เนตรเซียนทะลุสมบัติ 237-243

 ตอนที่ 237 เข้าไปด้านใน


“ส่งกระเป๋ามาเร็วเข้า!” ฉินโถวตะโกนขึ้นมาก่อนที่จะชี้ไปที่ใต้เท้าของหยางโป


หยางโปรีบหยิบกระเป๋าส่งไปให้เขาในทันที


ฉินโถวหยิบกรรไกลออกมาก่อนที่จะตัดเสื้อของเจี่ยงเอ้อออก ทันใดนั้นหยางโปก็เห็นขาของเจี่ยงเอ้อที่มีกรวยหนามกำลังทิ่มเจาะทะลุจากด้านหลังมาจนถึงด้านหน้า!


ฉินโถวรีบจัดการล้างแผล หยุดเลือดและใช้ผ้าพันแผลปิดแผลให้เขาในทันที


เจี่ยงเอ้อในเวลานี้ดูเหมือนว่าจะหมดสติไปแล้ว ตอนนี้ร่างกายของเขามีบาดแผลทั้งหมดสามจุด มีด้านหลัง ขาและบ่าฝั่งซ้าย ตอนนี้ดูเหมือนว่าแผลตรงที่ขาของเขาจะหนักที่สุด แต่หยางโปกลับเดาว่าจุดที่รุนแรงถึงชีวิตคือบาดแผลตรงด้านหลังของเขา


 


หลังจากวางกรรไกรแล้ว ฉินโถวก็หันมาด้านหลังก่อนที่จะจ้องเจี่ยงเอ้อพร้อมกับหมุนตัวออกมา “หนิวต้า เสียวอู่ พวกนายพาเจี่ยงเอ้อกลับไปก่อน!”


“ครับ” หนิวเอ้อและโหยวเสียวอู่ตอบกลับไปอย่างไม่ลังเลพร้อมกับพยักหน้า


หยางโปมองเข้าไปก็ต้องตกใจเพราะพบว่าสุสานที่อยู่ด้านในนั้นมีส่วนที่ทรุดตัวลงมาจนพังแล้วด้วยซึ่งเป็นเพราะการทรุดตัวลงของดิน ในเวลานี้ฉินโถวคือแกนหลักและไม่ว่าเขาจะพูดอะไรทุกคนก็ต้องฟังคำสั่งจากเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น


ฉินโถวพยักหน้าก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ดาวเทียมออกมาก่อนที่จะกดโทรออก


ในเวลาอันรวดเร็วฉินโถวก็หันมาพูดกับหนิวต้า “พวกนายพาเจี่ยงเอ้อไปหาคุณหลาวตอนนี้เลย!”


 


หนิวต้าพยักหน้าตอบรับกลับมาในเวลานั้นเองหนิวเอ้อและคนอื่นๆก็เดินมาพร้อมกับไม้ที่มีความยาวเกือบ 2 เมตร หลังจากนั้นพวกเขาก็เอาผ้ามาผูกกันเอาไว้ก่อนที่จะทำเป็นเปลแบบง่ายๆเพื่อเคลื่อนย้ายผู้ป่วย


หลังจากทั้งสามคนออกจากที่นี่ไปแล้วบรรยากาศภายในนี้ก็กลับมาเงียบอีกครั้ง ในเวลานี้ทางฝั่งของฉินโถวเหลือเพียงแค่ 3 คนและทางฝั่งของหยางโปเหลืออยู่สี่คน และดูเหมือนว่ากำลังจะเริ่มแตกต่างไปจากเดิมแล้ว


ทุกคนรู้ดีว่าบรรยากาศภายในนี้เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง สายตาของหนิวเอ้อก็ดูเหมือนว่าจะระแวดระวังมากเป็นพิเศษด้วย


หลูตงซิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปพูดกับฉินโถว “อาจารย์ฉิน พวกเราร่วมมือกันมาก็ตั้งหลายครั้งแล้ว ผมเป็นคนยังไงคุณเองก็น่าจะรู้ดี แต่ถ้าจะให้พวกผมกลับไปก่อนก็ได้นะ”


 


ฉินโถวยกมือขึ้นมา “ไม่เป็นไร”


พูดจบเขาก็หันไปตบบ่าหนิวเอ้อ “ผ่อนคลายเถอะ! นายเองก็น่าจะรู้จักเถ้าแก่ที่ยืนอยู่ข้างหน้านายคนนี้ดี ความร่ำรวยของเขามากกว่าพวกเราตั้งหลายเท่า ถึงที่นี่จะมีสมบัติเยอะแต่ก็อาจจะไม่เยอะเท่ากับสิ่งที่เขามีด้วยซ้ำ!”


“หลังจากขุดของขึ้นมาแล้ว ทั้งสี่คนเลือกของกลับไปคนละชิ้นก่อนเลยก็แล้วกันนะ” ฉินโถวพูด


หลูตงซิ่งชะงักไปในทันที อันที่จริงพวกเขามาที่นี่ก็เพื่อที่จะมาดู แต่หลังจากที่ได้ยินข้อเสนอจากฉินโถวแล้วเขาก็เริ่มไม่เข้าใจแล้วว่าตัวเองกำลังเป็นเหยื่อหรือว่ากำลังถูกดึงเข้ามาอยู่ในกระบวนการนี้ด้วยกันแน่


 


“ครับ” หลูตงซิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าตอบกลับไป “พวกเรารับปากว่าจะไม่หยิบจับของที่อยู่ภายในนี้ก่อนเด็ดขาด”


คำพูดที่หนักแน่นของหลูตรงซิ่งทำให้ทุกคนเริ่มสบายใจขึ้นมา ฉินโถวเองก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ อันที่จริงตอนที่เขายังมีกำลังคนอยู่เขาก็สามารถที่จะกดหลูตงซิ่งและคนอื่นๆได้ แต่ในเวลานี้วิธีนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นวิธีการที่ปลอดภัยและดีที่สุดแล้ว


อีกอย่างตอนนี้พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะลากเวลาไปจนถึงพรุ่งนี้ได้ เพราะยิ่งลากไปอีกวันก็ยิ่งอันตรายมากขึ้น


ทุกคนกลับเข้ามาที่ทางเดินเพื่อเข้าไปในสุสานอีกครั้ง โดยครั้งนี้เจ้าอ้วนหลิวทำหน้าที่เป็นผู้ที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก


 


ตอนที่ผ่านกำแพงเหล็กเข้ามา หยางโปก็สังเกตเห็นบันไดที่อยู่ด้านใต้เท้าของเขาซึ่งช่วยรองรับเท้าเอาไว้และไม่ทำให้ทุกคนตกลงไปด้านล่าง


หยางโปเดินลงไปด้านล่างอย่างระมัดระวัง ระหว่างที่เดินอยู่บนบันไดก็รู้สึกได้ถึงความสั่นเล็กน้อย และเมื่อเดินลงไปเรื่อยๆเขาก็เงยหน้าขึ้นมา


หยางโปสังเกตเห็นว่าทุกคนกำลังมองไปที่ฝั่งซ้ายมือ เขาจึงหันไปมองด้วยก่อนที่จะพบว่ามีโลงวางอยู่ตรงนั้นแถมด้านข้างก็มีกล่องไม้วางอยู่ด้านข้างอีกด้วย


หยางโปชะงักไปก่อนที่จะเอ่ยปากถาม “นี่เป็นโลงศพหลักเหรอ?”


 


ลัวย่าวหัวพยักหน้าก่อนที่จะยกนิ้วโป้งขึ้นมาให้หยางโปเพื่อเป็นการชื่นชมในความฉลาดของเขา


หยางโปเข้าใจความหมายของลัวย่าวหัวในทันที ตอนนี้เขารู้สึกชื่นชมฉินโถวมากถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าที่หรืออยู่ตำแหน่งอะไร แต่การที่เขาสามารถขุดถ้ำแล้วเข้ามาในจุดที่เป็นโลงศพหลักได้แบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่ใช่คนธรรมดาจะสามารถทำได้แน่ๆ


หยางโปเคยได้ยินมาว่าก่อนการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนมีบุคคลผู้นึงที่เก่งในเรื่องฮวงจุ้ยเป็นอย่างมาก มีอยู่ครั้งนึงตอนที่เขามาหาญาติที่เมืองหยิงเซียง ตอนที่เขากำลังเดินชมทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่นั้นเขาก็ชี้ไปที่นาข้าวบล็อกหนึ่งพร้อมกับพูดกับคนที่มาด้วยว่าด้านใต้มีสุสานขนาดใหญ่อยู่และสมบัติที่อยู่ภายในสุสานนั้นจะทำให้คุณและฉันร่ำรวยได้


 


แต่คนที่มาพร้อมกับเขาไม่เชื่อ ชายคนนั้นจึงพนันกับคนพวกนั้นว่า ถ้าหากไม่มีสุสานโบราณจริงๆเขาจะยอมเสียหนึ่งพันดอลล่าให้กับคนเหล่านั้น แต่ถ้าหากในนั้นมีสมบัติเขาจะขอแบ่ง 70%จากทั้งหมดที่มี ทุกคนเมื่อได้ทำการพนันกันก็เรียกคนในหมู่บ้านออกมาขุดกันในช่วงกลางคืนและในที่สุดหลังจากผ่านไปครึ่งวันก็พบกับหลุมฝังศพที่เป็นห้องอิฐ


หยางโปคิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้เขาจะได้มาเห็นมันด้วยตาของเขาเอง!


โลงศพในเวลานี้มีส่วนที่ผุพังแล้ว หนิวเอ้อเองก็ใช้ค้อนทุบไปบนนั้น


หยางโปเกิดอาการตกตะลึงขึ้นมาแต่หลังจากที่เห็นสีหน้าของฉินโถวและหลูตงซิ่งไม่ได้ตกใจหรืออะไร เขาก็เลยไม่ได้พูดอะไรออกมา การปล้นหลุมฝังศพแบบนี้ถือว่าสร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สมบัติในนี้เป็นอย่างมาก แต่เป็นเพราะเวลาที่กระชั้นชิดและมีอย่างจำกัดจึงทำให้ไม่มีทางเลือกอื่น


 


ในเวลาอันรวดเร็วโลงศพก็ถูกทุบจนเปิดออก ทุกคนรีบเข้ามาช่วยกันเปิดฝาโลงอย่างสุดแรงทันใดนั้นก็พบว่าด้านในนั้นเต็มไปด้วยความมืดแถมกระดูกของศพก็ไม่มีเหลือแล้วเพราะตอนนี้โคลนและกระดูกได้ผสมหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นที่เรียบร้อย


หยางโปและอีกสามคนลุกขึ้นยืนโดยไม่ได้พูดอะไร เพราะพวกเขาได้ทำข้อตกลงแล้วว่าพวกเขาจะไม่ไปแตะต้องอะไรภายในนี้ก่อนหากไม่ได้รับอนุญาตจากอีกฝ่าย


ฉินโถวหยิบไม้จิ้มฟันขึ้นมาก่อนที่จะค่อยๆเขี่ยของที่อยู่ในโลงอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น “หนิวเอ้อ พวกนายรีบไปจัดการกล่องพวกนั้น”


 


หนิวเอ้อรีบเดินไปก่อนที่จะทุบกล่องเหล่านั้นอีกครั้ง แต่ใช้แรงไม่มากก็สามารถทำให้ที่ล็อคที่อยู่ด้านนอกกล่องหลุดออกมาได้อย่างง่ายดาย


กล่องถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับแสงสีขาวที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าซึ่งด้านในมีเครื่องเงินบรรจุอยู่เต็มไปหมด


กล่องมีทั้งหมดห้าใบ กล่องแรกเป็นกล่องที่มีเครื่องเงินบรรจุอยู่แถมยังมีฝุ่นควันสีขาวๆกระจายออกมา กล่องใบที่สองเป็นกล่องที่บรรจุเครื่องทอง กล่องใบที่สามเป็นกล่องบรรจุผ้าไหมซึ่งมีการย่อยสลายหายไปตามกาลเวลาแล้ว กล่องใบที่สี่เป็นที่บรรจุกระดาษและหนังสือซึ่งได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นขี้เถ้าไปแล้ว ทันทีที่นิ้วสัมผัสไปที่ของเหล่านั้นมันก็แหลกสลายออกกลายเป็นฝุ่นผงทันที และกล่องสุดท้ายคือกล่องที่บรรจุเครื่องเคลือบลายครามซึ่งมีเครื่องเคลือบดินเผาศิลาดลบรรจุไว้อยู่เต็มกล่องแถมมันก็ยังมีสภาพดีด้วยมีเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่มีลอยแตกหักเล็กน้อย


 


รอบๆโลงศพทั้งสี่ด้านมีเครื่องปั้นดินเผาในยุคราชงศ์ถังซึ่งเป็นตุ๊กตาอูฐ เหล่าคนใช้และหญิงสาวอยู่ราวๆ 30-40 ชิ้น และแน่นอนว่าหลิวเอ้อก็รีบทำการเก็บมันลงกล่องอย่างรวดเร็วโดยไม่รีรอ


ของที่อยู่ภายในนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับหยางโปและคนอื่นๆ พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อที่จะดูเท่านั้น


หลังจากที่เขาหันหลังไปก็พบว่าฉินโถวกำลังหยิบตราประทับสีทองขึ้นมาชิ้นนึง ทันใดนั้นเขาก็ต้องตกตะลึงขึ้นมาอีกครั้งเพราะเขาพอจะเดาได้ว่าของชิ้นนี้จะต้องเป็นของหลีผู่แน่ๆ


เครื่องทอง เครื่องหยกถูกนำออกมาจากโลงศพทีละชิ้นถึงแม้ว่ามันจะเต็มไปด้วยโคลนแต่มันก็ยังสามารถแสดงความสวยงามและความปราณีตออกมาให้ได้เห็นอย่างน่าประหลาดใจ หยางโปที่เห็นของเหล่านั้นก็เกิดตาร้อนผ่าวขึ้นมา


 


แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกโลภแต่อย่างใด


ในเวลาอันรวดเร็วฉินโถวก็นำของออกมาจากโลงศพจนหมดก่อนที่จะนำไปวางไว้ในกล่องที่พวกเขาเตรียมมา


หลังจากนั้นเขาก็หันมาหาทุกคน “เราไปดูห้องข้างๆกันเถอะ”


หยางโปและคนอื่นๆเริ่มเกิดอาการตื่นเต้นขึ้นมาก่อนที่จะเดินตามฉินโถวไปที่ห้องถัดไป


ประสบการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้ทุกคนเดินไปอย่างระมัดระวังโดยเฉพาะการเดินตรงเส้นทางในหลุมศพแบบนี้ยิ่งต้องก้าวเท้าให้ช้าลงมากกว่าทุกๆครั้ง


ตอนที่ 238 ล้มละลาย


พ่อหยางและหยางหลางที่ยืนอยู่ด้านหน้าร้านสืออี๋ถางก็ตะโกนผ่านโทรโข่งจนเรียกความสนใจจากผู้คนที่เดินผ่านไปมาจำนวนมาก


ด้านข้างเต็มไปด้วยผู้ที่เข้ามาดูสินค้า โดยที่ด้านในและด้านนอกมีการยืนซ้อนกันถึงสามชั้น วันนี้เป็นวันที่สองแล้ว วันแรกพวกเขาคิดไว้ว่าจะต้องขายมันออกไปได้สองหมื่นต่อชิ้นเป็นอย่างต่ำ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะไม่สามารถขายมันได้เลยสักชิ้นเดียว ซึ่งมันทำให้พ่อของเขารู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก วันนี้พวกเขาจึงเปลี่ยนกลยุทธ์การขายใหม่อีกครั้ง


 


เขาทำการตะโกนผ่านโทรโข่ง “โอกาสไม่ได้มีมาบ่อยๆ ขายแบบขาดทุนไปเลยทุกชิ้นสองร้อยหยวน ทุกชิ้นสองร้อยหยวน! ซื้อไม่ซื้อไม่เป็นไรเข้ามาดูกันก่อนได้! ชิ้นไหนก็สองร้อย จะซื้ออะไรก็สองร้อยเท่านั้น! อยากได้อะไรเอาไปเลยชิ้นละสองร้อยหยวน! ราคาเดิมอยู่ที่หนึ่งพันแปดร้อยหยวน แต่ถ้าซื้อวันนี้เอาไปเลยสองร้อยหยวนเท่านั้น!!!”


“สองร้อยครับสองร้อย! ซื้อชิ้นไหนก็สองร้อยเท่านั้น เชิญเข้ามาเลือกซื้อกันได้ตามสบายเลย ไม่มีทางขาดทุนอย่างแน่นอน ราคานี้หาซื้อจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้วอยากได้ของชิ้นไหนหยิบไปได้เลยครับ สองร้อยหยวนเท่านั้น!”


 


แสงแดดที่อยู่กลางหัวเริ่มค่อยๆตกลงเรื่อยๆในขณะที่กลุ่มคนที่เดินผ่านไปมาก็เริ่มจะทยอยเดินออกไป ตลอดทั้งเช้าพวกเขาสามารถขายมันออกไปได้แค่หนึ่งชิ้นเท่านั้น แถมชิ้นนั้นเป็นของที่เขาซื้อมาสามสิบหยวนด้วย ตอนที่หลางหยางซื้อกลับมาพ่อหยางก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพราะเขารู้ดีว่าหยกปลอมแบบนี้ชิ้นนึงอยู่ที่ราคาไม่กี่หยวนเท่านั้น


“เก็บแผงลอยนี่ให้หมด”


ทันใดนั้นขณะที่พ่อหยางและหยางหลางกำลังนั่งด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายอยู่นั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้น ทันทีที่เงยหน้าขึ้นไปมองก็พบกับคนที่สวมใส่ชุดเครื่องแบบเดินเข้ามาก่อนที่จะกวาดหยกที่พวกเขาวางเอาไว้บนผ้าไปจนหมด


 


พ่อและหยางหลางพากันตกตะลึงไปในทันที


หัวหน้าเทศกิจหันมามองพวกเขา “พวกคุณมาทำการค้าขายแบบนี้มันขัดขางการจราจรทางเท้าอย่างมาก ตอนนี้เราจะต้องยึดทุกอย่างไปทั้งหมด โปรดเซ็นชื่อรับทราบด้วย”


พ่อหยางยิ่งตกตะลึงขึ้นมาอีกครั้งเพราะนี่เป็นสมบัติสุดท้ายที่บ้านพวกเขามีเหลืออยู่ ถ้าหากถูกยึดไปจนหมดพวกเขาจะเอาอะไรกิน?!


“พวกคุณจะยึดของพวกนี้ไปไม่ได้นะ” พ่อหยางรีบพุ่งตัวไปด้านหน้า “เอาหยกคืนมาให้ฉัน เออๆๆ ฉันไปจากที่นี่ก็ได้”


“คืนไม่ได้!” เทศกิจปฏิเสธ


 


พ่อหันไปมองกระเป๋าพร้อมกับเตรียมที่จะแย่งกลับมาแต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่ล็อคตัวเอาไว้ เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้พ่อหยางก็รีบล้มลงไปที่พื้นพร้อมกับตะโกน “ช่วยด้วยมีคนถูกทำร้าย เทศกิจทำร้ายประชาชน โอ้ย!”


หยางหลางยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยความตกตะลึง แต่ทันทีที่เห็นพ่อของเขาลงไปนอนที่พื้นเขาก็รีบวิ่งไปประคองพ่อของเขาขึ้นมาพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “เทศกิจทำร้ายประชาชน ช่วยด้วย! เทศกิจทำร้ายประชาชน!”


แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่เทศกิจจะยึดของกลางไปแล้วยังเขียนใบสั่งพร้อมกับโยนลงที่พื้นก่อนที่จะเดินออกไปอย่างไม่ใส่ใจสองพ่อลูก


 


“มีคนถูกตีสาหัส เทศกิจทำร้ายประชาชนจนบาดเจ็บสาหัส!” หยางหลางรีบตะโกน


ในเวลานั้นเทศกิจก็หันกลับมามองสองพ่อลูก แต่เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นที่คนเหล่านั้นหันมาก่อนที่จะเดินหันหลังไปโดยไม่ใส่ใจ


พ่อหยางเริ่มร้อนใจขึ้นมา เขารีบลุกขึ้นก่อนที่จะวิ่งตามไป ทันทีที่มาถึงหน้ารถของเจ้าหน้าที่เขาก็รีบจับขาของอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “พวกคุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ…พวกคุณเอาของของพวกผมไปแบบนี้ไม่ได้ พวกเราต้องพึ่งพาของพวกนี้เพื่อประทังชีวิต นี่เป็นของชิ้นสุดท้ายที่เรามีเหลืออยู่ ถ้าพวกคุณเอามันไปแบบนี้แล้วพวกผมจะมีชีวิตอยู่กันได้ยังไง”


 


เจ้าหน้าที่เทศกิจ “มีปัญหาก็ต้องแก้ไขปัญหา! แล้วพวกคุณนี่ยังไงกัน? ทำไมถึงไปวางแผงลอยหน้าร้านคนอื่น มันกระทบกับกิจการของเจ้าของร้านมากนะรู้ไหม คนที่โทรมาแจ้งบอกว่าคุณไปใส่ร้ายชื่อเสียงของเจ้าของร้านด้วย ถ้าพวกคุณตามไปที่สถานีตำรวจเราค่อยทำเรื่องประนีประนอมกัน”


พ่อหยางชักงักทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายพูด ทันทีที่เขาเข้าใจความหมายนั้นก็พูดด่าขึ้นมา “ไอ้เด็กเวร! ไอ้เด็กเณรคุณ! ไอ้หยางโปไอ้เด็กชั่ว! ฉันเป็นพ่อของเขานะ ทำไมเขาถึงได้มาแจ้งจับฉันแบบนี้!”


“จะลุกขึ้นได้รึยัง?” คนๆนั้นถามด้วยความร้อนใจ


 


พ่อของหยางหลางเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะพบว่ามีคนมายืนดูเหตุการณ์ตรงหน้าจนแน่นไปหมด เขาจึงตะโกนขึ้นมาอีกครั้งว่า “ผมป่วยเป็นโรคหัวใจ ตอนนี้ผมยังไม่ออกจากโรงพยาบาลเลย แต่เป็นเพราะที่บ้านของผมไม่มีเงินรักษาต่อก็เลยต้องมานั่งเปิดแผงลอยเพื่อหาเงินไปรักษา พวกคุณจะเอาของๆเราไปแบบนี้ไม่ได้นะ ฮือ!”


ระหว่างที่พูดพ่อหยางก็น้ำตาไหลลงมาเต็มหน้า ในขณะที่หยางหลางที่อยู่ด้านหลังก็มาพยุงพ่อของเขาพร้อมกับร้องไห้ออกมาด้วยความเวทนา


“แล้วทำไมลูกชายของนายไม่ไปทำงานล่ะ? โตขนาดนี้แล้วถ้าไปทำงานก็คงจะได้เงินมาไม่น้อยแล้ว” จู่ๆก็มีคนพูดขึ้น


พ่อหยางชะงักไปก่อนที่จะตบหัวลูกของเขา “เขาปัญญาอ่อนน่ะ ฮือออ”


 


หยางหลางชะงักไปก่อนที่จะแกล้งทำเป็นเด็กเอ๋อด้วยท่าทางติงต๊องขึ้นมาในทันที


“นี่ๆ ตอนที่เขาเก็บเงินยังดีๆอยู่เลยหนิ ทำไมตอนนี้ถึงปัญญาอ่อนขึ้นมาได้ล่ะ?” ชายที่ซื้อหยกไปถามขึ้น


พ่อของเขาอึ้งไปก่อนที่จะรีบตอบ “ก็เวลาเห็นเงินเขาก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติของเขา”


“ที่แท้ก็ถูกเงินครอบงำ ทุกคนอย่าไปฟังคำโกหกของคนพวกนี้ ฉันเคยเห็นคนนี้ที่โรงพยาบาล แถมยังอยู่ในห้องพิเศษด้วย มีแต่คนป่วยที่มีเงินเท่านั้นแหละที่จะอยู่ที่นั่นได้”


เสียงของใครอีกคนดังขึ้นมาอีกแล้ว


ทันใดนั้นสายตาและความสงสารของทุกคนก็เปลี่ยนไป พร้อมกับเสียงซุบซิบที่ดังขึ้น


 


“ตาแก่นี่เป็นคนรวยแถมยังพักอยู่ในห้องผู้ป่วยพิเศษ คนที่มีปัญญาออกมาวางแผงลอยได้แบบนี้ เป็นโรคจริงๆเหรอ?”


“เป็นโรคสิ ไม่น่าจะเบาๆด้วยแหละ”


เสียงผู้คนที่อยู่แถวนั้นเริ่มดังขึ้น แถมยังมีแต่คนยืนชี้นิ้วด่าพ่อหยางอย่างไม่หยุด ตอนที่เขาบอกว่าหยางหลางปัญญาอ่อนทุกคนก็ดูออกกันหมดว่ามันเป็นแค่เรื่องโกหกทั้งนั้น


ยังไม่ทันที่พ่อหยางจะได้ตั้งตัวพวกเขาทั้งสองคนก็ถูกล็อคตัวเอาไว้ก่อนที่ของของพวกเขาจะถูกย้ายไปไว้บนรถ


พ่อหยางเริ่มเกิดอาการกระวนกระวายใจขึ้น “เอาของคืนมาให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ! เทศกิจทำร้ายประชาชนนนนน!”


 


ทุกคนที่ยืนอยู่แถวนั้นไม่ได้รู้สึกสงสารอีกต่อไป หลังจากที่เห็นพ่อหยางกำลังพูดเรื่องโกหกทุกคนก็เพิกเฉยและแยกย้ายกันออกไปคนละทิศคนละทางราวกับพวกเขาเป็นเพียงแค่อากาศ


พ่อหยางและหยางหลางนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าประตูร้านของหยางโปพร้อมกับถอนหายใจออกมาราวกับหมดหนทาง


“พ่อ พวกเราจะเอายังไงกันต่อดี?” หยางหลางถาม


พ่อหยางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหันมาเปลี่ยนประเด็น “เสี่ยวหลาง…ทำไมแกถึงไม่ทำงาน?”


หยางหลางชะงักไป “พ่อพูดอะไรเนี่ย? นี่พ่อเต็มใจให้ผมออกไปทำงานเหรอ?”


 


“เต็มใจ!”


หยางหลางอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบ “พ่อ พวกเรายังไม่ได้ลำบากถึงขั้นนั้นไหม?”


“ถึงจะยังไม่ถึงขั้นนั้นแต่ก็เกือบจะถึงแล้ว!” พ่อหยางพูด


“แต่ผมไม่มีแรงที่จะทำงานอะไรเลยนะพ่อ? ยังไงก็ทำเงินได้ไม่มากหรอก”


“แล้วตอนที่แกกินข้าว แกไปเอาแรงมาจากไหน?”


หยางหลางได้ยินแบบนั้นก็หมดคำพูดที่จะโต้เถียงในทันที


แผนการทำธุรกิจของพ่อหยางได้มาถึงจุดที่สาหัสในที่สุด ของของเขาถูกยึดไปหมดแล้วแถมยังต้องไปเสียค่าปรับอีก ตอนนี้พวกเขาไม่มีเงินแม้แต่จะไปเสียค่าปรับเสียด้วยซ้ำ พ่อหยางหลางจึงตัดสินใจที่จะล้มเลิก


 


ในที่สุดพ่อหยางก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนที่จะกดโทรศัพท์ไปหาหยางโป


“ขอโทษค่ะ ไม่สามารถติดต่อเลขหมายปลายทางที่ท่านเรียก….”


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็กดโทรอีกครั้ง “ขอโทษค่ะ ไม่สามารถติดต่อเลขหมายปลายที่ท่านเรียก….”


พ่อหยางโกรธจนยกโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อที่จะโยนมันลงพื้นด้วยความโมโห


แต่จู่ๆเขาก็เงยหน้าขึ้นไปมองโทรศัพท์ก่อนที่จะหันไปหาหยางหลาง “เอาโทรศัพท์ไปขายแล้วกัน จะได้มีข้าวเย็นกิน”


ตอนที่ 239 หินเหล็กแขวน


ท่ามกลางความมืดตรงทางเดินในสุสาน หนิวเอ้อทำหน้าที่เดินนำหน้าสุดโดยเขาเดินไปด้านหน้าด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมากแถมยังชะลอความเร็วด้วย จนถึงตอนนี้ทุกคนไม่มีใครรีบร้อนที่จะเดินให้เร็วขึ้นเหมือนกับก่อนหน้านี้เพราะการที่ต้องเผชิญหน้ากับภัยอันตรายที่สามารถจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาแบบนี้สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือการระมัดระวังให้มากขึ้น


หนิวเอ้อเดินไปด้านหน้าด้วยการเหยียบลงที่พื้นอย่างมั่นคงก่อนที่จะเคลื่อนตัวไปด้านหน้าอย่างช้าๆ


แกร่ก! ทันใดนั้นเสียงก็ดังขึ้นพร้อมกับทุกคนที่เกิดอาการใจเต้นแรงขึ้นมาด้วยความตกใจจนต้องรีบมองไปด้านหน้า


 


“รีบถอยหลังเร็วเข้า!” ฉินโถวตะโกนขึ้นมาเสียงดัง


หยางโปที่อยู่หลังสุดรีบวิ่งถอยไปด้านหลังทันทีอย่างไม่ลังเล


ตูม! เสียงก้อนหินดังขึ้นกระแทกกับพื้นพร้อมกับลมที่พัดผ่านตัวหยางโปไปในเวลาเดียวกันควันก็กระจายไปทั่วห้องจนทุกคนไอออกมา


หลังจากที่หันหลังกลับไปมองหยางโปก็ต้องตกใจอีกครั้งเพราะเขาเห็นมือยื่นออกมาด้านนอกโดยมีก้อนหินก้อนใหญ่ทับอยู่ตรงกลางระหว่างทางเดิน


ลัวย่าวหัวและหลูตงซิ่งรีบวิ่งออกมาในขณะที่ฉินโถวนอนอยู่ที่พื้นก่อนที่จะหันกลับไปมองด้วยตัวที่สั่นเทา


 


“หินเหล็กแขวน!” ฉินโถวกัดฟันพูดด้วยความตกใจและโมโห


หยางโปรู้ในทันทีว่าตอนนี้เหลือแค่พวกเขาแค่สี่คนแล้ว ส่วนอีกสองคนที่เหลือ…..


เขาสังเกตเห็นว่าด้านข้างของก้อนหินที่ตกลงมานั้นมีเลือดไหลออกมาด้านนอก และมันยิ่งทำให้เขารู้สึกบีบหัวใจเป็นอย่างมาก


หลูตงซิ่งจับบ่าฉินโถว “ทำใจดีๆไว้นะครับอาจารย์ ว่าแต่พวกเราจะเอายังไงกันต่อ?”


ฉินโถวจ้องไปที่หินก้อนใหญ่ตรงหน้า “หินแขวนมีสามชั้น ตอนนี้ตกลงมาหนึ่งแล้ว”


 


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้ตกลงกับทุกคนแล้วว่าจะแบ่งของให้ แต่ก็หวังว่าทุกคนจะช่วยฉันย้ายของพวกนี้ออกไปนะ”


“ของที่อยู่ห้องข้างๆอาจจะราคาไม่สูงมากก็ได้นะครับ” ลัวย่าวหัวพูดปลอบใจ


“ไม่…ห้องข้างๆมีของดีอยู่เยอะเลยล่ะ” ฉินโถวพูด


“สุสานแห่งนี้มีโอกาสที่จะมีห้องข้างๆรึเปล่าครับ?” หยางโปพูดโพล่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย


ฉินโถวหันมามองเขา “มีห้องข้างๆอย่างงั้นเหรอ?”


 


“สุสานของต้าวหวยไทจื่อไม่ได้ตั้งอยู่สุสานกลางมันก็เป็นเรื่องที่น่าสงสัยมากแล้ว ทำไมถางเหวินจงถึงอยากจะฝังเขาเอาไว้แบบนี้ในตอนแรกล่ะครับ? อีกอย่างตอนที่ถางเหวินจงอยู่ก็เป็นช่วงที่เสื่อมโทรม มีโอกาสที่จะฝังศพแบบง่ายๆไหมครับ?” หยางโปถาม


ฉินโถวขมวดคิ้วเข้าหากันเป็นเพราะในหนังสือประวัติศาสตร์จดเรื่องราวของต้าวหวยไทจื่อไว้น้อยมาก และตอนแรกที่เขาเจอที่นี่เขาเองก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน แต่ตอนที่เขาอยู่ด้านล่างเขาเขาก็ได้พบกับร่องรอยบางอย่างจึงทำให้เขามั่นใจขึ้นมา


“พวกเราไปกันต่อเถอะ” ฉินโถวพูด


 


หยางโปขมวดคิ้วเข้าหากันและไม่คิดที่จะเดินไปด้านหน้าอีก ตอนนี้ทางเดินอันตรายมากเกินไปเขาจึงคิดว่าจะอยู่ดูสถานการณ์ตรงสุสานหลักแทน


กับดักกระดานกรวยหนามถูกวางเอาไว้ตรงตำแหน่งห้องของสุสานหลักพอดีแถมห้องฝังศพทั้งหมดก็ตั้งอยู่ตรงส่วนบนของเขาด้วย ผนังด้านข้างมีความเรียบแถมยังมีรอยแกะสลักเมื่อนำไฟฉายส่องไปด้านบนก็พบว่ามันมีแสงอ่อนๆสว่างออกมาด้วย


ลัวย่าวหัวที่เดินอยู่ตรงกลางของห้องสุสาน “ตอนนี้พวกเราน่าจะมาถึงห้องหลังสุดแล้ว สุสานด้านหน้าไปไม่ได้ก็ไม่ต้องไปแล้ว ถ้าหากยังไม่ถูกจับได้ในครั้งนี้ ครั้งหน้าก็ยังมีโอกาสอยู่”


 


“น่าเสียดายจริงๆ” พูดจบลัวย่าวหัวก็ใช้หลังของเขาพิงไปด้านหลังเพื่อที่จะพักให้หายเหนื่อย


ตูม! ทันใดนั้นเสียงก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องอ๊ากด้วยความตกใจที่ดังขึ้นมาอีกครั้ง


หยางโปตกใจจนต้องรีบวิ่งออกมาดูก่อนที่จะพบว่าด้านหลังของลัวย่าวหัวมีประตูหินพังลงมาแถมลัวย่าวหัวก็ล้มไปด้านหลังด้วย


“โอ้ยยย!” ลัวย่าวหัวลุกขึ้นมาพร้อมกับลูบก้นของตัวเอง


ทุกคนที่เดินมาดูก่อนที่จะพบว่ามีห้องสุสานปรากฏขึ้นมาอีกหนึ่งห้องจนทำให้ทุกคนเกิดอาการดีใจขึ้นมา


“นายทำสำเร็จแล้วเพื่อน” หยางโปพยุงลัวย่าวหัวขึ้นมายืน


 


ลัวย่าวหัวหันกลับไปมองก็ต้องตกใจเมื่อเห็นห้องสุสานที่มีความกว้างราวๆสิบกว่าตารางวาเท่านั้น แต่ด้านในนั้นมีหีบวางอยู่เต็มไปหมดแถมยังสูงมากอีกด้วย


หยางโปรีบใช้ไฟฉายส่องไปที่บนกำแพงก็พบว่าบนนั้นมีภาพวาดเขียนอยู่ ซึ่งทั้งสี่ด้านของกำแพงเต็มไปด้วยรูปภาพทั้งสี่ภาพโดยเป็นภาพวาดของดวงดาวและดวงจันทร์


หยางโปกวาดตามองรอบๆก่อนที่จะพบว่าในนี้มีหีบสมบัติทั้งหมดแปดหีบ โดยที่ตรงกลางเหลือเพียงแค่ความว่างเปล่าเท่านั้น ทว่าทุกคนก็ยังเกิดอาการลังเลและไม่กล้าเขาไปอยู่ดี


 


หยางโปมองไปด้านหน้าก่อนที่จะตกใจขึ้นมาอีกครั้งเพราะตัวเองเกือบลืมไปแล้วว่าเขาสามารถมองเห็นสมบัติล้ำค่าได้!


ตอนนี้ตรงหน้าของเขาเกิดแสงขึ้นและมันก็เริ่มทำให้เขาเห็นอะไรชัดเจนมากขึ้นแล้ว ที่พื้นแข็งๆตรงหน้าเต็มไปด้วยก้อนกรวดและโคลนรวมถึงสิ่งสกปรก แต่กลับไม่มีกับดักใดๆ หยางโปเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนพร้อมกับมองไปที่กำแพงรอบๆก็พบว่ามันปลอดภัยดี


หยางโปก้าวเท้าไปด้านหน้าทว่าลัวย่าวหัวก็รีบจับเขาไว้ “อยากตายรึไง?”


หยางโปยิ้ม “ไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องลับ ห้องเล็กขนาดนี้วางกับดักไม่ได้หรอก”


 


“แต่มันก็อันตรายอยู่ดี ฉันว่าไปใช้บันไดกันดีกว่า” ลัวย่าวหัวที่ถูกทำให้ตกใจจนขวัญเสียก็ไม่กล้าที่จะก้าวเท้าไปข้างหน้าอีก


ฉินโถวมองหน้าหยางโป “ถ้านายสามารถกลับไปได้อย่างปลอดภัย นายสามารถเลือกของได้หนึ่งชิ้นถ้ารวมๆกันก็ได้ถึงสามชิ้นเลยนะ”


หยางโปยิ้ม “ถ้างั้นก็ต้องขอบคุณคุณฉินโถวล่วงหน้าเลยนะครับ”


พูดจบหยางโปก็เดินไปด้านหน้าก่อนที่จะเดินไปยังหีบสมบัติ โดยหีบเหล่านี้มีการวางซ้อนกันเอาไว้สองชั้น จึงทำให้มันถูกวางเรียงกันเป็นสี่แถว หยางโปทำการยกขวานในมือของเขาขึ้นก่อนที่จะฟาดลงตัวล็อคเพื่อให้มันเปิดออก


 


หีบแรกถูกเปิดออกมาซึ่งมันถูกบรรจุไปด้วยทองจำนวนมากจนเต็มหีบ


ทุกคนเห็นว่าปลอดภัยแล้วก็รีบเดินตรงเข้ามา


ลัวย่าวหัวหยิบขวานขึ้นมาก่อนที่จะเริ่มทำการทุบเพื่อสะเดาะตัวล็อคออก


ฉินโถวใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจและดีใจ แต่เขาเองก็เริ่มระมัดระวังตัวเช่นเดียวกัน เพราะตอนนี้พวกเขาเหลือเพียงแค่สี่คนเท่านั้นและทางฝั่งเขาก็เหลือเพียงตัวคนเดียวแล้ว


ในเวลาอันรวดเร็วหีบก็ถูกเปิดออกทั้งหมด หีบสองใบแรกที่อยู่ทางซ้ายมือของหยางโปเป็นหีบที่บรรจุทอง ส่วนอีกสองใบที่อยู่ฝั่งซ้ายเป็นหีบบรรจุเงิน ตรงกลางฝั่งขวาสองใบบรรจุหนังสือและตำราต่างๆ


 


หีบแรกที่บรรจุตำรานั้นเพียงแค่ใช้มือสัมผัสมันก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นผุยผงแล้ว แต่กล่องที่อยู่ด้านล่างเป็นเพราะถูกปิดเอาไว้อย่างดีจึงทำให้เห็นหนังสือแปดเล่มที่วางอยู่ในหีบมีสภาพที่ดีมาก


นี่อาจจะเป็นของราชวงศ์ถัง!


กระดาษเป็นสิ่งที่ยากมากที่จะเก็บไว้ โดยปกติแล้วภายในหลุมฝังศพมักจะมีหนังสือเหล่านี้เก็บเอาไว้ แต่ครึ่งหนึ่งของมันก็มักจะแปรสภาพกลายเป็นผุยผง มีเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นที่ยังสามารถเก็บเอาไว้ได้ในสภาพที่ดีและถูกส่งต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน เป็นเพราะทางทิศใต้ค่อนข้างมืดและชื้น จึงทำให้ภายในสุสานไม่สามารถที่จะเก็บรักษาหนังสือเอาไว้ได้จึงทำให้ต้องวางเอาไว้ทางฝั่งทิศเหนือเท่านั้น


 


โดยทั่วไปแล้วสมบัติที่เกี่ยวกับพวกวัฒนธรรมจะถูกเก็บเอาไว้บนที่สูงเพราะมีฝนน้อยและทำให้กระดาษไม่เปื่อยหรือฉีกขาดง่าย


หนังสือทั้งแปดเล่มนั้นมีสามเล่มที่ไม่สมบูรณ์ ในเวลาเดียวกันตอนนี้หีบสองใบสุดท้ายก็ยังไม่ได้ถูกเปิดออก


“เปิดออกให้หมดเลยแล้วค่อยว่ากัน” ฉินโถวพูด


ลัวย่าวหัวพยักหน้า เขารู้ทันทีว่าหนังสือพวกนี้มีราคาสูงหนังสือในราชวงศ์ซ่งมีราคาหลักล้าน ถ้าหากเป็นของราชวงศ์ถังคงมีราคาคูณหลายเท่าตัวและอย่างน้อยๆก็คงจะมากกว่าหลายล้าน


ในเวลาเพียงไม่นานหีบใบที่เจ็ดก็ถูกเปิดออกซึ่งในนั้นมีเครื่องทองแดงเครื่องเงินและเครื่องทองบรรจุอยู่ซึ่งมีความประณีตมากโดยด้านบนมีการตกแต่งด้วยหินหยก


 


กล่องใบสุดท้ายเป็นผ้าไหมและส่วนใหญ่ก็ได้สลายไปตามกาลเวลาเกือบหมดแล้ว หยางโปเดินเข้าไปก่อนที่จะจับผ้าไหมสีขาวผืนหนึ่งขึ้นมาซึ่งมีความกว้างหนึ่งเมตร ความยาวสองเมตรและมีความบางราวกับปีกของจั๊กจั่น


หยางโปจับผ้าไหมขึ้นมาด้วยมือเดียว


เขายิ้มก่อนที่จะหยิบผ้าไหมนั้นใส่เข้ากระเป๋า “ผ้าไหมผืนนี้ผมขอนะ ด้านในดูเหมือนว่าจะยังมีอีกผืนนะครับ”


ฉินโถวที่เพิ่งจะพูดสัญญาไปก็ไม่สามารถที่จะถอนคำพูดได้ เขาจึงทำได้เพียงแค่หยิบผ้าไหมอีกผืนแทน



ตอนที่ 240 หนังสือราชวงศ์ถัง


“ยังเหลือหนังสืออีกแปดเล่มพวกนายแบ่งกันคนละเล่มก็แล้วกันนะแล้วก็เครื่องทองหรือพวกถังซานฉายก็เลือกกันไปคนละชิ้น” ภายใต้สถานการณ์ที่เสียเปรียบแบบนี้ฉินโถวจึงต้องเอ่ยปากแบ่งของเหล่านี้ด้วยตัวของเขาเอง


“โอเค” หลูตงซิ่งตอบรับกลับไปในทันที


หยางโปและลัวย่าวหัวพยักหน้า ดูเหมือนปัญหาในการแบ่งของจะสามารถจัดการได้ลงตัวสักที


หลังจากนี้สิ่งที่ยากมากของพวกเขาที่ต้องเผชิญก็คือจะขนมันออกไปยังไง โดยเฉพาะเครื่องทองและเครื่องเงินจำนวนมากตรงหน้านี้ ถังซานฉ่ายเองก็มีขนาดใหญ่มากซึ่งมันเป็นเรื่องยากที่จะสามารถนำมันออกไปได้


หยางโปก้มหน้าดูเวลาก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาตีสองแล้ว ถ้าหากจะให้เอาออกไปภายในคืนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นภารกิจที่ไม่มีทางสำเร็จได้


 


“ใกล้ๆนี้มีถ้ำภูเขาพวกเราย้ายของพวกนี้ไปที่นั่นก่อน คืนพรุ่งนี้ค่อยย้ายมันออกไป” ฉินโถวพูด


ทุกคนพยักหน้าตอบรับ


งานขนย้ายของเหล่านี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นงานกรรมกรที่ต้องใช้แรงอย่างมาก ทุกคนยกของทุกอย่างโดยไม่มีการปริปากพูดอะไร พวกเขารับถุงหนังงูมาจากฉินโถวคนละใบก่อนที่จะใส่เครื่องทองและเงินลงไปในนั้นและแบกมันออกไปด้านนอกทันที


เครื่องเงินและเครื่องทองมีน้ำหนักเยอะมากตอนที่แบกมันขึ้นหลังและปีนขึ้นเขาเป็นอะไรที่ยากลำบากมากจริงๆ แถมมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะออกจากหลุมมาได้ การใช้พลังงานที่มากขนาดนี้ทำให้หยางโปเหนื่อยจนหอบไปโดยปริยาย


 


หลังจากนั้นหยางโปก็แบกของเพื่อเดินไปยังหลุมที่อยู่ตรงภูเขาที่ห่างออกไปไม่ไกลตรงปากทางเข้ามีหญ้าแห้งถูกปิดอยู่ ทันทีที่หยางโปเห็นก็รู้ทันทีว่าถ้ำแห่งนี้เพิ่งจะขุดใหม่ได้ไม่นาน ฉินโถวคนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนที่รอบคอบมากจริงๆ


หลังจากใช้แรงเดินไปเดินกลับถึงสี่ห้ารอบในที่สุดของเหล่านั้นก็ถูกย้ายออกมาด้านนอกได้จนหมด


แม้จะเช้าแล้วแต่ทุกคนก็ยังไม่ลงจากเขาพวกเขาใช้เวลานั้นนอนอยู่ในถ้ำที่มีสมบัติวางอยู่ พวกเขากินอาหารแห้งและดื่มน้ำแร่ที่มีอยู่ไปพลาง ในใจก็ภาวนาขอให้ไม่มีใครมาเจอหลุมสุสานและไม่เจอถ้ำที่นี่


โชคดีที่ตอนนี้ไม่ใช่วันหยุดจึงทำให้ไม่มีเด็กวิ่งซนอยู่บนเขาแห่งนี้ และไม่มีคนตัดฟืนมาที่นี่


 


หลังจากที่ท้องฟ้าเริ่มมืด ทุกคนก็กลับมาเป็นกรรมกรอีกครั้ง


“อาจารย์ฉิน ย้ายของแบบนี้ผมว่าช้าเกินไปปีนไปกลับสี่ห้าครั้งขนาดนี้ไม่มีทางไหวแน่ๆ” หลูตงซิ่งพูดขึ้น


ฉินโถวพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวลงไปด้านล่างก็สบายแล้ว”


หลูตงซิ่งได้ยินแบบนั้นก็เริ่มสงสัยเขามองไปที่อีกฝ่ายโดยไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไรกันแน่


หลังจากนั้นไม่นานหยางโปและคนอื่นๆก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น ทุกคนจึงรีบหันไปมองก่อนที่จะพบว่ามีรถออฟโรดสองคันกำลังขับขึ้นมาบนเขา


หยางโปเบิกตากว้างมองรถที่กำลังขับขึ้นมา ถึงแม้ว่าเขานี้จะไม่ได้ชันมากแต่รถพวกนี้ขับขึ้นมาได้ยังไงกัน?


 


“เชี่ย! นี่มันรถออฟโรดที่ติดตีนตะขาบนิ!” ลัวย่าวหัวอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ


หยางโปได้ยินแบบนั้นก็มองไปที่ล้อรถซึ่งถูกติดตั้งด้วยตีนตะขาบแทบล้อธรรมดาด้วยสายตาตกตะลึง การเปลี่ยนล้อแบบนี้ทำให้เหมาะและง่ายกับการปีนเขามากขึ้นแต่ฉินโถวไม่กลัวว่าจะถูกจับได้เลยรึไงกัน?


“ฉันอยู่ที่นี่มาห้าปีแล้ว ปีนี้มาล่วงหน้าสองเดือนแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันตัดต้นไม้เพื่อที่จะทำถนนเส้นนึงเพื่อที่จะทำให้รถสามารถขับขึ้นมาได้” ฉินโถวพูด


หยางโปได้ยินแบบนั้นก็นึกถึงตอนที่ฉินโถวโทรศัพท์เมื่อเช้าขึ้นมาทันทีและเขาก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะโทรเรียกให้รถขึ้นมาที่นี่


 


“พวกเรารีบยกขึ้นไปเร็วเข้า คืนนี้พวกเราต้องย้ายทุกอย่างออกจากที่นี่ให้หมด” ฉินโถวพูด


ทุกคนได้ยินแบบนั้นก็รีบจัดการทุกอย่างทันที หลังจากใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมงในที่สุดของทุกอย่างก็ถูกจัดขึ้นไปอยู่บนรถ แต่เป็นเพราะของเยอะมากไม่เพียงแต่เบาะหลังที่ถูกวางของจนเต็มเท่านั้น แม้แต่ที่นั่งข้างคนขับก็มีกล่องวางอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน


ฉินโถวเป็นคนที่พูดจริงทำจริง เขาหยิบหนังสือออกมาสี่เล่มก่อนที่จะให้ทั้งสี่คนเลือกเครื่องทองตามใจชอบคนละชิ้น หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยแล้วพวกเขาก็ออกจากที่นั่นไปในทันที


 


ทั้งสี่คนต่างพากันยิ้มแย้มด้วยความดีใจ โดยที่พวกเขาได้รับหนังสือคนละเล่ม หยางโปได้หนังสือ


《กวีนิพนธ์》 หลูตงซิ่งได้หนังสือ《เมิ่งจื่อ》 เจ้าอ้วนหลิวได้หนังสือ《จวงจื่อ》


ระหว่างที่ทุกคนกำลังคิดว่าหีบหนังสือนี้คงจะเป็นการรวบรวมหนังสือของป๋ายเจียจื่ออยู่นั้น จู่ๆชื่อหนังสือในมือของลัวย่าวหัวก็ทำให้การคาดเดาของพวกเขาล้มเหลวไปในทันที เพราะหนังสือในมือของลัวย่าวหัวคือ


《สาวงาม》


ลัวย่าวหัวจ้องหนังสือในมือของเขา “หรือว่าหลีผู่จะไม่ทำอะไรเลยจริงๆ? วันๆอยู่บ้านคงนั่งอ่านแต่หนังสือ《กฎของหญิงสาว》อย่างนั้นสิ?”


 


“ถ้านายไม่อยากได้เรามาแลกกันไหม?” เจ้าอ้วนหลิวหรี่ตาพร้อมกับเอ่ยปากถาม


ลัวย่าวหัวหันไปมองคนอื่นๆก่อนที่จะปฏิเสธ “ไม่แลก!”


พูดจบลัวย่าวหัวก็หันมามองหยางโป “หรือว่าหนังสือเล่มนี้จะดีมาก? ไหนฉันขอดูหน่อยสิ หวังว่าคงจะไม่ใช่หนังสือโป๊นะ”


พูดจบเขาก็พลิกหนังสือดูจริงๆ


“หนังสือของนายหายไปหมดแล้ว” หยางโปพูด


 


ลัวย่าวหัวรู้สึกแปลกใจ “ไม่น่าใช่นะ หนังสือนี้เขียนไว้สำหรับผู้หญิง ดูจากชื่อคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องคุณธรรมของผู้หญิงโบราณอะไรพวกนั้นแหละ”


“นี่เป็นหนังสือที่มีการดัดแปลงจากจักรพรรดินีจ่างซุนเป็นหนังสือส่งเสริมเกี่ยวกับจริยธรรมเกี่ยวกับระบบศักดินา หลังจากที่จ่างซุนสิ้นแล้ว จักรพรรดิไท่จงแห่งราชวงศ์ถางก็สั่งให้มีการตีพิมพ์ 《กฎของหญิงสาว》ขึ้น แต่หลังจากนั้นหนังสือนี้ก็ไม่ได้มีการส่งต่อมาถึงรุ่นอื่นๆ ฉันคิดว่าหนังสือเล่มนี้ที่อยู่ในมือนายน่าจะเป็นของหายากเลยล่ะ”


หยางโปอธิบาย


 


ลัวย่าวหัวได้ยินเช่นนั้นก็เกิดอาการดีใจและตื่นเต้นขึ้นมาเพราะในที่สุดเขาก็ได้ของดีแถมยังเป็นของหายากอย่างมากด้วย


ฉินโถวเดินไปด้านหน้าในขณะที่ทุกคนเดินตามหลัง ลัวย่าวหัวยังคงแสดงอาการตื่นเต้นออกมาอย่างไม่หยุด “ถ้าจำไม่ผิดประเทศเราเคยมีการขุดหนังสือแกะสลัก《วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร》ขึ้นมา ถ้าเทียบกับหนังสือของฉันอันไหนมีอายุยาวนานกว่ากัน?”


“หนังสือที่อยู่ในมือของพวกเรามีอายุยาวนาวกว่า《วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร》เพราะหนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสือที่เกิดขึ้นในปี 868 แต่ถางเหวินจงอยู่ในช่วงปี 809-840 ถ้าดูจากปีอายุนี้ตอนที่หลีผู่สิ้นพระชนม์ก็น่าจะอยู่ในช่วงถางเหวินจงพอดี” หยางโปพูด


 


การที่ได้รับของที่มีมูลค่าแบบนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากในขณะที่เครื่องทองชิ้นสุดท้ายนั้นหยางโปเองก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก


หลังจากลงจากรถแล้วก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า แม้ว่าจะรู้สึกเหนื่อยมากแล้วแต่ทุกคนก็ยังรีบเก็บกวาดก่อนที่จะขึ้นรถอีกครั้ง


ฉินโถวที่เดินตามหลังเก็บเครื่องใช้พวกแปรงฟันยาสีฟันรวมถึงขยะทุกชิ้นกลับมาด้วย


หยางโปเห็นแบบนั้นก็สังเกตเห็นได้ว่าฉินโถวและคนอื่นๆต่างพากันสวมใส่ถุงมือเพื่อป้องกันรอยนิ้วมือกันทุกคนโดยไม่ปล่อยให้เหลือร่องรอยแม้แต่น้อย


 


ทุกคนรีบเดินทางไปยังฉางอานทันที ทันทีที่ออกมาจากถนนซึ่งเป็นทางด่วนท้องฟ้าก็สว่างพอดี


รถที่อยู่ด้านหน้าค่อยๆจอดอย่างช้าๆ ในขณะที่หยางโปและคนอื่นๆต่างพากันลงจากรถ


ฉินโถวและทั้งสี่คนจับมือกันเพื่อเป็นการขอบคุณและร่ำลา “ถึงเวลาบอกลาแล้ว ขอบคุณทุกคนมากนะ”


หลูตงซิ่งยิ้ม “ที่จริงผมกะว่าจะซื้อของสักสองสามชิ้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่สะดวกซะแล้ว เดินทางปลอดภัยนะครับ”


“ขอบใจมาก!” ฉินโถวพูด


 


“หลังจากนี้ชื่อเสียงของอาจารย์ฉินคงจะถูกพูดถึงแน่ๆเลยครับ” หยางโปพูด


อาจารย์ฉินพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม “ตอนนี้ฉันก็ยังคิดอยู่ว่าผ้าไหมที่นายเอาไปผืนนั้นคืออะไรกันแน่?”


“ผ้าไหมเฉิงสุ่ยโป๋ครับ”


ฉินโถวเบิกตากว้างเพราะเขาเองก็เคยได้ยินชื่อของชิ้นนี้เขาหันมามองหยางโป “นายแน่ใจเหรอ?”


“กลับไปทดสอบก็น่าจะรู้แล้วครับว่าใช่รึเปล่า”


 


ฉินโถวพยักหน้า “ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆฉันต้องขอบคุณคุณหยางมากๆนะ ความสามารถของนายหลังจากนี้ก็คงจะเป็นชื่อเสียงและที่พูดถึงแน่ๆ! ถึงฉันจะทำเรื่องนี้ฉันก็ยังอยากจะบอกนายว่าพยายามถนอมปีกของนายไว้และทำเรื่องพวกนี้ให้น้อยที่สุดนะ”


หยางโปพยักหน้าพร้อมกับพูดด้วยความจริงใจ “ขอบคุณครับ!”


ตอนที่ 241 เฉิงสุ่ยโป๋


หลังจากบอกลาฉินโถวแล้วรถก็พาทั้งสี่คนไปส่งที่โรงแรมใจกลางเมืองก่อนที่จะขับหายไป


ทั้งสี่คนไม่มีแรงที่จะพูดคุยอะไรแล้วทันทีที่มาถึงโรงแรมพวกเขาก็แยกย้ายกันกลับห้องเพื่อไปนอนทันที


ช่วงกลางคืนตอนที่กำลังนอนอยู่นั้นหยางโปก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยความหิว หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเขาก็โทรให้พนักงานมารับเสื้อของเขาไปซัก ก่อนที่จะเดินลงมาชั้นล่าง


ตอนที่หยางโปเดินมาถึงห้องอาหารก็พบว่าหลูตงซิ่งกำลังนั่งทานอาหารค่ำอยู่ ในเวลาเดียวกันก็มีเด็กหนุ่มนั่งอยู่ตรงข้ามเขาและกำลังรายงานงานให้หลูตงซิ่งฟัง


 


หยางโปถืออาหารก่อนที่จะเดินเข้ามาทันใดนั้นก็ได้ยินเด็กหนุ่มพูดขึ้นมาว่า “ประธานหลู จากการจำลองโครงการนี้กำไรถือว่าไม่เลวเลย หลังจากนี้ก็ต้องมาดูคะแนนกำไรเฉพาะจุดกันต่อ”


หลูตงซิ่งพยักหน้า “เรื่องนี้นายช่วยจัดการด้วยก็แล้วกัน หวังว่านายจะสามารถทำให้บริษัทของพวกเราได้รับกำไรเพิ่มขึ้นนะ”


ชายหนุ่มยิ้ม “ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยอย่างแน่นอนครับ”


ในเวลานั้นเองหยางโปก็เดินมานั่งข้างๆพร้อมกับก้มหน้าก้มตากินข้าวโดยไม่พูดอะไร


ชายหนุ่มคนนั้นหันมามองหยางโปด้วยสายตาแปลกใจ ในใจก็แอบคิดว่ามีที่นั่งตั้งเยอะแยะทำไมหยางโปถึงไม่ไปนั่งที่อื่น


 


หลูตงซิ่งยิ้มก่อนที่จะอธิบาย “นี่เพื่อนของฉันเอง”


ชายหนุ่มคนนั้นหน้าเปลี่ยนสีก่อนที่จะเกิดอาการยำเกรงขึ้น เถ้าแก่ที่มีเงินหลักหมื่นล้านแบบหลูตงซิ่งมีเพื่อนแบบหยางโปได้ ถ้าอย่างนั้นหยางโปก็คงจะต้องมีเงินเยอะมากแน่ๆ


หยางโปไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ตอนนี้เขาสนใจแค่ว่าจะต้องทำให้ท้องของเขาอิ่ม ก่อนหน้านี้เขาย้ายของทั้งคืนแถมยังต้องเจอกับเรื่องน่าตกใจจนขวัญกระเจิง หลังจากเสร็จเรื่องก็ยังไม่ได้กินข้าวร้อนๆอีกตั้งหนึ่งคืน เป็นใครก็รับไม่ได้ทั้งนั้นแหละ


หลังจากที่กินบะหมี่หมดไปถ้วยนึงหยางโปก็รู้สึกมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆหายไปแล้ว ในขณะที่หลูตงซิ่งกำลังมองมาที่เขาพร้อมกับยิ้ม


 


หยางโปยิ้ม “เถ้าแก่ตื่นเร็วเหมือนกันนะครับเนี่ย”


“ช่วยไม่ได้นิ งานมันรัดตัวน่ะ บางทีก็อิจฉาคนที่ไม่มีเงินแต่มีเวลาพักผ่อนเหมือนกันนะ แถมยังมีอิสระมากอีกด้วย” หลูตงซิ่งพูด


“อย่าพูดแบบนี้เลยครับ แต่ละคนมันก็ดีและเสียต่างกันไปยังไงก็เอามาเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว แต่ที่จริงถ้าคุณขายบริษัทไปก็น่าจะทำให้คุณมีเวลาว่างแล้วนิครับ” หยางโปพูด


หลูตงซิ่งส่ายหน้า “วางมือไม่ได้หรอก”


ระหว่างที่พูดอยู่นั้นลัวย่าวหัวและเจ้าอ้วนหลิวก็เดินถือจานข้าวเข้ามา จู่ๆลัวย่าวหัวก็จามออกมา “ง่วงชะมัด เหนื่อยก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว คืนนี้เราคงไม่รีบกลับกันใช่ไหม? ฉันอยากจะนอนต่ออีกสักหน่อยน่ะ”


 


“ไม่รีบหรอก แต่ถ้ายุ่งจริงๆก็กลับก่อนได้ อันที่จริงฉันกะว่าจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองวัน ที่นี่มีสถานที่โบราณเยอะแยะไปหมดแถมยังมีตลาดวัตถุโบราณเยอะมากอีกด้วย ฉันว่าจะเดินดูก่อนน่ะ” หยางโปพูด


หลูตงซิ่ง “ฉันคงต้องขอตัวนะ ฉันซื้อตั๋วคืนนี้เอาไว้แล้ว สองทุ่มต้องนั่งเครื่องกลับแล้วล่ะ”


เจ้าอ้วนหลิว “ฉันไม่มีธุระอะไร คิดว่าน่าจะอยู่ที่นี่ต่อได้ไม่มีปัญหาอะไร”


“โอเค ถ้างั้นเถ้าแก่หลูก็รีบกลับไปทำธุระก่อนเถอะครับ” ลัวย่าวหัวพูด


พูดจบเขาก็กระซิบขึ้นมา “ฉินโถวคงไม่ได้อยู่ที่ฉางอานเพื่อจัดการของพวกนั้นหรอกนะ?”


 


หลูตงซิ่งส่ายหน้า “ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องพวกนี้ไม่กระทบถึงพวกเราหรอก คนพวกนั้นคงจะเดินทางไปไกลกว่านี้แหละ ฉินโถวอายุขนาดนั้นแล้วเขาไม่ทำอะไรสะเพร่าให้ถูกจับได้หรอก”


“ทำเรื่องพวกนี้เสร็จแล้ว พวกเขาคงจะล้างมือจนสะอาดหมดจดแล้วแหละ” หยางโปพูด


“ถ้าแบบนั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย” ลัวย่าวหัวถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ครั้งก่อนตอนที่เข้าไปที่สุสานหงซิ่วฉวน แม้ว่าจะได้ของมาเยอะแต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องหวาดผวากันอยู่นาน การที่ต้องเผชิญหน้ากับสุสานที่ใหญ่ขนาดนี้ แม้ว่ามันจะเป็นพื้นที่ของพ่อแท้ๆของเขา เขาเองก็ไม่เก็บมันเอาไว้เหมือนกัน


 


ก่อนที่จะไปเสียนหยางเขาเองก็เคยคุยกับหยางโปว่าจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ เพราะเขาคิดไม่ถึงว่าเสียนหยางจะเป็นสุสานของเจ้าชาย ตอนนี้พอย้อนคิดกลับไปเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวขึ้นมา


หลังจากพูดไม่กี่ประโยคพวกเขาก็เปลี่ยนเรื่องคุย เพราะที่นี่เป็นพื้นที่สาธารณะการที่พูดคุยเรื่องพวกนี้พวกเขาเองก็กังวลใจอยู่ไม่น้อยเพราะเกรงว่าอาจจะถูกจับได้


ในเวลาอันรวดเร็วลัวย่าวหัวก็ถามขึ้นมาว่า “ผ้าไหมที่นายได้มานั่นคืออะไรเหรอ? มันทำมาจากอะไรกันแน่ ทำไมแค่นายพูดแค่คำเดียวฉินโถวถึงได้เข้าใจในทันทีเลยล่ะ? หรือว่ามันจะเป็นเพราะมีอยู่ในประวัติศาสตร์ด้วย?”


หยางโปยิ้ม “มันก็แค่ผ้าผืนนึงน่ะ นายอย่าคิดอะไรให้มากมายเลย”


 


“ผ้าผืนนึง?” เจ้าอ้วนหลิวมองหยางโปก่อนที่จะส่ายหน้า “ถ้างั้นฉันให้นายแสนนึงแลกกับผ้าผืนนั้นนายตกลงไหมล่ะ?”


“อือ ถ้างั้นฉันให้นายล้านนึงเลย” หลูตงซิ่งเองก็รีบเสนอราคาขึ้นมา


หยางโปเห็นแบบนั้นก็เลยทำได้แค่ตอบกลับไปว่า “ก็ได้ๆ มันก็มีที่มาที่ไปนั่นแหละ แต่ตอนนี้ยังพูดไม่ได้น่ะ รอให้กลับไปที่ห้องของฉันก่อนเดี๋ยวฉันจะอธิบายให้ฟัง”


ลัวย่าวหัว “หึหึ จะต้องเป็นของมีค่าอีกชิ้นนึงแล้วสินะ”


เป็นเพราะรู้สึกแปลกใจทุกคนจึงก้มหน้าก้มตาทานอาหารตรงหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น


 


หลังจากทานเสร็จก็รีบกลับไปที่ห้องนอนของหยางโป หลังจากที่มองซ้ายขวาแล้วเขาก็ปิดประตู ภายในห้องตอนนี้หนาวมากแถมยังมีอุณหภูมิไม่ถึงยี่สิบองศาด้วยซ้ำ หยางโปจึงเดินไปเปิดแอร์เพิ่มความร้อนก่อนที่จะเดินไปหยิบผ้าไหมเฉิงสุ่ยโป๋ออกมา


ลัวย่าวหัว “เร็วๆสิ สรุปว่าผ้าผืนนี้มันมีอะไรที่ผิดปกติ? หรือว่ามันเป็นผ้าที่เผาแล้วไม่ไหม้เหรอ? หรือว่าเป็นผ้าแบบกันน้ำ?”


หยางโปส่ายหน้า “ใจเย็นๆสิ จะเสร็จแล้ว”


พูดจบหยางโปก็เดินเข้าไปในห้องน้ำก่อนที่จะเปิดก๊อกน้ำพร้อมกับนำผ้าไหมนั้นลงไปแช่น้ำเอาไว้เพื่อให้มันอมน้ำก่อนที่จะเดินออกมา


 


หยางโปรู้สึกได้ถึงความเย็นที่มือของเขาหลังจากนั้นเขาก็ยื่นให้ลัวย่าวหัว “ช่วยบีบให้หน่อย”


ลัวย่าวหัวรีบบีบน้ำออกอย่างรนราน ในเวลาเดียวกันหยางโปก็ค่อยๆคลี่ผ้าออกมาก่อนที่จะจับไปที่อีกมุมนึงของผ้า


ทันใดนั้นหยางโปก็ได้ยินเจ้าอ้วนหลิวพูดขึ้นมาว่า “ทำไมฉันถึงรู้สึกเย็นแบบนี้เนี่ย?”


ลัวย่าวหัว “หรือว่าแอร์จะเสีย?”


หลูตงซิ่งจ้องไปที่ผ้าตรงหน้าก่อนที่จะหันไปหาหยางโปด้วยท่าทางตกใจ “ก่อนหน้านี้นายเรียกมันว่าเฉิงสุ่ยโป๋งั้นเหรอ? หรือว่ามันจะเป็นสินสอดทองหมั้นของเจ้าหญิงสักคนในราชวงศ์ถัง?”


 


หยางโปยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “เป็นของเจ้าหญิงถงชาง”


เจ้าอ้วนหลิวและลัวย่าวหัวตกตะลึง “หรือว่าผ้าผืนนี้จะสามารถทำให้อุณหภูมิลดลงได้อย่างงั้นเหรอ?”


หยางโปยิ้ม “ตอนที่เจ้าหญิงถงชางแต่งงานออกไป หนึ่งในสินสอดทองหมั้นมีของที่เรียกว่าเฉิงสุ่ยโป๋ ในหนังสือประวัติศาสตร์พูดว่า ‘เจ้าหญิงหยิบผ้าเฉิงสุ่ยโป๋และจุ่มมันลงในน้ำก่อนที่จะนำมันไปแขวนเอาไว้ หลังจากผ่านไปทันทีที่ได้เห็นผ้าก็พบว่ามันเป็นผ้าที่มีความยาวเก้าฟุต ซึ่งมีความละเอียดและบางมากจนทำให้สามารถคลายความร้อนได้’ “


“นี่จะบอกว่ามันเป็นสมบัติที่เจ้าหญิงใช้อย่างงั้นเหรอ?” ลัวย่าวหัวตกตะลึง


 


“ก็ไม่แน่เสมอไปว่ามันจะเป็นผ้าไหมผืนนั้นของนางจริงๆไหม แต่มันก็อาจจะมีโอกาสที่จะมีเทคนิคในการทอผ้าของคนในวังที่คนนอกไม่รู้จักก็ได้ ถึงมีการผลิตของเฉิงสุ่ยโป๋ออกมา”


“หีบใบสุดท้ายมีเพียงแค่ผ้าไหมแค่สองผืนที่ยังดูสมบูรณ์หรือว่าของชิ้นอื่นๆก็จะเป็นเฉิงสุ่ยโป๋ด้วยเหมือนกัน?” เจ้าอ้วนหลิวถามด้วยความตกตะลึง


“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะ ของพวกนั้นเป็นแค่ผ้าธรรมดาเท่านั้นแหละ ถ้าเป็นแบบเดียวกันหมดมันจะเหลือแค่สองผืนได้ยังไงล่ะ?” หยางโปส่ายหน้า


ตอนที่ 242 มีความคิดเป็นของตัวเอง


ลัวย่าวหัวลูบผ้าไหมเฉิงสุ่ยโป๋ “ปัดโถ่เอ้ย! ทำไมนายไม่พูดให้เร็วกว่านี้เนี่ย นี่ถ้านายบอกแต่แรกฉันจะรีบแย่งอีกผืนมาเลย!”


หยางโปหัวเราะออกมา “ฉันก็อยากจะบอกนายเหมือนกันแหละแต่นายไม่เห็นสีหน้าของฉินโถวตอนนั้นเหรอ? ตอนที่เขาเห็นฉันเอามาถือไว้เขาก็แทบจะเข้ามาแย่งแล้ว นายคิดว่าฉันจะเอาเวลาไหนไปบอกนาย?”


ลัวย่าวหัวยังคงพูด “เสียดายชะมัดเลย นี่ถ้าฉันไหวตัวเร็วกว่านี้ก็น่าจะดี”


หยางโปส่ายหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร


 


เจ้าอ้วนหลิวยังคงมองผ้าตรงหน้าพร้อมกับรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความเย็น “นี่ถ้ายาวกว่านี้คงจะเอามาวางข้างเตียงได้เลยนะ แค่เอาไปชุบน้ำก็น่าจะสบายกว่าเปิดแอร์อีก”


“แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะอยู่ได้นานขนาดไหนน่ะสิ” หลูตงซิ่งพูด “นี่ก็ใกล้เวลาแล้ว พวกนายคุยกันตามสบายนะ ฉันต้องขอตัวไปสนามบินแล้ว”


“โอเคครับ เดินทางปลอดภัยนะครับ” ลัวย่าวหัวพูด


หลูตงซิ่งหัวเราะก่อนที่จะเดินออกไป


หลังจากที่เขาเดินออกจากห้องไปแล้วทั้งสามคนก็นั่งชื่นชมของตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไปนอน


 


หยางโปไม่อยากกลับจินหลิงแถมเขาก็ไม่ยอมเปิดโทรศัพท์เพื่อรับรู้เรื่องภายนอกด้วย ตอนนี้เขาว่างแล้วเขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ทันทีที่เปิดเครื่องก็พบว่ามีข้อความถูกส่งมานับไม่ถ้วน


หยางหลางโทรมาหาเขาหลายสายมาก และดูจากเวลาแล้วคิดว่าเขาคงจะโทรมาทุกวันซึ่งความถี่ในการโทรของอีกฝ่ายทำให้หยางโปรู้สึกแปลกใจมาก แต่เขาก็ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่ได้ตอบกลับไป


แม่ของเขาโทรมาหาเขาสองสาย แต่หลังจากที่คิดไปคิดมาเขาก็เลือกที่จะไม่โทรกลับไปเช่นกัน


หลังจากนั้นหยางโปก็เห็นว่าหงอวี้โทรมาหาเขาหลายสิบสาย ซึ่งมันทำให้เขาประหลาดใจมาก ภายในใจก็แอบเดาว่าคงจะไม่ใช่ว่าโรคเก่ากำเริบนะ หยางโปจึงรีบโทรกลับไปหาอีกฝ่ายทันที


 


ในเวลาอันรวดเร็วโทรศัพท์ก็ถูกกดรับ


“หยางโปหายไปไหนมาตั้งหลายวันเนี่ย?” หงอวี้รับสายก็รีบถามทันที


หยางโปได้ยินเสียงของเขาก็รู้สึกแปลกใจมากขึ้นไปอีก “มีอะไรเหรอ? พอดีโทรศัพท์ตกน้ำน่ะ เพิ่งซ่อมเสร็จ”


“จริงๆเล้ย! นายไม่มีปัญญาซื้อเครื่องใหม่รึไงเนี่ย?” หงอวี้พูด


“เอ่อ…ลืมคิดไปน่ะ” หยางโปชะงักไปทันทีที่เขานึกขึ้นได้ว่าคำแก้ตัวของเขายังไม่ฉลาดพอในช่วงเวลาที่เร่งรีบและกระชั้นชิดแบบนี้ แต่ใครมันจะไปคิดทันละเนี่ย?


“เออนี่ ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนน่ะ?” หงอวี้ถาม


 


“ฉางอาน”


“ฉางอานเหรอ นายพอจะมีเวลามาที่จินหลิงไหม?”


หยางโปเริ่มเกิดความสงสัยมากขึ้นไปอีก “ทำไมเหรอ? อย่าบอกนะว่าอาการกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว?”


“เปล่าๆๆ” หงอวี้รีบตอบ “คือฉันอยากจะเลี้ยงข้าวนายเพื่อเป็นการขอบคุณน่ะ”


“ก็กินข้าวกันไปตั้งหลายครั้งแล้ว นายไม่ต้องเกรงใจฉันขนาดนั้นหรอก” หยางโปพอจะเดาได้ว่ามันคงไม่ได้เป็นเพราะต้องการเลี้ยงข้าวอย่างเดียวแน่ๆ เขาจึงปฏิเสธกลับไป


หงอวี้ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆออกมา “อันที่จริงก็ยังมีเรื่องอยากให้นายช่วยนิดหน่อยด้วยน่ะ”


 


“ช่วยอะไร?”


“คือฉันอยากให้นายไปช่วยประเมินเครื่องพอร์ชเลนให้ฉันหน่อย ฉันเรียกผู้เชี่ยวชาญมาหลายคนมากเลยนะแต่พวกเขาบอกว่ามันเป็นจานหรู่เหยา แต่ฉันไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ก็เลยอยากจะเชิญให้นายช่วยมาดูให้หน่อยน่ะ”


หยางโปชะงักไปในทันที เพราะถึงจะเป็นคนมีเงินทองมากมายก็ไม่สู้จานหรู่เหยาหนึ่งใบ เพาะมันเป็นหนึ่งในห้าเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงในราชวงศ์ซ่ง แถมมันยังมีมูลค่ามหาศาลมากอีกด้วย “ได้! ฉันยังต้องอยู่จัดการเรื่องที่นี่อีกสองวัน ถ้าฉันเสร็จธุระเมื่อไหร่จะรีบไปปักกิ่งเลย”


 


หงอวี้ได้ยินแบบนั้นก็หันมามองชุยอี้ผิงที่นั่งอยู่ตรงข้าม ตอนแรกที่เขาได้ยินคำว่า ‘ได้’ จากปากของหยางโป เขาก็เผลอคิดไปว่าหยางโปจะรีบมาทันที แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขายังต้องรออีก 2 วัน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ตอบกลับไปว่า “ได้ๆ ขอบใจนายมากนะ”


“อื้อด้วยความยินดี”


หลังจากวางสายไปแล้วชุยอี้ผิงก็รีบถาม “ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? จะมาเมื่อไหร่เหรอ?”


“อยู่ที่ฉางอานน่ะ เห็นว่าอีกสองวันจะมาที่นี่”


ชุยอี้ผิงเริ่มร้อนใจ “ไม่รู้ถึงเวลาเลยสักนิด ทำไมต้องรออีกสองวันด้วย? เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องรีบร้อนอย่างนั้นสิ?”


 


หงอวี้ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ก็เขาไม่รู้เรื่องจริงนิ ฉันเองก็ไม่กล้าบอกเขาไปตรงๆ ถ้าเขารู้แล้วไม่ยอมมาที่นี่จะทำยังไงล่ะ?”


ชุยอี้ผิงส่ายหน้า “ช่างเถอะๆ เรื่องนี้ปล่อยให้คุณลุงร้อนใจไปก็แล้วกัน งั้นเดี๋ยวฉันจะโทรไปบอกเขาก่อน”


ชุยซื่อหยวนนั่งอยู่ที่นั่งประธานโดยมีหลีหมิ่นนั่งอยู่ทางซ้ายมือส่วนด้านขวามือของเขาเป็นเด็กหนุ่ม ซึ่งตอนนี้เป็นเวลามื้อค่ำของพวกเขา หลีหมิ่นตักอาหารให้เขาก่อนที่จะพูดว่า “ห้าวซวน กินเยอะๆนะ”


ซ่งห้าวซวนมองถ้วยตรงหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยเนื้อวัว เขายิ้มพร้อมกับพูด “คุณป้าพอก่อนเถอะครับ แค่นี้ผมก็กินไม่หมดแล้ว”


 


“กินเยอะๆหน่อยสิลูก ร่างกายจะได้แข็งแร่งนะ หลังจากนี้ป้าต้องพึ่งพาลูกอีกนะ” หลีหมิ่นหันมาพูดกับห้าวซวนด้วยความรัก


ชุยซื่อหยวนขมวดคิ้วเข้าหากันในมือของเขาถือถ้วยแต่สายตาก็ยังมองไปที่ภรรยาของเขา ก่อนหน้านี้ภรรยารักหลานชายคนนี้และดูแลเขาอย่างดี แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามาถึงตอนนี้เธอจะต้องการให้หลานชายของเธอเลี้ยงดูเธอในตอนแก่เพื่อเป็นการตอบแทน


ซ่งห้าวซวนเองก็ดูเหมือนว่าจะเข้ากันได้ดีกับอีกฝ่ายแถมยังเอออออย่างว่าง่าย “คุณป้าไม่ต้องห่วงหรอกครับ หลังจากนี้ผมจะดูแลคุณป้า และจะมาหาทุกวันเลยครับ”


 


หลีหมิ่นอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาก่อนที่จะกอดอีกฝ่ายราวกับกลัวว่าเขาจะหายไป


ชุยซื่อหยวนเห็นแบบนั้นก็เริ่มรู้สึกขัดใจขึ้นมา เขาวางถ้วยในมือก่อนที่จะพูดว่า “กินกันไปนะ ฉันไปห้องสมุดก่อน”


พูดจบเขาก็เดินปลีกตัวออกไปทันที


หลีหมิ่นหันไปมองอีกฝ่ายก่อนที่จะมองถ้วยข้าวของเขาที่ยังเหลืออีกครึ่งถ้วย “กินให้เสร็จก่อนสิคุณ”


“ไม่กินแล้ว ตอนเที่ยงกินไปเยอะแล้ว ตอนบ่ายก็เพิ่งไปคุยงานมากินขนมไปตั้งหลายชิ้น ตอนนี้ไม่หิวแล้ว”


ชุยซื่อหยวนอธิบาย


 


ในเวลานั้นเองโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เขาหยิบออกมาดูเบอร์ที่โทรเข้ามา หลังจากที่เห็นเบอร์ที่แสดงขึ้นบนหน้าจอเขาก็เดินเข้าไปในห้องหนังสืออย่างรวดเร็วโดยที่ยังไม่ได้กดรับสาย


หลีหมิ่นมองอีกฝ่ายพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากัน เธอรู้สึกได้ว่าช่วงนี้สามีของเธอเริ่มแปลกไปแถมยังทำตัวลับๆล่อๆดูมีพิรุธ เธอเงยหน้ามองห้าวซวน “ลูกดูลุงของลูกสิ ทำตัวห่างเหินไม่ต่างอะไรกับคนนอกเลย”


ห้าวซวนเงยหน้าพร้อมกับยิ้มด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “คุณป้าอย่าคิดมากสิครับ ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ”


หลีหมิ่นมองไปที่ห้องหนังสือของอีกฝ่ายก่อนที่จะถอนหายใจออกมา ตอนนี้อายุก็มากแล้วแถมการที่พวกเขาไม่มีลูกก็แสดงให้เห็นถึงข้อเสียที่เกิดขึ้น แต่ละวันสองสามีภรรยาก็ไม่มีเรื่องที่จะคุยกัน เป็นเพราะแบบนี้บางครั้งเขาจึงเรียกให้หลานชายมาที่นี่ แต่ดูท่าทางสามีของเขาแล้วตอนแรกๆเธอก็พอจะรับได้ แต่หลังจากที่เธอเริ่มถามและพูดเพื่อที่จะให้ซ่งห้าวซวนรับช่วงต่อกิจการของพวกเขา สีหน้าของสามีของเธอก็เปลี่ยนไป


 


ในเวลานี้หลีหมิ่นไม่รู้เลยว่าเธอควรจะทำอย่างไรดี


ห้าวซวนมองป้าของเขาพร้อมกับยิ้ม “คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงคุณลุงหรอกครับ คุณลุงเป็นไอดอลของผมตั้งแต่ผมยังเด็กๆ คุณลุงอายุแค่สี่สิบห้าก็สามารถเป็นรองผู้อาวุโสได้แล้วแถมยังเป็นตำแหน่งที่ยากมากๆด้วย อนาคตยังอีกยาวไกลเลยล่ะครับ”


หลีหมิ่นส่ายหน้า “เขาอายุแค่สี่สิบห้าแต่ตอนนี้เขาดูเหมือนคนอายุห้าสิบกว่าแล้ว เฮ้อ…ป้าอยากให้เขาได้ผ่อนคลายและพักผ่อนบ้างน่ะ”


ห้าวซวนยิ้มด้วยรอยยิ้มที่สดใส เขารู้ดีว่าป้าของเขาต้องการจะพูดอะไร แล้วเขาเองก็คิดมาตลอดว่าถ้าหากเขาสามารถอยู่ตำแหน่งสูงๆแบบลุงของเขาได้ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรทุกอย่างก็จะราบรื่นและไร้ซึ่งปัญหาอย่างแน่นอน


ตอนที่ 243 การแลกเปลี่ยนของสะสมของพวกมือสมัครเล่น


ชุยซื่อหยวนเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับกดรับสาย “อี้ผิงมีธุระอะไรเหรอ?”


“คุณลุง ตอนนี้ผมติดต่อหยางโปได้แล้วนะครับ” ชุยอี้ผิงพูด


ชุยซื่อหยวนเกิดอาการดีใจขึ้นมา “จริงเหรอ? แล้วเขาจะมาปักกิ่งเมื่อไหร่ล่ะ?”


“ตอนนี้เขาอยู่ฉางอานครับ อาจจะอีกสองวันถึงจะมาที่นี่ ผมแค่จะโทรมาบอกคุณลุงเอาไว้ก่อนน่ะครับ” ชุยอี้ผิงพูด


ชุยซื่อหยวนขมวดคิ้ว “เขามาตอนนี้ไม่ได้เหรอ?”


 


“คุณลุงครับเรื่องนี้ผมยังไม่ได้บอกเขาให้เขาเข้าใจทุกอย่างเพราะผมไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไง เอ่อ…” ชุยอี้ผิงรู้สึกลำบากใจที่จะพูด


“ได้ ฉันเข้าใจ” ชุยซื่อหยวนพูด ช่วงนี้เขาสืบหาประวัติของหยางโปมาบ้างแล้วเหมือนกันและเขาเองก็เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ของหยางโป แต่เขาเองก็ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างหยางโปและครอบครัวที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็ก และเขาเองก็เข้าใจว่าตอนนี้ชีวิตของหยางโปและพ่อแม่ของพวกเขาคงจะยังดีมากจึงไม่กล้าที่จะเข้าไปวุ่นวายให้ครอบครัวของเขาเกิดความยุ่งเหยิง


“ช่วงนี้ต้องรบกวนนายหน่อยนะ” ชุยซื่อหยวนพูด


 


ชุยอี้ผิงยิ้ม “ครับคุณลุง รอให้เขามาถึงที่นี่ผมจะโทรมาหาคุณลุงอีกรอบนะครับ ถึงเวลานั้นพวกเราจะพาเขาไปหาอะไรกินแล้วให้เขาได้มีเวลาเตรียมใจด้วย”


“ได้!” ชุยซือหยวนพูด


หลังจากวางสายไปแล้วเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทางตื่นเต้น ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังไปได้สวยแต่เขากลับรู้สึกลังเลขึ้นมา เพราะตอนนี้ทุกอย่างกำลังอยู่ในสภาพที่สงบมากแต่เขาไม่รู้เลยว่าถ้าหากคนที่นั่งอยู่ด้านนอกรู้เรื่องนี้จะเป็นยังไงและเขาควรจะทำยังไงต่อไปดี?


และที่สำคัญที่สุดคือพ่อของเขาจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้รึเปล่า?


 


หยางโปยังคงกดเลื่อนดูบันทึกโทรเข้าอยู่และเขาก็พบว่าเสี่ยวซวนเองก็โทรมาหาด้วยเช่นเดียวกัน


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งหยางโปก็เลือกที่จะไม่กดโทรกลับไป


วันรุ่งขึ้นเป็นเพราะไม่ได้มีเรื่องรีบร้อนอะไรมาก หยางโปและอีกสองคนที่เหลือจึงไม่ได้ตื่นเช้าเท่าไหร่นัก หลังจากถึงเวลาทานอาหารทุกคนก็ลงมารวมตัวกันซึ่งเป็นเวลาเที่ยงพอดี


หลังจากทานอาหารแล้วทั้งสามคนก็หาร้านน้ำชาแถวข้างๆโรงแรมเพื่อนั่งพูดคุยกัน ลัวย่าวหัวเองก็เตรียมตัวมาอย่างดีเพราะเขานำไพ่มาด้วย


หลังจากที่ทุกคนวางกฎในการเล่นแล้ว เกมก็เริ่มต้นขึ้น


 


หยางโปเล่นไพ่พวกนี้น้อยมากจึงทำให้เขาไม่สามารถสู้สองคนที่เหลือได้ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะมองไม่เห็นไพ่คนอื่นๆ บางครั้งเขาเองก็แอบมองไปที่ไพ่ของอีกฝ่ายซึ่งเป็นไพ่ใบสุดท้าย สุดท้ายเขาก็สามารถพลิกเกมจนกลายเป็นผู้ชนะได้


หลังจากเล่นไปสามสี่รอบ หยางโปก็มาเป็นคนสับไพ่เอง เพราะไพ่ในมือของเขาแย่มากและมันอาจจะทำให้เขาแพ้ได้


ในเวลาอันรวดเร็วลัวย่าวหัวก็โยนไพ่ลงบนโต๊ะ “หยางโป อะไรเนี่ย ทำไมไพ่ของนายถึงมีแต่ดีๆทั้งนั้นเลยล่ะ?”


หยางโปยิ้ม “นี่นายจะโทษฉันเหรอ?”


 


ลัวย่าวหัวชะงักไปก่อนที่จะตอบ “แต่จะโทษพวกฉันก็ไม่ได้รึเปล่า?”


เจ้าอ้วนหลิวหัวเราะหึหึ “เอาหน่าใจเย็นๆ กิจกรรมของพวกเรากว่าจะถึงก็ตอนค่ำนู้น”


หยางโป “เจ้าอ้วนหลิวเส้นสายของนายนี่ไม่ธรรมดาเลยนะ ยังไม่ไปถึงที่นั่นก็สามารถติดต่อคนแถวนั้นได้แล้ว หลังจากนี้ถ้าพวกเราอยู่กับนายคงจะไปไหนมาไหนสบายเลย”


เจ้าอ้วนหลิว “เถ้าแก่หยาง ฉันเป็นคนกลางนะยังไงก็ต้องมีคอนเนคชั่นพวกนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นแบบเถ้าแก่ที่มีความสามารถขนาดนี้ จะเดินไปที่ไหนก็มีแต่คนต้อนรับทั้งนั้นแหละ”


หยางโปยิ้ม “ไม่ขนาดนั้นหรอก การที่นายช่วยให้เกิดธุรกิจแบบนี้ก็ทำให้ฉันทำกำไรได้ด้วยไง”


 


หลังจากนั้นทุกคนก็เปลี่ยนจากการเล่นไพ่มาเป็นจิบชาและนั่งพูดคุยแทน


ทันทีที่ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว โทรศัพท์ของเจ้าอ้วนหลิวก็ดังขึ้น


“โอเค ไปกันเถอะ” เจ้าอ้วนหลิวพูด


หยางโปหันไปมองด้านนอก “รอบนี้พวกเราจะไปไหนกัน?”


เจ้าอ้วนหลิวหัวเราะ “ไม่ต้องห่วงไปกับฉันรับรองสนุกแน่นอน ไม่ทำให้นายเสียเปรียบแน่”


หยางโปรู้สึกสงสัยขึ้นมาเพราะเขามั่นใจว่าถ้าหากเขาไม่ถามให้ชัดเจนก่อนเขาต้องเจอเรื่องไม่คาดคิดและเสียเปรียบแน่ ซึ่งเหมือนกับเมื่อหลายวันก่อนที่เขาเข้าใจว่ามันเป็นเพียงแค่สุสานเล็กๆแต่มันกลับกลายเป็นสุสานของเจ้าชายแทน


 


“อยู่ที่ถนนจูเชว้หมายเลขสามสิบน่ะ ที่นั่นมีกลุ่มคนรวมตัวกันตอนกลางคืนของทุกๆวันก็จะมีตลาด แต่มีถึงแค่ตอนสี่ทุ่ม” เจ้าอ้วนหลิวพูด


หยางโปยังสงสัย “เวลาที่เปิดปิดนี่ไม่มีใครพูดถึงเลยเหรอ? ถึงมันจะไม่ได้เหมือนกับตลาดผีแต่มันก็ไม่ใช่ตลาดธรรมดาๆนิ”


“เพราะว่าที่นี่มันเป็นกลุ่มของพวกนักสะสมมือสมัครเล่นน่ะ คนพวกนี้จะใช้ประโยชน์จากทุกวันพุธเพื่อทำการแลกเปลี่ยนค้าขายวัตถุโบราณ”


“มือสมัครเล่น?” หยางโปจับประเด็นหลักขึ้นมาย้อนถาม


 


เจ้าอ้วนหลิวยิ้ม “อย่าดูถูกคนพวกนั้นเชียวนะ ถึงจะพูดว่ามือสมัครเล่นแต่ของที่อยู่ในมือของพวกเขาก็มีไม่น้อยเลยนะที่เป็นของดีๆน่ะ ปกติแล้วคนพวกนี้จะไม่ทำการแลกเปลี่ยนกับคนนอก แต่ฉันให้เพื่อนของฉันช่วยน่ะ เพื่อนของฉันคนนี้ก็อยู่ในแวดวงพวกนี้เหมือนกัน เขาก็เลยสามารถพาพวกเราเข้าไปได้”


หยางโปยังแปลกใจ “มือสมัครเล่นแต่สามารถทำได้ถึงขนาดนี้มันไม่ธรรมดาเลยนะ สงสัยพวกเราต้องไปดูหน่อยแล้ว”


ลัวย่าวหัวหยิบของบนโต๊ะก่อนที่จะหันไปพูด “ไปซิ! จะรออะไรอยู่อีกล่ะ”


พูดจบทั้งสามคนก็เดินไปที่ถนนจูเชว้ทันที ทั้งสามคนยืนรออยู่ด้านนอกหน้าประตูธนาคารอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะมีชายวัยกลางคนเดินเข้ามา


 


เจ้าอ้วนหลิวรีบเดินไปจับมือทักทายอีกฝ่าย “พี่กาว ขอบคุณมากนะครับที่เป็นธุระให้”


ชายที่เข้ามาสวมใส่เสื้อสูทแบบสบายๆพร้อมกับรองเท้าหนังสีน้ำตาล ท่าทางของเขาดูเหมือนกับพวกคนที่นั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ หลังจากที่จับมือทักทายกับเจ้าอ้วนหลิวแล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่เป็นไร ครั้งที่แล้วฉันเองก็ให้น้องหลิวช่วยเหมือนกัน ถ้าไม่ช่วยครั้งนี้ฉันคงจะเสียเปรียบเยอะเลย ฮ่าๆ”


เจ้าอ้วนหลิวยิ้ม “ถ้างั้นพวกผมก็ไม่เกรงใจแล้วนะครับ เอ่อ…ผมขอแนะนำหน่อยนะครับ คนนี้คือหยางโปครับถึงแม้ว่าจะดูอายุน้อยแต่เขาก็ประสบความสำเร็จในการประเมินวัตถุโบราณแล้วนะครับ ส่วนคนนี้คือลัวย่าวหัวคนนี้กำลังจะเปิดงานประมูลอยู่ อีกไม่นานก็จะเริ่มเปิดที่จินหลิงแล้วครับ ถึงเวลานั้นพี่กาวคงจะสะดวกมากขึ้นด้วย ฮ่าๆ”


 


คุณกาวยิ้มก่อนที่จะจับมือทักทายทั้งสองคน “ยินดีที่ได้เจอนะครับ”


หลังจากทุกสองฝ่ายกล่าวทักทายแล้ว คุณกาวก็เดินนำพวกเขาไปตามถนนก่อนที่จะเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ ในเวลาอันรวดเร็วพวกเขาก็มาถึงหน้าประตูบ้านหลังหนึ่ง


หลังจากที่คุณกาวเคาะประตูอยู่ครู่หนึ่งก็มีเด็กหนุ่มชะโงกหน้ามาดู “อ้าวคุณกาวมาแล้วเหรอครับ”


พูดจบเขาก็รีบเปิดประตู ในเวลานั้นคุณกาวก็ชี้มาที่หยางโปและคนอื่นๆ “ฉันพาเพื่อนมาสามคนเป็นคนที่ทำงานแวดวงนี้เหมือนกัน ฉันบอกกับคุณอู๋แล้วด้วย”


“ครับ ผมทราบแล้วเหมือนกันครับ” ชายหนุ่มยิ้มก่อนที่จะเปิดประตูเพื่อต้อนรับพวกเขาให้เข้าไปด้านใน


 


หลังจากที่พวกเขาเดินเข้าไปแล้วพวกเขาก็รู้สึกได้ถึงความคึกคักและคึกครื้นภายในนี้ ลานบ้านของที่นี่มีโต๊ะทรงกลมทั้งหมดสี่โต๊ะซึ่งมีคนอยู่ราวๆยี่สิบกว่าคน และแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยๆสามถึงห้าคน ตอนที่หยางโปและคนอื่นๆเดินเข้ามาทุกคนต่างก็หันมามองคนแปลกหน้าด้วยท่าทางชะงักไป และเสียงที่ดังก่อนหน้านี้ก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นความเงียบ


คุณกาวหันไปมองทุกคน “วันนี้ฉันพาเพื่อนมาที่นี่น่ะ ทุกคนไม่ต้องห่วงนะทั้งสามคนนี้เป็นคนที่อยู่ในแวดวงเดียวกัน”


“พวกเราเชื่อคุณกาวอยู่แล้ว” มีคนนึงพูดขึ้นมา


คุณกาวยิ้มพร้อมกับตอบกลับไป “ขอบใจมากนะ”


ทันใดนั้นบรรยากาศภายในนี้ก็เริ่มผ่อนคลายลงและทุกคนก็กลับมาพูดคุยและยิ้มแย้มกันอีกครั้ง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม