วาสนาบันดาลรัก 235-243

ตอนที่ 235 บุตรบุญธรรม

 

หวังเฟยผลิยิ้มเบาบาง ตามด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อย 


 


 


บุตรสาวผู้นี้ของนางแต่งออกไปยังดินแดนหมานเว่ย ชีวิตนี้ยากจะได้พบเจออีก 


 


 


“หวังเฟย เห็นพวกเจ้าสนุกสนานกลมเกลียวประหนึ่งเป็นคนครอบครัวเดียวกันก็มิปาน” 


 


 


หวังเฟยได้ยินก็หันไปมองตามเสียงจึงเห็นจ้าวหวงโฮ่วที่สวมอาภรณ์สีแดงทั้งร่างเดินเข้ามา 


 


 


ด้านหลังของนางยังมีพระสนมและพระชายาขอองค์ชายทั้งหลายตามมารวมถึงองค์หญิงน้อยๆ ด้วย 


 


 


หวังเฟยลุกขึ้นถวายพระพร 


 


 


คนภายในตำหนักต่างก็ลุกขึ้นถวายพระพรกันถ้วนหน้า 


 


 


หวงโฮ่วแม้นไร้มิได้รับความโปรดปรานทั้งไร้ทายาท แต่ยังสามารถอยู่ในตำแหน่งหวงโฮ่วอย่างมั่นคงได้ ผู้ที่อยู่ในนี้ต่างมิใช่คนโง่แล้วจะมิแสดงความเคารพได้อย่างไร 


 


 


จ้าวหวงโฮ่วยกมือขึ้นแสดงเป็นนัยว่ามิต้องมากพิธี นางเพียงเอ่ยสองสามประโยคก็ชวนให้หวังเฟยมานั่งด้วย 


 


 


หย่งอ๋องเป็นน้องชายแท้ๆ ของเจาเฟิงตี้ ฐานะจึงแตกต่างจากอ๋องทั่วไป หวงโฮ่วให้ความสนิทสนมกับพระชายาของหย่งอ๋องย่อมเป็นเรื่องปกติ 


 


 


บรรยากาศภายในตำหนักกลับมาครึกครื้นอีกครา คนทั้งหลายต่างจับกลุ่มสนทนากัน แต่จิตใจยังคงแบ่งมาคอยสังเกตจ้าวหวงโฮ่วและหวังเฟยอยู่ 


 


 


“เมื่อครู่พูดจาเย้าหยอกอันใดกันหรือ หวังเฟยถึงได้เบิกบานเพียงนั้น?” นัยน์ตางดงามของจ้าวหวงโฮ่วมองไปยังเจินเมี่ยวแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม 


 


 


เจินเมี่ยวลอบพิจารณาจ้าวหวงโฮ่วคราหนึ่ง 


 


 


จ้าวหวงโฮ่วในความทรงจำของนางนั้นเป็นผู้มีอุปนิสัยตรงไปตรงมา อดีตเคยถูกเจี่ยงกุ้ยเฟยกดข่มไว้จนมิอาจเงยหน้าขึ้นได้ แต่คิดไม่ถึงว่าเวลาเพียงปีกว่า กลับเปลี่ยนไปไม่น้อย โดยเฉพาะวันนี้ อาภรณ์หรูหราสีแดงนี้ยิ่งขับให้ผิวพรรณผุดผ่องราวหิมะก็มิปาน ไม่ดูแก่ชราลงเลยสักนิด 


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้สายตาก็ร่วงตกไปยังร่างของอู๋กุ้ยเฟยที่กำลังเป็นที่โปรดปรานอยู่ในขณะนี้ 


 


 


อู๋กุ้ยเฟยอยู่ในวัยสาวสะพรั่งแต่เมื่อดูลักษณะท่าทางแล้วกลับไม่มีราศีเท่าจ้าวหวงโฮ่วด้วยซ้ำ ไม่ทราบว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ 


 


 


เจินเมี่ยวย่อมไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว นางจึงลอบเบนสายตาไปทางอื่น 


 


 


เวลานี้เองที่หวังเฟยได้เล่าเรื่องที่พูดหยอกล้อกันจบพอดี เพราะสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายต่างให้ความสนใจเรื่องที่นางพูดจึงได้ยินเรื่องราวทั้งหมดเช่นกัน พลันเสียงหัวเราะอันสดใสก็ดังขึ้นพร้อมกันในทันใด 


 


 


พวกนางมิได้ชมชอบอุปนิสัยอันตรงไปตรงมาทั้งซุกซนอยู่บ้างของชูสยาจวิ้นจู่จริงๆ แต่เพราะอีกฝ่ายมีฐานะเป็นองค์หญิง ทั้งยังต้องอภิเษกเพื่อความสมานฉันท์ นับเป็นบุคคลที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับต้าโจว ในพระทัยจักรพรรดิจักต้องรักเอ็นดูนางมากแน่ จึงไม่มีผู้ใดกล้าต่อว่าต่อขานก็เท่านั้น 


 


 


จ้าวหวงโฮ่วเงยหน้าขึ้นหัวเราะอย่างเบิกบานแล้วเอ่ยอย่างนึกสนุกว่า “น่าเสียดายที่เป็นสตรีจึงมิอาจแต่งกับชูสยาได้” 


 


 


สายตาหวังเฟยกวาดมองไปยังเจินเมี่ยวและชูสยาจวิ้นจู่ แล้วเอ่ยว่า “หม่อมฉันกลับคิดว่า พวกนางสองคนมีวาสนาเช่นนี้ต่อกันนั้นไม่ง่ายเลย หากสามารถเป็นพี่น้องกันได้ หม่อมฉันก็จะมีบุตรสาวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน กลับเป็นเรื่องที่ดียิ่งเพคะ” 


 


 


เมื่อวาจานี้กล่าวออกไป ผู้คนที่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรสทั้งหลายกลับพลันชะงักงันไป แม้นเข็มตกร่วงลงพื้นก็ยังได้ยิน ผู้คนทั้งหลายต่างคิดกันไปต่างๆ นานา 


 


 


อันใดกัน พระชายาของหย่งอ๋องคิดจะรับฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นบุตรบุญธรรมหรือ? 


 


 


นี่เป็นวาจาที่เอ่ยตอบออกมาจริงๆ หรือ? 


 


 


มีเพียงคนจำนวนน้อยที่มิใคร่ฉลาดนักเท่านั้นที่เข้าใจเช่นนี้ แต่คนส่วนมากต่างก็ส่ายหน้ากันอยู่ในใจ 


 


 


เชื้อพระวงศ์คิดจะรับบุตรบุญธรรม…เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ไม่มีทางที่จะเอ่ยออกไปตามใจอยากแน่ 


 


 


ควรต้องทราบว่าหากพระชายาหย่งอ๋องรับฮูหยินผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นบุตรบุญธรรม เช่นนั้นแม้นนางจะมิได้ถูกแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ แต่ก็อาจได้รับแต่งตั้งให้เป็นเซี่ยนจู่ ตั้งแต่นี้ต่อไปหากเข้าวังก็มิจำเป็นต้องผ่านขั้นตอนอันใดมากมายแล้ว 


 


 


สตรีสูงศักดิ์ทั่วไปแม้นจะมีขั้นบรรดาศักดิ์สูงส่งเท่าใด หากมิใช่ไท่โฮ่ว หวงโฮ่วรับสั่งให้เข้าเฝ้าก็มิอาจเข้าวังได้ 


 


 


ภายใต้บรรยากาศอันเงียบสงบและแปลกประหลาดนี้ จ้าวหวงโฮ่วกลับเอ่ยขึ้นว่า “หวังเฟย วาจานี้ของท่านไม่ถูกนัก ยามนี้ชูสยาเป็นองค์หญิง หากพวกนางผูกสัมพันธ์เป็นพี่น้องกันจริง เช่นนั้นย่อมเป็นข้าที่จะมีบุตรสาวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน” 


 


 


วาจานี้กลับยิ่งทำให้คนทั้งหลายแตกตื่นขึ้นไปอีก 


 


 


เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นอย่างน่ารักน่าเอ็นดู แล้วกะพริบตาปริบๆ 


 


 


เกิดอันใดกันขึ้นกันแน่? 


 


 


เหตุใดนางจึงรู้สึกคล้ายมีบางอย่างไม่ถูกต้องกระนั้น 


 


 


หวังเฟยพลันระบายยิ้มออกมา “หวงโฮ่วช่างรู้จักเย้าเล่นนัก หลังจากชูสยาแต่งออกไปแดนไกล หม่อมฉันก็คงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว พระองค์ยังจะมาแย่งบุตรสาวของหม่อมฉันไปอีกหรือเพคะ?” 


 


 


“ท่านเห็นเป็นจริงเช่นนั้นหรือ?” จ้าวหวงโฮ่วเอ่ยขึ้น 


 


 


คนทั้งหลายต่างแทบล้มคว่ำ 


 


 


หวงโฮ่ว..เรื่องเช่นนี้นำมาล้อเล่นได้หรือ? 


 


 


จ้าวหวงโฮ่วกลับซ่อนกลบความหมายอันล้ำลึกในดวงตาตนไว้ 


 


 


แม้นนางจะมีอุปนิสัยตรงไปตรงมา แต่อย่างไรก็เป็นหวงโฮ่วมานานแล้ว ไหนเลยจะไม่ทราบพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ 


 


 


ฝ่าบาททรงคิดจะปูนบำเหน็จแก่นางเจินนานแล้ว แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใด ไท่โฮ่วกลับคล้ายมิใคร่พอพระทัยนัก 


 


 


ฝ่าบาททรงกตัญญูจึงมิคิดขัดพระทัยไท่โฮ่ว แต่คิดจะตอบแทนนางในด้านอื่นแทน พระองค์ทรงเอ่ยกับนางอยู่หลายคราว่าชูและนางเจินมีความผูกพันลึกซึ้งไม่เหมือนสหายทั่วไปแต่กลับคล้ายพี่น้องกันมากกว่า 


 


 


ตำแหน่งหวงโฮ่วของนางมิใช่ได้มาเพราะโชคช่วย ไหนเลยจะมิเข้าใจพระประสงค์ของฝ่าบาทเล่า 


 


 


พระชายาหย่งอ๋องมีบุตรสาวเพียงคนเดียวแต่กลับต้องแต่งไปอยู่ดินแดนหมานเว่ย นางย่อมว้าเหว่ยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นฝ่าบาทหรือไท่โฮ่วล้วนรู้สึกผิดอยู่ในใจไม่น้อย 


 


 


นางเจินมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตชูสยา หากหวังเฟยรับนางเป็นบุตรบุญธรรม ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจกลั่นแกล้งนางได้ ต่อให้เป็นไท่โฮ่วก็ยากที่จะคัดค้าน 


 


 


นางเจตนาเอ่ยเย้าว่าคนทั้งสามคล้ายเป็นครอบครัวเดียวกัน หวังเฟยกลับตอบรับอย่างรู้เจตนา เอ่ยตามคำนางว่าจะรับบุตรบุญธรรม 


 


 


“ชูสยา เจ้ายินดีหรือไม่?” หวังเฟยมองชูสยาด้วยความรักใคร่ 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่รู้สึกได้ถึงสายตาทุกคู่ที่มองมายังนาง จึงเสไปมองอีกทางแล้วเอ่ยว่า “ดีก็ดีอยู่หรอกเจ้าค่ะ แต่คุณหนูสี่อายุมากกว่าข้า ช่างน่าโมโหนัก” 


 


 


หวังเฟยจึงหันไปหาเจินเมี่ยว “คุณหนูสี่ เจ้ายินดีมีแม่เพิ่มขึ้นมาอีกคนหรือไม่?” 


 


 


เจินเมี่ยวยังคงตกอยู่ในความตกใจ นางใช้สติปัญญาที่มีอันน้อยนิดครุ่นคิดอย่างเร็วรี่ ในที่สุดก็เข้าใจความหมายทุกอย่าง 


 


 


นางยังมิเคยลงเล่นแผนการแย่งชิงภายในจวนด้วยซ้ำ แต่กลับต้องยกระดับไปต่อสู้ภายในวังแทนแล้วหรือ? 


 


 


หากนางยอมรับหวังเฟยเป็นมารดาบุญธรรม นางก็จะกลายเป็นบุตรสาวของหย่งอ๋อง 


 


 


หย่งอ๋องเป็นน้องชายแท้ๆ ของจักรพรรดิ เป็นบุตรชายแท้ๆ ของไท่โฮ่ว 


 


 


ฐานันดรของหย่งอ๋องนั้นสูงส่งยิ่ง ทั้งยังเป็นผู้มั่งคั่งร่ำรวยยิ่ง! 


 


 


ผู้มั่งคั่งทั้งยังมีฐานันดรศักดิ์สูงส่งอีกและไม่มีจิตใจทะเยอทะยานคิดแย่งชิงอำนาจ ผู้ได้มิอยากพบเจอบ้าง 


 


 


หากได้เป็นบุตรสาวของผู้มั่งคั่งทั้งมีฐานันดรศักดิ์สูงส่งอีกก็ดูเหมือนจะดีไม่น้อย 


 


 


เช่นว่าเมื่อบุตรสาวถูกบ้านสามีรังแก หรือสามีรักใคร่อนุ หากเป็นบิดาที่เคร่งครัดในธรรมเนียม ก็อาจจะสั่งสอนบุตรสาวเป็นการใหญ่ แต่หากบิดาเป็นผู้มั่งคั่งทั้งมีฐานันดรศักดิ์สูงส่ง หึๆ เกรงว่าคงได้ยกเกี้ยวไปรับถึงหน้าประตู ทั้งผู้อื่นยังมิอาจทำอันใดเขาได้อีก! 


 


 


บิดามารดาบุญธรรมเช่นนี้ นางยินดียิ่ง 


 


 


เจินเมี่ยวเข้าใจในจุดนี้แล้วก็พยักหน้าทันที 


 


 


คนบางคนที่อยู่ในตำหนักหลวงกลับหนังตากระตุกขึ้นมา จึงได้แต่ลูบคลำคางตน 


 


 


เขามีความรู้สึกว่ามีสัญญาณไม่ดีบางอย่างเกิดขึ้น มันคืออันใดกันแน่? 


 


 


ความครึกครื้นภายในตำหนักในเริ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากเจินเมี่ยวพยักหน้ารับ เสียงแสดงความยินดีดังขึ้นเป็นระลอกคลื่น 


 


 


หวังเฟยจูงมือบุตรสาวที่งดงามประหนึ่งบุปผา แล้วมองเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ที่มาช้าไปเพียงหนึ่งก้าว พลันเกิดความรู้สึกชอบขึ้นมาจริงๆ  


 


 


นางยังจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยไปเป็นแขกที่วังองค์หญิง เจาอวิ๋นจั่งกงจู่รับรองนางอย่างดีด้วยบะหมี่ที่มีสีถึงห้าสี เรียกว่าบะหมี่สีรุ้ง 


 


 


มิต้องเอ่ยถึงรสชาติเพียงเห็นแค่สีก็ทำให้คนรู้สึกเบิกบานใจแล้ว 


 


 


เมื่อสอบถามดูจึงรู้ว่าเป็นฝีมือของฉงสี่เซี่ยนจู่ที่ทำให้มารดาด้วยใจกตัญญู ได้ยินมาว่าคุณหนูสี่สกุลเจินเป็นผู้สอนให้ 


 


 


ตอนนั้นนางยังจำได้ดีถึงความภาคภูมิใจที่มิอาจปิดบังเอาไว้ได้ของเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ แต่ยามนี้อาจารย์ผู้สอนฉงสี่ทำบะหมี่ได้กลายมาเป็นบุตรสาวของนางแล้ว ต่อไปอยากจะกินสีอันใดเมื่อไหร่ก็ได้ ดูเอาเถิดว่าผู้ใดควรจะภาคภูมิใจกว่า 


 


 


“เสด็จพี่ เหตุใดจึงมิเห็นฉงสี่เล่า?” จ้าวหวงโฮ่วเอ่ยถาม 


 


 


“ฉงสี่มิใคร่สบายนัก จึงมิให้นางออกมาด้วย” เจาอวิ๋นจั่งกงจู่ผลิยิ้มจางๆ แต่บนใบหน้ากลับมีเค้าของความเหนื่อยล้าอยู่บ้าง 


 


 


นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบุตรสาวผู้นี้จะคิดหนีงานแต่งงานจริงๆ! 


 


 


บุตรสาวผู้นี้ของนางมีอุปนิสัยฉลาดเฉียบแหลมแต่สงบนิ่งเฉยชา ที่ผ่านนางรู้สึกภูมิใจมาตลอด แต่ยามนี้ถึงได้รู้ว่าน่าปวดหัวเพียงใด 


 


 


หากโง่เขลาสักนิดนางก็แค่กักบริเวณไว้ แต่ฉงสี่เป็นเช่นนี้ แม้แต่นางผู้เป็นมารดายังไม่ทราบว่านางคิดจะทำอันใดที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินออกมาโดยที่หน้าไม่แม้จะเปลี่ยนสีด้วยซ้ำ 


 


 


เมื่อมิให้เกิดเหตุการณ์อันยากจะแก้ไข มารดาและบุตรต่างพูดคุยกันอย่างเปิดเผย สุดท้ายจึงรับปากกับนางว่าจะมิจัดแจงงานมงคลให้นางในตอนนี้ชั่วคราว 


 


 


ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว งานวันนี้จึงมิพาฉงสี่มาด้วย คนทั้งหลายจะได้มิคิดไปไกลถึงเรื่องหมั้นหมาย เกี่ยวดองอันใดนั้นอีก 


 


 


เมื่อผู้อาวุโสทั้งหลายมารวมตัวพูดคุยกัน ชูสยาจวิ้นจู่จึงจูงมือเจินเมี่ยวไปนั่งอีกมุมหนึ่ง คนทั้งสองกินขนมด้วยกัน 


 


 


“เซี่ยนจู่ป่วยหรือ?” เจินเมี่ยวกินขนมไปคำหนึ่งก็ชะงักไป 


 


 


แหะๆๆ ฉงสี่เซี่ยนจู่คงมิหลบหนีไปแล้วกระมัง? 


 


 


“มิได้ป่วย” ชูสยาจวิ้นจู่ยัดขนมเข้าปากอย่างไม่อินังขังขอบ 


 


 


“ห๊ะ?”  


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่เอ่ยท่าทีมีลับลมว่า “ความคิดนั้นของนาง เจ้ารู้แล้วกระมัง?” 


 


 


“ท่านก็ทราบหรือ?” 


 


 


“นางยังคิดว่าภายหน้าจะมาขอพึ่งข้าด้วยซ้ำ ” ชูสยาจวิ้นจู่กินขนมไปอีกคำหนึ่งอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ 


 


 


เจินเมี่ยวกุมขมับ “เช่นนั้นเรื่องของท่าน นางก็ทราบหรือ?” 


 


 


“ไม่” ชูสยาจวิ้นจู่ส่ายหน้า 


 


 


เจินเมี่ยวผ่อนลมหายใจโล่งอก 


 


 


ทุกคราที่คิดว่าท่านลุงรองของนางคือพระเองก็รู้สึกแปลกๆ ทุกที 


 


 


“ยังมิทันได้บอก” 


 


 


เจินเมี่ยว “…” 


 


 


“พี่ชูสยา ท่านยังอยู่ที่นี่อีก” เสียงอันสดใสดังขึ้น 


 


 


คนทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองก็พบองค์หญิงฟังโหรวที่มิได้พบกันเสียนานยืนกอดอกอยู่พลางก้มลงมองพวกนาง 


 


 


ตั้งแต่ที่องค์หญิงฟังโหรวก่อเรื่องไปเมื่อปีที่แล้วก็มิได้เปลี่ยนแปลงอันใดเลย แต่ถูกกักบริเวณให้เรียนรู้กฎระเบียบอยู่ภายในวังและมิให้ออกจากวังอีก 


 


 


เจินเมี่ยวย่อมไม่มีโอกาสได้พบเลย ยามนี้จึงรู้สึกว่าองค์หญิงพระองค์นี้สูงขึ้นอีกสักหน่อยแล้ว ท่าทีปั้นปึ่งที่มีก็ลดลงไปมาก แต่ความเกลียดชังที่มีขณะมองนางกลับยังคงมากมายเช่นเดิม 


 


 


“ไปเถิด เสด็จพี่ทั้งหลายเรียกท่านไปเพื่อปรึกษาเรื่องงานเลี้ยงฉลองในคืนนี้สักหน่อย” 


 


 


งานเฉลิมฉลองพระชนมพรรษานี้ จักรพรรดิทรงเชิญขุนนางมาร่วมยินดี ไม่ว่าจะเป็นสนมหรือองค์หญิงก็ไม่มีโอกาสได้เห็น แต่ก็มีงานภายในต่างหากอีกที่พระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหมดต้องเข้าร่วม 


 


 


หากเจินเมี่ยวเป็นบุตรบุญธรรมของหย่งอ๋องอย่างเป็นทางการเมื่อใดก็มีสิทธิ์ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้เช่นกัน แต่ตอนนี้ยังคงเป็นกล่าวกันเพียงปากเปล่า ย่อมไม่มีทางได้ปรากฏตัวในงานแน่ 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ทราบเรื่องนี้ดี จึงอดมองมาที่เจินเมี่ยวมิได้ 


 


 


เจินเมี่ยวกลับผลักนางคราหนึ่ง “องค์หญิงทรงไปเถิดเพคะ” แล้วกะพริบตาปริบๆ ให้นางช้าๆ 


 


 


หากนางกลายเป็นบุตรของหย่งอ๋องอย่างเป็นทางการเมื่อใด ต่อไปหากอยากพบชูสยาก็สะดวกยิ่ง 


 


 


แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ชูสยาผู้มีฐานะเป็นองค์หญิง ย่อมมิอาจแยกตัวมาคลุกคลีกับนางเพียงลำพังโดยไม่สนใจคำเชิญของบรรดาองค์หญิงเหล่านั้นมิได้ 


 


 


องค์หญิงฟังโหรวยิ้มอย่างภูมิใจ แล้วจูงมือชูสยาจากไป 


 


 


เจินเมี่ยวจึงมีโอกาสไปหานางเจี่ยง ป้าสะใภ้ใหญ่ของนาง 


 


 


นางเจี่ยงที่นิ่งขรึมเสมอมากลับปรี่เข้าไปกุมมือเจินเมี่ยวไว้อย่างมิอาจข่มกลั้นอาการตื่นเต้น 


 


 


สตรีที่สามารถเข้าวังในครานี้นอกจากฮูหยินของผู้มีบรรดาศักดิ์ กง โหว ปั๋วแล้วก็มีภรรยาของขุนนางขั้นสี่ขึ้นไป ดังนั้นการที่นางหลี่จะนั่งอยู่ด้านข้างของนางเจี่ยงก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด 


 


 


นางหลี่เห็นเจินเมี่ยว ใบหน้าก็เปลี่ยนไปหลากสียิ่ แต่สุดท้ายก็ยังคงส่งยิ้มให้นาง 


 


 


เวลานี้จึงมีฮูหยินผู้หนึ่งเดินเข้ามาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “น้องหลี่ ข้ากำลังหาเจ้าอยู่พอดี เอ๊ะ ครั้นได้มามองใกล้ๆ จึงเห็นว่าฮูหยินของนายท่านผู้สืบทอดงดงามยิ่งแล้ว”  

 

 


ตอนที่ 236 คาดคั้น

 

นางหลี่มองฮูหยินที่เดินเข้ามา รู้สึกโกรธเคือง ทั้งรู้สึกภาคภูมิ แล้วจึงเอ่ยแนะนำกับเจินเมี่ยวว่า “นี่คือฮูหยินของขุนนางสกุลเมิ่ง” 


 


 


“คารวะฮูหยินสกุลเมิ่ง” เจินเมี่ยวก้มหน้าลงเล็กน้อย อดมองไปที่นางเจียงคราหนึ่งมิได้ 


 


 


ฮูหยินสกุลเมิ่งผู้นี้นางเห็นในงานเลี้ยงเช่นนี้หลายคราเพราะมีศักดิ์เป็นมารดาของพระชายาองค์ชายสาม แต่มิเคยได้ทักทายกันสักครา 


 


 


เมื่อใดกันที่ป้าสะใภ้รองไปเริ่มคบค้ากับฮูหยินสกุลเมิ่ง? 


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ แต่ก็มิยอมเอ่ยให้มากความ 


 


 


บังเอิญเหลือเกินที่นางกำนัลเข้ามาในเวลานี้พอดี เมื่อเห็นเจินเมี่ยวก็ทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “เรียนฮูหยินคุณชายผู้สืบทอด พระชายาหลายพระองค์ให้มาเชิญท่านไปพูดคุยเจ้าค่ะ” 


 


 


เจินเมี่ยวกล่าวขออภัยแล้วเดินตามนางกำนัลไป 


 


 


ฮูหยินสกุลเมิ่งเบ้มุมปากอย่างแนบเนียน 


 


 


นางเป็นมารดาของพระชายา มิจำเป็นต้องพูดคุยกับคนของจวนเจิ้นกั๋วกง แค่คิดว่าหากงานมงคลกับจวนเจี้ยนอานปั๋วสำเร็จ เช่นนั้นบุตรชายตนก็เกี่ยวข้องเป็นญาติกับคุณชายผู้สืบทอดจวนกั๋งกงแล้ว 


 


 


ต่างเป็นคนหนุ่มด้วยกันทั้งสิ้น แต่บุตรชายนางเป็นเพียงขุนนางน้อยที่ไม่มีวันเข้าตาได้เลย ทว่าคุณชายผู้สืบทอดจวนกั๋วกงกลับเป็นถึงขุนนางขั้นสามแล้ว 


 


 


หน่วยองครักษ์จิ่นหลินนั้นเป็นองครักษ์ที่ร้ายกาจกว่ากองพลพยัคฆ์มังกรเสียอีก องค์จักรพรรดิทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่ง 


 


 


หากคุณชายผู้สืบทอดจวนกั๋วกงช่วยเหลือบุตรชายตนสักเล็กน้อย เช่นนั้นย่อมเกิดประโยชน์อย่างหาที่สุดมิได้แล้ว 


 


 


“น้องหลี่ ก่อนหน้านี้ที่เรานัดกันไปไหว้พระที่วัดต้าฝูนั้น ข้าบังเอิญไม่สบายจึงไม่ได้ เจ้าว่าเราจะนัดกันใหม่วันไหนดีหรือ” ฮูหยินสกุลเมิ่งส่งยิ้มอ่อนโยน 


 


 


นางเจี่ยงขมวดคิ้วเล็กน้อย 


 


 


ไหว้พระอันใด? 


 


 


นางหลี่ไปสนิทชิดเชื้อกับฮูหยินสกุลเมิ่งตั้งแต่เมื่อใดหรือ? 


 


 


นางเจี่ยงเป็นคนฉลาดหลักแหลม ครุ่นคิดเพียงครู่ก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว 


 


 


ตระกูลหวังถูกตาเจ้าหก แต่เจ้าห้ากลับยังไม่มีคู่หมาย งานหมั้นครานี้จึงมิอาจเกิดขึ้นได้ เพราะเรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็นกังวลไม่น้อย ครั้นเอ่ยถึงตระกูลใดนางหลี่ก็ปฏิเสธไปเสียหมด หากมิบอกว่าตระกูลนั้นมีฐานะต่ำต้อยก็บอกว่าบุตรชายมิเก่งกาจพอ 


 


 


สุดท้ายฮูหยินผู้เฒ่าโมโหขึ้นมาจึงมิไยดีอีก ทำได้เพียงรอให้น้องรองกลับมาก่อนค่อยวางแผนอย่างละเอียด คิดไม่ถึงว่านางหลี่กลับไปถูกตาจวนขุนนางสกุลเมิ่งเข้า! 


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางเจี่ยงก็ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอีกครา 


 


 


ไม่ได้เด็ดขาด! 


 


 


เรื่องใหญ่ในราชสำนัก นางเป็นสตรีย่อมไม่เข้าใจ แต่นางก็รู้ดีว่า ตระกูลหนึ่งตระกูลใดหากเกี่ยวพันกับองค์ชายถึงสองพระองค์นั้นกลับมิใช่เรื่องที่ดีนัก 


 


 


อย่าได้พูดถึงสิ่งอื่นเลย หากภายหน้าองค์ชายสามกับองค์ชายหกขัดแย้งกันขึ้นมา ท่านพี่ควรจะยืนอยู่ฝ่ายใดเล่า? 


 


 


นางเจี่ยงจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “น้องสะใภ้รอง หลายวันก่อนฮูหยินผู้เฒ่ายังบอกว่าใกล้จะถึงวันตรุษแล้ว จึงให้ข้าเชิญเจ้ากับน้องสะใภ้สามไปไหว้พระเติมน้ำมันในตะเกียงที่วัดต้าฝูด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็มีความคิดนี้เช่นกัน เหตุใดจึงไม่พูดสักคำเล่า มิเช่นนั้นคงได้ไปอีกรอบเป็นแน่ ” 


 


 


นางหลี่มองนางเจี่ยงแล้วมองฮูหยินสกุลเมิ่ง นางใช้เล็บหยิกฝ่ามือตนที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ แล้วเอ่ยอย่างข่มกลั้นออกมาว่า “อากาศนับวันยิ่งหนาวเย็น หิมะกลายเป็นน้ำแข็งแล้วมิสะดวกเดินทางยิ่ง หากจะไปไหว้พระมิสู้รอถึงวันตรุษเสียก่อนค่อยว่ากัน แค่บริจาคเงินและเติมน้ำมันในตะเกียงให้พ่อบ้านไปทำก็ได้ แต่หากพี่สะใภ้อยากจะไปด้วยตนเองก็ชวนน้องสะใภ้สามไปเถิด ข้าอยากจะอยู่ที่เรือน” 


 


 


นางเจี่ยงตะลึงลานไป 


 


 


หรือนางเดาผิดแล้ว นางหลี่มิได้คิดเช่นนั้นหรอกหรือ? 


 


 


ฮูหยินสกุลเมิ่งหน้าเปลี่ยนสีไปทันที น้ำเสียงก็เย็นชา “ก่อนหน้านี้ที่น้องหลี่ชวนข้าไปไหว้พระ ข้าได้เตรียมข้าวของไว้หมดแล้วแต่เพราะไม่สบายจึงไปมิได้ ปีนี้อากาศหนาวกว่าปีก่อนๆ มากจริงๆ ไม่แปลกที่น้องหลี่จะกลัวอากาศหนาว ดูท่าเราสองคนคงไม่มีวาสนาเดินทางร่วมกัน ข้ายังต้องไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยางอีก ขอตัวก่อนแล้ว” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยางผู้นี้เป็นฮูหยินของเสนาบดีกรมพิธีการ และเป็นท่านยายขององค์ชายสามด้วย 


 


 


นางเหล่มองด้านหลังของฮูหยินสกุลเมิ่งที่เคลื่อนไกลออกไป ในใจเจ็บปวดเจียนตายแล้ว 


 


 


หากปิงเอ๋อร์ได้แต่งกับตระกูลเมิ่ง องค์ชายสามก็จะกลายเป็นพี่เขยของนาง ทั้งจะได้เกี่ยวดองกับตระกูลเสนาบดีกรมพิธีการอีกด้วย ญาติพี่น้องที่ไปมาหาสู่นั้นล้วนมีเกียรติทั้งสิ้น 


 


 


เหตุใดท่านพี่จึงไม่พอใจอีกเล่า! 


 


 


นางหลี่นั่งลงแต่กลับหมดความอยากอาหาร 


 


 


นางเจี่ยงกลับส่งยิ้มน้อยๆ จิบชาไปคำหนึ่ง 


 


 


“ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดมาแล้ว รีบนั่งเถิด” สตรีสาวผู้หนึ่งพิจารณาเจินเมี่ยวอย่างละเอียดแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “มิน่าเล่าไท่จื่อเฟยถึงได้ชมว่าท่านผิวงามยิ่งอยู่บ่อยครั้ง ได้มองใกล้ๆ แล้วรู้สึกว่าผิวอิ่มเอิบงดงามจริงๆ” 


 


 


สตรีสาวผู้นี้คือพระชายาขององค์ชายสี่ เพิ่งจัดพิธีอภิเษกไปไม่กี่เดือนนี่เอง 


 


 


เจินเมี่ยวย่อกายลง “คารวะไท่จื่อเฟย และพระชายาทุกท่าน” 


 


 


“อย่าได้มากพิธีเลย ต่อไปเราก็นับเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว” ไท่จื่อเฟยเอ่ยอย่างสนิทสนม แต่สีหน้ากลับเฉยชายิ่ง 


 


 


เจินเมี่ยวยังมิใช่บุตรบุญธรรมของหย่งอ๋องจริงๆ พูดเช่นนี้จะมีคนรู้สึกไม่สบายใจหรือไม่นางก็มิอาจทราบได้ 


 


 


สตรีมากมายเพียงนี้ เจินเมี่ยวคิดว่าคงรับมือไม่ไหว จึงทำเพียงส่งยิ้มเช่นเดิมเท่านั้น 


 


 


“พี่สะใภ้ ข้ากำลังคิดว่าจะพาฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดมารู้จักพับพี่สะใภ้ทั้งหลายอยู่แท้ๆ คิดไม่ถึงว่าท่านจะชิงลงมือก่อนแล้ว” 


 


 


องค์หญิงฟังโหรวเดินเข้ามา ทั้งยังจูงมือองค์หญิงอีกสองพระองค์มาด้วย 


 


 


“ฟังโหรว เจ้าเด็กดื้อ นับวันยิ่งพูดจาเหลวไหล” ไท่จื่อเฟยส่งสายตาดุนางคราหนึ่ง แต่กลับมิได้โกรธเคืองอันใด เพียงแค่กลบซ่อนความไม่พอใจไว้ในขณะที่ยกชาขึ้นดื่มเท่านั้น 


 


 


คำกล่าวที่ว่าบุตรจะมีเกียรติหรือไม่ขึ้นกับมารดานั้นช่างมีเหตุผลนั้น ตั้งแต่ที่มารดาขององค์หญิงฟังโหรวถูกลดตำแหน่งลง องค์หญิงเองก็ค่อยๆ เจริญวัยขึ้น หากจะได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิโดยไร้เหตุผลเช่นกาลก่อนคงเป็นไปไม่ได้ 


 


 


หากผ่านไปอีกสักสองสามปี องค์หญิงฟังโหรวก็ต้องมีคู่หมาย แต่ด้วยอุปนิสัยของนาง ไม่แน่ว่าอาจจะย่ำแย่กว่าองค์หญิงหลายพระองค์ก็เป็นได้ 


 


 


แต่ต่อหน้านางก็ไม่อยากเอาความกับเด็กน้อยผู้หนึ่งได้ 


 


 


“พี่สะใภ้รอง พี่สะใภ้สี่ พวกท่านดูเอาเถิด ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่ ผิวของฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดจวนกั๋วกงนั้นงดงามมากเพียงใด หากเทียบกันแล้วไม่ทราบว่าผิวของไท่เฟยสมัยวัยสาวกับฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดนั้นผู้ใดผุดผ่องกว่ากันแน่ 


 


 


องค์หญิงฟังโหรวเอ่ยจี้จุดเช่นนี้ บรรดาพระชายาและเหล่าองค์หญิงต่างก็ตาลุกเป็นไฟ 


 


 


ความงามนั้นเป็นสิ่งที่สตรียากจะต่อต้าน 


 


 


องค์หญิงฟังโหรวหันหน้าไปเอ่ยยิ้มขำว่า “ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอด ต่อไปข้าก็ต้องเรียกท่านว่าพี่สาวแล้ว พวกเราต่างเป็นพี่น้องกัน ท่านให้พวกเราได้งดงามเช่นท่านได้หรือไม่ ช่วยบอกเคล็ดลับดูแลผิวนั้นให้กับเราบ้างเถิด” 


 


 


นางอายุเพียงสิบปีเท่านั้น เมื่อเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา ทั้งท่าทีน่ารัก กับฐานะอันสูงส่งหาใดเปรียบนั้นทำให้คนยากจะโต้ตอบ 


 


 


แน่นอนว่ามันออกจะเสียมารยาทอยู่บ้าง หากเป็นที่อื่น บรรดาพี่สะใภ้ พี่สาวทั้งหลายคงสั่งสอนนางสักคราเพื่อเกียรติของราชวงศ์ แต่เคล็ดลับดูแลผิวนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนอยากรู้อยู่แล้ว ทั้งกำลังกลัดกลุ้มว่าจะเอ่ยเช่นไรอยู่พอดี เมื่อองค์หญิงฟังโหรวทำเช่นนี้ก็กลับกลายเป็นสมใจคนทั้งหลาย ย่อมไม่มีอันใดกล่าวว่านาง 


 


 


เมื่อเห็นว่าทุกคนล้วนกำลังรอคำตอบจากนาง เจินเมี่ยวก็ยิ่งรู้สึกโมโห 


 


 


ไม่จบไม่สิ้นเสียที ทุกคราที่พบกับเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ก็ไม่เคยหนีพ้นวิธีดูแลผิวของไท่เฟย 


 


 


เจินเมี่ยวมีท่าทีลำบากใจ 


 


 


“ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดมิอยากบอกหรือ?” องค์หญิงฟังโหรวเอ่ยถามยิ้มๆ 


 


 


“มิใช่ไม่อยากบอก แต่หากบอกไปแล้วกลัวว่าองค์หญิงจะไม่เชื่อเพคะ” 


 


 


“เป็นไปได้อย่างไร ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดย่อมไม่โป้ปดแน่นอน” องค์หญิงฟังโหรวหันไปยิ้มให้อีกทาง “พี่สะใภ้สี่ พี่สะใภ้รอง ท่านว่าใช่หรือไม่?” 


 


 


คนทั้งหลายต่างพยักหน้า “ฮูหยินย่อมไม่พูดเหลวไหลเป็นแน่ หากมิใช่เป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง หวังเฟยจะรับท่านเป็นบุตรบุญธรรมได้อย่างไร” 


 


 


เจินเมี่ยวลอบมองไปด้านข้างครู่หนึ่ง ชูสยาจวิ้นจู่กำลังสนทนาอยู่กับจ้าวหวงโฮ่วพอดี 


 


 


“ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดกำลังมองหาพี่ชูสยาหรือ?” องค์หญิงฟังโหรวเอ่ยถามด้วยใบหน้าใสซื่อ 


 


 


รอยยิ้มของคนทั้งหลายพลันเจื่อนไปหลายส่วน 


 


 


นางคงอยากจะให้ชูสยามาช่วยกระมัง? 


 


 


เจินเมี่ยวยกมุมปากขึ้นบิดเบ้คราหนึ่ง 


 


 


องค์หญิงน้อยผู้นี้คงถึงวัยต่อต้านแล้วกระมัง เหตุใดถึงทำให้คนรู้สึกไม่ชอบได้ถึงเพียงนี้! 


 


 


นางกลั้นหายใจแล้วเอ่ยว่า “กล่าวไปแล้ว สิ่งที่ใช้ในวิธีนี้นั้นมิใช่สิ่งแปลกใหม่เลย แต่สำคัญคือต้องทำอย่างต่อเนื่อง” 


 


 


“ฮูหยินพูดมาเถิด หากสามารถทำให้มีผิวพรรณเช่นฮูหยินได้ ย่อมต้องทำอย่างต่อเนื่องแน่” ไท่จือเฟยเอ่ย 


 


 


คนทั้งหลายต่างพยักหน้า 


 


 


เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี “ก่อนนอนทุกคืนจะต้องกินขาหมู และเท้าทั้งสองข้าง และหนังปลาอีกถ้วย” 


 


 


คนทั้งหลายต่างอึ้งงันไปตามกัน 


 


 


“จะเป็นไปได้อย่างไร!” องค์หญิงฟังโหรวเอ่ยแย้ง 


 


 


เจินเมี่ยวหุบยิ้มทันที “เช่นนั้นองค์หญิงลองกล่าวมาสักหน่อยว่าควรทำเช่นใด?” 


 


 


องค์หญิงฟังโหรวกลอกตาไปมา “หากข้าทราบแล้วจะถามท่านไปไย?” 


 


 


เจินเมี่ยวถอนหายใจ “แต่ทรงถามแล้วกลับมิทรงเชื่อ” 


 


 


“เห็นชัดว่าท่านกำลังทำให้พวกเราสับสน!” 


 


 


“เป็นไปได้อย่างไร จะได้ผลหรือไม่ลองทำดูก่อนก็ทราบเองเพคะ” เจินเมี่ยวเอ่ยอย่างมั่นใจ 


 


 


“ฮูหยินพูดจริงหรือ?” ไท่จื่อเฟยมีสีหน้าสงสัย 


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้า “จริงแท้แน่นอน แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ทุกคืนมิอาจขาดจึงจะเห็นผล” 


 


 


ฮ่าๆ นางมิได้บอกเสียหน่อยว่าเป็นเคล็ดลับของไท่จื่อ นี่เป็นเคล็ดลับที่นางคิดขึ้นมาเอง 


 


 


ขาหมูหนังปลา ของพวกนี้ดีต่อผิวจริงๆ แต่สตรีที่บอบบางเช่นนี้จะกินได้หรือไม่เล่า หากกินไปแล้วอ้วนไปถึงร้อยแปดสิบจินก็มิเกี่ยวอันใดกับนางแล้ว 


 


 


ทำอย่างไรได้ เราก็มิใช่ผู้มีความรับผิดชอบนั้นใดเสียหน่อย! 


 


 


“พี่สะใภ้ อย่าไปฟังนางกล่าวเหลวไหล ผู้ใดเห็นไท่เฟยเอาขาหมูจากห้องเครื่องหลวงไปเสวยบ้างเล่า!” องค์หญิงฟังโหรวถลึงตาจ้องเจินเมี่ยวไม่ยกใหญ่ 


 


 


มิรอให้ไท่จื่อเฟยพูดจา เจินเมี่ยวกลับชิงพูดก่อนว่า “องค์หญิงฟังโหรวทรงคอยจ้องว่าไท่เฟยทรงเสวยสิ่งใดบ้างทุกวันเลยหรือเพคะ? หากไม่เชื่อก็ไปถามไท่เฟยได้ หรือองค์หญิงฟังโหรวคิดว่าหม่อมฉันเป็นคนเชื่อถือมิได้ ไม่มีคุณสมบัติเป็นบุตรบุญธรรมของหวังเฟยจึงได้กล่าวว่าหม่อมฉันทุกทางเช่นนี้?” 


 


 


“ท่านกำลังเบี่ยงเบนประเด็น ของที่ท่านพูดมามันไม่มีทางทำให้ผิวดีได้ มันเลี่ยนเพียงนั้นผู้ใดจะกินลง!” 


 


 


เจินเมี่ยวแค่นเสียงเย็น “องค์หญิงทรงลองทำดูเสียก่อนว่าได้ผลหรือไม่ หากไม่ได้ผลค่อยมากล่าววาจานี้กับหม่อมฉันเถิด” 


 


 


อย่างไรเสียความสัมพันธ์ระหว่างนางกับองค์หญิงฟังโหรวนั้นได้ขาดสะบั้นไปนานแล้ว หากต้องทนไปเสียทุกอย่าง อีกฝ่ายคงได้กำเริบกว่านี้แน่ 


 


 


ไท่จื่อเฟยและคนอื่นๆ ต่างอึ้งกันไปหมด 


 


 


นี่หรือที่เรียกว่าอ่อนโยนบอบบาง? นี่คือท่าทีของคนที่ภายหน้าจะมาเป็นบุตรบุญธรรมของหย่งอ๋องและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพวกนางหรือ? 


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มตาหยีแล้วเอ่ยเสริมว่า “นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว หม่อมฉันยังเพิ่มอดหนังไก่เข้าไปอีกจานด้วยเพคะ” 


 


 


เดิมพวกนางก็กินน้อยอยู่แล้วเมื่อได้ยินรายชื่ออาหารที่มันเลี่ยนต่อกันเป็นพรวนเช่นนี้ก็อดคลื่นไส้มิได้ แม้แต่ขนมเนื้อนุ่มก็ยังกินไม่ลงแล้ว 


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มอย่างพอใจ 


 


 


เป็นเช่นนี้ดีที่สุด หนึ่งนางมิได้พึ่งพาพวกนางในการออกเรือน สองนางมิได้ขอข้าวพวกนางกิน แล้วนางจะมาละเล่นเล่ห์กลแย่งชิงอำนาจในวังอันใดกับพวกนางกัน 


 


 


ได้ยินมาว่าวังหลังนั้นเปรียบดั่งราชสำนักย่อมๆ บรรดาบุรุษแบ่งเป็นฝักฝ่าย ต่อให้บรรดาสตรีจะแย่งชิงกันเพียงใดก็ไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลง กลับกัน แม่นบรรดาสตรีมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเพียงใดก็ตาม หากเหล่าบุรุษมิเห็นด้วย การวิวาทนั้นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ 


 


 


กับพระชายาเหล่านี้ ซื่อจื่อกลับมิได้พูดอันใดกันนางเป็นพิเศษ 


 


 


เจินเมี่ยวคิดว่าตนเองไม่มีความสามารถพิเศษใด แต่กลับเป็นว่าง่ายยิ่ง 


 


 


ผ่านไปไม่นาน ไท่โฮ่วก็เสด็จมา การเลี้ยงฉลองนี้จึงถือว่าได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว 


 


 


ทว่างานเลี้ยงเพิ่งดำเนินไปได้เพียงครึ่งก็มีขันทีหลายคนเดินเข้ามาด้วยท่าทีแตกตื่น   

 

 


ตอนที่ 237 ไก่ฟ้า

 

ขันทีผู้อยู่หน้าเดินเข้าไปกระซิบไท่โฮ่วสองสามประโยค ผู้คนภายในตำหนักชะงักตะเกียบอย่างอดมิได้ 


 


 


เจินเมี่ยวกำลังคีบเนื้อนกกระทาขึ้นมาพอดี 


 


 


อาหารชนิดนี้ มีวุ้นใสๆ ห่อหุ้มเนื้อนกกระทาไว้ มองดูแล้วช่างดูเย็นสดชื่น 


 


 


แม้นยามนี้ด้านนอกจะมีหิมะพัดโปรยปราย แต่ภายในกลับอบอุ่นดุจวสันต์ฤดู เจินเมี่ยวจึงอดลงมือกินมันมิได้ 


 


 


แต่เมื่อลอบชำเลืองไปด้านข้างกลับเห็นว่าไม่มีผู้ใดใส่ใจกับอาหารบนโต๊ะเลย เจินเมี่ยวจึงวางใจ และเริ่มลงมือกินอย่างเงียบๆ นางคีบเนื้อกวางตุ๋นขึ้นมาชิ้นหนึ่ง 


 


 


ใบหน้าที่เปลี่ยนสีไปเล็กน้อยของไท่โฮ่ว ทำให้คนทั้งหลายอกสั่นขวัญแขวนตามไปด้วย 


 


 


เมื่อไท่โฮ่วลุกยืนขึ้น ฮูหยินผู้หนึ่งที่มัวแต่จดจ้องจนเกินไปจึงตกใจลืมกระทั่งตะเกียบในมือตน 


 


 


ตะเกียบร่วงตกกระทบจานเกิดเสียงเคร้งคร้างดังขึ้นภายในตำหนักที่เงียบกระทั่งเข็มตกยังได้ยิน สายตาของคนทั้งหลายจึงอดหันไปมองมิได้ 


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมาโดยพลัน 


 


 


หรือตะเกียบที่ร่วงจะเป็นของนาง? 


 


 


เมื่อก้มลงมอง ไม่ใช่เสียหน่อย ตะเกียบยังคงอยู่ 


 


 


“เจินฮูหยิน ขออภัยยิ่ง ข้าทำให้อาภรณ์ของท่านเปื้อนเสียแล้ว ” ภายใต้การจับจ้องของคนทั้งหลาย ฮูหยินผู้นั้นก็ได้แต่หันไปขออภัยต่อเจินเมี่ยวด้วยใบหน้าแดงก่ำ 


 


 


เจินเมี่ยวจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าแขนเสื้อด้านขวาของนางเปื้อนน้ำแกงเสียแล้ว แต่เพราะเมื่อครู่นางมัวแต่เสพสุขกับรสชาติอันเลิศล้ำของเนื้อกวางตุ๋น ทั้งกำลังขบคิดถึงเครื่องปรุงที่ใช้ในการทำเนื้อกวางตุ๋นอยู่จึงมิได้รู้สึกตัวตั้งแต่คราแรก 


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างมองอยู่ เจินเมี่ยวเองก็มิอยากจะเสียหน้า จึงวางตะเกียบลงอย่างสง่างามแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดริมฝีปาก ค่อยคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “มิเป็นไร” 


 


 


การกระทำทั้งหมดนี้ล้วนตกอยู่ในสายตาคนทั้งหลาย คำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ต่อคนทั้งสองก็เกิดขึ้นทันที 


 


 


โถ่เอ๊ย ดูฮูหยินสกุลเฉียวแห่งจวนหย่งจยาโหวเถิด คิดไม่ถึงว่าจะมิรู้จักเก็บอาการเช่นนี้ ถึงกับกล้าเสียกริยาในงานเลี้ยงเช่นนี้ ทั้งยังทำอาภรณ์ผู้อื่นเปื้อนอีก ช่างน่าขายหน้าจริงๆ เชียว 


 


 


แต่ฮูหยินผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงเล่า ดูเอาเถิดว่านางสุขุมนุ่มลึกเพียงใด แม้นอาภรณ์เปื้อนแล้วก็ไม่ขยับแม้เปลือกตา กระทั่งอีกฝ่ายกล่าวขออภัยจึงตอบกลับอย่างเกรงอกเกรงใจ 


 


 


เกรงว่าหากนางเฉียวมิกล่าวขออภัย นางก็คงทำดั่งไม่มีอันใดเกิดขึ้นเป็นแน่กระมัง 


 


 


นี่จึงเรียกว่าแม้นเขาไท่ซานถล่มลงตรงหน้า สีหน้าก็ไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อยอย่างไรเล่า! 


 


 


ต่างเป็นฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดด้วยกันทั้งสิ้นแต่เหตุใดท่าทีจึงต่างกันลิบลับ ดังคำที่ว่าหากนำคนมาเปรียบกันคนคงต้องตาย หากนำของมาเทียบกันคงต้องทิ้งของ! 


 


 


“นางกำนัล นำทางฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงไปเปลี่ยนอาภรณ์” จ้าวหวงโหวเห็นคนทั้งหลายจับจ้องอยู่เช่นนั้นจนเกินงามจึงเอ่ยปากขึ้น 


 


 


นางกำนัลผู้หนึ่งเดินเข้ามา “เชิญเจินฮูหยินเจ้าค่ะ” 


 


 


การสวมอาภรณ์ที่แปดเปื้อนแล้วอยู่ในงานเลี้ยงเช่นนี้นั้นเป็นการเสียมารยาทยิ่ง เจินเมี่ยวเพิ่งจะลุกยืนขึ้น ไท่โฮ่วก็เอ่ยปากว่า “งานเลี้ยงในวันนี้ สิ้นสุดเพียงเท่านี้เถิด” 


 


 


กล่าวจบ แม่นมผู้หนึ่งก็ประคองไท่โฮ่วออกไป 


 


 


งานเลี้ยงเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาทเพิ่งดำเนินมาได้เพียงครึ่งเท่านั้น แต่ไท่โฮ่วกลับเสด็จออกไปแล้ว หรือว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นหรือ? 


 


 


หรือ…เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับฝ่าบาท? 


 


 


เป็นไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้แม้นพระองค์จะมิใคร่แข็งแรงนักแต่ก็ทรงพระอาการดีขึ้นมาแล้วมิใช่หรือ? 


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ จ้าวหวงโฮ่วก็มิอาจทนอยู่ได้อีกต่อไป นางกล่าววาจาประโยคหนึ่งแล้วก็จากไป 


 


 


เหลือไว้เพียงคนทั้งหลายที่หันมาสบตากัน ตามติดด้วยการสนทนาอันเซ็งแซ่ ส่วนผู้ที่ไม่อยากวิจารณ์อันใดก็ลุกขึ้นจากไปอย่างเงียบๆ 


 


 


ไท่จื่อเฟยมิได้ขยับลุกไปไหน นางชำเลืองมองเจินเมี่ยวอย่างแนบเนียน 


 


 


“เจินฮูหยิน เชิญตามบ่าวมาเจ้าค่ะ” นางกำนัลผู้นั้นเอ่ยขึ้น 


 


 


เจินเมี่ยวส่ายหน้า “มิต้องแล้ว ในเมื่องานเลี้ยงเลิกแล้ว ข้ากลับไปเปลี่ยนที่จวนก็ได้” 


 


 


นางกำนัลฐานะต่ำต้อย เมื่อเจินเมี่ยวเอ่ยเช่นนี้ จึงได้แต่เผยปากขึ้นคล้ายจะเอ่ยสิ่งใดแต่ก็มิเอ่ยออกมา เพราะมิกล้ากล่าวเตือนอันใดอีก 


 


 


ทว่าฮูหยินสกุลเฉียนจวนหย่งจยาโหวที่มีสีหน้าประหม่าอยู่ตลอดเวลากลับเอ่ยว่า “เจินฮูหยิน จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านกลับไปเช่นนี้ หลัวซื่อจื่อคงเป็นกังวลแน่ อีกอย่างระหว่างทางหากถูกผู้คนพบเข้า คงถูกขบขันเป็นแน่” 


 


 


เจินเมี่ยวก้มลงมองรอยเปื้อนสองสามจุดบนแขนเสื้อตน ยามนี้นางสวมอาภรณ์สีสันฉูดฉาด จึงมิได้เห็นชัดนัก จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เฉียวฮูหยินเกรงใจเกินไปแล้ว แค่เปื้อนเล็กน้อยเท่านั้น ซื่อจื่อคงมิเป็นกังวลอันใดดอก รอยเปื้อนนี้ก็มิได้เด่นชัดเพียงนั้น เมื่อออกจากวังขึ้นรถม้าก็ไม่มีผู้ใดเห็นแล้ว อีกอย่าง เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ หากผู้อื่นจะขบขันข้าก็มิสนใจดอก” 


 


 


นางกล่าวในใจว่าสตรีผู้นี้กังวลเกินไปแล้ว เมื่อนางขึ้นรถม้าก็เปลี่ยนอาภรณ์ที่เตรียมไว้เสีย เกรงว่าแม้แต่สามีนางก็คงไม่มีทราบเป็นแน่ 


 


 


นางเฉียวยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ 


 


 


สตรีผู้หนึ่งเข้ามาร่วมงานเลี้ยงในวังแต่กลับสวมอาภรณ์เปื้อนคราบสกปรกกลับไป แต่กลับไม่กลัวคนหัวเราะเยาะ? 


 


 


ควรต้องทราบว่าที่นี่เป็นวังหลวง แค่เกิดเรื่องผิดปรกติแม้นเพียงเล็กน้อยขึ้นก็มิอาจทราบได้ว่าจะถูกผู้คนคาดเดาจนเกิดข่าวลือเช่นใดออกไปบ้าง! 


 


 


การเอ่ยเตือนอันอ้อมค้อมนี้ทำให้เจินเมี่ยวรู้สึกตกใจไม่น้อย “เฉียวฮูหยิน ฮูหยินทั้งหลายต่างเห็นแล้วว่าเหตุใดอาภรณ์ข้าจึงเปื้อน แม้นจะเปลี่ยนตัวใหม่พวกนางก็ยังคงไม่ลืมดอก แต่ท่านวางใจเถิด เมื่อกลับไปข้าจะมิเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนอย่างแน่นอน” 


 


 


มีแต่วังหลวงหรือไรที่สามารถปล่อยข่าวทั้งหลายได้ นางเฉียวผู้นี้ช่างน่าสงสารจริงๆ! 


 


 


นางเฉียวแทบจะพ่นโลหิตออกมาแล้ว นางเพิ่งจะนึกได้ ใช่แล้ว ผู้คนที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวในวังหลวงต่างอยู่ที่นี่กันทั้งสิ้น! 


 


 


หากไท่โฮ่วมีเสด็จออกไปจากงานอย่างกะทันหัน นางเจินก็คงถูกพาไปเปลี่ยนอาภรณ์ หากเกิดเหตุอันใดที่ดึงดูดความสนใจผู้คนขึ้น เรื่องของนางก็จะถูกลบลืมไป 


 


 


แต่ช่างบังเอิญเหลือเกินที่งานเลี้ยงกลับเลิกราไปเช่นนี้ นางเจินจึงมีเหตุผลที่จะไม่เปลี่ยนอาภรณ์แล้วจากไปได้ในทันที เกรงว่าเรื่องที่นางมิอาจเก็บอาการได้ในวันนี้คงถูกลือไปทั่วก่อนจะถึงพรุ่งนี้ และกลายเป็นเรื่องขบขันในวังหลวงอย่างแน่นอน! 


 


 


ตะเกียบคู่นั้นก่อเรื่องใหญ่แล้ว! นางเฉียวได้แต่โมโหอยู่ในใจ 


 


 


เจินเมี่ยวมองนางเฉียนด้วยสายตาเห็นใจ แล้วค่อยๆ เดินจากไป 


 


 


ไท่จื่อเฟยเก็บสายตาตนทันที เล็บยาวนั้นค่อยๆ จิกลงบนฝ่ามือ 


 


 


น่าตายนัก นางหลบพ้นไปจนได้! 


 


 


เมื่อคิดได้ว่ายังทำสิ่งที่ไท่จื่อกำชับไม่สำเร็จ ไท่จื่อเฟยก็รู้สึกเจ็บใจขึ้นมา 


 


 


ถึงตอนนั้นไท่จื่อคงต้องตำหนินางแน่ 


 


 


ไท่จื่อเฟยจากได้วยใจอันหนักอึ้ง เมื่อคิดถึงความเย็นชาที่ไท่จื่อมีต่อนาง ก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดในหัวใจ 


 


 


“ไปสืบมาว่าเกิดอันใดขึ้นในตำหนักหลวง” 


 


 


ตอนที่เจินเมี่ยวออกจากวังก็พบว่าหลัวเทียนเฉิงได้นั่งรออยู่ในรถม้าเรียบร้อยแล้ว 


 


 


เวลานี้หิมะยังคงโปรยปรายอยู่เช่นเดิม ปุยหิมะถูกสายลมหอบเข้าไปในคอเสื้อของผู้คน 


 


 


เมื่อออกมาจากตำหนักที่อบอุ่นดุจวสันต์ฤดูก็ยิ่งรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมา แม้แต่เตาอุ่นมือก็แทบจะกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว 


 


 


“ระวังลื่นด้วย” หลัวเทียนเฉิงดึงเจินเมี่ยวขึ้นบนรถม้า คนทั้งสองมุดเข้าไปพร้อมกัน เมื่อม่านอันหน้าใหญ่ของรถม้าถูกปิดลง ความอบอุ่นก็เข้ามาแทนที่โดยพลัน 


 


 


“เหตุใดอาภรณ์จึงเปื้อนเล่า?” สายตาหลัวเทียนเฉิงจ้องมองบนแขนข้างขวาของเจินเมี่ยว 


 


 


เจินเมี่ยวทอดถอนใจด้วยความนับถือ 


 


 


เขาเป็นบุรุษแท้ๆ เหตุใดจึงช่างสังเกตถึงเพียงนี้! 


 


 


นางมิทราบว่าเรื่องในตำหนักหลวงนั้นหลัวเทียนเฉิงได้วางแผนไว้หมดแล้ว มีเพียงตำหนักในเท่านั้นที่เขามิอาจวางใจและมิอาจความคุมอันใดได้ เมื่อได้พบนางจึงตรวจสอบอย่างละเอียดคราหนึ่ง หากสามารถมองทะลุได้เขาคงตรวจสอบไปถึงด้านในด้วยซ้ำจึงจะวางใจได้ 


 


 


“มีคนทำตะเกียบร่วง ทำให้น้ำแกงกระเด็นมาโดนข้าเท่านั้น” 


 


 


“ผู้ใด” หลัวเทียนเฉิงหน้าขรึมลง 


 


 


“ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดจวนหย่งจยาโหว” 


 


 


นางเพียงบอกว่าจะมิพูดขึ้นก่อนเท่านั้น แต่หากสามีถามนางก็ยังคงต้องพูด 


 


 


หลัวเทียนเฉิงหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วแค่นหัวเราะออกมา 


 


 


ตั๊กแตนจ้องจับจักจั่น แต่นกขมิ้นกลับตามติดอยู่ด้านหลัง ผู้ใดเป็นตั๊กแตน ผู้ใดเป็นนกขมิ้น ปริศนานี้ช่างน่าสนใจนัก 


 


 


น่าเสียดายที่รัชทายาทยังมิได้ทันแสดงฝีมือก็ถูกจับตัวออกไปก่อนแล้ว 


 


 


“งานเลี้ยงฉลองเพิ่งดำเนินไปเพียงครึ่งไท่โฮ่วก็ตรัสว่างานเลี้ยงเลิกแล้ว หรือมีสิ่งใดเกิดขึ้นที่ตำหนักหลวง?” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงยกกาที่วางอยู่บนเตาสีเงินอันเล็กนั้นขึ้นรินน้ำชาส่งให้นาง “เพิ่งตากลมมา ดื่มชาร้อนขับไล่ความเย็นสักหน่อยเถิด” 


 


 


เจินเมี่ยวรับถ้วยชามา แล้วตั้งท่ารอฟังเรื่องที่เขาจะเล่า 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “เมื่อถึงพิธีถวายของขวัญนั้น ไท่จื่อทรงถวายไก่ฟ้า” 


 


 


“ไก่ฟ้า?” เจินเมี่ยวรู้สึกตกใจเล็กน้อย “ได้ยินว่าไก่ฟ้าเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและเป็นสิริมงคลยิ่ง แต่พบได้น้อยนัก” 


 


 


“ใช่ เป็นของล้ำค่าที่หายากยิ่ง” 


 


 


“หรือไก่ฟ้านั้นปัญหาที่ตรงใด? หรือว่ามันตายแล้ว?” 


 


 


เจินเมี่ยวมิใช่คนที่ไร้ตาเสียหน่อย เมื่อเห็นท่าทีของไท่โฮ่วก็ทราบทันทีว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ทั้งซื่อจื่อยังเอ่ยถึงไก่ฟ้าขึ้นมาอีก เห็นชัดว่าปัญหาอยู่ที่ไก่ฟ้านั้นแล 


 


 


วันเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาของฝ่าบาทแต่กลับถวายไก่ฟ้าตาย นั้นย่อมเป็นอัปมงคลอย่างที่สุด 


 


 


หลัวเทียนเฉิงหยักยกริมฝีปากขึ้นยิ้ม “มันยังคงมีชีวิตอยู่ดี แต่ไก่ฟ้าสีกลับสีตก กลายเป็นไก่หลากสีแทน!” 


 


 


ไก่หลากสี… 


 


 


ในยุคนี้ก็นิยมทำของปลอมเลียนแบบแล้วหรือ? ทั้งยังต่อหน้าพระพักตร์อีก ช่างใจกล้าเหลือเกิน 


 


 


“เช่นนั้นไท่จื่อเป็นอย่างไรเล่า?” 


 


 


“ฝ่าบาททรงกริ้วอย่างหนัก รับสั่งให้รัชทายาทปิดประตูทบทวนความผิด แล้วทรงเสด็จออกจากตำหนักหลวงทันที” 


 


 


ผู้มีตำแหน่งถึงรัชทายาทแต่กลับถูกตำหนิต่อหน้าขุนนางทั้งบุ๋นบู๊เช่นนี้ ย่อมมิใช่แค่เรื่องการเสียเกียรติและศักดิ์เท่านั้น 


 


 


ตำแหน่งของรัชทายาทในตอนนี้ช่างสุ่มเสี่ยงนัก 


 


 


รัชทายาทเป็นฐากของแผ่นดิน ทางตะวันออกมีโจรสลัดก่อความวุ่นวาย ทางตะวันตกมีชนเผ่าข้างเคียงเข้ามาก่อกวนราษฎร ทางเหนือมีลี่อ๋องที่คอยจดจ้องหาโอกาส หากมีการเปลี่ยนแปลงรัชทายาท ใต้หล้าย่อมได้รับผลกระทบ 


 


 


ฝ่าบาทกลับมิได้เลอะเลือน ต่อให้ทรงไม่พอพระทัยต่อรัชทายาทอย่างที่สุดก็ไม่มีทางปลดออกจากตำแหน่งภายในเร็ววันนี้แน่ 


 


 


ทว่ามีวาจาเก่าแก่ประโยคหนึ่งกล่าวว่าผู้ที่อยู่ในสถานการณ์มักมองไม่ขาด ที่เขาต้องการมิใช่ให้ฝ่าบาทลงมือ แต่เป็นการทำให้รัชทายาทกระทำการอันเลอะเลือน 


 


 


เมื่อทุกคนเริ่มรู้สึกว่าตำแหน่งรัชทายาทนั้นเริ่มคลอนแคลน รัชทายาทที่สูญเสียความมั่นคงทางจิตใจไปเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เป่ยเหอ ไหนเลยจะสามารถอยู่นิ่งได้ 


 


 


เมื่อจิตใจไม่มั่นคง เพียงผลักเบาๆ สักครา รัชทายาทก็ย่อมกระโดดข้ามกำแพง วิ่งเข้าไปหาความตายด้วยตนเองแล้ว 


 


 


เรื่องไก่ฟ้าเปลี่ยนเป็นไก่หลากสีนั้นก็เป็นเพียงการติดปีกให้เรื่องมันเกิดขึ้นเร็วอีกสักหน่อยเท่านั้น ทุกคนย่อมมีวิจารณญาณของตนทั้งสิ้น 


 


 


หลังจากนางเจี่ยงกลับถึงจวนเจี้ยนอานปั๋วก็ไปพูดคุยกับนายท่านผู้สืบทอดเรื่องฮูหยินของขุนนางสกุลเมิ่งทันที 


 


 


เจินเจี้ยนเวินได้ฟังก็หน้านิ่ว “เหตุใดนางหลี่จึงปฏิเสธเล่า? ไม่มีทาง…นี่จักต้องเป็นความคิดของน้องรองแน่!” 


 


 


นางเจี่ยงขมวดคิ้ว “ท่านพี่ ปฏิเสธไปมิใช่เป็นเรื่องดีหรือ? ขุนนางสกุลเมิ่งเป็นพ่อตาขององค์ชายสาม จิ้งเอ๋อร์เป็นอนุองค์ชายหก ภายหน้าหากมีอันใดเกิดขึ้น พวกเราตระกูลปั๋วกลับถูกบีบให้อยู่ตรงกลาง เช่นนี้การจะเลือกซ้ายหรือขวาก็เป็นเรื่องยากแล้ว” 


 


 


“สตรีเช่นเจ้าจะรู้อันใด!” เจินเจี้ยนเหวินหน้าบึ้งไปทันที 


 


 


หากรัชทายาทถูกถอดจากตำแหน่ง องค์ชายสามนั้นมีโอกาสได้ขึ้นแทนมากที่สุด หากจวนปั๋วเลือกได้ถูกข้าง ภายหน้าจักต้องไปได้ไกลอย่างมิอาจคาดถึงแน่ 


 


 


ส่วนจิ้งเอ๋อร์ อย่างไรก็เป็นแค่บุตรที่เกิดจากอนุ หากองค์ชายหกยืนอยู่คนละข้างกับองค์ชายสาม เขาก็เพียงพูดว่าบุตรของจวนปั๋วมิรักดียอมไปเป็นอนุ จวนปั๋วจึงตัดขาดความสัมพันธ์กับนางนานแล้ว 


 


 


เป็นสามีภรรยากันมาเนิ่นนาน นางเจี่ยงแค่มองก็เข้าใจทันทีว่าเขาคิดอันใด ในใจพลันเกิดความเหน็บหนาวขึ้นมาสายหนึ่ง 


 


 


ภาพความรักใคร่เอ็นดูที่มีต่อหลานอี๋เหนียงของคนตรงหน้าเพิ่งผ่านตาไปไม่นานนี่เอง แต่พริบตาที่อนุรักจากไป เขากลับสามารถละทิ้งบุตรสาวตนได้ทุกเมื่อ 


 


 


บุรุษผู้นี้ ช่างเลือดเย็นนัก! 


 


 


นางเจี่ยงยิ้มเยาะออกมา “ท่านพี่ ข้าเป็นสตรีมิเข้าใจเรื่องราวพวกนี้จริงๆ หากท่านมีแผนการก็มิสู้ไปปรึกษากับน้องรองเถิด” 


 


 


บิดาของเจ้าห้ายังอยู่ก็ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะไปเจ้ากี้เจ้าการได้ 


 


 


“ฮูหยินพูดถูก เย็นนี้มิต้องรอข้ากินข้าวล่ะ ข้าจะไปดื่มกับน้องรองสักหน่อย” 


 


 


เจินเจี้ยนเหวินรีบร้อนออกไปในทันที  

 

 


ตอนที่ 238 หม้อไฟ

 

ตอนที่เจินเจี้ยนเหวินไปหากนายท่านรองนั้น เขากำลังสอนบุตรสาวสองคนวาดภาพอยู่ในห้องตำราพอดี 


 


 


หน้าต่างในห้องตำราเปิดเสียกว้างทำให้ภายในห้องสว่างเป็นพิเศษ 


 


 


หิมะด้านนอกนั้นหยุดแล้ว ต้นดอกเหมยเก่าแก่ที่แหย่ทะลุกำแพงออกมา ด้านข้างมีกิ่งเล็กๆ แตกออกมา ทั้งยังช่อตูมเล็กๆ สีชมพูอ่อนเกิดอยู่ตามกิ่งก้าน กิ่งของมันโน้มคดเคี้ยว สีอ่อนเข้มนั้นตัดกันกับหิมะสีขาว ช่างดูงดงามแต่โดดเดี่ยวยิ่ง 


 


 


“ท่านพ่อ?” เจินปิงยืนหลังตรงดุจพู่กันอยู่หลังโต๊ะ ลำคอระหงค่อยๆ ก้มโค้งลงเล็กน้อย นางตวัดพู่กันเป็นดอกตูมดอกหนึ่ง แล้วหันไปมองบิดาอย่างขอคำชี้แนะ 


 


 


เจินอวี้กลับมิได้ชมชอบการวาดภาพอย่างเจินปิง แน่นอนว่าตระกูลเช่นพวกนางแม้นมิชมชอบ อย่างมากก็เพียงเรียนแล้วมิโดดเด่น แต่อย่างไรก็ต้องทำได้อย่างไม่น้อยหน้าผู้ใด 


 


 


เวลานี้ที่นางสนใจมิใช่การวาดภาพดอกเหมย แต่เป็นการชมดอกเหมยไปพลางวาดภาพไปพลางพร้อมกันกับบิดาและพี่สาว เมื่อนางเกิดความสนุกอย่างเด็กสายทั่วไปจึงโผล่หน้าไปดูดอกเหมยที ประเดี๋ยวก็กลับมามองบิดาผู้สง่างามของตนทีอย่างตามแต่อารมณ์ ทั้งท่าทีอันจริงจังเคร่งเครียดของพี่สาวนั้นทำให้นางรู้สึกว่าน่าสนใจยิ่ง จึงเอาแต่ระบายยิ้มงดงามหวานล้ำอยู่ไม่คลาย 


 


 


นายท่านรองมองบุตรสาวทั้งสองด้วยแววตาอ่อนโยน แล้วเอ่ยแนะว่า “ต้นเหมยนั้นมีจุดสำคัญอยู่สี่ประการ ที่ว่าสำคัญนั้นคือดอกเล็กแต่มิรก ต้นต้องแก่มิอ่อน กิ่งต้องเล็กไม่หนา ดอกนั้นตูมมิบาน ต้นเหมยแก่ที่นอกหน้าต่างนั้นแม้นจะมิใช่ต้นเหมยที่ดีที่สุด แต่หากวาดเป็นภาพแล้วกลับดียิ่ง ตอนที่วาดภาพต้องใส่ใจรายละเอียดมากสักหน่อย ” 


 


 


พูดพลางรับพู่กันจากบุตรสาวมา พริบตาก็ตวัดพู่กันขึ้นกลายเป็นดอกตูมเล็กๆ ดอกหนึ่ง “พวกเจ้าดูเถิด ดอกตูมที่ยังมิบานนี้ ตอนที่จรดพู่กันจักต้องระวังมิให้ปลายพู่กันแตกจึงจะวาดความรู้สึกของภาพออกมาได้…” 


 


 


เจินเจี้ยนเหวินเข้ามาในห้องก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “น้องรอง เจ้าช่างมีอารมณ์สุนทรีย์นัก แต่ห้องนี้ออกจะเย็นเกินไป” 


 


 


ภายในห้องไม่มีฟืนใต้พื้น มีเพียงเตาถ่านที่วางไว้ตามจุดต่างๆ แต่เขาต้องเปิดหน้าต่างเพื่อวาดภาพดอกเหมย อากาศภายในห้องจึงมิอบอุ่นเท่าห้องอื่นๆ 


 


 


นายท่านรองวางพู่กันลงแล้วยิ้มน้อยๆ “หนาวสักหน่อย จักได้ไม่ง่วง พี่ใหญ่มาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?” 


 


 


เจินเจี้ยนเหวินมองหลานสาวสองคนคราหนึ่ง 


 


 


เจินปิงและเจินอวี้ย่อกายคารวะ “ท่านลุง ข้ากับน้องหกจะไปหาท่านแม่ก่อน ท่านและท่านพ่อค่อยๆ คุยกันเถิด” 


 


 


เมื่อประตูปิดลง ชั่วขณะนั้นก็เหลือเพียงสองพี่น้อง 


 


 


เจินเจี้ยนเหวินเก็บสายตาตนไว้ แล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “น้องรอง กิริยาท่าทางของเจ้าห้านับวันยิ่งงามสง่าแล้ว” 


 


 


“อย่างไรก็โตขึ้นอีกปีกแล้ว” นายท่านรองเป็นขุนนางอยู่นอกเมืองหลายปี เมื่อนางหลี่มีอุปนิสัยเช่นนั้น เขาจึงบุตรสาวฝาแฝดสองคนนี้ที่สุด 


 


 


ยามนี้ได้เห็นบุตรสาวสองคน ผู้หนึ่งฉลาดสุขุม ผู้หนึ่งร่าเริงเปิดเผย เขาก็รู้สึกเบิกบานใจยิ่งนัก 


 


 


“น้องรอง ข้าได้ยินว่าตระกูลหวังอยากจะแต่งเจ้าหกหรือ?” เจินเจี้ยนเหวินเอ่ยปากขึ้น 


 


 


หากน้องรองยังมิกลับมา งานมงคลของหลานสาว เขาผู้เป็นลุงใหญ่ยังสามารถมีส่วนช่วยจัดการได้ แต่ยามนี้ ตำแหน่งขุนนางของน้องรองสูงกว่าเขาเสียอีก แม้นเขาจะมีฐานะเป็นผู้สืบทอด แต่ในสายตาคนทั่วเมืองหลวง ผู้สืบทอดจวนปั๋วมินับเป็นอันใดได้ หากมิเอ่ยถามก่อน คงต้องรอให้งานมงคลของหลานสาวทั้งสองถูกกำหนดแน่นอนเสียก่อนเขาจึงค่อยมาบอกตนแน่ 


 


 


“ใช่แล้ว” นายท่านรองพยักหน้า 


 


 


เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวตนจะมีวาสนาเพียงนี้ 


 


 


นายท่านตระกูลหวังแม้นอายุมากแล้วแต่ยังคงเป็นศูนย์กลางของคนในตระกูล ทั้งเคร่งครัดกฎระเบียบในเรือน บุตรชายหลานชายในตระกูลหากจะแต่งอนุได้ก็ต่อเมื่ออายุครบสี่สิบแต่ไร้บุตรชายสืบทอดสกุลเท่านั้น 


 


 


“เช่นนั้นเรื่องงานมงคลของเจ้าห้าเล่า? หากมิกำหนดเสียที จะมิเป็นการขวางกั้นอนาคตของเจ้าหกหรือ?” 


 


 


เจินเจี้ยนเหวินถามออกไปด้วยท่าทีร้อนรนเล็กน้อย นายท่านรองกลับระบายยิ้มเบาบาง “พี่น้องกันแท้ๆ ไหนเลยจะมีคำว่าขวางอนาคตเล่า งานมงคลของอวี้เอ๋อร์หากเป็นไปได้นับว่ามีวาสนาต่อกัน หากเป็นไปมิได้ก็เป็นลิขิตสวรรค์แล้ว คงมิอาจรีบร้อนกำหนดงานมงคลของปิงเอ๋อร์อย่างขอไปทีเพียงเพราะงานมงคลของอวี้เอ๋อร์กระมัง สตรีออกเรือนเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อาจทำอย่างสะเพร่า หนุ่มน้อยตระกูลหวังผู้นั้นอายุแค่สิบห้าสิบหก หากเวลาเพียงเท่านี้เขามิอาจรอได้ เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด ” 


 


 


“แม้นจะกล่าวเช่นนี้แต่หากคู่หมายที่ดีเช่นนี้หลุดมือไปคงน่าเสียดายยิ่ง” เจินเจี้ยนเหวินกลับไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง 


 


 


ในเมืองหลวงนั้นไม่ทราบมีสตรีมากมายเท่าใดที่อยากจะแต่งเข้า แต่น้องรองของเขากลับมีท่าทีนิ่งเฉยเสียจนคนเห็นแล้วอดร้อนใจแทนมิได้! 


 


 


แต่เขาผู้เป็นพี่กลับมิเคยคาดเดาความคิดของน้องชายคนนี้ได้เลยมาตั้งแต่เล็กจนโตแล้ว! 


 


 


เจินเจี้ยนเหวินจึงรีบเอ่ยไปตามตรงว่า “น้องรอง ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินขุนนางตระกูลเมิ่งกับน้องสะใภ้ไปมาหาสู่กันอย่างชิดใกล้ เป็นเพราะปรารถนาจะร่วมเกี่ยวดองกันหรือไม่?” 


 


 


นายท่านรองผลิยิ้มบางเบา “พี่ใหญ่มิต้องกังวล ข้าได้กำชับนางหลี่แล้ว ตระกูลเมิ่งกับเรามิเหมาะเกี่ยวดองกัน” 


 


 


เจินเจี้ยนเหวินหงุดหงิดขึ้นมา 


 


 


เขากังวลอันใดเล่า! 


 


 


จิ้งเอ๋อร์เป็นเพียงบุตรอนุ ทั้งยังเป็นเพียงอนุ คงมิสละทิ้งอนาคตอันสวยงามของจวนเพื่อนางหรอกกระมัง ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นทุกคนในจวนอาจตำหนิเขาก็เป็นได้! 


 


 


“ไม่มีอันใดไม่เหมาะสมเสียหน่อย ข้าว่าตระกูลเมิ่งก็ไม่เลว น้องรอง ข้าว่า…” 


 


 


“คุณชายน้อยตระกูลเมิ่งเป็นเพียงบุตรของอนุ แต่มารดาเขาเสียชีวิตทันทีหลังจากคลอดเขา เมิ่งฮูหยินจึงเลี้ยงเขาดั่งเป็นบุตรภรรยาเอก แต่เพราะตอนนั้นขุนนางเมิ่งรับราชการอยู่นอกเมือง คนในเมืองหลวงจึงไม่มีผู้ใดทราบเท่านั้น ” มิรอให้เจินเจี้ยนเหวินกล่าวจบ นายท่านรองก็เอ่ยตัดบทขึ้นมาก่อน 


 


 


เจินเจี้ยนเหวินเบิกตากว้าง “เจ้าทราบได้อย่างไร?” 


 


 


นายท่านรองยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย “ข้าไหว้วานให้สามีเจ้าสี่ช่วยสอบถามให้” 


 


 


เขารู้จักอุปนิสัยพี่ใหญ่ดี หากบอกว่าเขาว่าเราอาจตกเข้าสู่อันตรายจากวังวนการแย่งชิงบัลลังก์ เขาย่อมต้องกล่าวว่านั้นเป็นโอกาสอันดีที่จะได้รับเกียรติอันสูงส่ง และต้องพูดวาจาอีกมากมายที่ทำให้คนปวดเศียรเวียนเกล้า 


 


 


หากต้องเป็นเช่นนั้นก็มิสู้ยกถึงฐานะอันไม่คู่ควรของคุณชายผู้นั้นขึ้นมากล่าวเสีย หากพี่ใหญ่ยังคงเอ่ยอันใดอีกก็แสดงว่าเขาไม่ใส่ใจต่อความรักของผู้เป็นน้องที่มีต่อบุตรสาวเลยสักนิด 


 


 


จังหวะ โอกาส และการยืมกำลังนั้นเป็นข้อสำคัญของการปกป้องตระกูลมิให้ล่มสลาย 


 


 


แต่พี่ใหญ่กลับคิดไม่ตกเสียที ท่ามกลางการแย่งชิงบัลลังก์นั้น ตระกูลเช่นพวกเขาแค่เพียงต้องรักษาความมั่นคงของตระกูลเอาไว้ให้ได้เป็นพอ มิใช่เข้าไปร่วมแย่งชิงกับเหล่าองค์ชายด้วย 


 


 


เจินเจี้ยนเหวินไม่มีวาจาใดจะกล่าวแล้ว 


 


 


หลานเขยคนที่สี่นั้นเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการแห่งหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน หากหน่วยองครักษ์จิ่นหลินคิดจะสืบเสาะประวัติของตระกูลใดนั้นมิใช่เรื่องยากเลย 


 


 


หากเขายังเอ่ยอันใดอีกต่อไป เกรงว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องคงเกิดช่องว่างขึ้นเป็นแน่ 


 


 


หากพี่น้องมิปรองดอง นั้นเป็นรากเหง้าแห่งความล่มจมของตระกูล มีหลายตระกูลที่ล่มสลายไปเพราะเกิดสงครามภายในขึ้น เหตุผลนี้เขาเข้าใจดี 


 


 


ช่างเถิด 


 


 


เจินเจี้ยนเหวินลอยถอนหายใจเสียงหนึ่งแล้วถามว่า “งานมงคลของเจ้าห้า น้องรองมีแผนไว้แล้วหรือ?” 


 


 


“ตั้งแต่เข้าเมืองหลวงมา ข้าก็ติดต่อสหายร่วมงานเก่าแก่หลายคน เพื่อสอบถามดูว่ามีผู้ที่เหมาะสมหรือไม่อย่างไร” 


 


 


“น้องรองมีแผนการในใจแล้วก็ดี” เมื่อไม่อาจบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ เจินเจี้ยนเหวินก็หมดความสำราญจะดื่มสุรา จึงเอ่ยเพียงประโยคแล้วหันกายจากไป 


 


 


ในงานวันเฉลิมพระชนมพรรษานั้นเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเพียงนั้นทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงคล้ายปกคลุมไปด้วยเมฆดำทะมึน บรรยากาศทุกอย่างจึงดูเงียบขรึม 


 


 


ไม่ว่าจะเป็นการชมหิมะ งานเลี้ยงต่อบทกวีอันใดเทือกนั้นต่างก็ต้องหยุดชะงักลง การไปมาหาสู่ของแต่ละจวนก็ดูจะน้อยลงไปมาก 


 


 


หลังจากวันนั้น แม้นชูสยาจวิ้นจู่จะบอกว่าฉงสี่เซี่ยนจู่แสร้งป่วย แต่เจินเมี่ยวก็ยังคงเขียนจดหมายแสดงความห่วงใยไปถึงนาง ยามนี้จึงได้รับจดหมายตอบกลับมาแล้ว จึงลงมือฝนหมึกและเขียนตอบจดหมายด้วยตนเองอย่างอารมณ์ดี 


 


 


ครั้นเขียนเสร็จก็วางจดหมายไว้ด้านข้างรอให้หมึกแห้ง แล้วหยิบเทียบอีกฉบับขึ้นมาอ่าน 


 


 


เทียบนี้มาจากนางเจียงจากจวนแม่ทัพโอวหยาง เนื้อความเขียนว่าเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้พบหน้ากัน แล้วบอกว่ารอให้อากาศอบอุ่นขึ้นอีกหน่อยค่อยออกไปชมทัศนียภาพด้วยกัน 


 


 


เมื่อครั้งอยู่ที่เป่ยเหอ เจินเมี่ยวกับนางเจียงพักอยู่เรือนข้างเคียงกัน ทั้งกินข้าวร่วมกันอยู่หลายครั้ง ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองนั้นไม่เลวเลย นางจึงยกพู่กันเขียนจดหมายตอบไปในทันที 


 


 


ท่าทีของนางซุนก็แสดงออกต่อจวนต่างๆ อย่างชัดเจนว่า อย่างน้อยก็ให้ผ่านปีนี้ไปก่อน แต่ละจวนควรเก็บหางอยู่อย่างเรียบง่ายเพื่อมิไปเผลอยั่วโทสะให้โอรสสวรรค์ที่พระอารมณ์มิใคร่สู้ดีนักกริ้วขึ้นมาจนตนเองต้องกลายเป็นผีเคราะห์ร้าย 


 


 


เมื่อไม่มีการไปมาหาสู่ระหว่างจวนต่างๆ จวนกั๋วกงที่มีสะใภ้สามคนและหลานสะใภ้อีกหนึ่งคนคอยดูแลจัดการจวนนั้นจึงมิใคร่ยุ่งนัก เมื่อเจินเมี่ยวทำหน้าที่ของตนเสร็จนางก็มักรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นพิเศษ 


 


 


เมื่อว่างนางก็อดที่จะคิดถึงเรื่องกินมิได้ 


 


 


หิมะตกมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา อากาศเย็นเยียบ เหมาะจะล้อมวงกินหม้อไฟมากที่สุดเลย 


 


 


การกินหม้อไฟนั้นคนยิ่งมากเท่าใดก็ยิ่งสนุก แต่น่าเสียดายที่หลัวเทียนเฉิงแทบจะไม่กลับจวนเลย ครั้นหากนางจะเชิญเจินเหยียนแต่ไม่เชิญเจินหนิงก็อาจเกิดข้อครหาได้ แต่หากเชิญเจินหนิง เจินเมี่ยวก็รู้สึกอึดอัดใจ จึงเรียกสาวใช้ตั้งแต่ขั้นสามขึ้นไปมาหาและเริ่มลงมือทำ 


 


 


หม้อทองแดงมันวาว ตรงกลางมีแผ่นทองแดงกั้นไว้ ครึ่งหนึ่งเป็นน้ำแกงสีขาวรสชาติเข้มข้น อีกด้านเป็นน้ำแกงสีแดงมันวาว ทั้งสองฝั่งมีไอร้อนพวยพุ่งขึ้นไม่หยุด 


 


 


เนื้อบางดุจปีกจักจั่นกำลังกลิ้งไปมาในน้ำแกงที่เดือดปุด มันเปลี่ยนสีไปในทันใด เจินเมี่ยวมิได้สาวใช้มาช่วย นางรีบตักขึ้นจุ่มน้ำจิ้มที่ผสมด้วยเต้าหู้ยี้ จือหมาเจี้ยง ถั่วลิสงทุบ ผักชีและกระเทียมดอง แล้วลงมือกิน  


 


 


เมื่อเคี้ยวเสร็จก็ทอดถอนใจด้วยความพอใจ แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “กินหม้อไฟ ต้องทำด้วยตนเองจึงจะอร่อย อย่ามัวแต่ยืนอยู่เลย พวกเจ้าก็มากินด้วยกันเถิด” 


 


 


หม้อทองแดงนั้น นางสั่งให้คนทำไว้สามใบ ตอนนี้ก็ได้ใช้ทุกใบแล้ว 


 


 


สาวขั้นสามใช้หม้อหนึ่ง สาวใช้ขั้นสองใช้หม้อหนึ่ง จื่อซูและไป๋เสาเพียงสองคนที่เป็นสาวใช้ขั้นหนึ่ง นางจึงเรียกให้มากินด้วยกัน 


 


 


แต่น่าเสียดายที่จื่อซูและไป๋เสากลับยกถ้วยวิ่งไปหาอาหลวนเสียแล้ว “ต้าไหน่ไหน่ เรากินที่นี้ดีกว่าเจ้าค่ะ” 


 


 


เจินเมี่ยวเห็นเช่นนั้นก็มิอยากบังคับ 


 


 


ที่นางกินหม้อไฟก็เพื่อความสำราญใจ หากพวกนางต้องมากินหม้อเดียวกันตนแล้วรู้สึกอึดอัด เช่นนั้นไหนเลยจะรับรู้รสชาติอันโอชะของอาหารได้เล่า กลับกันคงไม่อร่อยยิ่งเป็นแน่ 


 


 


น่าเสียดายที่นางต้องกินคนเดียว มันออกจะเหงาไม่น้อย 


 


 


เจินเมี่ยวชำเลืองมองแผ่นเนื้อที่วางทับกันเป็นกองพะเนินก็อดเอ่ยถามออกไปมิได้ว่า “วันนี้ซื่อจื่อก็มิกลับจวนอีกหรือ?” 


 


 


ทำเสียอร่อย แต่คู่หูกลับไม่อยู่ร่วมกิน 


 


 


นางกล่าวจบ ทั่วทั้งห้องก็พลันเงียบลงทันใด อากาศหนาวเย็นมุดเข้ามาภายในวูบหนึ่ง 


 


 


บรรดาสาวใช้ที่กำลังกินกันอย่างครึกครื้นต่างลุกขึ้นทำความเคารพ “ซื่อจื่อ” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้มอ่อนโยน แล้วชี้ไปที่หม้อทองแดงตรงหน้าเจินเมี่ยว “ย้ายหม้อนั้นไปในห้อง พวกเจ้ากินกันต่อเถิด” 


 


 


จื่อซูคอยกำกับให้สาวใช้สองสามคนยกหม้อไฟและถาดเนื้อ ผักเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวัง แล้วกลับไปที่ห้องอาหาร 


 


 


“”นี่คือหม้อไฟที่เจ้าเคยพูดถึง? 


 


 


“ใช่ เดิมคิดว่าเมื่อถึงเหมันต์จะชวนให้พวกพี่ใหญ่มากินด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่เกิดเรื่องนั้นขึ้น จึงมิอาจไปไหนมาไหนได้ตามใจ” 


 


 


“พี่ใหญ่?” หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้ว “และญาติผู้พี่ด้วยใช่หรือไม่?” 


 


 


ครั้นเขาเลิกคิ้ว เจินเมี่ยวจึงเห็นว่ามีเกล็ดหิมะเกาะอยู่ตามคิ้วรูปดาบของเขาอยู่ นางรีบดึงผ้าเช็ดหน้าออกมา เขย่งเท้าขึ้นเช็ดให้เขา พลางทำปากยื่นเอ่ยว่า “ก็เคยพูดไว้เมื่อคราก่อน แต่วางใจได้ ญาติผู้พี่ข้าร่างกายอ่อนแอ กินได้ไม่มากนักหรอก” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงอดยกมุมปากขึ้นมิได้ 


 


 


ร่างกายอ่อนแอ? 


 


 


ที่แท้อาซื่อก็มองญาติผู้พี่ของนางเช่นนี้นี่เองหรือ? 


 


 


อืม คำบรรยายนี้นั้นดีไม่น้อย 


 


 


เจินเมี่ยวพูดขึ้นอีกหนึ่งประโยคว่า “จิ่นหมิง ท่านวางใจเถิด อย่างมากข้าก็แค่เตรียมวัวสักตัวไว้ อย่างไรก็พอให้ท่านกินแน่” 


 


 


หลัวเทียนเฉิง “…” 

 

 

 


ตอนที่ 239 มีญาติผู้พี่กี่คนกันแน่?

 

เจินเมี่ยวหยิบตะเกียบสะอาดขึ้นมาคู่หนึ่งแล้วจุ่มเนื้อแผ่นบางลงไปในหม้อที่กำลังเดือด แล้วจิ้มน้ำจิ้มในจานใบเล็กแล้วส่งให้คู่หูที่หน้าดำคล้ำผู้นั้น “รีบกินตอนกำลังร้อนเถิด เย็นแล้วจะไม่กลิ่นสาบ” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงมีสีหน้าผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว เขารับตะเกียบมาแล้วกัดกินไปคำหนึ่ง 


 


 


แผ่นเนื้อบางมาก เมื่อจิ้มกับน้ำจิ้ม กลิ่นสาบที่มีก็หายไปทันที เหลือเพียงความสดใหม่ของเนื้อแพะเท่านั้น 


 


 


ด้านนอกมีลมพัดแรงทั้งมีหิมะตก เมื่อกินอาหารเช่นนี้อยู่ในห้องอันอบอุ่นก็รู้สึกสำราญใจอย่างที่สุด 


 


 


หากกินด้วยวิธีเช่นนี้ หากใช้วันสักตัวมาแทนปริมาณอาหารของเขาก็ดูจะไม่เป็นปัญหาอันใด? 


 


 


เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงกินอย่างเอร็ดอร่อย เจินเมี่ยวก็ป้อนเขาอย่างเบิกบาน นางเอ่ยด้วยใบหน้าแช่มชื่นว่า “ใน**บสินเดิมข้ายังมีหม้อทองแดงใบใหญ่ใบหนึ่ง ข้างล่างสามารถทำเป็นหม้อไฟ ด้านบนมีสองชั้น ตรงกลางเป็นแผ่นเหล็ก เราสามารถย่างเนื้อกวาง ปีกไก่ได้ ส่วนชั้นบนสุดก็เป็นหม้อนึ่งเล็กๆ สามารถใส่ซาลาเปาลูกเล็กๆ ได้ห้าหกลูกเชียว แต่วันนี้มีแค่ข้ากับท่านจึงมิได้เอามันมาใช้” 


 


 


“อ้อ แล้วยังมีหม้อแบบใดที่น่าสนใจอีกบ้าง?” หัวเทียนเฉิงรู้สึกสนใจขึ้นมา 


 


 


“พี่สี่ผู้เป็นญาติผู้พี่มอบให้ข้าล่ะ” 


 


 


ตะเกียบหลัวเทียนเฉิงพลันชะงักค้าง แล้วเอ่ยเสียงเน้นว่า “พี่สี่…ญาติผู้พี่?” 


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้า “เขาเป็นญาติผู้พี่ฝั่งท่านยาย ตอนเด็กๆ เราเคยไปปีนต้นไม้เล่นด้วยกันด้วย วันที่มอบของขวัญเป็นสินเดิมนั้น เขาให้หม้อทองแดงข้ามา หม้อนั้นค่อนข้างใหญ่ ห้าหกคนล้อมวงกินด้วยกันก็ไม่มีปัญหา” 


 


 


เสียงแคร่กดังขึ้นคราหนึ่ง ตะเกียบเงินหักขาดเป็นสองท่อน หลัวเทียนเฉิงวางตะเกียบที่หักนั้นลงอย่างสง่างาม แล้วหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดมุมปาก เอ่ยถามด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ปีนต้นไม้ด้วยกัน?” 


 


 


สตรีผู้นี้ มีญาติผู้พี่ซึ่งเป็นบุรุษกี่คนกันแน่!! 


 


 


นางจะไม่ยอมให้เข้าได้กินข้าวอย่างสงบเลยใช่หรือไม่! 


 


 


เจินเมี่ยวพลิกค้นความทรงจำของร่างเดิมขึ้นมา ตอนยังเด็กมิได้ปีนต้นไม้ด้วยกันสองคนเสียหน่อยแต่เวินม่อเหยียนเป็นผู้ปีนต้นไม้ นางเป็นคนไปฟ้อง 


 


 


แต่หากบอกไปเช่นนี้ นางกลับดูแย่ยิ่ง อย่างไรการไปฟ้องเรื่องการปีนต้นไม้ก็เกี่ยวข้องกับการปีนต้นไม้ จะบอกว่าปีนต้นไม้ด้วยกันก็มิผิดนัก นางจึงพยักหน้ายืนยัน 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้น “เช่นนั้นพี่สี่ของเจ้าเหตุใดจึงมอบเพียงหม้อใบหนึ่งเป็นสินเดิมให้เจ้าเล่า?” 


 


 


เจินเมี่ยวหัวเราะ “เพราะข้าชอบกินกระมัง ท่านเองก็ให้มีดทำอาหารกับข้าหนึ่งชุดมิใช่หรือ?”ดีเหลือเกิน สตรีผู้นี้ช่างรู้จักยั่วโทสะเขานัก! 


 


 


หลัวเทียนเฉิงรู้สึกทุรนทุรายขึ้นมา แม้กระทั่งเนื้อแพะก็กินไม่ลง เขายื่นมือไปดึงเจินเมี่ยวเข้ามาแล้วประทับริมฝีปากลงไป 


 


 


เจินเมี่ยวมึนงงไปชั่วขณะ 


 


 


กำลัง…กำลังกินข้าวอยู่แท้ๆ เขาทำอันใดกัน? 


 


 


เพียงแต่ครานี้อีกฝ่ายกลับดุดันยิ่ง เขาปิดปากนางแน่นสนิทไม่มีแม้แต่ช่องว่าง เป็นจุมพิตที่ลึกซึ้งเร้ารึงยิ่ง 


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกหน้ามืดไปหมด บุปผาสีทองลอยวนอยู่ตรงหน้าคล้ายกำลังจะขาดใจแล้ว 


 


 


เมื่อเห็นนางกลั้นจนแดงเรื่อง จึงปล่อยนางทั้งที่ยังมิคลายโทสะ แล้วเอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “ของที่ข้าให้เจ้าจะเหมือนของที่ผู้อื่นให้ได้งั้นหรือ? ข้ายังจูบเจ้าอีกด้วย เหตุใดผู้อื่นจึงมิจูบเจ้าเล่า?” 


 


 


เจินเมี่ยวถูกจุมพิตอย่างหนักจึงยังคงตกอยู่ในอาการเวียนหัว แต่ปากก็ตอบไปว่า “ผู้อื่นมิใช่สามีข้า ย่อมมิอาจจูบข้าได้” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงคิดไม่ถึงว่านางยังตอบออกมาด้วยท่าทีจริงจังเช่นนั้นได้ เขายังโกรธแต่ก็เบิกบานใจยิ่ง เขาจ้องใบหน้างดงามราวบุปผาแรกแย้มนั้นด้วยแววตาล้ำลึก 


 


 


“อาซื่อ?” 


 


 


“หืม?” 


 


 


หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยว่า “กล่าวตามจริงแล้ว เมื่อข้านั่งมองเจ้าในตอนนี้ กลับยากที่จะจินตนาการไปถึงเจ้าในคราเริ่มแรกที่ได้รับจดหมายปลอมลายมือข้าฉบับนั้นแล้วกระทำเรื่องโง่เขลาเช่นลากข้ากระโดดลงน้ำไปกับเจ้า” 


 


 


นางในตอนนี้ช่างสะอาดพิสุทธิ์ ดั่งมิเคยรู้จักเรื่องรักใคร่เหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ 


 


 


เจินเมี่ยวฟังแล้วหวาดหวั่นขึ้นมาทันใด 


 


 


ยังคงมีรอยรั่วอยู่ใช่หรือไม่? 


 


 


นางในภพก่อน หน้าตาไม่เลว ฐานะครอบครัวก็ดี ความจริงมีคนมาจีบนางไม่ขาด แต่เมื่อคบค้ากันไปนานเข้าสุดท้ายกลับกลายเป็นสหายที่ดีต่อกันไปโดยปริยาย นางเองก็รู้สึกว่ามันต้องมีสิ่งผิดแปลกที่ใดสักแห่ง 


 


 


อย่างไรนางก็มิเคยใจเต้นแรง แม้แต่การกลับไปขบคิดถึงปัญหาเหล่านี้ก็ไม่เคย 


 


 


เช่นนั้นคุณชายผู้นี้ มีความสำคัญเช่นใดต่อนางในยามนี้กันแน่? 


 


 


นอกจากฐานะความเป็นสามีที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงกับหน้าที่ที่นางผู้เป็นภรรยาควรกระทำแล้ว ความรู้สึกเร่าร้อนประหนึ่งถูกไฟแล่นเข้าร่างที่ผู้คนกล่าวกันนั้นเคยเกิดขึ้นหรือไม่? 


 


 


เมื่อคิดถึงจูบอันยาวนานและเคล้าคลึงเมื่อครู่ เจินเมี่ยวก็รู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมา 


 


 


นอกจากอาการมึนงงวิงเวียนแล้วนางก็จำได้เพียงรสชาติเนื้อแพะในปาก 


 


 


“อาซื่อ” หลัวเทียนเฉิงรู้สึกลำคอแห้งผากขึ้นมา “ตอนนั้น…เจ้าคิดเช่นไร” 


 


 


เจินเมี่ยวไร้หนทางจะอธิบาย จึงได้แต่เงียบ 


 


 


นางรู้สึกแปลกใจยิ่งที่จู่ๆ หลัวเทียนเฉิงกลับเอ่ยถึงเรื่องเก่าขึ้นมา อย่างไรนั้นก็มิใช่ความทรงจำที่ดีสักเท่าใด หลังจากแต่งงานกัน คนทั้งสองก็หลีกเลี่ยงประเด็นนี้กันไปโดยปริยาย 


 


 


หากบอกว่านางชอบเขากระทั่งมิอาจแต่งงานกับบุรุษอื่นได้ จึงได้ทำเรื่องบ้าคลั่งเช่นนั้นออกมา แต่เมื่อคิดดูแล้ววันเวลาที่ผ่านมานี่ท่าทีของนางกลับเป็นอีกเรื่อง หากบอกว่าเพราะฐานะคุณชายผู้สืบทอด นาก็รู้สึกเหมือนใส่ร้ายตน อย่างไรนางก็ใช้ร่างผู้อื่น การใส่ร้ายเช่นนี้นางคงไม่มีทางพูดออกมาได้แน่ 


 


 


หลัวเทียนเฉิงกลับถือเอาความเงียบของเจินเมี่ยวเป็นตอบ สีหน้าจึงขรึมขึ้นมาทันใด เขาเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ข้ามีธุระ ต้องไปก่อน วันนี้คงไม่กลับมา” 


 


 


พริบตาก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งไว้เพียงผ้าม่านที่สั่นไหวไปมา 


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกโมโหขึ้นมาบ้างเช่นกัน 


 


 


นี่…นี่เขาโมโหแล้วไม่ยอมกินข้าวทั้งยังออกจากเรือนไปอีก? 


 


 


ทั้งที่อยู่ด้วยกันอย่างดีมานาน วันนี้กลับอาการกำเริบขึ้นมาอีกหรือ? ฮึ โกรธแล้วไม่กินข้าวผู้ใดทำมิได้บ้าง? 


 


 


เจินเมี่ยวโกรธจะทิ้งตะเกียบลง ประจวบเหมาะกับที่น้ำแกงนั้นร่วงหยดลงไปบนไฟ เกิดเสียงซู่ซ่าขึ้น กลิ่นหอมของหม้อไฟชอนไชเข้ามาในจมูก 


 


 


เจินเมี่ยวมองเนื้อที่กำลังแช่อยู่ในน้ำแกงที่เดือดจัดแล้วเริ่มลังเลขึ้นมา 


 


 


ช่างเถิด โกรธก็ส่วนโกรธ ข้าวก็ยังคงต้องกิน 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเดินไปถึงลานกลางเรือน เมื่อถูกลมเย็นพัดเข้าใส่จึงมีสติคืนมา เขาอดหัวเราะเยาะตนเองมิได้ 


 


 


เขาโมโหอันใดของเขากัน แรกเริ่มคุณหนูสี่คิดสิ่งใดอยู่ เขามิใช่ไม่เคยครุ่นคิด เขาเป็นคนมาถึงสองชาติก็มิเคยแสดงอาการโกรธเคืองเช่นนี้ต่อผู้ใดเลยจริงๆ 


 


 


แต่ยามนี้ที่เขารู้สึกว่าโทสะนี้นั้นยากจะควบคุมนักคืออันใดกัน? 


 


 


 บางที เขาอาจจะอยากรู้ว่าหากตนไม่มีฐานะคุณชายผู้สืบทอดนี้แล้ว สำหรับนางเขาเหมือนหรือแตกต่างกับบรรดาญาติผู้พี่ของนางเหล่านั้นหรือไม่? 


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็อดหมุนตัวเดินกลับไปยังที่ที่จากมามิได้ 


 


 


ครั้นเขาเลิกม่านเดินเข้าไปอีกคราก็เห็นเจินเมี่ยวกำลังกินเต้าหู้ร้อนๆ ก้อนหนึ่งอยู่ มันลวงลิ้นจนนางต้องแยกเขี้ยวยิงฟัน เมื่อเห็นคนที่ย้อนกลับมาก็เบิกตากลมโตนั้นขึ้น 


 


 


โทสะนั้นของหลัวเทียนเฉิง ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนที่หลัวเทียนเฉิงเฝ้าครุ่นคิดอยู่นับร้อยครั้งนั้น ในสายตาผู้อื่นกลับไม่มีแรงดึงดูดเท่าเต้าหู้ร้อนๆ ก้อนหนึ่งเลยงั้นหรือ? 


 


 


เขาก้าวยาวเดินไปนั่งลง แล้วแย่งตะเกียบและถ้วยของเจินเมี่ยวมาคีบเนื้อและผักในหม้อขึ้นมากิน 


 


 


เมื่อกินเนื้อไปถึงครึ่งชาม ท้องก็อุ่นขึ้น โทสะที่มีอยู่เต็มท้องก็สลายไปเกือบครึ่ง หลัวเทียนเฉิงจึงมีเวลาหันไปชำเลืองมองเจินเมี่ยวที่ถลึงตาจ้องมองเขาอย่างเหม่อลอย 


 


 


เขาเดินเข้ามาจากด้านนอก ผิวที่ถูกหิมะร่วงใส่นั้นขาวราวกับหยกเนื้อดี เมื่อครู่ที่กินเนื้อเข้าไปคำใหญ่ ใบหน้าก็เริ่มแดงเรื่อขึ้น และเมื่อชำเลืองมองมา สีหน้าท่าทางยั่วเย้า ช่างหล่อเหลางดงามเหลือเกิน 


 


 


โรคมือเท้าอ่อนเมื่อยามพบหญิงงามของเจินเมี่ยวกำเริบขึ้นอีกแล้ว หัวใจเต้นรัวเร็วอยู่หลายครา นางเลียริมฝีปากตนคราหนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “ซื่อจื่อ เหตุใดท่านจึงใช้ตะเกียบและถ้วยของข้า?” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงเย็นในลำคอคราหนึ่ง “เจ้าจะได้มิต้องกิน ข้าเห็นแล้วโมโหยิ่ง!” 


 


 


เจินเมี่ยวบิดเบ้มุมปากตนคราหนึ่ง 


 


 


ซื่อจื่อ ท่านเอาแต่ใจตนเพียงนี้ ย่าท่านรู้หรือไม่? 


 


 


นางจึงหยิบเอาถ้วยและตะเกียบที่หลัวเทียนเฉิงใช้ก่อนหน้านี้ขึ้นมากินต่อ 


 


 


เดิมหลัวเทียนเฉิงคิดจะเอ่ยประชดประชันอีกสักประโยค แต่เห็นนางหยิบตะเกียบที่ตนเคยใช้ไปกินต่ออย่างเอร็ดอร่อย จึงพูดวาจาเหล่านั้นไม่ออกขึ้นมา สุดท้ายกลับคีบเนื้อท้องวัววางใส่ในจานของนาง 


 


 


เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นทันที แล้วรีบคีบขึ้นมากินในขณะที่คนบางคนเริ่มหน้าดำคล้ำขึ้นมาอีก นางก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี “ขอบคุณ” 


 


 


ตั้งแต่ต้นจนจบก็มิได้เอ่ยถามว่าเหตุใดหลัวเทียนเฉิงจึงกลับมาอีก แต่เป็นเขาเองที่อธิบายให้นางทราบด้วยความประหม่าเล็กน้อย “จวนหย่งอ๋องเชิญโหรหลวงเลือกวันให้แล้ว หลัวจากนี้อีกสิบวันเป็นวันมงคล ถึงตอนนั้นเราสองคนต้องเดินทางไปพร้อมกัน” 


 


 


“อยู่ในช่วงนี้หรือ?” เจินเมี่ยวรู้สึกตกใจอยู่บ้าง 


 


 


ยามนี้แต่ละจวนมิใช่ต่างเก็บตัวเงียบกันหรอกหรือ? 


 


 


หลัวเทียนเฉิงหัวเราะ “ไม่มีอันใดดอก” 


 


 


ความจริงหลังจากที่เขารู้ว่าหวังเฟยเอ่ยเรื่องจะรับเจินเมี่ยวเป็นบุตรบุญธรรมนั้นเขาไม่ตกใจสักนิด 


 


 


ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับเขา เชื่อถือเขา นั้นมิจำเป็นต้องพูดอีก แต่จักรพรรดิย่อมมีความระแวงมากสักหน่อย จึงมิอาจไม่มีแผนการสำรองใดๆ ไว้เลย 


 


 


หากเจินเมี่ยวเป็นส่วนหนึ่งของพระบรมวงศานุวงศ์ นั้นก็เพื่อตอบแทนบุญคุณและเป็นการควบคุมเขาไปด้วยอีกนัยหนึ่ง 


 


 


ดังนั้นเรื่องที่หวังเฟยรับบุตรบุญธรรมนี้ ฝ่าบาทย่อมเป็นผู้ผลักดันอยู่เบื้องหลังแน่ เดิมนั้นยังกังวลถึงเกียรติของรัชทายาท จึงคิดจะให้เรื่องนี้แพร่สะพัดขึ้นในงานพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาก่อน เมื่อวันตรุษผ่านไปจึงเลือกวันมงคลจัดพิธีอย่างเป็นทางการทีหลัง แต่เมื่อรัชทายาททำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยอีก เรื่องนี้จึงเลื่อนเข้ามาก่อนสักหน่อย 


 


 


“ข้ายังมีงานที่ศาลาว่าการ ที่กลับมาเพราะจะบอกเรื่องนี้ต่อเจ้าสักหน่อย ให้เจ้าได้เตรียมตัวไว้ คิดว่าเทียบเชิญคงมาถึงอย่างช้าที่สุดคือพรุ่งนี้” 


 


 


“กินเสร็จแล้วก็ยังต้องไปอีกหรือ?” 


 


 


“อืม” หลัวเทียนเฉิงลังเลขึ้นมา เขาป้อนลูกชิ้นปลาให้เจินเมี่ยวแล้วเอ่ยว่า “รอผ่านไปอีกสักระยะ ก็คงไม่ยุ่งเพียงนี้แล้ว” 


 


 


อย่างไรก็ควรจะรีบเป็นสามีภรรยาที่แท้จริงกันจะดีกว่า เห็นชัดว่าสตรีผู้นี้มิได้รู้จักความรักใคร่อันใด บางทีหากผ่านการเป็นสามีภรรยากันแล้วก็อาจจะเข้าใจแล้ว 


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความร้อนรุ่มสายหนึ่งก็เกิดขึ้นในใจอย่างประหลาด ความร้อนรุ่มนี้มันค่อยๆ เคลื่อนลงไปด้านล่างแล้วหยุดอยู่ที่บริเวณท้องน้อย ทั้งปวดทั้งชา หลัวเทียนเฉิงพยายามควบคุมมันไว้ เม็ดเหงื่อกลับซึมออกมา 


 


 


เจินเมี่ยวเห็นสีหน้าเขาแปลกไปก็รีบหยิบผ้ามาเช็ดเหงื่อให้เขา ลมหายใจที่ปลายจมูกเป่ารดลงบนต้นคอเขา 


 


 


“เหตุใดจึงหน้าแดงเพียงนี้ หรือรีบร้อนกินจนเกินไป? ต่อให้รีบก็ไม่ควรทำเช่นนี้ มิฉะนั้นกระเพาะอาจจะพังได้” เจินเมี่ยวบ่นพึมพำด้วยความเป็นห่วง “ดูสิว่าต่อไปท่านยังจะกินของอร่อยได้อีกต่อไปหรือไม่” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเบี่ยงหน้าหนีอย่างประหม่า “คงกินเนื้อแพะมากเกินไป…” 


 


 


“เรื่องนี้มิต้องกังวล ซื่อจื่อ ฟังข้านะ อากาศหนาวเช่นนี้กินเนื้อแพะนั้นดีที่สุดเลย” 


 


 


นางพูดพลางยกนิ้วขึ้นนับไปพลาง “มันช่วยทั้งบำรุงเลือด บำรุงกำลัง ทำให้ร่างกายอบอุ่น เพิ่มพลังเพศชาย…สรุปคือเนื้อแพะนั้นทั้งอร่อยและช่วยบำรุงร่างกาย” 


 


 


เพิ่มพลังเพศชาย เพิ่มพลังเพศชาย… 


 


 


 ในหูของหลัวเทียนเฉิงได้ยินแต่คำคำนี้ หลังจากนั้นคำว่าแย่แล้วก็กระจายไปทั่วร่าง 


 


 


การให้บุรุษร่างกำยำที่มิได้เข้าใกล้สตรีเพศมาปีกว่าเช่นเขาเพิ่มพลังเพศชายนั้น มิใช่ต้องการกลั่นแกล้งคนหรอกหรือ? 


 


 


เมื่อเห็นใบหน้าอันไร้เดียงสาของผู้ก่อเรื่อง เพลิงอันร้อนรุ่มดวงหนึ่งก็เกิดขึ้นในหัวใจ และเขาก็ไม่อยากจะเก็บงำมันไว้อีกแล้ว 


 


 


ช่างเถิด ผลัดวันมิสู้กระทำเลย เขาเองก็มิได้เตรียมตัวออกบวชเสียหน่อย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับภรรยาตน เขายังมีอันใดให้ลังเลหรือ 


 


 


แม้นบอกว่าประเดี๋ยวจะต้องรีบไปศาลาว่าการ ไม่รีบไปสักหน่อยคงมิได้ แต่ว่า… 


 


 


เหอะๆ นี่เป็นครั้งแรกของอาซื่อ หากนานเกินไปนางคงทนรับไม่ไหวกระมัง 


 


 


คนบางคนที่มีแผนการไว้ในใจแล้วลุกขึ้นไปปิดประตูลงกลอน แล้วอุ้มเอาภรรยาที่กำลังจะซดน้ำแกงขึ้นไปวางบนเตียง  

 

 


ตอนที่ 240 สามีภรรยา

 

“ซื่อ…ซื่อจื่อ?” เมื่อลงไปนอนกับเตียงนุ่ม เจินเมี่ยวก็เริ่มกระวนกระวายขึ้นมา “ตอนนี้ยังสว่าง…” 


 


 


แม้นทั้งสองจะมิได้เดินทางไปจนสุดปลายฝัน แต่ก็สัมผัสแนบชิดกันมาแล้วสองสามครา หลังจากที่เขาทำมันทุกครา คนทั้งสองก็มักจะประหม่าต่อกันอย่างยิ่ง กระทั่งทำตัวไม่ถูกอยู่หลายวัน 


 


 


แต่นั้นก็ยังเป็นยามราตรี แค่เพียงหลับตาทุกอย่างก็ผ่านไปแล้ว ทว่าฟ้าสว่างโร่เช่นนี้ แค่คิดก็รู้สึกตะขิดตะขวงแล้ว 


 


 


“ไม่ต้องกลัว ไม่มีผู้ใดเข้ามาดอก” 


 


 


“ข้า…ข้ายังมิได้ดื่มน้ำแกงเลย…” เจินเมี่ยวยังคงพยายามขัดขืน 


 


 


“ประเดี๋ยวค่อยดื่ม” หลัวเทียนเฉิงทำหน้าเหยเก ครู่หนึ่งจึงกลับไปเป็นปกติ 


 


 


“เช่นนั้น…” เจินเมี่ยวไม่รู้จะหาข้ออ้างอันใดอีก รู้สึกสับสนไปหมด 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเห็นนางร้อนใจกระทั่งลำคอระหงเปลี่ยนเป็นสีชมพู และแดงระเรื่อระเรื่อยลงไปยังที่ที่มองไม่เห็น เขารู้สึกร้อนวูบที่จมูก ฉับพลันโลหิตก็ไหลออกมาก 


 


 


เจินเมี่ยวตกใจอึ้งงันไปทันที 


 


 


คนทั้งสองมองหน้ากันอย่างอึ้งงัน แต่หลัวเทียนเฉิงมีสติคืนมาก่อน เขารีบหยิบผ้าขึ้นมาเช็ด แล้วก้มหน้าลงปิดปากอีกฝ่ายไว้ทันที 


 


 


เขาไม่อยากฟังวาจาที่ทำให้เขารู้สึกโกรธเคืองอันใดขึ้นมาอีก 


 


 


“อ๊ะ…” ความคิดของเจินเมี่ยวจึงถูกกักไว้อยู่ในลำคอเท่านั้น 


 


 


จุมพิตเมื่อแรกเริ่มนั้นเต็มไปด้วยความก้าวร้าวและดุดัน เจินเมี่ยวจึงมิทันได้ขัดขืนก็ยอมโอนอ่อนตามจังหวะท่าทางของอีกฝ่ายไปเสียก่อน 


 


 


ต่อมาก็ค่อยๆ อ่อนโยนขึ้น คล้ายแมลงปอน้อยที่โฉบผ่านไปบนผิวน้ำอันเงียบสงบ แล้วก็ย้อนกลับมาอย่างมิใคร่ยินยอมนัก ใช้หางของมันแตะสัมผัสลงไปให้ลึกอีกครา ครั้งแล้วครั้งเล่ากระทั่งเกิดเป็นระลอกคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่า กระทั่งกระทบเข้าไปในใจที่อ่อนระรินดุจสายน้ำนั้น 


 


 


เจินเมี่ยวไม่มีสติให้คิดใคร่ครวญอันใดอีกแล้ว เพียงแต่อาศัยสัญชาตญาณเท่านั้น นางรู้สึกว่าความรู้สึกชนิดนี้ช่างสวยงามและอัศจรรย์ ทั้งสุขสมยิ่ง เมื่อความสุขสมผ่านไปกลับเกิดความรู้สึกเคว้งคว้างอันยากจะบรรยายได้ขึ้น 


 


 


คล้ายว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต 


 


 


นางลองเปรียบเทียบดูทั้งที่สติยังเลอะเลือนอยู่เช่นนั้น แต่ชั่วขณะก็มิอาจไปครุ่นคิดเรื่องเหล่านั้นได้แล้ว เมื่ออาภรณ์ที่ปกปิดร่างกายถูกถอนออกไป อากาศอันหนาวเหน็บโอบล้อมรอบตัวนางทันที แต่กลับไม่รู้สึกว่าหนาว นางรู้สึกได้เพียงความร้อนจากร่างที่เกี่ยวกระหวัดนางอยู่นั้น ร้อนจนนางอยากจะผลักออก แต่กลับกอดเกี่ยวเอาไว้เสียแน่น 


 


 


กระทั่งคนผู้นั้นขบเม้มที่ติ่งหูนาง แล้วเอ่ยพึมพำเสียงต่ำว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เจี๋ยวเจี่ยว เจี๋ยวเจี่ยว… ” 


 


 


เสียงที่ดังติดต่อกันนั้นทำเอานางขนลุกเกรียวไปทั่วร่าง 


 


 


หลังจากนั้นก็มีสิ่งใดบางอย่างค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาตัวนาง ทั้งอ่อนโยนแต่กลับยืนหยัดอยู่เช่นนั้นมิหลบหนีไปไหน 


 


 


เจินเมี่ยวจึงเริ่มมีสติขึ้นมาบ้าง นางอดคิดไม่ได้ว่า ก็มิได้เจ็บอันใดมิใช่หรือ? 


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” 


 


 


เจินเมี่ยวเบิกตาขึ้นสบเข้ากับดวงตาอันล้ำลึกมากกว่าทุกคราคู่นั้น แล้วพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา เสียงเล็กแผ่วเบา “มิเป็นอันใดเลย” 


 


 


นางคิดมาตลอดว่าจักต้องเจ็บดั่งหัวใจฉีกขาดก็มิปาน คิดไม่ถึงว่า คิดไม่ถึงว่าจะรู้สึกดีถึงเพียงนี้ 


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ ความตึงเครียดที่เคยมีก็มลายหายไปทันที ความรู้สึกสุขสมและว่างเปล่าอันแสนประหลาดนั้นจู่โจมจนทำให้นางขยับยกร่างขึ้นไปตามธรรมชาติ 


 


 


หลัวเทียนเฉิงกลับสูดลมเข้าปากคราหนึ่ง แล้วกัดฟันเอ่ยเน้นทีละคำว่า “เช่นนั้นก็ดีแล้ว” 


 


 


หลังจากนั้นก็เสือกกายเข้าหานางอย่างล้ำลึกที่สุด 


 


 


เจินเมี่ยวยังมิทันเข้าใจความหมายของเขาด้วยซ้ำ ความเจ็บปวดดุจหัวใจฉีกขาดนั้นก็แผ่ซ่านขึ้นมา น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาทันที แต่กลับถูกอีกฝ่ายใช้จุมพิตปิดปากนางไว้ เสียงร้องโหยหวนดุจสุกรถูกเชือดจึงมิได้เล็ดลอดออกมา 


 


 


ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้น มีทั้งความไร้เดียงสา ความโมโหและความสงสัย 


 


 


เมื่อบุรุษผู้ไร้ยางอายที่อยู่บนร่างนางเห็นว่านางมิคิดร้องออกมาแล้วจึงถอนริมฝีปากออกพร้อมกับอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ข้ายังมิได้ล่วงล้ำเข้าไปแต่อยากจะให้เจ้าผ่อนคลายสักหน่อยเท่านั้น” 


 


 


เจินเมี่ยวโกรธกรุ่นขึ้นมา 


 


 


เจ้าคนชั่วช้า ที่แท้ก็ฉวยโอกาสใช้กำลังเข้าจู่โจมยามคนอ่อนแอ! 


 


 


เอ๊ะ เหตุใดจึงรู้สึกว่าการบรรยายเช่นนี้มีที่ใดไม่ถูกต้อง 


 


 


นางยกเท้าขึ้นคิดจะถีบคนไร้ยางอายนั้นออกไปเพื่อจบการทรมานในครานี้เสีย แต่กลับถูกอีกฝ่ายจับขาไว้ ทั้งยังจับไว้เช่นนั้นไม่ยอมปล่อย 


 


 


“หลัวเทียนเฉิง…” เจินเมี่ยวร้องเรียกขึ้น แต่กลับรู้สึกว่าเสียงทั้งแผ่วเบาและอ่อนแรง ไม่มีพลังแห่งการข่มขู่แม้แต่น้อย 


 


 


“อย่าขยับ หากเจ้าถีบข้าออก ครั้งหน้าก็ยังจะเจ็บเช่นนี้เหมือนเดิม” 


 


 


เจินเมี่ยวยอมแล้วจริงๆ  


 


 


ดูผู้อื่นข่มขู่เสียก่อน นี่จึงเรียกว่าการข่มขู่! 


 


 


อย่างไรก็รู้สึกมิยินยอมอยู่ จึงเบี่ยงสายตาออกไปไม่สนใจเขา 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเผลอยิ้มออกมา เวลานี้แล้วยังจะทะเลาะกับเขาได้อีก 


 


 


เขาก้มลงจุมพิตนางอย่างอ่อนโยนอีกครา ทั้งจูบทั้งปลอบนาง “เจี๋ยวเจี่ยว อีกเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว” 


 


 


อาจเพราะคำพูดนั้นของเขาหรืออาจเพราะความเจ็บปวดที่สุดนั้นได้ผ่านไปแล้วจริงๆ เจินเมี่ยว กลับรู้สึกว่าดีขึ้นมาก 


 


 


จากความเนิบนาบในคราแรกค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเร็วรัวขึ้น เตียงอันนุ่มนิ่มนั้นกลายเป็นนาวาน้อยที่โยกคลอนตามคลื่นพายุที่พัดสาด ทำให้คนจ่อมจมอยู่ในห้วงมหาสมุทรอันแสนลึกลับนั้น 


 


 


คลื่นโหมระลอกแล้วระลอกที่ประเดี๋ยวโหมซัดสาดประเดี๋ยวถอยห่างออกไป กระทั่งสุดท้ายนางคล้ายเห็นแสงสว่างจ้าปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งที่ปิดตาทั้งสองข้างแน่น 


 


 


หลัวเทียนเฉิงก้มลงจุมพิตหน้าผากนาง ความพึงพอใจอันยากจะบรรยายออกมาได้เอ่อล้นอยู่ในอก ร่างกายกลับขมวดเกร็ง 


 


 


ที่เขาพึงพอใจเพราะคนทั้งสองได้กลายเป็นสามีภรรยากันอย่างแท้จริงแล้ว กระทั่งเวลานี้ เขาจึงพบว่าภรรยาเขานั้นก็มีด้านที่งดงามเพียงนี้อยู่เช่นกัน แต่เกรงว่าแม้แต่ตัวนางเองก็คงไม่รู้ตัว 


 


 


แต่เพราะเขาอดกลั้นมานาน ทั้งสงสารเพราะเป็นครั้งแรกของนางจึงมิกล้าทำนานเกินไป ร่างกายจึงยังมิถึงจุดผ่อนคลาย 


 


 


แต่ช่างเถิด อย่างไรก็ได้เริ่มต้นแล้ว วันเวลาต่อจากนี้ยังอีกยาวไกล 


 


 


เขาลุกขึ้นค่อยๆ สวมใส่อาภรณ์ แต่กลับมิให้เจินเมี่ยวขยับตัว “เจ้านอนอยู่เช่นนั้นก่อน ข้าจะเรียกให้จื่อซูกับไป๋เสามาปรนนิบัติเจ้า” 


 


 


แม้นจะบอกว่าเป็นสามีภรรยาแต่การกระทำเช่นนี้ในยามฟ้าสางนั้นก็ออกจะไม่เหมาะสมเท่าใด หากเรื่องแพร่ออกไปคงกลายเป็นที่ขบขันของผู้คน 


 


 


สาวใช้ขั้นหนึ่งนั้นรอบคอบทั้งสุขุม เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นลงการเรียกให้พวกนางเข้ามาปรนนิบัติเจ้านายนั้นกลับเป็นเรื่องที่ปกติยิ่ง 


 


 


“ไม่!” ครานี้เจินเมี่ยวมีสติครบถ้วนโดยสมบูรณ์แล้ว ใบหน้าของนางแดงก่ำ 


 


 


นางไม่รู้ว่าผู้อื่นเป็นเช่นไร แต่เมื่อคิดว่าเพิ่งจะกระทำเช่นนั้นเสร็จไปก็เรียกให้ผู้อื่นเข้ามาปรนนิบัติ ช่างน่าอายอย่างที่สุด 


 


 


หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไป 


 


 


บ่าวไพร่มาปรนนิบัติเจ้านาย เป็นเรื่องธรรมดายิ่ง มีอันใดให้เขินอาย? 


 


 


ความจริงนี่เป็นความคิดที่แสนแตกต่างกันของคนทั้งสอง 


 


 


ในความคิดของเจินเมี่ยว ต่อให้บ่าวไพร่ไม่มีอำนาจใด แต่อย่างไรก็เป็นคนเหมือนกัน เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น เรื่องที่ส่วนตัวถึงเพียงนี้มีหรือจะไม่เขินอายได้ 


 


 


แต่หลัวเทียนเฉิงหรือ มิอาจกล่าวได้ว่าเขานั้นเลือดเย็น แต่นี่เป็นวัฒนธรรมที่คนส่วนใหญ่ในที่แห่งนี้ปฏิบัติกันมาตั้งแต่เยาว์วัยกระทั่งเติบใหญ่ บ่าวไพร่นั้นเป็นเพียงสิ่งของมีชีวิตเท่านั้น ลองคิดดูแล้ว จะมีผู้ใดเขินอายเมื่ออยู่ต่อหน้าโต๊ะตัวหนึ่งเล่า? 


 


 


คนทั้งสองต่างไม่เข้าใจความคิดของอีกฝ่าย จึงได้แต่ถลึงตามองกันอยู่เช่นนั้น สุดท้ายก็เป็นหลัวเทียนเฉิงที่ยอมอ่อนข้อให้ก่อนเพราะเป็นห่วงที่นางต้องเจ็บปวดในครั้งแรกจึงกลัวว่าหากนางนอนอยู่เช่นนั้นแล้วจะไม่สบาย 


 


 


เขาเดินอ้อมไปด้านหลังฉากบังลม แล้วยกน้ำร้อนที่วางอุ่นอยู่บนเตาตลอดเวลานั้นขึ้นมาเทใส่ผ้าผืนนุ่มจนชุ่ม แล้วเดินมานั่งลงข้างนาง 


 


 


เจินเมี่ยวลนลานขึ้นมา หน้าแดงก่ำ “อย่า จิ่นหมิง ท่านปล่อยเถิด ข้าทำเอง” 


 


 


แต่ก่อนยามเรียกชื่อนี้ของเขาก็มิได้รู้สึกอันใด แต่ยามนี้คำสองคำนั้นรัดรึงอยู่ที่ปลายลิ้นไม่ห่างไปไหนจึงเผลอเอ่ยออกมา ปลายลิ้นคล้ายมีกระแสไฟอยู่ก็ปาน ทำเอานางตัวอ่อนเปลี้ยไปหมด 


 


 


เจินเมี่ยวอดคิดถึงเสียงสูงๆ ต่ำๆ ที่คอยแต่ร้องว่า ‘จิ่นหมิง’ จากการกระทำที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่นี้ไม่ได้ 


 


 


ไม่ได้การแล้ว เกรงว่าต่อไปนางคงมิอาจเรียกชื่อนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติอีกแล้ว 


 


 


นางมิเคยรู้มาก่อนว่า ระหว่างบุรุษสตรีจะมีความอัศจรรย์เช่นนี้อยู่ 


 


 


“เจ้าลุกไหวหรือ?” หลัวเทียนเฉิงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม และไม่สนใจต่อความเขินอายของนางอีก ได้แต่เช็ดเนื้อตัวให้นางอย่างละเมียดละไม 


 


 


แต่สุดท้ายกลับเช็ดเสียจนคนทั้งสองเกิดไฟร้อนรุ่มไปทั่วร่าง เมื่อสายตาประสานกันก็คล้ายว่าสามารถจุดเพลิงขึ้นได้แม้ว่าอากาศจะชื้นเพียงใด 


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว…” เสียงของหลัวเทียนเฉิงเปลี่ยนเป็นต่ำพร่า 


 


 


“หืม…” 


 


 


“เรียกข้าว่าจิ่นหมิงให้ฟังอีกสักครั้งก่อน” 


 


 


เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากไว้ “ไม่เรียก” 


 


 


หากนางเรียกชื่อเขากลับคล้ายเหมือนกำลังตอบรับสิ่งใดบางอย่างอยู่กระนั้น 


 


 


ผ้าผืนนุ่มอันอุ่นร้อนนั้นปัดผ่านผิวนางแผ่วเบาดุจขนนก ร่างเจินเมี่ยวสั่นสะท้านขึ้นมาคราหนึ่ง 


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าเรียกข้าสักคำเถิด ข้าต้องไปแล้ว ไปครานี้ เกรงว่าแม้แต่ก่อนจะไปจวนหย่งอ๋องก็ยังคงมิได้กลับมาด้วยซ้ำ” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอ้อนวอนอย่างหน้าไม่อายประหนึ่งเด็กน้อยก็มิปาน 


 


 


เจินเมี่ยวทันไม่ไหว จึงยอมเรียกเขาเสียงอ่อนว่าจิ่นหมิง หลังจากนั้นโทนเสียงก็เปลี่ยนไป “จิ่นหมิง ท่าน…ท่านทำอันใด?” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงได้ทิ้งผ้าผืนนั้นลงบนพื้นไปเรียบร้อย แล้วถอนกางเกงออกทั้งที่ยืนอยู่เช่นนั้น สองมือลูบไล้ร่างนาง แล้วค่อยๆ แทรกกายเข้าไปช้าๆ เมื่อรู้สึกว่าอยู่ในตำแหน่งที่พอดีแล้วเขาจึงนหยุดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “เดิมทีนั้นไม่อยากให้เจ้าต้องเหนื่อยจนเกินไป แต่เจ้ากลับไม่ยอมให้สาวใช้เช็ดตัวให้” 


 


 


ในสถานการณ์อันน่าอับอายนี้ เจินเมี่ยวจึงปิดหน้าไว้ไม่กล้ามองเขา เพียงเอ่ยด่าว่า “เถียงข้างๆ คูๆ !” 


 


 


“ใช่ ข้าเถียงข้างๆ คูๆ” หลัวเทียนเฉิงเพียงยิ้ม 


 


 


บรรยากาศภายในห้องอ่อนโยนละมุนละไมขึ้นมาอีกครา แม้แต่ลมหนาวด้านนอกยังค่อยๆ หยุดพัด เพราะไม่อยากส่งเสียงให้นกยวนยางที่กำลังพลอดรักกันอยู่ตกใจ 


 


 


เจินเมี่ยวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลัวเทียนเฉิงไปตั้งแต่เมื่อใด ตอนที่ตื่นขึ้นก็เห็นจื่อซูและไป๋เสายืนอยู่ในห้องแล้ว 


 


 


สาวใช้ทั้งสองที่สุขุมนุ่มลึกมาโดยตลอด เมื่อได้สบตากับเจินเมี่ยวในวันนี้ก็อดหน้าแดงขึ้นมามิได้ 


 


 


เจินเมี่ยวพลอยหน้าแดงตามไปด้วย อึกๆ อักๆ อย่างไม่ทราบจะเอ่ยสิ่งใด 


 


 


แล้วจื่อซูและไป๋เสาจึงสบตากัน พวนางเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “ยินดีกับต้าไหน่ไหน่ด้วยเจ้าค่ะ” 


 


 


เจินเมี่ยวยิ่งพูดไม่ออกไปกว่าเดิม 


 


 


เวลานี้ นางควรพูดอันใดหรือ? 


 


 


ไม่ว่าจะพูดว่าขอบคุณหรือยินดีเช่นกันก็คล้ายจะมิใคร่เหมาะสมทั้งสิ้น 


 


 


อ้ำอึ้งอยู่นานในที่สุดก็หาคำเอื้อนเอ่ยจนเจอ “น้ำแกงเนื้อแพะ เย็นแล้วกระมัง?” 


 


 


ภายในสีหน้าอันแปลกพิกลของสาวใช้ทั้งสอง นางยังคงแข็งใจเอ่ยวาจาที่เหลือต่อมาจนจบ “น่าเสียดายจริง หากนำน้ำแกงเนื้อแพะไปอุ่นอีกรอบก็คงมีกลิ่นสาบแล้ว พวกเจ้าไปบอกชิงเกอให้ทำน้ำแกงจับฉ่ายเนื้อแพะให้ข้าที ใส่ผักชีเยอะๆ…” 


 


 


เมื่อเห็นคนทั้งสองยังคงอึ้งงันไม่ขยับตัวก็ขบริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “เร็วเข้า ข้าหิวแล้ว” 


 


 


จือซูและไป๋เสาสบตากันแล้วยิ้ม 


 


 


พวกนางเข้าใจแล้ว ต้าไหน่ไหน่เขินอายนี่เอง ทั้งเขินอายอย่างที่สุดเสียด้วย 


 


 


“เจ้าค่ะ” คนทั้งสองถอยออกไปด้วยรอยยิ้ม 


 


 


ตอนนี้เจินเมี่ยวมีสติคืนมาครบถ้วนแล้ว นางเพียงรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเป็นดั่งความฝันก็มิปาน 


 


 


นางกับซื่อจื่อกลายเป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วงั้นหรือ? 


 


 


ความรู้สึกนั้น นอกจากความเจ็บปวดในคราแรกแล้ว ต่อมา…ก็คล้ายว่ามิได้ย่ำแย่อันใด 


 


 


ทว่าเจินเมี่ยวยังคงไม่เข้าใจอยู่บ้าง นางไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่มิได้ย่ำแย่นี้เป็นเพราะคนผู้นั้นคือซื่อจื่อหรือเพราะความสามารถในเรื่องนั้นของเขาไม่เลวกันแน่ 


 


 


แต่ซื่อจื่อในตอนนั้นดูเหมือนจะอ่อนโยนเป็นพิเศษ… 


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ต่อไป เจินเมี่ยวก็หน้าแดงขึ้นมาอีก ได้แต่คิดอย่างเงียบๆว่า บางทีอาจเพราะเป็นซื่อจื่อและความสามารถนั้นของด้วยทำให้นางมิได้รู้สึกย่ำแย่กระมัง? 


 


 


แต่กินจนหมดเกลี้ยงแล้วจากไปเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย 


 


 


เจินเมี่ยวพลันรู้สึกว่าห้องที่อยู่จนคุ้นเคยแล้วแห่งนี้ดูเหมือนขาดบางอย่างไป 


 


 


เรือนชิงเฟิงนั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งวสันต์ฤดู แต่เรือนซินหยวนกลับยิ่งเหน็บหนาวเข้าไปทุกทีแล้ว 


 


 


นางเถียนเอ่ยถามนายท่านรองสกุลหลัวด้วยน้ำตานองหน้า “ท่านพี่ ท่านบอกว่าพิธีรับบุตรบุญธรรมของจวนหย่งอ๋องคงมิเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้หรือ ฝ่าบาทพระอารมณ์มิใคร่จะดีนัก เรื่องนี้ไม่แน่ว่าอาจถูกล้มเลิกไป ท่านดูว่านี่คืออันใด เทียบเชิญจากจวนหย่งอ๋องมาถึงแล้ว!” 


 


 


เพราะสถานการณ์ช่วงนี้ค่อนข้างตึงเครียด ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวจะเกิดความผิดพลาดจึงให้นางเถียนที่มีประสบการณ์ในการดูแลจวนมามากกว่าสิบปีดูแลเรื่องการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คน 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวผุดลุกขึ้นทันที “รู้จักแต่ร้องไห้ อัปมงคลจริงๆ!” 


 


 


กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป 


 


 


เมื่อออกจากจวนกั๋วกงมายืนบนถนนก็เหม่อมองหิมะสีขาวที่ปกคลุมทั่วพื้น ไม่ทราบว่าคิดสิ่งใดอยู่จึงยกเท้าก้าวเดินไปยังตรอกซิ่งฮวาทันที 

 

 

 


ตอนที่ 241 สตรีอาภรณ์เขียว

 

ตรอกซิ่งฮวายาวแต่แคบ หิมะที่ทับถมอยู่บนหลังทรงต่ำนั้นยังมิได้ละลายหายไป หยดน้ำจากหิมะบนมุมหลังคาไหลหยดติ๋งๆ เจิ่งนองเป็นเวิ้งน้ำเต็มพื้น ใบไม้แห้งที่ร่วงหลบอยู่มุมกำแพงแข็งค้างกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งไปแล้ว บางส่วนก็จมจ่อมอยู่ในเวิ้งน้ำนั้นจนมันเริ่มมีสีขุ่นขึ้นมา 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวยกชายอาภรณ์ตนขึ้น แล้วเดินหลบเวิ้งน้ำนั้นไป เขามองไปยังเรือนอันคุ้นตาที่ประตูถูกปิดตายนั้น แล้วเกิดลังเลที่จะก้าวเท้าต่อไปข้างหน้า 


 


 


อากาศเช่นนี้ เวลานี้ เขาไม่ควรมาที่นี่ 


 


 


เขายืนลังเลอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง สายตากลับเบนไปมองเรือนหลังข้างเคียง 


 


 


ประตูสีดำนั้นก็ถูกปิดแน่นเช่นเดียวกัน นายท่านรองสกุลหลัวอยากจะให้ดวงตาสามารถมองสอดส่องเข้าไปให้เห็นว่าด้านในเป็นอย่างไรผ่านช่องเล็กๆ ของประตูนั้นเหลือเกิน 


 


 


เมื่อรู้สึกว่าการยืนอยู่เช่นนี้นั้นมิได้มีประโยชน์อันใด นายท่านรองสกุลหลัวจึงยกชายอาภรณ์หมุนตัวกลับทันที 


 


 


เวลานี้เองที่เสียงแก๊กๆ ของประตูก็ดังขึ้น นายท่านรองสกุลหลัวนั้นแทบจะหันหลังกลับไปในทันที เพราะหมุนตัวเร็วเกินไปจึงเผลอไปเหยียบเวิ้งน้ำใต้เท้าเข้าพอดี 


 


 


รองเท้าหนังที่ตนใส่อยู่นั้นมิได้เป็นอันใด ทว่าอาภรณ์ยาวตัวใหม่นี้กลับเปื้อนเป็นวงขึ้นมาในพริบตา 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวกระโดดหลบพัลวันไม่เป็นท่า แล้วหันไปมองสตรีที่สวมอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นคราหนึ่ง 


 


 


สตรีอาภรณ์เขียวที่ถือถังน้ำอยู่นั้น อึ้งงันไปชั่วขณะ เมื่อจำได้ว่าเขาคือนายท่านรองสกุล ความยินดีก็พาดผ่านใบหน้าไป 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวใจเต้นไม่เป็นส่ำขึ้นมาทันใด 


 


 


สตรีผู้นี้ช่างงดงามหยาดเยิ้มเสียจริง ทั้งที่มิได้ประทินโฉมอันใด ทว่าใบหน้าอันโดดเด่นนี้กลับสามารถประทับลงไปในหัวใจได้จากการเห็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น 


 


 


ก่อนหน้านี้เขาเคยให้คนไปสืบมาแล้ว สตรีผู้นี้เป็นภรรยานอกเรือนของคหบดีผู้หนึ่งจริงๆ คหบดีผู้นั้นทำการค้าที่เมืองหลวงจึงได้ให้นางพำนักอยู่ที่นี่ 


 


 


เดิมเขาก็เคยคิดจะทำให้สตรีผู้นี้ตกมาอยู่ในมือของเขา ทว่าหลังจากเกิดเรื่องยุ่งยากวุ่นวายในจวนขึ้น เขาก็มิได้ใส่ใจเรื่องนี้อีก 


 


 


ทว่าวันนี้เมื่อได้พบสตรีผู้นี้ยืนอยู่ตรงหน้า ท่าทีเฝ้าคอยทั้งความยินดีที่แฝงในใบหน้างามนั้นอีก ทำให้นายท่านรองสกุลหลัวรู้สึกอดกลั้นเอาไว้มิได้อีกต่อไป เขาจึงก้าวเดินไปข้างหน้าโดยมิไยดีต่ออาภรณ์ที่เปื้อนเป็นวงนั้น 


 


 


ที่ทำให้คนแปลกใจยิ่งคือหลังจากที่สตรีผู้นี้นำน้ำสกปรกในถังสาดใส่มุมกำแพงเรียบร้อยแล้วก็วางถังน้ำลง แล้วเดินเข้ามาหาพร้อมทั้งทำความเคารพ “นายท่าน ข้ามีเรื่องอยากถามท่านสักหน่อยเจ้าค่ะ” 


 


 


สตรีชุดเขียวหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้น “ไม่ทราบว่าพี่ซูเหนียงไปที่ใดแล้ว ข้ากับพี่ซูเหนียงถูกชะตากัน ความสัมพันธ์ดุจดั่งพี่น้อง สองสามเดือนมานี้ข้ามิเห็นนางเลยจึงรู้สึกคิดถึงไม่น้อยเจ้าค่ะ” 


 


 


“ซูเหนียง?” นายท่านรองสกุลหลัวหน้าเปลี่ยนสีไปทันที เมื่อคิดถึงสตรีเปราะบางดุจเกสรบุปผาก็ได้แต่ถอนหายใจอยู่ในอก แล้วปรับอารมณ์ให้กลับมาสงบดั่งเดิมก่อนจะอย่างเก็บความรู้สึกอันล้ำลึกนั้นไว้ “ข้ารับนางไปอยู่จวนแล้ว” 


 


 


สตรีอาภรณ์เขียวจึงเผยความรู้สึกยินดีและอิจฉาออกมา ความอิจฉาที่ปรากฏขึ้นเพียงชั่วครู่นั้นกลับมิอาจลอดพ้นสายตาของนายท่านรองสกุลหลัวไปได้ 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวจึงยิ้มน้อยๆ ออกมา สายตาร่วงตกไปบนมือสตรีอาภรณ์เขียว 


 


 


มือขาวเนียนที่ควรอ่อนนุ่มนั้นกลับหยาบกร้านไปเล็กน้อย 


 


 


สตรีอาภรณ์เขียวปล่อยแขนลงแล้วทำความเคารพเขาอีกครา “ในเมื่อพี่ซูเหนียงสบายดี เช่นนั้นข้าก็วางใจ นายท่านเดินระวังด้วยเจ้าค่ะ” พูดพลางหมุนตัวเดินกลับเข้าเรือน 


 


 


“เดี๋ยวก่อน…” 


 


 


สตรีอาภรณ์เขียวหันหน้ากลับมามองนายท่านรองสกุลหลัวด้วยความสงสัย 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “งานหยาบๆ พวกนี้ เจ้าต้องทำเองด้วยหรือ?” 


 


 


สตรีอาภรณ์เขียวหน้าซีดไปทันที นางพยักหน้าแล้วหมุนกายเดินหนีไป 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวเดินก้าวยาวเข้าไปขวางนางไว้ 


 


 


“นายท่าน ท่าน…” ในดวงตาของสตรีอาภรณ์เขียวนั้นมีความขุ่นเคืองเล็กน้อย 


 


 


ช่างน่าเสียดายจริงๆ ที่สตรีผู้นี้เลือกติดตามคหบดีผู้หนึ่ง 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวทอดถอนใจอย่างไม่รู้ตัว ทั้งเผยรอยยิ้มอันอบอุ่นอ่อนโยน มิได้แสดงท่าทีวางอำนาจอย่างที่กระทำต่อซูเหนียง “เจ้ากับซูเหนียงรักใคร่กันดุจพี่น้อง ทั้งเจ้ายังมีบุญคุณช่วยชีวิตซูเหนียงไว้ ซูเหนียงเคยบอกข้า ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจอย่ายิ่ง หากเจ้ามีความลำบากใดก็พูดกับข้าได้ มิเช่นนั้นหากซูเหนียงทราบเข้าคงเป็นห่วงไม่น้อย” 


 


 


“คือ…” สตรีอาภรณ์เขียวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ใกล้ถึงวันตรุษเข้าไปทุกที ตามหลักแล้วสามีข้าก็ควรกลับมาได้แล้ว ทว่าสองเดือนมานี้กลับไม่มีข่าวคราวเลย หากนายท่านมิลำบาก จะรบกวนช่วยข้าสืบสาวเรื่องราวสักหน่อยได้หรือไม่?” 


 


 


“เรื่องนี้เล็กน้อยยิ่ง” นายท่านรองสกุลหลัวยิ้มรับ 


 


 


สตรีอาภรณ์เขียวจึงเล่าเรื่องของสามีตนให้เขาฟังอย่างละเอียด 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวหยิบถุงเงินออกมาส่งให้นาง “งานหยาบๆ เช่นนั้นเจ้าไม่ควรต้องทำมันอีก เจ้าเก็บไว้จ้างสาวใช้สักคนเถิด” 


 


 


มิใช่ว่าคนทั่วไปจะสามารถซื้อตัวสาวใช้น้อยหรือและสาวใช้ร่างกำยำได้ เพราะหากซื้อมาแล้วก็ต้องดูแลเรื่องอาหารการกิน ข้าวของเครื่องใช้ ยังมีเสื้อผ้าตามฤดูกาล วันตรุษก็ต้องมีรางวัลให้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนใช้จ่ายเงินไม่น้อย การจ้างมาทำงานชั่วคราวจึงเป็นที่นิยมมากกว่า 


 


 


“ก่อนหน้านี้ก็มีสาวใช้ร่างบึกผู้หนึ่ง สาวใช้น้อยสองคน เพียงแต่สามีข้าไม่กลับมาเสียทีจึงมิกล้าจ้างพวกนางต่อ” สตรีอาภรณ์เขียวผลักถุงเงินนั้นกลับไปและส่ายหน้ายืนยัน “เรื่องพวกนี้ข้าทำมานานแล้ว ไม่มีอันใดทำไม่ได้แล้ว เงินนี้ข้ามิอาจรับไว้ได้จริงๆ หากนายท่านมีข่าวคราวของสามีข้าในเร็ววันนี้ ข้าก็ซาบซึ้งยิ่งแล้ว” 


 


 


ครั้นเห็นนางยืนยันว่าไม่รับ นายท่านรองสกุลหลัวก็มิบังคับอันใดอีก เพียงรับรองกับนางว่าจะรีบสืบข่าวมาบอกนางให้เร็วที่สุด แล้วจากไปด้วยใจที่แสนอาวรณ์ 


 


 


กระทั่งกลับมาถึงจวน ในขณะที่กำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้า นางเถียนก็ให้คนมาเรียกเขา 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวจึงกลับไปเรือนซินหยวนอย่างจำใจหลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว 


 


 


“มีอันใดอีกเล่า?” 


 


 


นางเถียนเจ็บร้าวในใจขึ้นมาคราหนึ่ง 


 


 


แม้นยามนี้สามีนางจะไม่มีสาวใช้ทงฝังแม้เพียงคน ทว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาสามีภรรยากลับค่อยๆ จืดจางลงไปอย่างไม่รู้ตัว ดูเหมือนมันจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เกิดเรื่องซูเหนียง สตรีสารเลวผู้นั้นนั่นเอง 


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ขึ้นมา ใจของนางเถียนก็อึดอัดคับข้องขึ้นมาจนแทบทนไม่ไหว นางรู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยที่วันนั้นวู่วามเกินไป 


 


 


แค่อนุนอกเรือนผู้หนึ่ง ตั้งครรภ์แล้วอย่างไร ให้นางอยู่ที่นี่คลอดบุตรออกมาก็ไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลงเสียหน่อย แล้วเหตุใดถึงได้แข็งกระด้างปานนั้นเล่า 


 


 


“มีเรื่องอันใดกันแน่? ประเดี๋ยวข้าต้องออกไปข้างนอกอีก” นายท่านรองสกุลหลัวรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย 


 


 


นางเถียนทำปากยื่นคราหนึ่ง “ต้าหลัง…พวกเขาเป็นสามีภรรยากันอย่างสมบูรณ์แล้ว” 


 


 


แรกเริ่มนายท่านรองสกุลหลัวยังไม่มีท่าทีใด ต่อมาค่อยยกมุมปากขึ้นเอ่ยว่า “พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน เรื่องนี้อย่างไรก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในไม่ช้านี้อยู่แล้ว” 


 


 


“กลางวันแสกๆ ” นางเถียนเบ้ปากอย่างดูแคลน แล้วเอ่ยด้วยโทสะว่า “นางเจินช่างมีโชคนัก ชาคราก่อนนางก็มิได้ดื่ม” 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวยิ้มเยาะ “เดิมนั้นก็มิใช่ชาที่ทำให้คนตั้งครรภ์มิได้เสียหน่อย ดื่มหรือไม่มีอันใดสำคัญ?” 


 


 


ทั่วทั้งต้าโจว เขาทราบว่ามีเพียงยาที่ทำให้แท้งเท่านั้น ส่วนยาที่ทำให้เป็นหมันนั้นมิเคยได้ยินสักนิด ไม่รู้ว่านางเถียนจะทำเรื่องให้มันวุ่นวายไปไยกัน หากมิอยากให้นางคลอดนั้นมีวิธีอีกมากมาย 


 


 


“ท่านทราบอันใด ในชานั้นใส่ยาฤทธิ์เย็นเอาไว้ หากสตรีกินไปนานเข้า ภายในก็จะเย็นทำให้ยากแก่การตั้งครรภ์ แต่เห็นผลช้า หากต้องกินทุกวันก็เสี่ยงจะถูกจับได้ เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด” 


 


 


เหล็กดีควรนำไปตีมีด หมากตัวสำคัญเช่นนี้ต้องล้มเลิกไปช่างน่าเสียดายยิ่ง 


 


 


“รอสักหน่อยดีกว่า ยามนี้ยังมิใช่เวลาต้องร้อนใจ ข้ากลับรู้สึกว่าน้องสี่คอยจดจ้องข้าอยู่” นายท่านรองสกุลหลัวรู้สึกกลัดกลุ้มอยู่บ้าง 


 


 


“น้องสี่?” นัยน์ตานางเถียนไหวระริก “ท่านพี่ ข้าคิดเรื่องหนึ่งออกแล้ว” 


 


 


“เรื่องอันใด?” 


 


 


นางเถียนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากหัวเราะ “บุตรกับอนุผู้นั้นของน้องสี่ยังอยู่ที่เป่ยเหอมิใช่หรือ ยามนี้ก็ใกล้วันตรุษแล้ว ควรต้องรับกลับมาจวนแล้วกระมัง?” 


 


 


อนุที่ใช้ชีวิตเช่นภรรยาเอกมาตลอดกับบุตรอนุที่อายุน้อยกว่าเจ้าหกแค่เพียงเล็กน้อย หึๆ หากมาถึงคงสร้างความคึกคักให้ที่นี่ไม่น้อยเลย 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวจึงนึกขึ้นได้ เขาพยักหน้าเห็นด้วยทันที “พรุ่งนี้ตอนไปน้อมทักทาย เจ้าก็พูดกับฮูหยินผู้เฒ่าดูเถิด” 


 


 


นางเถียนรู้สึกมิยินยอมอยู่บ้าง “ท่านพี่ หากให้ข้าออกหน้า มิใช่ต้องล่วงเกินผู้อื่นหรอกหรือ?” 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวแค่นยิ้มเย็น “ข้าเป็นบุรุษ จะให้ยื่นมือไปสอดเรื่องเรือนหลังได้อย่างไร? ฮูหยินผู้เฒ่าคงได้ใช้ไม้เท้าตีข้าแน่! เจ้าสามกับภรรยาไม่เคยยุ่งเรื่องใดสักนิด ส่วนนางชีนั้นคงอยากจะให้สองแม่ลูกอยู่นอกจวนจนตายด้วยซ้ำ หากเจ้าไม่พูด เจ้าคิดว่าพวกเขาจะพูดหรือไม่?” 


 


 


“แต่…” นางเถียนยังรู้สึกลังเลอยู่บ้าง 


 


 


นางแสร้งเป็นคนดีมานานเกินไป จึงมิอาจกลับตัวทันในเวลากระชั้นชิดเช่นนี้ 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวจึงเอ่ยอย่างไม่เห็นเป็นสิ่งใดว่า “เวลาเปลี่ยน ทุกอย่างย่อมแปรผัน เกรงว่าต่อไปเราสองคนจะไม่มีแม้แต่ที่ยืน ข้าดูออกว่าต้าหลังระแวงเรามานานแล้ว มิเช่นนั้นเขาคงไม่มีทางสนิทสนมกับน้องสี่ที่หายตัวไปตั้งหลายปีมากกว่าข้าผู้เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็กแน่!” 


 


 


ตอนนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้ว เขามองผิดไปจริงๆ 


 


 


“ความหมายของท่านพี่คือ…” 


 


 


“ผู้หนึ่งหน้าแดงเขินอาย ผู้ต้องหน้าขาวดื้อด้าน ละครฉากนี้จึงจะแสดงต่อไปได้” 


 


 


เขาเป็นบุรุษทั้งยังเป็นขุนนางในราชสำนัก ชื่อเสียงมิอาจเสียหาย แต่เพราะเรื่องของซูเหนียงจึงทำให้เขาผู้ที่เห็นชัดๆ ว่าจะได้เลื่อนขั้นกลับถูกลดตำแหน่งจากหน่วยงานทหารไปอยู่ที่ศาลหงหลูสถานที่อันทำให้คนรู้สึกเดือดดาลยิ่งนั้น 


 


 


“ข้าเข้าใจแล้ว” 


 


 


เมื่อฟ้าเริ่มมืด ประตูใหญ่เรือนชิงเฟิงกำลังจะลงกลอนปิดประตู กลับมีคนมาเคาะเสียก่อน 


 


 


ไม่นานไป๋เสาก็เดินเข้ามาด้วยยใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย “ต้าไหน่ไหน่ เรือนหน้าส่งสาวใช้นำยามมามอบให้เจ้าค่ะ” 


 


 


“ยา?” 


 


 


ไป๋เสายิ่งหน้าแดงขึ้นไปอีก “ซื่อจื่อให้คนส่งมาที่จวน บอกว่าหากทาให้ท่านแล้ว อาการปวดต่างๆ ก็จะดีขึ้นเจ้าค่ะ” 


 


 


เจินเมี่ยวหน้าแดงเถือกดุจถูกไฟไหม้ขึ้นมาทันที ความรู้สึกแปลกแปร่งทั้งหวานล้ำเกิดขึ้นในใจ นางนิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดก็เอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง “เอามาให้ข้าเถิด” 


 


 


ไป๋เสาเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าลง “บ่าวทาให้ท่านเองเจ้าค่ะ” 


 


 


“ไม่ ไม่ต้อง ข้าทำเอง” เจินเมี่ยวรีบไล่คนออกไป นางกำขวดกระเบื้องขาวเล็กๆ ในมือแน่น 


 


 


เจินเมี่ยวใช้เล็บป้ายยาออกมาทาแผ่วเบา บริเวณที่บวมแดง แสบร้อนเหล่านั้นกลับเย็นสบายยขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ 


 


 


เมื่อเจินเมี่ยวคิดถึงเรื่องที่คนผู้นั้นกระทำเหลวไหลไปเมื่อตอนกลางวัน ใจก็เต้นตึกตักขึ้นมา นางเองก็มิทราบเช่นกันว่าเขินอายหรือรู้สึกหวานล้ำมากกว่ากันแน่ 


 


 


ที่ผ่านมาเพราะอาหารเลิศรสจึงคิดถึงคู่หูที่สามารถกินได้เช่นเดียวกันตน แต่ยามนี้เมื่อคิดถึงเขากลับมิได้คิดว่าคนทั้งสองจะกินอันใดด้วยกันดี ในหัวมีแต่ภาพบ่ากว้าง เอวสอบ ท่อนขายาวของเขาปรากฏขึ้นมา ทั้งเม็ดเหงื่อแวววาวนั้นอีก 


 


 


จบกัน จบกัน นางจักต้องลามกกว่าสตรีทั่วไปสักหน่อยอยู่เป็นแน่ 


 


 


เมื่อคิดว่าเป็นเช่นนี้เจินเมี่ยวก็รู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้าง จึงรีบหยิบหมอนขึ้นมาปิดหน้าตนไว้ เพียงครู่ความง่วงงุนก็จู่โจมเข้ามา นางจึงหลับไปอีกครา 


 


 


ทว่าการหลับครานี้ ในฝันอันขมุกขมัวนั้นช่างเหลวไหลยิ่ง นางถึงกับฝันถึงเรื่องเมื่อกลางวันนี้ 


 


 


เมื่อตื่นขึ้นในวันที่สอง เจินเมี่ยวก็รู้สึกว่าตนดั่งคนต้องคำสาป 


 


 


นางจักต้องมีอันใดผิดปกติไปแน่! 


 


 


คิดไปคิดมา เจินเมี่ยวก็ตัดสินใจว่าจะหาโอกาสไปพบเจินเหยียนเพื่อสอบถามดูสักหน่อย 


 


 


เมื่อเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยแล้วก็นำสาวใช้สองคนไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือนอี๋อาน 


 


 


ปกติผู้ที่มาเช้าที่สุดจะเป็นนางเถียน แต่วันนี้นางกลับมาช้าไปเล็กน้อย เมื่อเดินเข้ามาในห้องก็สอบถามสารทุกข์สุกดิบไม่กี่คำก็เอ่ยเย้าขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อวานสะใภ้ส่งคนไปเอาน้ำแกงที่ห้องครัวใหญ่ จึงได้ยินมาว่าหลานสะใภ้ซื้อเนื้อแพะมาไม่น้อย บอกว่าจะทำหม้อไฟ หม้อไฟหลานสะใภ้มีรสชาติเช่นไร? ตอนนั้นข้ารู้สึกสนใจยิ่งจึงส่งคนไปถามที่เรือนชิงเฟิง ต่อมาจึงทราบว่าต้าหลังก็อยู่ที่นั่นด้วยจึงมิได้เข้าไปรบกวน”  

 

 


ตอนที่ 242 โต้แย้งไปมา

 

“อาสะใภ้รองก็ชอบกินหม้อไฟหรือเจ้าคะ?” เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย


 


 


นางเถียนบิดเบ้มุมปากคราหนึ่ง


 


 


ในใจก็กล่าวว่านางเจินช่างหน้าหนาเหลือเกิน ประเด็นสำคัญในวาจานี้ของนางอยู่ที่การกินหม้อไฟหรือ? เห็นชัดว่าหมายถึงเรื่องที่ต้าหลังรีบกลับมา แต่กลับปิดประตูอยู่กับนางเป็นค่อนวันต่างหาก!


 


 


หากเป็นสตรีผู้มีกริยางดงามได้ฟังสิ่งที่นางพูดคงเขินอายจนแทบสิ้นชีพไปแล้ว


 


 


นางเถียนเม้มริมฝีปากเผยยิ้ม “มิใช่เช่นนั้น อากาศหนาวเช่นนี้ทั้งด้านนอกหิมะก็ตกไม่หยุด การกินหม้อไฟนั้นเหมาะอย่างยิ่ง ทุกคราที่ฤดูกาลนี้มาถึงในจวนก็มักจะทำเนื้อต้มผักดอง เนื้อแพะต้มหัวไชเท้า และต้มเนื้อสุนัข แต่หม้อไฟเมื่อวานกลับมีผักเครื่องเคียงมากมาย ฟังแล้วรู้สึกแปลกใหม่ยิ่ง อาสะใภ้ว่า ใบหน้าหลานสะใภ้ออกจะแดงระเรื่อกว่าทุกๆ วัน คิดว่าน่าจะเพราะกินหม้อไฟที่แสนอร่อยนั้นเป็นแน่”


 


 


เจินเมี่ยวหน้าแดงขึ้นมา ตามด้วยอาการวาบหวามในอก หลังจากนั้นจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปรกติไป


 


 


เหตุใดนางเถียนจึงเอาแต่พูดถึงเรื่องหม้อไฟ


 


 


พี่รองเคยบอกไว้ หากคนผู้หนึ่งเอาแต่เน้นย้ำถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง นั้นย่อมหมายความว่าต้องการเชื่อมโยงไปสู่นัยอื่นใดบางอย่าง


 


 


เมื่อวาน…หม้อไฟเมื่อวานนั้นกินไปได้เพียงครึ่งก็…


 


 


เจินเมี่ยวคิดถึงตรงนี้หน้าก็ร้อนดุจไฟเผา ตามติดด้วยความไม่พอใจหลายส่วน


 


 


ตามธรรมเนียมของยุคสมัยนี้นั้น หากเรื่องเมื่อวานถูกเล่าลือออกไปย่อมต้องทำให้คนหัวเราะขบขันเป็นแน่ ทว่านางเป็นอาสะใภ้กลับเอาเรื่องนี้มาพูดต่อหน้าคนทั้งหลายเต็มห้องหมายความว่าเช่นใดกัน?


 


 


อีกอย่าง หากสาวใช้ที่เข้ามาในเรือนชิงเฟิงได้ก็มีแต่สาวใช้ที่ติดตามนางมาจากจวนปั๋ว แล้วนางเถียนทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร?


 


 


เจินเมี่ยวคิดถึงตอนที่อยู่ในจวนเจี้ยนอานปั๋วขึ้นมา เพราะเสี่ยวฉานไปส่งกล่องเครื่องประดับให้เจินจิ้งที่เรือนเซี่ยเยียนจึงเกิดสงสัยทำให้มุดเข้าไปในช่องสุนัขลอดข้างกำแพงจึงทราบเรื่องบางอย่างมา


 


 


หรือเรือนชิงเฟิงจะมีที่ที่ดูแลไม่ทั่วถึงอยู่ทำให้คนสามารถมุดรอยรั่วนั้นเข้าไปได้?


 


 


เจินเมี่ยวตัดสินใจว่าหากกลับไปจะสั่งให้คนไปตรวจสอบโดยละเอียด อย่างว่าแต่ช่องสุนัขลอดเลย ต่อให้เป็นรูหนูนางก็ต้องอุดไว้ให้มิด


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็นึกถึงสาวใช้น้อยที่ฉลาดคล่องแคล่วแต่ปากไวผู้นั้นขึ้นมา


 


 


เสี่ยวฉานมีอุปนิสัยสะเพร่าอยู่บ้างแต่เรื่องการสอบถามข่าวคราวนั้นเรียกได้ว่ามีพรสวรรค์ยิ่ง หากมิใช่เพราะกระทำผิดซ้ำซาก อบรมนางดีๆ ถึงยามนี้ก็คงมีประโยชน์ไม่น้อย


 


 


เมื่อคิดถึงเจี้ยงจูที่มาแทนเสี่ยวฉาน เจินเมี่ยวก็ต้องถอนหายใจแผ่วเบาโดยไม่รู้ตัว


 


 


เจี้ยงจูหน้าตาสะสวยทั้งมีความสามารถ อายุเท่านี้แต่กลับทำทุกอย่างได้ดีในทุกๆ ด้าน นางเองก็พอใจมาก


 


 


ทว่าก็เป็นเพียงความพอใจในความสามารถอันเก่งกาจของสาวใช้ผู้หนึ่งเท่านั้น หากบอกว่าชอบ กลับเทียบไม่ได้กับชิงเกอและคนอื่นๆ


 


 


เจินเมี่ยวเองก็รู้สึกว่าตนใช้ความรู้สึกในการตัดสินมากเกินไป เสี่ยวฉานนั้นเป็นสาวใช้กลุ่มแรกที่นางเลือกเองกับมือและเป็นสาวใช้กลุ่มแรกของนางหลังจากมาอยู่ที่นี่ด้วย มีเพียงเจี้ยงจูที่มาแทนเสี่ยวฉาน  แม้นเป็นเพราะว่าเสี่ยวฉานทำผิดแต่อย่างไรนางก็ยังรู้สึกไม่สนิทใจนัก


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มออกมา คิดว่าหากพี่รองทราบจักต้องด่านางที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้


 


 


เจินเมี่ยวกดข่มความคิดเหล่านั้นไว้ แล้วมองนางเถียนผู้มีรอยยิ้มอันแสนเมตตาแล้วส่งยิ้มเช่นเดียวกันกลับไปให้ “อาสะใภ้รองพูดถูกเจ้าค่ะ อากาศหนาวเช่นนี้เหมาะกับการกินเนื้อแพะบำรุงร่างกายยิ่ง ใบหน้าข้าจึงดูแดงระเรื่ออย่างไรเล่าเจ้าคะ แต่สีหน้าท่านกลับดูไม่ค่อยดีนัก กลับไปข้าจะเขียนวิธีทำหม้อไฟส่งไปให้ที่เรือน ท่านจะได้ลองดูบ้างดีหรือไม่เจ้าคะ?”


 


 


รอยยิ้มบนหน้านางเถียนแข็งค้างไปทันที นางขยับปากเอ่ยว่า “วิธีการทำอาหารเป็นความลับของตระกูลที่สืบต่อกันมา อาสะใภ้จะรับไว้ได้อย่างไรกัน”


 


 


แต่ในใจกลับโกรธแทบตายแล้ว นางเจินต้องการตบหน้านางใช่หรือไม่ ตั้งแต่เกิดเรื่องสตรีชั่วช้าผู้นั้นเมื่อสองสามเดือนก่อน ทำให้ท่านพี่ต้องสูญเสียตำแหน่งที่ควรได้ นางเองก็ถูกกักบริเวณ คนทั่วทั้งจวนมีผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าพวกเขาสามีภรรยามีปัญหากันอย่างหนัก


 


 


สีหน้าไม่ดี…นางก็เคยหน้าแดงเช่นกัน!


 


 


ถุยๆ นางคิดอันใดอยู่กันแน่ เหตุใดจึงทำตัวไร้ยางอายเช่นเดียวกับหลานสะใภ้ผู้นี้ได้!


 


 


ครั้นนางเถียนคิดถึงเรื่องที่ไม่ควรคิดก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันใด ทำให้คนทั่วทั้งห้องหันไปมองนางจนนางรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมากกว่าเดิม


 


 


นางเจินจักต้องเป็นดาวพิฆาตของนางแน่ ทุกคราที่เปิดปากล้วนลากนางลงคลองได้ทุกทีไป!


 


 


เจินเมี่ยวหันหน้าไปอีกทางด้วยรอยยิ้มตาหยี แล้วเอ่ยแง่งอนว่า “ท่านย่า ท่านดูอาสะใภ้รองพูดเถิด ข้าแต่งเข้ามาแล้ว จวนกั๋วกงก็เป็นบ้านของข้ามิใช่หรือ ต่อให้วิธีทำอาหารจะล้ำค่าเพียงใด ก็คงไม่มากพอให้เก็บงำไว้แม้กระทั่งกับคนในตระกูลกระมัง?”


 


 


นางอายุยังน้อย ทั้งใบหน้าก็ยังมีเค้าของเด็กสาวอยู่ บวกกับเมื่อวานได้กลายเป็นภรรยาของหลัวเทียนเฉิงอย่างสมบูรณ์แล้ว ประกายในดวงตากลับเจิดจ้าจนยากจะปิดบังไว้ได้


 


 


ท่าทีน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ามีหรือจะไม่ชมชอบ


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าจึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “หลานสะใภ้พูดถูก วันมะรืนก็เป็นวันที่สิบแล้ว เราทุกคนในตระกูลมาคงต้องลองกินหม้อไฟของเจ้าดูสักหน่อย”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าตั้งใจเน้นคำว่า ‘ทุกคนในตระกูล’ กล่าวจบก็หันไปมองนางเถียนคราหนึ่งด้วยความรู้สึกไม่พอใจอยู่หลายส่วน


 


 


คนเราเมื่ออายุมากขึ้นย่อมหวังให้คนในตระกูลเกิดความสามัคคีกัน ยิ่งขนบธรรมเนียมของต้าโจวหากบิดามารดามิให้แยกจวนก็ยังคงเป็นตระกูลเดียวกันอยู่ คำว่าความลับของตระกูลที่นางเถียนเอ่ยขึ้นนั้นแม้นเพื่อแสดงความเกรงใจ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วก็รู้สึกขัดใจยิ่งอยู่ดี


 


 


นางยังไม่ตายเสียหน่อย คิดจะแยกจวนแล้วหรือ?


 


 


มิถูก…หากแยกจวนจริงๆ นอกจากต้าหลังแล้ว บุตรทั้งสามต่างก็ต้องแยกออกไปหมด เมื่อไม่มีบารมีของจวนกั๋วกงคอยคุ้มครอง ชีวิตก็คงมิได้มีเกียรติมีศักดิ์เท่ายามนี้แน่


 


 


มิต้องกล่าวถึงอื่นใด แค่เรื่องงานมงคลของหลานชายหลานสาวก็ทราบแล้ว การกำหนดก่อนแยกจวนกับหลังจวนนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


 


 


หากมิได้แยกจวนก็เป็นคุณชายคุณหนูของจวนเจิ้นกั๋วกง หากแยกจวนไปแล้วก็เป็นเพียงบุตรชายบุตรสาวของขุนนางขั้นห้าขั้นหก จะนับเป็นอันใดได้เล่า?


 


 


บรรดาบุตรชายลูกสะใภ้มีความปรารถนาบางอย่างอยู่ในใจ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ได้แต่ลืมตาข้างปิดตาข้าง แต่หากหลงลืมฐานะตนเพียงเพราะความอยากบางอย่างของตน นั้นย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สมควรยิ่ง


 


 


แต่ก่อนนางเถียนก็มิใช่คนเช่นนี้ อำนาจทำให้คนตาบอดงั้นหรือ?


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเหลือบมองนางเถียนอีกคราหนึ่ง ครานี้แววตาดูดุดันยิ่งขึ้น


 


 


นางเถียนใบหูแดงเถือกขึ้นมา


 


 


นางบอกแล้วว่าตัวอัปรีย์นั้นทำนางย่ำแย่ลงทุกที!


 


 


นางเผยอปากคิดจะกล่าวประชดอีกสักสองประโยค แต่กลับถูกคุณหนูใหญ่หลัวจือหยาที่อยู่ด้านหลังดึงแขนเสื้อไว้


 


 


อาจเพราะเผชิญกับเรื่องสะเทือนใจติดต่อกัน ทำให้ความสะเพร่า ไม่สำรวมของหลัวจือหยาค่อยๆ หายไป เมื่อมองนางจะเห็นเพียงแววตาอันล้ำลึก ท่าทีสง่างาม ทำให้ดูเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์มากขึ้นกว่าแต่ก่อนยิ่ง


 


 


แต่ท่าทีสงบนิ่งของนางทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายโทสะลงไม่น้อย แต่ก็ทำให้คนรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง


 


 


นางเถียนกลับรักใคร่บุตรสาวผู้นี้ที่สุด โดยเฉพาะครั้งนั้นที่นางถูกนายท่านรองตีเพราะตน ยามนี้ก็กำลังจะต้องแต่งออกไปยังแดนไกลอีก


 


 


หลัวจือหยาประคองนางไว้เช่นนี้ทำให้นางเถียนมีสติคืนมา จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าคิดได้รอบคอบนัก ปากนี้ของสะใภ้สมควรถูกตบนัก เพราะมัวแต่คิดว่าเคล็ดลับการทำอาหารนั้นหลานสะใภ้นำติดตัวมาจากตระกูลมารดา ภายหน้าก็ต้องมอบต่อแก่บุตรสาว แต่ลืมไปว่ามันมิใช่ปิ่นทองกำไลหยกที่ให้คนผู้หนึ่งไปแล้วจะให้คนอีกผู้หนึ่งต่อมิได้ สะใภ้คิดว่าเคล็ดลับเหล่านี้มีค่ามากกว่าสินเดิมใดๆ เสียอีกเจ้าค่ะ”


 


 


สิ่งที่สืบทอดกันมาในตระกูลไม่ว่าจะเป็นตำรา เคล็ดลับอาหารเครื่องดื่ม การชงชา การปรุงน้ำอบล้วนนับเป็นสินเดิมได้ทั้งสิ้น เคยมีบุตรสาวหลายตระกูลที่มิได้มีที่ดิน เงินทองก็ไม่มาก แค่นำตำราที่คัดลอกด้วยลายมือบรรจุใส่**บสักสองสามใบแต่งเข้าตระกูลฝ่ายชาย แต่สุดท้ายกลับได้รับความรักใคร่เอ็นดูเป็นกรณีตัวอย่างมาแล้ว


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าฟังนางเถียนกล่าวเช่นนี้จึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย นางจึงพยักหน้ารับ


 


 


นางเถียนกลับยิ้มพลางเอ่ยขึ้นอีกว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อพูดถึงการกินอาหารพร้อมหน้าทั้งตระกูล สะใภ้ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้”


 


 


กล่าวถึงตรงนี้ก็ลอบมองนางชีที่นิ่งเงียบมาตลอดคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “วันตรุษใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ต่อไปจวนเราก็คงยุ่งขึ้นเรื่อยๆ ถนนหนทางก็ยากแก่การเดินทางด้วยเช่นกัน เรารีบส่งคนไปที่                เหอเป่ยก่อนสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ?”


 


 


นางชีเหลือบตาขึ้นมองนางเถียนครู่หนึ่ง


 


 


สายตาทั้งสองประสานกันคราหนึ่ง แล้วนางเถียนก็เอ่ยต่อว่า “ตามหลักแล้วสะใภ้มิควรเอ่ยเรื่องนี้ แต่ยามนี้สะใภ้ดูแลเรื่องนี้อยู่ หากท่านเห็นสมควร สะใภ้ก็จะได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่านิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “สมควรส่งคนไปรับได้แล้วล่ะ นางเถียน เจ้าจัดการเรื่องนี้ได้เลย”


 


 


เมื่อเอ่ยวาจานี้ออกไป ทุกคนก็หันไปมองที่นางชีเป็นตาเดียว


 


 


ที่ผ่านมานางชีใช้ชีวิตอย่างคนไร้ตัวตนในจวนกั๋วกงมาตลอด มิใช่ว่ามีคนรังแกนาง เพียงแต่นางเป็นสตรีตัวคนเดียวทั้งยังมีบุตรอีกคน นางจึงอยู่อย่างเจียมตัว ด้วยกลัวว่าหากปรากฏตัวขึ้นจะทำให้บรรยากาศอันคึกคักเต็มไปด้วยความอัปมงคลจึงได้ปลีกตัวออกมาเสมอ


 


 


ทว่าหลังจากนายท่านสี่กลับมา แม้นอุปนิสัยมิใคร่พูดจายังคงเหมือนเดิม ทุกครั้งที่มาน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่านางก็ยังคงพูดน้อยเช่นเดิมแต่สีหน้ากลับดีขึ้นเรื่อยๆ ผู้มีตาล้วนมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของนางทั้งสิ้น


 


 


นางเถียนอดคิดถึงคราก่อนที่สาวใช้มารายงานขึ้นมามิได้


 


 


ในช่วงที่นายท่านสี่กลับมาและยังมิได้ไปอยู่ที่ห้าค่าย เขาจะอยู่เป็นเพื่อนนางชีทุกวัน ได้ยินว่าทุกวันยามค่ำคืนล้วนต้องเรียกบ่าวไพร่ยกถังน้ำไปให้ บางคราก็เรียกถึงสองสามครั้ง…


 


 


ความเจ็บแปลบพุ่งขึ้นในใจนางเถียนทันที


 


 


เมื่อครานางยังเป็นสาวน้อย ท่านพี่ก็มิเคยเป็นเช่นนี้เลยด้วยซ้ำ!


 


 


หึ ไม่ทราบว่าหากอนุที่มีบุญคุณช่วยชีวิตนายท่านสี่พาบุตรชายกลับมาที่นี่ แล้วจะเป็นเช่นไร?


 


 


นางชีคล้ายมิรับรู้ถึงความคิดอันมากหลายของทุกคน นางยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติออกมา “ขอบคุณพี่สะใภ้รองที่ใส่ใจ ข้าได้ยินท่านพี่บอกว่าจังเกอร่างกายอ่อนแอ ขอพี่สะใภ้รองช่วยกำชับกับผู้ไปรับสักหน่อยว่าให้ดูแลอย่างใกล้ชิดด้วย”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าลอบพยักหน้าพอใจในท่าทีของนางชี


 


 


สมแล้วที่มาจากตระกูลผู้ดี มิได้ใจคอคับแคบเช่นคนทั่วไปสักนิด


 


 


เป็นนางเองที่คิดมากไป นางชีกับเจ้าสี่มีความรักให้กันอย่างมั่นคงมาตั้งแต่หนุ่มสาว หากไม่มีความเข้มแข็งสักนิด เมื่อได้ยินข่าวการตายของสามี เกรงว่าคงได้หาเชือกมาแขวนคออย่างสตรีอ่อนแอทั่วไปแล้ว


 


 


มิใช่สตรีทุกคนที่จะมีความกล้าคลอดบุตรที่ไร้บิดาออกมาได้


 


 


เมื่อมิเห็นท่าทีอย่างที่ตนคิดไว้ นางเถียนก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยจึงอดมองนางชีอีกสักครามิได้


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือให้ทุกคนออกไป เหลือเพียงเจินเมี่ยวที่ให้อยู่ก่อน


 


 


สำหรับเจินเมี่ยวแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่านั้นชมชอบนางไม่น้อย


 


 


คนที่อายุมากแล้วล้วนเชื่อเรื่องชะตาฟ้าลิขิต ตั้งแต่หลานสะใภ้ผู้นี้แต่งเข้ามา ต้าหลังก็ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ พริบตานางก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระบรมวงศานุวงศ์เพราะได้ช่วยชีวิตองค์หญิงเอาไว้


 


 


การเป็นส่วนหนึ่งของพระบรมวงศานุวงศ์นั้นมีข้อดีกว่าเชื้อพระวงศ์จริงๆ เสียอีก


 


 


ผู้สืบเชื้อสายในพระบรมวงศานุวงศ์นั้น เมื่อพบเจอจักต้องมีระยะห่างที่พอเหมาะ ทำให้เหนื่อยใจไม่น้อย


 


 


แต่อย่างหลานสะใภ้ของนางนั้น มิจำเป็นต้องปฏิบัติตัวซับซ้อนอันใดต่อนางเพียงเพราะฐานะเปลี่ยนไป ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันยากจะตัดขาดได้กับจวนหย่งอ๋อง


 


 


หย่งอ๋องเป็นผู้ใดหรือ? เขาเป็นน้องชายแท้ๆ ของจักรพรรดิ เป็นบุตรแท้ๆ ของไท่โฮ่ว ทั้งเป็นบิดาแท้ๆ ขององค์หญิงที่เจินเมี่ยวช่วยไว้ และเป็นบุรุษเจ้าสำราญที่ไม่คิดแย่งชิงอำนาจใดๆ สักนิด


 


 


จักรพรรดิมีเพียงความรักให้เขาเท่านั้น ต่อไปไม่ว่าองค์ชายพระองค์ใดจะเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ก็มิกล้าจะลงดาบกับเสด็จอาผู้นี้แน่


 


 


ผลประโยชน์จากเรื่องพวกนี้มิจำเป็นต้องเอ่ย แต่ที่ฮูหยินผู้เฒ่าพอใจที่สุดคือการหายตัวไปของเจินเมี่ยวกลับนำพาบุตรชายคนเล็กของตนกลับมาด้วย


 


 


แค่จุดนี้ต่อให้เจินเมี่ยวทำสิ่งใดไม่เหมาะสม ฮูหยินผู้เฒ่าก็มิคิดจะไปต่อว่าอันใดแล้ว นี้เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับคนทั่วไป


 


 


“ท่านย่า หลานสะใภ้จะนวดขาให้ท่านเองเจ้าค่ะ” ไม่ทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่าให้นางอยู่เพราะเหตุใด เจินเมี่ยวเพียงแต่หยิบไม้นวดขึ้นมาทุบให้ฮูหยินผู้เฒ่า

 

 

 


ตอนที่ 243 ธรรมเนียมกฎเกณฑ์

 

เจินเมี่ยวนั้นมีแรงมากกว่าคุณหนูทั่วไปนัก ทั้งมิคุ้นชินกับการปรนนิบัติผู้อื่น เมื่อทุบลงคราหนึ่ง          ฮูหยินผู้เฒ่าผู้น่าสงสารก็เกือบจะกระอักโลหิตออกมา นางได้แต่ไอแค่กๆ โดยแรง


 


 


“ท่านย่า ข้าทำไม่ดีใช่หรือไม่?” เจินเมี่ยวเห็นชัดว่าสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ามิได้มีท่าทีสบายนัก จึงเอ่ยถามอย่างลังเล


 


 


หลานสะใภ้มีความกตัญญูช่วยทุบนวดขาให้ ทั้งมิใช่สาวใช้ที่เชี่ยวชาญในการปรนนิบัติ ด้วยอุปนิสัยของฮูหยินผู้เฒ่าไหนเลยจะเอ่ยต่อว่าในความกตัญญูของหลานสะใภ้ จึงมิได้ตำหนิอันใดทำเพียงกัดฟันเอ่ยไปคำว่า “ดี…”


 


 


เจินเมี่ยวค่อยๆ ก้มหน้าลง แล้วผ่อนแรงลงให้อ่อนโยนขึ้น ครั้นเงยหน้าขึ้นมองฮูหยินผู้เฒ่าก็เห็นว่ามีท่าทีผ่อนคลายขึ้นจริงๆ


 


 


ครานี้เจินเมี่ยวจึงรู้ว่าตนทุบนวดแรงไปจริงๆ ในใจรู้สึกผิดไม่น้อยจึงเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “ท่านย่า หลานสะใภ้ผิดเองที่มือเท้าเก้งก้างเช่นนี้”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าชอบที่นางเป็นคนเปิดเผย ไม่ถือตัว มิเหมือนเด็กสาวทั่วไปที่การกล่าวขออภัยประดุจดั่งต้องการชีวิตตน กลัวว่าหากยอมรับผิดก็จะให้ตนดูด้อยกว่าผู้อื่น


 


 


แต่กลับไม่ทราบว่าการทำผิดแล้วปกปิดไว้ต่างหากจึงสูญเสียความสง่างามไป


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงตบมือเจินเมี่ยวคราหนึ่งแล้วยิ้ม “มิเป็นไร ตอนนี้ก็ดีมากแล้ว”


 


 


เจินเมี่ยวจึงยิ้มอย่างสบายใจขึ้น


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องรอยยิ้มของนาง แล้วลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “หลานสะใภ้ สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้ ย่ารู้ว่าย่ามิควรพูด แต่เจ้ายังเยาว์นัก ทั้งยังไม่มีแม่สามีคอยดูแล ต้าหลังก็กำพร้ามาตั้งแต่เยาว์ เรื่องภายในเรือนมากมายไม่มีผู้บอกกล่าว ดังนั้นย่าจึงต้องพูดมากสักหน่อย”


 


 


มือที่เคลื่อนไหวเจินเมี่ยวพลันเคลื่อนไหวช้าลง นางค่อยๆ หุบยิ้มลงแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่าย่าบอกกล่าวหลานสะใภ้นั้นเป็นวาสนาอันดีของหลานสะใภ้ยิ่ง อย่างไรก็ดีกว่าหลานสะใภ้ไปทำตัวขายหน้าให้คนนอกตำหนิ หากหลานสะใภ้มีส่วนใดที่บกพร่อง ขอให้ท่านย่าพูดได้เลยเจ้าค่ะ แม้นจะตีสักครา หลานสะใภ้ก็ยินดี”


 


 


นางทราบว่าตนเองนั้นมีข้อบกพร่อง หากมีผู้อาวุโสผู้รู้ธรรมเนียมยินดีสั่งสอน นางก็ไม่รู้สึกต่อต้านแต่อย่างใด


 


 


คนผู้หนึ่งเอ่ยวาจาด้วยใจจริงหรือไม่ ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมดูออก ยามนั้นจึงรู้สึกสบายใจอย่างหาใดเปรียบ นางพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นย่าก็ขอเอ่ยคำที่ทำให้คนเบื่อหน่ายสักหน่อยเถิด หลานสะใภ้ เจ้ากับต้าหลังอายุยังน้อย ทั้งยังมีความรู้สึกดีๆ แก่กันอีก เรื่องนั้นมิต้องกล่าวถึง เพียงแต่ธรรมเนียมปฏิบัติที่ควรให้ความสำคัญก็ยังต้องทำอยู่เช่นเดิม”


 


 


เมื่อได้ยินนางเถียนเอ่ยว่าต้าหลังกลับมาจวน ทั้งยังขลุกอยู่กับภรรยาอยู่ค่อนวัน แม้นนางจะส่งคนไปหาก็มิได้พบ เมื่อขบคิดครู่หนึ่งก็ทราบทันทีว่าเรื่องราวเป็นเช่นใด


 


 


ความจริงการเกิดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ขึ้นคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวที่มีความรักให้แก่กันนั้นมิใช่เรื่องแปลกอันใด หากไม่มีอันใดก็แล้วไปแต่หากถูกผู้คนทราบและนำไปเล่าลือ นั้นกลับกลายเป็นอีกเรื่อง


 


 


เจินเมี่ยวหน้าแดงกระทั่งมือหยุดนิ่งไปเสียนานแล้ว ในใจก็ได้แต่ก่นด่าคนอีกผู้หนึ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย


 


 


เจ้าคนชั่วช้านั้นทำร้ายจนคนเกือบตาย แต่ตนเองกลับเดินสะบัดก้นเดินหนีไป ทิ้งให้นางต้องขายหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า แม้นจะมีหนังหน้าสองชั้นก็ยังมิอาจทนรับกับความอับอายนี้ได้


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ากลับหัวเราะออกมา


 


 


นางกังวลมาตลอดว่าหลานชายคนโตจะมีอันใดผิดปรกติ ดูท่าคงกังวลมากเกินไปแล้ว


 


 


ส่วนเรื่องเหลวไหลที่เด็กสองคนนี้ทำ จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์เท่านั้น


 


 


ทว่าเรื่องธรรมชาตินี้ หากยกเอาธรรมเนียมทิ้งไปไม่ไยดี สุดท้ายก็จะทำร้ายผู้อื่นและตัวเอง


 


 


“หลานสะใภ้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเราถึงต้องเรียนรู้ขนบธรรมเนียม? โดยเฉพาะสตรี”


 


 


เจินเมี่ยวเบิกตากว้าง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าจึงเปลี่ยนหัวข้อไปไกลเพียงนั้น


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าพูดต่อไป คล้ายไม่ต้องการฟังคำตอบจากนาง “ก่อนหน้านี้ ย่าเองก็ไม่ชอบสวมชุดแดงชอบเพียงชุดทหาร และเกลียดธรรมเนียมกฎเกณฑ์ต่างๆ อย่างยิ่ง ตอนที่ยังเป็นคุณหนูอยู่นั้นยังพอทำเนา ภายหลังติดตามท่านปู่เจ้าไปออกรบฆ่าฟันศัตรูก็มิได้มากพิธีอันใด แต่หลังจากทุกอย่างสงบลงก็ต้องเรียนรู้ไม่น้อย ต่อมาจึงค่อยๆ เข้าใจว่า การเรียนรู้กฎธรรมเนียมมิใช่เพื่อให้มันมาบีบบังคับสตรี แต่เพื่อให้สตรีรู้ว่าจะใช้มันอย่างไรให้ตัวเองอยู่ได้ง่ายขึ้น ต่อให้มิอาจเก่งถึงขั้นใช้ธรรมเนียมกักขังศัตรูเอาไว้ แต่อ่างน้อยก็ไม่มีทางทำตัวผิดธรรมเนียมกระทั่งถูกผู้อื่นใช้มันเป็นอาวุธมาทำร้ายเจ้า”


 


 


วาจานี้ของฮูหยินผู้เฒ่านั้นเอ่ยออกมาจากใจ เจินเมี่ยวย่อมรับน้ำใจอย่างแน่นอน นางจึงรีบเอ่ยขอบพระคุณทันที “วาจาของท่านย่า หลานสะใภ้จะจดจำไว้เจ้าค่ะ”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าจึงยิ้มออกมาอีก แล้วขยิบตาเอ่ยว่า “แน่นอนว่า ธรรมเนียมกฎเกณฑ์ไม่มีชีวิตแต่คนมีชีวิต หากบางคราเรามิอาจทำตามได้ แต่อย่างน้อยก็อย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ เจ้าว่าใช่หรือไม่?”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ามิใช่หญิงชราคร่ำครึที่เคร่งครัดกับกฎระเบียบปานนั้น อย่างไรก็มิอยากให้ความสดใสของหลานสะใภ้ต้องถูกธรรมเนียมกฎเกณฑ์กัดกร่อนไป จึงเอ่ยเตือนขึ้นอีกประโยค


 


 


แรกเริ่มเจินเมี่ยวถึงกับนิ่งอึ้งไป ตามติดด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความนับถือยามมองฮูหยินผู้เฒ่า


 


 


กลับไปนางต้องจัดการอุดรูหนูทุกรูในเรือนชิงเฟิงให้หมด!


 


 


“เอาล่ะ เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด”


 


 


“เช่นนั้นหลานสะใภ้ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” เจินเมี่ยววางไม้ทุบนวดลง แล้วเดินออกไป


 


 


ส่วนหลัวจือหยาที่ประคองนางเถียนกลับไปถึงเรือนซินหยวนก็ขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “ท่านแม่ ท่านจะพูดเรื่องนั้นต่อหน้าท่านย่าทำไมเล่า?”


 


 


“เรื่องใด?”


 


 


“ก็เรื่องไปรับคนที่เป่ยเหออย่างไรเล่า ท่านเอ่ยขึ้นเช่นนี้ อาสะใภ้สี่จะคิดเช่นไร? เกรงว่าทุกคราที่เห็นอนุผู้นั้นคงต้องนึกถึงเรื่องที่ท่านเอ่ยให้ไปรับคนมาเป็นแน่”


 


 


“แล้วอย่างไรเล่า?”


 


 


หลัวจือหยากลับร้อนใจขึ้นมา “ท่านแม่ ท่านคิดดู อนุผู้นั้นมีที่มาเช่นนั้น ทั้งยังมีบุตรน้อยอีกคน อย่างไรท่านย่าก็ไม่มีทางปล่อยพวกเขาสองแม่ลูกให้อยู่ข้างนอกแน่ ต่อให้ท่านไม่พูด ช้าเร็วก็ต้องไปรับพวกเขาอยู่ดี ท่านทำเช่นนี้มิใช่เป็นการล่วงเกินผู้อื่นโดยเปล่าประโยชน์หรือ?”


 


 


นางเถียนหัวเราะออกมา “เด็กโง่ ท่านย่าปล่อยให้ทางนั้นรอมานานถึงเพียงนี้แล้ว จึงกำลังรอให้มีคนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอยู่”


 


 


หลัวจือหยาอึ้งงันไป “ท่านหมายความว่า…”


 


 


นางเถียนหยิบขนมขึ้นมากิน เมื่อกินเสร็จก็เอ่ยว่า “เรื่องนี้ แม่ของเจ้าเหมาะที่จะเอ่ยที่สุด ย่าเจ้าก็ตอบรับอย่างง่ายดายมิใช่หรือ?”


 


 


หลัวจือหยาได้ฟังก็งุนงงไปทันที “ท่านแม่ ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก ในเมื่อท่านมิได้รีบไปรับอนุผู้นั้นในทันทีก็มิใช่เพราะไม่ได้ให้ความสำคัญกับนางหรอกหรือ?”


 


 


นางเถียนหัวเราะกระซิกคราหนึ่ง “อนุผู้นั้นช่วยชีวิตอาสี่เจ้าไว้ ทั้งยังเป็นภรรยาเอกมาหลายปี ภายหน้านอกจากนางจะทำผิดร้ายแรงแล้ว คนในจวนนี้จะไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องนางแน่ ที่ย่าเจ้ารั้งเวลาไว้เพราะกลัวว่าน้องสะใภ้สี่จะรับไม่ได้เท่านั้น เด็กโง่ ย่าเจ้าแค่ใช่เล่ห์กลกับอนุผู้หนึ่งนั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าไม่มีทางที่จะไม่ให้ความสำคัญ ทั้งนางยังมีบุตรอีกคนเสียด้วย”


 


 


วาณิชย่อมเห็นประโยชน์สำคัญ หากไม่มีเด็กผู้นั้นมีหรือจะเห็นความสำคัญเพียงนี้ ต่อให้มิชอบเพียงก็ไม่มีทางไล่อนุผู้นี้ไปแน่ เพราะอย่างไรก็คงไม่อยากให้สายเลือดของจวนกั๋วกงต้องเร่ร่อนอยู่ข้างนอกเป็นแน่


 


 


หลัวจือหยาจึงเข้าใจขึ้นมาทันที


 


 


นางเถียนเหน็บปอยผมทัดหูให้บุตรสาว “หยวนเหนียงเจ้าจงจำไว้ เมื่อไปถึงดินแดนหมานเหว่ย ไม่ว่าองค์ชายรองจะดีต่อเจ้าหรือไม่ สิ่งที่สำคัญคือต้องมีบุตรชาย มีบุตรชายเจ้าจึงมีรากอันแข็งแกร่ง รู้หรือไม่?”


 


 


ในจวนกั๋วกงที่มีเรือนขนาดใหญ่หลายแห่งนี้ เรือนอวี้หยวนนับเป็นเรือนที่เล็กที่สุด แต่ทัศนียภาพกลับมิเลวเลย ด้านในปลูกต้นเหมยไว้หลายต้น ปุยหิมะที่เกาะตามกิ่งไม้ยังมิทันละลาย คล้ายดั่งผ้าสีเงินที่ห่อหุ้มมันไว้กระนั้น


 


 


นางชีจูงมือคุณชายหกเดินไปอย่างเนิบนาบในลานกลางเรือนเล็กๆ แห่งนี้


 


 


“ท่านแม่…” คุณชายหกร้องเรียกขึ้นทันใด


 


 


นางชีนั่งลงแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดหน้าให้คุณชายหกเสร็จจึงเอ่ยถามว่า “ลูกมีอันใดหรือ?”


 


 


“ท่านแม่ อาสะใภ้รองจะไปรับคนที่เป่ยเหอ ไปรับผู้ใดหรือ?”


 


 


นางชียิ้ม “เด็กน้อยผู้หนึ่งกับมารดาเขา เจ้าถามทำไมหรือ?”


 


 


แม้นคุณชายหกจะอายุห้าปีแล้ว แต่กลับดูสุขุมกว่าคุณชายห้าที่อายุมากกว่าหนึ่งปีนั้นเสียอีก ใบหน้าเล็กน้อยเอ่ยถามขึงขังว่า “ผู้ที่มาคือคนในครอบครัวเรา”


 


 


นางชีตกใจยิ่ง “เจ้าหก ผู้ใดบอกเจ้าหรือ?”


 


 


หากนางทราบว่าเป็นบ่าวไพร่คนใดที่ปากมาก นางจะจับมาโบยแล้วไล่ออกไปทันที แม้นอาจจะถูกผู้คนครหาว่ากำเริบเสิบสานขึ้นมาเพราะสามีกลับมาแล้วก็ตาม


 


 


คุณชายหกส่ายหน้า “ไม่มีผู้ใดบอกข้า ตอนที่อยู่เรือนท่านย่า ท่านบอกว่าให้คนดูแลจังเกอให้ดี ทั้งยังเอ่ยขอบคุณต่ออาสะใภ้รองอีก”


 


 


นางชีตกตะลึงอึ้งไป นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า บุตรชายที่นิ่งเงียบไร้ปากเสียง ผู้มีอายุเพียงห้าปี จะสามารถคาดเดาเรื่องราวได้จากคำพูดไม่กี่ประโยคของนาง


 


 


“เจ้าหก!” มืออันสั่นเทาของนางชีนั้นดึงคุณชายหกเข้ามาในอ้อมกอดตน “ลูกแม่!”


 


 


นางผิดเองที่วันๆ เอาแต่จมปลักอยู่ในความทุกข์ที่สามีจากไป กระทั่งละเลยเจ้าหกไปเช่นนี้


 


 


ที่แท้บุตรชายของนางฉลาดถึงเพียงนี้!


 


 


ทันใดนั้นก้อนหินที่กดทับในใจนางมาตลอดก็ถูกยกออกไป


 


 


นางชีถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกแล้วเอ่ยว่า “เจ้าหก จังเกอเป็นน้องชายของเจ้า อีกไม่นานก็จะมาอยู่ที่นี่พร้อมกับมารดาของเขา ถึงตอนนั้น เจ้าผู้เป็นพี่ชายต้องดูแลเขาดีๆ แล้วแม่จะพูดกับท่านพ่อเจ้าให้เชิญอาจารย์มาสอนพวกเจ้าที่จวน”


 


 


ธรรมเนียมของจวนกั๋วกงคือ เด็กชายต้องเริ่มร่ำเรียนในจวนตอนหกปี แปดปีต้องไปร่ำเรียนอย่างจริงจัง ทว่าเจ้าหกฉลาดเพียงนี้ จึงมิควรรั้งรอให้เสียเวลาแล้ว


 


 


ส่วนเด็กผู้นั้น…


 


 


นางชียิ้มออกมาอย่างสบายใจ


 


 


นางมิใช่คนใจแคบ ทั้งยังกังวลด้วยซ้ำเพราะอย่างไรเด็กผู้นั้นกับท่านพี่ก็ต้องมีความผูกพันกันมากกว่า อย่างไรเสียความรักที่อยู่ด้วยกันมาทุกเมื่อเชื่อวันก็มิใช่สิ่งที่ความรู้สึกผิดจะตามทันได้


 


 


แต่เจ้าหกฉลาดปราดเปรื่องเพียงนี้ นางผู้เป็นบุตรีจากตระกูลใหญ่มีชื่อ เข้าใจดีว่าบุรุษหรือตระกูลหนึ่งๆ นั้นให้ความสำคัญกับความปราดเปรื่องของบุตรชายคนโตซึ่งกำเนิดจากภรรยาเอกมากเพียงใด


 


 


นางไม่มีทางกดข่มรังแกเด็กผู้นั้น ปล่อยให้พวกเขาเรียนด้วยกัน เติบโตไปด้วยกัน จึงนับว่าไม่ผิดต่อความรักของท่านพี่และบุญคุณที่สตรีผู้นั้นช่วยชีวิตท่านพี่ไว้แล้ว


 


 


ใบหน้าของนางชีค่อยๆ เรืองรองขึ้น


 


 


ขอเพียงบุตรของนางดีมากพอ ความเก่งกาจของผู้อื่นก็มีแต่ช่วยส่งเสริมบารมีเขาให้โดดเด่นขึ้นเท่านั้น


 


 


ช่วงกลางวันของเหมันต์ฤดูมักสั้น ช่วงเวลาเพียงพริบตาฟ้าก็มืดลงเสียแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวอาบน้ำ และเช็ดผมจนแห้งก็มุดเข้าไปใต้ผ้าห่มที่มีโถน้ำร้อนเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย


 


 


อาหลวนเป่าดับเทียน แล้วตรวจสอบว่าปิดหน้าต่างทุกบานแน่นแล้วหรือไม่ เสร็จก็ไปนอนเฝ้าที่ห้องด้านข้าง


 


 


ตอนที่นางยังมิออกเรือน สาวใช้ล้วนนอนเฝ้าอยู่ภายในห้อง บางครานอนอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวหน้าห้องนอน หรือไม่ก็เข้ามาปูผ้านอนหน้าเตียงเลยด้วยซ้ำ ยามนี้ออกเรือนแล้ว มีบุรุษอยู่ด้วย ย่อมมิสะดวกเช่นกาลก่อน


 


 


เจินเมี่ยวไม่ทราบว่านอนหลับไปนานเท่าใดก็รู้สึกว่าร่างกายตนหนักอึ้งยิ่ง จึงผลักไสบางอย่างออกไปอย่างงัวเงีย แต่ดวงตากลับลืมไม่ขึ้นสักนิด


 


 


นางรู้สึกจักจี้ที่ลำคอ คล้ายมีบางอย่างไต่ไปไต่มา


 


 


เจินเมี่ยวเริ่มเข้าสู่ความฝันอันเหลวไหลอีกครา


 


 


ในฝันนั้นซื่อจื่อแย่งเนื้อแพะไปจากนาง ทำให้นางโกรธมากจึงกินเนื้อแพะนั้นจนหมด สุดท้ายซื่อจื่อกลับกระโจนเข้ามาแล้วใช้ลิ้นสอดเข้าไปในโพรงปากนาง


 


 


“อย่า อย่าแย่ง…”


 


 


เจินเมี่ยวรีบกลืนเนื้อแพะนั้นลงท้องไป นางรู้สึกเพียงว่ารสชาติช่างอร่อยยิ่ง ทว่าซื่อจื่อกลับโมโหขึ้นมา ไม่รู้ว่าเขาเอาไม้มาจากที่ใดฟาดลงไปบนบั้นท้ายนาง


 


 


ความรู้สึกเจ็บปวดสายหนึ่งแล่นเข้ามา เจินเมี่ยวจึงลืมตาขึ้นในทันที

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม