี้ มั่วชิงเฉินอดเหล่หลัวอวี้เฉิงเงียบๆ ปราดหนึ่งไม่ได้ พบว่าในที่สุดเขาก็เผยสีหน้าที่ชายปกติพึงมีออกมาแล้ว
เสียงถอนใจเบาๆ ไพเราะเพราะพริ้งเสียงหนึ่งลอยมา จากนั้นหญิงในชุดเซินอีแขนกว้างหมุนตัวมา
มั่วชิงเฉินจิตใจได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เผยอริมฝีปากค้างไว้จนลืมหายใจ
หญิงผู้นี้งามมาก งามสุดยอด งามจนสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ทว่าก็ไม่ถึงกับทำให้นางตะลึงถึงขั้นลืมหายใจ อย่างไรเสียนางก็มิใช่ผู้ชาย
ที่มั่วชิงเฉินตะลึงถึงเพียงนี้ เพราะไม่คิดว่าหญิงผู้นี้จะละม้ายนางถึงห้าส่วน!
มั่วชิงเฉินที่รู้สึกเช่นนี้อดเหงื่อตกไม่ได้ ไม่ใช่เพราะนางชมคนอื่นอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายพูดออกมาคำหนึ่งว่าเหมือนตนเองยิ่งนัก คำชมก่อนหน้านี้จึงเหมือนกลายเป็นการชมตนเองเสียแล้ว หากแต่เพราะพวกนางเหมือนกันจริงๆ!
ความเหมือนเช่นนี้ กระทั่งบอกไม่ถูกว่าเหมือนตรงไหน ก็เหมือนดั่งมารดาพาบุตรออกมา คนอื่นก็จะบอกว่าบุตรเหมือนมารดา รอยามที่บิดาพาบุตรออกมาคนอื่นก็จะพูดอีกว่าเหมือนบิดา หากสามีภรรยาพาบุตรออกมาพร้อมกัน ให้คนอื่นพูดอีกครั้ง เขากระทั่งบอกไม่ถูกแล้วว่าเหมือนคนไหนกันแน่
นี่ก็คือความอัศจรรย์ของความเหมือนทางสายเลือด ทำให้คนอื่นมองปุ๊บก็รู้ว่าสองคนนี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดอย่างแน่นอน!
นี่จะเป็นไปได้เช่นไร!
มั่วชิงเฉินไม่รู้ความทรงจำก่อนห้าขวบของร่างกายร่างนี้ ทว่านางกลับจำได้อย่างชัดเจนว่าใครๆ ก็บอกนางว่า บิดาของนางปีนั้นแต่งสตรีธรรมดานางหนึ่งเป็นภรรยา
หรือว่า ตระกูลของมารดานาง… บรรพบุรุษก็มีผู้บำเพ็ญเพียรมาก่อน?
ทางด้านมั่วชิงเฉินจิตใจสั่นสะเทือน ทางด้านสตรีชุดเซินอีแขนกว้างกลับอ้าปากอย่างช้าๆ แล้ว “พวกเจ้ามาจากไหนกัน?”
ครั้งนี้ถึงครามั่วชิงเฉินไม่พูดแล้ว หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างนอบน้อม สนทนากับอีกฝ่ายขึ้นมา
มองดูหญิงผู้นั้นหลุบตายิ้มจางๆ กิริยาเคร่งขรึมลักษณะท่าทางสง่าแท้ๆ กลับดันซ่านเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบมิได้ออกมา ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินก็เข้าใจว่าไยนางถึงใส่เซินอีพื้นดำขอบแดง แต่งตัวเคร่งขรึมเช่นนี้แล้ว
ขณะที่มั่วชิงเฉินคิดฟุ้งซ่านอยู่ข้างๆ หลัวอวี้เฉิงและหญิงผู้นั้นก็สนทนาไปครึ่งค่อนวันแล้ว พูดถึงสุดท้ายหญิงสาวจู่ๆ ก็ยื่นนิ้วมือชี้ที่มั่วชิงเฉิน ยิ้มให้หลัวอวี้เฉิงว่า “เป็นเช่นไร หากเจ้าฆ่านางสีย ข้าก็จะแต่งเป็นภรรยาของเจ้า”
มั่วชิงเฉินตกตะลึงพรึงเพริด มองไปที่หญิงผู้นั้นอย่างไม่อยากเชื่อ
นางไม่ได้รู้สึกผิดคาดกับคำพูดนี้ หากแต่หลังจากในใจได้เห็นหญิงผู้นี้เป็นหนึ่งในบรรพบุรุษนางแล้ว กลับได้ยินคำพูดนี้จากปากนาง
พูดถึงที่สุด การที่คนเสียใจผิดหวัง ก็เพราะมีความคาดหวังต่อเรื่องหนึ่งหรือคนหนึ่งอยู่ก่อนนั่นเอง
มั่วชิงเฉินอดมองไปทางหลัวอวี้เฉิงไม่ได้
เห็นเพียงหลัวอวี้เฉิงสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ดูเหมือนกำลังชั่งใจอยู่
หญิงสาวรอคอยอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นเอ่ยว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องตอบโดยตรง เขียนการตัดสินใจของเจ้าไว้บนนี้ก็พอ” พูดพลางกระดาษแผ่นหนึ่งบินไปหาหลัวอวี้เฉิง
กระดาษหล่นลงในมือหลัวอวี้เฉิง หลัวอวี้เฉิงกำหมัดแน่น จู่ๆ ก็เงยหน้ามองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง แล้วถึงก้มหน้าเขียนอักษรไม่กี่ตัวลงบนกระดาษ
ตอนที่ 243 นิทานอันไกลพ้น
เห็นหลัวอวี้เฉิงก้มหน้ากำลังเขียนบนกระดาษ มั่วชิงเฉินบอกความรู้สึกในใจไม่ถูก เพียงแต่ยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ อย่างงงงัน
กระดาษแผ่นหนึ่งบินมาที่นาง ได้ยินเพียงเสียงไพเราะของหญิงสาวว่า “นางหนูน้อย ที่ข้านี่มีวิชายุทธ์ชุดหนึ่ง หากเจ้าได้ฝึกแล้วไม่เพียงแต่สามารถรักษาความสาวไว้ตลอดกาล รูปโฉมยังจะสวยขึ้นตามตบะที่เพิ่มขึ้น หากเจ้าฆ่าเขาแล้ว ข้าก็จะถ่ายทอดวิชายุทธ์ชุดนี้ให้เจ้า เป็นเช่นไร?”
หลัวอวี้เฉิงมือหยุดชะงัก
ทั้งสองคนมองไปที่หญิงที่งามดุจชาวสวรรค์พร้อมกัน
หญิงสาวยิ้มได้ประทับใจยิ่งขึ้น “พวกเจ้าไม่ต้องตกตะลึง เขียนทางเลือกของตนไว้บนกระดาษโดยตรงก็พอแล้ว ทว่าข้าขอเตือนพวกเจ้า หากคนหนึ่งเลือกเห็นด้วย อีกคนหนึ่งเลือกไม่เห็นด้วย เช่นนั้นข้าต้องทำให้คนที่เลือกเห็นด้วยสมหวังแน่นอน”
พูดถึงตรงนี้หญิงสาวกวาดประกายตาแวววาวมา หมุนเวียนอยู่บนใบหน้าทั้งสองคนชั่วครู่แล้วมองไปทางอื่น ไม่ออกเสียงอีก
มั่วชิงเฉินมองกระดาษสีขาวแล้วชะงักงัน เห็นหลัวอวี้เฉิงเขียนเสร็จแล้วถึงเม้มปาก เขียนลงไปไม่กี่ตัวอย่างรวดเร็ว
กระดาษสองแผ่นบินช้าๆ ไปหาหญิงสาวพร้อมกัน มาถึงตรงหน้าหญิงสาวยื่นมือรับมากวาดมองปราดหนึ่ง สีหน้ากลับไม่สะดุ้งสะเทือน เพียงแต่ยกตามองมาที่ทั้งสองคน ปากเอ่ยว่า “มีคนหนึ่งเลือกเห็นด้วยตามคาด”
เมื่อพูดออกไป พวกมั่วชิงเฉินกลับไม่ได้มองอีกฝ่าย ตรงกันข้ามกลับมองไปที่หญิงสาวแล้วเอ่ยพร้อมกันว่า “ท่านผู้อาวุโส ท่านพูดเล่นอยู่กระมัง”
หญิงสาวชะงักงัน สายตาฉ่ำวาวเลื่อนผ่านหน้าทั้งสองคนช้าๆ ใบหน้างามเลิศกลับฉายแววอาดูรขึ้นแวบหนึ่ง ถอนใจเบาๆ ว่า “ระหว่างพวกเจ้าช่างเชื่อใจกันดีเหลือเกิน…”
เพิ่งสิ้นเสียงหญิงสาวก็หายตัวไปทันที ฉากทั้งหมดเปลี่ยนไปในพริบตา โถงใหญ่หรูหราอะไร ระเบียงกลางถ้ำอะไรล้วนหายไป เป็นเพียงโถงศิลาธรรมดาที่หนึ่งบนพ้นมีกระดาษสองแผ่นหล่นอยู่อย่างเงียบๆ
พวกมั่วชิงเฉินสองคนรีบเดินไปในไม่กี่ก้าว ก้มตัวลงพร้อมกันต่างคนต่างเก็บกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง
กวาดจิตตระหนักผ่าน กระดาษในมือมั่วชิงเฉินเขียนอักษรไว้แถวหนึ่งความว่า “ข้ามีภรรยาแล้ว”
อีกด้านหนึ่งหลัวอวี้เฉิงกวาดจิตตระหนักผ่านเช่นกัน เห็นเพียงกระดาษแผ่นนั้นมีคำพูดประโยคหนึ่งเช่นกันความว่า “ข้าสวยพอแล้ว…”
“หึๆ” หลัวอวี้เฉิงหัวเราะเบาๆ ขึ้นมาอย่างหาได้ยาก เห็นมั่วชิงเฉินเบิกตามาอย่างดุดัน จึงรีบกระแอมสองที
“มีอะไรน่าขันหรือไร?” มั่วชิงเฉินหน้าดำแล้วถามขึ้น
หลัวอวี้เฉิงตั้งใจพิจารณามั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง จากนั้นส่ายหน้าว่า “พูดตรงๆ ข้าดูไม่ออกจริงๆ…”
มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “เช่นกันๆ”
หลัวอวี้เฉิงมองมั่วชิงเฉินพลางเก็บรอยยิ้มขึ้นในทันใด ชะงักครู่หนึ่งถึงว่า “ข้าไม่ได้พูดปดหรอกนะ”
มั่วชิงเฉินฟังแล้วชะงักงัน แล้วเลิกคิ้วอย่างตกใจเล็กน้อยว่า “เจ้ามีภรรยาจริงหรือ?”
เห็นสีหน้าไม่อยากเชื่อของมั่วชิงเฉิน หลัวอวี้เฉิงเม้มปากว่า “ไยข้าจะมีไม่ได้?”
มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างเก้อเขิน ในใจแอบว่าเพราะเจ้ายังแรงเยอะสู้ข้าไม่ได้น่ะสิ…
เห็นมั่วชิงเฉินเอาแต่ยิ้มแต่ไม่พูด หลัวอวี้เฉิงเสริมประโยคหนึ่งว่า “เป็นคู่หมั้น…”
ในใจมั่วชิงเฉินแม้รู้สึกอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้างว่าชายที่สติปัญญาไร้เทียมทานเช่นนี้คู่หมั้นจะเป็นเช่นไร กลับรู้สึกว่าไม่เหมาะจะคุยในสถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่พูดอะไรอีก สายตาเพ่งมองไปทั่ว
บนพื้นหินเขียวที่ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไร วางเบาะรองนั่งไว้เพียงอันเดียวอย่างอ้างว้าง เบาะรองนั่งยังไม่ใช่เบาะรองนั่งผ้าที่พวกเขาใช้กันตามปกติ หากแต่สานจากกก สีกลายเป็นสีเหลืองตั้งนานแล้ว
หรือว่าท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่โอรสศักดิ์สิทธิ์พูดถึงก็พำนักอยู่ในสถานที่ทรุดโทรมเช่นนี้? เช่นนั้นโถงใหญ่หรูหราที่เห็นก่อนหน้านี้มันเรื่องอะไรกัน?
มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงสบตากันปราดหนึ่ง ในตาต่างฉายแววสงสัย
ดูอยู่ครึ่งค่อนวันทั้งสองคนไม่พบเงื่อนงำอะไรจริงๆ ในโถงศิลานี้นอกจากทางที่มาดูเหมือนไม่มีทางออกอื่นอีก มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้วพูดตรงๆ ให้รู้แล้วรู้รอดไปว่า “ท่านผู้อาวุโสเซียนศักดิ์สิทธิ์ ไม่ทราบว่าท่านอยู่ที่นี่หรือไม่?”
เสียงกังวานสะท้อนอยู่ในโถงศิลาที่ไม่ใหญ่นี้ กลับยิ่งทำให้ดูเปล่าเปลี่ยว
“ท่านผู้อาวุโสเซียนศักดิ์สิทธิ์ พวกเราเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากดินแดนเทียนหยวน หลงเข้ามาที่นี่โดยบังเอิญจึงมากราบคารวะโดยเฉพาะ ขอให้ท่านผู้อาวุโสปรากฏตัวมาพบกันหน่อยเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินตะโกนอย่างไม่ตายใจ
“ไม่ต้องตะโกนแล้ว ข้าคิดว่าที่นี่น่าจะมีกลไกอะไรไม่ได้ถูกแตะต้อง หรือว่ามีการทดสอบบางอย่างที่พวกเรายังไม่ลุล่วง ท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นเกรงว่าคงไม่ออกมาก่อนหน้านั้นแล้วล่ะ” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยนิ่งเรียบ
“ยังมีการทดสอบอีก?” มั่วชิงเฉินแอบขมวดคิ้ว ท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ดูแล้วมาดใหญ่โตเหลือเกิน
หลัวอวี้เฉิงพยักหน้าว่า “เจ้าดูสิ ของหรูหราพวกนั้นที่เห็นยามที่เราเพิ่งเข้ามา น่าจะเป็นการทดสอบการควบคุมตนเองของเรา ทดสอบจิตใจละโมบของเรา หญิงสาวเมื่อครู่งามดุจชาวสวรรค์ เหยื่อล่อที่โยนให้ไม่ว่าข้าที่เป็นชายหรือว่าเจ้าที่เป็นหญิงแทบจะเป็นความยั่วยวนที่ยากจะปฏิเสธ กลับเสนอเงื่อนไขให้เราเข่นฆ่ากันเองอีก นี่ก็คือทดสอบเราว่าจะทรยศสหายเพื่อผลประโยชน์มหาศาลหรือไม่”
“นางให้เราต่างคนต่างเขียนการตัดสินใจไว้บนกระดาษ หลังจากเห็นคำตอบแล้วกลับบอกว่ามีคนหนึ่งเลือกเห็นด้วย ยามนั้นหากเราสงสัยซึ่งกันและกันการทดสอบนั้นต้องพ่ายแพ้เป็นแน่ การทดสอบนี้ก็คือ…ความเชื่อใจกันระหว่างสหาย” มั่วชิงเฉินเอ่ยเพิ่มเติม
หลัวอวี้เฉิงสายตามองตามมั่วชิงเฉิน ยิ้มแผ่วเบาว่า “ถูกต้อง เช่นนั้นเจ้าลองคิดดู หากยังมีด่านสุดท้าย ท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นจะทดสอบอะไรเราล่ะ?”
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว สายตาตกลงไปที่เบาะรองนั่งขาดๆ เก่าๆ บนพื้นหินเขียว แสงแวบขึ้นในสมองทันที สายตาเป็นประกายมองไปที่หลัวอวี้เฉิง เอ่ยอย่างแน่ใจว่า “ข้าคิดว่าเป็นความสามารถ”
หลัวอวี้เฉิงกระดกมุมปากขึ้น รอมั่วชิงเฉินพูดต่อไป
“หากท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นเป็นคนหงายไพ่ตามหลักทั่วไป เขาตั้งการทดสอบต่างๆ รอคอยผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากข้างนอก เช่นนั้นก็อธิบายได้เพียงสิ่งเดียว ก็คือเขามีเรื่องขอให้ช่วย เขามีเรื่องจะวานให้ผู้บำเพ็ญเพียรจากข้างนอกไปทำ ดังนั้นถึงทดสอบความละโมบของผู้ที่มา ทดสอบว่าจะฆ่าสหายเพื่อผลประโยชน์หรือไม่ ทดสอบว่าสหายจะพร้อมใจร่วมมือกันหรือไม่ มีความเชื่อใจกันอย่างแท้จริงหรือไม่ ทว่าต่อให้ผ่านการทดสอบแต่ละอย่างแล้ว หากผู้ที่มาความสามารถงั้นๆ เช่นนั้นทุกอย่างล้วนไม่ต้องคุยแล้ว” มั่วชิงเฉินคลี่คิ้วออก วิเคราะห์อย่างมั่นใจ
ยากที่จะเห็นรอยยิ้มของหลัวอวี้เฉิงไม่เจือปนสิ่งอื่น มองมั่วชิงเฉินว่า “ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน เจ้าเดาว่าท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นอยากทดสอบความสามารถอะไรของเรา?”
มั่วชิงเฉินมองตอบหลัวอวี้เฉิง จู่ๆ ก็หัวเราะว่า “ข้ารู้สึกว่าเจ้าควรรับศิษย์แล้ว”
หลัวอวี้เฉิงชะงัก จากนั้นถลึงตาใส่นางปราดหนึ่งว่า “พูดเรื่องจริงจัง!”
มั่วชิงเฉินยักคิ้ว “ย่อมเป็นจิตตระหนักอยู่แล้ว อยู่ในแดนไร้วิญญาณนี้เขายังสามารถทดสอบของอย่างอื่นได้อีกหรือไร?”
หลัวอวี้เฉิงหัวเราะว่า “เช่นนั้นยังรออะไรอีก”
พวกมั่วชิงเฉินสองคนปล่อยจิตตระหนักออกค้นโถงศิลาทั้งโถงอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปเนิ่นนานสายตาตกลงพร้อมกันบนเบาะรองนั่งบนพื้น
“ทำพร้อมกันเถอะ” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยขึ้นว่า
พวกมั่วชิงเฉินสองคนผลักเบาะรองนั่งด้วยจิตตระหนัก ไม่รู้ใช่เพราะระยะนี้การฝึกฝนจิตตระหนักได้ผลหรือไม่ ไม่คิดว่าจะไม่เปลืองแรงอย่างที่คิด เบาะรองนั่งก็ถูกจิตตระหนักของทั้งสองคนดันขึ้นลอยอยู่กลางอากาศอย่างง่ายดาย จากนั้นตกไปข้างๆ
ที่ที่ถูกเบาะรองนั่งบังไว้ในทีแรกมีแสงสีขาววาบผ่าน ยังไม่รอทั้งสองคนดูให้แน่ชัดว่าคือสิ่งใด ทันใดนั้นในโถงศิลาก็มีชายคนหนึ่งยืนอยู่
“สหายน้อยทั้งสองโดดเด่นเกินใครจริงๆ สามารถมาถึงหุบเขาไร้วิญญาณเป็นความโชคดีของข้า” ชายมองมาที่สองคนด้วยสายตาอ่อนโยน จู่ๆ ก็พูดขึ้น
ผู้ชายแม้ใบหน้าหนุ่มแน่น ทว่าไม่ว่าสายตาหรือเสียงล้วนเผยให้เห็นถึงการผ่านโลกมาอย่างโชกโชน เห็นชัดว่าอายุที่แท้จริงไม่น้อยแล้ว
มั่วชิงเฉินรีบก้มหน้าลง ชายผู้นี้เจิดจรัสไร้เทียมทาน ในบรรดาชายที่นางเคยพบมีเพียงฮวาเชียนซู่ที่ได้ความสง่างามของเขาห้าส่วน กิริยากลับห่างจนเทียบไม่ติด
ในเวลาสั้นๆ หนึ่งวันได้พบคนโดดเด่นเหนือคนคู่หนึ่ง ก็นับว่าเป็นบุญตาแล้ว
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ชื่นชม” พวกมั่วชิงเฉินสองคนเอ่ยพร้อมกัน
“หึๆๆ พวกเจ้าไม่ต้องเก้ๆ กังๆ ข้าก็เป็นเพียงแค่จิตตระหนักสายหนึ่งเท่านั้น อยู่ที่นี่มาตลอด ก็เพื่อรอคนมีวาสนาสามารถช่วยข้าบรรลุความปรารถนาที่ยังค้างคาอยู่ได้” ผู้ชายหัวเราะเสียงเบา
“ไม่ทราบท่านผู้อาวุโสมีอะไรจะสั่ง?” พวกมั่วชิงเฉินสองคนถามพร้อมกัน
ผู้ชายนิ่งเงียบครู่หนึ่ง แล้วหันหลังไป ผ่านไปเนิ่นนานถึงหันกลับมา สะบัดแขนเสื้อจู่ๆ แสงสองสายก็พุ่งใส่ทั้งสองคน
แสงสองสายเร็วดุจสายฟ้า ต่อให้พวกมั่วชิงเฉินสองคนไม่กล้าประมาทตลอดเวลายังคงหลบไม่ทัน แสงหายเข้าไปในหว่างคิ้วของทั้งสองคนในพริบตา
“ท่านผู้อาวุโส ท่านหมายความว่าเช่นไร?” หลัวอวี้เฉิงสีหน้าเย็นชาลง มั่วชิงเฉินสีหน้าโกรธเช่นกัน
ผู้ชายมองไปที่ทั้งสองคน ถอนใจเบาๆ ว่า “พวกเจ้าอย่าเพิ่งโมโห ฟังข้าพูดให้จบก่อน พวกเจ้าสองคนสามารถมาถึงที่นี่ได้ ไม่ว่าจะความแน่วแน่ นิสัยหรือว่าความสามารถล้วนดีเยี่ยม ข้ารออยู่ที่นี่มานับพันปีเต็มๆ แล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรที่หลงเข้ามาในนี้ไม่เกินสิบกว่าคน คนที่ผ่านการทดสอบมีเพียงพวกเจ้าสองคนเท่านั้น ข้าไม่อยากรอต่อไปแล้วจริงๆ”
“ต่อให้เป็นเช่นนี้ ท่านผู้อาวุโสก็ไม่ควรไม่แม้แต่จะพูดให้รู้เรื่อง ก็ใช้กำลังบังคับพวกเราแล้ว นี่มิใช่ไม่ให้โอกาสในการต่อรองหรอกหรือ พวกเราไม่ทำตามที่ท่านขอไม่ได้?” น้ำเสียงหลัวอวี้เฉิงแข็งขึ้น
ท่าทีของผู้ชายยังคงอ่อนโยนว่า “ข้าฝืนใจคนอื่นแล้วจริงๆ ทว่าพวกเจ้าสองคนฟังข้าพูดให้รู้เรื่องก่อนเป็นเช่นไร?”
เรื่องมาถึงขั้นนี้พวกมั่วชิงเฉินสองคนไม่มีวิธีอื่น ได้แต่ฟังอย่างสงบ
ผู้ชายเผยอริมฝีปาก ดูเหมือนไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน ผ่านไปเนิ่นนานถึงเอ่ยช้าๆ ว่า “พวกเจ้าจำหน้าตาของหญิงเมื่อครู่ได้หรือไม่?”
พวกมั่วชิงเฉินสองคนพยักหน้าอย่างแรง
“นางชื่อวุนหนิง…เป็นภรรยาของข้า” ผู้ชายพูดถึงตรงนี้สีหน้าอ่อนโยนขึ้นมา แล้วเอ่ยต่อว่า “สองพันกว่าปีก่อน พวกเราที่อยู่ระดับก่อแก่นปราณเช่นกันจัดพิธีบำเพ็ญเพียรคู่ กลายเป็นสามีภรรยาอย่างเป็นทางการ พวกเราเป็นคนที่มีจิตใจแน่วแน่ต่อเต๋าทั้งคู่ แม้เป็นคู่บำเพ็ญเพียรแล้วยังคงมีวิถีของตนเอง ออกเดินทางฝึกตนผจญภัยก็เกิดขึ้นตามอารมณ์เช่นกัน ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา เป็นเช่นนี้ไม่ถึงร้อยปีก็ต่างเลื่อนขั้นเข้าระดับก่อกำเนิด พริบตาเดียวพันปีผ่านไป ชีวิตค่อยๆ นิ่งเรียบ ตบะหยุดชะงักไม่เดินหน้าต่อ หนิงเอ๋อร์ที่ในที่สุดก็เบื่อหน่ายต่อการออกไปท่องเที่ยวฝึกตน กักตนบำเพ็ญเพียรไม่หยุดตัดสินใจจะให้กำเนิดบุตร หลังจากนั้นไม่นานพวกเรามีบุตรคนแรก ผ่านไปหลายปียามที่ข้าออกไปท่องเที่ยวฝึกตนอีกครั้งนั้น ไม่คิดว่าหนิงเอ๋อร์ตั้งครรภ์อีกครั้ง พูดได้ว่าการตั้งครรภ์ครั้งนี้เป็นจุดพลิกผันในชีวิตของพวกเรา…ครรภ์ของนางเป็นครรภ์หลบ!”
มั่วชิงเฉินมองหลัวอวี้เฉิง นางไม่เข้าใจความหมายของครรภ์หลบ
ดีที่ผู้ชายอธิบายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “อันว่าครรภ์หลบ เป็นปรากฏการณ์พิเศษที่มีเฉพาะในผู้บำเพ็ญเพียรเท่านั้น หลังจากที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงมีครรภ์ เพราะสาเหตุพิเศษบางอย่างเป็นผลให้พลังวิญญาณห่อหุ้มเด็กในครรภ์ไว้ จำกัดการพัฒนาการของเด็กในครรภ์ การตั้งครรภ์อาจผ่านไปหลายปีหรือกระทั่งหลายสิบปีถึงปรากฏอาการออกมา ยามนั้นข้าออกท่องเที่ยวฝึกตนไม่รู้ว่าหนิงเอ๋อร์ตั้งครรภ์ รอยามที่ข้าท่องเที่ยวฝึกตนสิบกว่าปีกลับมาพบหนิงเอ๋อร์ กลับพบว่านางตั้งครรภ์…”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น