จอมใจจ้าวพิษ 236-243

 ตอนที่ 236 ความจริงปรากฏ 



 


เถิงอวิ๋นไล่ตามออกมา แล้วเจอฉู่จิ่งเหยาที่หน้าประตู กำลังมองและยิ้มให้เขา 


 


 


“เหตุใดท่านอ๋องไม่ขวางพวกเขาไว้ รู้หรือไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใดกัน” 


 


 


“ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด ล้วนเป็นสิทธิของพวกเขา เมื่อครู่ข้าให้อาห่าวไปค้นห้องเจ้า ในห้องทดลองของเจ้าก็มีขวดกระเบื้องเคลือบสีขาว ในนั้นใส่…” 


 


 


เถิงอวิ๋นขมวดคิ้ว แต่อิ๋นซานวิ่งตามออกมา มองดูคนทั้งสองด้วยแววตาลึกล้ำ แล้วพูดว่า 


 


 


“ย่ารองให้พวกเจ้าเข้าไป” 


 


 


ขณะนี้เถิงเฟิงพาถังเฉียนไปยังสถานที่ที่นางทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า ที่บอกว่าคุ้นเคยเพราะนางเคยอยู่ที่นี่นานมากในโลกแห่งจิตใจของเถิงเฟิง ในช่วงเวลาที่ผ่านมานางเคยอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้ดูเกินจริงขนาดนั้น แต่ที่นี่ก็แปลกกว่าที่อื่น ป่าไม้หนาทึบ ใบไม้พวกนั้นใหญ่กว่าที่อื่น 


 


 


เถิงเฟิงจับมือนางไว้แน่นวิ่งไปตามทางเส้นหนึ่ง หลังจากวิ่งมาสักพักหนึ่งแล้วทั้งสองจึงหยุด มองดูซ้ายขวา ตรงนี้เป็นที่ว่าง แต่จู่ๆ ต้นไม้รอบๆ ก็สูงใหญ่ขึ้น 


 


 


“ที่นี่คือเขตหวงห้ามหรือ” 


 


 


ถังเฉียนหยุดยืน มองดูรอบๆ จู่ๆ ก็ลืมไปว่าตัวเองเข้ามาจากที่ใด เพราะรอบๆ ไม่มีเส้นทางใดๆเลย แต่เมื่อครู่เห็นชัดๆ ว่าวิ่งตามทางเส้นเล็กเข้ามา 


 


 


ถังเฉียนมองซ้ายมองขวายังรู้สึกแปลก แต่นางยังไม่ทันพูดอะไร เถิงเฟิงก็พูดว่า 


 


 


“สถานที่นี้แปลกมาก เพราะต้นไม้ที่นี่กินคนได้ ดูดเลือดคนจนหมด ถ้าข้าบอก เจ้าก็คงจะไม่เชื่อ แต่เรามาดูกัน” 


 


 


ตอนที่เข้ามาเถิงเฟิงหิ้วไก่ตัวหนึ่งมาด้วย พอเห็นดอกไม้ดอกหนึ่งที่กำลังบานอยู่ ก็โยนไก่ตัวนั้นออกไป โยนไปในจุดที่ไม่ห่างจากดอกไม้ดอกนั้นนัก ไก่หมุนตัวแล้ววิ่งหนี แต่ถังเฉียนมองเห็นด้านล่างของดอกไม้มีเครือเถายื่นออกมาหลายสายรัดไก่ตัวนั้นไว้ทันที ได้ยินเสียงมันร้องสองสามทีแล้วถูกลากเข้าไปในดอกไม้ จากนั้นก็เห็นเพียงขนไก่กองหนึ่ง 


 


 


“นี่ นี่…” 


 


 


เถิงเฟิงเห็นท่าทางของถังเฉียน สีหน้าเขาฉายแววเย็นชาและทุกข์ทรมานสุดขีด เขาไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าถังเฉียน แต่ขณะนี้น้ำตาคลอเบ้าในดวงตาทั้งสองข้างแล้ว ทันใดนั้นถังเฉียนก็รู้สึกว่าไม่ต้องสอบถามสิ่งใดแล้ว อาหรูน่าคนนั้นคงต้องสำคัญสำหรับเขามาก  


 


 


ตั้งแต่ที่ตนเองถูกเรียกว่าอาหรูน่า เขาคงเอาความคิดถึงนางมาวางไว้ที่ตนเอง บางทีนิสัยนางอาจคล้ายกับอาหรูน่าตัวจริง บางทีอาจเพราะหน้าตานางดูคล้าย ไม่ว่าจะอย่างไร นางเป็นเพียงตัวแทนเท่านั้น 


 


 


“ขอโทษด้วย คนตายแล้วไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้ ข้าทำให้เจ้านึกถึงเรื่องที่น่าเศร้าใช่หรือไม่” 


 


 


เถิงเฟิงกอดนางไว้ ลูบเส้นผมนางเบาๆ แล้วพูดว่า 


 


 


“ข้ารู้ก่อนแล้วว่าสักวันเจ้าจะรู้ ชื่อเจ้ามาจากนาง แต่เจ้ารู้หรือไม่ ตอนที่ข้าถอดหน้ากากเจ้าออกราวกับว่าข้าเห็นนางกลับมาแล้ว” 


 


 


เถิงเฟิงเล่าเรื่องนี้ให้ถังเฉียนฟังด้วยความอดทน เกี่ยวกับสถานที่นี้ เกี่ยวกับผู้หญิงคนที่ตายจากไปแล้ว 


 


 


ก่อนนี้ที่นี่ไม่ใช่เขตหวงห้าม เป็นเพียงสวนดอกไม้ธรรมดา เถิงเฟิงยังสร้างชิงช้าขนาดใหญ่ให้อาหรูน่าตัวจริง ตอนที่เถิงเฟิงเห็นท่าทางนางนั่งชิงช้าในโลกแห่งจิตใจ บางทีอาหรูน่าคนก่อนนี้ก็คงเป็นอย่างนั้น แต่เหตุพลิกผันเกิดขึ้นเร็วเกินไป เถิงเฟิงเจอเมล็ดพันธุ์พิเศษเม็ดหนึ่ง มันออกดอก ดอกใหญ่เป็นพิเศษ งดงามเป็นพิเศษ เขาอยากชื่นชมดอกไม้ที่สวยที่สุดนี้กับคนที่เขาชอบที่สุด จึงพาอาหรูน่ามายังที่แห่งนี้ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 237 บุปผากินคน 


 


 


 


 


 


แต่วันนั้นดอกไม้นั่นกินคนเป็นครั้งแรก พอเถิงเฟิงตั้งสติได้ อาหรูน่าก็ถูกดูดเลือดจนแห้งไปทั้งร่าง ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองเขาก็คงไม่เชื่อ ดอกไม้ถึงกับกินคน กินคนที่เขาชอบที่สุด 


 


 


ถังเฉียนฟังถึงตรงนี้ก็มีหยาดน้ำตาที่หางตา นางรู้สึกถึงความน่าเศร้าของเรื่องนี้ และรู้ว่าเรื่องนี้ทำให้เถิงเฟิงสะเทือนใจ 


 


 


“เจ้าหนีพ้นได้อย่างไร” 


 


 


เจ้าสิ่งนี้คงกินอย่างไม่เลือก น่าจะคงเพราะได้กลิ่นคาวเลือดแล้วจึงกลืนกินเหยื่อ ถังเฉียนคิดเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นมันคงถูกคนกำจัดไปแล้ว 


 


 


“เจ้าคิดว่ามีเพียงเจ้าคนเดียวที่มีเลือดพิเศษหรือ” 


 


 


เถิงเฟิงเดินผ่านนางไป แล้วยื่นแขนไปตรงหน้าดอกไม้นั่น ทันใดนั้นมีเครือเถาเลื้อยไต่ขึ้นมา ถังเฉียนอยากเข้าไปช่วย แต่เขาห้ามไว้ เพียงแต่ดึงมือนางเพื่อให้นางเห็นด้วยตาตัวเอง เครือเถาแทงเข้าไปในร่างเถิงเฟิง แต่ในชั่วพริบตากลับเ**่ยวเฉาทันที 


 


 


จากนั้นมันก็ผละจากร่างเถิงเฟิงอย่างรวดเร็ว เถาที่ขาดเหมือนแขนขาดทิ้งไว้ตรงหน้าถังเฉียน จากนั้นก็มองไม่เห็นบุปผากินคนรอบๆ แล้ว 


 


 


“เลือดเจ้ามีฤทธิ์ทำลายมันหรือ แต่คนอื่นไม่มี ดังนั้นแม่เจ้าจึงมีคำสั่งไม่ให้ใครเข้ามาใกล้ที่นี่ เหตุจึงไม่ทำลายบุปผากินคนทิ้งเสีย ป้องกันไม่ให้มันทำร้ายใครอีก” 


 


 


เวลานี้ถังเฉียนเข้าใจแล้วว่าเหตุใดที่แห่งนี้จึงกลายเป็นเขตหวงห้าม นางทราบความจริงทั้งหมดจากปากเถิงเฟิงแล้ว แต่ความจริงนี้ออกจะโหดร้ายเกินไป 


 


 


“สำหรับเรื่องนี้ คนระดับล่างพากันคาดเดาด้วยความสงสัย เพราะข้าป่วยบ่อย แต่หลังจากอาหรูน่าตายแล้ว ข้ากลับไม่ค่อยป่วยนัก คนพวกนี้ยิ่งลือก็ยิ่งแปลกพิสดาร บางคนบอกว่าครอบครัวข้าใช้นางทำกระสายยา ทำให้ข้าหายป่วย ที่จริงเพราะไม่มีคนอยู่ข้างตัว พออาการกำเริบข้าก็อดทนให้ผ่านไปเท่านั้นเอง เหตุผลก็แน่ล่ะทั้งบางปีข้าไปอยู่ที่เผ่าหมอผีนาน ไม่ค่อยได้กลับมาที่พีส่าด้วย” 


 


 


ถังเฉียนฟังเรื่องทั้งหมดที่เขาเล่า ความจริงทั้งหมดก็ได้ปรากฏออกมาชัดเจนแล้ว ถ้าหากไม่มีการตายของเหวินเยียน ถ้านางไปเค้นถามต่อหน้าผู้คน บางทีเขาอาจจะไม่เปิดปากชั่วชีวิต เพราะเรื่องนี้สำหรับเถิงเฟิงแล้วช่างโหดร้ายที่สุด 


 


 


“ข้ารู้ ข้าไม่ควรระแวงสงสัยเจ้า ข้าจิตใจคับแคบ ใจไม่กว้างพอ แต่ข้ายังมีคำถามสุดท้ายจะถามเจ้า” 


 


 


ถังเฉียนพยายามอดกลั้น บอกกับตัวเองว่าอย่าถาม หลังจากถามแล้วบางทีระหว่างพวกเขาจะไม่มีวันหลังแล้ว 


 


 


“เจ้าอยากรู้ว่าเหตุใดข้าจึงตั้งชื่อนี้ให้เจ้าใช่หรือไม่” 


 


 


“เจ้าเดาไม่ผิดหรอก เพราะนาง อาหรูน่าตัวจริง อาหรูน่าที่ข้าไว้ใจได้อย่างสิ้นเชิง” 


 


 


ถังเฉียนได้ยินความจริงที่โหดร้ายที่สุด แต่เป็นเพราะนางเป็นฝ่ายขอร้องเอง โทษใครไม่ได้ 


 


 


“ข้าพูดอย่างนี้ เจ้าพอใจหรือไม่” 


 


 


ถังเฉียนหันไป หันหลังให้เถิงเฟิง นางไม่ได้เข้มแข็งนักหรอก และไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่นางเองเคยคิด น้ำตาบดบังดวงตาทั้งสองข้างของนางแล้ว ทำให้นางไม่อาจต้านทานผลลัพธ์เช่นนี้ นางเคยคิดว่าความสวยงามทั้งหมดล้วนเกิดจากนางเองฝ่ายเดียว 


 


 


ที่แท้นางก็เป็นคนน่าสงสารที่มีชีวิตอยู่ภายใต้เงาของเด็กสาวอีกคน 


 


 


“เถิงเฟิง ขอบใจที่เล่าความจริงให้ข้าฟัง ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องนึกถึงความทรงจำที่ไม่ดี แต่ข้าคิดว่าข้าไม่ต้องการชื่ออาหรูน่านี่อีกแล้ว ข้าชื่อถังเฉียน ถังเวยเป็นน้องสาวข้า ข้าเป็นทาสที่มาจากเซวียนกั๋ว ข้าใช้ชีวิตช่วยฉู่จิ่งเหยาไว้ ฮว่าเหยียนเอาเสื้อนางมาใส่บนตัวข้า ทำให้ข้ามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ข้าดื้อรั้น ขี้ขลาด โหดร้าย มีชีวิตเหมือนหมอผีจริงๆ 


ตอนที่ 238 ปวดร้าวใจ 


 


 


 


 


 


ถังเฉียนกัดริมฝีปากตัวเองอีกครั้งเพื่อไม่ให้เถิงเฟิงได้ยินเสียงสะอื้นของตน 


 


 


“ข้าทำได้ไม่เลว อย่างน้อยถึงเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครมองตัวตนข้าออก ขอบใจที่เจ้ามอบตัวตนให้ข้า ทำให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปที่นี่ ยิ่งรู้สึกมีศักดิ์ศรีที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ทั้งหมดล้วนเป็นหลังจากที่ข้าสวมหน้ากาก ข้าทะเยอทะยานเกินไป ข้าคิดว่าคนคนหนึ่งไม่อาจโชคดีมากอย่างนั้น ข้ารับปากเจ้าแล้วว่าจะช่วยหาวิธีรักษาเจ้า ข้ายังจะพยายามหาวิธีอย่างเต็มที่ แต่ข้าไม่อาจแบกรับฐานะการเป็นคู่หมั้นได้แล้ว” 


 


 


ถังเฉียนยิ่งพูดเช่นนี้ต่อไป ก็รู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองกำลังหลั่งเลือด นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าเถิงเฟิงจะมีความสำคัญต่อนางมากถึงเพียงนี้ ขณะที่เตรียมใจที่จะจากเขาไปนั้น หัวใจก็ช่างปวดร้าวยิ่งนัก 


 


 


“เถิงเฟิง ข้าจะไปแล้ว ขอบใจเจ้ามากที่ดูแลข้าในช่วงที่ผ่านมา เจ้าเป็นเพื่อนและคนใกล้ชิดคนเดียวของข้าที่นี่ เป็นคนที่ข้าไว้ใจและพึ่งพาได้ที่สุด ที่แท้ที่เจ้าดีต่อข้าเป็นเพราะแม่นางอีกคนแลกด้วยชีวิต ข้าไม่คู่ควรให้เจ้าดีต่อข้าเช่นนี้ ข้าเป็นคนเลว” 


 


 


ถังเฉียนเจ็บปวดหัวใจจริงๆ นางคิดว่าตัวเองจะเข้มแข็งพอที่จะผ่านมันไปได้ นางผ่านการพลัดพรากและทุกข์ทรมานมามากมายแล้ว แต่ครั้งนี้ยิ่งเจ็บปวดจริงๆ ความทะนงตนและศักดิ์ศรีบอกตัวเองว่าพอหันมานางก็กลายเป็นเพียงหมอผีที่ขี้ขลาดโหดเ**้ยม นางไม่อาจจะหันหลังกลับได้แล้ว 


 


 


หากนางต้องการใช้ชีวิตในนามของหมอผีตลอดไป ก็ควรจะกล้าหาญขึ้นบ้าง 


 


 


ถังเฉียนวิ่งไปจากที่นี่ ราวกับวิ่งหนีพงหนามที่อยู่ข้างหลัง นางวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต ต้นไม้เหล่านั้นแยกออกเป็นทางนำให้นางไปยังทิศทางที่พวกมันต้องการทีละก้าว 


 


 


กิ่งไม้รอบข้างกำลังสั่นไหว ขณะที่เสียงขลุ่ยยิ่งห่างออกไปเคล้าคลอขึ้นมาเป็นระลอกคลื่น 


 


 


“ที่นี่ที่ไหน” 


 


 


ถังเฉียนไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งมานานแค่ไหนแล้ว เห็นชัดๆ ว่านางวิ่งไปตามเส้นทางที่ตนเองมา บุปผากินคนถูกเถิงเฟิงทำให้ตกใจหนีไปแล้ว ส่วนนางเพียงแต่ย้อนกลับมาตามทางเดิม แต่นางจำได้ว่าตอนที่มาไม่มีเส้นทางมากมายเช่นนี้ 


 


 


ถังเฉียนเดินไปตามทางปูด้วยหิน เดินไปข้างหน้าทีละก้าว แล้วก็เริ่มชัดเจนทีละน้อย นางหลงทางแล้ว 


 


 


“ชิงช้าอันนั้นหรือ” 


 


 


ถังเฉียนเงยหน้าขึ้น ชิงช้าที่อยู่เหนือศีรษะดูค่อนข้างเก่าทรุดโทรม ขณะนี้ดูแล้วก็รู้สึกปวดใจ แล้วรู้สึกเหมือนมีคนดึงกระโปรงนาง พอก้มลงมอง เครือเถากำลังไต่ขึ้นบนขานาง ดึงจนนางล้มลง ตัวนางฟุบลงบนพื้น นางดิ้นรนพลางร้องให้คนช่วย แล้วดึงมีดสั้นออกมาปักลงไปในช่องหิน ไม่ให้ตัวนางถูกลากไปตรงหน้าบุปผากินคน 


 


 


ถังเฉียนเหลือบมอง นางไม่รู้ว่าเลือดตนเองจะทำลายเครือเถาได้หรือไม่ แต่ขณะนี้ไม่มีเวลามาคิดมากแล้ว จึงใช้มีดกรีดลงไปบนแขน แล้วสะบัดเลือดออกไป เลือดสีแดงสดหยดลงบนเครือเถา มันเปลี่ยนเป็นสีดำทันที แล้วสีดำก็ค่อยๆ แผ่ออกไปเรื่อยๆ 


 


 


ถังเฉียนเกิดบันดาลโทสะ ในเมื่อบุปผากินคนอันตรายเช่นนี้ ก็ควรจะตัดรากถอนโคนเสียให้สิ้นซาก สิ่งที่กินคนเช่นนี้ ทิ้งไว้ย่อมเป็นภัย 


 


 


ถังเฉียนตามเครือเถาสีดำไป ถ้าเจอจุดที่เครือเถาขาด ก็จะได้ยินเสียงดังซู่ๆ นางค่อยๆ ไล่ตามไป วิ่งตามไปจนไกล จนมองไม่เห็นแม่แต่เงาของชิงช้าแล้ว 


 


 


เมื่อครู่เถิงเฟิงยังโศกเศร้าอยู่ เดิมเขาไม่คิดจะพูดเช่นนี้ หรือเดิมทีตอนที่เขาตั้งชื่อนี้ก็ไม่ได้คิดเช่นนี้ แต่เพราะโกรธจึงพูดเช่นนี้ออกมา เขาคิดไม่ถึงว่าถังเฉียนจะวิ่งหนีไป เพิ่งได้ยินเสียงร้องให้ช่วยของถังเฉียนก็นึกขึ้นได้ว่าสถานที่นี้คือหุบบุปผากินคนซึ่งเป็นเขตหวงห้าม 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 239 ความเป็นมาของเขตหวงห้าม 


 


 


 


 


 


ถังเฉียนไล่ตามมาจนใกล้จึงมองเห็นดอกของบุปผากินคน มันซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขา นางเดินไปข้างหน้าทีละก้าว ราวกับได้ยินเสียงคนคุยกัน นางเห็นบุปผากินคนสีม่วงสด ราวกับกำลังกระจายกลิ่นหอมฟุ้งและความงดงาม 


 


 


นอกจากบุปผากินคนจะมีขนาดใหญ่โตเป็นพิเศษแล้ว ยังมีกลิ่นที่ชวนให้ลุ่มหลงเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดความรู้สึกว่ามันช่างสวยงามยิ่งนัก เดิมทีนั้นถังเฉียนตั้งใจจะมาทำลายมัน แต่ขณะนี้นางไม่อาจลงมือทำตามอย่างที่ตั้งใจได้แล้ว ทั้งร่างกายและจิตใจล้วนกำลังชื่นชมในความสวยงามของบุปผากินคน  


 


 


ถังเฉียนขยับเข้าไปใกล้อย่างไม่รู้ตัว แต่เมื่อเข้าใกล้ที่สุดแล้ว จู่ๆ เสี่ยวจินก็บินออกมา แล้วกัดที่หน้าอกนางอย่างแรง 


 


 


“โอ๊ย เจ็บจังเลย!” 


 


 


ถังเฉียนไม่เคยถูกเสี่ยวจินกัด พอถูกกัดจึงได้รู้ว่าเจ็บขนาดนี้ รู้สึกเจ็บน้อยกว่าที่ปวดใจเมื่อครู่เล็กน้อยเท่านั้น พอถังเฉียนมองดูก็เห็นเครือเถาเลื้อยเกี่ยวขึ้นมาถึงเอวแล้ว หากนางไม่รู้สึกตัวขึ้นมา คงจะกลายเป็นอาหารของดอกไม้ปีศาจ 


 


 


ในเมื่อนางรู้สึกตัวแล้วแล้วจึงทำการเผาเลือดแห่งราชาโอสถในร่างตนเอง เลือดที่ไม่เพียงช่วยชีวิตคนได้ทั้งยังสามารถฆ่าคนได้ด้วย ดูเหมือนบุปผากินคนจะไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามของนาง มันค่อย ๆดึงร่างถังเฉียนเข้าไปใกล้ตัว 


 


 


ถังเฉียนเตรียมพร้อมไว้แล้ว นางกรีดแขนตัวเองเมื่อเข้าใกล้บุปผากินคนพอ ก็เหวี่ยงมือลงไปคว้ากลีบดอกไว้ 


 


 


“อ้า…” 


 


 


ดอกไม้เหมือนอ้าปากขนาดมหึมาออก จากนั้นมันก็สั่นไหวอย่างรุนแรงแล้วเน่าเปื่อยทันที กลีบดอกที่ถังเฉียนจับไว้ก็เ**่ยวเฉาร่วงลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่บริเวณรอบๆ ที่เคยเขียวขจีก็ค่อยๆกลายเป็นสีดำ ร่างถังเฉียนสั่นระริก หายใจหอบ ที่นางสามารถทำทั้งหมดนี้เป็นเพราะเสี่ยวจินช่วยชีวิตนางไว้ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ไม่เช่นนั้นตัวนางคงไม่อาจต่อต้านบุปผากินคนได้ แล้วตกเป็นอาหารของมันไปแล้ว 


 


 


ถังเฉียนนั่งลงบนพื้น ร่างอ่อนยวบ แล้วเห็นเสี่ยวจินไต่อยู่บนพื้น นางยื่นมือออกไป ให้มันบินขึ้นมา แต่เสี่ยวจินกำลังออกแรงดึงหินสีม่วงก้อนหนึ่งบนพื้นอย่างสุดกำลัง 


 


 


“นี่อะไร” 


 


 


ถังเฉียนใช้นิ้วขยับหินก้อนนั้น แล้วหยิบขึ้นมา นางนั่งอยู่กับที่ แล้วเห็นห่างออกไปมีคนสองคนโผล่ออกมา ทั้งสองคนสวมชุดดำและปิดใบหน้า ท่าทางลุกลี้ลุกลน 


 


 


“อาหรูน่า? อาหรูน่า?” 


 


 


ถังเฉียนรู้สึกว่าคนผู้นั้นคุ้นตา แต่พอเสียงเถิงเฟิงดังแว่วมา ทั้งสองคนก็ดึงผ้าคลุมหัวต่ำลงแล้ววิ่งเร็วขึ้น นางมองตามไป แผ่นหลังนั้นดูคุ้นเคย แต่ความคุ้นเคยนี้ไม่อาจทนต่อเสียงเถิงเฟิงร้องเรียกชื่ออาหรูน่า ขณะนั้นนางก็รู้สึกปวดใจ 


 


 


“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรอืไม่ เจ้าทำอะไร บุปผากินคนเล่า” 


 


 


เถิงเฟิงวิ่งมาถึง เห็นถังเฉียนนั่งอยู่บนพื้น เขาพยุงนางขึ้นทันที ตรวจดูนางอย่างละเอียดว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ แล้วเห็นรอยแผลลึกบนแขนนาง ร้องด้วยความแปลกใจ 


 


 


“คราวนี้เหตุใดแผลเจ้าจึงไม่สมานเข้าหากัน” 


 


 


ถังเฉียนมองดูบาดแผลน่าเกลียดบนแขนตัวเอง มีรอยยิ้มอย่างเย็นชาที่มุมปาก 


 


 


“เพราะข้าใช้พิษ แผลจะไม่สมานตลอดไป มันจะคอยเตือนว่าข้าทำเรื่องที่ผิด ข้าไม่เป็นไรหรอก แต่ทำลายเขตหวงห้ามของเจ้าไปแล้ว ต้องขอโทษจริงๆ” 


 


 


เถิงเฟิงสั่นหัวพลางพูดว่า 


 


 


“ถ้าง่ายอย่างที่เจ้าคิดก็คงดีหรอก เขตหวงห้ามนี้กว้างใหญ่มาก ทีแรกปลูกแค่ต้นเดียว น่าเสียดายที่หลายปีมานี้มันแตกหน่อเจริญงอกงาม จนที่นี่มีนับร้อยนับพันต้นแล้ว เจ้าฆ่าเพียงต้นเดียว ถ้าฆ่าไม่หมด วสันต์ฤดูปีหน้า พออากาศอุ่นดอกไม้เบ่งบาน มันจะงอกขึ้นใหม่” 


 


 


เถิงเฟิงเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยผิดหวังของถังเฉียน จึงตั้งใจพูดปลอบว่า 


 


 


“ที่นี่เป็นเขตเชื่อมต่อระหว่างเผ่าอินทรีเงินกับเผ่าหมอผี ยังมีทหารคอยเฝ้า เดิมท่านพ่อตั้งใจจะปลูกพวกมันไว้เพื่อป้องกันถูกลอบโจมตี แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะมีอันตรายขนาดนี้ แค่ต้นเดียวกลับขยายพันธุ์มากมาย ยังดีที่พวกมันไม่หนีออกไปจากหุบเขานี้ ไม่เช่นนั้นคงเดือดร้อนมาก” 


 


 


ถังเฉียนทุ่มเทใจและลงแรงมากขนาดนี้ยังทำลายได้แค่ต้นเดียว จึงพอจะคาดเดาได้ว่าถ้าเผ่าพีส่าจะจัดการกับที่นี่คงจะเป็นเรื่องที่ยากมาก 


ตอนที่ 240 แผนการรักษา 


 


 


 


 


 


เมื่อถังเฉียนกับเถิงเฟิงพบหน้ากันอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ แต่เถิงเฟิงย่อมไม่อาจปล่อยให้นางอยู่ที่นี่ตามลำพัง กลัวว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับนางขึ้นอีก เขาเป็นคนพานางเข้ามา เขาก็ต้องเป็นคนพานางออกไป 


 


 


พอออกมาจากเขตหวงห้าม เมื่อเถิงเฟิงต้องพูดกับนางก็รู้สึกลำบากใจ อาห่าววิ่งมา พอเห็นคนทั้งสองกลับไม่รู้สึกตื่นเต้น เพียงแต่บอกว่า 


 


 


“เจ้านาย ท่านอ๋องได้รับราชโองการให้พาพระชายารองกลับเมืองหลวงทันที ถามว่าเจ้านายจะเดินทางไปกับเขาหรือไม่ ถ้าจะไป ก็ต้องไปทันที” 


 


 


พอถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็หันไปมองเถิงเฟิงอย่างไม่รู้ตัว เป็นครั้งแรกที่เถิงเฟิงไม่มองแววตานาง สายตาเขาเลื่อนลอย ไม่รู้ว่ามองไปทางไหน 


 


 


“อาห่าว เจ้าไปเรียนท่านอ๋อง ข้าจะไปเตรียมของเดี๋ยวนี้ พอคารวะลาท่านเจ้าบ้านแล้วจะไปทันที” 


 


 


เถิงเฟิงได้ยินที่นางพูดก็แอบรู้สึกหงุดหงิด แต่กลับไม่ยอมเอ่ยปากพูด บางทีการคาดเดาและความระแวงของถังเฉียนทำร้ายจิตใจเขาจริงๆ ถังเฉียนจะเอ่ยปากพูด แต่ในที่สุดก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว 


 


 


“คุณชายเถิงเฟิง เรื่องใดที่รับปากเจ้าแล้วข้าจะจดจำไว้ ส่วนฐานะคู่หมั้นนั้นต่อจากนี้ข้าคงไม่รับแล้ว ข้าจะอธิบายเรื่องนี้กับท่านอ๋อง วันหน้าถ้าข้าค้นคว้าวิธีรักษาเจ้าไม่สำเร็จ เราคงไม่จำเป็นต้องพบกันอีกแล้ว” 


 


 


ถังเฉียนมองเงาด้านหลังของเขา เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองเหินห่างกันเช่นนี้ ความรู้สึกเหินห่างกันนี้ทำให้ถังเฉียนรู้สึกหายใจไม่ออก แต่นางคิดว่าความทุกข์เช่นนี้จะค่อยๆ บรรเทาลง เจ็บปวดระยะสั้นดีกว่าเจ็บปวดระยะยาว นางไม่ได้มีชีวิตบอบบางเช่นนั้น ก็ไม่ควรทำตัวบอบบางเช่นนี้ 


 


 


ถังเฉียนกระแทกไหล่เถิงเฟิงเล็กน้อย เดินผ่านเขาไป ก้าวเดินอย่างเร่งรีบ แล้วถูกเถิงอวิ๋นขวางไว้ที่หน้าห้องโถงใหญ่ 


 


 


“เจ้าจะไปหรือ เช่นนั้นน้องสาวเจ้า เจ้าไม่ยุ่งแล้วหรือ” 


 


 


ถังเฉียนเงยหน้ามองเถิงอวิ๋นแล้วพูดว่า 


 


 


“ข้าจะพานางไปด้วย บางทีนอกจากเจ้าที่ช่วยได้ ที่อื่นก็อาจจะช่วยได้” 


 


 


มีรอยยิ้มหยันผุดขึ้นที่มุมปากเถิงอวิ๋น จากนั้นเขาจึงพูดว่า 


 


 


“ข้ากลับคิดหาวิธีที่ดีได้แล้ว แต่ช่วงนี้นี้เจ้ายังไปไม่ได้ ใช้เวลาแค่สองสามวันก็จะรักษาน้องสาวเจ้าให้หายเป็นปกติได้” 


 


 


รักษาให้ถังเวยหายเป็นปกติ เรื่องนี้ถังเฉียนไม่กล้าแม้แต่จะคิด แต่ที่ผ่านมาเถิงอวิ๋นเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบ ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้ก็ควรจะเชื่อใช่หรือไม่ 


 


 


“เจ้าจะทำอย่างไร” 


 


 


ถังเฉียนมองฉู่จิ่งเหยาซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปพลางพูดขึ้น 


 


 


“ถ้าเจ้าอยากรู้ เช่นนั้นคืนนี้ไปพบข้าที่เขตหวงห้าม ข้าจะบอกเจ้า” 


 


 


“แต่ว่า…” 


 


 


แต่ว่าขณะนี้นางจะตามฉู่จิ่งเหยาไป นางไม่อยากอยู่ที่นี่และไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ ทุกครั้งที่มีคนเรียกนางว่าอาหรูน่า นางจะรู้สึกว่าร้องเรียกชื่อคนอื่น และเมื่อได้ยินชื่อนี้ก็จะรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งไป ถังเฉียนเห็นฉู่จิ่งเหยาเดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ ยืนหันหน้ามาทางนาง 


 


 


“เจ้าต้องคิดให้ดี บางทีนี่อาจเป็นเพียงโอกาสเดียว เจ้าคิดว่าจะให้ตัวเองสบายใจ หรือให้น้องสาวเจ้าสามารถใช้ชีวิตที่เหลือได้ดี ขึ้นกับเจ้าแล้ว” 


 


 


ถังเฉียนกำหมัดแน่น เถิงอวิ๋นรู้ว่าฉู่จิ่งเหยากำลังเดินมาทางนี้ จึงผละจากไปก่อนที่เขาจะมาถึง ฉู่จิ่งเหยาเดินมาถึงก็ถามซ้ำกับที่อาห่าวถามก่อนหน้านี้ บางทีเขาคงรู้ว่าเวลานี้ถังเฉียนอยากไปแล้ว คงบอกเหตุผลให้เขารู้ 


 


 


“ท่านอ๋อง รอสักสองสามวันได้หรือไม่” 


 


 


คำพูดนี้ดังในสมองถังเฉียนหลายครั้ง แต่กลับยากที่จะเอ่ยออกมา ฉู่จิ่งเหยาเห็นนางพูดคุยกับเถิงอวิ๋นเมื่อครู่ จึงถามว่า 


 


 


“ได้ยินอาห่าวบอกว่าเจ้าจะไปกับข้า เถิงอวิ๋นบอกว่าอาการป่วยของซูซินเหลียนยังไม่หายสนิท เวลานี้บางครั้งปกติ บางครั้งก็ไม่ปกติ เขาบอกข้าว่าถ้ารออีกสองสามวัน บางทีเขาจะมีวิธีรักษา เจ้าคิดว่าข้าควรจะอยู่รอหรือไม่” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 241 ไว้ใจ 


 


 


 


 


 


ถังเฉียนคิดไม่ถึงว่าเถิงอวิ๋นจะพูดเช่นนี้กับฉู่จิ่งเหยา นางไม่รู้ว่าที่เขาทำเช่นนี้มีจุดมุ่งหมายอะไร รู้สึกว่าเขาดูแปลกมาก นับตั้งแต่เห็นเถิงอวิ๋น ตัวเขามีเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลและเรื่องประหลาดหลายเรื่อง 


 


 


“ท่านอ๋อง…” 


 


 


ถังเฉียนเงยหน้าขึ้น ตอบอย่างจริงจังว่า 


 


 


“เขาก็นัดให้ข้าไปดูวิธีรักษาของเขาในคืนนี้ ท่านอ๋องสามารถยืมอินทรีเงินจากเผ่าอินทรีเงินเพื่อเร่งเดินทาง รออีกสองสามวันคงไม่เป็นไรหรอก” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาหยิบเศษใบไม้แห้งออกจากเส้นผมนาง ปัดฝุ่นบนศีรษะนางออก แล้วจึงพูดว่า 


 


 


“ดี เช่นนั้นก็ทำตามเจ้า แต่เจ้าคิดดีแล้วหรือ ถ้าตามอ๋องอย่างข้าไปจริง ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจได้แล้ว” 


 


 


ถังเฉียนรู้ดี คำพูดนี้เป็นโอกาสสุดท้ายเพื่อให้นางกลับใจ ถังเฉียนสั่นศีรษะแล้วพูดว่า 


 


 


“แม้ข้าจะไม่ใช่ผู้หญิงที่สูงศักดิ์ แต่ก็ไม่อยากเป็นตัวแทนของใคร ข้าเพิ่งอายุสิบสี่ ต้องใช้ชีวิตเช่นนี้อีกกี่ปีไม่อาจรู้ได้ ข้ายอมเสียไป เพื่อไปหาคนที่เหมาะกับข้าอย่างแท้จริง จะไม่ดีกว่าหรือ” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาได้ยินนางพูดเช่นนี้ เพียงแต่ยิ้มแล้วพูดว่า 


 


 


“นับว่าใจเด็ดมาก เมื่อต้องตัดสินใจเฉียบขาดแล้วไม่ทำ ก็จะยิ่งสับสน ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใด ข้าล้วนสนับสนุนเจ้า” 


 


 


มีคำพูดของฉู่จิ่งเหยาเป็นหลักประกัน ถังเฉียนจึงยิ่งมั่นใจมากขึ้น อดทนรอแทบแย่จนถึงเวลาค่ำ พอฟ้ามืดนางแทบรอไม่ไหวที่จะไปพบเถิงอวิ๋น เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงน้องสาวนาง ทำให้นางกังวลมาก 


 


 


“ว่าแล้วเชียว มาเร็วจริงนะ” 


 


 


พอฟ้ามืดถังเฉียนก็มารอที่นี่แล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าเถิงอวิ๋นมาก่อนนาง เขาวางตัวตามสบาย หาที่นั่งในศาลา แม้ว่าที่นี่จะถูกทิ้งร้างนานแล้ว แต่ศาลาแห่งนี้สร้างได้อย่างวิจิตรประณีตมาก ใต้แสงจันทร์ส่องแสงสลัวๆ เล็กน้อย 


 


 


“พี่เถิงอวิ๋น เจ้ามาเช้ากว่าไม่ใช่หรือ ไม่รู้ว่ามีวิธีใดกันแน่ที่ช่วยรักษาถังเวยได้” 


 


 


ถังเฉียนไม่เกรงใจเลย มาถึงก็พูดเข้าเรื่องทันที ถามตรงๆ เลย 


 


 


“ในเมื่อเจ้าพูดตรงๆ เช่นนี้ ข้าก็จะไม่อ้อมค้อม ค่ารักษาของข้าแพงมาก ไม่รู้ว่าเจ้าคิดจะใช้อะไรจ่าย เดิมเจ้าจะเป็นน้องสะใภ้ข้า ในเมื่อเป็นคนในครอบครัวเดียวกันย่อมต้องช่วย แต่ตอนนี้สถานสภาพเปลี่ยนไปแล้ว” 


 


 


ถังเฉียนฟังที่เขาพูดก็ไม่ได้โกรธ อีกฝ่ายพูดมีเหตุผล ไหนเลยจะมีคนมากมายที่อยู่ดีๆ ก็มาช่วยนาง 


 


 


“พี่เถิงอวิ๋นอยากได้สิ่งใด ข้าจะพยายามหามาให้ ถ้าเวลานี้ไม่มี ข้าสามารถเขียนหนังสือสัญญาได้ ในชีวิตนี้ต้องใช้คืนให้” 


 


 


“ดี เฉียบขาดมาก เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้วกัน ของสิ่งนี้เจ้ามีจริงๆ นั่นคือเลือดเจ้า ข้าไม่ต้องการมากหรอก เพียงแค่ถ้วยเดียว” 


 


 


เถิงอวิ๋นกล้าเอ่ยขออย่างละโมบ เลือดหนึ่งถ้วย ถังเฉียนต้องกรีดตรงไหนจึงจะได้เลือดถึงหนึ่งถ้วย แต่เลือดหนึ่งถ้วยเมื่อเทียบกับน้องสาวแล้ว นางย่อมต้องคิดหาวิธี 


 


 


“ได้ ขอเพียงน้องสาวข้าหายเป็นปกติ ข้าจะมอบเลือดหนึ่งถ้วยให้เจ้า แม้ข้าจะเป็นผู้หญิง แต่รักษาคำพูด ไม่คืนคำเด็ดขาด ข้าสาบานต่อเทพหมอผีและเทพแมลงปีศาจได้” 


 


 


“ได้ ขอเพียงคำพูดนี้ของเจ้า ข้าไม่กลัวที่จะบอกเจ้าแล้ว” 


 


 


เถิงอวิ๋นบอกวิธีรักษาของเขาออกมา ถ้าบอกว่าวิธีนี้แปลกพิสดารก็แปลกพิสดารจริง ยามปกติเรื่องเหล่านี้ ถังเฉียนไม่กล้าแม้แต่จะคิด แต่พอออกจากปากเขาดูเหมือนจะปกติ เพียงแต่ต้องมีความแน่วแน่บ้าง 


 


 


วิธีของเถิงอวิ๋นคือย้ายวิญญาณส่วนที่ค่อนข้างอ่อนแอของซูซินเหลียนมาไว้ในร่างถังเวย เพิ่มสามวิญญาณหกดวงจิตให้นางจนครบ จะทำให้นางหายเป็นปกติได้ แม้วิธีนี้จะดีแต่ก็เท่ากับฆ่าซูซินเหลียนตัวจริง 


ตอนที่ 242 กลืนวิญญาณ 


 


 


 


 


 


“ถ้าจะใช้วิธีนี้ต้องให้ท่านอ๋องยินยอม แต่ท่านอ๋องคงไม่ยอมแน่ แน่ล่ะข้าเองก็ไม่ยอม” 


 


 


เถิงอวิ๋นโบกมือพลางพูดว่า 


 


 


“พวกเจ้าคิดง่ายเกินไป ถังเวยนั้นช่างเถอะ อย่างไรนางยังมีสองวิญญาณ น่าจะมีชีวิตต่อไปได้ ในสภาพที่เซ่อซ่า แต่วิญญาณซูซินเหลียนเวลานี้กำลังถูกเบียดขับ ซูซินเหิมเกริมมาก อย่างไรเสียก็ต้องฆ่านางแน่ ถ้าตอนนี้เอาวิญญาณซูซินเหลียนหนึ่งหรือสองดวงวางไว้ในร่างถังเวย บางทีนางยังจะอยู่ต่อไปได้ หรือถือว่ามีชีวิตอยู่ได้” 


 


 


ถังเฉียนคิดไม่ถึงว่าสภาพของซูซินเหลียนตกอยู่ในอันตรายขนาดนี้  นางเคยได้ยินเถิงเฟิงบอกว่าคนเรามีสามวิญญาณ หนึ่งในนั้นคือวิญญาณฟ้า ทำหน้าที่ควบคุมสติปัญญา ตอนเป็นเด็กได้ยินคนพูดเสมอว่าตกใจกลัวจนขวัญกระเจิง ก็คือวิญญาณฟ้าตกใจจนลอยออกไป ชาวเผ่าพีส่ามีวิธีเรียกวิญญาณ วางวิญญาณฟ้าคืนสู่ตำแหน่งเดิมได้ 


 


 


แต่วิญญาณถังเวยถูกคนล่ามไว้ ไม่สามารถเรียกคืนมา ดังนั้นถังเวยจึงมีอาการป้ำๆ เป๋อๆ ถ้านานเข้าร่างกายจะอ่อนแอลง สภาพจิตใจย่ำแย่ สุดท้ายจะตายเพราะโรคต่างๆ ถังเฉียนยิ่งรู้ผลร้ายที่จะเกิดขึ้นก็ยิ่งหวาดวิตกเพิ่มขึ้น 


 


 


ลำบากมากกว่าจะเจอน้องสาว สูญเสียแล้วได้คืนมา ทำให้ยิ่งกลัวว่าจะสูญเสียอีก 


 


 


“ถ้าเป็นอย่างนี้ เราก็ลองดูได้ แต่มีโอกาสสำเร็จมากน้อยแค่ไหน” 


 


 


ถังเฉียนเชื่อในความรู้ด้านวิชาชีพของเถิงอวิ๋นมาก นางได้ยินมาว่าศาสตร์ลับชนิดนี้เรียกว่าการกลืนวิญญาณ เป็นชื่อที่ฟังแล้วน่าสยดสยอง แม้ว่าถังเฉียนจะตกลงแล้ว แต่นางต้องไปถามความเห็นของถังเวย เพราะนางเป็นผู้รับ แม้ว่าเถิงอวิ๋นจะยืนยันหนักแน่นว่าต่อให้ล้มเหลวถังเวยก็จะไม่เสียหายแต่อย่างไร แต่นางก็ต้องเคารพความเห็นถังเวย 


 


 


ที่เถิงอวิ๋นเลือกเขตหวงห้ามเพราะในการใช้วิชากลืนวิญญาณต้องการของพิเศษอย่างหนึ่ง นั่นคือเมล็ดของบุปผากินคน ถังเฉียนฟังอยู่นานจึงรู้ว่าหลังจากบุปผากินคนตายแล้วจะทิ้งของที่เป็นเหมือนแก้วผลึกสีม่วงเม็ดหนึ่ง 


 


 


นางคลำเมล็ดบุปผากินคนในอกเสื้อตัวเองแต่ไม่ได้บอกเขาทันทีว่านางมีสิ่งนี้แล้ว เพียงแต่รับปากว่าจะไปหามาให้ 


 


 


ถังเฉียนเดินลึกเข้าไปในเขตหวงห้ามเพื่อไม่ให้เถิงอวิ๋นสงสัยนาง แสงจันทร์สลัว แม้จะเข้าสู่สารทฤดูแล้ว แต่อาจเพราะปีนี้ฝนชุก บนท้องฟ้ามีเมฆหนาปกคลุม ดวงจันทร์ซ่อนอยู่หลังเมฆสลัว รอบๆ มืดมิดลงมากเป็นพิเศษ 


 


 


เถิงอวิ๋นบอกว่าเขาจะกลับไปตระเตรียม ให้ถังเฉียนไปหาเมล็ดบุปผากินคนแล้วค่อยมาพบเขา ถังเฉียนไม่ได้นึกสงสัย นางถือมีดสั้นแล้วเดินช้าๆ ตามเครือเถาที่สั่นไหวเล็กน้อยลึกเข้าไปในป่า 


 


 


ถังเฉียนมาถึงบริเวณนี้เมื่อตอนกลางวันแล้ว นางจำได้ว่าได้ยินเสียงชายสองคนพูดคุยกันที่นี่ ครั้งนี้นางเดินเข้ามาตามลำพัง มาถึงที่นี่อย่างไม่รู้ตัว 


 


 


เหนือขึ้นไปข้างบนเป็นชิงช้าขนาดมหึมา ได้ยินว่าถ้าจะแกว่งชิงช้าต้องให้อินทรีเงินสองตัวของเผ่าอินทรีเงินมาช่วยจึงจะโยกได้ นางมองดูชิงช้าที่ใหญ่โต จู่ๆ ก็นึกอยากขึ้นไปนั่ง วันหน้านางคงไม่มาที่นี่อีกแล้ว แต่ที่นี่นางก็ยังมาแล้วมาอีก บางทีอาจเพราะยังไม่บรรลุความปรารถนาบางอย่างในใจ 


 


 


ถังเฉียนมองซ้ายมองขวา จู่ๆ ก็นึกอยากนั่งชิงช้าจนอดใจไม่อยู่ นางไต่กำแพงขึ้นไป คว้ากิ่งไม้ไว้ ไม่คิดจะไต่ขึ้นไปจากด้านข้าง แต่ปีนขึ้นตามกำแพงด้านล่างของชิงช้าโดยตรง 


 


 


ยังดีที่ระยะนี้นางฝึกวิชากับฉู่จิ่งเหยา ไม่เช่นนั้นคงไม่ง่ายที่จะปีนขึ้นที่สูงขนาดนี้ได้ ถังเฉียนใช้ทั้งมือและเท้า ไม่นานก็เข้าใกล้ชิงช้าแล้ว นางยื่นมือออกไป คว้าชิงช้าไว้ได้ แล้วดีดตัวกระโดดขึ้นไป บริเวณนี้ใบไม้หนาทึบ สภาพต่างจากเมื่อก่อน หากอยากจะแกว่งชิงช้าก็คงยาก 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 243 แอบได้ยินความลับ 


 


 


 


 


 


ถังเฉียนหมอบอยู่บนชิงช้า หาจุดที่สบายแล้วนั่งลง คิดไม่ถึงว่าจะมีแสงไฟที่ด้านล่าง จากนั้นก็มีเสียงคนคุยกัน 


 


 


“ข้าทำตามที่เจ้าสั่งเสร็จแล้ว แล้วของที่ข้าต้องการเล่า” 


 


 


ถังเฉียนรู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นหู นางหมอบอยู่บนชิงช้า ไม่กล้าขยับเขยื้อน เพียงแต่คืบคลานเข้าไปใกล้แสงริบหรี่ที่ด้านล่างของกำแพงหิน ที่นั้นมีปากปล่องขนาดเท่าใบหน้าที่เล็กของนาง ถ้าไม่ใช่เพราะในนั้นจุดไฟ นางคงมองไม่ออกว่าข้างล่างมีปากปล่อง 


 


 


“วันนี้เด็กสาวคนนั้นแอบฟังเราพูด ถ้านางเผยความลับออกไปแม้แต่น้อย เราสองคนตายแน่ ปกติข้าเป็นคนรอบคอบ อาหรูน่าคนนี้ต้องตายเท่านั้นข้าจึงจะวางใจ” 


 


 


ถังเฉียนได้ยินชื่อนี้ถึงกับสะดุ้งเฮือก แม้ตัวนางจะไม่ยอมรับชื่อนี้ แต่รู้ดีว่าคนที่พวกเขาต้องการฆ่าคือตนเอง พอได้ยินเช่นนี้ทำให้นางหายใจถี่ขึ้น นางหมอบอยู่บนกระดานชิงช้า กำสองมือแน่น ตั้งแต่เริ่มนางก็อยู่นิ่งๆ เพียงแต่กำหมัดแน่น แล้วเงี่ยหูฟังว่าพวกเขาเตรียมจะจัดการตนอย่างไร 


 


 


“วันนี้ข้าเห็นนางแล้ว ข้าคิดว่านางคงจะไม่ได้ยินอะไรหรอก ถ้านางรู้ว่าเราจะลอบฆ่าจินซิวอ๋อง นางคงไปหาเขาแต่เช้าแล้ว แต่กลับยังไว้ใจข้าขนาดนี้ วันนี้ข้ายังลองหยั่งถามนางดู ไม่มีปัญหาหรอก” 


 


 


พอถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็รู้ทันทีว่าคนผู้นี้เป็นใคร เสียงที่ใสราวกับน้ำพุ เป็นเขาคนเดียวเท่านั้น เถิงอวิ๋น แต่พวกเขาต้องการสังหารฉู่จิ่งเหยา เพราะอะไร เหตุใดต้องฆ่าเขาด้วย 


 


 


“ไม่ได้ ก็แค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ต้องฆ่านาง นางไม่ใช่เมียเจ้า เหตุใดต้องลังเล เราคิดทำการใหญ่ เพราะผู้หญิงคนเดียวอย่าทำให้ที่ลงแรงมาสูญเปล่า” 


 


 


ดูเหมือนเถิงอวิ๋นมีท่าทีนอบน้อมต่อชายคนนี้มาก ได้ยินเสียงพูดอย่างอ่อนโยน ไม่เหมือนเสียงที่วางอำนาจเมื่อพูดกับนาง 


 


 


“อาจารย์ เด็กสาวคนนี้ไม่เหมือนคนอื่น นางมีโลหิตแห่งราชาโอสถ บางทีสักวันนางอาจเป็นผู้ช่วยของเรา ข้าสืบดูชาติกำเนิดของนางแล้ว คิดว่านางน่าจะเคียดแค้นเซวียนอ๋องยิ่งกว่าเรา เพราะเซวียนอ๋องประหารครอบครัวนางจนหมด” 


 


 


“จริงหรือ” 


 


 


ถังเฉียนได้ฟังเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกสับสน เซวียนอ๋อง คือฮ่องเต้ของพวกเขาไม่ใช่หรือ แต่ถึงทั้งครอบครัวนางจะถูกเนรเทศ ต้องพลักพรากจากกัน แต่สักวันทุกคนจะได้กลับมาอยู่ร่วมกัน บางทีถึงตอนนั้นทุกอย่างคงไม่เหมือนเดิมแล้ว คนเราขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีความหวัง 


 


 


เดิมถังเฉียนคิดเพียงแค่ปีนขึ้นมาบนชิงช้า หรืออาจพูดได้ว่าปีนขึ้นมาดูว่าชิงช้าตัวนี้มีหน้าตาอย่างไร นี่คือความคิดในใจเถิงเฟิง ในใจเขาคิดเช่นนี้จึงแสดงออกมา ถังเฉียนจับเชือกแน่น พอขยับเพียงเล็กน้อยก็เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด ยังดีที่เสียงไม่ดัง แต่นางไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ 


 


 


สองคนข้างล่างพูดคุยเรื่องที่ชวนให้อกสั่นขวัญแขวน ทั้งที่พวกเขาเตรียมจะดึงตัวถังเฉียนมาเป็นพวกอย่างไร วางแผนกำจัดฉู่จิ่งเหยาอย่างไร คงเพราะที่นี่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าปลอดภัยพอ ถึงกับพูดทุกอย่างออกมาจนหมด แต่กลับทำให้ถังเฉียนรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ราวกับอยู่ในความฝัน 


 


 


ถังเฉียนนอนหมอบอยู่ นางลืมไปว่าที่นี่ถูกจัดเป็นเขตหวงห้ามเพราะมีต้นไม้ที่น่ากลัว บุปผากินคน เถาของบุปผากินคนไต่ช้าๆ ขึ้นมาตามกำแพง ขอเพียงได้กลิ่นคาวเลือด พวกมันก็จะตามมา โดยเฉพาะมนุษย์ซึ่งเลือดลมพุ่งพล่าน ยิ่งทำให้พวกมันรีบกรูเข้ามา 


 


 


ถังเฉียนมุ่งสมาธิอยู่กับเสียงข้างล่างมากเกินไป จนไม่รู้สึกตัวว่าชิงช้าหนักอึ้งขึ้นทุกที ขณะที่ขาเริ่มคันขึ้นมานิดๆ แล้ว 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม